วันนี้เน็ตเป็นไรไม่รู้ช้ามากมาย รีเฟรชเป็นสิบรอบกว่าจะได้ลง
ขอบคุณน้องนิวด้วยค่ะที่ช่วยดูเรื่องคำผิดให้
*********************************
(ตอนที่ ๒๖)
ผมหนาวจนต้องกอดตัวเองเอาไว้ “หนาว...” ผมครางออกมาเพราะหนาวจนทนแทบจะไม่ไหว
ไม่นานผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นเหมือนมีผ้าห่มมาคลุมที่ตัวผม แล้วก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นจากร่างกายของคนๆหนึ่งที่กอดผมอยู่ ร่างกายของเราใกล้กันจนผมรู้สึกได้ถึงไอระอุจากร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่ง ความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นยังบอกผมได้ว่าแก้มของผมได้รับการสัมผัสอย่างแผ่วเบาจากริมฝีปากของใครสักคน รู้ได้ถึงลมหายใจแผ่วๆที่รินรดแก้มผม
อืม....หรือฝนจะตกอีกแล้ว มีหยดน้ำหยดลงบนใบหน้าของผม แล้วก็มีนิ้วของใครไม่รู้มาเช็ดคราบน้ำฝนออกจากหน้าผม ผมค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ ดวงตาหรี่ปรือด้วยพิษไข้
“ตื่นแล้วเหรอฝัน หายหนาวรึยัง”
เสียงนุ่มนวลของไอ้ใหญ่ถามผมทันทีที่ผมลืมตามองเห็นมัน แล้วส่งรอยยิ้มเศร้าๆมาให้ผม นิ้วมือของใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่อยู่บนใบหน้าผม มันเอาฝ่ามือจับที่หน้าผากผมแตะไว้ชั่วครู่แล้วก็พึมพำกับตัวเองว่า
“ไข้ยังสูงอยู่เลย ป่วยแล้วมาทำไม...” เสียงของมันสั่น น้ำตาเอ่ออยู่ที่ดวงตา แต่ก็ยังฝืนยิ้ม ใบหน้าของมันอยู่ใกล้กับหน้าผมจนแทบจะเกือบเรียกได้ว่าติดกัน
ผมขยับปากกำลังจะพูดว่า ‘ใหญ่อย่าร้องไห้..' แล้วเอื้อมมือจะเช็ดน้ำตาให้มัน แต่ก็ไม่ทัน........
ใหญ่เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมค่อยๆสัมผัสริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบาแล้วจะผละออก แต่ผมก็ไม่ยอม ผมยื่นหน้าเข้าไปจูบมันแทน แล้วเอามือจับใบหน้าของมันประคองไว้ไม่ให้หนีไปไหน มันทำท่าจะดึงหน้าออกแต่ผมก็ไม่ปล่อย ผมสบตามันอีกครั้งแววตาของมันยังมีน้ำตาคลอหน่วย ผมค่อยๆสัมผัสริมฝีปากมันอย่างนุ่มนวล ริมฝีปากของไอ้ใหญ่แห้งผากก็จริงแต่เมื่อผมรับรสได้ กลับรู้สึกว่ามันช่างหวานเหลือเกิน
