ทำไมยิ่งอ่านยิ่งเครียด มีแต่อีโม
เต็มไปหมด กลุ้มจาย
************************************
(ตอนที่๔๑)
ใหญ่คงไม่รู้ว่าผมได้คุยกับพ่อมันแล้ว ผมก็ไม่กล้าบอกมันด้วย ถ้าผมบอกไปมันก็คงไม่สบายใจ ผมตัดสินใจไม่บอกดีกว่า แต่ก็ทำเอาผมกลับมาเครียดอีกรอบจนทนไม่ไหวต้องโทรไปหาไอ้หนุ่ยชวนมันไปกินเหล้า วันนี้ทางสะดวกแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับญาติครับ ผมเลยว่างๆ
“โหล ไอ้หนุ่ยไปดื่มกันนะมึง ว่างรึเปล่า?”
ไอ้หนุ่ยหัวเราะ “เวลามึงอยู่ดีมีสุขจะนึกถึงกูไหม มีเรื่องล่ะสิ ถึงโทรหากู”
ผมก็อยากจะย้อนมันกลับไปแต่ที่มันพูดก็จริงทุกอย่าง ตอนนี้ผมอยากได้ที่ปรึกษามากกว่าได้ศัตรูครับ “ปากดีนะมึง แล้วจะไปไหมล่ะ เครียดว่ะอยากปลดปล่อย”
“หึหึ อย่ามาปล่อยกับกู ไปก็ไป แล้วเจอกัน” ก็เท่านั้นเอง ผมก็รู้ว่าชวนมันง่ายที่สุด ผมนัดเจอกับหนุ่ยที่ร้านเดิมแต่ผมไปถึงก่อนเลยดื่มล่วงหน้าไปเยอะ กว่ามันจะมาถึงผมก็กรึ่มได้ที่แล้วครับ
“มาช้านี่หว่าไอ้หนุ่ย ไม่ไหวๆ”
ไอ้หนุ่ยยิ้มแล้วดึงแก้วออกจากมือผม “เฮ้ย...มึงดื่มมากไปแล้วรอกูมั่ง”
ผมส่ายหน้าอย่างขัดใจพยายามคว้าแก้วคืนมาจากมันแต่มันก็ดึงหนีออกไม่ยอมส่งให้ “รอกูมั่งดิ กินกับบ้างมึง เมาแย่แล้ว”
ผมต้องนั่งมองมันดื่มคนเดียวอย่างขัดใจ “มาถึงก็กวนกูเลยนะมึง เจอกันกี่ครั้งก็ไม่เปลี่ยน”
“กูไม่อยากคุยกับคนเมา คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง คุยให้รู้ก่อนแล้วจะเมาค่อยเมาทีหลัง”ไอ้หนุ่ยมันพูดจริงๆจังๆ ทำอย่างกับว่ามันมีเรื่องหนักกว่าผมเสียอีก
“มึงเป็นอาราย...มึงก็ท่าทางมีเรื่องนี่หว่า” ผมเริ่มอยากพูดอยากระบายให้ใครสักคนฟัง
“กูไม่เข้าใจ ทำไมชีวิตคนมันต้องมีปัญหาด้วยวะ กูเห็นบางคนเค้าออกจะชีวิตราบรื่น ฟ้าไม่ยุติธรรมนี่หว่า”
ไอ้หนุ่ยทำหน้าเฉยๆพูดออกมาว่า “ปัญหามีไว้ให้แก้ไง เป็นแบบทดสอบของคนจริง ใครสู้ผ่านมันไปได้ก็เป็นผู้ชนะ อย่าไปโทษฟ้าเลยฝัน” ผมไม่รู้ว่ามันบอกผมหรือบอกตัวเองกันแน่
“เหอะ...มึงบอกแบบนี้ช่วยกูได้มากเลย ถ้าตอบแบบนี้กูก็ไม่ต้องเรียกมึงออกมาแบบนี้หรอกวะ” ผมยื้อดึงแก้วเหล้าคืนจากมันมาจนได้ ผมรินเหล้าให้ตัวเองอีกครั้ง อยากจะดื่มให้ลืมเรื่องที่คุยกับพ่อใหญ่ไปให้หมด ไอ้หนุ่ยแตะมือผมมองเหมือนปรามๆว่าผมดื่มหนักไปแล้ว
“เบาหน่อยๆฝัน กลุ้มอะไรหนักหนาวะ ไหนมึงเล่ามาให้กูฟังหน่อย ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง”
