ขอบคุณครับที่ชี้ที่ผิดและความเห็นนะครับ
ตกลง คุณหญิงฟาติมาเป็นแม่เจตริน ศัตรูของหมอชาลีครับ พิมพ์ไปก็เบลอไปหน่อย
บทนี้โทษทีนะครับ มาช้าไปหน่อย พอดีกำลังทำใจอยู่ครับที่พิมพ์บทที่ 14 ไปจนเสร็จ (บทนี้พิมพ์สดๆ ไม่ได้พิมพ์จากลายมืออันสวยงามของอีตาคฑาวุธที่เขียนไว้ในสมุด) แต่ก็ไม่ได้เสียบอแด๊ปเตอร์โน๊ตบุ๊ค (ทั้งที่กัดฟันเสียเงินซื้อไปซะแพง) เครื่องมันบอกว่าไฟเหลือ 7 % ผมเป็นคนชอบความตื่นเต้นเลยพิมพ์ไปลุ้นไปว่าจะทันหรือเปล่า (เพราะขี้เกียจเดินไปค้นหาอแดปเตอร์มาเสียบไฟด้วยล่ะ แบบว่าพักหลังขี้เกียจเสียบ) ปรากฎว่า เครื่องมันโกหก มันบอกว่าเหลือไฟ 7% แล้วมันก็ดับไปเลย และไฟล์นั้นก็หายไปหมดเลย (นึกว่าจะมีแต่มนุษย์ที่ชอบโกหกกัน
แม้แต่คอม ก็ไม่เว้น)
บ่นมาซะนาน อ่านต่อบทที่ 14 กันนะครับ (นอกจากนั้น ที่มาโพสช้าก็เพราะว่า แย่งกับหลานใช้เน็ตไม่ค่อยได้ครับ)
ผมนี่เป็นคนที่น่าสงสารอะไรเช่นนี้ ใครได้เป็นแฟนชีวิตก็คงต้องวุ่นวายไม่สงบสุขแน่ๆ เลย
เพลิงรัก บทที่ 14
กัณต์นั่งเบื่ออยู่ที่โต๊ะบนระเบียงกว้างของร้านเครื่องดื่มในสนามกอล์ฟชานเมือง ตามองไปยังหม่อมหลวงชายชลที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา วันนี้เขามาออกรอบตีกอล์ฟกับชายชลและกลุ่มเพื่อนๆ ไฮโซ แต่หนุ่มสาวไฮโซกลุ่มนี้ไม่ได้ตีกอล์ฟอย่างจริงจัง กลับเอาแต่จับกลุ่มคุยเล่นกันสนุก เขาอยากจะปลีกตัวกลับ แต่จุดประสงค์ของเขาคือหม่อมราชวงศ์รังสิมันต์ซึ่งชายชลบอกว่ากำลังจะเดินทางมาถึง
“เบื่อหรือครับหมวด" ชายชลถาม "ร้อนจริงๆ แต่ชายยังรู้สึก fresh เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะชายกำลังมีความสุข Oh What a wonderful world" ชายชลยิ้มกว้างตาหยี ท่าทางมีความสุขอย่างที่พูด
กัณต์ยิ้มตอบเล็กน้อยแล้วยกเครื่องดื่มขึ้นมา แต่ชายชลทำตาโตแล้วอุทานว่า "Oh my gosh หมวดกัณต์ ดื่มอะไรแรงๆ ตั้งแต่ตอนบ่ายเลยหรือครับ เดี๋ยวก็ on fire กันพอดี อย่าเพิ่งน๊อคก่อนเจอท่านพ่อนะครับ หมวดต้องช่วยชายเอาชนะท่านพ่อให้ได้ ชายตีกอล์ฟไม่เก่ง แต่เล่นไพ่เก่ง ชายไม่ถนัดเอาท์ดอร์ ถนัดแต่อินเดอร์ ถ้าอะไรที่เป็นกีฬาอินดอร์ ชายสู้ตาย I'm an indoor person”
เขาออกมาเที่ยวกับชายชลถึงสามครั้งแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ และทุกครั้งเขาไม่ค่อยได้ข้อมูลมากนักเกี่ยวกับเบาะแสเรื่องเพชรที่หายไปจากตู้เซฟของเจ้าหน้าที่กงศุลอาวุโสของสถานฑูตที่เสียชีวิต
“แล้ว weekend หน้า ท่านพ่อยังชวนชายกับเพื่อนๆ ไปภูเก็ต ท่านพ่อจะอวดเรือใหม่ จะให้ชายหัดขับเรือด้วย ชาย nervous มาก เพราะอะไรรู้ไหมครับ"