ไอ้ใหญ่ค่อยๆอ้าปากเพื่อรับลิ้นของผมที่ผ่านเข้าไปสัมผัสอย่างช้าๆ อ้อมแขนของไอ้ใหญ่ที่กอดผมอยู่ที่เอวรัดแน่นขึ้นจนผมรู้สึกได้ ตอนนี้ร่างกายของเราแนบชิดกันมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เราจูบกันอยู่นานจนผมแทบจะขาดใจ ผมไม่เคยรู้ว่าการพบกันครั้งนี้จะทำให้ผมรู้ว่าผมโหยหามันมากขนาดนี้ ผมอยากจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยขวางกั้นระหว่างเราไว้ ให้เวลาหยุดอยู่แค่ตรงนี้ไม่เคลื่อนไปแม้แต่วินาทีเดียว มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนอ่อนหวานในความรู้สึกผม
ผมรู้สึกถึงรสปร่าๆของน้ำตาของไอ้ใหญ่ที่อาบแก้มไหลมาเข้าที่ปากของผม ผมหยุดการสัมผัสทันทีมองหน้าใหญ่ที่ยังหลับตาพริ้ม แล้วดึงตัวมันเข้ามาหาอ้อมกอดของผมอย่างช้าๆ ผมลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ไอ้ใหญ่สะอื้นเบาๆอยู่ในอ้อมแขนผม ตัวสั่นเทา
“กูขอโทษ ที่รังแกมึง กูขอโทษ อย่าร้องไห้นะ”
ผมเอ่ยขึ้นอย่างตกใจที่เห็นมันร้องไห้ ไอ้ใหญ่เงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้าแล้วรัดตัวผมแน่นๆ พูดเสียงอู้อี้อยู่ที่หน้าอกผม
“มึงไม่สบาย ตัวร้อนจัดเลย ไปหาหมอกันนะ”
“จริงเหรอ มิน่ามึนๆหัว แต่ไม่ต้องไปหาหมอหรอก กูกินยาแล้วนอนพักก็พอแล้ว” ไอ้ใหญ่เอามือมาจับที่หน้าผากผมอีกครั้งขมวดคิ้วมุ่น ปากก็พูดว่า “ไข้ไม่ลงเลยนะหลายชั่วโมงแล้ว”
หลายชั่วโมงแล้วหมายความว่าผมหลับยาวเลยเหรอ “เฮ้ย....นี่กี่โมงแล้ว”
ไอ้ใหญ่หัวเราะเบาๆ มันเหมือนเด็กจริงๆเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย “เที่ยงกว่าแล้ว กูเห็นมึงนอนหลับสบายเลยให้นอนพักก่อน ไม่นึกว่าจะหลับยาวขนาดนี้ นี่กูมาตามไปกินข้าวนะ”
ผมเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ผมนอนอยู่บนเตียง แต่จำได้ว่าผมนั่งหลับอยู่นี่นา “แล้วกูขึ้นมานอนบนเตียงได้ยังไง จำได้ว่านั่งอยู่นะ”
“กูกับลูกน้องช่วยกันยกตัวมึงขึ้นมานอนน่ะซิ หนักจะตาย แต่ไข้ขึ้นสูงมึงก็หลับลึก ไม่รู้สึกตัวเลยนะ” ผมเห็นมันพูดได้มากๆแบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย ตาผมก็มองปากมันที่ขยับพูดไม่หยุด
“ทำไมมึงจะมา ไม่บอกให้กูรู้หน่อย กูตกใจเลยนะที่ตื่นขึ้นมาเจอมึงนั่งหลับอยู่ข้างๆเตียง” ผมยังไม่ตอบไอ้ใหญ่ อยากจะมองหน้ามันนานๆให้สมกับที่ไม่ได้เห็นมานาน
“แล้วป่วยได้ยังไง ป่วยก็ไม่น่าลำบากมา”
“มึงพูดแบบนี้อีกแล้ว เหมือนไม่รู้ใจกู”ผมแกล้งทำเสียงโอดครวญตัดพ้อ
ไอ้ใหญ่รีบละล่ำละลักบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น กูเป็นห่วงมึงนะ ป่วยอยู่แล้วขึ้นรถมาคนเดียวกลางดึกถ้าเป็นอะไรระหว่างทางใครจะช่วย” ผมรู้สึกดีใจลึกๆที่มีคนเป็นห่วงผม
