มาติดตามคู่เจ้าปัญหากันต่อค่ะ

*******************
หลังจากคืนนั้นน้องเกี๊ยงมันก็มาพัวๆ พันๆ กับผมตลอด แต่ดูท่าทางมันจะผ่อนคลายมากขึ้น กลับมากวนตีนผมได้ต่อ มันไม่ได้พูดเรื่องที่บ้านอีก ผมก็เลยไม่ถาม ถ้ามันมีอะไรมันก็คงบอกผมเอง ผมยังคงรักษาระดับความห่างกับมันเท่าเดิม แต่มันเองกลับก้าวเข้ามาในกรอบของผมเพิ่มมากขึ้นไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว ทั้งที่มันบอกว่าผมเองที่เข้าไปในชีวิตมัน ตอนนี้เลยเหมือนต่างคนต่างแทรกเข้าไปในช่องว่างของกันและกัน
“โหล...พี่หนุ่ยงานผมเสร็จแล้วนะ วันนี้จะเอาไปให้ดูที่บ้านนะ เจอกันสองทุ่ม”
“เฮ้ย...”
ผมยังไม่ทันตอบมันไปว่าผมว่างรึเปล่า มันก็วางสายไปเสียก่อน ผมไม่มีเวลามาคิดว่าผมจะเจอมันได้ไหมในเวลานั้น ได้แต่ทำงานของผมต่อไปเรื่อยๆ จนบ่ายสามบอสมาบอกว่ามีลูกค้าต่างประเทศวอร์คอินเข้ามาดูสินค้า
การประชุมคุยงานกับลูกค้ายืดเยื้อกว่าที่คิด เพราะต้องสรุปให้เสร็จภายในวันนี้ ผมต้องพาลูกค้าไปดูงานที่โรงงานบางพลี แล้วพาลูกค้าไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิค่ำนั้นเลย ผมหิวจนแสบท้องเลยแวะกินข้าวที่หน้าปากซอยก่อนเข้าบ้าน กว่าจะได้กลับถึงบ้านก็สามทุ่มกว่า พอมาถึงบ้านผมถึงนึกขึ้นมาได้ว่ามีไอ้เด็กดื้อมันบอกว่าจะมาหาผมที่บ้านตอนสองทุ่ม ตอนนี้ไอ้เด็กดื้อนั่นนั่งหลับอยู่หน้าประตู...ที่เดิมที่มันเคยนอน
ผมจอดรถเรียบร้อยแล้วเดินออกมาดูน้องเกี๊ยงที่หน้าบ้าน เอานิ้วจิ้มมันเบาๆมันก็ยังไม่รู้สึกตัว
“หลับง่ายจริงเลยนะ ไอ้เตี้ย”
“เตี้ย! ตื่นดิ”
ผมก้มตัวลงเรียกมันเสียงดังๆ มันก็ยังหลับแถมขยับปากเคี้ยวจับๆอีกเหมือนเคย ดูแล้วก็ยิ่งเหมือนเด็กในร่างผู้ใหญ่ ผมเอามือแปะบนหัวมันแล้วจับโยกไปมา “ตื่นๆๆๆๆ ไอ้เตี้ยหมาตื่น”
“อื้อ....อะไรอ่า” น้องเกี๊ยงมันสะบัดหัวหนีมือผม แหงนหน้าขึ้นมามองแล้วหาวปากกว้าง ยังดีที่มันยอมตื่น ถ้ายังไม่ตื่นอีกผมคงต้องเรียกรถปอเต็กตึ๊งมารับศพมันแล้ว
“หูย...พี่หนุ่ยมาช้าอะ แก่แล้วก็งี้” น้องเกี๊ยงมันโวยใส่ผม ลุกขึ้นยืนสะบัดแข้งขา แล้วชูมือขยับเอี้ยวตัวเป็นเกลียวบิดขี้เกียจ
“ก็กูติดงาน แล้วนี่มานานแล้วรึยัง” มันหลับตาพยักหน้าเหมือนยังง่วงๆอยู่ แต่ก็ยังไม่วายบ่น
“นานดิ ก็บอกพี่ไปแล้วว่าจะมาสองทุ่ม แล้วดูดิ๊มาตอนนี้ ไม่ตรงต่อเวลาเลย เป็นผู้ใหญ่ยังไงกัน” มันย่นหน้าใส่ผม คงนึกว่าตัวเองเป็นหมาปักกิ่ง
