สวัสดีครับ
โทษทีหายไปหลายวัน พอดีลูกกวนน่าดูครับ ไม่ค่อยมีเวลา
ชีวิตผมเหมือนนายแพทย์นาวินอ่ะ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นพ่อคน (โดยที่ไม่ต้องมีเมีย)

รักใครชอบใครในเรื่องก็เชียร์กันดีๆ นะคร้าบ
ขอบคุณทุกท่านที่รักและห่วงใยผู้เขียนและติดตามอ่านและลงคอมเมนท์ครับ ผู้เขียนมีความสุขมากมายที่ได้อ่าน reply
แต่จะสุขมากขึ้นถ้าช่วยซื้อหนังสือ คดีรัก ภาค 1 จะได้มีเงินซื้อนมให้ลูก (เด็กกำลังโตนี่มันกินจุจริงๆ ให้ตายสิ)
เพลิงรัก บทที่ 17 “โลกกลม"
นายแพทย์ชาลีรอจนนาวินซ้อมบาสเก็ตบอลเสร็จจึงเดินไปยืนอยู่ข้างสนาม รอให้นาวินเดินเข้ามาหาเพื่อที่เขาจะได้บอกให้ไปว่ายน้ำ แต่เมื่อได้ยินที่เขาบอก เด็กหนุ่มก็ถามคำถามขึ้นมาทันที
“ทำไมล่ะครับ ทำไมผมต้องไปว่ายน้ำ ผมอยากยกน้ำหนัก"
“แรงขาจะได้ดี เป็นการฝึกแรงขา มันมีประโยชน์สำหรับฟุตเวิร์กบาสเก็ตบอล" ชาลีให้เหตุผล
“จริงหรือเปล่าครับพี่เอ็กซ์" นาวินหันไปถาม 'โค้ชส่วนตัว' ซึ่งเดินตามมาติดๆ
“นาวินไม่เชื่อพี่แล้วหรือไง" ชาลีทำเสียงดุ
“เชื่อสิคร้าบ แต่ว่า...” เด็กหนุ่มทำหน้าแหยๆ
“จริง" เอ็กซ์พูดสั้นๆ นาวินจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“อาบน้ำก่อนนะ" ชาลีอดสั่งไม่ได้
“โธ่ ผมก็ต้องอาบก่อนลงสระอยู่แล้ว มันเป็นกฎ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าขึ้นจากสระก็ต้องอาบอีก" นาวินทำหน้าทะเล้นแล้วรีบวิ่งหายไปทันทีก่อนจะโดนดุ
“พี่หมอห่วงนาวินมากนะครบ" เอ็กซ์มองตาม
“ในสายตาผม ยังไงนาวินก็ยังเป็นเด็ก" ชาลีหันหน้ากลับมามองเอ็กซ์ แวบหนึ่งเขาอดคิดไม่ได้ว่าเห็นประกายตาครุ่นคิดของอีกฝ่าย
“แต่อายุ 17 ปีนี่โตแล้วนะครับ นาวินดูเหมือนเรียนมหาลัยแล้วด้วยซ้ำ"
“โตแต่ตัว" ชาลีหัวเราะเบาๆ นึกถึงตอนที่น้องชายเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์และตอนที่นอนกินขนมบนโซฟาขณะดูโทรทัศน์ "ตอนเช้าวันเสาร์ยังตื่นมาดูการ์ตูนช่อง 9 อยู่เลย"
“เขาคงยังไม่รู้ว่าเขาโต"
“ต้องบังคับให้อาบน้ำก่อนนอนทุกคืน แล้วชอบเปิดแอร์โดยไม่ปิดประตูห้องนอน ชอบทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กัน แต่ก็ไม่เสร็จซักอย่าง พักหลังๆ นี่ชักจะติดเกมส์ พี่เอ็กซ์ช่วยสั่งสอนหน่อยสิครับ ท่าทางนาวินจะไม่ค่อยเชื่อผมแล้ว"
“โธ่ ผมจะทำอะไรได้" เอ็กซ์ยกมือขึ้นเกาศีรษะท่าทางเขินๆ
“หรือว่าพี่เอ็กซ์เป็นคนชักจูงให้นาวินติดเกมส์"
“เปล่านะครับ" เอ็กซ์รีบโบกมือปฏิเสธ
“หรือพากันแอบไปหัดขับรถ"
