ตอนที่ 60 ช่วยใคร (1/2)
“พี่กร”
“เล่นอะไรวะเนี่ย” ผมโวยวายเมื่อคนที่พุ่งมาจากทางด้านหลังไม่ได้เรียกอย่างเดียว แต่พุ่งตัวเข้ามาเกาะผมจากทางด้านหลังเต็มแรงแถมยังทิ้งน้ำหนักมารั้งบ่าผมไว้จนผมแทบหงายหลัง ดีว่าตัวคนทำไม่ได้ใหญ่มาก ผมเลยแค่เซถอยหลังไปนิดหน่อย ไม่ลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ให้เป็นจุดสนใจของชาวบ้านไปมากกว่านี้ เพราะแค่ลำพังเสียงเรียกชื่อผมที่ไม่เบานักกลางสนามบินก็ทำเอาหลายคนหันมามอง ถ้าล้มไปนี่ไม่อยากจะคิด ส่วนไอ้ตัวแสบที่กล้าทำกับผมแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียว “ไอ้ตัวเปี๊ยก”
“แค่นี้บ่น” ไอ้เปี๊ยกมันว่า
“อายชาวบ้านเขาบ้างเหอะ” ผมพูดตอบ นอกจากมันจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำพูดผม มันยังมีหน้ามายักคิ้วลิ่วตากวนประสาทผมอีก
ผมไม่น่าหลงเชื่อคำพูดอ้อน ๆ ของมันจนยอมรับมันมาอยู่ที่บ้านช่วงวันหยุดเลยให้ตาย แล้วที่ว่ามันขอมาอยู่ด้วยอย่าคิดว่ามันคิดถึงพวกผมอะไรนักหนาเพราะจุดประสงค์หลักมันคงอยากมาเอาของฝากที่ผมซื้อมาฝากจากญี่ปุ่นด้วยตัวเองมากกว่าเพราะตอนแรกจะส่งให้ทางไปรษณีย์แต่มันบอกจะลงมาเอาเอง และมันคงถือโอกาสลงมาเที่ยวด้วยเพราะเมื่อวานได้ยินเสียงมันลอดออกมาจากโทรศัพท์ตอนคุยกับกันต์ แว่ว ๆ เหมือนจะพูดถึงหัวหิน กันต์เองก็งุบงิบคุยกับมันสองคน หัดมีความลับนะ ส่วนผมนอกจากจะเสียตังค์ซื้อของฝากมันแล้ว ยังต้องถ่อมารับมันถึงสนามบินอีก แต่จะว่าไปผมก็ดีใจอยู่นิด ๆ นะที่ไอ้เปี๊ยกมา
นึกถึงตอนที่มันเรียนพิเศษจบคอร์สแล้วกลับไปอยู่บ้าน ตอนนั้นผมก็รู้สึกโหวง ๆ อยู่เหมือนกัน คงเพราะเจอหน้ากันทุกวันเกือบสองเดือน แถมผมยังไปรับไปส่งมันไปเรียนอยู่บ่อย ๆ จากที่แรก ๆ ไม่ค่อยคุยอะไรกันมาก อีกทั้งมันยังชอบหาเรื่องมาป่วนผม แต่พอมันมีเรื่องชินเข้ามาผมกับมันเลยได้คุยกันมากขึ้น จากนั้นก็คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้มากขึ้นไปด้วย เลยรู้ว่าถึงมันจะชอบกวนประสาทไปบ้าง พูดมากไปบ้างแต่ลึก ๆ แล้วมันเป็นเด็กที่จิตใจดีคนหนึ่ง
ส่วนกันต์ชอบเรียกผมกับไอ้เปี๊ยกว่าคู่หู แต่ไม่รู้เป็นคู่หูประสาอะไร พอมีอะไรที่ต้องเลือกฝั่งมันก็เข้าข้างกันต์ตลอด แถมยังชอบคุยเออออรู้เรื่องกันอยู่สองคน ส่วนผมกับมันหัวชนกันได้ก็ตอนท้องหิวนี่แหละ พอพากันไปหาอะไรกินจนท้องอิ่มก็ทางใครทางมัน สามัคคีกันมากเฉพาะเรื่องกิน แล้วก็เวลามันมีปัญหา มีเรื่องเมื่อไหร่ล่ะเป็นวิ่งแจ้นมาเชียว ไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจดีไหมแบบนี้