“ยังไงกูก็ไม่เป็นไรหรอก หัวแข็ง” ผมค่อยๆเก็บรายละเอียดบนใบหน้ามัน แก้มมันซูบไปหน่อย ตาก็แดงๆเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ริมฝีปากของมันแดงขึ้นมาแล้วก็คงเป็นเพราะจูบของเราเมื่อสักครู่นี้ แล้วผมก็ยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“ยังจะมายิ้มอีก” ไอ้ใหญ่ดุผมแล้วขมวดคิ้วย่น
ผมเอามือลูบหน้ามันอย่างแผ่วเบาไล่สายตาตาม ปลายนิ้ว ตั้งแต่หางคิ้วค่อยๆเลื่อนลงมาที่แก้ม ต่อไปที่ริมฝีปาก แล้วไปจบลงที่ดวงตาคู่ที่ผมไม่เคยลืม เราสบตากันตรงๆอีกครั้ง
“กูเสียใจด้วยเรื่องแม่ ......มึงไม่เป็นไรนะ” ไอ้ใหญ่เม้มปากแน่นแล้วพยักหน้า “อื้อ...” หน้าเริ่มเบ้ทำท่าจะร้องไห้
ผมเอามือแตะที่เปลือกตาเมื่อมันหลับตาลงแล้วเป่าเบาๆ “เพี้ยง...ไม่ร้องนะ” แล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
“กูอยู่นี่แล้วนะ...อย่าร้อง”
ไอ้ใหญ่ตัวสั่นเทาในอ้อมกอดผม ผมกอดมันเงียบๆอยู่แบบนั้นถ่ายเทความรู้สึก..รัก..ห่วงใย...ไปให้มันทั้งหมด ผมใกล้ชิดมันมากขึ้นไปทุกที มันมากขึ้นไปเรื่อยๆจนผมประหลาดใจ
รักของเรามันคงเหมือนสายฝน ขนาดหลบ ขนาดหลีกเลี่ยงแล้ว ละอองของฝนก็ยังมาเปียกตัวเราจนได้ จนวันหนึ่งที่มันเปียกเรามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆเราก็ไม่กลัวฝนอีกต่อไป พร้อมที่จะเปียกโดยไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
ผมไม่รู้ว่าผมกอดใหญ่ไว้แบบนั้นนานแค่ไหนมันเงียบไปแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าหลับไปหรือยัง มือของผมลูบหลังไอ้ใหญ่รู้สึกได้เลยว่ามันผอมลงเยอะ “มึงผอมมาก กินข้าวหรือเปล่า”
พอผมพูดจบไอ้ใหญ่ลุกขึ้นทันทีจนผมตกใจนึกว่ามีเรื่องอะไร
“ตาย......กูลืมสนิทเลย พ่อให้มาพามึงลงไปกินข้าว กูก็มัวแต่....”ไอ้ใหญ่หน้าแดงทำหน้าอายๆแล้วว่าต่อ
“....จนลืมสนิทเลย”
ไอ้ใหญ่เอามือมาดึงตัวผมที่ยังนอนอยู่ให้ลุกขึ้น “มึงลุกไหวมั้ย ไปกินข้าวกัน..จะได้กินยาแล้วมานอนพักต่อ”
ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วตามแรงดึงแต่พอจะยืนกลับรู้สึกหน้ามืดจนเกือบล้มลงไป ดีที่ว่าไอ้ใหญ่มันยืนอยู่พอดีรับตัวผมเอาไว้ เราก็เลยกอดกันอีกครั้งจนได้ ไอ้ใหญ่หน้าแดงก่ำคงเป็นเพราะว่าต้องรับน้ำหนักผมทั้งตัว หรือไม่ก็....เพราะว่าผมกอดมันแน่นไป ใหญ่บอกขอโทษผมอีกครั้ง