“เรือยอช์ทหรือครับ"
“Uh huh” ชายชลพยักหน้าเร็วๆ หลายครั้ง ทำตาโตราวกับตื่นเต้นนักหนา "แต่ว่าชายมี secret จะบอกหมวดกัณต์คนแรกและคนเดียว อยากรู้ secret ชายไหมครับ เอียงหูมาสิ"
กัณต์นั่งนิ่ง พยายามบอกตัวเองว่าต้องรักษามาดเดิมเอาไว้ให้ดี แต่ครั้นจะให้เขาเอียงหน้าเข้าไปใกล้ชายชลให้ฝ่ายนั้นกระซิบความลับทั้งที่แถวนี้นั่งกันอยู่แค่สองคนเขาก็ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้
“ชายว่ายน้ำไม่เป็น" ชายชลพูดเสียงเบาเมื่อเห็นว่ากัณต์ไม่เอียงหูมาฟังตัวเองกระซิบ "ถ้าเรือล่มชายจะทำยังไงก็ไม่รู้ big problem เลยล่ะ"
“เรือยอช์ทคงไม่ล่มง่ายๆ หรอกครับ ไม่ใช่เรือแจว" กัณต์แสดงความเห็น มองใบหน้าขาวสะอาดของชายชลด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เพราะฝ่ายนั้นพูดเสร็จก็หัวเราะร่าเริง ขำกับเรื่องความลับที่ตัวเองเล่า
เขายอมรับว่าอยู่กับชายชลแล้วไม่เครียด ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนอารมณ์ดี คุยจ้อได้ตลอดเวลา เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เขากลับเอาแต่นึกถึงชาลี
...ได้ต่อปากต่อคำกับชาลีแล้วชีวิตมีรสชาติ...
“หมวดว่ายน้ำเป็นใช่ไหมครับ โอ้ว ต้องเป็นสิ ใช่ไหมล่ะ เป็นตำรวจนี่ ต้องว่ายน้ำเป็น ไม่งั้นเขาคงไม่ให้มาเป็นตำรวจ แต่ชายไม่ใช่ตำรวจ ไม่ต้องว่ายน้ำเป็นก็ได้" ชายชลยังพูดต่อไม่หยุด "So เพราะยังงี้ ชายถึงต้องมีคนที่ว่ายน้ำเป็นคอยดูแล เวลาเรือยอช์ทล่ม"
เสียงหัวเราะของชายชลดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปร้องเรียกเพื่อนๆ ซึ่งกำลังเดินมาใกล้จะถึงระเบียงหน้าร้านเครื่องดื่มที่กำลังนั่งอยู่ กัณต์หันไปมองสนามกอล์ฟสีเขียวอย่างอดทน ในใจบอกตัวเองเพียงอย่างเดียวว่า เพราะเรื่องงานเท่านั้น เขาถึงยังต้องนั่งอยู่ตรงนี้ และนั่งรอต่อไปจนกว่าจะได้พบกับบิดาของหม่อมหลวงชายชล
ตั้งแต่กลับจากพัทยา กัณต์หายหน้าไปเป็นอาทิตย์ แต่คนที่โผล่มาให้ชาลีเห็นถึงสองครั้งคือเจตริน แม้ไม่ได้มีนัดตรวจ เจตรินก็มาหาถึงโรงพยาบาลเพื่อชวนชาลีออกไปทานอาหารเย็น
ครั้งแรกชาลีปฏิเสธ แต่ครั้งที่สองชาลีตอบตกลง
“คุณหมอหนีกลับกรุงเทพฯ โดยไม่บอกผมซักคำ" เจตรินตัดพ้อเมื่อคุยกับถึงเรื่องเจอกันครั้งแรกที่พัทยา "ผมเดินตามหาทั่วโรงแรม"
“จะบอกได้ยังไงครับ ไม่มีโทรศัพท์ จะให้ผมไปฝากข้อความไว้ที่รีเซฟชั่นหรือไง" ชาลีตอบยิ้มๆ
“โชคดีที่เราได้เจอกันอีก"
ชาลีพยักหน้าแล้วพูดว่า "แต่ก็คงไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้าย"
“แน่นอน" เจตรินยิ้ม "ก็ผมกลายเป็นคนไข้ของหมอแล้วนี่"
