ลองเอาอีกเรื่องที่เริ่มแต่งไปได้พักหนึ่งมาให้อ่านกันเป็นตอนพิเศษระหว่างรอกันต์กับกร
---------------------------------------------------------------
เมื่อรัก... ยังเด็ก
บทนำ
“รักครับ สวัสดีน้าเตยหรือยังครับ” ชลธิชาก้มลงบอกลูกชายที่เป็นดังแก้วตาดวงใจและยังเป็นจุดศูนย์กลางของบ้านหลังนี้ให้ปฏิบัติตามคำที่เคยสอนมาเมื่อพบเจอผู้สูงวัยกว่า ซึ่งครั้งนี้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเด็กน้อยคือ มาริสาคุณแม่ลูกหนึ่งวัยสามสิบสองที่ยังคงความสวยไม่ต่างจากช่วงที่เริ่มเป็นสาวสะพรั่งที่การันตรีความงามด้วยตำแหน่งสาวงามของเวทีทางภาคเหนือ แล้วยังกลายเป็นว่าเมื่อตัวเลขบอกอายุเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ความมีสง่าราศีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเลยยิ่งขับความโดดเด่นให้ฉายชัดออกมาจากคุณแม่ยังสาว เฉกเช่นเดียวกันกับชลธิชาผู้เป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่ความงามไม่ด้อยไปกว่ากันเพียงแต่เป็นสาวขี้อายจึงไม่เคยเดินขึ้นเวทีประกวดใดอย่างเพื่อนสนิท
ส่วนรักหรือชื่อจริงว่า “รักษ์” เด็กชายวัยสามขวบที่มีผิวกายขาวเหมือนหยวกกล้วยเนื้อใน แก้มยุ้ยน้อยๆ ขึ้นสีเลือดฝาด ปากสีส้มระเรื่ออย่างเด็กที่ถูกฟูมฟักทะนุถนอมมาอย่างดี เพราะกว่าที่ชลธิชาจะได้ลูกชายคนนี้มานั้น นอกจากตัวชลธิชาต้องอาศัยความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเกือบทั้งหมดแล้ว คนทั้งบ้านยังอาศัยความเชื่อต่างๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังมาอีก เพราะหวังว่าจะมีดวงใจดวงน้อยของบ้านกำเนิดขึ้นให้สมหวังดั่งใจกันได้ในเร็ววัน และกว่าสี่ปีของพยายามก็เกิดเป็นผลสำเร็จ การตั้งครรภ์ของชลธิชาเป็นข่าวที่ทุกคนต่างยินดี และระหว่างนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยการที่ถูกประคบประหงมกันมากกว่าปกติด้วยเกรงจะเกิดความผิดพลาด
จนถึงวันที่เด็กน้อยผิวแดงได้ออกมาชมโลก ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อสามีถึงได้ตั้งชื่อหลานชายคนแรกให้ว่า “รักษ์” ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “บุญรักษา” และเพื่อไม่ให้เชยย้อนสมัยที่หลานเกิดจนเกินไปคุณปู่จึงเลือกตัดให้เหลือเพียงคำว่า “รักษ์” สั้นๆ ให้เป็นชื่อจริงของหลานชาย พอได้ชื่อจริงว่ารักษ์ ชลธิชากับสามีก็ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานในการตั้งชื่อเล่นให้ลูกชาย คำว่า “รัก” ซึ่งเป็นคำพ้องเสียงกับชื่อจริงจึงถูกใช้เรียกเป็นชื่อเล่นของลูกชายทันที
“รักครับ ทำยังไงก่อนลูก” ชลธิชาเรียกลูกชายอีกครั้งเมื่อเห็นว่าลูกของเธอยังไม่ปฏิบัติตามที่เธอบอก เพราะมัวแต่สนใจกับเด็กชายอีกคนที่โตกว่าที่มือข้างหนึ่งถูกกุมไว้ด้วยมือของเพื่อนสนิท อชิระหรือชิน เด็กชายวัยหกขวบเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมาริสา
“สวัสดีครับ” มาริสาเอ่ยรับเมื่อลูกชายของเพื่อนเธอกระพุ่มมือน้อยขึ้นไหว้ เมื่อเห็นความน่ารักของลูกเพื่อนแล้วมาริสาก็อดไม่ได้ที่จะย่อตัวลงนั่งและยื่นมือออกไปจับแก้มนิ่มนั่น เมื่อปลายนิ้วของมาริสาแตะสัมผัสลงบนแก้มนุ่มเด็กชายผู้เป็นเจ้าของแก้มแดงระเรื่อก็ถดตัวถอยหนีไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้เป็นแม่ แต่ยังมิวายยื่นหน้าออกมาดู
แม้จะเคยเจอหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยความเป็นเด็กเจอหน้ากันหลายครั้งแต่ด้วยนานๆ เจอกันที เลยให้ความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้ากันทุกครั้งกว่าจะยอมให้ถึงเนื้อถึงตัวได้ ก็ต้องสร้างความสนิทสนมกันใหม่ทุกครั้งไป ผิดกับอีกคนที่รักษ์ยังมองตาแป๋วและอยากเข้าไปหาเต็มที แต่ติดที่อีกคนยังไม่กวักมือเรียกไปเล่นอย่างเคยเลยไม่กล้าเข้าหาก่อน
