บทที่ 13 มาแล้วครับ
เรื่องกฏสองข้อนัั่นน่ะเป็นการตกลงกันระหว่างอาทิตย์กับธงรบซึ่งไม่อยากให้ใครรู้ครับ สองคนนั้นเลยอยากรู้กันแค่สองคน แต่อ่านๆ ไปก็จะรู้เองครับ
อิ อิ ถ้ายังไม่รู้ จะจัดการแข่งขันตอบคำถามชิงรางวัล ใครตอบถูกได้เลี้ยงข้าวและไอติมฮาเก็นด๊าซคนเขียน เดินผ่านร้านท่าทางน่าอร่อย แต่แพ๊งแพงอ่ะ ไม่มีเงินซื้อกิน อยากกิน
ธงรบ บทที่ 13
อาทิตย์จอดรถหน้า The Galleryอาคารสูงเจ็ดชั้นซึ่งเป็นที่พักของฤทธิไกร หรือ ท๊อป เพื่อนรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเดียวกันซึ่งเคยติดพันเขามาตั้งแต่เรียนชั้นปีที่สี่ ฤทธิไกรเป็นรุ่นพี่หนึ่งปี หลังจากเรียนจบก็เคยพบกันบ้างตามสถานที่เที่ยวกลางคืน ครั้งล่าสุดเขาพบกับฤทธิไกรบนเครื่องบินเที่ยวกลับจากฮ่องกงเมื่อไปคุมงานการถ่ายทำโฆษณา ฤทธิไกรแสดงท่าทีสนใจเขาแต่อาทิตย์ยังสงวนท่าที หลายวันที่ผ่านมาฤทธิไกรพยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับเขา วันนี้บังเอิญพบกันที่ยิมไม่นานก่อนจะที่เขาจะเริ่มวิ่งออกกำลังกายและโดนสารวัตรธงรบเข้ามา 'กวน' ดังนั้น ความคิดบางอย่างจึง 'แวบ' ขึ้นมาในหัวทันที
“ตกลงไม่ขึ้นไปด้วยกันจริงๆ หรือครับ” ฤทธิไกรหันหน้ามาทำตาอ้อนอาทิตย์ มือปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วเอนตัวเข้ามาใกล้คนขับที่นั่งนิ่ง
“ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ” อาทิตย์ยิ้มอ่อนโยน
“หรืออาทิตย์รังเกียจผม"
“เปล่า" อาทิตย์ส่ายหน้า "เราเพิ่งรู้จักกัน"
“ใครบอก เรารู้จักกันมาตั้งนานแล้ว" ฤทธิไกรแก้ให้ถูก "ลืมตอนท๊อปอยู่ปีสี่ได้ยังไง"
“เอ่อ ผมหมายความว่าเราเพิ่งเริ่มคบกัน"
“แล้วไง" ฤทธิไกรเลิกคิ้ว เอื้อมมือมาลูบไล้แขนของอาทิตย์ "ต้องรอนานขนาดไหนที่อาทิตย์จะขึ้นไปบนห้องกับท๊อป กลัวโดนปล้ำหรือไง"
“เปล่าครับ แต่ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างช้าๆ เป็นธรรมชาติ ท๊อปอย่าเพิ่งเร่งรีบเลยครับ เราควรศึกษากันให้ดีเสียก่อน" อาทิตย์พูด แต่คนฟังทำหน้าประหลาดใจ
“อย่าบอกนะว่าจะต้องรอให้เรารักกันก่อน อาทิตย์ถึงจะยอมมีอะไรกับท๊อป"
“มีอะไรกัน เอ่อ...” อาทิตย์เลิกคิ้ว "ท๊อปอยากมีอะไรกับผม...”