“คนอุตส่าห์มาหาเพราะคิดถึง มาถึงก็บ่นเอา ๆ ขี้บ่นขึ้นนะพี่เนี่ย”
“น่าเชื่อตาย น้ำหน้าอย่างนี้” ผมย้อน ดูจากหน้ามันทะเล้นเสียขนาดนี้ใครมันจะไปเชื่อลง
“อะไรคนอุตส่าห์บอกว่าคิดถึงยังมาหาว่าโกหก” ไอ้เปี๊ยกที่มาพร้อมเป้สะพายหลังหนึ่งใบเดินอยู่ข้างผมแล้วพูดตอบกลับมาไม่ยอมหยุด
“ขอบใจมากที่ อุตส่าห์ คิดถึง” ผมพูดเน้นเสียงตรงคำว่าอุตส่าห์ให้มันได้ยินชัด ๆ เน้น ๆ
“คิดถึงอย่างเดียวก็ได้คร้าบพี่ ว่าแต่พี่กรซื้ออะไรมาฝากบ้างอ่ะ”
“ทำเป็นพูดดีนะไอ้เปี๊ยก คิดถึงของฝากก็บอ” ผมพูดแล้วยกมือขึ้นผลักหัวไอ้เปี๊ยกแบบไม่แรงนัก พอให้หายหมั่นไส้
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่กรนี่ก็ เห็นรักเป็นคนยังไง”
“ก็เป็นแบบนี้นี่แหละ” ผมว่าแล้วผลักหัวมันไปอีกที จนมันชักจะหวาด ๆ เลยขยับตัวห่างผมไปอีกก้าว
“แล้วเมื่อไหร่พี่กรจะเลิกเรียกรักว่าไอ้เปี๊ยกสักที เรียกไอ้เปี๊ยก ๆ อยู่ได้ โคตรเชยเลย” ไอ้เปี๊ยกเดินไปบ่นไป จะว่าไปผมก็เรียกรักว่าไอ้เปี๊ยกจนติดปากไปแล้ว แทบไม่เคยเรียกชื่อมันจริง ๆ เลย
“ตัวเท่านี้จะให้เรียกว่าอะไร เรียกไอ้เปี๊ยกก็ดีแค่ไหน พี่ไม่เรียกไอ้จ้อยก็บุญแล้ว” ผมตอบกลับก็ดูหน้าดูตัวมัน ถ้ากันต์ไม่บอกก่อนที่จะเจอมัน ผมคงนึกว่ามันเป็นเด็กมอต้น ก็ดูเอาเถอะอยู่มอห้าแต่ตัวกับหน้าเท่าเด็กมอสาม
“ไม่พูดกับพี่เรื่องนี้แล้ว พูดไม่รู้เรื่อง” มันว่า ผมเลยจะยกมือขึ้นผลักมันอีกที แต่คราวนี้มันไหวตัวหลบทัน
“พี่กรนี่ชอบทำอะไรรุนแรง รักสมองเสื่อมใครจะรับผิดชอบ” เสียงไอ้เปี๊ยกบ่นอยู่ข้าง ๆ
“พูดมากว่ะ แล้วนี่กินอะไรมายัง” ผมบ่นมัน ก่อนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว ที่ถามเพราะเห็นว่านี่ก็บ่ายโมงนิด ๆ แล้ว ไม่แน่ใจว่ามันกินข้าวกลางวันมาก่อนหรือเปล่า
“ยัง แล้วพี่กรกินยัง”
“ยัง ก็ออกมารับตั้งแต่เที่ยงจะให้กินตอนไหน งานการก็ไม่ได้ทำต้องโดดออกมารับเนี่ย” ผมแกล้งบ่น ทั้งที่จริงบ่ายวันนี้ผมไม่ได้ทำงานเพราะนัดให้ช่างเข้ามาประกอบชั้นหนังสือใหม่ในห้องทำงาน แล้วก็ทาสีห้องใหม่ เลยออกมารับมันได้
“จริงป่ะพี่กร ขอโทษ ๆ” ไอ้เปี๊ยกมันหันมาทำหน้าเหรอหราแล้วรีบขอโทษผม
“แต่ไหน ๆ พี่กรก็ไม่ได้ไปทำงานแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“เออ แล้วจะกินอะไร”
“ไปกินเนื้อย่างกันไหม อยากกิน หรืออาหารญี่ปุ่นดี ปลาดิบก็อยากกิน” ไอ้เปี๊ยกบ่นพึมพัมของมันอยู่คนเดียวแถมทำท่าคิดหนัก