“พอหายแล้วก็คงไม่ได้เจอกันอีกสินะครับ" ชาลีเลิกคิ้ว
“เจอสิครับ แต่ก็คงไม่ใช่เจอแบบหมอกับคนไข้" เจตรินเลื่อนจานผลไม้มาให้ชาลีพลางพูดว่า "คุณหมอทานข้าวน้อยจัง แค่สลัดจะอิ่มหรือครับ"
“อิ่มครับ" ชาลีพยักหน้า "ผมเป็นคนทานน้อย"
“แต่ถึงตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเจอกันแบบหมอกับคนไข้อย่างเดียว" เจตรินพูดเสียงเบาลงกว่าเดิม
“งั้นแบบไหนดี" ชาลีเอียงหน้าคิด
...แบบศัตรู...
...แฟนเก่า อดีตคนรัก...
...คนรักที่เคยเกือบทำลายชีวิตเขา...
...สิบเอ็ดปีผ่านไป เจตรินจำเขาไม่ได้ แต่ก็แน่ล่ะ จะจำได้ยังไง ชาลีตอนเป็นนักศึกษาปีหนึ่งกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนที่ไม่ได้ใส่ใจเขาอย่างเจตรินจำได้ว่าเป็นคนเดียวกันก็เรียกว่าอัศจรรย์ล่ะ แม้แต่เพื่อนที่เรียนปีหนึ่งมาด้วยกันหลายคนยังจำเขาไม่ได้...
...แต่อีกหน่อย เจตรินจะจำเขาได้จนวันตาย...
ชาลีเดินเข้ามาในบ้าน ได้ยินเสียงดังเอะอะจากห้องนั่งเล่นจึงเดินเข้าไปดู นาวินนั่งอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ ตาจ้องหน้าจอเขม็ง มือสองข้างกดปุ่มเล่นเกมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“กินข้าวหรือยัง" ชาลีถามทั้งที่รู้อยู่ว่าจะไม่ได้คำตอบ จากนั้นเดินไปที่ห้องครัวแล้วเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารไปใส่เครื่องล้างจาน ก่อนจะเปิดดูตู้เย็นแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะผลไม้และของว่างที่ซื้อมาเก็บไว้นั้นหายไปจนเกลี้ยง
“แบบนี้หรือที่เขาเรียกว่าเด็กกำลังโต กำลังกินกำลังนอน" ชาลีบ่นพลางปรายตาไปมองห้องนั่งเล่น เสียงระเบิดและเสียงปืนผสมกับเสียงร้องของคู่ต่อสู้ที่อยู่ในเกมส์ดังเป็นระยะ ชาลีจึงหยิบจานผลไม้จานสุดท้ายเดินย้อนกลับไปที่ห้องนั่งเล่นและนั่งลงข้างนาวิน
“ซ้อมบาสเป็นยังไงบ้าง พี่เอ็กซ์ไปด้วยหรือเปล่า" ชาลีถาม พร้อมกับยื่นแอ้ปเปิ้ลไปใกล้ๆ ปากของนาวินหนึ่งชิ้น
“ไปครับ" นาวินพูดแล้วอ้าปากรับแอ้ปเปิ้ลจากมือคนป้อน
“แล้วมีใครอีก"
“ก็พวกคนเก่าๆ เฮ้ย อะไรวะนั่น มาจากไหนวะ เอาลูกปืนไปกินเล๊ย เนี่ยะ ฉวัะ ฉวัะ" นาวินตอบ ตาจังจ้องหน้าจอโทรทัศน์เขม็ง ชาลีมองหน้าจอแล้วส่ายหน้า
“ยิงปืนอะไรเสียงแบบนั้น" ชาลีเปรย "แล้วตำรวจคนนั้นไปซ้อมด้วยหรือเปล่า"
“ใครครับ" นาวินถาม แล้วอ้าปากขึ้น เหมืือนจะรอให้อีกฝ่ายป้อนอีกชิ้น
“คนตัวสูงๆ ใหญ่ๆ หน้าดุๆ" ชาลีพูดพลางส่งผลไม้อีกชิ้นเข้าปากนักเล่นเกม ในใจก็พูดต่อว่า...แล้วก็ขี้เก๊ก ทำมาดเท่ๆ มั่นใจในความหล่อของตัวเอง...