“โธ่ พี่หมอ อย่ากล่าวหากันอย่างนั้นสิครับ"
“ตอนพากันไปดูแข่งรถที่พัทยาก็อาจชวนกันไปหัดขับรถก็ได้ เห็นนาวินชอบขึ้นมานั่งลูบคลำพวงมาลัยรถผมอยู่บ่อยๆ พอไกลหูไกลตาพี่ชาย ก็อาจจะอยากลอง"
“จะต้อนผมให้จมมุมให้ได้ใช่ไหมเนี่ย" เอ็กซ์หัวเราะ
“ไม่รู้ล่ะ มีอะไรหลายอย่างที่ผมอยากรู้นี่นา เรารู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้วนี่ครับ ก็ต้องพูดกันตรงไปตรงมาแบบนี้ล่ะ นาวินไม่ได้เล่าให้ฟังหรือครับว่าผมเป็นคนยังไง"
“เล่าครับ" เอ็กซ์พยักหน้า "ผมถึงอยากได้รู้จักพี่หมอ"
ชาลีเลิกคิ้ว มองตาของเอ็กซ์ซึ่งส่องประกายแปลกๆ แต่ก็ไม่แปลกเกินกว่าที่จะทำให้นายแพทย์หนุ่มเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายนั้นแสดงความพึงพอใจเขาออกมา แม้เพียงชั่วแวบเดียวเขาก็มองออก
...เอ็กซ์ต้องการอะไรกันแน่!...
“ผมก็อยากรู้จักคุณ" ชาลีพูดเสียงเรียบ แล้วตัดสินใจตรงประเด็นในสิ่งที่เตรียมจะพูดกับเอ็กซ์ในวันนี้ "อยากรู้ว่า คุณรู้จักกับเจตรินมาก่อนหรือครับ แล้วรู้จักกันดีขนาดไหน"
เอ็กซ์อึ้งไปชั่วครู่เพราะไม่นึกว่านายแพทย์ชาลีจะถามตรงไปตรงมาเร็วแบบนี้ แต่เมื่อโดนถามตรงๆ เขาก็ตัดสินใจพูดความจริงออกไป ทั้งที่เป็นความจริงที่เขาไม่อยากพูดถึง
อย่างน้อยก็ในตอนนี้
...ทำอย่างไรได้ ชาลี 'เร่งเวลา' เองนี่นา...
“ผมกับเจตรินเป็นพี่น้องกัน"
คราวนี้คนที่อึ้งกลับเป็นชาลี
“เป็นพี่น้องกัน" ชาลีทวนคำพูดของอีกฝ่ายเบาๆ
“พี่น้องคนละแม่" เอ็กซ์ตอบเสียงเรียบ สายตากร้าวขึ้นมาจนชาลีรู้สึกได้ "เราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ทางฝ่ายเจตรินไม่ค่อยชอบพวกผม เพราะแม่ผมมาก่อน"
... คนอย่างพวกแก ไม่เคยบอกอะไร ไม่เคยเล่นอะไรซื่อๆ หรอก...
คำพูดของเจตรินที่เขาได้ยินเมื่อหลายคืนก่อนดังขึ้นมาในหัวของชาลี
...เจตรินกับจินตวีร์ ชื่อคล้องจองกัน แต่หากแม่ของเอ็กซ์มาก่อน แต่ทำไมเอ็กซ์อายุน้อยกว่าเจตริน เขาค่อนข้างมั่นใจว่า หากทั้งสองนี้เป็นพี่น้องคนละแม่ ดูยังไงเจตรินก็ต้องเป็นพี่...
...โลกกลมจริงๆ กลมมาก และเล็กมากด้วย...
...และการที่โลกกลมและเล็ก อาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาก็ได้...
“คุณมองออกใช่ไหมครับว่าเจตรินกับผม...” ชาลีทิ้งท้ายประโยค
“เจตรินชอบพี่หมอ ผมรู้ครับ เขามองพี่หมอแทบจะตลอดเวลาตอนที่นั่งดูแฟชั่นโชว์คืนนั้น" เอ็กซ์พยักหน้า
...ทำไมถึงรู้ล่ะ แสดงว่าเอ็กซ์ก็มองเขาตลอดละสิ ถึงได้รู้ว่าเจตรินมองเขา...