“อยากสิ ทำไมจะไม่อยาก ไม่งั้นจะตื๊ออาทิตย์ทำไม ท๊อปไม่ใช่คนสมัยเก่านะที่ต้องรอให้ถึงวันส่งตัวเข้าห้องหอซะก่อนถึงจะมีอะไรกันได้" ฤทธิไกรหัวเราะเบาๆ "อาทิตย์ ถ้าถูกใจกันจะรอทำไม ส่วนเรื่องรัก ก็พัฒนาความสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ พอจะรักกันมันก็รักกันเองล่ะ แต่ระหว่างนี้ ท๊อปไม่เห็นความจำเป็นว่าเราต้องรอ อย่างน้อยท๊อปก็ไม่มีวันท้อง"
อาทิตย์หัวเราะแล้วนั่งนิ่ง พยายามนึกหาคำพูดจะมาอธิบายสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนชอบคิดอะไรแบบคนสมัยเก่า เพื่อนๆ เขาล้ออยู่เสมอว่าเขาเกิดมาผิดยุค
...แต่ทำยังไงได้ เขาไม่ใช่คนที่จะไปนอนกับใครที่ไหนก็ได้โดยไม่ได้มีใจด้วย...
...แล้วกับสารวัตรธงรบล่ะ มีใจกับธงรบหรือเขาถึง 'ยอม' ธงรบแบบนั้น...
...แบบที่เป็นครั้งแรกในชีวิต แบบที่เขาไม่เคยคิดว่าจะยอมเป็น แบบที่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคน 'ควบคุม' บทบาทบนเตียง...
...แล้วนี่ท๊อปเสนอตัวให้เขาตรงๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนเดิมว่าทุกอย่างควรจะรอให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ถึงแม้ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบชายหญิงที่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน แต่เขาก็คิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้ก็ควรจะมี 'ทำนองคลองธรรม' ในระดับหนึ่ง ซึ่งเขาหมายความว่าต้องรอให้รักกันก่อน...
“ผมอยากให้ทุกอย่างมันมีคุณค่า" อาทิตย์พูดเสียงอ่อนโยน "ขอให้ท๊อปเข้าใจผมบ้าง"
ฤทธิไกรนั่งนิ่งชั่วครู่แล้วอมยิ้ม ในใจรู้สึกปนกันระหว่างความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากหนุ่มสมัยใหม่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีและความรู้สึกชื่นชมกับความคิดบริสุทธิ์ของอาทิตย์
...ผู้ชายแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ควรจะเป็นแฟนในอุดมคติ ผู้ชายที่เชื่อมั่นในความรัก ผู้ชายรักเดียวใจเดียว ผู้ชายที่เขาไม่ต้องห่วงว่าจะไปสำส่อนกับใครที่ไหน ผู้ชายที่เพรียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ และหน้าที่การงาน...
“ก็ได้" ฤทธิไกรยิ้มมุมปาก "คืนนี้จะปล่อยอาทิตย์ไปก่อน แต่อย่าให้ถึงขนาดต้องรอจนกว่าจะถึงวันนั้นเลยนะ ลดมาตรฐานลงมาบ้างซักนิดเถอะอาทิตย์ ท๊อปรอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเราเริ่มจีบกันไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว มันก็ไม่แปลกหรอกที่เราจะมีอะไรกัน ตอนนี้ท๊อปยอมรับว่ามันอาจจะเร็วไปนิด แต่อีกเดือนนึงคงไม่ถือว่าเร็วเกินไปนะ อาทิตย์หน้าก็จูบกันได้แล้ว ตกลงหรือเปล่า"
อาทิตย์หัวเราะเบาๆ ทำทีเป็นเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดล้อเล่น ฤทธิไกรลงจากรถแล้วบอกให้อาทิตย์ขับรถกลับบ้านด้วยความระมัดระวังก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาแล้วเดินเข้าไปในอาคารที่พัก อาทิตย์นั่งมองชั่วครู่แล้วเคลื่อนรถออกไปช้าๆ ในใจรู้สึกสับสบอย่างบอกไม่ถูก สายตามองผ่านกระจกไปยังถนนเบื้องหน้า แต่กลับเห็นภาพใบหน้าคมเข้มปนทะเล้นของใครบางคน
...ไปซะทีผู้กองธงรบ เลิกทำหน้าทะเล้นอยู่บนกระจกหน้ารถของผมได้แล้ว...
อาทิตย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตามองกระจกบังลมหน้ารถของตัวเอง ในใจก็พยายามบอกกับตัวเองว่าเขาอาจจะลองคบกับฤทธิไกร แต่เพียงแค่เริ่มต้นคิดถึงสิ่งที่พูดกับฝ่ายนั้น เขาก็ถูกรบกวนจากความคิดอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งดังขึ้นมาในหัวของเขาทันที ตอนนี้ในหัวเขาแบ่งออกเป็นสามฝ่าย
...ฝ่ายแรกเฝ้าคิดแต่เรื่องการตัดใจจากพี่นุ ฝ่ายที่สองนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝ่ายที่เอาแต่คิดเรื่องของธงรบ แต่ฝ่ายที่สามนั้นเขายังไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ...
