๔ หัวลำโพง
ยายอิ่มจากหลานชายคนเดียวไปอย่างไม่มีวันกลับ นำความเศร้าโสกเสียใจมาให้เด็กหนุ่มยิ่งนัก หนุ่ยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้านรับศพยายอิ่มกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเดียวในหมู่บ้าน วัดเดียวกับที่ทำศพตาอิน ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลมีพี่พยาบาลคนนึงวิ่งตามหนุ่ยออกมาแล้วเรียกให้หนุ่ยกลับเข้ามาคุยกันก่อน
“น้องได้กระดาษในมือยายไปแล้วใช่มั๊ย”พยาบาลพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“เอ่อ...”หนุ่ยกำลังงงกับคำถามที่ยังนึกไม่ออกว่ากระดาษอะไร...เขายังทำใจไม่ได้กับการจากไปของย่า
“กระดาษที่ยายอิ่มถืออยู่ในมือน่ะน้อง...แกไม่ยอมให้ใคร...บอกแต่จะเอาให้หลานชาย...ก็คือน้องใช่มั๊ยล่ะ”
“อ๋อครับ...”หนุ่ยนึกขึ้นมาได้ว่าย่าพยายามยัดกระดาษเหลืองๆใส่มือเขาให้ได้ จนป่านนี้เขายังไม่รู้เลยว่ากระดาษนั้นมีข้อความอะไร หนุ่ยควักกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อช้าๆ สีเหลืองหม่นบ่งบอกถึงการเก็บมาเป็นเวลานาน ตัวหนังสือซีดจางลงมากแต่ยังอ่านได้อยู่ว่า “ภาณี 081-XXX-XXXX”
“นั่นแหละ...ย่าเค้าสั่งพี่ไว้ก่อนจะเสียนะว่าให้เราน่ะโทรหาเบอร์นี้...ให้ได้...ยังไงต้องโทรหาให้ได้”พยาบาลบอกเท่านี้ก็ควักเงินออกมาใส่ซองแล้วยื่นให้
“อ่ะน้องรับนี่ไปด้วยนะ...พี่ช่วยทำบุญด้วย”พยาบาลผู้เปี่ยมด้วยเมตตาพูดเบาๆแล้วกำชับอีกครั้งว่า
“โทรหาเบอร์นี้ด้วยนะ...ย่าเราน่ะเค้าฝากไว้จริงๆ...”
งานศพของยายอิ่มจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว สวดเพียง ๓ คืนแล้วก็เผาเลย ญาติโกโหติกาที่ไหนก็ไม่มี หนุ่ยต้องทำเองทั้งหมด ดีที่มีเพื่อนๆมาช่วยงานกันทุกคืนทำให้คลายเหงาไปได้บ้าง ในวันสุดท้ายหลังจากที่เผาศพยายอิ่มเรียบร้อย หนุ่ยมานั่งร้องไห้คนเดียวที่หน้าบันไดบ้าน สงสารย่าที่ต้องเจ็บปวด...เขาไม่รู้หรอกว่าความเจ็บปวดแค่ไหนถึงจะทำให้คนเราตายลงไปได้ หนุ่ยคิดถึงปู่ ปู่ที่จากเขาและย่าไปเมื่อ ๓ ปีก่อน ป่านนี้ท่านทั้งสองคงจะได้พบกันอยู่บนฟากฟ้า “ปู่ครับ...ย่าครับ...มองลงมาที่ผมบ้างนะครับ...ผมอยู่คนเดียว...ผมไม่เหลือใครแล้ว” เด็กหนุ่มสะอื้นไห้เบาๆ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม สงสารชีวิตตัวเองที่มันอ้างว้างเหลือเกิน หันไปทางไหนก็ไม่มีใคร อนาคตเป็นยังไงเด็กหนุ่มยังไม่รู้เอาซะเลย
หนุ่ยมองขึ้นไปบนฟ้า “ปู่ครับ...ย่าครับ...ชีวิตผมจะต้องเดินต่อไป...ผมจะทำให้ได้ตามที่ปู่ฝันเอาไว้...ปู่กับย่าเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”เด็กหนุ่มปาดน้ำตาทิ้งอีกครั้ง ดวงตากลมโตกลับมาเป็นประกายเหมือนเดิม...แววตาแห่งความมุ่งมั่น ใฝ่รู้และซุกซน
รุ่งเช้าเด็กหนุ่มเข้าไปในอำเภอ เข้าไปถอนเงินที่ธนาคาร หนุ่ยตั้งใจแล้วหลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาจะจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อย จัดสร้างเจดีย์เพื่อเก็บกระดูกปู่กับย่าไว้ด้วยกันที่วัด ส่วนบ้านที่เขาอยู่นั้นปิดเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมาจัดการ เมื่อวานนี้บอกไอ้ไข่ไว้แล้วว่าว่างๆให้มาดูแลบ้านตัดหญ้าถางหญ้าให้เขาบ้าง ส่วนตัวเขานั้นจะไปทำความฝันของปู่ให้เป็นความจริง....เขาจะเข้ากรุงเทพฯ...
