บทที่ 32 เผชิญหน้า
เมื่อพี่ชายรับโทรศัพท์ กวินกลับยิ่งลนลานเขาหันมองหน้าวริษฐ์ เป็นเชิงขอกำลังใจ อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ เพื่อบอกว่าให้คุยเลยสิ พูดตอบกลับไป
“พี่กรัณต์...”
‘กวิน!’
“ชู่ ขอผมคุยกับพี่เงียบ ๆ สองคนนะ”
‘รู้มั้ยเมื่อเช้าวุ่นวายแค่ไหน เราหนีไปทำไม กลับมาเลย จะต้องบินเย็นนี้แล้ว’
“พี่ พี่ฟังผมนะ ผมไปแน่ แต่ผมขอเวลาจัดการเตรียมตัวหน่อย”
‘พ่อแม่เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว’
“ไม่พี่ ผมจะจัดการเอง ผมจะไปให้ไกล ๆ”
‘ท่านโกรธมากนะกวิน’
คนที่ควรจะโกรธ คือผมต่างหาก ...
“เดี๋ยวผมก็จะไปแล้ว ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ไม่ให้ต้องเจออีก แต่ผมขอเวลาแค่นี้เอง”
‘แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน’
กวินเหลือบมองหน้าวริษฐ์ อีกฝ่ายกอดอกแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“พี่ครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านของผม” กวินตอบเลี่ยงไป ด้วยคำว่าบ้านของผมแล้วไม่ลงรายละเอียด “ผมขอโทษนะ แต่ว่า อยากให้พี่ช่วยหน่อย พี่ช่วยเอาของมาให้ผมทีได้มั้ย”
‘อยู่ที่ไหนล่ะ’
“ผมจะให้คนขับรถไปรับครับ ฝากเตรียมให้ที ทุกอย่างเลย ประเป๋าเงิน มือถือ พาสปอร์ต”
‘แต่พ่อแม่เขา’
“... ผมจะฝากจดหมายไปให้ด้วยแล้วกันนะครับ”
‘อืม จะมาแล้วโทรมาแล้วกัน’
“ขอบคุณพี่มาก ๆ นะครับ ผมวางก่อนนะครับ”
กวินกดวางสายโทรศัพท์มือถือ และถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ เขาเกร็งไปหมดเลย วริษฐ์ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ แล้วรับเอามือถือคืนมาจากอีกฝ่าย
“พี่อาร์ตครับ ผมขอกระดาษกับปากกาหน่อยสิครับ”
คนพี่ไม่พูดอะไรแต่ลุกขึ้นไปหยิบของให้ กวินรับมาและเริ่มขึ้นจดหมายถึงที่บ้าน
“ผมจะฝากนี่ไปให้ที่บ้านด้วยนะครับ”
วริษฐ์พยักหน้าขณะที่กดโทรหาเพื่อนเพื่อไหว้วานให้ช่วยจัดการให้ที
กวินนอนเขียนจดหมาย เขียนไปพร้อมน้ำตาเอ่อคลอ จดหมายฉบับนี้ ถ้าอ่านคงเหมือนจดหมายลา ใครเห็นคนคิดว่าฆ่าตัวตาย ... แต่ว่า ไม่ใช่กวิน ต้องการจะเริ่มต้นใหม่ต่างหาก
‘ถึงทุกคนที่กวินรัก กวินรักพ่อกับแม่ และรักพี่ชายนะครับ ขอโทษด้วยที่ผมมักเป็นที่น่าอับอายของพ่อแม่เสมอ เรียนก็ไม่ได้เรื่อง แถมยังเรื่องนี้อีก กวินพยายามแล้ว แต่ทำได้แค่นี้ ขอโทษนะครับ’
...หยดน้ำหยดเล็ก ๆ ตกลงบนกระดาษหลังจากเขียนคำขอโทษคำที่สอง เขาไม่รู้ว่าเขาผิดอะไร แต่ว่าเขาอยากจะขอโทษ ที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขาไม่ได้
‘แต่กวินขอ ขอเวลาไม่มากจัดการอะไรให้เรียบร้อย แล้วกวินจะไปให้ไกล ๆ ไม่ให้พ่อแม่ต้องอับอายอีก กวินจะไปต่างประเทศครับ แต่จะพยายามเอง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ และขอโทษอีกครั้ง ผมหวังว่าจากนี้พ่อ แม่และพี่กรันต์จะมีความสุข รักษาสุขภาพด้วยนะครับ อย่างน้อยก็เครียดน้อยลงเพราะผมไม่อยู่แล้ว
และถ้าใครถามถึง พ่อแม่จะบอกไปเลยก็ได้ครับ ว่ากวินตายไปแล้ว เขาจะได้เลิกถาม เลิกยุ่ง
