โพสไป2รอบแล้วคอม Non responding
************************
(ตอนที่ ๒๑)
พอส่งไอ้ใหญ่ขึ้นเครื่องไปแล้วผมก็ตรงกลับบ้านอย่างคนที่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรต่อ ขับรถไปเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เป็นอ้อยที่โทรศัพท์มาหาผม
“ฝันเหรอ...”
“ครับ..อ้อยว่าไงครับ”
“ใหญ่กลับไปรึยัง....หรือฝันยังอยู่ด้วยกัน”น้ำเสียงของอ้อยเหมือนลังเลใจที่จะถามกับผมแบบนั้น
“ใหญ่ขึ้นเครื่องไปแล้ว อ้อยมีธุระอะไรกับมันรึเปล่า”ผมกำลังเซ็งๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์จะคุยโทรศัพท์กับใคร “ถ้าไม่มีอะไรผมกำลังขับรถขอวางสายก่อนนะ”
“เอ่อ...งั้นเดี๋ยวอีกสักพักเราโทรไปใหม่แล้วกันนะฝัน” พออ้อยวางสายไปแล้วผมก็อดสงสัยว่าอ้อยมีธุระอะไรกันแน่ถึงได้ทำน้ำเสียงซีเรียสขนาดนั้น พอกลับไปถึงบ้านผมก็ขึ้นไปนอนทันทีลืมเรื่องอ้อยไปเสียสนิท
จนผมหลับไปพักใหญ่อ้อยก็โทรมาอีกครั้ง “ฝัน..เราเองนะ”
ผมสะลึมสะลือรับสายตั้งสติอยู่พักหนึ่งถึงนึกออกว่าเป็นอ้อยโทรมา “อืม..รู้แล้วมีเรื่องอะไรเหรออ้อย”
ผมเปิดปากหาวยังอยากจะนอนต่อ แต่คิดไปคิดมาคุยกันไปเลยก็ดีจะได้รู้เรื่องกันไป อ้อยเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆ “เราจะโทรมาขอโทษเธอ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”ผมคิดเท่าไหร่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าเรื่องอะไรกันที่อ้อยต้องมาขอโทษผม
“ก็ที่เมื่อวานเราพูดไม่ค่อยดีกับเธอไป เหมือนเราเอาแต่ใจไปหน่อย” พออ้อยพูดขึ้นมาผมกลับคิดว่าผมต่างหากที่เป็นคนพูดจาห้วนๆใส่อ้อยแล้วยังเดินทิ้งอ้อยไปเลยด้วยซ้ำ อ้อยน่าจะเป็นคนที่ไม่พอใจผมมากกว่า
“ผมลืมไปแล้วอ้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ผมรู้สึกว่าตอนนี้เรื่องอะไรสำหรับผมมันก็เป็นเรื่องเล็กไปหมดเสียทุกเรื่องถ้าไม่ใช่เรื่องของไอ้ใหญ่ เสียงอ้อยถอนหายใจเหมือนโล่งอกเบาๆก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริงขึ้นมาอีกนิด
“ขอบคุณนะฝัน เรารู้ว่าใหญ่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ ยังไงเธอก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ”
ผมไม่อยากจะพูดอะไรให้มากไป ยังไงเรื่องของผมกับไอ้ใหญ่ก็เป็นแค่เรื่องของเราสองคนไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรให้ใครฟังอยู่แล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าที่อ้อยพูดขึ้นมาแบบนี้หมายความจริงๆตามนั้นหรือไม่ใช่ แต่ผมก็ไม่แคร์ผมเลยตอบสั้นๆไปว่า “ใช่”
