ภาคต่อ ตอนที่ 23
“พจ เป็นอะไรไปเหรอ” แคทเธอรีนถามศิริพจน์ที่มีท่าทางเศร้าลง ขณะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
“แฟนผมที่เมืองไทยหน่ะครับ ช็อกเรื่องผมจะแต่งงานจนเข้าโรงพยาบาล” ชายหนุ่มตอบซึม ๆ ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว
แคทเธอรีนเองก็ตกใจเหมือนกันเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอถามต่อว่า “แล้วมีคนดูแลเค้าอยู่ทางโน้นหรือเปล่าคะ”
“มีครับ เป็นพี่ชายอีกคนที่ผมเคารพ” เขาพูดถึงพลกฤษณ์ที่เป็นคนโทรมารายงานเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
“ค่ะ ก็ดีแล้วค่ะ”
“เมื่อวานที่ผมโทรคุยกับเค้า..เอ่อ แฟนผมหน่ะฮะ ผมคิดว่าเค้าคงเป็นลมไปหลังจากที่วางสาย”
ศิริพจน์พูดต่ออย่างคับแค้น “ผมรู้สึกผิดมากเลยแคท ที่รับปากพาเค้ามาตามความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของผม”
“อย่าคิดมาเลยค่ะพจ ชั้นว่าทุกคนมีสิทธิที่จะฝันและมีความรัก และก็ใช้ความรักนำทางความฝันของตัวเอง” เขาพูดต่อ “อย่างน้อยเค้าก็ปลอดภัยแล้วนะคะ คุณน่าจะหมดกังวลได้บ้าง หรือไม่อย่างนั้น เสาร์อาทิตย์นี้ก็กลับไปเยี่ยมเค้าที่เมืองไทยก็ได้นนี่คะ”
แคทเธอรีนพูดให้สติ ศิริพจน์ยิ้มรับเพราะคิดได้ตามที่หญิงสายพูด หญิงสาวยิ้มสดใสก่อนจะบอกว่า
“แล้วคุณคิดว่าบ่ายนี้นักลงทุนจากยุโรปจะเทขายมาให้เราเท่าไหร่คะ”
ศิริพจน์เองก็ยิ้มกว้างอย่างสดใส แคทเธอรีนช่างเป็นผู้หญิงที่เข้าใจเขาจริง ๆ
ทันทีที่ถึงเมืองไทย นลพรรณก็รุดไปเยี่ยมพีร์ที่โรงพยาบาลทันทีอย่างเป็นห่วง เธอไม่ลืมชวนปกรณ์ไปด้วยเพราะเด็กหนุ่มก็เป็นคนที่ทั้งสองเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
เมื่อเธอเปิดประตูห้องก็พบกับพลกฤษณ์ที่กำลังนั่งข้าง ๆ เตียงมองดูพีร์อย่างเป็นห่วง เธอรู้สึกสะเทือนใจที่เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าต้องมาล้มหมอนนอนเสื่อเพราะเสียใจมาก ๆ ใบหน้าจิ้มลื้มที่เคยสดใสของพีร์ดูซีดเซียวถึงแม้จะได้รับการให้น้ำเกลือแล้วก็ตาม ส่วนปกรณ์เองที่ชอบสร้างบรรยากาศครึกครื้น เมื่อเห็นอย่างนี้ก็ถึงกับทำอะไรไม่ออกเหมือนกันนอกจากเริ่มร้องไห้ออกมา
นลพรรณที่ร้องไห้ออกมาเบา ๆ มองหน้าพลกฤษณ์เหมือนจะบอกเขาว่าเธอสงสารพีร์มากเพียงใด
“น้องพี...” หญิงสาวเรียกชื่อพีร์เบา ๆ ทำให้พีร์ที่รู้สึกตัวได้หน่อย ๆ หันมามองตามเสียง พลกฤษณ์หยิบแว่นตาของเขาที่ถอดอยู่ข้างเตียงสวมให้เขาทันที พลกฤษณ์เห็นว่าเป็นนลพรรณกับปกรณ์ จึงพยายามยกมือไหว้สวัสดี
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ อยู่เฉย ๆ เถอะ เธอเข้าไปจับมือหนุ่มหน่อยไว้ และกำเบา ๆ อย่างให้กำลังใจเพราะเธอไม่รู้จะพูดอะไรออกมาให้พีร์รู้สึกดีขึ้น
ชายหนุ่มที่ดูแลพีร์มองหน้านลพรรณที่ทำหน้าเหมือนขอเวลาอยู่กันส่วนตัว เขาจึงลุกออกไปข้างนอก
“นี่นายดูแลนังหนูคนเดียวเหรอแจ๊ค” ปกรณ์เดินตามพลกฤษณ์ที่ลุกออกไปข้างนอกเพื่อสอบถาม
“อืม..ตอนแรกไอ้หยกมันจะขอมานอนด้วย แต่เราด่ามันไปเมื่อวานหน่ะ”
“ยังไง อย่าบอกนะว่าเพราะนังหนู” เขากระซิบถามอย่างตกใจ
“อืม..”