“เลือกมาร้านหนึ่งก่อนเร็ว” ผมเร่ง ก็เร่งมันไปอย่างนั้นแหละเพราะจากสนามบินไปที่ตั้งของสองร้านนี้ยังอีกตั้งไกล แล้วสองร้านที่ไอ้เปี๊ยกอยากกินมันก็อยู่ห่างกันแค่ถนนกั้นจอดรถแล้วมันอยากเข้าร้านไหน ก็เลือกเข้าได้ตามสบาย
“พี่จะเร่งทำไมเนี่ย ร้านมันก็อยู่ตรงข้ามกันแค่นั้น”
“ก็เร่งไปงั้น”
“พีนี่กวนว่ะ”
“มีปัญหาหรือไงไอ้จ้อย”
“ไม่มี ๆ แต่จะมีตรงที่พี่เปลี่ยนชื่อให้นี่ล่ะ จะเรียกไอ้เปี๊ยกก็เรียกไปเหอะ ชินแล้ว อย่าเรียกชื่อใหม่เลยขอร้อง”
“อ่ะ พี่เราโทรมา รับแล้วรายงานตัวซะ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นว่าเป็นกันต์เลยส่งต่อให้ไอ้เปี๊ยก เพราะรู้ว่ากันต์คงโทรมาถามว่าเจอกันหรือยัง พอไอ้เปี๊ยกรับโทรศัพท์ผมไปคุยกับกันต์ มันก็รายงานตัวกับกันต์ตามที่ผมบอกให้มันทำจริง ๆ ตั้งแต่เจอผมที่สนามบิน ตอนนี้อยู่ในรถ ผมกำลังพาไปกินเนื้อย่าง และไม่ลืมถามพี่มันว่าจะเอาอะไรไหม หลังจากวางสายมันก็หันมาบอกผมว่า กันต์บอกให้ผมซื้อของเข้าบ้านสำหรับทำกับข้าวเย็นนี้ด้วย
.
.
.
“พี่กันต์พรุ่งนี้ออกกี่โมง”
“สักเจ็ดโมงก็ได้ ออกเข้าหน่อยจะได้ไม่ร้อน”
“รักจะได้ตั้งนาฬิกาปลุก”
“อืม เดี๋ยวพี่ตื่นแล้วจะไปเรียกอีกที”
“จะไปไหนกัน” ผมถามขึ้นมาเพราะไม่รู้ว่าสองคนนี้นัดกันจะไปไหน
“ไปหัวหินไง พี่กันต์ยังไม่ได้บอกพี่กรหรอ” ไอ้เปี๊ยกบอกแล้วถามผมกลับ พร้อมทำหน้างง
“ไม่เห็นบอก” ผมถามกันต์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“บอกไม่บอกก็ต้องไปด้วยกันอยู่ดีไม่ใช่หรือไง” กันต์พูด ที่กันต์พูดได้อย่างนี้เพราะเขามั่นใจอยู่แล้วยังไงผมก็ไม่มีทางปฏิเสธ มีหรอที่เขาไปไหนถ้าผมไปด้วยได้แล้วผมจะไม่ไป มีแต่เขานั่นแหละที่ชอบอิดออดเวลาผมชวน
“ใครบอก พรุ่งนี้กรไม่ว่าง อยากไปก็ไปกันสองคนเลย”
“จะไปไหน ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะไป” กันต์ถาม โดยที่มือที่กำลังจะยื่นไปตักต้มยำถึงกับชะงัก ก่อนดึงมือกลับ
“กันต์จะไปไหนก็ไม่บอกกรก่อนนิ” ผมแกล้งโอดครวญ อย่าคิดว่าจะขึ้นเสียงยอกย้อนเขาเชียว ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ถึงจะต่อปากต่อคำกันก็จริง แต่ผมเสียงอ่อนกว่าตลอด
“กร” กันต์เรียกชื่อผมเสียงเรียบ
“อะไร ไม่ต้องมาทำเสียงอย่างนี้เลย ล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้” ผมพูดแล้วหันไปถลึงตาใส่อีกคนที่แอบขำผมอยู่ เดี๋ยวผมจะตั้งชื่อใหม่ให้มันอีก เอาเป็นภาษาเกาหลีเลย ชื่อวอนโดนทีน
“ก็รู้แล้วยังชอบมาทำแบบนี้อีก” กันต์ว่า
“ไอ้เปี๊ยก ดูพี่ชายแกดิ จะกินหัวพี่อยู่แล้ว ล้อเล่นแค่นี้” ผมหันไปหาพวก ก็มีกันอยู่สามคนตอนนี้ถึงเถียงกันไปเมื่อกี้แต่สุดท้ายผมก็ต้องหันไปหามันอยู่ดี