“ชิน ไม่ชวนน้องไปเล่นหรอลูก” มาริสาหันกลับมาถามลูกชายตัวเองที่ยังคงยืนนิ่ง ไม่เข้าไปเล่นกับน้องทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายรบเร้าให้แม่พามาหาน้องแต่เช้า
เมื่อวานเย็นมาริสาคุยกับธันวา ผู้เป็นสามีเรื่องจะไปกินข้าวเย็นกันที่บ้านชลธิชาในวันพรุ่งนี้ พออชิระที่นั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะเล็กอีกฝั่งของห้องได้ยินว่าพ่อกับแม่จะไปไหนกัน ก็ถึงกับทิ้งการบ้านที่ทำอยู่วิ่งปรี่เข้ามาหาแม่แล้วบอกให้พาไปบ้านนั้นแต่เช้าด้วยอยากจะไปเล่นกับน้อง
มาริสาพอได้ยินลูกชายแสดงกริยาออดอ้อนแบบที่มีโอกาสเห็นได้น้อยครั้ง เลยลองถามลูกชายดูว่าทำไมถึงอยากไปหาน้องนัก ก็ได้คำตอบกลับมาว่า “น้องน่ารักดี ชินชอบน้อง” หลังได้ฟังคำตอบของลูกชายมาริสาก็อดยิ้มไม่ได้ เธอเข้าใจว่าอชิระเป็นลูกคนเดียว พอเจอเด็กเล็กกว่าเลยอยากได้เป็นน้อง ลูกชายเธอคงอยากมีน้อง จึงรีบตอบตกลงรับคำว่าจะพาลูกชายไปหาน้องแต่เช้า ส่วนสามีจะตามไปในช่วงเย็นเพราะช่วงเช้านั้นก็มีนัดไปออกรอบกับคุณสงกรานต์สามีของชลธิชา
“รัก” คนโตกว่าเอ่ยเรียกชื่อของเด็กชายตัวเล็กที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังของผู้เป็นแม่ ก่อนจะยื่นมือตามออกไปเพื่อหมายจะให้น้องเข้ามาจับมือเขาไว้และจะได้จูงน้องไปเล่นด้วยกันอย่างเคย
ใจจริงที่อชิระยืนนิ่งอยู่นานไม่ใช่อะไร แค่อยากรอให้รักษ์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาก่อนบ้าง ทุกครั้งที่มาหารักษ์มีแต่เขาที่ต้องเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ไม่มีครั้งไหนที่น้องจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาก่อนเลย นอกจากเล่นกันไปสักพักแล้วนั่นแหละน้องถึงเป็นฝ่ายเดินตามต้อย แต่ยืนรอแล้วรอเล่าน้องก็ไม่ยอมเดินเข้ามาหาสักที ทั้งที่น้องเองมองมาที่ตัวเขาตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว
จนสุดท้ายคนโตกว่าเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมออกปากเรียกน้องก่อน ขืนรอนานกว่านี้เวลาที่ใช้เล่นกันก็ยิ่งหายไปทีละน้อย แล้วไหนช่วงบ่ายน้องจะนอนหลับอีก ซึ่งเขาเองก็หลับไปพร้อมกับน้องเหมือนกัน เห็นไหมมาตั้งแต่เช้าแต่จะได้เล่นกันก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง
“ไปเล่นสไลเดอร์กัน” อชิระเรียกคนที่ตัวเล็กกว่าซ้ำ โดยที่มือยังยื่นรอให้อีกคนเข้ามาจับอยู่อย่างนั้น
“อยากดูปลา เอาหนมกินด้วย” รักษ์ก้าวออกมาจากด้านหลังของผู้เป็นแม่ เขายังไม่ยื่นมือไปหามือที่รออยู่ แต่รอฟังคำตอบของอีกคนก่อนว่าจะทำตามที่เขาเสนอไหม
“ไปดูปลาก็ได้” เสียงคนที่โตกว่าตอบรับ พอตอบไปแบบนั้น มือเล็กก็เข้าจับมือที่ยื่นรอไว้ทันที ก่อนเป็นฝ่ายออกแรงดึงคนโตกว่าไปเสียเอง
รักษ์ยืนรออยู่ตั้งนานนึกว่าคนโตกว่าไม่อยากจะเล่นกับเขาแล้วเสียอีก พอได้ยินคนโตกว่าเรียกชื่อ แล้วเอ่ยคำชวนให้ไปเล่นด้วยกัน ก็อยากจะยื่นมือไปหาแล้วพาวิ่งไปหลังบ้านตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนโตกว่าชวนไปเล่นสไลเดอร์ ส่วนเขาอยากไปดูปลาสีส้มตัวอ้วนกลมที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในบ่อกว้างมากกว่า เลยต้องบอกคนโตกว่าเสียหน่อยว่าเขาจะไปดูปลานะ ไปไหม แล้วคนโตกว่าก็ตกลงเลยรีบยื่นมือไปจับมือกันไว้ทันที แต่เอาเข้าจริงถึงคนโตกว่าจะยอมไม่ตกลงตามใจเขาและยืนยันว่าจะไปเล่นสไลเดอร์ให้ได้ เขาก็จะตามไปเล่นด้วยอยู่ดี
“ไปขอหนมย่ากัน ป่ะๆ” เสียงเด็กตัวน้อยที่พูดบางคำยังไม่ชัดดีดังให้ได้ยินแว่วมาตามหลัง เมื่อเจ้าตัวจูงมือคนโตกว่าพ้นห้องนั่งเล่นไป ส่วนชลธิชาพอเห็นเด็กสองคนเดินออกไปพร้อมกันแล้วก็รีบหันไปเร่งกับคนดูแลลูกชายให้รีบตามเด็กๆ ไป เพราะเกรงว่าลูกชายกับลูกเพื่อนจะพลัดตกบ่อได้รับอันตราย แม้น้ำจะไม่ลึกและแม่สามีของเธอก็สั่งให้คนทำรั่วกั้นบ่อปลาในสวนหลังบ้านไว้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจเรื่องความซนของลูกชายตัวน้อยอยู่ดี
.