ผมไม่เคยเล่ารายละเอียดให้ไอ้หนุ่ยฟัง แต่มันดูเหมือนจะรู้เยอะกว่าที่ผมคิด ระหว่างที่ผมเล่าให้มันฟัง ไอ้หนุ่ยนั่งฟังเงียบๆมีพยักหน้ารับรู้เป็นระยะ มันไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจอะไรเมื่อรู้ว่าผมรักกับใหญ่ ผมเล่าจบลงตรงที่ว่า
“ท่าทางพ่อใหญ่ไม่ยอมรับความรักจากกูว่ะ ออกแนวกีดกันไม่ให้กูติดต่อกับใหญ่ด้วยซ้ำ”
“มึงโกรธพ่อใหญ่มันเหรอ” เจอคำถามไอ้หนุ่ยเข้าไปผมก็อึ้ง
“กูไม่เคยคิดว่ากูโกรธหรือไม่โกรธว่ะ กูเสียใจ เสียเซลฟ์มากกว่า สงสารใหญ่มันด้วย เรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญที่สุด” นึกขึ้นมาก็หนักใจต้องถอนหายใจออกมาอีกที
“แล้วใหญ่เค้าว่าไงล่ะ มึงติดต่อกับเค้ารึยัง เค้าคุยกับพ่อเป็นยังไงบ้าง”
ผมส่ายหน้า “กูยังไม่ได้จดหมายจากมันเลย มันบอกมาครั้งสุดท้ายว่าบอกพ่อเรื่องกูแล้วพ่อก็เงียบไป หลังจากนั้นกูยังไม่รู้ว่ามันเป็นไงบ้าง”
ไอ้หนุ่ยมันกะพริบตาปริบๆ “มึงว่าอะไรนะ จดหมาย? ไอ้ใหญ่มันอยู่บนดอยเหรอ กูนึกว่ามันอยู่เชียงใหม่ มันอยู่ที่กันดารขนาดนั้นเลยเหรอ ไฟฟ้า โทรศัพท์ไม่มีเรอะ”
ไอ้หนุ่ยพูดจบผมหัวเราะกิ๊กเลยครับ เพราะรู้ว่ามันสงสัยจริงๆว่าทำไมผมต้องใช้จดหมาย ไม่ใช่อีเมลล์หรือโทรศัพท์ มันคงนึกว่าไอ้ใหญ่เป็นหนุ่มดอย แต่มันคงไม่รู้ว่าดอยเดี๋ยวนี้เจริญจนมีจานดาวเทียมกันหมดแล้วด้วยซ้ำ
“มันอยู่ในเมือง คิดได้ไงวะว่ามันอยู่ดอย กูกับมันแค่ชอบอะไรที่มันคลาสสิก มึงรู้จักไหม วิธีบอกรักกันแบบโบราณ ดีนะมึง ไม่ลองไม่รู้”
ผมกับมันมองหน้ากันยิ้มๆ แล้วมันก็หัวเราะออกมา “คลาสสิกหรือเชยวะ ทำไปได้นะมึง แต่ก็ดีเขียนจดหมายมันทำให้เราได้คิดมากขึ้น กูยอมรับนะ พวกมึงน่ารักดีว่ะ เขียนจดหมายหากัน ”
“อืม กูก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใครนะ ยิ่งเขียนจดหมายหามันกูก็ยิ่งรักมัน ตอนรอจดหมายมันกูก็มีความหวัง”
ผมหลับตานิ่งนึกถึงไอ้ใหญ่ อยากเจออยากพูดกับมันเป็นที่สุด นึกถึงรอยยิ้มของมันแล้วก็ยิ่งคิดถึง
“มึงหลับฝันหวานไปแล้วเหรอ”เสียงเรียกของไอ้หนุ่ยปลุกผมจากภวังค์
“เปล่า กูแค่คิดถึงใหญ่มัน แต่หนุ่ย...กูควรจะทำยังไงดีวะ”
ไอ้หนุ่ยถอนใจยาว แววตาเหน็ดเหนื่อย “กูยังเอาตัวไม่รอดเล้ยฝันเอ๊ย กูก็พอๆกับมึง เรามันหัวอกเดียวกันพ่อแม่แฟนไม่ยอมรับ กูชักเหนื่อยแล้วว่ะ”
“มึงท้อรึยัง มึงทำอะไรมาบ้างแล้วล่ะ”