จากนั้นมันเหมือนผมไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับอ้อยต่อไปดี อ้อยเองก็เงียบๆไปจนผมนึกว่าคงไม่มีอะไรแล้ว
“มีอะไรอีกรึเปล่าครับ ถ้าไม่มีผมขอตัวนะอ้อย พอดีเมื่อกี้นอนอยู่ ยังง่วงๆอยู่เลย”
“ฝัน...เรา...”ฟังน้ำเสียงอ้อยคงยังจะคุยต่อไปอีก ผมเลยล้มตัวนอนลงกะว่าคงจะคุยยาว “อืม..มีอะไรเหรอ”
“เราอยากจะถามเธอ...”อ้อยยังพูดไม่จบแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง
ผมเริ่มรู้สึกว่าอ้อยพูดช้าจนผมเริ่มอึดอัด “ถามอะไรครับ”
“ที่เธอเคยบอกว่าจะรอเรา....เธอยังรอเราอยู่รึเปล่า”ถ้าอ้อยมานั่งถามผมต่อหน้าผมก็คงจะรู้ว่าอ้อยรู้สึกอย่างไรกับคำถามนี้แต่เมื่อเราคุยกันทางโทรศัพท์ผมก็ต้องมาหยุดคิดก่อนว่าผมพูดไปเมื่อไหร่ แล้วรอเรื่องอะไรกัน
“อ้อยผมยอมรับนะว่าผมขอโทษที่จำไม่ได้จริงๆว่าพูดไปตอนไหน”
“ก็..วันที่เราไปหาฝันที่บ้าน...วันที่พี่หนุ่ยเค้าบอกกับเราว่าเค้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว...ฝันจำได้มั้ย” ใช้เวลาไม่นานผมก็จำได้ทันทีว่าผมพูดอะไรออกไปแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าอ้อยมาถามผมเพื่ออะไรกัน “จำได้แล้ว ก็ผมบอกว่าจะรออ้อยกลับมาเที่ยวสนุกกันต่อยังไงล่ะ”
อ้อยครางเสียงอ่อยๆจนผมรู้สึกได้ “เหรอ...เรื่องนั้นเองเหรอ เราก็นึกว่า...”แล้วอ้อยก็หยุดเงียบไปอีกครั้ง ผมว่าวันนี้อ้อยดูแปลกๆไปแต่ก็ยังนึกว่าอ้อยจะคุยต่อ แต่อ้อยกลับจบการสนทนาด้วยการบอกผมว่า
“งั้นเราไม่กวนเธอนอนแล้ว ยังไงพรุ่งนี้เจอกันที่ทำงานแล้วกัน แค่นี้นะ”ผมยังไม่ทันบอกลาอ้อยก็วางสายไปก่อน ผมไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างผมกับอ้อยจะเป็นยังไงต่อ แต่มันก็คงไม่มีอะไรที่จะไปไกลได้มากกว่านี้แล้ว ได้แต่หวังว่าความเป็นเพื่อนของเราจะยังคงอยู่เหมือนเดิม
พออ้อยวางสายไปแล้วผมถึงได้รู้ว่ามีสายเข้าซ้อนขึ้นมาแต่ผมไม่ได้รับ มันเป็นสายของไอ้ใหญ่ ผมเลยรีบโทรกลับทันที ไม่นานนักไอ้ใหญ่ก็รับสายผม “ใหญ่รึเปล่า...”
กลัวหน้าแตกครับ เสียหน้าไปหลายครั้งหลายหนที่กลายเป็นพ่อมันรับสาย
“อืม.ถึงแล้วนะ ปลอดภัยดีครบ31” แล้วมันก็หัวเราะ ฟังแล้วผมก็ยังงงๆแต่ก็พลอยหัวเราะไปกับมันด้วย “ผิดแล้วมึง...เค้าต้องครบ32 ทำไมมึงมีแค่31”
ไอ้ใหญ่ยังหัวเราะขำได้อยู่คนเดียวต่อไปได้อีก แต่ก็ยังไม่ยอมพูดต่อจนผมต้องถามซ้ำ “เอ้า...บอกมาซิ ก็กูไม่รู้จริงๆ”
“ก็กูเอากลับมาไม่ครบ....มันมีบางอย่างหล่นหายอยู่ที่กทม. มึงหาเจอมั้ยล่ะ”
