บทที่ ๔๗
“ยังคงคิดถึงเขาอยู่ใช่ไหม” ภิกษุหนุ่มถามพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นความงุนงงของหมู “น้ำหยดน่ะ”
“แล้วพี่ ... เอ่อ ... หลวงพี่ล่ะ ไม่คิดถึงเขาเหรอ” หมูย้อนถาม
“คิดสิ แม้แต่ติ๊กก็เหมือนกัน” พูดแล้วหันไปทางติ๊ก ซึ่งพยักหน้ารับ “เพียงแต่ความคิดถึงของพวกเรานั้นต่างกัน”
“ต่างกัน” หมูทวนคำ แล้วแค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ “หมายความว่ายังไง หมายความว่ามีแต่ผมที่ยังรักน้ำหยดอยู่ล่ะสิ ถึงยังมีความสุขกันได้แบบนี้” เสียงของหมูสั่นเครือ ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่หรอก” ภิกษุหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน “พวกเราทั้งสามคน ยังคงรักน้ำหยดเหมือนเดิม เพียงแต่คิดถึงเขาในรูปแบบที่ต่างกันเท่านั้น”
หมูนิ่งเงียบไป เหมือนจะรอคำอธิบาย
“ตัวเราน่ะคงคิดว่าเป็นต้นเหตุให้เขาจากไป คงคิดอยากให้เขากลับมามีชีวิตเหมือนเดิมล่ะสิ”
“ทำไม…” หมูส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมถึงรู้น่ะเหรอ เพราะตอนนั้นพี่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันน่ะสิ คงรู้ใช่มั๊ยว่าตอนนั้น พี่ทั้งเสียใจทั้งโกรธเราขนาดไหน”
หมูก้มหน้านิ่ง เขายังจำได้ดี ว่าตอนนั้นคนตรงหน้าถึงกับลุกขึ้นมาชกเขา วันที่เขาไปในงานสวดศพของน้ำหยด แล้วยังนั่งร้องไห้อย่างไม่อายต่อสายตาใครในงานศพ ... เหมือนเขา
“รู้ไหม ไม่ใช่หมูคนเดียวหรอกนะที่เป็นทุกข์ พี่เองก็ทุกข์จนทำอะไรไม่ได้ ไม่อยากเรียน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น กระทั่งติ๊กเองก็แทบจะเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เพราะความเสียใจ”
หมูเงยหน้าขึ้นมองไปทางติ๊ก ก็มองเห็นรอยยิ้มเศร้าๆบนใบหน้าของชายหนุ่ม
“ตอนนั้นกระทั่งคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้ำหยด พี่ยังลืม” ภิกษุหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วหลวงปู่ก็แนะนำว่า ให้พี่ลองบวชดู เผื่อจะช่วยให้ดีขึ้น พ่อแม่พี่ก็เห็นด้วย พี่เลยบวชมาตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษาปีที่แล้ว พอได้บวช ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา ได้การชี้แนะสั่งสอนจากหลวงปู่ ทำให้พี่เข้าใจอะไรมากขึ้น ทำให้รู้ว่า การที่เรา ได้แต่คิดถึงเขา เอาแต่เศร้าโศก อยากให้เขากลับมา จนต้องเสียการเรียน เสียอะไรไปอีกหลายๆอย่าง สิ่งเหล่านั้นมันกลายเป็นบ่วง ที่ผูกมัดดวงวิญญาณเขาไว้ ทำให้ไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ”
“หมายความว่ายังไง” หมูขมวดคิ้วแนบแน่น
“หมายความว่าน้ำหยดยังคงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ วิญญาณของเขายังมี ‘ห่วง’ อยู่ ทำให้ไม่อาจจากไปสู่สุขคติ เพราะความต้องการและความคิดถึงของคนหลายๆคน เป็นเหมือน ‘บ่วง’ ผูกมัดเขาไว้”
หมูนิ่งตลึงในสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากและปลายจมูก
“บ่วงเหล่านี้เขาไม่สามารถปลดได้ด้วยตัวเอง” ภิกษุหนุ่มพูดต่อด้วยใบหน้านิ่งสงบ “เราเองต่างหากที่ต้องเป็นคนปลดบ่วงของเราที่ผูกมัดเขาไว้ บ่วงของติ๊กกับของพี่ถูกปลดออกแล้ว บ่วงของหมูล่ะ”