ขอบคุณที่เลี้ยงดูมาตลอด
กวิน’
กวินพับทบจดหมายเรีอบร้อย เขาจะส่งให้ที่บ้าน ใจความจดหมายแค่อยากขอบคุณและอยากบอกลา
วริษฐ์เดินกลับมานั่งข้าง ๆ ยกแขนขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้จากทางด้านหลังคนตัวเล็กถึงได้หันมากอดแล้วซุกหน้าลงกับอกอุ่น ๆ
“กวินขอโทษนะครับ ขอโทษที่ไม่น่าภูมิใจ...” ปลายเสียงอู้อี้สั่นเครือ “ขอโทษครับ ขอโทษที่เป็นกวิน”
วริษฐ์กระชับกอดลูบหลังลูบหัวอีกฝ่ายไม่หยุด เขานึกคำปลอบโยนที่ดีไม่ได้ แต่อยากจะรับฟังเอาไว้ สัมผัสอีกฝ่ายให้รู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ และภูมิใจในตัวกวินมากกว่าใคร
“ขอโทษครับ ขอโทษจริง ๆ” กวินกำเสื้อของวริษฐ์แน่นพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอีก เอาแต่พูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
วริษฐ์ตัดสินใจว่าจะเป็นที่พักพิงของกวิน จะเป็นทุกอย่างของกวิน เหมือนที่กวินเองก็เป็นทุกอย่างของเขา
คนในอ้อมกอดหลังจากปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดที่ท่วมท้นในหัวใจออกมา เขาค่อย ๆ ใจเย็นลง ค่อย ๆ ได้สติ ร้องไห้น้อยลงจนเหลือแค่เสียงสะอื้นแผ่ว
“พี่ขอบคุณกวินนะ ขอบคุณที่พยายามกับพี่”
“พี่อาร์ตครับ”
“ต่อจากนี้กวินเป็นครอบครัวของพี่นะ ให้พี่เป็นครอบครัวของกวินนะครับ”
กวินพยักหน้ากับอกอีกฝ่าย เขาจะมีครอบครัวที่อบอุ่น...
หลังจากแมสเซนเจอร์มารับจดหมายไปส่ง กวินที่ร้องไห้จนตาบวม กลับขยับไปเตรียมทำเรซูเม่เตรียมยื่นสมัครงาน เขาไม่อยากนั่งคิดอะไรฟุ้งซ่าน
ไม่นานมากนักข้าวของส่วนตัวของเขาก็มาถึง มีซองจดหมายแนบมาด้วย เขียนลวก ๆ ว่ากรันต์ ไม่ได้มีจดหมายข้อความอะไรยืดยาว แต่ข้างในเป็นรูปที่ถ่ายด้วยกัน กับเงินปึกนึงพร้อมโน้ตเล็ก ๆ ‘ถ้าขาดอะไรบอกพี่นะ’
กวินขอบตาร้อนผ่าวทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ
“ถ้าร้องอีกพี่ว่าเราจะเป็นไข้นะครับ”
“พยายามห้ามอยู่ครับ” กวินสูดลมหายใจแล้วเงยหน้าขึ้น ให้น้ำตาไหลกลับลงไปข้างใน “กลับไปไม่ได้แล้วนะครับ เดินออกมาแบบนี้แล้ว”
“อือ ตอนนี้น่ะครับ ส่วนอนาคต อะไร ๆ คงจะดีขึ้น”
วริษฐ์หอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ
“ครับ พี่อาร์ตห้ามทิ้งกวินนะครับ”
“ไม่ทิ้ง เราเป็นครอบครัวกันแล้วนะครับ” วริษฐ์กอดอีกฝ่ายเต็มรัก
“ผมเชื่อพี่”
“ถ้าไม่เชื่อก็จะให้รอดู แต่เชื่อแล้วก็จะให้รอดูอีกเหมือนกัน”
กวินหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดนั้น มีแต่ต้องเดินหน้าแล้ว
ที่บ้านกวินคงจะเข้าใจเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้นดี ถึงได้ไม่มาวุ่นวายอีก วันธรรมดาแสนสงบกลับมาอีกครั้ง แต่ที่ต่างออกไปคือทั้งคู่มีเป้าหมายว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน กวินและวริษฐ์วางแผนเป็นขั้นตอนเพื่อเตรียมตัว พวกเขาสมัครงานไปหลายที่ ถูกเรียกสัมภาษณ์บ้างเงียบบ้าง แต่ก็ยังพยายาม หาไปเรื่อย ๆ จะอยู่จนกว่าจะได้เงินโบนัสจากที่เก่า
“พี่อาร์ต!!!ผมได้งานแล้ว!!!”
