45
[/color]
สัญญาณโทรศัพท์ที่บอกว่าหมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ดังผ่านหูเป็นร้อยรอบในแต่ละวัน หมายความว่าวันชนะปิดสัญญาณโทรศัพท์“โว๊ย!” นักขัตหงุดหงิดจนแทบจะขว้างมือถือตัวเองทิ้งให้พังๆไปเสีย ยิ่งพอมาถึงที่อพาร์ทเมนต์ของวันชนะเห็นกุญแจล็อกแน่นหนายิ่งว้าวุ่น เดินวนไปวนมาหน้าห้องอยู่นานจนตัดสินใจเคาะประตูห้องข้างๆ สักพักก็มีคนออกมา
“เอ๊ะ! มาหาใครคะ” คนในห้องแง้มประตูออกมาด้วยท่าทีระวังตัวเมื่อเจอคนแปลกหน้า
“ขอโทษครับ คือว่าผมมาหาคนที่อยู่ห้องนี้น่ะครับ แต่พอดีเขาไม่อยู่ พอจะรู้ไหมครับว่าเขาไปไหน” นักขัตถาม
“ไม่รู้หรอกค่ะว่าเขาไปไหน” เจ้าของห้องตอบออกมา
นักขัตรู้สึกหมดหวังยิ่งขึ้น ยิ่งหญิงคนดังกล่าวพูดต่อว่า
“เห็นแต่ว่าน้องเค้าเอากระเป๋าเดินทางไปด้วยนะคะ”
หนทางยิ่งตีบตัน
“อ้าว’จารย์ แบตมือถือหมดเหรอ” บอสยกมือถือขึ้นมาดูเห็นหน้าจอดำมืด
“อือ ลืมเอาที่ชาร์ตมาน่ะ” วันชนะปัด ที่จริงเขาอยากปิดเอาไว้ ไม่อยากรับรู้อะไร อยากจะขอพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วหลังจากนี้เขาจะเปลี่ยนเบอร์...เพื่อลืมทุกสิ่ง
“เหรอ อืมๆ” บอสเออออ
“ไปเล่นน้ำกันดีกว่า ป่ะ” ภัทรเอ่ยชวน “น้ำทะเลกำลังใสเลยล่ะ”
“ครับ” วันชนะรับคำ
“เดี๋ยวผมตามไปละกัน” บอสว่าพลางหันไปค้นกระเป๋ากุกกัก
“ตามใจ” ภัทรว่า
แล้วภัทรกับวันชนะก็ออกจากบังกะโลไป แต่พอไปถึงวันชนะกลับขอนอนเล่นบนทรายขาวๆก่อน แรกๆภัทรก็นอนเป็นเพื่อนด้วยอยู่หรอก แต่พอเห็นหนุ่มหน้าตาดีหุ่นดีเดินผ่านไปพร้อมกับสายตาที่รู้ความนัย เขาก็ลุกตามลงไปในทะเลทิ้งวันชนะเผลอหลับกลางวันไปคนเดียว
นานเท่าไรไม่รู้ที่หลับไป แต่ที่รู้คือแม้แต่ในฝันก็ยังมีนักขัตตามมาอยู่ดี
ตอนที่กลับมาจากเชียงใหม่ วันชนะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อที่จะลืมนักขัตเขาจึงอยากจะหาสักที่เพื่อสลัด ‘เงาตามตัว’ ให้หลุดไป สถานที่ที่ผุดในความคิดคือทะเล และพอดีว่ามีสายของบอสโทรเข้ามาพอดี สบจังหวะสองพี่น้องจะไปเที่ยวทะเลจึงขอไปด้วย
แต่นึกไม่ถึงว่าสองพี่น้องจะมาเสม็ด กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินจะหันรถกลับ
การมาที่นี่จึงกลับย้ำเตือน
แต่ก็เอาเถอะ คิดเสียว่าทะเลก็คือทะเล คลื่นขาวจะซัดความเจ็บปวดออกไป
“’จารย์ๆ ตื่นๆ” บอสเอานิ้วเขี่ยวแก้ม
“ว่าไงบอส” วันชนะงัวเงีย
“มัวแต่นอน ไม่ได้เล่นน้ำกันพอดี” เด็กมัธยมว่า “แล้วพี่ภัทรอ่ะ”