...จะให้มีอะไรกับใครทั้งที่ไม่ได้รักเขาทำไม่ได้หรอก เขาไม่ได้ต้องการความใคร่ เขาต้องการความรัก จะให้ทำแบบนั้นกับท๊อปโดยไม่มีความรักยังงั้นหรือ ไม่มีทาง...
...แต่กับธงรบเขายังทำได้เลย นั่นหมายความว่าเขารักธงรบแล้วหรือ...
...ไม่ใช่ เขายอมเป็นของธงรบเพื่อให้ธงรบทิ้งเขา ผู้ชายเจ้าชู้ ได้แล้วก็ทิ้ง หากธงรบได้เขาสมใจอยากแล้ว อีกหน่อยก็หมดความสนใจ เลิกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขา...
...ตกลงเขารู้สึกยังไงกับผู้กองธงรบ...
เมื่อกลับถึงบ้าน อาทิตย์นั่งดูทีวีเหงาๆ คนเดียวในห้องนั่งเล่นของครอบครัว บ้านของเขาหลังใหญ่มาก อาศัยกันอยู่เพียงห้าคน คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะเดินทางไปติดต่อธุรกิจบ่อยๆ สุริยะพี่ชายคนโตก็ยุ่งไม่แพ้กัน มักจะไปไหนมาไหนกับแฟนเป็นประจำ บางครั้งก็ไม่กลับมานอนค้างที่บ้าน ตะวันพี่ชายคนรองก็ถือว่าเป็นนักเที่ยวกลางคืนตัวยง จนอาทิตย์มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนเดียวซึ่ง 'อยู่บ้าน' มากกว่าคนอื่น
คืนนี้ก็เช่นเคย อาทิตย์นั่งอยู่ในบ้านคนเดียวจนใกล้จะห้าทุ่ม สุริยะเดินเข้าบ้านมาช้าๆ แล้วไปหยุดยืนอยู่ข้างโซฟาซึ่งน้องชายคนสุดท้องนั่งเอนตัวกดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ ราวกับไม่รู้ว่าจะดูอะไร
“อาทิตย์ ชักทำตัวเหมือนผีดิบเข้าไปทุกวันแล้วนะ" สุริยะถอดเน็คไท ปลดกระดุมเสื้อ เผยให้เห็นอกกว้าง ร่างสูงใหญ่แตกต่างจากน้องชายทั้งสอง พี่คนโตบึกบึนเพราะเล่นกีฬาหนัก ผิวคล้ำเพราะชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ผมตัดสั้นเกรียนคล้ายกับทหาร ใบหน้าเคร่งขรึม "เราจะแก่เท่าพี่แล้วนะ อายุแค่ 25 ทำตัวเหมือนคนอายุ 30”
“แล้วจะให้ผมทำตัวเป็นพี่ตะวันหรือไง อายุ 28 แต่ทำตัวเป็น 18”
“อ้าวอาตี๋เล็ก มาว่ากันแบบนี้ไดัยังไง" เสียงของตะวันดังขึ้นด้านหลัง "ฟังอาตี๋เล็กของเฮียพูดนะ"
“อย่ามาเรียกผมว่าตี๋เล็ก" อาทิตย์เสียงเข้ม
“แล้วลื๊อจะให้่อั๊วเรียกอะไรวะ เราสามคนตาตี่กันทุกคน เป็นน้องคนสุดท้องก็ต้องเรียกว่าตี๋เล็กสิ เฮียสุริยะเป็นตี๋ใหญ่ อั๊วเป็นตี๋รอง ลื๊อเป็นตี๋เล็ก"
“ตอนนี้นายทำตัวเป็นเด็กอายุสิบแปดเหมือนที่อาทิตย์กำลังพูดจริงๆ นั่นล่ะ น้องไม่ชอบให้เรียกอาตี๋ก็อย่าไปเรียกสิ" สุริยะดุน้องชายคนรอง
“หรือจะให้เรียกคุณชายอาทิตย์ หรือไม่ก็พ่อตะวันฉายของ...”