ผมอมยิ้มทันที เข้าใจความหมายที่มันบอกมา ได้ยินเสียงของมันรู้ว่ามันคงยิ้มอยู่ ผมก็มีความสุขไปด้วยหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“กูเจอแล้วอันนึง แต่ของกูก็โดนขโมยไปเชียงใหม่ มึงเห็นบ้างหรือเปล่าล่ะ” ไอ้ใหญ่หัวเราะเสียงดัง เราคงหัวเราะและยิ้มได้พร้อมๆกัน “ถ้าอย่างนั้นทั้งมึงและกูก็ครบ32 ซิ ยกเว้นไอ้อันที่ได้มาใหม่มันเป็นของคนอื่นเท่านั้นเอง”
“ใครว่าของคนอื่น...ของคนรักต่างหากล่ะ”
พูดไปเองแล้วก็เขินเองครับเอาผ้ามาคลุมโปง ทำไปได้นะผม ระหว่างเราสองคนไม่เคยมีคำพูดหวานๆให้แก่กันมาก่อนเลย แต่การพูดแบบนี้มันก็ทำให้ผมมีความสุขอย่างที่ผมคาดไม่ถึง เหมือนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง
เสียงไอ้ใหญ่เขินๆบอกผมว่า “ปริญญาทำให้มึงเปลี่ยนไป คนอื่นเค้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทำไมมึงน้ำเน่าขึ้นไปได้นะฝัน” ผมกลับไม่โกรธที่มันมาแซวเรื่องปริญญาอีกครั้ง “กูว่าปริญญาทำให้กูฉลาดขึ้นมากกว่า”
แล้วก็พูดต่อ “ แต่ที่ทำให้กูน้ำเน่าน่ะ...มึงทั้งนั้นเลยไอ้ใหญ่..มึงแล่ะตัวดีเลย”
ไอ้ใหญ่โวยขึ้นมาว่า “อย่ามาโทษกู” แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ผมได้แต่นอนยิ้มอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าไอ้ใหญ่มันจะยิ้มอยู่ด้วยหรือเปล่า แต่มันเป็นความเงียบที่เป็นสุขเมื่อรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของสายมีคนๆนั้นรอเราอยู่ด้วยรอยยิ้ม
“แล้วมึงเดินทางเหนื่อยมั้ย ง่วงรึเปล่า”
“ไม่เหนื่อยเลย หลับตาแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว แล้วมึงทำอะไรอยู่”
“กูกำลังนอนเล่นบนเตียง กลับมาก็หลับไปอีกรอบ” บนเตียงยังมีกลิ่นของมันอยู่เลยครับ หรือว่ากลิ่นมันยังติดอยู่ที่ใจของผมมากกว่า แล้วผมก็พูดขึ้นมาว่า “กลิ่นมึงหอมชื่นใจ” ตามด้วยเสียงหัวเราะของตัวผมเอง ขำกับกระทำและคำพูดของตัวเอง ผมว่าผมยิ่งพูดมากก็ยิ่งน้ำเน่าอย่างที่ไอ้ใหญ่มันบอกจริงๆด้วย
ผมไม่รู้ว่าไอ้ใหญ่มันจะทำหน้ายังไงแต่มันพูดขึ้นมาว่า “มึงนี่ท่าจะบ้า...กูวางสายก่อนนะ”
“มึงจะไปไหนอีก”เพิ่งจะคุยกันไม่ถึง10นาทีเลยครับ มันจะทิ้งผมไปแล้ว “น้องออมกลับมาแล้ว ไว้ค่อยเขียนจดหมายคุยกันนะฝัน” ได้ยินเสียงเด็กพูดอยู่จ๋อยๆลอดเข้าโทรศัพท์มา “พ่อใหญ่คุยกับใครคะ”
“แป๊ปนึงนะฝัน..”เสียงไอ้ใหญ่พูดกับน้องออม “พ่อคุยอยู่กับลุงฝันค่ะน้องออม..”
“พ่อๆ..แล้วลุงฝันคือใครคะ” ผมฟังๆดูแล้วไอ้ใหญ่คงไม่มีเวลาคุยกับผมแล้วครับ คงต้องคุยกันวันอื่นแล้ว
“ใหญ่ไปหาลูกมึงซะ กูยอมให้ลูกมึงคนนึง”
แต่ก่อนที่มันจะวางหูไปผมกระซิบบอกมันไปอีกทีว่า “กูเป็นห่วงนะใหญ่”
ไอ้ใหญ่ตอบผมว่า “กูรู้...”
