(ตอนที่๕0)
จดหมายผมคงยังไปไม่ถึง แต่บางทีอาจเป็นเพราะใจเราสื่อถึงกัน วันรุ่งขึ้นขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน ใหญ่ก็โทรศัพท์มาหาผม
“ใหญ่/ฝัน”
เราต่างเรียกชื่อกันและกันขึ้นมาพร้อมๆกัน ผมนิ่งให้ใหญ่พูดก่อน แต่ใหญ่ก็เงียบไป
“ฝัน/ใหญ่”
เราเรียกชื่อพร้อมกันอีกครั้ง ผมต้องยิ้มกับตัวเอง ใจเราคงตรงกันมากเกินไปหน่อย ผมรีบชิงพูดก่อนว่า “มึงพูดก่อน ไม่งั้นวันนี้เราคงไม่รู้เรื่องแน่ๆ”
ใหญ่พูดเสียงเบาๆ จนผมต้องปรับเสียงให้ดังขึ้น “พ่อบอกให้มึงมานี่ มาเชียงใหม่” ใหญ่เงียบไปนานได้ยินแต่เสียงลมหายใจ ก่อนพูดต่อด้วยเสียงเนือยๆ
“กูไม่แน่ใจนะฝันว่าพ่อคิดยังไง พ่อดูเงียบๆ เครียดๆ ตั้งแต่กูกลับมา กูพยายามจะพูดเรื่องของเรา แต่พ่อก็เดินหนี แล้ววันนี้พ่อหายไปแต่เช้ากลับมาบ่ายๆ ก็บอกให้กูโทรมาหามึง ให้มึงมาเชียงใหม่”
ผมฟังแล้วก็มือเย็นเฉียบ ฟังจากที่ใหญ่พูดมาผมคาดเดาความรู้สึกของพ่อไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าที่พ่อเรียกผมไป จะให้ไปดูหน้าใหญ่ก่อนต้องเลิกรากันไป หรือเรียกผมเพื่อบอกว่าพ่อยอมรับเราแล้วกันแน่
“กูจะไปคืนพรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้เช้ากูไปลางานก่อนแล้วนั่งรถไปเที่ยวค่ำ”
“อืม” ใหญ่พูดน้อยกว่าปกติ จนผมพลอยกังวลเพิ่มไปอีก
“มึงอย่าคิดมากนะ กูมีความหวังเสมอ มีรักแล้วก็ต้องมีหวัง ใช่มั้ย เพลงเค้าบอกว่าอย่างนั้นนี่”
เสียงใหญ่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะว่าผมว่า “ไอ้บ้าฝัน”
“หึหึ มะรืนเจอกัน พรุ่งนี้มึงคงได้จดหมายที่กูส่งไป กูส่งสารไปแทนตัวกูก่อน แล้วเจ้าของสารจะตามไปเอง มึงคงไม่ว่ากูนะ”
“กูจะไปว่ามึงทำไม กูรอจดหมายจากมึงมานานแล้ว แค่รอเจ้าของอีกแค่วันเดียว ถ้ามันจะตายก็ให้มันรู้ไป”
“หึหึ ดีใจจัง วันมะรืนจะได้เจอมึงแล้ว” เสียงใหญ่หัวเราะเข้าโทรศัพท์มา
“เพิ่งจากกันไม่กี่วันนี้เอง อย่ามาทำพูดดีเลย”
“เอ๊า จากกันกี่วันก็คือจาก รักกันกี่วันก็คือรัก จากกันทั้งๆที่รักก็ต้องยิ่งดีใจสิที่ได้เจอกัน” คราวนี้ผมไม่ได้ยินเสียงใหญ่หัวเราะอีก แต่จากประสบการณ์ผมเดาว่ามันคงหน้าแดง ผมได้ยินแต่เสียงบ่นๆว่า “น้ำเน่าตัวพ่อเลยนะมึง หึหึ กูไม่คุยด้วยแล้ว ลูกกูรอกินข้าวอยู่ ไว้เจอกันนะ คิดถึงเหมือนกันนะครับฝัน”
ถ้ามันอยู่ต่อหน้าผม พูดแบบนี้ผมจะขอกอดมันให้หนำใจ ขอจูบมันให้หายอยาก แต่เราคุยกันติดต่อกันได้เพียงคลื่นของเสียง ผมเลยได้แค่ตอบมันไป
“คิดถึงมึง รักมึงนะใหญ่”
เราวางสายกันไปเงียบๆ ถึงแม้จะมีความกังวลในอนาคตวนเวียนอยู่ระหว่างเรา แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความรักความผูกพันของเราสองคน ผมแทบจะรอวันมะรืนนี้ไม่ไหว
