7 สถานีสุรศักดิ์
หนุ่ยบอกป้าจิตเรื่องที่คุณธีร์สั่งให้เปิดห้องให้เขาเข้าไปใช้อินเตอร์เนตในห้องคุณธีร์ได้ ป้าจิตไม่ไปเปิดห้องให้ แต่เลือกกุญแจออกมาดอกหนึ่งแล้วส่งให้
“อ่ะ...คุณเอาไปเปิดเองแล้วกันนะ...ห้องคุณธีร์อยู่ชั้นสาม...ขึ้นบันไดไปอยู่ด้านซ้ายสุดของตึก...”ป้าจิตยื่นกุญแจให้หนุ่ย
“ขอบคุณครับป้า”
“อ้อ...เดี๋ยวตอนบ่ายช่างจะมาเก็บงานในห้องคุณ...อาจจะเสียงดังบ้างนะคะ”ป้าจิตบอก
“ห้องผมอยู่ตรงไหนเหรอครับป้า”หนุ่ยถาม
“ห้องคุณถึงก่อนห้องคุณธีร์...ติดกันเลยค่ะ...”ป้าจิตบอกแล้วเดินกลับเข้าครัวไป
ห้องของธีร์อยู่ในปีกด้านซ้ายสุดของตัวตึก บนชั้นสาม หนุ่ยสังเกตห้องที่ใหญ่โตและหรูหราด้วยความตื่นตา เตียงนอนใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ด้านหัวนอนมีโต๊ะเล็กๆวางโคมไฟและมีกรอบรูปเล็กๆ หนุ่ยคุกเข่าลงไปนั่งดูรูปถ่ายนั้นด้วยความสนใจ เป็นรูปคุณธีร์ถ่ายคู่กับคุณภาณี ที่สะพานโกลเด้นท์เกต หนุ่ยเห็นแล้วอดยิ้มไปกับความรักที่มีให้กันของแม่ลูกคู่นี้ ไม่ได้ น่าอิจฉาจริงๆ หนุ่ยถือวิสาสะหยิบเอาขึ้นมาดู เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าด้านหลังของกรอบรูปใบนี้มีรูปอีกรูปหนึ่งซ่อนอยู่ หนุ่ยค่อยๆดึงออกมาดู เป็นรูปคุณธีร์อีกนั่นแหละ...แต่รูปนี้ถ่ายคู่กับเพื่อน...ทั้งสองยืนกอดคอกัน สีหน้าของทั้งคู่บ่งบอกว่ามีความสุขมากๆ คุณธีร์สวมสเวตเตอร์สีดำ ผมยาวกว่าตอนนี้มาก สายลมคงจะพัดมาทำให้เส้นผมเล็กๆพลิ้วไปตามแรงลม ส่วนเพื่อนคุณธีร์นั้นสวมใส่สเวตเตอร์สีแดงสด ใบหน้าคมสัน จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ผิวคล้ำเล็กน้อยแต่หน้าเนียนใส ทรงผมที่ตัดจนเกือบสั้น ทำให้ดูสดใส รูปถ่ายรูปนี้คงไม่ได้ถ่ายที่เมืองไทยแน่นอนเพราะถ้าเป็นเมืองไทย...คงไม่ใส่สเวตเตอร์ หนุ่ยไม่รู้หรอกว่าที่ไหน
หนุ่ยสอดรูปถ่ายใบนั้นเข้าที่แล้ววางกรอบรูปนั้นลงที่เดิม ก่อนเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง หนุ่ยเปิดหน้าต่างบานใหญ่แล้วชะโงกหน้าออกมา ห้องนี้มองเห็นบริเวณบ้านโดยรอบได้ โดยเฉพาะด้านประตูหน้าใครเข้าออกทางหน้าบ้านนี่เห็นหมด ช่องหน้าต่างเป็นที่ตั้งของโต๊ะเขียนหนังสือด้วย แต่ดูแล้วคุณธีร์คงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่เพราะแทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งานเลย ห้องชายหนุ่มตกแต่งแบบเรียบง่าย ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไร โทรทัศน์ เครื่องเสียง ไม่มีสักอย่าง ผิดกับห้องของเขาที่คุณธีร์สั่งให้ติดทั้งโทรทัศน์ เครื่องเสียงและคอมพิวเตอร์ “สั่งให้ติดนู่นติดนี่ยังกับจะมานอนซะเอง”หนุ่ยคิดในใจพลางเดินไปเปิดโน้ตบุ๊คแล้วจัดการเสียบสายแลนที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ากับเครื่องคอมฯ สักพักเมื่อเครื่องพร้อมแล้วหนุ่ยก็เริ่มเสิร์ชหาที่เรียนพิเศษทันที หนุ่ยเก็บข้อมูลเรื่องที่เรียนไว้แล้วเพื่อคอยให้คุณธีร์กลับมาตัดสินใจอีกครั้ง
.............