“ไม่รู้ เห็นลงไปเล่นน้ำแล้วนี่” วันชนะขยี้ตา
“จะเล่นน้ำไหมล่ะ’จารย์” บอสถาม
“อือ เล่นดิ เล่น” วันชนะพยายามดันตัวลุก “ดึงหน่อยดิ”
“ไม่ใช่หน้าที่” บอสว่าแล้ววิ่งลงทะเล
“อะไร เด็กคนนี้” วันชนะนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ที่บอสไม่เล่นด้วย
แต่แล้วก็สะดุ้งที่มีมือฉุดให้ลุกขึ้น
ร่างนั้นฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นปะทะกับแสงตะวันจ้าทำให้ตาพร่า ไม่ทันได้ถามไถ่ ร่างย้อนแสงนั้นดึงเขาเข้าไปกอดเสียแน่น
วันชนะดิ้นตามสัญชาตญาณ แต่ร่างนั้นยิ่งกอดแน่น
“อย่าหนีผมไปอีกนะ”
เพียงน้ำเสียงก็ทำให้วันชนะนิ่งงัน
“ตั้ม” เสียงแผ่วแทบจะไม่ลอดออกมา
ร่างนั้นจึงค่อยๆคลายวงกอดออก
“มาได้ยังไง” วันชนะครางสงสัย
นักขัตพยักเพยิดไปทางบอสในทะเล
“มือถือไม่ได้แบตฯหมดเสียหน่อยนี่” บอสตะโกนมา
หลังวันชนะออกไปจากบังกะโล บอสหวังดีจะชาร์ตแบตเตอรี่ให้เพราะเป็นมือถือยี่ห้อเดียวกัน แต่พอกดเปิดเครื่องก็พบข้อความอัตโนมัตขึ้นมากมาย แล้วก็มีสายโทรเข้ามาอีกด้วย
“ใจร้ายจังเลยนะ กะจะตัดตั้มออกไปจากชีวิตเลยเหรอ” นักขัตล็อกไหล่วันชนะเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนีไปไหน
“ทำไงได้ล่ะ ก็พอนายจำได้นายก็...” วันชนะพูดได้เท่านั้นแหละ เพราะปากโดนประกบด้วยปาก
วันชนะรู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าเพราะอาย ยังมองเห็นคนรอบๆมองมาอย่างสนใจ
“ตอนนั้นตั้มเพิ่งหายนะ อาจจะยังจำอะไรได้ไม่เต็มที่” นักขัตมองตาวันชนะราวกับว่าสถานที่นั้นมีเพียงเขาสองคน “ให้อภัยตั้มเถอะนะ”
“ง่ายไปหรือเปล่าตั้ม” วันชนะทำหน้านิ่งก่อนจะจับมือทั้งสองที่ไหล่ให้ปล่อยออก แล้วจึงทิ้งให้นักขัตยืนค้างกับลมทะเล
“ไหงทำงั้นล่ะ’จารย์” บอสปรี่เข้ามาตั้งแต่วันชนะเดินลงทะเลมา “ผมอุตส่าห์ช่วย”
“อย่าพูดถึงเขาเลยบอส” วันชนะเดินลอยหน้าเข้าไปที่น้ำลึกเท่าอกแล้วเริ่มว่าย
ก็แหม ขอเล่นตัวสักหน่อยเถอะ ไหนๆก็มีคนมาง้อทั้งที วันชนะลอบยิ้มในน้ำ แต่พอแอบมองไปที่เดิมก็ไม่เห็นนักขัตอยู่ตรงนั้นแล้ว มองหาที่อื่นก็ไม่เห็น หน้าเลยม่อยลง
หากแต่ได้ไม่นานสีหน้าก็ดีขึ้นเมื่อเห็นนักขัตไปเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเดินลงน้ำมา พอเข้ามาใกล้จึงรีบทำสีหน้าให้เรียบเฉย
“วิน...” นักขัตเรียกเมื่อมาถึงตัว
วันชนะทำเป็นไม่ได้ยินพลางว่ายออกห่าง
“วิน...” นักขัตว่ายตาม
วันชนะยังทำเป็นไม่สนใจจะพูดด้วย
“โอ๊ย!”