“พี่กรนั่นแหละกวนประสาท พี่กันต์ก็อยู่เฉย ๆ” แต่ฟังคำตอบจากคนที่กันต์บอกว่าเป็นคู่หูผม มันไม่ได้เข้าข้างผมเลยสักนิด ก็เป็นแบบนี้กันต์จะมาบอกว่าผมกับไอ้เปี๊ยกเป็นคู่หูกันได้ยังไง
“เออแล้วบอกว่าเป็นคู่หูกัน ทีแบบนี้ล่ะเข้าข้างกันเข้าไป พรุ่งนี้ก็ไปกันสองคนแล้วกัน คนขับรถไม่ว่าง”
“พี่กันต์ คนขับรถบ้านพี่นี่เล่นตัวจริง รักว่าหาคนใหม่เหอะ” ฟัง ๆ ไอ้เปี๊ยกมันพูด
“ปากดีแล้วไอ้เปี๊ยก เดี๋ยวจะโดน” ผมพูดแล้วมองหน้าไอ้เปี๊ยกแบบคาดโทษ แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่สะทกสะท้านแถมไหวไหลน้อย ๆ เหมือนไม่ใส่ใจตอบกลับมาอีก
“ตกลงพรุ่งนี้จะไปไหน นัดเพื่อนไว้หรือเปล่า” กันต์ถามขึ้นมา หลังจากฟังผมต่อล้อต่อเถียงกับไอ้เปี๊ยกมันได้สักพัก ถ้ากันต์ไม่แทรกเข้ามาก่อนผมคงเถียงกับเด็กไม่จบเป็นแน่
“เปล่าหรอก พูดไปอย่างนั้นแหละ ก็เล่นจะไปไหนแล้วอุบอิบกันอยู่สองคนเองนิ”
“จะบอกอยู่นี่ไงเล่า ก็คิดแล้วว่าว่าง ไม่ได้บอกก่อนนิว่าจะไปไหน เห็นปกติก็บอกก่อนทุกที” กันต์พูดก็จริงอย่างที่เขาว่าเวลาผมจะไปไหนก็บอกล่วงหน้าทุกที เขาเองก็เหมือนกัน ยกเว้นไปกันสองคนอยากชวนกันไปไหนก็ไป
“แล้วจะไปด้วยกันไหม หรือไม่อยากไป” กันต์ถามต่อ
“ยังไม่ได้พูดว่าจะไม่ไปสักคำ”
“ไม่รู้นิ พูดมาอย่างนั้นก็นึกว่าไม่อยากไป”
“โอเคๆ ไม่พูดแล้ว” ผมรีบปิดประเด็น แล้วตักกุ้งจากต้มยำมาวางในจานข้าวของกันต์
“ผมยังนั่งอยู่นะพี่ ไม่ได้อยู่กันสองคน ขยันสร้างโลกส่วนตัวกันจริง” ไอ้เปี๊ยกพูดขึ้นมาลอย ๆ แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตักข้าวในจานกินต่อทำเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ไม่ต้องพูดมาก กิน ๆ เข้าไป” ผมพูด แล้วตักผัดผักไปใส่จานไอ้เปี๊ยก มันก็ทำแก้มพองล้มแต่ก็ตักกินโดยดีแล้วไม่พูดอะไรอีก ส่วนกันต์ก็แอบหัวเราะมันเบา ๆ
---------------------------------------------------
“เรื่องพี่กาวน์กับป่านตกลงว่าเรียบร้อยยัง” ผมถามกันต์ระหว่างขับรถไปหัวหิน เมื่อเห็นว่ารักที่นั่งอยู่เบาะหลังหลับคอพับคออ่อนไปเรียบร้อย หลังจากชวนผมกับกันต์กินขนมจนอิ่มมาได้สักพัก