.
.
หลังจากพากันวิ่งไปประจบประแจงขอขนมจากคุณย่าจนได้เค้กแครอทที่แต่งหน้าด้วยครีมขาวและประดับด้วยน้ำตาลที่ปั้นเป็นรูปแครอทจิ๋วมาคนละชิ้นแล้ว อชิระก็เป็นฝ่ายรับอาสาถือจานเล็กๆ ที่ใส่เค้กสองจานเดินตามหลังน้องไปหลังบ้าน โดยมีพี่เลี้ยงถือถาดที่มีแก้วใส่น้ำและนมอย่างละสองแก้วตามมาให้
พี่เลี้ยงที่ถือถาดแก้วน้ำเดินตามคุณหนูสองคนไปก็มองแก้วน้ำแก้วนมในถาดไป มองเห็นลายบนแก้วน้ำทีไรก็อดทำคิ้วขมวดมุ่นอย่างคนสงสัยไม่ได้สักที ก็แก้วลายหนูผีแยกเขี้ยว หน้าพิลึกพิลัน ตัวสีฟ้าของคุณหนู ที่คุณหนูเรียกมันว่าตัวอะไรนะ อะไร ติ๊ด ๆ จำไม่ได้ ไม่รู้ว่าน่ารักตรงไหน แต่คุณหนูของเธอชอบเสียจริง ที่จริงมีแก้วลายตัวประหลาดตัวนี้อยู่หลายใบ แต่ชุดนี้คุณชินกับคุณหนูไปเลือกมาด้วยกัน แล้วคุณหนูของเธอก็โปรดปรานเอามาก จนแทบจะกลายเป็นว่าใช้แก้วชุดนี้ชุดเดียว
“พี่ชินแบ่งหนมปลาหน่อย มันหิว” เด็กชายรักษ์หันมาเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมชี้ปลายนิ้วเล็กไปที่ปลาคราฟสีส้มตัวใหญ่ที่โผล่ขึ้นมางับฟองอากาศก่อนดำดิ่งลงน้ำไป
“มันไม่กินหรอก เป็นปลาต้องกินอาหารปลาสิ” อชิระตอบ พอตอบไปแบบนั้นก็ส่งผลให้อีกคนทำแก้มพองลมขึ้นมาทันที ก็รู้ว่าปลาต้องกินอาหารปลาเพราะรักษ์เคยมาให้อาหารปลาพร้อมกับคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอาหารปลามีแต่เค้กนี่
“ขนมไว้ให้รักกับพี่กิน ปลาต้องกินอาหารปลา” คนโตกว่าพยายามอธิบายต่อ ไม่รู้ว่าคนที่นั่งทำปากจู๋อยู่ข้างๆ จะเข้าใจไหม แต่เมื่อเห็นแก้มพองลมยุบกลับมาอยู่สภาพปกติเลยคิดเอาเองว่าน้องคงเข้าใจที่ตัวเองพูด
“งั้นเอาอาหารปลามาให้มัน” เด็กชายตัวเล็กเรียกร้องหาอาหารของเจ้าปลาตัวอ้วนทันที
“มันกินแล้ว” คนโตกว่าตอบ แล้วตักเค้กในจานเป็นชิ้นเล็กส่งไปจ่อที่ปากน้องที่กำลังส่งสายตามาอ้อนเรื่องให้อาหารปลา แต่พอเห็นขนมเค้กในช้อนที่มาจ่อปากก็เลิกสนใจเรื่องปลาแล้วอ้าปากรับขนมเค้กที่คนโตกว่าตักป้อนไปเคี้ยวตุ้ย
“รู้ได้ไง” รักษ์เอียงคอถามคนโตกว่าที่นั่งอยู่ข้างกัน เขายังไม่เห็นปลากินอาหารเลย ทำไมคนโตกว่าถึงรู้ได้ว่าปลากินอาหารไปแล้ว หลังจากรักษ์กินเค้กหมดไปคำก็ถามต่อ พอถามจบก็อ้าปากรับเค้กอีกคำที่คนโตกว่าคอยตักป้อนให้ไม่ขาด ป้อนน้องสองคำตักกินเองคำ เผลอแป๊บเดียวเค้กชิ้นแรกก็หมด แถมไปอยู่ในท้องน้องเกินกว่าครึ่ง
“นั่นไงท้องมันป่องจะแตกแล้ว” คนโตกว่าชี้นิ้วไปที่ปลาสีส้มตัวอ้วนที่ว่ายอยู่ใกล้ๆ พอรักษ์เห็นก็พยักหน้าหงึกๆ เป็นอันว่าเข้าใจกันแล้วว่าปลาต้องกินอาหารปลา แล้วปลาก็กินอาหารแล้วเพราะท้องมันป่องเหมือนใกล้จะแตกเต็มที
ปลาท้องป่องตลกดีแต่น้องแก้มป่องแล้วน่ารัก ว่าแล้วก็ยกนิ้วขึ้นจิ้มแก้มน้องเบาๆ สองที เจ้าของแก้มป่องสีแดงก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะยังสนใจเรื่องปลาสีส้มท้องป่องมากกว่า