วันชนะหันขวับกลับมาเห็นนักขัตตะกายน้ำทุลักทุเล
“ไม่ตลกนะตั้ม”
แต่นักขัตค่อยๆจมลงๆ มือก็ตะกายคว้าหาที่จับ วันชนะก็ยังมองเฉยๆ จนกระทั่งนักขัตจมหายไป
“อย่ามาแกล้งกันหน่อยเลย” วันชนะบ่น
แต่พอเวลาผ่านไปนานเกินปกติ คนแกล้งจมน้ำก็ไม่มีทีท่าจะโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำเสียที สีหน้าเขาจึงได้ร้อนรนขึ้น จึงได้ดำลงไปดูข้างใต้ก็เห็นร่างนั้นลอยแน่นิ่ง
“ตั้ม!” เขาร้องใต้น้ำ รีบว่ายเข้าไปดึงร่างนั้นให้ลอยพ้นน้ำแล้วลากเข้าฝั่ง โดยมีบอสตามไปด้วย
“ตั้ม อย่าเล่นอย่างนี้สิ” วันชนะเขย่าตัวนักขัต อารมณ์วิตกจึงทำให้ไม่เห็นคนจมน้ำยักคิ้วให้สัญญาณกับบอสที่ยืนอยู่ข้างๆ
คนเริ่มเดินมามุงดูเหตุการณ์
“ผายปอดสิคะคุณ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“นั่นสิ’จารย์ ต้องผายปอด...” บอสเสริมพลางจะว่าอะไรต่อแต่ก็หยุด เพราะวันชนะก้มลงเป่าปากนักขัตไปเรียบร้อยแล้ว
“ตั้ม ตั้ม” พอถอนปากออกมาวันชนะก็ละล่ำละลักเรียก
“อีกรอบสิ’จารย์” บอสว่า
“ใช่ค่ะ ใช่” ไทยมุงเห็นด้วย
“ครับ” วันชนะรับคำแล้วทำอีกครั้ง
“อืม...” เอ้ะ! วันชนะรู้สึกแปลกๆ
“เฮ้ย!” คนปฐมพยาบาลดีดตัวผลุงเพราะลิ้นที่สอดเข้ามา นิ่วหน้ามองร่างเปียกน้ำที่มีเม็ดทรายเคลือบตัวทีแล้วมองหน้าบอสทีแล้วก็ทำหน้าบึ้งเดินออกไปทางอื่น
“วิน!” เสียงนักขัตเรียกตาม
แต่วันชนะไม่สนใจจะหันตามเสียงเรียก
ที่โต๊ะของร้านอาหารริมหาดใช้ตะเกียงเจ้าพายุให้แสงบนโต๊ะ วันชนะ ภัทร บอสนั่งทานข้าวเย็นท่ามกลางลมหัวค่ำค่อนข้างแรง
“เห็นว่าตั้มมานี่ ไปอยู่ไหนแล้วล่ะวิน” ภัทรถาม
“ไม่รู้เหมือนกันพี่” วันชนะตอบเสียงอ่อน
“เค้างอนน่ะ” บอสแทรก
“บอส” วันชนะหันไปทางคนเอ่ยแทรกพร้อมสายตาที่มีนัยน์ว่าพูดมากเดี๋ยวโดน
“ให้แต่พอดีแล้วกันนะวิน” ภัทรแนะอย่างเป็นผู้ใหญ่กว่า
“วินยังไม่ทันได้ทำอะไรเขาเลยนะพี่ภัทร” วันชนะเบ้ปาก ก็แค่ทำหน้าเฉยเมยหน่อยเดียว ใครจะคิดเล่าว่าจะน้อยใจหนีไปแล้ว