ครั้งนี้ผมมาเชียงใหม่อย่างชำนาญ มาถึงเชียงใหม่เช้ามืดตามเคย แต่ผิดกันที่ว่าคราวนี้มีคนมารอรับผมที่สถานีรถ เมื่อผมเดินงัวเงียลงมาจากรถ ก็มีรอยยิ้มสว่างไสวของใหญ่ต้อนรับผม ผมยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปกอดมันอย่างไม่แคร์สายตาใคร
“มารอนานแล้วเหรอ ทำไมไม่นอน เดี๋ยวกูก็ไปหามึงเอง” ใหญ่ส่ายหน้าจนเส้นผมที่เริ่มยาวสะบัดอย่างน่ารำคาญ ผมเกลี่ยนิ้วเขี่ยเส้นผมออกจากใบหน้ามัน สบตากับสายตาลึกซึ้งที่มองตอบกลับมา
“ทุกครั้งที่มึงมา กูไม่รู้ตัวก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กูรู้ แล้วกูจะใจดำไม่มารับมึงได้ยังไง”
ผมหัวเราะแล้วกอดไหล่มันออกเดิน “ไม่น่าลำบากเลย” ก่อนที่ผมจะนึกอะไรได้หันไปถามมันว่า “นี่พ่อตื่นรึยัง”
ใหญ่เม้มปากแน่น หน้าสลดลงทันที “ยังไม่ลงมาเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าตื่นรึยัง”
ผมเห็นหน้ามันหงอยลงไปเลยลูบหัวมัน “ใจเย็นใหญ่ ทำใจสบายๆ ทุกอย่างจะต้องดี กูดูปฏิทินหน่ำเอี๊ยงมาแล้ว เค้าบอกวันนี้เป็นวันดี วันธงชัย เหมาะแก่การเริ่มทำอะไรที่ดีๆ”
ผมมองหน้างงๆของมันแล้วแอบหอมแก้มมันไวๆ ใหญ่ขมวดคิ้วอ้าปากกำลังจะว่าผม แต่ผมพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เค้าว่าเหมาะแก่การมงคลสมรสด้วย หึหึ”
ใหญ่หน้าแดงก่ำ เอาศอกมากระทุ้งที่ท้องผมจนผมร้อง “โอ๊ก!” ผมเจ็บก็จริงแต่ก็ยังหัวเราะ
“มึงนี่ กวนไม่มีเปลี่ยนเลยจริงๆ”
ใหญ่พาผมไปหาข้าวเช้ากินที่ตลาดเช้า เรานั่งกินโจ๊กกันไปเงียบๆ แต่เงยหน้าขึ้นมาสบตากันเป็นครั้งคราว ให้พอรู้ว่ายังมีกันและกันอยู่ตรงนั้น รอบข้างเราช่างวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน แต่สำหรับผมเหมือนเราอยู่กันเงียบๆสองคน ความรู้สึกนี้ช่างดีจนผมอดไม่ได้ที่จะดึงมือใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะมากุมไว้ แล้วบีบเบาๆ แก้มใหญ่เป็นสีชมพูระเรื่อ อาจจะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ยามเช้ายังทอแสงอ่อนๆ ทำให้ใบหน้าใหญ่ตอนนี้ดูน่าหลงใหลอย่างประหลาด
“ดีจังนะ ที่เราได้มาอยู่ด้วยกัน” ใหญ่พยักหน้า แต่ขมวดคิ้วเมื่อผมพูดจบ แล้วเอียงคอมองผมอยู่ชั่วขณะ ก่อนถามมาอย่างสงสัย
“ดูมึงไม่กังวลอะไรเลย”
ผมส่ายหน้า“ใครว่าล่ะ กูกังวล แต่กูทำใจดีสู้เสือ ในเวลาที่เราไม่แน่ใจในอะไรสักอย่าง กูขอแน่ใจในตัวเองก่อน แล้วกูเชื่อว่าที่เหลือก็เป็นเรื่องรองแล้ว”
ใหญ่ยิ้มกว้างก่อนหัวเราะ “มึงเข้าใจพูด คิดได้นะมึง”
“ไม่งั้นมึงจะรักกูเหรอ ตกหลุมรักกูจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วยังมาแซวกูอีก” ผมยักคิ้วให้มันแล้วอมยิ้ม ที่เห็นมันทำตาเขียวใส่