“แล้วท้องมันจะแตกไหม” เจ้าของแก้มป่องที่ถูกคนโตกว่าจิ้มเล่นเมื่อกี้ถามแล้วเริ่มเบะปากเหมือนจะร้องไห้เพราะกลัวว่าปลาจะท้องแตก ถ้าปลาท้องแตกจะเป็นยังไง ไม่เอาๆ รักษ์ชอบมาดูปลากับพี่ชิน ไม่มีปลาแล้วจะดูอะไร
“ไม่ๆ มันอ้วนเฉยๆ” อชิระรีบบอก เห็นน้องเบะปากก็ทำเอาใจหาย อย่าร้องเชียวนะ อย่าร้อง
“มันจะตัวโตเท่านี้เลยพี่เคยเห็น” อชิระรีบกางสองมือกว้างให้น้องดู พ่อกับแม่เคยพาไปดูที่ฟาร์มเลี้ยงปลา แล้วก็ซื้อกลับไปที่บ้านตั้งห้าตัว ปลาที่นั่นตัวโตกว่าในบ่อปลาของรักษ์ตั้งเยอะ ถึงปลาที่พ่อซื้อกลับบ้านให้เขาจะตัวเท่าๆ กับที่บ้านรักษ์ก็เถอะ
“จริงหรอ อยากเห็นจัง” คนที่ทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้อยู่เมื่อครู่ตาวาวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นพี่กางแขนกว้าง แล้วก็ลองกางแขนสองข้างของตนออกบ้าง พอกางแล้วยังสู้ของคนโตกว่าไม่ได้เลย เทียบกันใกล้ๆ แล้วปลายนิ้วของเขายังไม่ถึงข้อมือของคนโตกว่าเลย ปลาที่คนโตกว่าบอกต้องตัวใหญ่มากแน่ๆ
“จริงสิ ไว้พี่บอกพ่อกับแม่ให้พารักษ์ไปดูด้วยดีไหม” อชิระบอกเมื่อเห็นน้องทำท่าสนใจ พอเห็นน้องยิ้มได้ก็ส่งเค้กป้อนเข้าปากอีกคำ น้องก็เลี้ยงง่ายแสนง่ายพอป้อนขนมให้ก็รับไปเคี้ยวตุ้ย
แต่คนเป็นพี่เลี้ยงที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่สิ กำลังคิดอยู่ว่าถ้าคุณชินมาป้อนข้าวคุณหนูของเธอแบบนี้ได้ทุกวันก็คงดี เพราะปกติกว่าจะให้กินข้าวได้หมดจานต้องหลอกล่อกันสารพัดวิธีไม่เห็นกินง่ายกินดายแบบนี้เลย ถ้าจะกินหมดเกลี้ยงไม่เหลือก็มีอีกทางคือ ต้องเป็นข้าวปั้นฝีมือของคุณปู่ ไม่ใช่ข้าวปั้นแบบญี่ปุ่นที่เธอเห็นทางโทรทัศน์ แต่เป็นข้าวคลุกปลาทูเหยาะซีอิ้วนิดหน่อยพอมีรส
คุณหนูจะให้เธอคลุกข้าวให้เท่านั้น พอได้ข้าวคลุกปลาทูแล้วจะถือชามข้าววิ่งปร๋อไปหาคุณปู่ให้ปั้นข้าวเป็นลูกกลมๆ ให้ พอได้ข้าวปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วล่ะก็ กินหมดทุกครั้งไป แต่จะให้กินแบบนี้ทุกมื้อคงไม่ได้ คุณหนูของเธอขาดสารอาหารกันพอดี คุณย่ากับคุณชลบอกไว้
“จริงนะ รักษ์อยากเห็นปลาตัวโต ๆ ๆ” รักษ์ยังเซ้าซี้ถามต่อ แล้ววาดสองมือกว้าง กว้างมากจนเกือบเสียหลักหงายหลังจนคนโตกว่าต้องรีบดึงมือกลับ ถ้าหงายหลังไปล่ะก็หัวโขกพื้นแน่ แล้วเรื่องที่น้องรบเร้าจะให้ไปดูปลาหรือทำนู่นทำนี่อชิระกลับไม่เคยเบื่อ กลับยิ้มชอบใจเสียอีกยิ่งเวลาน้องขยับเข้ามาเกาะแขนเขย่ารบเร้าเอาเหมือนตอนนี้
“จริง เดี๋ยวพี่ไปบอกแม่ให้เลย” อชิระรับคำ
“ไปบอกตอนนี้เลยนะ ป่ะ” รักษ์กระโดดลุกขึ้นและยื่นมือไปหาอชิระที่ยังนั่งอยู่ พอคนโตกว่ายื่นมือมาจับมือไว้แล้ว ก็ใช้อีกมือมาจับที่ข้อมือ เพื่อใช้ทั้งสองมือช่วยฉุดคนโตกว่าให้ลุกขึ้น พออีกคนลุกขึ้นได้ก็พากันออกวิ่งเข้าบ้านทันที
……………………………………………………….