“ยังไงล่ะ เล่าให้เราฟังได้ไหม”
“เราทนไม่ได้ที่เห็นไอ้หยกมันเป็นคนทำให้พจกับน้องพีต้องเป็นอย่างนี้” เขาถอนหายใจ “นายรู้หรือเปล่าว่าน้องพีเข้าโรงบาลเพราะอะไร”
“อืม น้องเค้าช็อกมากที่รู้ว่าพจจะแต่งงาน”
“ใช่ นั่นมันก็เรื่องนึง แต่อีกเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบน้องเขาก็เพราะว่าพ่อแม่น้องเขารู้ว่าน้องพีเป็นเกย์จากข่าวเรา”
“คุณพระช่วย!!” ปกรณ์ตกใจ
“เมื่อวานเราคุยกับแม่ของน้องเค้าแล้วนะ เค้าบอกว่านี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ที่เค้าเปิดใจคุยเรื่องนี้กับลูกตัวเอง เขารู้หล่ะว่าลูกเค้าปิดบังเรื่องนี้มาตลอด แต่น้องพีหน่ะสิเค้ายังรับการเปลี่ยนแปลงของการเปิดเผยไม่ได้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“เฮ้อออ..”
“เราไม่นึกเลยนะว่าน้องพีเค้าจะต้องทนทุกข์กับเรื่องนี้คนเดียว และไหนจะเรื่องที่ไอ้หยกมันทำไว้อีก”
ปกรณ์ตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ “เฮ้ออ ถ้านังหนูไม่มีน้องพจน์แล้ว นายคงจะเข้ามาดูแลนังหนู หรือเปล่า?”
“น้องพี...” เธอจับมือหนุ่มน้อยไว้อย่างเป็นห่วง “พี่..พี่ขอโทษ”
“พี่แพรว”
“พี่ขอโทษที่ขัดขวางพ่อกับแม่เรื่องพจไม่ได้ ฮือ ๆๆ”
“พี่แพรวครับ…”
“พี่รู้ว่าพจกับน้องพีรักกันแค่ไหน แต่พี่มันไม่ดีเองที่ช่วยอะไรพวกเราไม่ได้ พี่ขอโทษจริง ๆ นะ ฮือ ๆๆ”
“พี่แพรวครับ อย่าโทษตัวเองเลย...ผมต่างหากล่ะ ที่เข้ามาในชีวิตของพจ ถ้าพจไม่รู้จักผม เค้าก็คงไม่ต้องเสียใจแบบนี้”
“น้องพีอย่าโทษตัวเองอีกเลย พี่ขอโทษแทนพ่อแม่พี่ด้วยที่ทำให้น้องพีเป็นแบบนี้”
“อย่าเลยครับ พวกท่านไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก ผมเข้าใจครับว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกตัวเอง”
หญิงสาวมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างสะเทือนใจ พีร์พูดต่อ “ผมรู้สึกผิดตั้งแต่ผมเข้ามาในชีวิตของพี่หยกแล้ว ผมขอล่ะครับ ผมจะไม่ทำให้เรื่องของพจกับผมเป็นเหมือนเรื่องของพี่หยกแน่ ๆ”
“น้องพี..น้องพียังรักหยกอยู่ไหม”
เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าช้า ๆ และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมากับคำตอบจากใจของเขา
“แต่พี่แพรวเลิกกังวลได้เลยนะครับ รักของผมมันคงเป็นไปไม่ได้อย่างที่เคยเป็นหรอกครับ ผมรู้ว่านอกจากพี่หยกจะเป็นสามีของพี่แพรวแล้ว เขายังต้องเป็นพ่อของลูก”