“อ๋อ สารวัตร โธ่เว้ย อีกแล้วหรือ ไอ้โล้นนี่วอนจริงๆ เลย เจอลูกดอกทองคำซะหน่อยมั๊ยเพ่ ฟิ้ว ฟิ้ว" นาวินกระแทกมือเข้ากับแป้นควบคุมเกม ยิงลูกดอกมือเป็นระวิงพร้อมส่งเสียงประกอบ
“เขาถามถึงพี่หรือเปล่า"
เงียบ ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย
“นาวิน" ชาลีเรียกชื่อน้องชาย
“ฮื่อ" คนที่กำลังสนใจเกมทำเสียงในลำคอ
“เขาถามถึงพี่บ้างหรือเปล่า" ชาลีถามซ้ำแล้วส่งผลไม้ไปล่อให้อีกฝ่ายเปิดปาก
นาวินส่ายหน้า "โอ๊ยย อารายกันเนี่ย มาได้ไง ตายซะเถอะ ย๊ากส์ บึ้มม ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสร็จกรู"
ชาลีหันไปมองนาวินแวบหนึ่งแล้วลุกขึ้น ทิ้งจานผลไม้ไว้ข้างๆ น้องชาย ซึ่งฝ่ายนั้นก็รับรู้ได้เหมือนมีญาณวิเศษทั้งที่ตาไม่ได้ละจากหน้าจอโทรทัศน์เลย นาวินละมือข้างซ้ายจากแป้นควบคุมเกมเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเพื่อหยิบชิ้นแอ้ปเปิ้ลในจานส่งเข้าปาก
“แต่พี่เอ็กซ์ถามถึงพี่หมอว่าทำไมไม่ไปยิม" ไม่นาน เสียงนาวินดังตามมา ชาลีชะงัก แล้วเดินขึ้นบันไดไปเงียบๆ ในใจสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อยว่าทำไมพี่เอ็กซ์ของนาวินจะต้องถามถึงเขาด้วย
...แต่กัณต์ไม่ถามเลยซักคำ...