……………………………………………..
…………………………………..
“พี่ชินมาช้า” คนที่นั่งอยู่บนม้าหินที่ประจำข้างอาคารเรียนยืนขึ้นพร้อมพูดบ่นทั้งที่ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มกว้างดูสวนทางกับคำพูดทันทีที่เห็นคนที่รอเดินเข้ามาใกล้ ก่อนก้มหยิบกระเป๋าเป๋แล้วตวัดขึ้นสะพายหลังเพื่อเดินออกไปขึ้นรถหน้าโรงเรียน
“อ้าว! อยู่รอชินมันหรอ ไม่เห็นเข้าไปข้างใน พี่ยังนึกว่ากลับไปแล้ว” ไม่ใช่คนที่รักษ์รออยู่พูดขึ้น แต่เป็นอีกคนที่เดินออกมาด้วยกัน
“ก็คนเยอะ” รักษ์ตอบแล้วมองไปทางคนที่ตัวเองรออยู่
“พวกนั้นมันกลับไปตั้งแต่ห้าโมงแล้ว เหลือแต่ชิน นุ ไอ้เอ็ม แล้วก็พี่สี่คนเอง” ปกเขตหรือปก พูดกับรุ่นน้อง
“ยุงกัด” อชิระพูดถามเมื่อเห็นคนรอยกขาขึ้นมาเกาจนยืนตัวเอียง พอเห็นอย่างนั้นแล้วก็ต้องรีบยื่นมือไปดึงเป้สะพายหลังยึดไว้เพราะกลัวเห็นคนหน้าทิ่มลงพื้น
“พี่ชินไม่เห็นบอกว่าคนอื่นกลับเร็ว” รักษ์พูดบ่นกับปกเขต ก่อนหันไปมองอีกคน แล้วทำหน้าเบ้
“ให้นั่งตากยุงอยู่ได้” รักษ์บ่นต่อ คราวนี้บ่นให้ฟังถูกตัว
“บอกแล้ว ได้ฟังกันบ้างหรือเปล่า” คนที่โดนพาดพิงพูด แต่พอพูดจบเห็นรักษ์ทำหน้าสลด ก็ต้องรีบยื่นมือไปคว้าไหล่บางแล้วดึงเข้ามายืนข้างๆ แล้วละมือมาที่หัวทุยสวยแล้วจับเอนเข้าหาไหล่ตัวเอง เหมือนเป็นการบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะว่า
พอเห็นว่าคนที่ถูกดึงเข้ามาหาไม่มีท่าทีจะพูดว่าอะไรต่อ ก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ไอ้ที่เห็นว่าสลดมันแค่ท่าทีเบื้องต้นก่อนพายุจะมาต่างหาก ขืนเขาว่าอะไรต่ออีกนิดละก็ ไม่อยากจะคิดต่อ ทำให้สงบได้ก็ดีแล้ว
“ไอ้นุ มึงจะกลับกับกูหรือเปล่า” อชิระหันไปถามเพื่อน
“ไม่ๆ กูจะแวะกินข้าวกับพี่เอ็ม พี่ปกก่อน แล้วกลับพร้อมกัน มึงไปเหอะ” ธาวินบอกเพื่อนสนิท
“รักไปกินข้าวกับพวกพี่ไหม เดี๋ยวพี่แวะส่งบ้าน” อีกคนที่ยืนเงียบฟังคนอื่นพูดมาสักพักถามขึ้นบ้าง ลองชวนไปอย่างนั้นแหละ รู้อยู่แล้วว่าผู้ปกครองเขาไม่ปล่อยให้ไปด้วยหรอก
“วันนี้รักไปฝากท้องบ้านพี่ชินแล้ว” คนถูกถามตอบ
“พ่อแม่ไม่อยู่หรอรัก” ธาวินถาม ถ้ารักษ์พูดว่าไปฝากท้องบ้านนั้นเป็นอันรู้กันว่าพ่อแม่ของเจ้าตัวไม่อยู่และรักษ์ก็ไปนอนที่บ้านเพื่อนสนิทของตน
“ไปเชียงใหม่กันกลับอาทิตย์หน้า” รักษ์ตอบ ก่อนจะหันไปหารุ่นพี่อีกคน