“ดีแต่พูดเข้าตัวเองนะมึง” เราหัวเราะเหมือนให้กำลังใจกันและกัน ก่อนที่ใหญ่จะบอกผมว่า “มึงพร้อมแล้วรึยัง”
ผมบีบมือมันแน่นขึ้น “พร้อมตั้งแต่รักมึงแล้ว”
ใหญ่เอามือหลังมือปิดปากแล้วเบือนหน้าไปยิ้มไม่ให้ผมเห็น แต่ผมก็เห็นแก้มป่องๆของมันได้อยู่ดี ทำให้ผมพลอยยิ้มไปด้วย ใหญ่พ่นลมหายใจออกแรงๆก่อนทำสีหน้าแน่วแน่แล้วลุกขึ้นดึงมือผมให้ลุกด้วย บอกว่า
“งั้นเราไปกัน ไปหาพ่อกู”
ผมกับใหญ่นั่งเงียบรอพ่อเอ่ยปากออกมาก่อน แต่พ่อก็นั่งมองหน้าเราสองคนสลับไปมาอยู่อย่างนั้นนานกว่าสิบนาทีแล้ว มือใหญ่ในมือผมเย็นเหมือนน้ำแข็งจนผมต้องบีบช่วยให้มันคลายความกังวลลง แล้วในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง
“อยากจะรักกันก็ตามใจ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รับผิดชอบกันเอาเองแล้วกันนะ”
แล้วพ่อก็ลุกขึ้นหันหลังจะเดินจากไป ทั้งที่ผมกับใหญ่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ผมปล่อยมือใหญ่ออกแล้วเรียกพ่อเสียงดัง “พ่อครับ”
ผมเดินเข้าไปคุกเข่าทรุดตัวลงไหว้พ่อ “ขอบคุณครับพ่อ ที่ให้โอกาสผม ให้โอกาสเรา” สายตาของพ่อที่มองมาเหมือนจะยิ้มให้ผม แต่ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองขนาดนั้น พ่อไม่พูดอะไรกำลังจะเดินออกไป
“พ่อครับ” ใหญ่วิ่งเข้ามากอดพ่อแน่น ใหญ่น้ำตาไหลในอ้อมกอดพ่อตัวสั่นเทา ทำเอาผมน้ำตาซึมไปด้วย พ่อลูบหลังลูบไหล่ปลอบใหญ่แต่ก็น้ำตาคลอๆ ตาแดงๆเหมือนใกล้จะร้องไห้เหมือนกัน
“ร้องไห้ทำไม พ่อไม่ขวางแล้ว ใหญ่น่าจะดีใจ หืม” ใหญ่ขยับตัวออกจากอ้อมกอดพ่อแล้วพูดเสียงอู้อี้ ยกมือเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กๆ
“ผมขอบคุณพ่อครับ ผมคิดว่าผมดื้อจนพ่อไม่รักผมแล้ว” พ่อจับหัวใหญ่จับโยกไปมา
“พ่อเหลือลูกคนเดียวแล้วนะ ไม่รักลูกแล้วจะไปรักใคร ยังไงความสุขของลูกก็คือความสุขของพ่อเหมือนกัน”
“ต่อไปนี้ใหญ่ก็ต้องจัดการกับชีวิตเองแล้วนะ พ่อขอไปดูแลน้องออมแทนแล้วกัน”
ใหญ่ส่ายหน้า “พ่อกับผมก็ยังเหมือนเดิมนะพ่อ ผมไม่ได้เลือกข้างใดข้างหนึ่งเพราะผมก็รักทั้งพ่อ ทั้งฝันมัน ผมก็ยังดูแลพ่อดูแลหลานเหมือนเดิม”
พ่อยิ้มใจดีให้ใหญ่ เหลือบมามองผมที่นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆ “งั้นก็ถือว่า พ่อได้ลูกเพิ่มมาอีกคนก็แล้วกันนะ” ผมยิ้มกว้าง โล่งอกเหมือนไม่เคยเป็นมาก่อน
“ต่อจากนี้ไปก็ขึ้นกับลูกสองคนแล้วนะ ที่จะประคองความรักกันไป พ่อก็คงจะมองอยู่ห่างๆ”
ใหญ่มันก้มลงกราบพ่อที่อก “ผมรักพ่อที่สุดเลย” พ่อกับใหญ่กอดกันกลมยิ้มกันทั้งคู่ ผมดูแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย
ผมมองภาพนั้นด้วยความซึ้งใจในความรักระหว่างพ่อกับลูก แล้วก็ทำให้คิดถึงแม่ผม ทำเอาผมอยากจะกอดแม่บ้าง ถ้าแม่รู้ว่าเรื่องราวออกมาแบบนี้แม่คงดีใจ ก่อนที่พ่อจะออกไปพ่อตบไหล่ผมเบาๆพูดให้ได้ยินกันสองคนว่า
“ฝากความคิดถึงไปให้คุณแม่ด้วยนะฝัน บอกว่าพ่อฝากใหญ่ให้เป็นลูกอีกคนด้วย แล้วฝากบอกไปด้วยว่า ‘พ่อขอบคุณ’ ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก ” พ่อผละจากผมและใหญ่ขึ้นไปดูน้องออมปล่อยให้เราอยู่กันลำพัง ใหญ่รีบจูงมือผมขึ้นไปที่ห้อง ผมเองก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย
พอเข้าไปในห้อง ใหญ่ปิดล็อกประตูแล้วดึงมือผมมานั่งที่เตียง ทำหน้าแปลกๆ ดูตื่นเต้น “ฝัน มึงช่วยตบหน้ากูหน่อย กูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย พ่อยอมรับให้เรารักกันแล้ว เรื่องจริงแน่ๆ ใช่มั้ย”
ผมหัวเราะกับท่าทางน่ารักของมัน “ก็เรื่องจริงน่ะสิ ไม่ใช่ฝัน”
ใหญ่ส่ายหน้า “กูไม่รู้ กูกลัว ถ้ากูหลับตาไปพอกูลืมตาขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นความฝัน ทำไมอยู่ๆพ่อก็ยอมง่ายๆทั้งที่พูดยากมาตั้งนาน”
ใหญ่มันปล่อยมือผมแล้วลุกขึ้นเดินวนไปวนมาบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมพ่อเปลี่ยนใจ”
“หรือเกี่ยวกับที่พ่อหายไปวันก่อน”
“พ่อไม่สบายรึเปล่า”
“หรือว่ามันจะเป็นแผน หลอกให้เราตายใจ” ใหญ่หันหน้ามาถามผมแต่คงไม่ต้องการคำตอบ เพราะยังคงบีบมือตัวเองเดินวนเป็นวงกลมต่อไป จนผมเกือบจะเวียนหัว ผมส่ายหน้าแล้วยิ้มล้มตัวลงนอน จนใหญ่หันมาเห็น เดินมาดึงมือผมให้ลุกขึ้น “อย่านอนสิ เดี๋ยวตื่นมากูหายวับไปกับตามึงไม่รู้นะ”
ผมยอมลุกขึ้นนั่งแต่ก็ยังขำ “มึงจะหายไปได้ไง” ผมรั้งเอวมันให้นั่งลงมาบนเตียงแล้วหอมแก้มมันเร็วๆ
“ก็กูได้กลิ่นแก้มหอมๆของมึงอยู่นี่” ผมทำตาพราวระยับใส่ใหญ่จนมันทำท่าเขินๆ เบี่ยงตัวหนีผม
“อื้อ..อีกแล้วนะมึง” ผมยิ้มแต่ไม่พูดกลับหอมแก้มมันอีกสองทีซ้ายขวา จนใหญ่โวยหน้าแดง “เฮ้ย..บอกแล้วยังทำอีก” มือผมยังรั้งเอวมันไว้ ผมเอาหน้าแนบแก้มมันก่อนที่จะจับประคองหน้าใหญ่ให้มองหน้าผมชัดๆ
“ ก็กูฟังผิดนึกว่ามึงขออีกที กูเลยจัดให้อีกสองครั้งไง แถมให้เป็นพิเศษ คนกันเอง หึหึ” ใหญ่เงียบไปเหมือนยังครุ่นคิดอะไรอยู่ ผมเอนตัวพิงหัวเตียงแล้วรวบตัวมันไว้ในอ้อมแขน
“ใหญ่ อย่าสงสัยอีกเลย พ่อเค้ารักมึงนะเค้าถึงยอมให้เรารักกัน ต่อจากนี้เราก็ต้องพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าเรารักกันจริงๆ จะดูแลกัน จะไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป” ใหญ่ลูบแขนผมเล่นแล้วหันมามองหน้าผม
“ทำไมดูมึงไม่ตื่นเต้น ไม่ประหลาดใจเหมือนกูเลยล่ะ ทำอย่างกับรู้แล้วยังงั้น” ผมทำตาโตแล้วส่ายหน้า