“ผมกับเจตรินกำลังจะคบกันแบบแฟน" ชาลีหยั่งเชิง
“ผมเข้าใจ" เอ็กซ์ยิ้มเศร้า "เจตรินเป็นคนขี้หึง"
...และหึงร้ายด้วย อีกหน่อย ชาลีก็คงจะรู้...
“ไปว่ายน้ำกันไหมครับ ไปว่ายน้ำเป็นเพื่อนนาวินหน่อย" ชาลีเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงร่าเริง "ที่จริงจะไปคอยดูนาวินว่าจะฝึกว่ายน้ำจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ไปเกาะขอบสระแล้วตีเท้าเล่นน้ำเหมือนเด็กๆ"
“ผมว่าป่านนี้คงไปมุดน้ำเล่นในสระน้ำวนแล้วมั๊งครับ" เอ็กซ์พูดแล้วหัวเราะประสานกับชาลี
“ไม่ยอมโตจริงๆ เด็กคนนี้" ชาลีถอนหายใจเบาๆ "ผมต้องคอยดูแลให้ดี ไม่ให้ใครมาทำอะไรน้องได้ กว่าจะโตนี่ก็คงเล่นเอาเหนื่อย แต่ทำไงได้ เด็กหนุ่มหน้าตาดีสมัยนี้มันมีอันตรายรอบด้าน ใช่ไหมครับพี่เอ็กซ์"
“ครับ" เอ็กซ์พยักหน้าแล้วเดินนำชาลีตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจก็ตอบนายแพทย์ชาลีในใจว่า ไม่ใช่เฉพาะเด็กหรอก ผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน
พันตำรวจตรีกัณต์กลัดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายพลางถอนหายใจเบาๆ คืนวันพฤหัสบดีอันน่าเบื่อเพิ่งเริ่มต้น เขาใช้เวลากับนายแพทย์สาโรช ไฮโซหนุ่ม มาตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเวลาสามทุ่ม สาโรชชวนให้เขานอนค้างด้วย และเช่นเคย คำตอบของเขาคือคำตอบเดียวกันที่เคยให้กับใครต่อใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
“ผมชอบกลับไปนอนบ้าน"
“แล้วเมื่อไหร่เราจะได้พบกันแบบนี้อีกครับ" สาโรชทำหน้าผิดหวัง
“เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน ยังคงมีเวลาจะได้พบกันอีกนานครับ" กัณต์ตอบ ทั้งที่ในใจอยากจะบอก 'กฎของเขา' ให้สาโรชได้เข้าใจอย่างชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่มีอะไรกัน
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ผมอยากรู้"
“เมื่อตอนที่เราต้องการกันอีก"
“ผมต้องการสารวัตรตอนนี้" สาโรชทำเสียงหวาน "และคืนนี้ และพรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป"
“อย่าเพิ่งใจร้อนเลยครับ" กัณต์ยิ้มแล้วยื่นปากรับการการจูบจากสาโรชที่รัดตัวเขาแน่น มืออุ่นๆ ของนายแพทย์ไฮโซลูบไล้แผ่นอกใต้เครื่องแบบสีกากีของเขาอย่างหลงไหล
“สารวัตรกัณต์ครับ ผมชอบคุณมาก ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหมครับ"
“ผมดีใจที่คุณหมอมีความสุข"
“นี่เป็นครั้งแรกของผมกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" สาโรชคลอเคลียอยู่กับแผ่นอกของนายตำรวจ
“ครั้งแรกของผมกับหมอเหมือนกัน" กัณต์ตอบเสียงราบเรีียบ "แม้จะกลัวๆ อยู่บ้างว่าคุณเป็นวิสัญญีแพทย์"
“ทำไม กลัวผมวางยาสลบแล้วเก็บคุณเอาไว้หรือ" สาโรชหัวเราะเบาๆ แหงนหน้ามองกัณต์ตาเยิ้ม "อยากจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกันล่ะ"
“จะเก็บผมไว้ทำไม" กัณต์หัวเราะในลำคอแล้วลุกขึ้นจากขอบเตียง
“ทำไมจะเก็บไว้ไม่ได้ คุณจะไม่ยอมให้ใครเก็บไว้หรือครับ หรือว่าร่างกายนี้ หัวใจนี้ ให้ใครไม่ได้เลย" สาโรชถาม
กัณต์ยิ้มบางๆ ไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่ในใจกลับตอบออกมาว่า
...ร่างกายผมให้คุณ 'เก็บ' เอาไว้ไม่ได้หรอก หัวใจผมก็มอบให้คุณไม่ได้ เพราะ...