“พี่เอ็มจะแวะร้านอินหรือเปล่า รักฝากซื้อขนมปังกรอบหน่อย” ตอนนี้เด็กมอสองกำลังจะไหว้วานรองประธานมอหกให้ซื้อของให้
เรื่องไหว้วานคนในสภานักเรียนมีแต่เจ้าเด็กมอสองคนนี้แหละที่กล้า เป็นคนอื่นถ้าเลี่ยงกลุ่มนี้ได้เป็นเลี่ยงเพราะดูภายนอกแต่ละคนทั้งนิ่งทั้งขรึม จนดูเป็นที่เชื่อถือของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน และยังเป็นตัวอย่างที่ดี ดูน่าเคารพยำเกรงสำหรับรุ่นน้อง อีกทั้งเป็นที่ไว้ใจของเหล่าอาจารย์ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่านิสัยที่แท้จริงของแต่ละคนเป็นแบบไหน มันเกินกว่าที่คนภายนอกจะคิดไปถึง ต้องคนที่เข้ามาคลุกคลีอยู่ด้วยแบบรักษ์เท่านั้นถึงจะรู้จริง มันมีที่ไหนคนที่ดีพร้อมทุกอย่าง มันก็ขาดๆ เกินๆ กันทั้งนั้น ดูกลุ่มนี้เป็นตัวอย่าง
“เนยน้ำตาล หรือเนยกระเทียม” คนถูกไหว้วานถาม ที่จริงร้านนี้มีของให้เลือกเยอะ อย่างขนมปังกรอบก็มีตั้งห้าหน้า เนยน้ำตาล เนยกระเทียม เนยลูกเกด เนยเม็ดมะม่วง แล้วอะไรอีกอย่างจำไม่ได้เพราะไม่เคยได้ซื้อ เนื่องจากเด็กผมเกรียนที่เดินอยู่ข้างๆ กินอยู่แค่สองหน้าเท่านั้น ซื้อมาให้บ่อยหน่อยก็เนยน้ำตาล ส่วนเนยกระเทียมนานๆ จะให้ซื้อที
“เอาเนยน้ำตาลแล้วกันพี่เอ็ม ถุงใหญ่สองถุงนะ” รักษ์ตอบพร้อมชูสองนิ้วขึ้นตามจำนวนถุง
“อืมๆ เดี๋ยวแวะซื้อให้” ชยุตพูด ที่พูดว่าซื้อให้นี่คือซื้อให้จริงๆ ใครจะไปเก็บเงินน้องลง ขนมถุงละไม่กี่สิบบาท แต่คนที่กลับบ้านพร้อมกันทุกวันกับรักษ์ก็มักจะเอาเงินมาให้อยู่ทุกครั้ง เขาก็รับบ้างไม่รับบ้าง จะรับก็ต่อเมื่อซื้อของมาขึ้นหลักร้อยและคนเอาเงินมาให้เป็นค่าขนมแสดงสีหน้าลำบากใจเสียเหลือเกิน ถ้าเป็นหลักสิบเขาก็จะบอกว่า “กูจะซื้อขนมให้น้องกู” แค่นั้นแหละ คนถือเงินก็จะเอาเงินเก็บเข้ากระเป๋าดังเดิม แต่ก็มิวายโดนค่อนขอดมาเล็กๆ ว่า “ทีละไม่กี่สิบ หลายๆ ที ก็เป็นร้อย” เขาก็จะยกมือบอกปัดให้รู้ว่าเขาไม่รับฟังแค่นั้น
“งั้นพี่ไปแล้วนะ ไปช้าเดี๋ยวร้านปิด” คนถูกไหว้วานพูด ก่อนบอกลาพอพูดจบก็โบกมือให้รุ่นน้อง พอรักษ์เห็นแบบนั้นก็รีบยกมือขึ้นโบกตอบ พร้อมยิ้มให้
“ลุงชมไปไหน” อชิระก้มหน้าลงถามคนที่ยืนชิดติดอยู่กับตัวเองเมื่อมองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างกำแพงโรงเรียนที่ประจำแต่ไม่เห็นคนขับ ตอนนี้คนอื่นออกไปกันหมดแล้วเลยเหลือพวกเขาแค่สองคนยืนอยู่
.
.
.