หลังจากที่ธีร์กลับมาจากสิงคโปร์แล้ว ธีร์ก็พาหนุ่ยไปสมัครเรียนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งย่านพญาไท หนุ่ยต้องเรียนทุกวัน เก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมง แต่เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดคือการเดินทาง ธีร์ต้องขอให้ป้าจิตเป็นคนสอนหนุ่ยให้ขึ้นรถไฟฟ้าให้เป็น เพื่อจะได้ไปไหนมาไหนได้เอง ป้าจิตเล่าให้หนุ่ยฟังคร่าวๆถึงวิธีการซื้อบัตรรถไฟฟ้า รวมทั้งตั๋วนักเรียนแบบรายเดือน แค่นั้นเด็กหนุ่มก็สามารถไปเองได้แล้ว เด็กหนุ่มหัวไวไม่ใช่น้อย
เริ่มไปเรียนวันแรกหนุ่ยรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่าง ที่เรียนพิเศษกับการเรียนในห้องเรียนโดยสิ้นเชิง ห้องเรียนของเขาที่ระโนดนั้นทุกคนเอื้ออาทรต่อกัน ใครจดงานไม่ทันก็ขอยืมเพื่อนไปลอก ใครขี้เกียจก็ลอกเพื่อนเอา แบ่งปันกันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่นี่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาเรียน ไม่มีการแบ่งปัน ทุกคนรักษาสิทธิ์ในส่วนที่พึงมีพึงได้ ของใครของมัน หนุ่ยรู้สึกว่าการแข่งขันที่สูงอย่างนี้มันทำให้เขาอึดอัดไม่ใช่น้อย
คอร์สที่หนุ่ยเรียนเป็นคอร์สที่สั้นๆ ตอนนี้เรื่องเรียนของหนุ่ยที่โรงเรียนเก่าของธีร์นั้นเรียบร้อยแล้ว เขาไม่กล้าถามคุณภาณีว่าทำอย่างไรถึงทำให้เขาเข้าไปเรียนได้ ได้แต่ก้มหน้ารับคำอย่างเกรงใจ
“ป้าจะให้พี่ธีร์พาเราไปซื้อเสื้อผ้านักเรียนนะ”ภาณีบอกแล้วออกจากบ้านไป
“รบกวนคุณธีร์อีกแล้ว”หนุ่ยคิดในใจ
..............
เปิดเรียนวันแรกธีร์ขับรถจากคอนโดฯมารับหนุ่ยแต่เช้า หนุ่ยเองก็ตื่นเต้นมากๆ เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเอาซะเลย ระหว่างทางหนุ่ยมองเส้นทางที่จะไปเรียนตลอดเพื่อจะจำไว้ว่าต้องไปทางไหน เขาไม่อยากรบกวนคุณธีร์ให้มาส่งทุกวันด้วย อีกอย่างเขาโตพอที่จะไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองแล้ว
“ผมต้องนั่งรถเมล์สายอะไรครับถึงจะมาโรงเรียนได้”หนุ่ยถามเผื่อว่าธีร์จะช่วยได้
“ไม่รู้เหมือนกัน...ตอนที่ชั้นไปเรียนมันก็นานแล้ว...ตอนนี้รถเมล์ก็เปลี่ยนชื่อสายจนจำไม่ได้แล้ว”ธีร์พูดเหมือนบ่น
“ชั้นว่าเธอน่าจะนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนได้นะ...ลงสถานีสุรศักดิ์เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง”ธีร์บอก
การมาเรียนในโรงเรียนที่มีแต่ชายล้วนทำให้หนุ่ยมีความรู้สึกแปลกไปอีก และขนาดโรงเรียนที่ใหญ่โตก็ทำให้เขาเองทำตัวไม่ค่อยถูก อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือการเข้ามาเรียนในระหว่างที่เพื่อนๆรู้จักกันหมดแล้ว เขาเลยเหมือนกับคนแปลกหน้าที่มาปรากฏตัวอยู่ในที่ๆไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งสำเนียงทองแดงที่เวลาพูดออกมาทีนึงมีแต่คนอมยิ้ม อย่างหนักก็หัวเราะเยาะเอาเลยทีเดียว