เลิกงาน ชาลีไปออกกำลังกาย นาวินไม่ได้ไปด้วยเพราะไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อน สี่ทุ่มชาลีถึงจะไปรับกลับบ้าน เย็นนี้ชาลีเข้าร่วมเล่นบาสเก็ตบอลกับสมาชิกของยิมคนอื่นๆ เขาจำได้ว่าสองในเก้าคนที่เล่นด้วยกันเป็นผู้เล่นในทีมของนาวิน และดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะจำได้ว่าเขาเป็นพี่ชายของนาวิน ชายหนุ่มทั้งคู่ดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขาเล่นบาสเก็ตบอลได้อย่างคล่องแคล่ว ปกติเขาไม่ได้เล่นตำแหน่ง Center แต่เพราะวันนี้เขาเป็นคนที่ตัวสูงที่สุดในทีม A และคนในทีมล้วนแต่อายุมากกว่าเขาทั้งนั้น จึงจำต้องเล่นตำแหน่งที่ตัวเองไม่ถนัด แต่กระนั้น เขาก็ส่งลูกเข้าห่วงทำคะแนนได้ไม่น้อย แม้จะมีคะแนนตามทีมคู่ต่อสู้อยู่ห้าคะแนน แต่เกมก็ยังสูสี
จบเกม ทีมของเขาแพ้ถึงเจ็ดคะแนน แต่ผู้เล่นอีกทีมคนหนึ่งเข้ามาแสดงความชื่นชมและบอกว่าไม่เคยคิดว่าเขาเล่นบาสเก็ตบอลได้
“ผมเห็นแต่พี่เล่นสควอชกับว่ายน้ำ" ชายหนุ่มที่ชาลีจำได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมของนาวินพูด
“ว่างๆ มาตีสควอชกันไหมล่ะ" ชาลีชวน
“โอ๊ย ไม่ไหวหรอกครับ ผมไม่กล้าสู้ อีกอย่าง ผมเล่นไม่ค่อยเป็น"
“เล่นไม่เป็นก็ฝึกได้"
“คงต้องฝึกเป็นปีละมั๊ง" ชายหนุ่มรุ่นน้องหัวเราะ "พี่เอ็กซ์สิเก่ง พี่ลองท้าเขาเล่นดู จะได้สูสีกัน"
“แล้วทำไมวันนี้ไม่ซ้อมบาสกันละครับ"
“อ๋อ เขาไม่ว่างกันครับ เกิดจะมามีธุระพร้อมกันหมดทุกคน ผมกับไอ้บอยเลยมาแจมกับพวกพี่ๆ กันน่ะครับ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ไม่นึกว่าจะเล่นกับเอาจริงเอาจังแบบนี้"
ชาลีคุยกับชายหนุ่มรุ่นน้องต่ออีกไม่นานก็ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก่อนแยกกัน ฝ่ายนั้นชวนร่วมซ้อมบาสเก็ตบอลกับทีม แต่ชาลีตอบว่าไม่อยากซ้อมกับน้องชาย กลัวนาวินประหม่า แต่ชายหนุ่มคนนั้นพูดเล่นกลั้วเสียงหัวเราะว่า
“คนที่จะประหม่าไม่ใช่นาวินหรอกคร้าบ"
...แล้วใครจะประหม่า พี่เอ็กซ์ยังงั้นหรือ...
ชาลีอมยิ้มแล้วเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างในทีมบาสเก็ตบอลของยิมทีมนี้ที่เขายังไม่รู้
นายแพทย์ชาลีเดินออกจากยิมเมื่อเวลาประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง แต่เมื่อใกล้จะถึงรถก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนที่ไม่ได้เจอหน้ามากว่าหนึ่งอาทิตย์ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างรถของเขา
“วันนี้ฉายเดี่ยวหรือครับคุณหมอ" กัณต์ทักทาย แต่ชาลีไม่ตอบ เดินไปเปิดประตูท้ายรถแล้วโยนกระเป๋าเข้าไป ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง
“เด็กไม่มาด้วย เลยได้โอกาส" กัณต์ยืนอยู่ที่เดิม พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเยาะๆ
“โอกาสอะไร" ชาลีถามเสียงห้วน
“โอกาสหว่านเสน่ห์มั๊ง" กัณต์ยักไหล่
ชาลีไม่ตอบ มือที่กำลังจะเปิดประตูรถค้าง ทันใดก็เปลี่ยนใจเดินกลับไปที่คลับเฮาส์ด้านหน้าสปอร์ตคลับ ตอนแรกเขาว่าจะไปหาร้านกาแฟเงียบๆ นั่งดื่มกาแฟรอเวลาไปรับนาวิน แต่ตอนนี้ ขอฆ่าเวลากับการ 'ทะเลาะ' กับกัณต์ซักหน่อย
“ผมไปราชการ" กัณต์เดิมตาม และพูดขึ้นมาเมื่อใกล้จะถึงคลับเฮาส์
“ผมถามหรือครับ"
“ผมบอกให้รู้" กัณต์ยักไหล่ "ก็แค่นึกว่าคุณจะสงสัยว่าผมหายไปไหนตั้งอาทิตย์ หลังจากที่เราสองคนไปพักผ่อนกันที่ชายทะเล"
“คุณจะหายไปไหน ไปทำอะไร มันเกี่ยวอะไรกับผม"
“ผมนึกว่าคุณอยากรู้"
“ทำไมผมต้องอยากรู้"
“แล้วคุณอยากรู้หรือเปล่าชาลี" กัณต์ย้อน "ที่ไม่เห็นผมหนึ่งอาทิตย์คุณคิด...”