...เพราะ...
...บ้าจริงๆ เลย เพราะอะไร ตอนนี้มันเป็นเพราะอะไร ทำไมเขาตอบไม่ได้เหมือนครั้งที่แล้วๆ มา...
...เพราะอะไร...
กัณต์ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองขับรถอ้อมไปอ้อมมาจนผานมาถึงหน้าโรงพยาบาลที่ชาลีทำงานอยู่ เมื่อออกจากบ้านของนายแพทย์สาโรช ความจริงแล้วเขาไม่คิดจะกลับบ้านนอน พรุ่งนี้เขาไม่ต้องทำงาน จึงคิดว่าจะกลับบ้านดึกๆ แล้วนอนตื่นสายๆ
...ตื่นซักเที่ยง จะได้มีแรงไป 'สู้' กับหมอชาลีในตอนบ่ายๆ...
...หมอชาลี! พอนึกถึงก็เห็นตัวพอดี ไม่นึกว่าจะเลิกงานค่ำขนาดนี้...
กัณต์เหยีบเบรกกระทันหัน เม้มปากโดยไม่รู้สึกตัวเมื่อมองไปยังร่างสูงโปร่งของหมอหนุ่มที่เดินไปกับผู้ชายคนหนึ่งและขึ้นรถ BMW 730 สีดำซึ่งจอดอยู่ใกล้ทางออกลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล
...ตาม เขาต้องตาม...
สมองของกัณต์สั่งการทันที
...ฮึ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขับรถตามใครซักคนที่ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยในคดีที่เขากำลังสืบอยู่...
...เอาเถอะ ลองซักหน่อย ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิต...
...แต่ว่า ขอโทรคุยหยั่งเชิงซักหน่อยเถอะ...
“ผมกำลังกลับบ้าน วันนี้ผมเหนื่อย อยากพักผ่อน" ชาลีตอบกัณต์เมื่อถูกชวนไป 'ดูหนังฟังเพลง' ตามที่เคย 'คุย' กันไว้
“คุณมาชวนอะไรผมตอนสามทุ่มสามสิบเจ็ดนาที นี่ใกล้เวลาคนปกติธรรมดาเขาเตรียมตัวเข้านอนกันนะครับ" ชาลีอดประชดไม่ได้ พลางปรายตาไปมองคนที่ขับรถอยู่อย่างเงียบๆ คืนนี้เจตรินแวะมารับเขาที่โรงพยาบาลโดยให้เหตุผลว่าผ่านมาทำธุระแถวนี้ เจตรินชวนเขาไปหาอะไรดื่มแต่เขาต่อรองขอเลื่อนเป็นคืนวันศุกร์แทนเพราะวันนี้เหนือยมาก
“คุณคงง่วงนอนมาก" กัณต์พูดเสียงเรียบ
“นี่เป็นคำถามหรือเปล่าครับ" ชาลีอดกวนไม่ได้
“คำถามครับ" กัณต์เสียงเข้ม
“คำตอบก็คือ ง่วงสิ ง่วงมากด้วย แทบจะอยากนอนตรงนี้เลยล่ะ"
...แต่ติดตรงที่ว่าผมกำลังขับรถกลับบ้าน...
กัณต์เติมคำพูดของชาลีในใจแบบที่เขาคิดว่าหากชาลีจะพูดต่อก็คงพูดต่อแบบนั้น
ชาลีจบการสนทนาด้วยเสียงห้วนๆ เมื่อกัณต์พูดว่า "ง่วง แต่คงนอนไม่ได้เพราะคุณกำลังขับรถกลับบ้าน เอาไว้วันหลังผมจะไปรับกลับบ้านดีไหม ทำงานเหนื่อย ขับรถกลับบ้านดึกๆ มันอันตราย"
เจตรินหันมาเลิกคิ้วราวกับจะถามว่าใครโทรศัพท์มา ชาลีจึงถอนหายใจแล้วทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายพร้อมกับบอกว่ามีใครบางคนกำลังตื๊อเขาไม่เลิกมาได้กว่าสองอาทิตย์แล้ว
“ผมเลยบอกเขาว่าชอบขับรถเอง" ชาลีสรุป "แต่ความจริงผมไม่ชอบนะครับ ผมชอบให้คนขับรถให้นั่ง สบายกว่ากันเยอะ"
“ถ้ายังงั้น...”