“เอ้า...เทอมนี้เรามีเพื่อนใหม่เข้ามาเรียนกับพวกเรา...ครูขอให้พวกเราต้อนรับเพื่อนใหม่ด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ...แนะนำเพื่อนด้วยว่าสถานที่ใดอยู่ตรงไหน...น่านฟ้า...ครูฝากเพื่อนใหม่ด้วยนะ”อาจารย์ที่ปรึกษาชั้นม.5/2 ฝากฝังหนุ่ยกับหัวหน้าห้อง
“อ่ะ...ขอให้เธอแนะนำตัวกับเพื่อนๆในห้องหน่อยนะ...”อาจารย์คนเดิมบอกให้หนุ่ยแนะนำตัวหน้าห้อง
“สวัสดีครับ...เพื่อนๆทุกคน...ผมชื่อ”ศิลปิน เพชรกุล”ชื่อเล่นชื่อ”หนุ่ย”ครับ ผมมาจากอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา”เรื่องพูดแบบนี้สบายมากสำหรับหนุ่ย เพราะตอนที่เรียนอยู่ระโนดนั้นเขาทั้งนำขึ้นเพลงชาติ นำสวดมนต์หน้าเสาธงเป็นประจำแถมเป็นพิธีกรในงานโรงเรียนเสมอๆ
เสียงปรบมือดังลั่นห้อง เสมือนยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ บางส่วนก็อมยิ้มเพราะสำเนียงของเด็กใต้ แต่หนุ่ยก็ไม่รู้สึกเก้อเขินแต่อย่างใด
“นายศิวัชไปไหน...ครูไม่เห็นมา 2-3 วันแล้ว...ศิลปินเธอไปนั่งกับน่านฟ้าก่อนแล้วกันนะ...พรุ่งนี้ครูจะให้นักการจัดโต๊ะเก้าอี้มาเพิ่มให้”อาจารย์สั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปยังที่นั่งว่างๆข้างน่านฟ้า...หัวหน้าห้อง
“น่านฟ้าเดี๋ยวตามครูมาที่ห้องพักครูด้วยนะ”อาจารย์สั่งก่อนเดินออกไป
“นายนั่งไปก่อนนะ...ถ้าไอ้วัชมันมาแล้วค่อยย้าย...หรือนายจะนั่งตรงนี้เลยก็ได้”น่านบอกกับเพื่อนใหม่ด้วยใบหน้าที่ไม่สู้จะดีนักก่อนจะเดินออกไปหาอาจารย์
“ขอบใจนะ”หนุ่ยบอกก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น เก้าอี้ตัวที่หนุ่ยก็ไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวาย...ไม่สิ้นสุด
วันแรกของการเรียนจบลงไปแล้วหนุ่ยมีเพื่อนใหม่มากมาย เพื่อนหลายๆคนแวะเวียนเข้ามาคุยกับเขาในเวลาที่ว่าง แต่”น่าน”ที่นั่งติดกับเขากลับไม่เคยแม้แต่จะหันมาคุย...”น่าน”ได้แต่เหม่อมองออกไปข้างนอกตลอดเวลา หนุ่ยเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า”น่าน”น่าจะมีอะไรหนักใจอยู่...อย่างน้อยเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเพื่อนอยู่หลายครั้ง
..........
“เป็นไงบ้างคะคุณหนุ่ย...ไปโรงเรียนวันแรก”ป้าจิตทักทายหนุ่ยอย่างเอ็นดู
“สนุกดีครับป้า...ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะเลย...”หนุ่ยยิ้มอย่างสดใส
“คุณหนุ่ยนั่งรถไฟฟ้าคล่องแล้วเหรอคะ...”ป้าจิตถามด้วยความเป็นห่วง
“สบายมากครับป้า...ผมไปกลับได้เองแล้ว...ขอบคุณป้าจิตมากนะครับ”หนุ่ยยกมือไหว้...ไม่ใช่แค่ขอบคุณเรื่องที่ป้าจิตสอนให้นั่งรถไฟฟ้าหรอก...แต่หนุ่ยรู้สึกอยากขอบคุณในน้ำใจไมตรีของป้าจิตมากกว่าที่ตลอดเวลาที่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่ป้าจิตรักและเอ็นดูเขาอย่างมากมาย
“เก่งค่ะ...คนบางคนจบปริญญาโทปริญญาเอกยังนั่งรถไฟฟ้าไม่เป็นเลยค่ะ”ป้าจิตยิ้มเยาะพวกที่ไม่ทันเทคโนโลยี
“วันนี้คุณภาณีจะทานข้าวที่บ้านค่ะ...เห็นบอกว่าคุณธีร์กับคุณเต้จะมาทานด้วย...สั่งอาหารป้าหลายอย่างเชียว...ป้าขอตัวก่อนนะคะ...”ป้าจิตปลีกตัวไปหลังบ้าน
เด็กหนุ่มเดินขึ้นห้องไปด้วยความอ่อนล้า...อยากนอนสักงีบ...เหนื่อยมาทั้งวัน