“ผมคงไม่ทำให้ครอบครัวของคนที่ผมรักและเคารพอย่างพี่หยกกับพี่แพรวต้องแตกแยกกันหรอกครับ”
นลพรรณได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ เด็กหนุ่มนั้นถึงแม้จะรักศิลาแค่ไหน แค่ก็ไม่เห็นแก่ตัวเพื่อที่จะกักขังคนรักไว้เหมือนที่ศิลาทำ
“น้องพี พี่ต้องขอโทษแทนหยกด้วยนะที่ทำให้พจกับน้องพีต้องจากกัน”
“หะ..” เด็กหนุ่มแปลกใจเพราะไม่รู้เรื่องนี้ นลพรรณเห็นอย่างนั้นก็นึกรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่รู้จึงเงียบไป พีร์จ้องหน้าหญิงสาวอย่างสงสัยและคาดคั้น
“พี่แพรวครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีจ้ะ ไม่มี” เธอกลบเกลื่อน
“พี่แพรวครับ พี่หยกเกี่ยวอะไรกับการแต่งงานของพจเหรอครับ”
“เอ่อ..ไม่จ้ะ”
“พี่แพรวครับ เล่ามาเถอะครับ..”
“น้องพี..”
“นะครับ ผมอยากรู้” เด็กหนุ่มถามด้วยความอยากรู้เต็มแก่ “นะครับ เล่าความจริงให้ผมฟังเถอะ”
เธอเห็นอย่างนั้นก็หมดปัญญา จึงพูดออกไป
“ความจริง ที่ตาพจแต่งงานก็เพราะว่าหยกเป็นแนะนำพ่อแม่พี่เองหน่ะ” เธอพูดเศร้า ๆ เพราะอยากให้เด็กหนุ่มรับรู้ที่มาของเรื่องจริง ๆ
พีร์พูดอะไม่ออกด้วยความช๊อก หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเจ็บปวด พีร์ค่อยร้องไห้ออกมาอย่าเจ็บปวดเช่นกัน เขาเอามืออุดปากกันเสียงกรีดร้องของเขา นลพรรณเห็นเด็กหนุ่มร้องไห้หนักขึ้นจึงโทรเรียกปกรณ์และพลกฤษณ์ให้กลับมาดู พอวางสาย สองคนดังกล่าวก็รีบเข้ามาหาพีร์ทันที
“พี....” พลกฤษณ์เข้าไปจับแขนพีร์ที่ใช้มือกุมใบหน้าที่น้ำตานองอยู่ “เกิดอะไรขึ้นแพรว”
“แพรวเผลอบอกกับน้องพีว่าหยกเป็นคนทำให้พจต้องแต่งงาน ฮือ ๆๆ”
พลกฤษณ์มองหน้าหญิงสาวแบบตกตะลึง และหันไปมองพีร์ที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดหนักขึ้น พีร์ที่ร่างกายและจิตใจอ่อนเพลียอยู่แล้วจึงสลบไปอย่างง่ายดาย ปกรณ์จึงกดกริ่งเรียกพยาบาลทันที
“แจ๊ค... แพรวขอโทษ” หญิงสาวรู้สึกผิดมาก ๆ ที่ทำให้เด็กหนุ่มเป็นลมไปอีก
“ไม่หรอก สักวันเค้าก็ต้องรู้ ให้รู้ซะตอนนี้หล่ะดีแล้ว” เขาพูดตามความเป็นจริง “ให้พีเค้าร้องไห้ซะตั้งแต่วันนี้ วันต่อไปจะได้ไม่ร้องไห้อีก”
พยาบาลเคาะประตูและรีบเข้ามาทันที พวกเธอกุลีกุจอวัดความดัน และทำอะไรต่าง ๆ นานา สักพักหมอก็เข้ามาตรวจอาการของพีร์ คุณหมอปลดหูฟัง แล้วบอกกับทุกคนว่า