“รู้ที่ไหน กูรู้แค่ว่าเรารักกัน สวรรค์ก็คงมีตา ท่านคงเห็นใจเรา อุปสรรคของเราแค่ความห่างไกลก็พอแล้ว ไม่ต้องมาเพิ่มออพชั่นเรื่องพ่อแม่กีดกันให้มันยากลำบากขึ้นไปอีก หึหึ” ใหญ่หัวเราะแล้วทุบแขนผมเบาๆ
“มึงก็พูดเป็นเล่นไปเรื่อย หึหึ”
ใหญ่ยังคงลูบแขนผมจนผมขนลุก ผมขยับตัวประคองใหญ่ให้นอนลงบนเตียง ใหญ่ทำท่าจะลุกขึ้นจนผมต้องกดตัวเอาไว้ ใหญ่โวยขึ้นมาว่า “อื้อ กูไม่นอน สายแล้ว เดี๋ยวก็ต้องลงไปเปิดร้าน…อึก...อื้อ...”
ผมไม่รู้ว่าใหญ่จะพูดอะไรต่อเพราะผมหยุดเสียงของมันด้วยรอยจูบของผม เป็นสัมผัสที่ผมสามารถทำได้เต็มที่ฉลองให้กับการเริ่มต้นความรักที่เปิดเผยของเรา
“ร้านช่างมัน ตอนนี้กูจะทำให้มึงรู้ว่า นี่มันไม่ใช่ความฝัน ตัวกูอยู่กับมึงที่นี่ ตรงนี้ ข้างหน้ามึง ต่อสายตาของมึง ให้มึงรับรู้ ...รู้สึก...”ใหญ่เอามือปิดปากผม
“ไม่ต้องพูดแล้ว กูรู้แล้ว ” ผมอมยิ้มแล้วเริ่มสอดมือเข้าไปในเสื้อใหญ่ ใหญ่ยกตัวขึ้นมาจูบปากผม ใช้มือรั้งคอผมลง ขณะที่ผมกำลังลูบไล้ร่างกายใหญ่ภายใต้เสื้อนั้น
ก๊อกๆๆ “คุณพ่อขาตื่นรึยังค้า หนูจะไปโรงเรียนสายแล้วค่า” ผมผละตัวออกมองหน้าใหญ่ทันที มันทำตาปริบๆเหมือนยังงงๆ
“คุณพ้อ...ทำไมตื่นสาย ฮือๆๆ..หนูสายแล้ว”
คราวนี้ใหญ่คงรู้แล้วครับว่าตัวจริงเสียงจริงของน้องออม ใหญ่ผลักผมอย่างแรงจนหงายหลังแล้วรีบลุกขึ้น มือเป็นพัลวันถอดเสื้อผ้าลูบหน้าลูบผมให้เรียบร้อยปากก็พูดไปด้วย
“ตื่นแล้วคร๊าบบ...หนูลงไปรอคุณพ่อข้างล่างนะ เดี๋ยวคุณพ่อตามลงไปนะครับคนดี ไม่ร้องนะ” ใหญ่พูดไปเหมือนหอบเหนื่อยแล้วหันมามองผม หน้ามันยังแดงระเรื่ออยู่เลย ผมนอนเท้าแขนมองมันเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างมีความสุข จนมันส่งสายตาดุๆมา
“มองอะไร หันไปทางอื่น” ผมหัวเราะแกล้งเอามือปิดตาไว้ แล้วแหวกนิ้วดู
“คุณพ่อขา...ทำไมช้าจัง” เสียงน้องออมยังเคาะเรียกใหญ่ไม่หยุด ใหญ่เลยยิ่งรีบจนผมขำ ผมลุกจากเตียงมาช่วยมันแต่งตัวจับปกเสื้อที่กระดกขึ้นให้ลงมา ใหญ่แต่งตัวเสร็จทำท่าจะออกจากห้องไป แต่ผมดึงมือรั้งมันไว้ มันเลิกคิ้วถามผม “อะไรเหรอ เดี๋ยวกูกลับมานะ แป๊ปเดียว”
ผมเดินเข้าไปใกล้มันแล้วกดปากลงอีกครั้งที่ริมฝีปากสีแดงยั่วใจของใหญ่ ผมประคองใบหน้ามันไม่ให้หนีไปไหน เนิ่นนานก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย บอกใหญ่ด้วยรอยยิ้มไปว่า
“ มัดจำไว้ก่อน รอมึงกลับมา”
ใหญ่ทำหน้างอใส่ผมแต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม “ไอ้บ้า” แล้วหันหลังรีบออกไปทันที
ผมยังได้ยินเสียงบ่นของน้องออมแว่วๆ “ทำไมคุณพ่อตื่นสาย แล้วทำไมคุณพ่อแต่งตัวช้าด้วย แล้วทำไมคุณพ่อปากบวมๆ ...แล้ว...” น้องออมคงมีคำถามที่ตอบยากมาได้อีกจนใหญ่ต้องรีบห้าม
“พอแล้วลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ...”