ทุกวันอชิระกับรักษ์จะมาโรงเรียนพร้อมกัน ออกจากบ้านไปแวะรับรักษ์ที่บ้าน ตกเย็นก็แวะส่งรักษ์ก่อนเข้าบ้านตัวเอง ถ้าวันไหนลุงชมต้องขับรถให้ธันวาพ่อของอชิระผู้เป็นเจ้านายตัวจริงออกไปราชการต่างจังหวัด อชิระจะขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีหน้าบ้านพร้อมโทรบอกรักษ์ให้ออกจากบ้านมาที่สถานีหน้าบ้านรักษ์ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเขาไปสามสถานี พอถึงสถานีบ้านรักษ์อชิระจะลงไปรับน้องแล้วค่อยขึ้นรถขบวนใหม่ไปโรงเรียนพร้อมกัน
ที่ต้องแวะรับไม่ใช่ว่ารักษ์ขึ้นรถไฟฟ้าเองคนเดียวไม่ได้ แต่รักษ์ให้เหตุผลว่าไม่อยากไปโรงเรียนคนเดียวแค่นั้น พอเขาบอกให้ไปก่อน ก็จะได้ยินคำพูดตอบกลับมาว่า “ไปกับพี่ชินทุกวันจนชินแล้วนิ ไปคนเดียวมันยังไงไม่รู้” แล้วไอ้ที่บอกไม่รู้นี่มันยังไง ใครจะเข้าใจด้วย คนอย่างอชิระก็ไม่กล้าคิดอะไรมาก คิดได้แค่พวกเขาไปโรงเรียนพร้อมกันแบบนี้มาตั้งแต่รักษ์สอบเข้าปอหนึ่งโรงเรียนเดียวกันได้ และเป็นแบบนี้มาเกือบแปดปีแล้ว รักษ์คงเห็นหน้าเขาทุกวันจนชินอย่างที่พูดก็แค่นั้น
ช่วงนี้อชิระยุ่งกับกิจกรรมของสภานักเรียนเพราะงานกีฬาสีที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้า อชิระเป็นประธานนักเรียนโดยที่มีวงเล็บต่อท้ายว่ามอห้า โรงเรียนนี้เลือกตั้งประธานกันโดยใช้ตัวแทนจากมอห้า พอเลือกแล้วก็จะได้เป็นประธานไปจนถึงมอหก ซึ่งว่ากันง่ายๆ คือประธานนักเรียนในแต่ละปีการศึกษาจะมีสองคนคือ ประธานจากมอห้าและมอหก แต่ภาระหนักหรือคนทำงานส่วนใหญ่จะเป็นมอห้า เพราะรุ่นมอหกต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้มากกว่า
หลายวันที่ผ่านมาอชิระอยู่ทำงานตอนเย็นกับเพื่อนแล้วก็รุ่นพี่จนพระอาทิตย์ตกทุกวัน แต่คนร่วมเดินทางอย่างรักษ์ยังยืนยันว่าจะรอ ไม่ขอกลับก่อน นั่งทำการบ้านบ้าง ฟังเพลงบ้างไปเรื่อย ไม่มีบ่น ปกติอชิระจะให้รักษ์เข้าไปนั่งรออยู่ในห้องสภา แต่ถ้าวันไหนคนเยอะรักษ์จะขอรออยู่ข้างนอก ที่จริงถึงคนจะอยู่กันเยอะก็ไม่เคยมีใครว่าอะไรถ้ารักษ์จะอยู่ด้วย แต่เจ้าตัวขอไม่อยู่เองมากกว่าเพราะมีแต่คนชอบเข้ามาแหย่ พอเป็นแบบนั้นแล้วอีกไม่กี่นาทีถัดมาท่านประธานมอห้าก็จะเริ่มโวยวายเพราะสมาชิกแต่ละคนไม่เป็นอันทำงานทำการ เดี๋ยวๆ ก็ลุกมาเล่นมาคุยด้วย ไม่ก็ไปสรรหาเอาน้ำเอาขนมมาให้ แล้วก็เพราะแบบนี้รักษ์ถึงไม่ค่อยอยากเข้าห้องสภาตอนอยู่กันเยอะๆ คนยิ่งเยอะ ลูกบ้ายิ่งเยอะตามไปด้วย ต้องรอคนน้อยหน่อยถึงเข้าไป เพราะสงสารคนที่ต้องออกโรงปรามพี่ๆ เพื่อนๆ
บางวันที่หนักหน่อยคุณชายนรินทร์เลขาสภามอห้าถึงกับหาหมวกมาเดินถือวนรอบห้องสภา แล้วป่าวประกาศให้คนในห้องควักตังค์ออกมาจากกระเป๋าใส่ลงหมวกเพื่อเอามาสมทบทุนซื้อขนมให้น้องรักษ์ มันจะบ้าอะไรได้ขนาดนั้น ลำพังคนถือหมวกออกมาก็ว่าอาการหนักแล้ว ไอ้คนที่ใส่เงินลงหมวกนี่สิหนักกว่า ปกเขตประธานมอหกแกนนำ ตามด้วยชยุตรองประธานมอหก ต่อด้วยคณะกรรมการชั้นมอห้ามอหก หัวขบวนนำมาแบบนี้ที่เหลือเลยพาลเออออตามกันหมด
ถ้าเป็นกันแบบนี้แล้วงานมันจะเดินไหม ดีแล้วที่วันนี้เลขาสภาทั้งสองคนพากันแทคทีมกันออกไปซื้อกระดาษสำหรับพิมพ์งาน เพราะทั้งกระดาษขาวกระดาษสีในห้องสภาไม่เหลือสักแผ่น พอไปแล้วก็พากันหายทั้งคู่ ได้แต่โทรกลับเข้ามาบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้เย็น ถ้าอยู่กันครบทีมอย่าหวังว่างานจะเดิน จนอชิระอยากยกขาขึ้นมาก่ายหน้าผากอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าที่แต่ละคนร่วมมือกันทำแบบนั้นทำเพราะเอ็นดูรุ่นน้องอย่างรักษ์หรือทำเพราะอยากแกล้งอชิระท่านประธานมอห้ากันแน่
วันนี้ตอนแรกคนในสภาอยู่กันครบองค์รวมสิบหกคน แต่ไม่ถึงชั่วโมงก็แยกย้ายกันไปเพราะแค่เข้ามานัดแนะเรื่องที่จะมีประชุมใหญ่วันพรุ่งนี้ บอกรักษ์ไว้แล้วว่าตอนห้าโมงให้เดินเข้าไปหาที่ห้องได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นวี่แววว่าคนที่รอจะเดินเข้ามา จะออกมาตามก็ไม่ได้เพราะติดคุยงาน เกรงใจคนที่กำลังคุยกันติดพันอีก สุดท้ายรักษ์เลยนั่งตากลมตากยุงรออยู่หน้าอาคารเกือบสองชั่วโมง ไม่อยากจะโทษรักษ์นะว่าพอเข้ามาแล้วงานไม่เดิน แต่วันนี้รักษ์ไม่เข้ามาแต่ละคนทำงานกันจริงจังน่าดู เหมือนจะดีที่รักษ์ไม่เข้ามา แต่กลับมีข้อเสียตรงที่ห้องสภาเหมือนขาดอะไรไป
.