“คนไข้มีอาการเหมือนเดิมหน่ะครับ คือตกใจมากจนหมดสติ” เขาหันไปมองทุกคน “มีใครทำอะให้คนไข้สะเทือนใจหรือเปล่าครับ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันแหย ๆ นายแพทย์เลยพูดต่อ
“หมอจะบอกให้นะครับ อาการของคนไข้ไม่ได้ดีขึ้นเพราะยาหรือการรักษาของหมอ แต่มันขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนไข้ด้วยนะครับ”
คำพูดของนายแพทย์ทำให้คนทั้งสามรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ “วันนี้หมอฉีดยาคลายเครียดให้คนไข้แล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณนะครับว่าจะให้กำลังใจคนไข้ดีแค่ไหน หมอขอตัวก่อนนะครับ”
หลังจากนายแพทย์ออกไป ปกรณ์ก็หันมาแหวใส่เพื่อนตัวเองทันที
“นังแพรว เกือบไปแล้วไหมล่ะ นี่ถ้านังหนูช็อกหนักกว่านี้จะเกิดอะไรขึ้น”
“เอาน่าเป้ อย่าไปว่าแพรวเค้าเลย” พลกฤษณ์ตัดบท “ยังไงช่วงนี้ก็ช่วยกันดูแลน้องพีให้ดี ๆ ละกัน” เขาหันไปบอกนลพรรณโดยเฉพาะ “แล้วบอกไอ้หยกมันด้วยว่า อย่าเพิ่งไปเยี่ยมน้องพี เล่าให้มันฟังด้วยละกันนะแพรวว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่มันทำลงไป”
“อืม ได้สิ” เธอหันไปลูบแขนพีร์เบา ๆ “พี่กลับก่อนนะจ๊ะ” ก่อนจะออกไปพร้อมกับปกรณ์
“ฮัลโหล หยก” เธอโทรหาสามีทันทีหลังจากขึ้นรถ
“ว่าไงแพรว คุณอยู่ไหนเนี่ยะ”
“แพรวเพิ่งออกจาโรงพยาบาลหน่ะ คือ แพรวเพิ่งไปเยี่ยมน้องพีมา”
“เหรอ...เนี่ยผมก็กะว่าจะไปเหมือนกัน”
“หยก หยกอย่าเพิ่งไปเยี่ยมน้องพีตอนนี้ได้ไหม”
“หะ ทำไมล่ะแพรว” เขาสังสัย เพราะนลพรรณพูดด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ จึงทำให้เขาไม่ได้โกรธเคืองอะไร
“คือ แพรวไม่รู้ว่าน้องพี ไม่รู้เรื่องที่ตาพจต้องแต่งงานเพราะคุณหน่ะ แพรวพลั้งปากบอกแกไป”
“หา....”
“อืม แล้วน้องพีก็ร้องไห้จนหมดสติไปอีกรอบทันทีที่รู้”
ศิลาเงียบ ไม่นึกว่าสิ่งที่เขาทำลงไป จะเป็นการทำร้ายจิตใจของคนรักได้ถึงเพียงนี้
“ฮัลโหล ๆ หยก”
“โอเค งั้นขอบใจนะแพรวที่โทรมาบอก แค่นี้ใช่ไหม”
“อืม จ้ะ”
“โอเค บาย”
ศิลากดวางสาย เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนรักที่เลวร้ายที่สุดในโลก เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วหันกลับไปมองนอกบานกระจกอย่างทุกข์ใจยิ่ง ฉับพลันคำพูดของพลกฤษณ์ก็หลั่งไหลลอยเข้าหัวมา
“แกหนเห็นน้องพีเสียใจได้ไงวะ หะ!”