“พี่ตะวัน" อาทิตย์เสียงเข้มยิ่งกว่าเดิม
“ของใคร" สุริยะถามขึ้น
“ของเฮียเสาธงมั๊ง" ตะวันหัวเราะร่า
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไร้สาระได้ทุกวันเลยนะตะวัน"
"ไร้สาระเฉพาะเรื่องไร้สาระเท่านั้นล่ะเฮีย" ตะวันเล่นคำ "แต่เรื่องมีสาระผมไม่เคยไร้สาระ"
"พี่นึกว่าเรื่องของนายมีแต่ไร้สาระ" สุริยะเบ้ปาก แล้วหันมาหาอาทิตย์ "อ้อ อาทิตย์ พี่ได้ยินมาว่าทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักอีกแล้ว"
"ทำงานหนักเพราะมีเหตุหรือเปล่าว๊า" ตะวันแทรก
“มันก็ต้องมีเหตุทั้งนั้นล่ะ" อาทิตย์ต่อล้อต่อเถียงกับพี่ชายคนรองไม่ได้ "เหตุของผมก็คือผลกำไรของบริษัท ผมไม่ได้ทำงานเพื่อจีบลูกค้าหนิ"
“กัดเป็นด้วยแฮะ" ตะวันหัวเราะ
“อย่ามาว่าผมเป็นหมานะพี่ตะวัน" อาทิตย์เสียงเข้ม มือโยนรีโมทโทรทัศน์ลงบนโต๊ะ
“ใครไปว่าแกวะ" ตะวันเถียงแล้วหันไปฟ้องพี่ชายคนโต "คิดมากฉิบหาย พักนี้อาตี๋น้อยของเฮียเครียดและหงุดหงิดมากเลยนะ สงสัยไม่ค่อยได้ปลดปล่อย"
“ใครจะได้ปลดปล่อยเหมือนนายทุกคืน" สุริยะประชดเสียงเรียบ ก้มลงหยิบรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เป็นช่องรายงานข่าว
“ผมถึงได้สดชื่นรื่นเริงอยู่อย่านี้ไง ไม่เหมือนน้องตี๋เล็ก นั่งหน้าบึ้งจนคิ้วผูกโบว์อยู่แล้ว คิดอะไรนักหนา ยอมๆ เขาไปเหอะ"
“มาเปรียบเทียบอะไรผม" อาทิตย์ทำเสียงดุใส่พี่ชายคนรอง มือหยิบรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ชมสารคดีสัตว์โลก
“เปรียบกับเฮียก็ได้" ตะวันยืดตัวมาจับรีโมททีวีบ้าง "เฮียก็ดูผ่อนคลายอารมณ์หลังกลับบ้านทุกคืนเพราะสบายตัวมาจากข้างนอกแล้ว ไม่เหมือนคุณชายตี๋น้อย นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนท้องผูก"
“เปลี่ยนกลับมาดูสารคดี ผมไม่อยากดูเกมโชว์" อาทิตย์สั่งตะวันซึ่งเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปดูรายการเกมโชว์
“เครียด พักสมองบ้างสิไอ้หนู ปล่อยให้ชีวิตมันรื่นเริงบันเทิงใจบ้าง" ตะวันยึดรีโมทเอาไว้ แล้วชี้หน้าน้องชายพร้อมกับพูดว่า "ห้ามแย่ง พี่จะดูเกมโชว์"
“ตะวัน ทำไมชอบกวนน้องจริงๆ อาทิตย์ อย่านอนดึกนักนะ เรื่องงานก็อย่าโหมหนักนัก พ่อกับแม่เป็นห่วง พี่ไม่อยากให้ท่านกังวล" สุริยะส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้อาทิตย์นั่งหน้าบึ้งมองหน้าพี่ชายคนรองอย่างเอาเรื่อง
“ขมวดคิ้วเข้าไป เดี๋ยวก็แก่เกินวัย เผลอๆ จะแก่กว่าเฮียซันแทน" ตะวันยืดตัวนอนบนโซฟาแล้วพูดขึ้นมาเสียงเรียบๆ ว่า "อาทิตย์ เฮียรู้เรื่องนายกับตำรวจเจ้าชู้คนนั้นแล้วล่ะ"
“ไปบอกเฮียทำไม" อาทิตย์โวยวายด้วยความตกใจแล้วหันซ้ายหันขวา กลัวว่าคนอื่นจะรู้ความลับของตัวเอง