“ก็มึงโทรมา กูยังไม่ทันบอกเลยว่าว่างรึเปล่า ก็รีบร้อนวางสายไป วันหลังหัดฟังคนอื่นมั่ง นี่ว่าจะไม่ด่าแล้วนะ” ผมอดไม่ได้ต้องกอดอกยืนดุมันอยู่หน้าบ้าน แต่ผมไม่รู ้ว่ามันจะรู้สึกรู้สารึเปล่า น้องเกี๊ยงยกมือไหว้ผมเหนือศีรษะสูงเหมือนอย่างกับจะไหว้เจ้า ไม่บอกก็รู้ว่ามันประชด
“สาธุ...ไม่ด่าเลยนะพี่ โอเคร เคร ผมผิดเอง กระผมมันไม่มีมารยาทเอง วันหลังผมจะรอพี่ตอบรับก่อน ใช่มะ ที่ต้องการ” คราวนี้มันหน้างอเลยครับ
“พอๆๆเลย กูขี้เกียจเถียงกับมึง เหนื่อย” ผมทำใจไม่โกรธที่มันกวนตีนผม ออกจะเห็นใจที่มันคงมารอนาน ผมโอบไหล่มันแล้วดึงตัวเข้าบ้าน
“กูก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ติดงานด่วนจริงๆ ที่จริงเอางานไปให้ดูที่ทำงานก็ได้นะ ไม่ต้องมาถึงบ้านหรอก” พอผมพูดดีด้วย น้ำเสียงมันก็ร่าเริงขึ้นมาเหมือนกัน
“อยากให้พี่เห็นฝีมือผมไง มันตื่นเต้น อยากรู้ว่าต้องแก้อะไรรึเปล่าด้วย อยู่ที่ทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาคุยกัน”
เราเดินตามกันเข้ามาในบ้าน วันนี้คงเป็นวันแรกที่มันเดินมาดีๆ สติครบไม่ต้องให้ผมประคองมา “นั่งก่อน กินอะไรมายัง” น้องเกี๊ยงยังไม่ทันตอบผมเสียงท้องของมันก็ร้องดังจนผมรู้ว่ามันคงหิวมาก มันหัวเราะแหะๆ เกาหัวแกรกๆ
“ไม่ได้กินอะไรมาเลย ไส้จะขาดแล้ว”
“บ้านพี่ไม่มีอะไรกินซะด้วยสิ มีแต่นม เอาปะ” ผมหันไปจะไปถามมัน แต่ปรากฏว่ามันมายืนส่องตู้เย็นอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมเลยหันมาชนตัวมันอย่างไม่ตั้งใจ
“เอ๊า มายืนเงียบๆ” ผมออกจะอึดอัดในความใกล้ชิดเลยเดินขยับตัวหลีกออกไปหยิบแก้ว น้องเกี๊ยงจับแขนผมไว้ทั้งสองข้าง
“ผมไม่ชอบดื่มนม แต่ถ้านมผสมเหล้าเอา หุหุ” ผมยกมะเหงกเขกหัวมันไปที
“ให้มันเป็นเวล่ำเวลามั่ง เหล้าน่ะดื่มไปมากๆ จะไม่ได้ตายตอนแก่นะเว้ย ถ้าไม่เอานมก็ไม่มีอะไรให้กินนะ”
มันทำหน้ามุ่ยบ่นกะปอดกะแปด “ดื่มก็ดื่ม ทำไมพี่ไม่เคยมีทางเลือกให้ผมเลย คราวก่อนก็ให้ดื่มกาแฟขมๆ คราวนี้ก็ให้ดื่มนมอีก เฮ้อ เป็นนักโภชนาการด้วยรึไง”
ผมยื่นแก้วนมให้มันก่อนที่จะบอกมันว่า “ไอ้เตี้ย เลิกบ่น จะกินนมอย่างเดียว หรือจะกินกำปั้นด้วยเป็นกับแกล้ม ปากดีนักนะมึง”
มันดื่มนมไปก็รื้องานให้ผมดูไปด้วย แต่ผมยังไม่อยากดู “พี่ไปอาบน้ำก่อนได้มั้ยวะ เหนียวตัวมากเลย รอแป๊ปนะ”
“หูยพี่ อะไรอะ คนเค้ามารอตั้งนานยังมาลีลาอีก เกิดจะมารักษาความสะอาดเป็นคุณหนูอนามัยอีกแล้ว...”