“แต่ผมให้คนไข้มารับตอนเลิกงานไม่ได้นะครับ มันผิดจรรยาบรรณแพทย์" ชาลีรีบพูด
“มีแบบนี้ด้วย" เจตรินหัวเราะ
เจตรินกับชาลีใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็มาถึงบ้าน นายแพทย์หนุ่มชวนคนขับคุยมาตลอดทาง พยายามไม่เปิดโอกาสให้เจตรินได้ 'จีบ' แม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เขาแน่ใจมากขึ้นว่าเจตรินนั้น 'กินเหยื่อ' ที่เขาวางเอาไว้แล้ว
...รออีกหน่อย เขาจะทำให้เจตรินหลงรักและบอกรักเขาให้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ล่ะ แล้วสองเดือนหลังจากนั้นก็จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของเดือนที่สามจะเป็นวันไคลแม๊กซ์...
“ง่วงมากหรือครับ" เจตรินถามเมื่อจอดรถหน้าบ้านของชาลีและมองเข้าไปในบริเวณบ้านก่อนจะหันมามองชาลีด้วยสายตาเป็นประกายสื่อให้รู้ความในใจ
“ไว้วันหลังนะครับ" ชาลียิ้มบางๆ "ผมอยู่กับน้องชาย"
“น้องชาย" เจตรินเลิกคิ้ว "ผมไม่ยักรู้ว่าคุณมีน้องชาย"
“ผมก็ไม่เคยรู้ว่าคุณมีพี่สาวเหมือนกัน"
...รวมทั้งน้องชายคนละแม่...
“เราต้องทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้แล้วล่ะ วันแซยิดคุณยาย ผมอยากชวนคุณไปด้วย"
...ขนาดนั้นเลยหรือ ฐานะอะไรล่ะ คนในครอบครัวเจตรินจะว่ายังไง...
...ไม่ดีหรือ สนิทกับคนหลายๆ คนในครอบครัวเจตรินซิดี ตอนไคลแม็กซ์จะได้สนุกกว่านี้ ไม่แน่ แทนที่คุณหญิงฟาติมาแม่ของเจตรินจะโดนหางเลขคนเดียว อาจจะมีคนอื่นเพิ่มขึ้นอีก บทเรียนที่เจตรินได้รับจะได้เข้มข้นมากกว่านี้...
...ต้องทำกันขนาดนั้นเลยหรือชาลี...
...ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...
...แล้วจะได้อะไรขึ้นมา แค่นี้ก็แค่นี้ จะเพิ่มระดับการแก้แค้นไปทำไม เจตรินทำให้เจ็บก็ควรได้รับบทเรียนคนเดียว...