เมื่อเช้ากันต์ไม่ได้ทำกับข้าว เลยคุยกันว่าเดี๋ยวแวะเติมน้ำมันแล้วค่อยลงไปหาอะไรกินรองท้อง ไอ้เปี๊ยกไม่รู้หิวหรือยังไงขนซื้อของกินมาซะเพียบ ทั้งไส้กรอก ขนมจีบ นม ขนมห่อใหญ่ ๆ อีกสามสี่ห่อ ส่วนผมเมื่อคืนนอนดึกไปนิดเลยโด๊ปกาแฟแก้วใหญ่ ระหว่างขับรถไม่ได้ง่วงแต่มันเหมือนยังไม่เต็มร้อย ได้กาแฟเย็นมาก็ดีขึ้น จะให้กันต์ขับแทนก็ไม่ได้เพราะรายนั้นน่าจะเพลียกว่าผม ไม่ได้ตั้งใจจะหักโหมเพราะรู้ว่าอีกวันต้องขับรถ แต่ก็อย่างว่าตอนที่กินข้าวเย็นเมื่อวานกันต์น่ามันเขี้ยวน้อยอยู่เมื่อไหร่ ผมเลยจับฟัดซะให้หายมันเขี้ยว ตื่นมาเมื่อเช้าเลยถูกหมอนเหวี่ยงใส่เข้าไปโครมเบ่อเร่อ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าคนข้าง ๆ ส่งสายตาอาฆาตมาให้ผมเป็นพัก ๆ
“น้องอยู่” กันต์พูด พร้อมตบลงมาที่ตักผมเบา ๆ เป็นการเตือน ผมเลยมองกระจกหลังเพื่อดูไอ้เปี๊ยกที่นั่งอยู่ด้านหลังอีกที
“หลับไปสักพักแล้ว ไม่ตื่นง่าย ๆ หรอก”
“อืม ไม่อยากให้รักได้ยิน”
“มันไม่รู้เรื่องหรอกน่า แล้วถ้ามันจะรู้เรื่องนะ มันก็คงไม่เป็นเกย์เพราะได้ยินที่เราพูดกันหรอก” ผมว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วใครว่ากันต์เป็นเกย์ ไม่ได้เป็นสักหน่อย จะเป็นก็เป็นไปคนเดียว”
“อ้าว นี่เราไม่ได้เป็นหรอ” ผมถามแต่ก็บอกไม่ถูกว่าถามด้วยอารมณ์แบบไหน มันเหมือนจะขำก็ไม่เชิงจะงงก็ไม่ใช่ มันผสม ๆ กันบวกกับความอยากล้อกันต์เล่นด้วยเลยถามแบบนั้น เพราะจะว่าไปเราก็ไม่เคยสนใจเท่าไหร่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นอะไร พอกันต์พูดขึ้นมาเลยอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนี้ เราคบกันมาขนาดนี้แต่ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันเลย แต่ส่วนตัวผมเองผมว่าคำเรียกพวกนั้นมันก็แค่คำที่คนสมมุติขึ้นมาเพื่อต้องการระบุว่าคนนี้คนนั้นเป็นแบบนั้นแบบนี้เท่านั้นเอง ทั้งที่จริงแล้วคำสั้น ๆ แค่นั้น ไม่มีทางที่จะอธิบายสิ่งที่คน ๆ หนึ่งเป็นได้ทั้งหมด
“เคยมองผู้ชายคนอื่น แบบอยากได้เป็นแฟนหรือเปล่า”
“เปล่า” ผมตอบ ผมไม่เคยมองเพศเดียวกันด้วยสายตาและความรู้สึกแบบเดียวกับที่มองกันต์แน ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงมีบ้างนิดหน่อย เจอคนสวยก็มองบ้างเป็นธรรมดา แต่พอผ่านตาไปแล้วก็จบแค่นั้น
“เคยคิดจะมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า” อันนี้ตอบได้แบบไม่ต้องคิด
“เปล่า”
“กันต์ก็ไม่เคยคิด แค่คิดก็ เออช่างมันเหอะ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เป็นเกย์ แต่ถ้าใครจะบอกว่าเป็นก็เฉย ๆ มันไม่ได้มีผลอะไร แต่ถ้ามีใครถามกันต์กันต์คงตอบว่าไม่ได้เป็น” กันต์พูด พร้อมสรุป
“ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้ง ส่วนรัก กรว่าไม่มีอะไรหรอก กันต์คิดมากไปหรือเปล่า ต่อให้มันรู้เรื่องพี่กาวน์อีกเรื่องก็คงไม่มีผลที่จะทำให้มันเป็นตามหรอกนะ นี่มันไม่ใช่โรคติดต่อนะกันต์”