.
.
“รักให้ไปซื้อซาลาเปาฝั่งนู้นให้ นั่นไงมาแล้ว” รักษ์พยักเพยิดหน้าไปทางหน้าประตูโรงเรียนเมื่อเห็นคนที่ถามหากำลังเดินผ่านเข้ามาพร้อมถุงบรรจุแป้งกลมๆ สีขาวในมือ
“พรุ่งนี้จะให้พี่ฝ้ายทำแซนวิชจากบ้านแล้วฝากลุงชมมาให้” อชิระพูดแล้วเดินนำไปที่รถ ส่วนคนตามหลังเดินไปกระโดดไปดูอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน
“พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วกลับบ้านเลย ไม่ต้องรอพี่” อชิระพูดระหว่างยื่นมือไปรับซาลาเปาที่รักษ์ส่งมาให้
“เหมือนเดิม” รักษ์พูด แล้วอ้าปากกัดซาลาเปาอุ่นๆ ในมือ ไม่รู้จะพูดเรื่องเดิมทำไม พูดมาแบบนี้รักษ์ก็ตอบเหมือนเดิมอยู่ดี วันนี้เลยพูดตอบไปแบบนี้เสียเลย
“จะนั่งรอทำไมให้ยุงมันกัด” อชิระยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ โดนยุงกัดที่ขาอย่างเดียวไม่ว่า ดันมากัดเข้าที่แก้มอีก ขึ้นเป็นตุ่มแดงเลยนั่น เดี๋ยวกลับไปค่อยเอายาทาให้
“เออน่า รอได้ก็รอได้ดิ กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำ อยู่ที่นี่ยังมีพวกพี่อยู่” คนต้องการรอยืนยัน กลับถึงบ้านก่อนก็ต้องกินข้าวคนเดียวเพราะคุณลุงคุณป้ากว่าจะกลับก็หลังสองทุ่มไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้รอกลับพร้อมกันดีกว่า
“เออ ๆ พรุ่งนี้เข้าไปนั่งรอในห้องแล้วกัน ไม่ต้องนั่งข้างนอก” สุดท้ายก็ต้องยอมง่ายๆ เหมือนเคย
“ก็แค่นี้ วันนี้พี่ฝ้ายจะทำอะไรให้กินก็ไม่รู้” คนพูด พูดทั้งที่ยังกินซาลาเปาไม่หมดลูก สงสัยจะนั่งรอนานไปหน่อยเลยหิวมาก
“เฮ้ย! มือเลอะหรือเปล่าเนี่ย” แล้วก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นด้านหลังรถ เพราะอีกคนที่ฟังอยู่ทนหมั่นเขี้ยวไม่ไหวยกมือขึ้นจับหัวทุยโยกไปมาเสียหัวสั่นหัวคลอน ส่วนคนถูกทำแบบนั้นได้แต่ร้องโวยวาย แล้วก็ต้องนิ่งเงียบเพราะเจอคนโตกว่าล็อคคอให้อยู่นิ่งๆ จะดิ้นต่อก็ไม่ได้เดี๋ยวซาลาเปาจะติดคอตาย สุดท้ายได้แต่ขึงตามองแบบคาดโทษไว้ แล้วยกซาลาเปาในมือขึ้นกินต่อ โดนล็อคคอไว้หลวมๆ แค่นี้กินต่อได้สบาย แถมยังใจดีบิซาลาเปายกมือขึ้นไปทางด้านหลังป้อนคนที่ล็อคคอตัวเองไว้ได้อีก ถ้าคนป้อนหันกลับไปมองสักนิด คงได้เห็นว่าคนที่ก้มลงมารับซาลาเปาหมูแดงชิ้นน้อยเข้าปากมีสีหน้าอิ่มสุขขนาดไหน
-----------------------------------------------------------