“จะดีหรือครับ" ชาลีอึกอัก
“ดีครับ" เจตรินพยักหน้า "ผมอยากให้เรารู้จักกันมากกว่านี้ ไม่อยากให้รู้สึกว่าเป็นคนอื่นคนไกล"
“เช่นเข้าบ้านกันได้" ชาลีหัวเราะ
“เช่นให้ผมดื่มกาแฟซักแก้ว" เจตรินตอบ
“ได้ดื่มแน่ๆ ครับ เสาร์นี้ผมจะไปซื้อเครื่องบดกาแฟ วันอาทิตย์จะฝึกทั้งวัน รับรองว่าวันจันทร์ได้ดื่มกาแฟที่อร่อยยิ่งกว่าสตาร์บั๊ค"
“สรุปแล้วว่าคืนนี้ไม่ได้ดื่ม"
“ขอเวลาผมหน่อย" ชาลียิ้มให้เจตรินอย่างอ่อนโยน "ผมอยู่กับน้องชาย คือว่า เอ่อ ผมไม่อยากให้เด็กเขาตกใจที่จู่ๆ ก็มีเพื่อนผู้ชายเข้าไปดื่มกาแฟในบ้านตอนดึกๆ ให้ผมเปรยๆ กับเขาก่อนนะครับ วันหลังค่อย เอ่อ...” ชาลีทำเป็นอึกอัก ใบหน้าเขินๆ
“ผมเข้าใจ" เจตรินทอดสายตามองชาลีด้วยสายตาที่เริ่มจะเผยความในใจมากขึ้น
“รีบกลับบ้านนะครับ นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพ ผมเป็นห่วง" ชาลียกมือขึ้นแตะต้นแขนของอีกฝ่าย "คุณยังถือว่าเป็นคนไข้ของหมออยู่ เพราะฉะนั้น หมอมีสิทธิ์เตือน"
“ครับผม คุณหมอ" เจตรินหัวเราะเบาๆ แล้วปลดล๊อคประตูให้ 'หมอประจำตัวผู้แสนใจดีและห่วงใย'
กัณต์รอจนรถ BMW คันนั้นผ่านไปจึงเปิดไฟหน้ารถแล้วขับผ่านหน้าบ้านของชาลีเพื่อหาที่กลับรถ เมื่อผ่านหน้าบ้านของนายแพทย์หนุ่มอีกครั้งจึงชะลอรถและชะเง้อมองเข้าไปด้านในจึงเห็นว่าบ้านของชาลีเป็นบ้านไม้ทาสีขาว แฝงตัวอยู่่่ท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่นทั้งที่อยู่กลางกรุง ขัดกับบุคลิกของชาลีเป็นอย่างมากเพราะตอนแรกเขาคิดว่าชาลีพักอยู่ชั้นสูงๆ ของคอนโดมิเนี่ยมหรู
แต่ทว่าสารวัตร 'สืบสวน' คนเก่งก็ต้องเบิกตากว้างอย่างแปลกใจอีกครั้งเมื่อขับรถผานหน้าบ้านชาลีมาได้ไม่นานก็เห็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เขาจำได้ว่าเคยพูดกระทบกระเทียบชาลีว่าเป็น 'เด็ก' ของชาลีเดินอยู่ข้างถนน มือขวาถือซาลาเปา มือซ้ายถือถุงพลาสติกร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ปากกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
กัณต์จอดรถ ลดกระจกลง ร้องเรียกเด็กหนุ่ม อยากจะรู้ว่าทำไม 'เด็ก' ของชาลีมาเดินอยู่แถวนี้
...หรือว่าจะอยู่บ้านเดียวกัน!...
...ขนาดนั้นเลยหรือ...
“สวัสดีครับ" เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ทันที เห็นได้ชัดว่าจำกัณต์ได้ นาวินรีบวิ่งข้ามถนนในซอยเล็กๆ มายืนยิ้มแก้มตุ่ยอยู่ข้างรถของกัณต์และพยายามกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอ
“น้องคือ คนที่...”
“ที่เล่นบาสด้วยกันที่ยิมไงครับ ถึงเล่นบาสกันครั้งสองครั้งผมก็จำพี่ได้ นาวินพูดทั้งๆ ที่มีอาหารอยู่ในปาก "พี่มาทำอะไรแถวนี้ครับ"
“ธุระ" กัณต์ตอบสั้นๆ "แล้วน้องล่ะ บ้านอยู่แถวนี้หรือ"
“ครับ บ้านผมอยู่ตรงโน๊น" นาวินพยักหน้า ยกมือที่ถือซาลาเปาขึ้นชี้ไปที่ข้างหน้า ทำเสียงแสดงให้คนฟังรู้ว่าบ้านยังอยู่อีกไกล แล้วกัดซาลาเปาคำใหญ่อีกคำ
“พี่ไปส่งเอาไหม ขึ้นรถสิ"
“เอ่อ...” นาวินอึกอัก พยายามกลืนซาลาเปาโดยเร็ว
“จะยีเหยอ" เด็กหนุ่มทำหน้าเกรงใจ พูดไม่ชัดเพราะยังกลืนสิ่งที่อยู่ในปากไม่หมด แต่คร้ั้นหมดแล้วจึงพูดคำเดิมอีกครั้ง พร้อมกับทำหน้าเกรงใจ "จะดีเหรอครับ"
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนรู้จักกัน แค่นี้เอง เดินไปก็เหนื่อยเฉยๆ"
เด็กหนุ่มพยักหน้าทันใด ยัดซาลาเปาที่เหลือใส่ปากทั้งหมด แล้ววิ่งอ้อมไปเปิดประตูรถอีกด้านขึ้นนั่งคู่กับนายตำรวจ 'ผู้ใจดี' โดยไม่ต้องให้ชวนซ้ำ
“อยู่คนเดียวหรือ" กัณต์ถาม
“เปล่าครับ" นาวินส่ายหน้า "ผมอยู่กับพี่ครับ"
“พี่" กัณต์เลิกคิ้ว "สองคนพี่น้อง?”