“เปล่า ไม่ใช่เฮียตี๋ใหญ่ ที่ว่าเฮียนี่คือเฮียคนนี้" ตะวันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง "ทำเป็นตกใจเกินเหตุ"
“ถ้าพ่อกับแม่หรือพี่สุริยะรู้เรื่องของผมกับผู้กองธงรบ เราไม่ต้องมาพูดกันอีกเลย ผมอุตส่าห์ปิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะพี่ตะวัน" อาทิตย์ทำเสียงเข้ม ใบหน้าจริงจัง
“จะปิดไปทำไมว๊า"
“แล้วคิดว่าพ่อกับแม่จะรับได้ยังงั้นหรือ" อาทิตย์ทำหน้าเคร่ง "มันไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นจะลุกขึ้นมาประกาศให้ใครเขารู้ว่าผมเป็นยังไง"
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าจะบอก" ตะวันปฏิเสธ หันไปมองจอโทรทัศน์แล้วพูดว่า "คนนี้สวยจริงๆ ให้ตายสิ แบบนี้น่าจีบมาเป็นแฟนซักเดือนสองเดือน"
“แต่พี่บอกว่าจะปิดไปทำไม"
“พี่ก็พูดไปยังงั้นล่ะ" ตะวันยักไหล่ ปฏิเสธคำพูดตัวเองหน้าตาเฉย "แต่เรื่องของลื๊อกับเฮียสารวัตรนั่นน่ะ...”
“อย่าไปเรียกเขาว่าเฮีย"
“เอ๊ะไอ้นี่ อะไรนักหนากับสรรพนามเรียกคนวะ" ตะวันทำเสียงหงุดหงิด "หรือจะให้เรียกว่าคุณชายอาทิตย์ กับคุณพี่สารวัตร"
“พี่ตะวัน อย่ามายุ่งเรื่องของผมกับผู้กอง"
“เขาเป็นสารวัตรแล้ว เลื่อนขั้นเลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์เป็นพันตำรวจตรีแล้ว นายก็เลื่อนขั้นให้เขาบ้างสิ คนเรามันมีพัฒนาการนะอาทิตย์ จะมาจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ไม่ได้นะ มันมีเปลี่ยนแปลงกันบ้าง คุณพี่ตำรวจหน้าขรึมเขาเปลี่ยนแล้ว เราก็เปลี่ยนให้เขามั่ง"
“ได้ค่าจ้างมาเท่าไหร่"
“เปล๊า" ตะวันส่ายหน้า "เพียงแค่ขี้เกียจ รำคาญ เบื่อที่ถูกตามตื๊อ"
“ใครไปตื่๊อพี่"
“ก็เขาเข้าหาน้องไม่ได้หนิ พี่ชายก็เลยซวย นี่ถ้าเขาเกิดหน้ามืดตามัวเห็นพี่ชายเป็นน้องชายละแกเอ๊ย ได้เสียวสุดยอดกันล่ะ" ตะวันทำหน้าตาท่าทางประกอบคำพูด "เออ ว่าแต่ว่า อืม ให้พี่ถามหน่อยนะอาทิตย์ แบบนายกับสารวัตรธงรบนี่ ใครเป็นฝ่ายแบบว่า เอ่อ จึ๊กๆ จั๊กๆ หรือ อื๊อๆ อ๊าๆ กันล่ะ"
“พี่อยากรู้นักก็ไปลองกับเขาสิ" อาทิตย์เสียงห้วน ส่ายหน้าอย่างระอาใจกับพี่ชายแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปโดยเร็ว
“อย่าท้านะอาตี๋เล็ก เดี๋ยวพี่ได้อื๊ออ๊าจริงๆ หรอก คราวนี้ลื๊อจะทุรนทุรายเพราะหึงหวงเสาธงของตัวเองไปปักคนอื่น" ตะวันล้อเลียนน้องชายพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
...เฮ้อ อาตี๋เล็กเอ๊ย เคยไร้เดียงสายังไงก็ไร้เดียงสายังงั้น พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินอายุอยู่นั่น หารู้ไม่ ตัวเองก็แค่เด็กคนหนึ่งที่สับสนในหัวใจของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ปากแข็ง ใจแข็ง ดื้อ ดื้อ ดื้อ ทำไมมีน้องดื้อยังงี้วะ เดือดร้อนตะวันอีกแล้วสิเนี่ย...