“ผม ... ผม” เสียงของหมูสั่นเครือ หยดน้ำเริ่มก่อตัวอยู่ภายในเบ้าตาอีกครั้ง “นี่ผมทำร้ายแม้กระทั่งวิญญาณของน้ำ น้ำคงต้องเกลียดผม เพราะผมทำร้ายเค้าซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“ไม่หรอก หรือว่าหมูลืมไปแล้ว ว่าคืนนั้นน้ำหยดเขามาหาและพูดอะไรกับเราทั้งสองคนไว้” ภิกษุหนุ่มหันไปทางติ๊ก ส่งสายตาเหมือนจะบอกให้พูดอะไรบ้าง
“หมู”ติ๊กเรียก “เราว่าจริงๆแล้ว น้ำหยดก็รักนายนะ แต่อาจจะไม่รู้ตัว”
หมูยกมือขึ้นปาดน้ำตา หันไปมองติ๊กด้วยสายตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“หัวใจคนเรานะหมู บางทีอาจจะรักคนได้มากกว่า ๑ คนในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นน้ำก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกคนที่จะต้องอยู่ด้วย แล้วน้ำก็เลือกแล้ว” ติ๊กเหลือบสายตามองไปยังภิกษุหนุ่ม ก่อนจะมองกลับมาที่หมู “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความรักของน้ำที่มีต่อนายจะหมดไปหรอกนะ น้ำยังรักและเป็นห่วงนายมาก แล้วยังรู้สึกผิดต่อนายอยู่ตลอดเวลา มีช่วงหลังๆนั่นแหละ ที่ท่าทางของน้ำเหมือนจะเปลี่ยนไป ... เอ่อ ... นิดหน่อย”
ใบหน้าของหมูมีแววปวดร้าวปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง ... เขารู้ว่าเพราะอะไร ... แต่น่าเสียดายที่เขารู้ตัวช้าไป
“แต่เรายืนยันนะ ว่าน้ำยังเป็นห่วงนาย และยังอยู่ข้างๆนายตลอดเวลาที่ผ่านมา”
“หมายความว่ายังไง” สีหน้าของหมูบ่งบอกว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ติ๊กพูด
ใบหน้าของติ๊กบ่งบอกถึงความลังเลที่จะพูด แต่เมื่อเห็นภิกษุหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ จึงตัดสินใจพูดออกไป
“น้ำยังอยู่ในห้องนั้น ยังอยู่ข้างๆนายมาตลอด”
“ไม่จริง” หมูตอบทันที “ทำไมน้ำต้องมาวนเวียนอยู่ข้างเรา ถ้าน้ำยังอยู่ ทำไมไม่มาอยู่กับ พี่ ... กับหลวงพี่”
“เพราะ ‘บ่วง’ ของพี่ถูกปลดแล้ว สำหรับพี่ น้ำไม่ต้องห่วงอะไรอีก” ภิกษุหนุ่มยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนไม่เชื่อของหมู “คืนนั้นน้ำบอกให้พี่อยู่อย่างเข้มแข็ง อย่าทำอะไรโง่ๆเหมือนที่เคยทำ ตอนนั้นพี่รับปาก แต่ทำไม่ได้” ภิกษุหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ หยิบหนังสือข้างตัวขึ้นมา แสดงด้านปกหนังสือให้หมูดู “แต่ตอนนี้ พี่คิดได้แล้ว นี่ก็กำลังอ่านหนังสืออยู่ หมดพรรษานี้ คงจะลาสึกออกไปทำหน้าที่เสียที ร่ำเรียนหนังสือให้จบ ดูแลพ่อแม่ ต่อไปพี่อาจจะได้พบคนดีๆสักคน อยู่กับคนๆนั้น ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพื่อเขาจะได้ไม่ห่วงเราอีก”
ภิกษุหนุ่มวางหนังสือในมือลง มองดูหมูที่ก้มหน้านิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง
“แล้วหมูล่ะ จะโศกเศร้า คิดถึงเขา เรียกหาเขาต่อไป ทำตัวเป็น ‘บ่วง’ ผูกมัดเขาไว้ หรือจะใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ตามความต้องการครั้งสุดท้ายของน้ำหยด”
“แต่ผมคงลืมน้ำหยดไม่ได้” เสียงของหมูสั่นเครือ
“ไม่มีใครลืมน้ำหยดหรอก เขาเหมือนหยดน้ำที่นำความสดชื่นมาให้คนรอบข้าง โดยเฉพาะเราทั้งสามคน คงไม่มีใครสามารถลืมเขาไปได้ตราบชั่วชีวิต แต่ทำไมเราไม่ทำให้ความคิดถึงนั้น กลายมาเป็นหยดน้ำ เป็นน้ำที่หยดให้หัวใจเราชุ่มชื้นไปด้วยความสุขเมื่อยามเราคิดถึงเขา จะไม่ดีกว่าหรือ”