“ตอนนี้กูทำใจ คนเราคู่กันก็คงไม่แคล้ว วาสนาเรามีแค่ไหนก็คงแค่นั้น”
กรรมจริงๆนี่ผมมาปรึกษากับมันหวังว่าจะมีทางออก กลายเป็นว่าผมเรียกมันมาเพื่อให้ผมปลงตกไปซะแล้ว
“ตามความเห็นกู มึงควรให้ใหญ่เค้าไปจัดการเรื่องครอบครัวเค้าเอง ถ้ามึงไปแทรกแล้วพ่อลูกเค้าผิดใจกันมันก็ไม่ดี เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนนะ มึงต้องให้ใหญ่เค้าเลือกทางเดินเอง แต่ไม่ว่าทางไหนมันก็ต้องมีคนที่เสียใจ เพียงแต่ว่าจะเป็นใครเท่านั้นเอง”
“กูไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย มันจะไม่มีทางเลยเหรอที่เราจะมีความสุขกันทุกฝ่าย แบบที่เค้าเรียกกันว่า Win Win”
“มึงอย่าเอาหลักทางเศรษศาสตร์มาใช้กับเรื่องจิตใจคน มันไม่เหมือนกันนะ ใจคนเรามันไม่มีเส้นแบ่งระหว่างสมหวังกับผิดหวัง จิตใจมันเป็นเรื่องนามธรรม มันไม่ใช่รูปธรรมเหมือนกำไรขาดทุนที่เห็นกันได้ชัดเจน แล้วไอ้Win Win ที่มึงว่าก็ทำเอาธุรกิจเจ๊งไม่เป็นท่าไปก็เยอะ เพราะมันไม่มีหรอกที่ทุกฝ่ายจะได้กันหมด มันก็แค่คำลวงให้ตายใจเท่านั้นเอง”
“มึงหมายถึงต้องมีใครคนใดคนหนึ่งยอมถอยเหรอ หรือต้องมีคนที่ยอมเสียใจให้คนที่เหลือมีความสุข”แค่คิดผมก็ท้อแล้วครับ หรือคนๆนั้นจะเป็นผม
ไอ้หนุ่ยพยักหน้า “มึงคิดว่าระหว่างมึงกับพ่อใหญ่จะประนีประนอมกันได้ง่ายๆไหมล่ะ แต่เท่าที่กูฟังกูว่ายาก กูไม่ได้ตัดกำลังใจมึงนะ แต่ถ้ากูเป็นหมอกูก็อยากบอกอาการที่แท้จริง ไม่ใช่หลอกไปวันๆว่าไม่เป็นไรรักษาได้ หายได้แน่นอน ทั้งที่โรคมันร้ายแรงจนเกือบจะโคม่า”
ผมว่าถ้ามันเป็นหมอจริงๆ คนไข้คงจะช็อกตายเพราะมันวันละหลายๆหน “มึงจะตรงไปไหน ทำเอากูใจแป้ว กูยังมีหวังนะเว้ย มึงไม่เคยฟังเพลงเหรอ ตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง กูยังไม่สิ้นหวังหรอก ถึงโรคกูจะร้ายแรงถึงขั้นโคม่าแต่เปอร์เซ็นต์รอดก็ยังมี เพียงแต่ตอนนี้กูยังคิดทางออกไม่เจอเท่านั้นเอง”
ไอ้หนุ่ยมันยิ้มเลยครับ “ก็ดีแล้วนี่ ที่มึงคิดได้อย่างนี้ กูแค่ลองใจมึงนิดเดียวทำเป็นเครียดไปได้”
ฟังมันพูดครับ สรุปว่าที่มันพูดมาทั้งหมดมันหลอกผมนี่หว่า ยังดีที่ผมไม่หลงกลมัน เรื่องมันสำคัญขนาดนี้ผมจะท้อเอาง่ายๆได้ยังไงล่ะครับ กลายเป็นว่าไอ้หนุ่ยมันท้าทายผมว่าผมจะสู้กับปัญหายังไงมากกว่า
“มึงต้องรู้ตัวเองสิฝันว่ามึงทำได้แค่ไหน หรือควรทำอะไร กูบอกมึงไม่ได้หรอกว่ามึงควรทำยังไง กูเชื่อว่ามึงคิดเองได้”