สถานีรถไฟหาดใหญ่บนขบวนรถไฟยะลา-กรุงเทพฯ หนุ่ยนั่งเหม่อมองออกไปข้างนอกรถ รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันที่จะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน เขาไม่เคยเดินทางมากรุงเทพฯมาก่อนเลยในชีวิต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขา หนุ่ยนั่งคิดถึงคำพูดของคุณภาณีที่ดังอยู่ในหู น้ำเสียงที่เฉียบขาดแต่แฝงไว้ด้วยความใจดี
“พรุ่งนี้เช้าป้าจะให้คนขับรถไปรับที่หัวลำโพง”
“ขอบคุณครับ...แต่ไม่ต้องก็ได้ครับ...ผมไปหาคุณภาณีเองก็ได้ครับ...ผมเกรงใจ”หนุ่ยบอกอย่างเจียมตัว
“...เธอจะมาถูกได้ยังไง...เข้ากรุงเทพฯครั้งแรกไม่ใช่เหรอ...กรุงเทพฯนะ...ไม่ใช่หาดใหญ่”ภาณีบอกอย่างรำคาญเพราะงานค่อนข้างจะยุ่งนั่นเอง
“ครับๆ...”หนุ่ยรับคำอย่างเกรงใจ ตัวใหญ่ๆลีบลงเกือบจะแทรกลงไปในหูโทรศัพท์ได้เลยทีเดียว
ค่ำคืนของการเดินทาง หนุ่ยหลับไม่ลง คืนนี้ไม่มีเสียงหรีดหริ่งเรไรมาขับกล่อมประโคมเหมือนเดิม มีแต่เสียงกระฉึกกระฉักของรถไฟดังหนวกหู ความเมื่อยขบน่ะไม่เท่าไหร่เพราะความที่ยังหนุ่มแน่น
รถไฟมาถึงหัวลำโพงเกือบเที่ยง ช้ากว่ากำหนดตามมาตรฐานรถไฟไทย หนุ่ยเดินไปหาตู้โทรศัพท์เพื่อโทรฯหาคนขับรถที่มารอรับตามเบอร์ที่ภาณีให้ไว้ หนุ่ยได้พบลุงสดคนขับรถ ลุงสดอายุประมาณ ๕๐ปีมารอรับอยู่ที่จุดนัดพบ ลุงสดขับรถไปส่งหนุ่ยที่บ้านภาณีระหว่างทางไปบ้านช่างตื่นตาตื่นใจเด็กหนุ่มเหลือเกิน กรุงเทพฯเมืองใหญ่ที่มีแต่รถรา และผู้คนมากมาย เขาเคยเห็นแต่ในรูปและในเวปไซต์ในอินเตอร์เนตที่โรงเรียน มาเจอของจริงวันนี้เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเอามากๆ นั่นรถไฟลอยฟ้ามันใหญ่โตมโหฬารจริงๆ นี่ถ้าได้กลับไปบ้านจะไปเล่าให้ไอ้ไข่เพื่อนรักฟัง บ้านคุณภาณีอยู่แถวๆเพลินจิต เมื่อมาถึงบ้าน“ป้าจิต”แม่บ้านวัย ๔๕ ซึ่งเป็นภรรยาลุงสดได้เตรียมห้องไว้ให้หนุ่ยในปีกด้านหลังบ้าน ห้องเล็กๆมีห้องน้ำในตัว บ้านหลังนี้ใหญ่โตมากๆถึงจะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็น่าอยู่ไม่น้อย ดูร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆมากมาย สะอาดและเป็นระเบียบ
“คุณหนุ่ยนอนที่ห้องนี้ก่อนนะคะ...ห้องข้างบนคุณภาณีกำลังให้ช่างตกแต่งอยู่...อีกไม่นานก็เสร็จ...”ป้าจิตบอกอย่างใจดี คนที่นี่ดีกับเขาเหลือเกิน แค่วันแรกหนุ่ยก็สัมผัสได้
“ผมต้องช่วยทำอะไรบ้างครับป้า”หนุ่ยถามป้าจิตด้วยความนอบน้อม
“ไม่ต้องค่ะ...คุณภาณีสั่งไว้ว่า...ให้คุณหนุ่ยพักผ่อนก่อน”ป้าจิตพูดเสร็จแล้วก็ออกไป
“ขาดเหลืออะไรเรียกป้านะคะ”ป้าจิตหันมาพูดแล้วยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู
“ขอบคุณครับป้า”หนุ่ยกำลังจะยกมือไหว้
“อุ๊ย...ไม่ต้องไหว้ค่ะ...เจ้านายจะไหว้คนรับใช้ไม่ได้นะคะ”ป้าจิตรีบกลับมาจับมือหนุ่ยไว้ไม่ให้ไหว้
“เอ่อครับ...”หนุ่ยเกาหัวอย่างเขินๆ