ผมฟังแล้วไม่พูดอะไรแต่กอดอกมองหน้ามันนิ่ง คราวนี้น้องเกี๊ยงมันหุบปากสนิทเลยครับ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงตะกุกตะกัก จนเกือบจะสั่น พูดด้วยกับผมแต่ก็หลบตาไม่ยอมมองตรงๆ
“เอ่อ...ผะ...ผมรอเองพี่ รอมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว จะรออีกสักแป๊ปก็คงไม่เป็นไรเนอะ ยังไงผมก็ไม่ละลาย แหะๆ”
แล้วมันก็รีบหันหลังหนีผมเลยครับ ผมถึงปลีกตัวไปอาบน้ำได้ อาบน้ำไปผมนึกมาได้ว่า ตั้งแต่ผมมาซื้อบ้านหลังนี้ มีก็แต่มันที่มาป้วนเปี้ยนในบ้านผม แม้แต่ไอ้ฝันที่ว่าสนิทกันมันกลับไม่เคยมาบ้านผมสักครั้ง มันเป็นคนแรกที่มาค้างบ้านผม มันเป็นคนแรกที่เข้ามาหาผมอย่างจริงจัง ผมเป็นคนสนุกเข้ากับคนง่ายก็จริง แต่น้อยคนนักที่จะมาข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผม ผมอาบน้ำเพลินไปหน่อยพอลงมาข้างล่างน้องเกี๊ยงนอนหลับยาวไปแล้ว นมที่มันบอกว่าไม่ชอบกลับดื่มจนหมดขวดทั้งที่ผมเทให้มันเพียงแก้วเดียว รอยนมยังติดเป็นเขี้ยวอยู่ที่แก้มมันดูแล้วยังไงๆมันก็ยังเด็ก
ผมเข้าไปเขย่าตัวมันปลุกให้มันตื่น “เกี๊ยงตื่นๆ” แต่มันกลับพลิกตัวหนีผมมันคงจะเพลียจริงๆ
ผมตัดสินใจนั่งกับพื้นหันหลังพิงโซฟาที่มันนอนเอางานมานั่งดูเองเงียบๆ งานทั้งหมดกว่ายี่สิบห้าชิ้นผมนั่งพิจารณาทีละอัน ใช้เวลาไปไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง งานที่มันทำจัดว่าใช้ได้กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นมีที่ต้องแก้อีกนิดหน่อย แต่ก็นับว่าไม่มากสำหรับการร่วมงานครั้งแรกของเรา ผมดูรูปเสร็จต้องบิดเนื้อตัวด้วยความเมื่อย ดูเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วออกจะง่วงอยู่นิดหน่อย ผมกำลังจะลุกไปนอน
“งานผมใช้ได้มั้ยพี่” เสียงเบาๆของมันที่ข้างหูกับน้ำหนักมือมันที่นวดที่ไหล่ผมทำเอาผมสะดุ้ง ยังดีที่ไม่ร้องโวยวายออกมา ตัวเย็นเฉียบไปหมด ตกใจจนต้องผ่อนลมหายใจออกมา พอตั้งสติได้แล้วก็อยากจะทุบมันต้องโวยออกไป
“ไอ้เตี้ย! ทำกูหัวใจจะวาย จะตื่นทำไมไม่บอก เฮ้อ” น้องเกี๊ยงมันหัวเราะขำ กลิ้งตัวไปมา กดท้องเอาไว้ด้วย ไม่รู้ขำอะไรนักหนา
“แค่นี้ก็ต้องตกใจด้วย ฮ่าๆ พี่หนุ่ยพูดอะไรแปลกๆ ถ้าผมจะตื่นก็แสดงว่ายังไม่ตื่น แล้วผมจะบอกพี่ได้ไงล่ะ”