“ก็ไม่ได้คิดแบบนั้น กันต์แค่ไม่อยากให้มันรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาเกินไป ถึงกันต์จะมีความสุขกับทุกวันนี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ากันต์อยากจะให้ใครมาเป็นแบบเรา เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าพ่อแม่เขาจะเป็นแบบพ่อแม่เราไหม มันคงไม่ราบรื่นเหมือนเราไปซะหมดหรอก” กันต์อธิบาย ซึ่งผมก็เข้าใจที่กันต์พูดมา เพราะกันต์ก็เปรย ๆ เรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว
ผมไม่รู้ว่ากันต์คิดมากไปหรือเปล่าเรื่องรักกับชิน กันต์บอกผมว่าเขารู้สึกว่าสองคนนี้มันมีอะไรแปลก ๆ แต่ผมก็พยายามบอกไม่ให้เขาคิดมาก สองคนนี้เคยโตมาด้วยกัน พอวันหนึ่งมีเรื่องเข้าใจผิดกันขึ้นมา ก็เป็นธรรมดาที่อีกคนจะพยายามเข้ามาอธิบาย ถึงผมจะไม่รู้ว่าเรื่องมันหนักหนาสาหัสขนาดไหน แต่พอผมเห็นสิ่งที่ชินทำผมก็ต้องยอมรับในความพยายามของมันอยู่เหมือนกัน แต่จะให้เข้าไปช่วยไหมก็คงไม่ คงทำแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ มากกว่า
ส่วนตอนนี้สิ่งที่ผมใช้อ้างว่ารักกับชินมันคงไม่มีอะไรมากกว่าคนที่โตมาด้วยกัน คงจะใช้ไม่ได้แล้ว หรือจริง ๆ มันอาจจะใช้ไม่ได้มาตั้งแต่แรก ในเมื่อพี่ชายกันต์กับน้องชายสุดรักดันมาได้กันเองแถมบอกให้คนอื่นรับรู้แล้วอีก จนดูท่าจะกลายเป็นหนังเรื่องยาว ผมเลยไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรมาบอกกันต์อีก
พอผมบอกว่าคนเราใช่ว่ามันจะเป็นกันแบบนี้กันง่าย ๆ ก็ดันถูกกันต์ย้อนกลับมาทันควันว่า แล้วเรื่องของเขากับผมมันยากนักนี่ ผมก็ตอบไปว่า คู่เรานะมันเป็นพรหมลิขิต ก็ถูกตีแสกหน้ากลับมาอีกว่า เพ้อเจ้อ แล้วถ้าไม่ให้ผมตอบแบบนี้จะให้ตอบแบบไหน เกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยมองผู้ชาย พอเจอเขาไม่เท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีรักไปแล้ว ทุกวันนี้ผมยังงง ๆ ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกดีกับกันต์ แล้วก็รักเขาได้มากขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยจริง ๆ เพราะอย่างนี้ ผมเลยจนปัญญาที่อธิบายอะไรอีก
“แล้วตกลงเรื่องไปถึงไหน พักนี้ไอ้ป่านไม่ได้โทรมาเลยไม่รู้ว่าเป็นไง”
“ก็ดีมั้ง วันก่อนแม่โทรมาเล่าว่าน้าพิมโทรมา แต่ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียด คิดว่าไม่น่ามีอะไร”
“ถ้าเป็นอย่างที่กันต์วคิดก็ดี”
“ว่าไง” กันต์รับโทรศัพท์ พอกันต์คุยโทรศัพท์ผมเลยขับรถต่อ
.