ธงรบยืนกอดอกพิงตู้เก็บของในห้องครัวของอธิคม ตามองคชานนท์กำลังล้างจาน หูฟังน้องชายของเพื่อนพูด 'สั่งสอน' อยู่เงีบบๆ ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ในใจเขากำลังคิดหลายเรื่อง คิดถึงอาทิตย์ คิดเกี่ยวกับอธิคม และคิดสงสัยว่าคชานนท์เป็นน้องชายของเพื่อนคู่หูเขาได้อย่างไร
“ตกลงพี่ธงเข้าใจแล้วนะ" คชานนท์สรุป หลังจากที่อธิบายสารพัดเรื่องให้ธงรบเข้าใจ "ระหว่างนี้พี่ก็อย่าลากพี่คมออกไปดื่มเหล้าข้างนอก ถ้าจะดื่มก็ดื่มที่บ้านนี่ล่ะ แต่อย่าให้มากนัก ส่วนเรื่องย้ายพี่คมไปแพร่ ผมจะจัดการเอง"
“แกมีอำนาจเยอะขนาดนั้นเลยหรือวะนนท์" ธงรบถามเพราะสงสัยจริงๆ
“ผมไม่มีหรอก" คชานนท์เงยหน้าขึ้นมามองธงรบด้วยสายตาเรียบนิ่ง "ผมมีแต่เส้นสาย"
“หมายความว่ายังไงวะ" ธงรบขมวดคิ้ว
“หมายความว่า...” คชานนท์กำลังจะเริ่มอธิบายแต่ธงรบรีบแทรกขึ้นมาว่า
“พอๆ ไม่ต้องอธิบายก็ได้ ทุกทีที่แกเริ่มต้นประโยคด้วย หมายความว่า ลงท้ายพี่ไม่เข้าใจซักที"
“แสดงว่าผมอธิบายไม่เก่ง หรือไม่ก็พี่เข้าใจอะไรไม่เก่ง"
“แต่อันนี้พี่เข้าใจว่าแกหลอกด่าพี่ว่าโง่" ธงรบยิ้ม
คชานนท์เงยหน้าขึ้นมายิ้ม "ใครจะไปว่าพี่ยังงั้น ไม่มีใครโง่หรอกครับ เพียงแต่ว่าบางอย่างพี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ"
“แกก็ยังหมายความว่าพี่โง่อยู่ดีใช่หรือเปล่า" คราวนี้ธงรบหุบยิ้ม ขมวดคิ้วพยายามทำความเข้าใจคำพูดของคชานนท์ "แกนี่พูดอะไรเหมือนไอ้วุธ เข้าใจยาก"
“ช่างเถอะ" คชานนท์เช็ดมือเพราะล้างจานเสร็จแล้ว "เอาแบบง่ายๆ ก็คือว่า ตอนนี้พี่ต้องให้กำลังใจพี่คมเพราะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน พูดแบบนี้พี่เข้าใจใช่ไหม"
“เดี๋ยวเถอะ ไอ้นี่" ธงรบยกเท้าขึ้นทำท่าจะเตะอีกฝ่าย
“และในระหว่างนี้พยายามอย่าทำอะไรผิดพลาด ยกตัวอย่างเช่น...”