“แกมันเป็นคนรักภาษาอะไรวะ”
“แกมันเห็นแก่ตัว คิดหรือเปล่าว่าที่ทำไปมันจะทำลายชีวิตคนอื่น”
“ทำไมแกไม่ปล่อยน้องเขาให้ไปอยู่กับคนที่พร้อมดูแลว่าล่ะ”
เขาหลับตายอมรับความผิดที่เขาลงไป ถึงแม้เขาจะคิดว่า ที่ทำไปก็เพราะว่าเขารักพีร์มากเพียงใดก็ตาม
วันนี้ศิริพจน์มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านแคทเธอรีน คุณโรเบริ์ตและคุณลิซ่าผู้เป็นพ่อแม่ต่างก็ให้การต้อนรับอย่างดี เพราะรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของลูกสาวและว่าที่คู่หมั้นเป็นไปได้ด้วยดี แคทเธอรีนพาศิริพจน์มานั่งเล่นในมุมระเบียงสวนของบ้านเพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียดจากการทำงานและไม่ลืมที่จะเปิดโน๊ตบุ๊คสำหรับประเมินข้อมูลในวันต่อไป ศิริพจน์เองเหลือบไปเห็นนกกรงหัวจุกตัวน้อยที่อยู่ในกรงไม้ลายวิจิตร เขาจึงถามแคทเธอรีนขึ้นมา
“แคท ผมเพิ่งเห็นว่าที่สิงคโปร์เองก็เลี้ยงนกกรงด้วยเหรอครับเนี่ยะ”
“ค่ะ ใช่” เธอเดินนำชายหนุ่มไปยังกรงนก ก็พบนกน้อยที่เกาะกิ่งไม้ในกรงนิ่ง เมื่อศิริพจน์เห็นนกน้อยที่ถูกขังไว้ในกรงอย่างนี้ก็อดขึ้นถึงพีร์ไม่ได้ เขาพูดออกมาว่า
“ผมไม่เข้าใจคนที่เลี้ยงนกเลย ว่าทำไมต้องขังมันไว้ในกรงด้วย เรารักอะไรเราก็ต้องทำให้มันมีความสุขไม่ใช่เหรอ ในเมื่อนกมันชอบบิน ทำไมต้องจับมันมาขังไว้แต่ในกรงด้วยล่ะ”
แคทเธอรีนหันมาตอบ “ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเพราะอะไร” เธอเปิดกรงนกออก ทำให้นกน้อยปินปรื๊อออกไป ศิริพจน์ตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวทำแบบนั้น เขามองแคทเธอรีนที่มีท่าทีนิ่งเฉยต่อไป
“แต่สำหรับนกบางตัว มันอาจจะยินดีที่จะถูกขัง เพราะว่ามันคงจะมีความสุขที่ได้อยู่ในกรงมากกว่าออกบินไปข้างนอกหน่ะค่ะ”
“ผมไม่เข้าใจ”
“คุณเห็นนกกรงตัวนี้ไหมคะ” เธอลูบกรงนกอย่างพินิจเบา ๆ “มันสวยงามและบอบบางเกินกว่าจะไปสู้กับนกตัวอื่นบนท้องฟ้าได้ ดังนั้นการมีเจ้าของมาคอยดูและมัน ให้ที่อยู่มัน และเห็นความสำคัญของมัน มันอาจจะไม่มีอิสรภาพเหมือนนกตัวอื่นก็จริง แต่ชั้นเชื่อว่ามันคงจะมีความสุขที่มันถูกขังอยู่ในกรงนะคะ”
ทันทีที่เธอพูดจบ นกน้อยก็บินกลับเข้ามาในกรงอย่างรู้เวลา
ศิริพจน์เขาใจทันที เมื่อเห็นอย่างนั้น สิ่งที่หญิงสาวพูดเป็นเรื่องที่เขาสามารถเห็นภาพตามทั้งหมด
คนก็เหมือนกัน ทุกคนย่อมมีความต้องการไม่เหมือนกัน การจะเอาตัวเองไปตัดสินคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก
บางทีพีร์อาจจะเหมือนนกกรงอย่างที่หญิงสาวว่าก็ได้ ที่มีความสุขจากการถูกขังด้วยความรักของศิลา
เพราะเขาสังเกตได้ว่า ถึงแม้พีร์จะมีความสุขเมื่ออยู่กับเขา แต่บางครั้งแววตาของพีร์ก็เศร้าหมองเหมือนคนที่อยู่ห่างจากคนรักเหมือนกัน
เอาเถอะ ถ้าพีร์จะเลือกกลับไปเป็นนกน้อยในกรงทองของศิลาตามเดิม เขาก็เข้าใจ ถึงแม้ว่าเขาจะรับไม่ได้กับวิธีการกักขังพีร์ไว้ในเงาของศิลา ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากให้นกน้อยนั้นขาดซึ่งอิสรภาพตามธรรมชาติของมัน
แต่ถ้ามันเป็นความสุขของพีร์จริง ๆ เขาก็ต้องทำใจยอมรับ
ถึงแม้ความฝันที่จะอยู่ร่วมกันจะสลายไปเหมือนน้ำค้างกลางแดดกล้า แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจเลย ที่ได้รักและได้รับความรักจากพีร์