.
.
“กร ชินอยู่หัวหิน จะมาเจอเรา เอาไง” กันต์ใช้มือปิดไมค์ที่โทรศัพท์แล้วหันมาเรียกผม หลังจากหันไปดูรักที่หลับอยู่เบาะหลังแล้ว
“อื้อ ก็มาสิ”
“รัก”
“เออ ลืม” ผมบอก
“แต่กรว่าไม่มีอะไรหรอก มาเหอะ” พอผมตอบแบบนี้กันต์ก็คุยโทรศัพท์นัดแนะร้านอาหารที่จะไปกินข้าวกลางวันกัน พอนัดกันรู้เรื่องก็วาง
“มันมาเที่ยวเหมือนกันหรอ” ผมถาม กับชินผมเองก็เคยเจอแล้ว กันต์ชวนมากินข้าวที่บ้านสองสามครั้ง เท่าที่ดูมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร นิสัยอย่างชินดูจะเป็นแนวที่คนรักคนชอบได้ง่าย ๆ ด้วยซ้ำ แต่ตอนเจอกันครั้งแรกชินดูจะตกใจอยู่เหมือนกันตอนเห็นหน้าผม เพราะมันจำได้ว่าผมเป็นคนที่ไปรับรักมันบ่อย ๆ จนมาเจอกันครั้งต่อมามันก็เริ่มมาเล่าให้ผมฟังว่าเรื่องของมันกับรักเป็นไงมาไง ซึ่งก็เหมือนกับที่กันต์มาเล่า อยู่ดี ๆ รักก็ไม่พูดกับมัน หายเงียบไปเฉย ๆ แถมแสดงท่าทางแปลก ๆ ตอนเจอหน้าชิน ผมฟังแล้วก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรมันได้ เพราะที่มันเล่ามาไม่มีอะไรที่จะระบุสาเหตุได้เลย มันก็เหลือแค่ทางเดียวคือรอให้รักเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง
“จะดีแน่หรอให้มาเจอกัน”
“เราก็อยู่ ก็ดู ๆ ไป ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่ชินว่าจริง คือมันไม่รู้อะไรเลย ซึ่งเท่าที่ดูกรไม่คิดว่ามันโกหก มันก็น่าจะมีโอกาสได้พูดบ้าง ส่วนรักถ้าชินไม่ได้เป็นอย่างที่มันเข้าใจ มันก็น่าจะดีไม่ใช่หรอถ้ามันจะกลับมาคุยกันได้ แต่ถ้าคุยแล้วมันต่อกันไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน ดีกว่าจะจบกันไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย”
“ก็ลองดู ว่าแต่จะอยู่ข้างใครกันแน่ ทำไปทำมาเหมือนจะเข้าข้างชิน”
“ไม่ได้เข้าข้างใคร ก็ดูสถานการณ์แล้ว มันก็ไม่น่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้”
“เอาไงก็เอา เดี๋ยวก็รู้”
---------------------------------------------