ผมส่ายหัว ก็จริงของมัน มันยื่นหน้ามาข้างหูผมแล้วพูด “งานผมเยี่ยมเลยใช่มั้ยล่ะ ช่างภาพหนุ่มไฟแรงก็งี้ อะไรๆก็บรรเจิดดด” มันทำเสียงห้าว กร่าง ภูมิใจในงานของตัวเองเหลือเกิน
“ไอ้คนหลงตัวเอง มึงมาดูนี่ มีงานต้องไปแก้” คราวนี้มันเลื้อยห้อยหัวลงมาชะโงกอยู่ตรงหน้าผม โดยเอามือยึดไว้ที่ไหล่ผมทั้งสองข้าง
“ไหนๆ มีได้ไงวะ ผมว่าผมดูดีแล้วนะ”
ผมหันหน้าไปมองมัน หน้ามันอยู่ใกล้ผมจนแทบจะแนบแก้มกันอยู่แล้ว เรานิ่งกันไปทั้งคู่เหมือนตกใจในความชิดใกล้ๆ แต่เหมือนผมจะรู้ตัวก่อน เอามือดันหน้ามันออกไป
“นี่มึงจะนั่งดีๆให้เป็นผู้เป็นคนหน่อยได้มั้ย เลื้อยยังกับงู ทำอะไรเป็นเล่นไปหมด” มันหัวเราะร่วน ก่อนจะเลื่อนไถลตัวลงมานั่งข้างๆผม แล้วคว้างานในมือผมไปดู
“รูปไหนพี่ ตรงไหนที่ผมต้องแก้”
เรานั่งดูงานกันอยู่ตรงนั้น ค่อยๆดูแต่ละภาพ ผมในฐานะเจ้าของงานชี้จุดที่คิดว่าที่ประชุมจะต้องให้แก้ไขให้มันเห็น เกี๊ยงเองก็ดูตั้งอกตั้งใจที่จะรับไปแก้ไขให้งานดีขึ้น เราคุยกันจนเพลินกว่าจะรู้ตัวก็ตีสองกว่า ผมคุยไปก็เริ่มง่วงจนโงก น้องเกี๊ยงยังนั่งแก้งานจากคอม ผมต้องเขย่าตัวเรียกมัน
“พี่ไปนอนก่อนนะ ถ้าจะนอนนี่เสร็จแล้วก็ตามขึ้นไปแล้วกัน”
ผมบอกมันแล้วผมก็ขึ้นไปนอน ผมไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอีกต่อไปหากมันจะมานอนที่บ้านผม
จากวันนั้นมาน้องเกี๊ยงก็มานอนค้างที่บ้านผมบ่อยๆ ทั้งที่บางทีก็ไม่ได้ทำงานให้ผมแต่มันกลับเอางานอื่นมานั่งทำ แถมยังมาถามความเห็นผมเรื่องงานเรื่อยๆ แรกๆ ผมก็ด่ามันที่มายึดเอาบ้านผมที่ทำงานสำรองของมัน มันก็บอกแต่ว่า
“พี่เป็นหิ่งห้อยของผม แค่มาขอใช้สถานที่แค่นี้อย่าทำเป็นบ่น”
พอผมด่ามันไปอีกมันก็กวนประสาทไม่เลิก จนผมรำคาญ “มึงอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าลืมแล้วกันว่ากูเป็นเจ้าของบ้าน”
ฝันไปเถอะที่จะให้ผมพูดว่านึกเสียว่าเป็นบ้านของตัวเอง แค่นี้มันก็ตามสบายซะเคยตัวถ้าผมไปให้ท้ายมันอีก มีหวังอีกหน่อยมันต้องมายึดเตียงผมแน่ๆ ยังไงๆที่นอนของมันก็ยังคงเป็นที่เดิมคือข้างเตียงผม แต่มันก็มานอนบ่อยจนผมต้องไปหาซื้อที่นอนสำเร็จแบบปูกับพื้นไว้ให้มัน น้องเกี๊ยงไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องพ่อแม่อีก ผมหวังว่าเรื่องคงจะเรียบร้อยดี ผมเองก็ลืมไปเสียสนิท จนวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านมานานแล้ว น้องเกี๊ยงก็โทรเข้ามาด้วยเสียงแหบแห้ง