ไอ้หนุ่ยมันทิ้งท้ายไว้แบบนี้ ผมไม่รู้ว่าที่ผมมาคุยกับมัน มันช่วยอะไรผมได้บ้างแต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้แน่ๆก็คือผมเริ่มฮึกเหิมมากขึ้นเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น กลับไปถึงบ้านผมเลยวัดดวงโทรหาใหญ่อีกครั้งหวังว่าดึกแล้วมันคงจะรับสายผม
“โหลฝัน”ใหญ่มันอยู่จริงๆด้วยครับ แต่น้ำเสียงมันไม่ดีเลย
“มึงเป็นไงบ้าง กูเป็นห่วงมึงนะ” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของมัน ได้แต่เสียใจที่เราอยู่ห่างกันเกินไป ผมอยากกอดอยากปลอบมันแค่ไหนก็ส่งไปได้เพียงคำพูด
“กูไม่เป็นไร แค่เครียดๆกว่าเดิมเท่านั้นเอง”
“แล้วพ่อกับมึงเป็นยังไงบ้าง คุยกันอีกครั้งรึยัง” ผมตัดสินใจถามใหญ่ตรงๆให้รู้เรื่องกันไป
ใหญ่เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงหนักใจที่ปิดไม่มิด
“พ่อไม่พูดกับกูมาตั้งแต่วันนั้น เราเหมือนอยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่มีตัวตนสำหรับกันและกัน นึกๆแล้วก็ตลกนะฝัน พ่อกูอายุเท่าไหร่ กูอายุเท่าไหร่ แก่กันขนาดนี้แล้วมางอนกันเหมือนเด็กๆ หึหึ” เสียงหัวเราะของใหญ่ไม่บอกว่าขำเลยครับ ถ้ามันเป็นเรื่องตลกจริงอย่างที่ใหญ่บอกมันก็คงเป็นตลกที่หัวเราะไม่ออก
“แล้วมึงคิดจะทำยังไงต่อไป” ถ้าผมอยู่ด้วยผมคงกอดมันไว้แล้ว มันทรมานจริงๆครับที่ต้องเห็นคนที่เรารักเป็นทุกข์ แต่เราก็เหมือนคนใจดำได้แต่มองอยู่ห่างๆ
“กูยังคิดไม่ออก แต่กำลังคิดว่าถ้ากูทนไม่ไหวคงต้องเป็นคนพูดกับพ่อก่อน”
“ดีแล้ว ยังไงเราก็เป็นลูก พูดก่อนดีที่สุดแล้ว ถามพ่อไปตรงๆเลยก็ดี กูก็อยากรู้ว่าพ่ออยากให้เราทำยังไง การรอโดยไม่รู้มันเหมือนคนตาบอด กูไม่อยากมองอนาคตไม่เห็น ยังไงๆตอนนี้พ่อมึงก็เป็นคนกำหนดอนาคตของเราแล้วนะ” ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมพูดไปแบบนั้นแต่ผมก็พูดไปแล้ว ใหญ่เงียบไป ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย มันเหมือนเราต่างก็เครียด
แต่คำที่ใหญ่พูดขึ้นมาทำให้ผมต้องคิดใหม่อีกครั้ง
“มึงไม่คิดบ้างเหรอ ว่ากูต่างหากที่ต้องตัดสินใจ ไม่ใช่พ่อกู”
ฟังน้ำเสียงมันแล้วผมก็กลัวใจมัน“กูไม่อยากให้มึงต้องเลือกนะใหญ่ เพราะถ้ามึงเลือกคือมึงต้องได้อย่างหนึ่งแล้วเสียอีกอย่างไป กูไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น” น้ำเสียงผมแหบแห้งลงไปทุกที เหมือนเส้นเลือดในสมองมันเต้นตุบๆ