“กูขอโทษ..กูไม่น่าดึงมึงเลย คนกำลังป่วย”
แต่ผมก็ไม่เคยเห็นความจำเป็นที่จะต้องมาขอโทษ“อย่าโทษตัวเอง ทุกอย่างที่มึงทำกูไม่เคยเห็นว่าตรงไหนที่ไม่ดี” พอผมบอกไปแบบนี้ใหญ่เลยเงียบไม่พูดอะไรอีก แล้วช่วยพยุงผมลงบันไดไป ผมยังรู้สึกหนักๆหัว ปวดหัวมากจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อยากรบกวนใหญ่ ไม่อยากพูดให้มันตกใจกลายเป็นเรื่องใหญ่ไป
พ่อของใหญ่ไม่ได้อยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วตอนที่ผมลงไปถึง เลยเหลือแค่ผมกับใหญ่สองคน ไอ้หนุ่มนั่นมันทำข้าวต้มเตรียมไว้ให้ผมอย่างที่บอกไว้ อาหารดูน่ากินทุกอย่างแต่ผมกลับกินไม่ลง ใหญ่ตักข้าวต้มแล้วยื่นให้ผม ผมกินเข้าไปคำหนึ่งก็เจ็บคอจนกลืนได้อย่างยากลำบาก กินไปได้อีกหน่อยก็ไม่อยากกินต่อ ใหญ่ที่คอยมองผมตลอดเวลามองหน้าผมอย่างเป็นห่วง “ทำไมกินน้อยจัง กินไม่ลงเหรอ เอากับข้าวอะไรเพิ่มรึเปล่า กูจะให้เด็กมันทำมาให้”
ผมส่ายหัวอย่างเพลียๆ “ไม่ต้อง กูเจ็บคอยังไม่อยากกิน” ใหญ่เอื้อมมือมาจับที่คางผมดึงให้หันหน้ามาหามัน
“ไหนมึงอ้าปากซิ กว้างๆ”
ผมขยับคางออกจากมือมันแล้วหัวเราะ “จะบ้าเหรออยู่ดีๆมาให้กูแหกปากกลางโต๊ะกินข้าว”
ไอ้ใหญ่อมยิ้ม “กูแค่จะดูคอมังว่าอักเสบมากรึเปล่า” แล้วก็ไม่บอกผมแต่แรก “กลายเป็นหมอไปซะแล้วเพื่อนกู”
แต่ผมก็อ้าปากให้มันดู ไอ้ใหญ่มองส่องเข้าไปในปากผมอยู่นานจนผมเมื่อยขากรรไกร
“มึงอ่าดูไปอินานม้าย กุเมื่อยยยยปาก เจออาอายมั่งลา” มันพูดยากจริงๆครับน้ำลายพาลจะไหลเอาด้วย ไอ้ใหญ่เอาแต่หัวเราะแล้วงับขากรรไกรผมที่ค้างอยู่ให้ปิดลง แล้วมันก็กลับไปกินข้าวของมันต่อ ไม่มีรายงานผลการตรวจอะไรทั้งสิ้น
“อ้าว...ดูแล้วเป็นไงล่ะ ไม่เห็นบอกกูกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอมากเลย” ตอนพูดๆหัวมันก็หนักๆ แต่ก็ยังอยากรู้ครับ
“กูว่า..มึงเป็น..” ดูมันแกล้งผมครับไม่ยอมพูดให้จบ
“เป็นอะไร..ทำไมไม่บอกกู” หรือว่าผมจะเป็นมากจริงๆ แต่เอ๋...มันไม่ใช่หมอนี่
“เป็น..เป็นอะไรก็ไม่รู้ว่ะ กูมองไม่เห็นอะไรเลย ฮ่าๆๆๆ”มันหลอกผมครับมันน่าไหมนี่ แต่ผมก็ไม่โกรธมันครับแค่เห็นมันยิ้มได้ผมก็ดีใจแล้ว ผมเอื้อมมือไปดึงแก้มมันแรงๆ “นี่แน่ะ...มาหลอกกู”
“โอ๊ย...กูเจ็บนะ”ไอ้ใหญ่โอดครวญ ผมเลยยิ่งดึงมากขึ้นคราวนี้ตัวมันเอียงตามมือผมมาเลยครับ ผมดึงมันจนหน้าใหญ่เข้ามาใกล้ผม พอตาของเราสบกันผมก็ค่อยๆปล่อยมือลง แล้วเอามือตบแก้มมัน