“พี่หนุ่ยมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ที่เดิมนะ” มันไม่วางสายไปก่อนอีกเพราะผมเคยด่ามันหลายครั้งว่าเสียมารยาท
“ไปกินเหล้าทำไม พรุ่งนี้มีงานไม่ใช่เหรอ” ผมจำได้ มันบอกผมว่ามันได้งานใหม่พรุ่งนี้ต้องไปรับงาน
“มาฉลองไงพี่ พ่อกับแม่เค้าแยกกันถาวรแล้ว พี่มาเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ ผมไม่อยากนั่งคนเดียว”เสียงหงอยๆของมันเงียบไปได้ยินแต่เสียงถอนหายใจ ก่อนที่มันจะพูดมาอีกครั้ง “รอพี่นะ”
เจอเสียงแบบนี้เข้าไปผมจะไม่ไปได้ยังไงครับ ผมคงทิ้งมันไปไม่ได้อย่างที่มันว่าจริงๆ คงต้องสานต่อกันไป
ตอนที่ผมเข้าไปมันก็คงดื่มไปแล้วพอควรครับ น้องเกี๊ยงนั่งอยู่เพียงคนเดียว ผู้คนเต้นรำเสียงคุยครึกครื้นของผู้คนเสียงเพลงสนุกสนานที่ดังอยู่รอบๆ กายดูไม่เข้ากับสภาพของมันตอนนี้เลย ถ้าใครไม่รู้จักมันก็คงมองว่าผู้ชายคนนี้คงกำลังอกหักอยู่ พอผมไปนั่งมันก็ส่งแก้วเหล้าให้ผม ผมส่ายหน้าไม่ยอมรับมันก็ยัดใส่มือพร้อมกับพูดว่า
“ฉลองกันหน่อยพี่... อย่างที่พี่เคยบอกผมจริงๆ ทุกเรื่องมันต้องจบ ตอนนี้มันจบแล้วพี่ เหมือนหนังอินเดีย กว่าจะจบเล่นเอาเหนื่อย เสียน้ำตากันเป็นปี๊ปๆ แต่มันก็จบแล้วจริงๆพี่ ไม่ต้องหนื่อยวิ่งรอบต้นไม้ วิ่งขึ้นเขากันอีก หึหึ ”
จบคำพูดน้ำตามันก็ไหลพอดี ผมนึกว่ามันทำใจได้แล้ว เล่นใส่มุกมาเต็มที่ แต่เอาเข้าจริงคงสะเทือนใจมันไม่น้อยเลย น้องเกี๊ยงยิ้มให้ผมเอามือปาดน้ำตาแรงๆ จนผมกลัวตามันจะช้ำ
“น่าอายพี่จริงๆ ผมร้องไห้ให้พี่ดูมากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ ผมนี่มันไม่ไหวจริงๆเลยเนอะพี่ อ่อนแอชิ...หาย” ว่าแล้วมันก็ยิ้มเยาะตัวเองก่อนกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร กูเริ่มชินกับภาพมึงร้องไห้แล้ว ”
“แล้วแม่กับพี่สาวเป็นไงมั่ง”ผมก็ยังสงสัยอยู่ขนาดน้องชายยังเสียใจขนาดนี้ แล้วพี่สาวกับแม่จะไหวเหรอ