ยังได้ยินเสียงน้องออมพูดอีกว่า “แล้วลุงฝันเค้าคุยอะไรกับพ่อค่ะ” ผมก็อยากรู้ว่าไอ้ใหญ่มันจะตอบน้องออมว่าอะไร แต่ผมก็ต้องวางสายไปอย่างก่อน เสียดายเหมือนกันที่ได้คุยกับไอ้ใหญ่นิดเดียว แต่ก็แปลกที่ว่าผมก็ยังอารมณ์ดีอยู่ถึงแม้จะวางสายไปนานแล้ว
ผมยังนอนคิดอะไรอยู่นานทั้งเรื่องของไอ้ใหญ่ เรื่องที่อ้อยโทรมา พอเคลิ้มๆจะหลับก็มีโทรศัพท์มาอีก
“พี่ฝัน..ผมไรท์รูปลงแผ่นเสร็จแล้วทั้งของพี่ของเฮียจะให้เอาไปให้ที่ไหน” ไอ้น้องเกี๊ยงมันโทรมาครับคงหมายถึงรูปที่ถ่ายไปเมื่อวาน “มึงเอามาให้กูที่บ้านได้มั้ย กูขี้กียจออกว่ะ” ไหนๆก็ลาหยุดไม่ต้องไปทำงานแล้ว ก็แทบไม่อยากจะขยับตัวเลยครับ
“ได้พี่ฝัน แล้วของเฮียล่ะเอาไปด้วยรึเปล่า”ไอ้นี่ก็ถามจุกจิกกวนใจอยู่ได้ “เอามาด้วยเลย เดี๋ยวกูส่งให้มันเอง แค่นี้นะกูจะนอนรอ” แค่พูดนี่ก็จะไม่ไหวแล้วครับตาจะปิดให้ได้
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งห้องก็มืดแล้วครับผมดูเวลา6โมงกว่าแล้ว ไอ้เกี๊ยงนั่งหันหลังให้ผมอยู่ที่หน้าจอทีวีนั่งดูรูปผมอยู่อย่างเงียบๆ ผมเลยนั่งดูกับมันไปด้วยแต่ก็ไม่ได้เรียกให้มันรู้ตัวว่าผมตื่นแล้ว ช่วงแรกๆเป็นรูปที่ผมถ่ายกับเพื่อนไม่กี่คนที่มาเช้าๆหน้าตายังดูสดใสอยู่ บางรูปผมไม่รู้ว่าไอ้เกี๊ยงมันแอบถ่ายเมื่อไหร่แต่ผมก็ดูดีนะครับ ผมดูรูปแล้วก็สรุปกับตัวเองได้ว่าผมก็หน้าตาดีพอได้เลย ถึงแม้จะไม่หล่อคมแต่ก็พอเข้าเทรนด์สมัยนี้ตี๋ๆขาวๆ
รูปเลื่อนมาถึงตอนที่ไอ้ใหญ่มาพอดีรอยยิ้มกว้างของมันสร้างความสดใสให้กับรูปหมู่ขึ้นมาทันที ยิ่งมันใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทำให้หน้ามันดูเหมือนนักศึกษารุ่นน้องมากกว่าที่จะเป็นบัณฑิตที่กำลังจะรับปริญญา ในรูปสายตาของผมที่มองมายังไอ้ใหญ่มันช่างเปิดเผยความรู้สึกเสียจนผมเห็นได้ชัด รูปนี้ผมยิ้มไม่หุบไม่ยอมมองที่กล้องตาจับจ้องอยู่แต่ที่มันเพียงคนเดียว
รูปถัดๆมาเป็นรูปผมถ่ายคู่กับมันเป็นส่วนใหญ่ มีรูปที่ผมกับมันทำหน้าตาประหลาดๆใส่กัน บางรูปผมดูแล้วก็เผลอหัวเราะเสียงดังจนไอ้เกี๊ยงมันได้ยินเลยหันมามองผม แล้วยกมือไหว้ “อ้าว...หวัดดีพี่ฝัน ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็ไม่เรียก”
ผมขยับเลื่อนตัวมานั่งข้างๆมัน “กูตื่นนานแล้ว ดูรูปไปกับมึงไปด้วย มึงถ่ายรูปดีนี่หว่าสงสัยเป็นเพราะนายแบบหน้าตาดี” ไอ้เกี๊ยงพยักหน้าเห็นด้วย “ผมว่าแสงดี นายแบบ....เฮียใหญ่ก็หน้าตาดี ผมก็ฝีมือดีเลยได้ผลงานดีน่ะพี่ ฮ่าๆๆ”
ผมเลยตบหัวมันไปที “มึงจะชมกูคนจ่ายเงินให้มึงซักหน่อยมันลำบากมากหรือไง...ไอ้น้องเวรนี่”
ไอ้เกี๊ยงหัวเราะ “แต่เฮียใหญ่ถ่ายรูปขึ้นนะพี่ ” ผมก็เห็นด้วยกับไอ้เกี๊ยง “อืมม...”