“เอาล่ะ อิ่มกันแล้วเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถอะ เดี๋ยวไปผับที่หาดข้างๆกัน” ภัทรว่า
ทั้งสองจึงลุกตาม
ผับริมชายหาดเปิดโล่งรับลมทะเลและเสียงคลื่น ผู้คนมากมายทั้งไทยและเทศเต้นรำเข้าจังหวะเพลงแดนซ์ทันสมัย วันชนะดื่มเหล้าไปนิดหน่อยพอมึนนิดให้เต้นได้สนุก ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเหล้าที่หยุดดื่มไปแล้วเหมือนจะทำให้มึนมากขึ้น มองเห็นภัทรเริ่มห่างออกไปเพราะผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งที่เต้นเฉียดกันไปมาเมื่อครู่ เหลือแต่บอสที่ยังอยู่ข้างๆ แต่เอ้ะ! พอมองหาบอสอีกทีกลับเปลี่ยนเป็นนักขัตไปได้ไง
“เมาแล้วรู้มั้ย” เขาว่า
“รู้” วันชนะลอยหน้า แล้วก็เซไปเกาะบ่าผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เป็นไรมั้ยครับ” อีกฝ่ายช่วยพยุงแล้วก็ถือโอกาสโอบเอาไว้เลย
ไม่รู้อะไรดลใจให้วันชนะเล่นแง่กับนักขัตมากขึ้น อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ภาพตอนนักขัตปัดมือมันเด่นชัดขึ้นมา...จึงได้ชนแก้วสนทนากับคนแปลกหน้า
โดยไม่หันไปหานักขัตอีกเลย
สักครึ่งชั่วโมง เมื่ออาการเมาเริ่มสร่าง จึงรู้สึกว่าคุยอยู่กับใครก็ไม่รู้และเมื่อรู้สึกว่ามือเขารุ่มร่ามเกินไปจึงได้ตีตัวห่างออกมา
และเพิ่งจะได้นึกถึงนักขัต...แต่หันไปไม่เห็นเขาเสียแล้ว
“เพื่อนเหรอ’จารย์” บอสเพิ่งกลับจากไปเดินริมหาดมา เห็นว่าวันชนะอยู่กับนักขัตก็อยากจะให้ได้ปรับความเข้าใจกัน แต่เมื่อกี้เห็นนักขัตเดินคอตกผ่านหน้าคนเดียวไปจึงกลับมาดู
“อืม” วันชนะไม่อยากสาวความ “กลับกันเถอะ”
“อ้าว” บอสงง “ไม่ต่ออีกหน่อยเหรอ”
“งั้นไปก่อนละ” พูดจบก็เดินดุ่ยออกมาไม่สนใจว่าจะทิ้งบอสเอาไว้
“เฮ้! ’จารย์” เสียงตะโกนดังตามหลัง
จนกลับเข้ามาในห้องที่มืดสนิท
“อ๊ะ!”
เขาสะดุ้งเมื่อมือที่ควานหาสวิทซ์ไฟโดนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่ง “ใครน่ะ!”