ผมออกมาแอบยืนส่งใหญ่ที่หัวบันได ยังเห็นมันเหลียวขึ้นมามองผมสบตากันแล้วหน้าแดงหันกลับไป ผมเข้าห้องเข้าไปนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวเป็นนานเหมือนคนบ้า ผมถึงรู้ว่าความสุขที่มันมาพร้อมๆกับความรักเหมือนสารพิเศษที่ทำให้คนเรายิ้มได้ไม่หยุด ผมเดินเล่นไปรอบๆห้องรอใหญ่ จนไปหยุดอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ จดหมายฉบับล่าสุดที่ผมส่งมาให้ใหญ่เปิดกางอยู่บนโต๊ะ
ผมอ่านจดหมายอีกครั้งยิ้มกับตัวเองแล้วหยิบกระดาษเขียนจดหมายของใหญ่ขึ้นมาจรดปากกา
ใหญ่เพื่อนรัก
มึงอย่าเพิ่งแปลกใจไปว่ากูเพี้ยนหรือเปล่า เพราะเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ กูนึกอุตริอะไรมาเขียนจดหมายหามึง จดหมายฉบับนี้คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่กูจะส่งให้ใหญ่เพื่อนรัก ต่อไปกูคงจะไม่เขียนให้เพื่อนรักอย่างมึงแล้ว
ไม่ใช่เพราะกูรู้สึกว่ามันเชย ไม่ใช่เพราะกูคิดว่ามันช้า และไม่ใช่เพราะกูไม่ชอบ กูชอบเขียนจดหมายก็เพราะมึงเป็นคนเริ่มเขียนมาหากู กูไม่รู้ว่าความรักของเราที่มีวันนี้ได้เพราะจดหมายพวกนี้หรือเปล่า แต่กูคิดว่าเพราะข้อความที่เราเขียนหากันมันเป็นเหมือนสายใยที่เชื่อมความรู้สึกของเราไว้ด้วยกัน ถ้าหากเราไม่มีสายใยเหล่านี้ เรื่องของเราก็คงจบลงเพียงความห่างไกลและตัดขาดกันไปแล้ว
มึงอย่าแปลกใจว่าถ้ากูคิดว่าการเขียนจดหมายมันดีขนาดนั้น ทำไมกูถึงบอกว่าจะเลิกเขียน ที่กูบอกว่านี่คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่กูจะส่งให้เพื่อนรักอย่างมึง
เพราะต่อจากนี้ไป ถ้าจะมีจดหมายอีกกี่ฉบับก็ตาม คงจะเป็นจดหมายจากกู ‘ฝัน’ คนที่รักมึง ให้ ‘ใหญ่’ คนที่กูรักมากกว่า มึงอ่านแล้วอย่ายิ้มให้กูเห็นนะ เพราะถ้ากูเห็นกูคงห้ามใจไม่ให้รักมึงเพิ่มขึ้นไม่ไหว แต่ถ้ามึงบอกว่ากูน้ำเน่า กูก็ขอบอกเลยว่า กูก็น้ำเน่ากับมึงคนเดียวเท่านั้น เพราะงั้นถ้ามึงไม่ยอมฟังคำพูดน้ำเน่าจากกูแล้ว กูไปพูดกับคนอื่นมึงจะมาเสียใจไม่ได้นะ