หนุ่ยปลดเป้เดินทางใบใหญ่ลงวางที่พื้น แล้วทรุดตัวลงนั่ง เอนหลังพิงเตียงไม้ที่วางอยู่มุมห้อง เขากวาดตาไปรอบๆห้อง แค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้วสำหรับเขา “นี่คุณภาณีจะให้ไปนอนบนตึกอีกหรือ” เด็กหนุ่มถอดเสื้อยืดตัวเล็กๆพาดไว้กับราวตากผ้าในห้อง ใบหน้าอิดโรยเล็กน้อย จมูกโด่ง ตากลมโต ผมทรงนักเรียนที่เริ่มยาวออกมาแล้ว นี่ถ้าอยู่ที่โรงเรียนเก่ามีหวังถูกอาจารย์สั่งให้ไปตัดแล้ว เพราะว่าตามระเบียบจะไว้ยาวอย่างนี้ไม่ได้ แต่นี่เขาบอกอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนมาอยู่ที่นี่ว่า จะขอลาออกมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อาจารย์ยังถามอยู่ว่าจะไปกินไปอยู่ยังไง...เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้ม
หนุ่ยมองไปที่หน้าท้องเป็นลอนแกร่ง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพองามของตัวเองแล้วลูบไล้ไปมา ไรขนที่หน้าท้องเริ่มมากกว่าเมื่อก่อน มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาเริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว มันลามออกมาจากขอบกางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ อีกทั้งความรู้สึกบางอย่างที่มีมากขึ้น มันไม่เหมือนเดิม เวลาที่เขาคุยกับเพื่อนผู้หญิงบางคนที่รู้สึกพึงใจ เขาจะรู้สึกแปลกๆ มันเขินๆยังไงไม่รู้ บางทีหน้าแดงซ่านออกมาโดยไม่รู้ตัวจนเพื่อนแซวบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาคุยกับ “แต้ว”เพื่อนหญิงที่สนิทที่สุดของเขา หนุ่ยคิดถึงแต้วขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต้วลูกสาวของอาจารย์วิชัย แต้วเรียนเก่งมาก แต่ก็ไม่เท่าเขา แต้วชอบมาคุยกับเขาเรื่องเรียนบ่อยๆ โดยเฉพาะวิชาที่เธอไม่ถนัด เขาสอนและติวให้แต้วอยู่เสมอ...จนทำให้สามารถเข้าออกบ้านแต้วได้อย่างสนิทสนม อาจารย์วิชัยพ่อของแต้วก็ดูจะพอใจด้วยซ้ำเมื่อเห็นเด็กทั้งสองหรือมีเพื่อนคนอื่นๆมารวมกลุ่มกันอ่านหนังสือ หนุ่ยหยิบกระดาษเขียนจดหมายออกมาจากเป้ เขาเตรียมซองและแสตมป์มาจากบ้านด้วยกลัวว่าจะหาซื้อที่กรุงเทพฯลำบาก หนุ่ยจรดปากกาเขียนจดหมายถึงแต้ว อยากจะบอกว่าเขาถึงกรุงเทพฯแล้วไม่ต้องห่วง
...........................
หนุ่ยสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นถี่ๆ พร้อมกับร้องเรียกชื่อเขาดังลั่นไปหมด หนุ่ยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จดหมายถึงแต้วที่เขากำลังเขียนอยู่นั้นเขียนไปได้ครึ่งหน้า หนุ่ยรีบกระโดดไปเปิดประตูห้องทันที
“ครับป้าจิต...”หนุ่ยยืนแคะขี้ตาพลางหาวเล็กๆ
“หลับอยู่หรือคะ...”
“เผลอไปหน่อยครับ...สงสัยเมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับ”หนุ่ยบอกแม่บ้าน
“คุณธีร์เรียกให้ไปพบค่ะ”ป้าจิตบอกเสียงตื่นเต้นดูเหมือนทุกคนจะเกรงชื่อนี้เป็นพิเศษ แต่หนุ่ยยังจำได้ไม่ลืมว่า “ธีร์”ชื่อนี้เองที่ทำให้ปู่ต้องจากเขาและย่าไป ชื่อนี้เองที่ทำให้เขาต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลขนาดนี้ ถ้าไม่มีคนๆนี้เขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้...