“ผมไม่มีคำตอบ" ชาลีรีบพูดแทรกก่อนที่กัณต์จะจบประโยค "สิ่งที่ผมต้องการรู้ตอนนี้มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า...”
กัณต์เลิกคิ้ว รอฟังชาลีพูดต่อ แต่นายแพทย์หนุ่มหยุดพูดไปเฉยๆ และยกข้อมือเพื่อดูเวลาในนาฬิกา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง
...สับสน อยู่ใกล้ๆ กัณต์แล้วเขารู้สึกสับสนยังไงไม่รู้...
“ว่าไงครับ ผมรอฟังอยู่ คุณยังพูดไม่จบ"
“สารวัตรกัณต์ เวโรจน์" ชาลีทำเสียงเข้ม เปลี่ยนใจอีกครั้งว่าจะไปหาร้านกาแฟที่อื่นเพื่อนั่งรอเวลาจะไปรับนาวินดีกว่าที่จะอยู่ที่คลับเฮาส์ของสปอร์ตคลับ ตอนแรกที่กะว่าจะหาฆ่าเวลาด้วยการทะเลาะกับกัณต์ แต่พอเห็นสายตาของกัณต์ในตอนนี้แล้วเขาเปลี่ยนใจดีกว่า
...จะต้องพักเรื่องกัณต์เอาไว้ก่อน เขาต้องทุ่มเวลาไปกับเจตริน หากเขา 'เล่น' กับกัณต์และเจตรินพร้อมกันอาจจะไม่ไหว...
...ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องแก้แค้น...
...ในหัวของเขาไม่ต้องการมีเรื่องอื่นใด...
...ในหัวของเขาต้องไม่มีเรื่องของนายตำรวจขี้เก๊กคนนี้...
วันนี้ พายัพ เด็กหนุ่มพลเมืองดีซึ่งถูกทำร้ายร่างกายเพราะช่วยหญิงชราซึ่งถูกชิงทรัพย์ถึงกำหนดต้องออกจากโรงพยาบาล ชาลีมาดูแลและจัดการเรื่องค่าใช้่จ่ายจนเรียบร้อยและส่งเด็กหนุ่มกับมารดาขึ้นรถแท๊กซี่ ความจริงเขาตั้งใจจะไปส่งที่บ้านแต่ทั้งสองคนนั้นเกรงใจและยืนกรานว่าจะกลับเองเพราะไม่อยากให้ชาลีต้องลำบาก
“แค่พี่หมอรับภาระค่ารักษาพยาบาลผมก็ซึ้งใจแล้วครับ" พายัพยกมือไหว้ "ผมจะหาเงินมาใช้คืนพี่หมอ"
“ไม่ต้องหรอก ที่พี่ทำแค่นี้ยังน้อยไป สิ่งที่พายัพทำมันมากกว่าเงินค่ารักษาที่จ่ายไปเสียอีก ถ้าไม่ได้พายัพ ป้านวลอาจจะแย่" ชาลีตอบ
“แต่ยังไงๆ ผมก็ต้อง...”