จดหมายฉบับนี้อาจไม่ใช่สัญญารักที่เอาไปจดทะเบียนที่เขตเหมือนทะเบียนสมรส และไม่เหมือนสัญญาทั่วไปที่ต้องแปะอากรแสตมป์ตามวิธีการทำสัญญาทั่วไป แต่มันก็เหมือนเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของกู ว่าต่อนี้ไป กูจะขอรักมึงไปแบบนี้ แบบนี้ และแบบนี้ จะขอเป็นคนที่ขอดูแลมึงและคนที่มึงรักไปตลอดชีวิต....ผมเขียนไปแล้วก็อดเขินไม่ได้จนต้องบ่นกับตัวเอง “เขียนไปได้นะกู เดี๋ยวใหญ่มาเห็นบอกเน่าได้อีก” ผมกำลังจะขยุ้มจดหมายทิ้ง แต่กลับมีเสียงห้ามผมไว้แล้วดึงจดหมายไปจากมือผม
“เอ๊ย...มึงจะทำอะไร” ผมเหลียวไปดูถึงเห็นว่าใหญ่มันมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ใหญ่ยืนยิ้มกว้างในมือมีจดหมายของผมอยู่
“กูไม่เขียนแล้ว เดี๋ยวมึงว่าเน่าอีก”ใหญ่ดึงจดหมายหนีจากมือผมที่จะคว้าเอาคืน มันหันมาดุผมอีกว่า
“ได้ไง จดหมายกู เขียนให้จบนะ ห้ามทิ้งด้วย”
“จดหมายมึงได้ไง ก็กูเป็นคนเขียนเห็นๆอยู่” ใหญ่ชี้ให้ผมดูที่หัวจดหมายอีกครั้ง
“นี่ไง ใหญ่เพื่อนรัก มึงเขียนให้กูชัดเลย แล้วจะว่าไม่ใช่ของกูได้ไง”
ผมกับมันเลยได้แต่ยิ้ม “ไม่อยากเขียนแล้วล่ะ เขียนไม่ออก”ใหญ่ย่นจมูกใส่ผม ส่งคืนจดหมายมาให้
“เขียนไม่ออกอะไรกัน เขียนมาตั้งยาว เขียนให้จบด้วยแล้วห้ามลบห้ามแก้ เดี๋ยวกูจะมาอ่าน เขียนไม่จบ กูไล่กลับกรุงเทพฯเลย ไม่ให้อยู่บ้านกูด้วย”
“หูยยย..คนใจร้าย นี่กูไม่ใช่ลูกมึงนะ คุณพ่อใหญ่ขา…คุณ...” ผมพูดแหย่มันยังไม่จบ ใหญ่เอากำปั้นมาชกแขนผมแรงๆ
“เดี๋ยวปั๊ดไล่กลับเดี๋ยวนี้เลย ”
“โอ๋ๆๆ กลัวแล้วครับคุณใหญ่ ผมเขียนต่อเดี๋ยวนี้ครับ คุณลงไปเลยครับ คุณมายืนยั่วผมแบบนี้ผมเขียนไม่ออก เดี๋ยวจับปล้ำซะเลย หึหึ” คราวนี้ใหญ่มันไม่ชกมือเดียวครับมันกระหน่ำกำปั้นลงบนหลังผมจนผมน่วมไปทั้งตัว “ไอ้ฝันนนน...อย่าอยู่เลย...”
ทุบจนหนำใจแล้วก็ออกไปจากห้องก่อนออกยังหันมาสั่งผมอีกว่า “เดี๋ยวกูจะขึ้นมาดู เขียนให้เสร็จนะ” ผมได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหัวกับผู้ใหญ่ที่เหมือนเด็กคนนี้ ผมต้องกลับเอาจดหมายมาดูอีกครั้ง แล้วเขียนต่อสั้นๆว่า
“ต่อนี้ไป กูจะขอรักมึงไปแบบนี้ แบบนี้ และแบบนี้ จะขอเป็นคนที่ขอดูแลมึงและทุกคนที่มึงรักไปตลอดชีวิต....
กูจะขอลาออกจากเพื่อนรักมาเป็นคนรักของมึงตลอดไป...ใหญ่ที่รักของกู
ฝันคนของมึง
ปล. จดหมายฉบับนี้จะทำลายตัวเอง เมื่อท่านอ่านจบ ขอให้จำไว้ในหัวใจด้วย ”**************************
ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดค่ะ