ไอ้ใหญ่มันถ่ายรูปขึ้นจริงๆด้วยครับไปเป็นดาราหนังได้สบาย รูปในจอยังคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆมีทั้งรูปหมู่รูปเดี่ยว รูปคู่ ไอ้เกี๊ยงดึงแขนผม “พี่ๆ..ดูรูปนี้ซิผมชอบมากเลย เวลาดูต่อๆกันเหมือนดูมิวสิควีดีโอเลย”
รูปที่ไอ้เกี๊ยงมันเรียกผมดูเป็นรูปที่ผมกำลังโทรศัพท์อยู่ไม่ได้มองกล้อง ไอ้ใหญ่ยืนห่างออกไปไม่ไกลก็จริงแต่เห็นสายตาที่มันมองมาที่ผม สีหน้าของมันดูก็รู้ว่ามันอารมณ์ไม่ดีเลย รูปถัดมามันมองกล้องแต่ก็หน้างอผมยังยืนโทรศัพท์อยู่ข้างๆมันตาเหลือบมองกล้อง แล้วก็เป็นรูปที่ผมจับมือลากมันไปคุยที่โต๊ะ ตามมาด้วยรูปที่ผมลูบหัวมันเราทั้งสองคนยิ้มให้กัน ได้แต่คิดในใจว่าไอ้เกี๊ยงมันอาชีพหลักเป็นปาปารัสซี่หรือเปล่า
ไอ้เกี๊ยงเอามือตบเข่าดังฉาด“เฮียใหญ่แกหน้าตาเหมือนเด็กขี้งอนเลย น่ารักจัง ทำไมผมไม่จีบเฮียแกวะ เสียดายจริงๆ”
ผมเลยตบหัวมันไปอีกที “เดี๋ยวเหอะมึง...ล้ำเส้นแล้วนะ รู้ซะมั่งไหนหัวไหนก้อย” ไอ้เกี๊ยงหันหน้ามามองผม ทำหน้ากวนประสาท “อ๋อพี่ฝันเป็นหัวล่ะซิ หึหึเลยต้องจีบก่อน” คราวนี้ผมเลยเอากำปั้นทุบลงไปที่ท้องมันทีนึง “ลามปามนะมึง ปากดีนักนะ” ต้องทำร้ายน้องกลบเกลื่อนอาการที่ถูกมันรู้ทันครับ
“อูย...ล้อแค่นี้ก็ไม่ได้ รู้ละๆ ว่าของๆใครของใครก็ต้องหวง”ไอ้เกี๊ยงมันเป็นน้องรหัสผมเอง สนิทกับมันจนมันชอบลืมตัวนึกว่าผมเป็นเพื่อนเล่นมัน ถึงมันจะก่อกวนประสาทผมมากไปหน่อยแต่มันเป็นคนจิตใจดี ผมก็เลยสามารถพูดกับมันได้ทุกเรื่อง “มึงนี่ชอบรู้ดี...แต่ กูดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
ไอ้เกี๊ยงหัวเราะอยู่ในคอทำเป็นกอดอก “หึหึ...หึหึ”มันเอียงคอมองผมด้วยหางตาแล้วยิ้มกริ่ม เห็นมันทำหน้าแบบนี้แล้วมือมันไปเองครับผลักหัวมันไปอีกรอบ “ดูมึงมาทำหน้ากวนตีน...จะพูดอะไรก็พูดมา”
“พี่ฝันอ่ะ ผมน่วมไปทั้งตัวแล้วนะชอบเล่นแรงๆ จะดุไปถึงไหน”พอไอ้เกี๊ยงมันโอดครวญ ผมก็หัวเราะ “ก็มึงชอบกวนนี่หว่า ทำหน้าเป็นรู้ดีไปซะทุกเรื่อง”
มันบ่นพึมพำๆ “ไม่รู้เฮียใหญ่ไปหลงเสน่ห์ได้ยังไง” ผมดูรูปไปด้วยแล้วก็ยิ้ม รูปนี้ผมเอามือจับไหล่ไอ้ใหญ่ไว้ข้างหนึ่งมืออีกข้างจับมือมันไว้ เราหันหน้ามายิ้มให้กันทั้งคู่ ไอ้เกี๊ยงมันพูดลอยๆออกมาว่า“ก็ดูออกกันทั้งคู่ละว้า” ผมหันไปมองหน้ามัน