“ตามใจ" ชาลีตบไหล่ชายหนุ่ม "แต่สัญญาก่อนว่าจะให้เรื่องเรียนมาก่อน ถ้าจะทดแทนบุญคุณกันก็รอไว้จนตัวเองทำงานมีเงินเดือนมั่นคงเสียก่อน จะตอบแทนกัน เมื่อไหร่ก็ไม่สายหรอก"
“ครับ" พายัพพยักหน้า "ฝากขอบคุณสารวัตรกัณต์ด้วยนะครับ"
“เขารู้หรือเปล่าว่าวันนี้ออกจากโรงพยาบาล" ชาลีถาม
“ทราบครับ"
“คงไม่ว่าง ตำรวจคงงานยุ่ง อาจจมีเรื่องคดีเร่งด่วน" ชาลีพูดเสียงเรียบ "เดี๋ยวพี่จะบอกให้"
“สารวัตรกัณต์กับพี่หมอดีกับผมและครอบครัวมาก"
“เรื่องเล็กน้อยน่า ว่าแต่เราเถอะ กลับถึงบ้านก็ดูแลตัวเองดีๆ พักผ่อนต่ออีกหน่อย ออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่ว่าหายเป็นปกติแล้วนะ อย่าเพิ่งหักโหมอะไร แผลมันดูหายดีแล้วก็จริงแต่ก็ยังไม่สนิท ออกแรงมากๆ ไม่ได้ มันอาจจะปริข้างใน ต้องระวัง"
“ครับผม" พายัพพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นไหว้ชาลีอีกครั้งก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมารดาที่เดินเข้ามาใกล้ ชาลีหันไปคุยกับมารดาของเด็กหนุ่มแล้วเปิดประตูรถแท็กซี่ให้พร้อมกับบ่นว่าน่าจะให้เขาไปส่งบ้าน
“เอาไว้ว่างๆ คอยไปเยี่ยมก็ได้นะคะหมอ แผนที่ก็มีแล้ว เรารบกวนหมอมามากเหลือเกิน ฉันไม่รู้ว่าจะตอบแทนหมอยังไงหมด"
“คนจะตอบแทนเขาสัญญาผมไว้แล้วครับ" ชาลีพูดยิ้มๆ พลางหันไปมองพายัพและช่วยยกของขึ้นรถและยืนรอจนแท๊กซี่คันนั้นแล่นออกไปจนลับสายตา
นายแพทย์หนุ่มหันหลังกลับ ตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อขอเข้าพบกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ได้นัดล่วงหน้า ช่วงที่มาเยี่ยมพายัพเขาได้สังเกตว่าโรงพยาบาลมีแพทย์ในสาขาที่เขาเชี่ยวชาญประจำอยู่เพียงไม่กี่คนและไม่มีแพทย์ออกตรวจวันจันทร์ในตอนบ่ายจึงคิดว่าจะสมัครทำงานที่นี่ด้วยสักสัปดาห์ละหนึ่งวันหรือสองวัน ถึงจะได้เงินตอบแทนน้อยเขาก็ไม่เกี่ยง
แต่ตอนนี้กลับมีอุปสรรคกีดขวาง
อุปสรรคของนายแพทย์ชาลีเป็นตำรวจร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังยืนขวางประตูทางเข้า
“ไม่เห็นชวน" กัณต์พูดเสียงเรียบพลางถอดหมวกออก
“ทำไมต้องชวน" ชาลีตอบเสียงเรียบเช่นกัน เงยหน้าขึ้นมองนายตำรวจในเครื่องแบบสีกากีแล้วหลุบตาลงมองเครื่องหมายแสดงยศบนไหล่ขวาของกัณต์ก่อนจะออกเสียงชัดเจนทีละพยางค์ว่า "สา ร วัตร"
“ฮึ" กัณต์ทำเสียงในลำคอ
“สารวัตรคงไม่คิดว่าผมจะมาดูแลเขาถึงขนาดนี้ใช่หรือเปล่า คงไม่คิดว่านายแพทย์ชาลีจะมีน้ำใจทำอะไรแบบนี้ได้ ทีนี้สารวัตรคงรู้แล้วละสิวา่ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ใจดำ หรือร้ายกาจอย่างที่สารวัตรคิดหรอกนะ"
“ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณ" กัณต์อมยิ้ม "โกรธใครมาครับคุณหมอ เมื่อกี้ก็ยังเห็นดีๆ อยู่นี่นา"
“ไหนๆ คุณก็มาแล้ว ทำไมไม่ไปลาสองคนนั้น ยืนมองทำไมอยู่ตรงนี้"
“ผมไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะช่วงเวลาแห่งมิตรภาพอันน่าประทับใจ" กัณต์พูดยิ้มๆ
"ถามจริงๆ เถอะหมวด" ชาลีเหลือบตามองยศบนบ่าของกัณต์ จงใจให้กัณต์เห็น "คุณจะเอายังไงกับผมกันแน่ ผมมีความรู้สึกว่าคุณกำลังกวนผมอยู่นะ"
“สารวัตร ผม พันตำรวจตรี กัณต์ โวโรจน์ เป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวน และอีกไม่นานก็จะเป็นพันตำรวจโท เมื่อไหร่คุณจะเลิกเรียกผมว่าหมวดซะที" กัณต์เสียงเข้มขึ้นมาทันใด
“คุณก็น่าจะรู้ เวลาผมไม่พอใจผมจะ...”