“พี่สาวผมก็ยังเศร้าอยู่ แต่เค้ามีแฟนปลอบ ส่วนแม่ หลังๆเพื่อนเค้ามาชวนไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ เค้าก็เริ่มสนุก เพราะแต่ก่อนแม่ไม่ไปไหนเลย ต้องอยู่ที่บ้านตลอด” ผมพยักหน้ารับรู้ความเป็นไป ดูๆทุกคนรับกับปัญหาได้ดีกว่าที่คิด
“แล้วมึงล่ะ จะเลิกร้องไห้ได้รึยัง ลูกผู้ชายนะ ต้องเป็นหลักของครอบครัว” ผมตบไหล่มันเบาๆให้กำลังใจ
“ดูแล้วก็ไม่น่าเชื่อนะ กูคิดว่าคนอย่างมึงน่าจะเสียใจเรื่องผู้หญิง เรื่องแฟนมากกว่า”
น้องเกี๊ยงหัวเราะทั้งที่น้ำตายังติดอยู่ที่หางตามัน “ผมไม่มีแฟนจะไปกลุ้มเรื่องนั้นทำไมล่ะพี่”
“ทำไมมึงไม่หาแฟน มึงจะได้มีเพื่อน ไม่เหงา” ไม่ต้องมาติดอยู่กับกู ผมอยากจะบอกแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
น้องเกี๊ยงส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ทำไมผมไม่รักใคร” คนวัยรุ่นอย่างมันเจอผู้คนมากมาย หน้าตาก็ไม่ขี้ริ้ว ถ้าไม่เลือกมากก็ต้องมีอะไรสักอย่าง
“ไม่มีคนที่ชอบๆบ้างเหรอ” น้องเกี๊ยงมองหน้าผมทำหน้ายู่ยี่ แล้วนิ่งเงียบไปเหมือนคิด
“ไม่มี พี่จะมาถามทำไม พี่แก่กว่าผมจนจะเป็นลุงได้อยู่แล้ว ยังโสดสลดเลย ผมก็อยู่เป็นเพื่อนพี่ไง ไม่ดีเหรอ”
“ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกูเลย เป็นน้องก็ดีแล้ว มึงมีแฟนได้มีไปเลย ไม่ต้องมารอ” ผมอยากให้มันมีเพื่อนคู่คิดจะดีกว่า
“พอเลยพี่ แล้วทำไมพี่ไม่ดื่ม แก่แล้วก็ยังดื่มได้ เค้ากำหนดอายุแค่ขั้นต่ำ ไม่กำหนดที่หน้าตา หึหึ”
ผมเอื้อมมือไปตบหัวมันทีก่อนจะด่า “มึงนี่ ขนาดเศร้าๆหมายังเต็มปาก ปล่อยๆออกไปมั่ง เก็บไว้เยอะขนาดนั้น ยาก็ไม่ฉีดระวังจะเป็นบ้า”
“โอ๊ย!...พี่หนุ่ยอะ เจ็บนะ ชอบเล่นแรงๆ เดี๋ยวผมโง่ขึ้นมาทำงานไม่ได้ให้ใครเลี้ยงล่ะ”
“ให้พี่มึงเลี้ยงดิ ไอ้ฝันน่ะ เออลืมไป น่าจะเรียกมันมา ไม่เจอกันมาหลายเดือนแล้ว”
“เอาสิพี่ ผมก็คิดถึง”
ผมกดโทรศัพท์หาไอ้ฝัน “โหลว่าไงไอ้หนุ่ย โทรมาดึกนะมึง” เสียงไอ้ฝันงัวเงียรับสาย
“ไม่ว่าไง มาดื่มกัน น้องมึงก็อยู่นี่”
“น้องไหนวะน้องกู กูมีแต่พี่ น้องไม่มี พ่อกูมีเมียเดียว ลูกสอง” เสียงมันหัวเราะมาดังๆ
“แม่ง...กวนตีนโคลนนิ่งกันมาเลย ทั้งพี่ทั้งน้อง น้องเกี๊ยงของมึงไง ” น้องเกี๊ยงเอาหน้ามาใกล้โทรศัพท์ผม ตะโกนเข้าโทรศัพท์ดังๆข้างหูผม จนหูผมแทบแตก “พี่ฝันหวาดดีคร๊าบบบ...”