“ไม่ต้องมายกตัวอย่าง พูดแค่นี้พี่ก็บรรลุแล้ว"
“เรื่องเด็กๆ ก็ต้องระวังให้ดี เราไม่ได้ไปยุ่งกับเขา อย่างน้อยเราก็คิดว่าเราคิดอย่างนั้น แต่เขาก็จะมายุ่งกับเรา ทั้งที่บางครั้งเราก็รู้ตัวหรือไม่ก็อาจไม่ได้ตระหนักถึงผลลัพท์ที่จะตามมา" คชานนท์พูดเนิบนาบ
“มิน่า ไอ้คมถึงบอกว่าแกเป็นพ่อคนที่สองของมัน" ธงรบเบ้ปาก "แล้วพูดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแกก็หลอกด่าพี่ทุกครั้ง"
“ผมด่าพี่ตรงไหน"
“แกด่าว่าไม่คิด" ธงรบถลึงตา
“พี่ต้องคิดให้ยาวๆ" คชานนท์พูดต่อ
“อีกแล้ว แกด่าพี่ว่าคิดอะไรสั้นๆ"
“เอ๊า ก็ได้ ผมจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว" คชานนท์ยักไหล่ เดินออกจากห้องครัวตรงไปยังห้องนอนของพี่ชายโดยมีธงรบเดินตามหลัง คชานนท์เปิดประตูโผล่หน้าเข้าไปดูอธิคมซึ่งนอนหลับอยู่บนเตียงแล้วหันมาพูดกับธงรบว่า "แล้วไม่ต้องเทแป้งโรยตัวให้ขาววอกขนาดนั้น เปื้อนที่นอนไปหมด ต้องเสียเวลาซักผ้าปูที่นอนเฉยๆ ผมจะให้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละสองครั้ง วันไหนที่เขาไม่มาก็ต้องเก็บๆ เองบ้าง"
“คราวนี้พี่ว่าแกเหมือนแม่คนที่สอง" ธงรบเบ้ปากแล้วหันหลังเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นพลางบ่นพึมพำ "มันทำได้ยังไงวะ เป็นซีอีโอบริษัทหลักทรัพย์ แล้วดูแลพี่ชาย ดูแลบ้านช่อง เป็นได้ทั้งพ่อทั้งแม่ ฝาแฝดไอ้วุธจริงๆ เลยให้ตายสิ"
“แล้วฟังพี่วุธบ้าง" คชานนท์เดินมาหยุดยืนใกล้ธงรบแล้วจบคำพูดว่า "ผมจะกลับแล้ว"
“ประโยคนี้ไอ้วุธคงไม่ได้สั่งให้แกมาบอกใช่หรือเปล่า"
“เปล่า" คชานนท์ยักไหล่ ก้มลงหยิบกุญแจรถและโทรศัพท์มือถือเดินไปที่ประตูห้องชุด
“นนท์ ขอบใจนะน้อง" ธงรบส่งเสียงเดินตามมา
“ถ้าไม่ดูแลพี่ จะให้ผมดูแลใครล่ะ ใช่ไหม" คชานนท์หันมายิ้ม "พี่ธงก็เถอะ อย่าให้ซ้ำรอยพี่คมก็แล้วกัน"
“พี่ไม่ทับถมซ้ำเติมมันให้เจ็บเพิ่มหรอก ขอสัญญาด้วยเกียรติของธงรบ" ธงรบตอบ
“ผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น" คชานนท์ส่ายหน้า "ผมหมายความว่า ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่"
“นนท์" ธงรบทำเสียงจริงจิง "พี่ไม่ได้บื๊อเหมือนพี่ชายแกนะ เวลาเมาพี่ไม่แก้ผ้าเดินไปเปิดประตูรับคนแปลกหน้าเข้ามาทั้งๆ ที่แฟนอาจจจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้หรอก"
“ผมรู้ว่าพี่สับหลีกเก่ง" คชานนท์พยักหน้า "แต่สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ผมพูดแบบนี้พี่เข้าใจได้ใช่ไหมครับ"
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยไป" ธงรบยกมือขึ้นผลักไหล่อีกฝ่าย "เดี๋ยวก็จับทำเมียซะเลย ไอ้นี่ หลอกด่าพี่จนนาทีสุดท้าย"
“ผมว่าพี่เป็นปราชญ์" คชานนท์หัวเราะ เดินออกจากประตูห้องชุด โดยมีธงรบยืนมองจนอีกฝ่ายเดินจนถึงหน้าลิฟท์
...ปราชญ์ที่กำลังสมองจะแตกตายเพราะคิดอะไรไม่ออกนะสิ ถ้าเก่งจริง ป่านนี้คงคิดหาวิธิีจัดการดับแสงตะวันดื้อๆ ดวงนั้นได้แล้วล่ะ...
...อาทิตย์จ๋า จะทรมานหัวใจของธงรบไปถึงไหน อย่าทรมานพี่ให้มีสภาพเหมือนไอ้คมนะอาทิตย์นะ...
***13***