“เรียกผมว่าหมวด เป็นการประชด ทำไมผมจะไม่รู้"
“สมกับเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวนจริงๆ" ชาลียิ้มเยาะแล้วหมุนตัว เดินลงจากอาคารตรงไปยังลานจอดรถโดยมีกัณต์ตามไปติดๆ
“จะตามมาทำไมก็ไม่รู้" ชาลีบ่นพึมพำ
“ผมอยากคุยกับคุณ" กัณต์ได้ยินนายแพทย์หนุ่มบ่น
“ผมไม่อยากคุย" ชาลีกระแทกเสียง ไม่เข้าใจว่าทำไมรู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาทันที "คุณหายไปอาทิตย์นั่นก็ดีแล้ว ช่วยหายไปอีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์หน่อยสิ"
กัณต์หยุดเดิน มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง มองตามร่างปราดเปรียวของชาลีที่กำลังเดินก้มหน้าหายไปในลานจอดรถ ต่างจากทุกครั้งที่จะเดินเชิดหน้าอย่างมั่นใจ
...ชาลีโกรธเขา และการที่เห็นชาลีโกรธทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ...
...ชาลีปฏิเสธเขา...
...ไม่มีใครปฏิเสะเขาเลย ทุกคนยอมสยบต่อสารวัตรกัณต์ เวโรจน์ทั้งนั้น เขาเองต่างหากเป็นผู้คุมเกม ทุกครั้งเขากำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา และทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเขาต้องทำตาม...
...เขาไม่เคยนอนกับใครเกินสามครั้ง ไม่เคยค้างคืนกับใคร ไม่เคยเดทคนเดิมอาทิตย์ต่ออาทิตย์...
...ชาลีเป็นม้าพยศที่วิ่งตะลุยเข้ามาในชีวิตเขา...
...ผ่านมาหลายเดือน เขายังไม่นอนด้วยแม้แต่ครั้งเดียว เนื้อตัวก็ยังไม่ได้แตะ และที่สำคัญ เขาเผลอฝ่ากฎของตัวเองที่ไปค้างคืนกับชาลีที่โรงแรมในพัทยา แม้จะไม่ได้นอนด้วยกันก็เถอะเพราะชาลีหายตัวไปดื้อๆ และโผล่มาตอนเช้า แต่นั่นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นการค้างคืน...
...ทำไม...
...ทำไมเขาปล่อยมาจนถึงป่านนี้...
...ไม่ไหวแล้ว เขารอไม่ไหวแล้ว แบบนี้ต้องเล่นเกมรุก อยากจะรู้นักว่า หากเขาได้ชาลีแล้ว เขาจะยัง 'อยากได้' อีกสักกี่ครั้ง...
อีกสาเหตุที่เข้ามาโพสวันนี้ก็เพราะร้อนก้น เพราะมีคนจุดธูปลน 555
และอีกสาเหตุก็เพราะจะไม่ได้เจอกันอีกหลายวัน(มั๊ง) เพราะต้องเดินทางอีกแล้วครับ
Have a good, sexy weekend นะคร้าบบ