ร่างปริศนาไม่ตอบคำถามสั่นๆนั้นแต่กลับตรงเข้ากอดอย่างแน่น นั่นถึงทำให้วันชนะอ่อนลง
“ตั้มเหรอ” เสียงถามอ่อนลง
“เดี๋ยวนี้ร้ายจังเลยนะ” เสียงแผ่วที่ข้างหูพร้อมกับจูบที่ข้างแก้ม “วินยกโทษให้ตั้มเถอะนะ ตั้มขอโทษที่ทำไม่ดีกับวินวันนั้น นะครับ” ไม่พูดเปล่าคนขอลุแก่โทษพรมจูบไปด้วย
“เปิดไฟก่อนสิตั้มอย่างนี้มันแปลกๆ” วันชนะพูดจบก็โดนจูบแบบจู่โจมที่ปาก
ไฟเปิดสว่าง จากนั้นนักขัตจึงพาร่างในวงกอดไปที่เตียง ค่อยๆนั่งลงด้วยกัน มองหน้ากันอย่างเต็มตา
“เราสองคนรอวันนี้มานานมากแล้วนะวิน อย่าเสียเวลาอีกเลยนะ” นักขัตจับที่แก้ม
“แล้วคุณลุงกับคุณน้า...” วันชนะหวนคิดถึงปัญหา
“พวกเขาไม่ว่าอะไรแล้ว” นักขัตสบตานิ่ง พูดอย่างหนักแน่น
เท่านั้นแหละ เหมือนคนโดนล่ามโซ่มานานนับปีถูกปลดปล่อย วันชนะโผเข้าหานักขัตโดยทันที
“ฮือ...”
วันชนะร้องไห้อย่างไม่อาย พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “จริงๆนะ วินรักตั้มได้แล้วใช่มั้ย”
“ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาห้ามไม่ให้เรารักกันอีกแล้วล่ะ” นักขัตลูบหลังอย่างทนุถนอม
นานกว่าชั่วโมงที่กอดกัน จูบกัน หอมกันอย่างแสนรักใคร่
เพลงรักเริ่มอย่างนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นร้อนแรงด้วยแรงปรารถนาที่ดึงดูดคนทั้งสองให้เต้นรำไปกับจังหวะของมัน...
“หนาวมั้ย” คนกอดถามคนถูกโอบ
“กอดอยู่อย่างนี้จะหนาวได้ยังไงกันล่ะ” วันชนะเงยหน้าเห็นจมูกโด่งอยู่เหนือศีรษะ
“ไม่น่าเชื่อเลยรู้มั้ยตั้ม ว่าเราจะมีวันนี้” วันชนะทิ้งน้ำหนักลงกับอกของนักขัตอีกจนสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ถ้าก่อนนี้รู้ว่าวินทิ้งตั้มไปเพราะเหตุผลอะไรกันแน่ ตั้มจะไม่ปล่อยให้เราต้องจากกันนานขนาดนี้หรอก จากนี้ไปมีอะไรขอให้วินบอกตั้มเถอะนะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว เพราะตั้มจะไม่ปล่อยให้วินต้องสู้เพียงลำพังอีกแล้ว แต่เราจะฟันฝ่ามันไปด้วยกันนะ” นักขัตพูดที่ข้างหู “สัญญากับตั้มนะ”
“อืม สัญญาครับ” วันชนะยกนิ้วก้อยให้
นักขัตเกี่ยวนิ้วก้อยที่ยื่นมานั้นด้วยนิ้วก้อยของเขาเอง ความรู้สึกของคนรักสองคนเรียงร้อยเข้าด้วยกัน มันเป็นมากกว่าคำสัญญาใด เพราะเขากับวันชนะจะปฏิษัติต่อกันด้วยหัวใจ คำพูดของพ่อที่เอ่ยเมื่อตอนก่อนออกจากบ้านหวนมาอีกครั้ง...พ่อถามว่าเขาแน่ใจแล้วหรือ...เขากำลังพูดให้วันชนะฟังเหมือนกับที่ตอบคำถามของพ่อ
“ในชีวิตของตั้มไม่มีสิ่งใดแน่นอนยิ่งกว่าวินอีกแล้ว”