“มึงคิดว่ากูอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ กูเป็นคนที่ไม่อยากเลือกมากที่สุดนะ คนนึงก็พ่อ อีกคนกูก็รัก กูรักทั้งสองคนนะฝัน มึงอย่าลืมสิ”
ใหญ่มันไม่ร้องไห้ให้ผมได้ยินก็จริงครับ แต่ผมรู้ว่าหัวใจมันเศร้า ผมคิดว่าผมไม่อยากโทรไปหามันอีก การโทรศัพท์มันทำให้ความเศร้าส่งมาถึงผมเร็วเกินไป ผมอาจจะเป็นพวกมาโซที่ยอมทรมานตายแบบช้าๆดีกว่าที่ตายแบบเฉียบพลัน
ก่อนผมจะวางสายไปผมบอกกับใหญ่ว่า “เขียนจดหมายมาหากูนะ กูจะรอ ก่อนที่มึงจะเลือกอะไร กูขอมีส่วนรู้เห็นด้วย ”
วันนั้นใหญ่วางสายไปเงียบๆไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอของผม หลังจากวันนั้นผมรอคอยจดหมายจากมันด้วยใจกังวล จนกระทั่งจดหมายจากใหญ่มาถึง ผมเปิดอ่านไปหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
ฝันคนดี
กูคิดอยู่นานว่าจะเขียนจดหมายมาหามึงดีหรือเปล่า กูอยากให้ความยุติธรรมกับพ่อกู ในเมื่อเรื่องมันยังไม่ลงตัวแบบนี้ กูควรจะห่างทั้งมึงและทั้งพ่อไปด้วยหรือเปล่า แต่กูก็ทำไม่ได้ กูว้าวุ่นใจอย่างที่สุด วันนี้พ่อมาแนวใหม่ชวนครูน้ำมาสอนพิเศษน้องออมที่บ้าน ดูเหมือนครูจะต้องมาทุกวันด้วย พ่อเมื่ออยู่ต่อหน้าครูก็คุยกับกูตามปกติคอยชมกูต่อหน้าครูอยู่เสมอๆ กูอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก
กูไม่รู้ว่าครูน้ำรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังเป็นเครื่องมือของพ่อในการดึงกูไปจากมึง กูสงสารเค้าว่ะถ้าเค้าได้เจอคนดีๆน่าจะดีที่สุด เค้าไม่ควรจะต้องมาพัวพันกับกูโดยไม่มีอนาคต กูกำลังคิดว่าถ้ากูเปลี่ยนความคิดพ่อไม่ได้ กูจะบอกความจริงกับครูไปน่าจะแฟร์กับครูมากที่สุด อย่างน้อยครูน้ำจะได้ไม่มีหวังในตัวกูอีก แล้วเราจะเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเดิม
กูกำลังจะต้องทำร้ายจิตใจคนอีกคนแล้วฝัน กูไม่เข้าใจทำไมกูต้องทำแบบนี้ด้วย กูไม่อยากทำเลยฝัน บางครั้งกูเคยคิดว่าถ้าเราไม่รักกันแบบนี้จะดีกว่าไหมทุกอย่างคงจะง่ายขึ้น แต่พอกูรู้ตัวว่ากูเผลอคิดไปแบบนี้กูก็เสียใจ กูกำลังอ่อนแอลงทุกวันนะฝัน มึงยังรักกูอยู่ใช่ไหม กูแค่หวังว่าเราจะยังรักกันต่อไปแบบนี้ได้ตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
รักมึงทุกวัน
ใหญ่*****************
โอ๊ยยยยย....ทำไงดีว้า