“พี่ดูรูปเฮียรูปต่อไปซิ” รูปนี้เป็นตอนที่อ้อยมาถึงไอ้เกี๊ยงมันถ่ายรูปตอนที่ผมกำลังปล่อยมือไอ้ใหญ่พอดี มันหันหน้ามามองผมแววตาของมันดูเศร้า แต่ผมก็ไม่ได้มองไปทางไอ้ใหญ่เลยตอนนั้น แต่อีกรูปที่เราเปลี่ยนที่ยืนไอ้ใหญ่ยืนห่างออกจากผมไป กลับเป็นสายตาของผมที่มองหาไอ้ใหญ่
“คนอื่นเห็นรึเปล่าผมไม่รู้ แต่พอผ่านเลนส์ ผ่านตาผมแล้ว...มันชัดน่ะพี่” แล้วไอ้เกี๊ยงมันก็แหกปากร้องเพลงของพี่ติ๊กชิโร่ครับ.....ชัดเจน
ปิดตา แต่ยังคงได้ยิน
ปิดหูก็ยังได้กลิ่น ปิดไฟก็เห็นด้วยจินตนาการ
อยากอยู่ ดูแลเธอใกล้ใกล้
โอบกอดและเอาใจใส่ ไม่ให้ใจว้าเหว่ ได้เลย
ชัดเจน นี่แหละรักที่พองเต็มใจ
ที่ไม่ใช่เป็นความรักที่ว่างเปล่า ที่เหงาเหมือนเงาที่เบลอๆ
ชัดเจน นี่แหละรักที่โตเต็มใจ
ที่ไม่ใช่เป็นความรักที่แปลกๆ เหินๆ ห่างๆ
อยากใกล้กัน อยากชิดกัน อยากพูดทุกวัน
ฉันรักเธอ เออ...ชัดเจน....โอ โอ โอ
คิดถึง อยากดึงเธอมาใกล้
แหละนี่คือเรื่องใหญ่ อยากบอกให้เธอเข้าใจ ชัดเจน
เรื่องจริง ไม่ต้องอิง นิยาย
ไม่ต้องรอเมื่อไหร่ อยากบอกให้เธอเข้าใจ...รักเธอ
ชัดเจน นี่แหละรักที่พองเต็มใจ
ที่ไม่ใช่เป็นความรักที่ว่างเปล่า ที่เหงาเหมือนเงาที่เบลอๆ
ชัดเจน นี่แหละรักที่โตเต็มใจ
ที่ไม่ใช่เป็นความรักที่แปลกๆ เหินๆ ห่างๆ
อยากใกล้กัน อยากชิดกัน อยากพูดทุกวัน
ฉันรักเธอ เออ...ชัดเจน....โอ โอ โอ
เธอ...ฉัน...ชัดเจน...เย..เย...เย.........เย...ฮู
รัก รัก รักเธอชัดเจน...
ผมเกือบจะด่ามันไปแล้วครับแต่ภาพแต่ละภาพที่ผมดูอยู่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำเอาผมพูดไม่ออก เราอาจจะไม่ได้พูดกันตรงๆถึงความผูกพันของเรา เราอาจไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกออกมามากมาย แต่แววตาของผมและใหญ่ปิดไม่มิดจริงๆ ชัดเจนไปตามเพลงจนรู้สึกอายไอ้เกี๊ยงมัน รู้สึกว่าหน้าร้อนวูบวาบ มันคงเหมือนเวลาเราดูรูปที่เราถ่ายกับคนที่เรารัก ถ้าเรามีความสุขทั้งสีหน้าและแววตาของเราจะแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน
กำลังดูรูปอยู่เพลินๆไอ้เกี๊ยงก็พูดขึ้นมาอีก“ดีว่ะ”
ผมหันไปมองหน้าไอ้เกี๊ยงสงสัยว่ามันอารมณ์ไหนกันแน่ “อะไรของมึง...ที่ว่าดี”
มันหันมายิ้มให้ผมทำตาฝันๆ “ก็ความรักของพี่กับเฮียซิ......”