“อ๋อไอ้เกี๊ยงนี่เอง นึกว่าใคร กูลืมไปว่ามันไปทำงานกับมึง ฝากตบหัวมันทีด้วย”
น้องเกี๊ยงมันยังเอาหูแนบโทรศัพท์ผมอยู่ พอมันได้ยินมันเลยรีบหลบมือผมที่ตวัดขึ้นไปพอดี มันหลบทันอย่างฉิวเฉียด แล้วหัวเราะอย่างสะใจที่หนีได้ ผมชี้หน้ามันคาดโทษแล้วหันไปคุยโทรศัพท์ต่อ
“เออ นั่นแหละ มาป่าว กูรออยู่”
“อือฮึ ไม่ไปว่ะ กูนอนแล้วขี้เกียจออกอีก มึงหัวราน้ำไปกับมันสองคนแล้วกัน”
“อะไรวะ มีงี้อีก”
“กูเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ ง่วงนอนว่ะ ไปนอนก่อนนะ อย่าลืมดูแลไอ้เกี๊ยงน้องกูด้วยล่ะ” เสียงไอ้ฝันยังฝากฝังน้องมันต่อไป ผมมองดูคนที่มันให้ผม 'ดู' ผม 'แล' มันด้วยก็ได้ แต่ผมก็ได้แค่ดู ผมจะไปรับผิดชอบชีวิตใครได้
ผมยอมดื่มเป็นเพื่อนมันก็จริง แต่ผมก็ยังมีลิมิตของตัวเอง ในขณะที่ผมแค่มึนๆ น้องเกี๊ยงมันก็เมาไปแล้ว ตาปรือ ช่างพูดช่างคุย “พี่หนุ่ย พี่รู้มั้ย บางครั้งผมมาคิดๆนะ ทำไมผมถึงมาสนิทกับพี่ได้ พี่ว่ามันประหลาดมะ”
“ประหลาดสิ แต่มึงพูดผิดไปอย่างนะ มึงสนิทกับกู แต่กูไม่ได้สนิทกับมึงสักหน่อย”
“หูยพี่...เห็นผมเมา มาพูดให้ผมงงอีก ก็เราสนิทกันไง ผิดตรงไหน” น้องเกี๊ยงเอาแขนมากอดไหล่ผมรัดเสียแน่นเหมือนผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมัน
“เราสนิทกันตอนไหน กูขอถาม” ผมปัดแขนมันออกจากไหล่ผม
“ก็แต่นี้และตลอดไปไงพี่หนุ่ยก็...ทำเป็นไม่รู้อีก เอิ้กกก...” น้องเกี๊ยงยิ้มแล้วพยายามนวดไหล่ผมต่อ แต่ผมก็เอามือปัดออกไปอีก
“มึงอย่ามาใช้คำว่าตลอดไป พูดน่ะง่ายแต่ทำยาก” ใจคนยากจะเข้าใจ ผมไม่เคยเชื่อคำว่าตลอดไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผมเผลอทำหน้าเครียดไปโดยไม่รู้ตัว
น้องเกี๊ยงมันเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างหน้าผม เอามือแตะหน้าผากผม ตัวมันเองขมวดคิ้วมุ่น ทำราวกับผมกำลังป่วยและมันกำลังวัดไข้ให้ ผมต้องสะบัดหน้าหนีมือมัน
“พี่เป็นอะรายน่ะ ไม่สบายรึเปล่า” มันเอามือมาจับไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง ดวงตาหรี่ปรือ แต่คิ้วยังขมวดเป็นปมอยู่
“กูสบายดีเว้ย มึงแหละเมาแล้ว กลับบ้านได้รึยัง” น้องเกี๊ยงส่ายหน้า เอาหัวมาพิงที่ไหล่ผมแล้วเรอเอิ้กๆ ผมกลัวใจมันจริงๆ กลัวมันอ้วกใส่ผม
“ม่ายกลับบ้านผมนะ ไปนอนบ้านพี่ อย่างเคยน้า” คราวนี้ออกแนวดื้อแต่อ้อน
ผมดันตัวมันออกแต่ก็จับประคองเอวไว้ไม่ให้มันเอียงตัวไปมาหรือหงายหลังไป ผมพูดกับมันอย่างจริงจัง “บ้านมึงก็มีทำไมชอบมานอนบ้านกู แม่มึงเค้าไม่ว่ารึไงฮึ”
มันยิ้มแล้วส่ายหน้าพูดมั่วไปหมด “แม่ไม่ว่า แม่ให้มา แม่บอกว่าอย่าเป็นเด็กดื้อ ให้เชื่อฟังคุณครู อย่าซน เดี๋ยวครูตี”
ผมหัวเราะก๊ากกก แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็หัวเราะไม่ออก ในเมื่อมันเมาเละขนาดนี้ ผมมิต้องพามันกลับบ้านไปกับผมอีกหรือนี่ ผมเรียกบ๋อยมาคิดเงินแล้วบ่นกับตัวเอง “กรรมของกูจริงๆเล้ย”
*********************
อืมมมม มันจะยังไงต่อหว่าไอ้คู่นี้