“ใช่ครับ" นาวินพยักหน้าเร็วๆ หลายครั้ง
...สองคนพี่น้อง นี่หมายความว่า?...
"นี่ไม่รู้กลับบ้านหรือยัง ถ้ารู้ว่าผมไม่อยู่บ้านต้องถูกดุแน่ๆ เลย พี่หมอไม่ชอบให้ผมเดินเข้าซอยตอนดึกๆ แต่ว่าผมหิว ก็เลยแอบออกมาซื้ออะไรกิน ของในตู้เย็นหมดแล้ว คือแบบว่า ผมทานจุ พี่หมอชอบบ่นว่าซื้ออะไรมาไว้ในตู้เย็นก็หายหมด"
“สี่ทุ่มนี่นะดึก ไม่ใช่เด็กผู้หญิงซะหน่อยจะได้กลัวซอยเปลี่ยว" กัณต์แย้ง "อายุเท่าไหร่แล้วเราน่ะ 19 หรือ 20”
“17 ครับ"
...เด็กขนาดนี้เลยหรือ มิน่า ชาลีดูฉุนมากตอนที่เขาล้อว่าเลี้ยงเด็ก...
...แต่ว่าเด็กคนนี้บอกว่าอยู่กับพี่ชาย ดูดีๆ แล้วหน้าตาไม่เห็นจะเหมือนกัน...
“พี่ชายคือคนที่เห็นไปยิมด้วยกัน ใช่หรือเปล่า" กัณต์ถามเพราะต้องการมั่นใจ
“ใช่ครับ" นาวินพยักหน้าเร็วๆ อีกครั้ง
“อ๋อ" กัณต์ทำเสียงเข้าใจ "แต่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกันเลยนะ คนหนึ่งเหมือนลูกครึ่ง อีกคนไม่เห็นเหมือน" กัณต์เปลี่ยนเป็นทำหน้าสงสัย
“ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ หรอกครับ พี่หมอเอาผมมาเลี้ยงเพราะเป็นเพื่อสนิทกับพี่ชายผม พี่ชายจริงๆ ของผมตายแล้ว" แววตาของหนุ่มน้อยสลดไปเมื่อพูดถึงพี่ชายที่เสียชีวิต "แต่พี่หมอก็รักและดูแลผมเหมือนพี่ชายแท้ๆ เผลอๆ ผมว่าเหมือนพ่อกับแม่รวมอยูในคนเดียวกันด้วยซ้ำ"
“หน้าคุ้นมาก" กัณต์เปรย หรี่ตามองนาวิน พยายามนึกว่าเหมือนกับใครบางคนที่เขารู้จัก
“คุ้นสิครับ ผมเหมือนพี่ชายมาก แต่มีหลายคนบอกว่าผมหล่อกว่าพี่"
“อือ" กัณต์พยักหน้า รอฟังเด็กหนุ่มพูดต่อ
“แต่ไม่ใช่เพราะว่าผมหน้าโหลนะ ใครเห็นก็พูดแบบนี้ล่ะว่าผมหน้าคุ้น จะไม่ให้คุณได้ยังไงเนอะ" นาวินพูดต่อ "ก็พี่ชายผมเป็นดาราดังขนาดนั้น คนรู้จักกันทั่วประเทศ"
“ดารา" กัณต์ทวนคำ เริ่มจะนึกออกว่าเหมือนใคร แต่เสียงของเด็กหนุ่มให้คำตอบเขาเสียก่อน
“เควิน กาวิณ แอนเดอร์ส ไงครับ"
“เควิน" กัณต์ทวนคำอีกครั้ง แต่เสียงแผ่วหายไปในลำคอ พร้อมกับเท้าแตะเบรกและจอดรถหน้าบ้านของนายแพทย์ชาลี
--- end of chapter 17 ---