ตาของผมยังจับอยู่ที่รูป ผมกับไอ้ใหญ่ยืนกอดอกอยู่คนละฝั่งของเสาหันหลังพิงเสา แต่หันหน้ามายิ้มให้กัน รูปนี้ก็บอกอะไรผมได้ชัดเจนเหมือนกันมันมากระแทกความรู้สึกของผมโดยไม่ทันตั้งตัว ผมพูดออกไปด้วยความเศร้าลึกๆในใจได้แต่แค่นยิ้มให้กับตัวเอง
“ดียังไงว่ะ....รักกันแต่ก็ได้แค่อยู่ห่างกันคนละฝั่ง...ทำได้แค่มองกันแต่ไปไม่ถึงกันซักที”
ผมถอนหายใจยาวชันเข่าขึ้นมากอด ความเศร้ามันมาพร้อมความรักได้ยังไงผมก็ยังไม่เข้าใจ
“มันก็ยังดีนะพี่...ถึงจะอยู่ไกลกันแต่เราก็ยังรู้ว่าเรามีคนที่เรารักแล้วก็รักเราอยู่ตรงนั้น...ไม่เหมือนคนเหงาๆอย่างผม” น้ำเสียงของไอ้เกี๊ยงดูเศร้าไม่แพ้ผม “ยืนอยู่ตรงนี้....โดดเดี่ยวคนเดียว....แค่คนในความฝันยังไม่มี”
ไอ้เกี๊ยงมันเข้าสู่โหมดจริงจังเป็นกับเค้าเหมือนกันครับ มันเองก็คงมีเรื่องในใจเหมือนกัน ผมโอบไหล่มันไว้ตบไหล่เบาๆปลอบใจมัน “มึงกะกูก็เศร้าพอกันแล่ะไอ้เกี๊ยง”
วันนั้นผมกับไอ้เกี๊ยงเลยเลิกดูรูปแล้วแยกย้ายกันไปด้วยความหดหู่ ผมเอาจดหมายมาเขียนถึงไอ้ใหญ่พร้อมกับจะส่งรูปไปให้มันด้วย
ใหญ่พ่อน้องออม
หวัดดีใหญ่....เหมือนเราเพิ่งเจอกันมาไม่นานเลยนะ ห่างกันไม่ถึง 24ชั่วโมงกูก็ทนไม่ไหวต้องเขียนจดหมายมาหามึงแล้ว (แต่กูคิดถึงมึงจริงๆนะ) วันนี้ไอ้เกี๊ยงมันเอารูปที่ถ่ายเมื่อวานมาให้กูกับมึง เก็บเงินไปเรียบร้อย ไม่น่าเชื่อว่าเราสองคนจะหน้าตาดีขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่ามึงอยู่เชียงใหม่และไม่ติดว่ากูยังไม่อยากดังไปมากกว่านี้ กูว่าจะส่งรูปเราสองคนไปโมเดลลิ่งหรือค่ายเพลงท่าจะดี เราจะได้เป็นคู่ดูโอออกอัลบั้มด้วยกัน ฮ่าๆ
เดี๋ยวมึงเปิดดูรูปมึงคงคิดเหมือนกัน มีรูปที่กูชอบหลายรูปแต่ไม่รู้ว่ามึงดูแล้วจะคิดเหมือนกูมั้ย ตอนที่กูดูรูปกับน้องเกี๊ยงมันร้องเพลง ชัดเจน ของพี่ติ๊ก ชิโร่ให้กูฟัง มึงเคยฟังรึเปล่า กูฟังแล้วคิดตามเพลงมันชัดเจนจริงๆนะมึง สำหรับกูมันชัดเจนมากถึงมากที่สุด กูอยากจะร้องเพลงให้มึงฟังด้วยตัวเอง แต่ก็ติดตรงที่ว่ากูไม่รู้จะหานิโคลที่ไหนมาร้องคู่กับกู มึงก็ไปหาฟังเอาเองแล้วกันนะ คิดซะว่าเสียงพี่ติ๊กก็เหมือนเสียงกู
โดยเฉพาะท่อนนี้ที่กูอยากร้องให้มึงฟัง
คิดถึง อยากดึงเธอมาใกล้
แหละนี่คือเรื่องใหญ่ อยากบอกให้เธอเข้าใจ ชัดเจน
เรื่องจริง ไม่ต้องอิง นิยาย
ไม่ต้องรอเมื่อไหร่ อยากบอกให้เธอเข้าใจ...รักเธอ
คิดถึงมึงหนักกว่าเดิมอีก....
ฝัน..ชัดเจน*************
ชัดเจนจริงๆ
http://www.4shared.com/embed/58058541/32015290