“แก้มแดงหมดแล้ว..ไอ้คนขี้จุ๊ หึหึ” ไอ้ใหญ่ส่งตาเขียวให้ผมแล้วกลับไปนั่งกินข้าวต่อ หน้าแดงก่ำแล้วบ่นพึมพำๆ
“ชอบแกล้งกู”
พอแกล้งมันเสร็จตัวผมเองกลับไม่ไหว ฝืนกินข้าวต่อไปอีกสองสามคำก็ต้องวางช้อนลง ไอ้ใหญ่มองผมแล้วส่ายหัว คงทนดูสภาพผมต่อไปไม่ไหว “กูว่ายังไงมึงก็ต้องหาหมอแล้วล่ะ หน้าตาแย่มาก เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วกูพาไปเอง”
ผมรีบปฏิเสธทันทีก็ผมรู้ว่ามันยุ่งจะตายไป “ไม่เป็นไรให้ลูกน้องมึงพาไปก็ได้ มึงก็ยุ่งๆอยู่”
ก็มันเป็นวันทำงานนี่ครับขนาดกินข้าวอยู่ก็ยังมีโทรศัพท์ มีลูกน้องมาถามนู่นนี่นั่น ดูวุ่นวายจริงๆ
“ไม่ได้ กูจะพาไปเอง กูอิ่มแล้วมาไปกัน”ผมแทบไม่มีแรงดื้อดึงกับมัน ใหญ่ลุกขึ้นมาพยุงผมจะพาเดินออกไปขึ้นรถหาหมอ แต่พอมาที่รถแล้วกลับมีลูกน้องวิ่งมาตาม “เสี่ยครับเสี่ย...”
พอไอ้ใหญ่หันไปลูกน้องก็รีบรายงานว่า “ธนาคารที่เค้านัดกับเสี่ย เค้าโทรมาว่าจะถึงแล้วครับ” ผมเห็นแววตาลังเลของมันแล้วก็เข้าใจว่าคงเรื่องสำคัญเหมือนกัน ผมตบไหล่ใหญ่เบาๆแล้วบอกกับมันว่า “กูบอกแล้วไปกับลูกน้องมึงก็ได้ มึงอยู่เถอะ อย่าให้กูต้องมาเป็นภาระให้มึง”
ไอ้ใหญ่ถอนหายใจแล้วถามผม “มึงแน่ใจว่านะกูไม่ต้องไปด้วย”
ผมยิ้มให้มันแล้วแถมด้วยเบ่งกล้ามให้ดู “กูแข็งแรงกว่าที่มึงคิดนะ ไปทำงานเถอะเดี๋ยวกูก็กลับมา”
ในที่สุดใหญ่ต้องเรียกลูกน้องให้มาพาผมไปหาหมอแทน ยังเห็นมันยืนมองรถเลื่อนออกไปจากที่ร้านจนไกลมันถึงเดินกลับเข้าร้านไป ผมหลับตาพักอย่างอ่อนเพลียการเดินทางไกลมาตลอดคืนบวกกับอาการป่วยที่ผมเก็บสะสมไว้ทำให้ผมอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
พอไปถึงร้านหมอปรากฏว่าผมเป็นหวัดลงคอ ต้องฉีดยาแล้วพักผ่อนให้มากที่สุด หมอให้ยามากินอีกชุดใหญ่ เลยกลายเป็นว่าถึงแม้ผมจะไม่มาเชียงใหม่ผมก็คงต้องนอนป่วยอยู่กรุงเทพฯแน่ๆ พอกลับไปถึงที่ร้านผมยังมึนงงกับฤทธิยาที่ฉีด ต้องให้ลูกน้องใหญ่คอยแตะแขนพยุงตัวไว้
แต่ผมก็ยังสายตาดีจนมองเข้ามาในร้านเห็นไอ้ใหญ่กำลังยิ้มให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นใครและเด็กที่เดาได้ว่าเป็นน้องออม มันคงไม่ทำให้ผมสนใจมากนักถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่หน้าตาดีขนาดนั้น
ผมไม่ได้สนใจเพราะว่าเธอสวย
แต่ผมสงสัยแค่ว่าเธอเป็นใครไอ้ใหญ่ถึงมีรอยยิ้มนี้ให้กับเธอ
*******************************
ไปก่อนค่ะ ตอนนี้ไม่เศร้าเท่าไหร่เนอะ