กวินตกใจร้องเสียงดังด้วยความดีใจทันทีที่เห็นอีเมล เขาวิ่งไปโดดกอดอีกคนแน่น วริษฐ์ที่กำลังจะยกน้ำขึ้นจิบเป็นอันว่าทำน้ำหกรดใส่ตัวเอง แต่เขาไม่ได้สนใจ วางแก้วน้ำลงโต๊ะแล้วหันไปกอดอีกฝ่าย
“กวินเก่งมากเลยครับ เก่งที่สุด”
“อืออออ กวินต้องได้รางวัลนะครับ”
“จะเอาอะไร”
“เอาพี่อาร์ต”
คำขอแบบนั้น สัมฤทธิ์ผลเสมอ เพราะวริษฐ์ก็เต็มใจที่จะให้ ร่างเล็กเลยถูกยกลอยไปที่เตียง พวกเขาฉลองที่กวินได้งานไปหลายยก ฉลองจนเต็มอิ่ม
วริษฐ์เองรอลุ้นผลอยู่เหมือนกัน เขาต้องปรับเปลี่ยนสายงานเล็กน้อย น่าจะเริ่มลำบากกว่ากวินพอสมควร แต่ไม่เป็นไรเขาสู้
หลายวันต่อมาวริษฐ์ก็ได้รับข่าวดี ว่าได้งานแล้ว พอดีกับที่ได้รับโบนัส ทั้งคู่จึงไปแจ้งลาออกที่บริษัทด้วยกัน เพราะต้องลาล่วงหน้า 1 เดือน พร้อมกันกับเตรียมตัวที่จะไป ทั้งวีซ่าการทำงานและอื่น ๆ เหลือเวลาอีกเดือนกว่า พอคิดแบบนั้นทั้งสองคนแอบใจหายไม่น้อย
เย็นวันหนึ่งที่ไปกินข้าวร้านอาหารร้านอร่อยด้วยกัน กวินคิดได้ว่าอยากจะใช้โอกาสและช่วงเวลานี้พักดันให้วริษฐ์เดินไปข้างหน้าอย่างเต็มตัว ด้วยการจัดการเรื่องราวที่ติดค้างจนมักทำให้เขาฝันร้ายและต้องตื่นมากลางดึกอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ตื่น พี่อาร์ตมักจะกอดเขาเอาไว้แน่น เหมือนกลัวว่าเขาจะหายไปไหน บางคืนเขาจะตื่นมากอดตอบ บางคืนก็แกล้งหลับ แต่ว่าเขาไม่อยากให้พี่อาร์ตต้องเป็นแบบนี้อีกแล้ว อยากให้นอนหลับสนิท อยากให้ฝันดีบ้าง
“พี่อาร์ตมีอะไรที่อยากทำอีกหรือเปล่าครับ ก่อนจะไปที่นู่น”
“ไม่มีแล้วนะครับ บ้านก็ฝากไว้แล้วด้วย”
“ผมว่าพี่มี”
วริษฐ์มองอีกฝ่ายพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เราไปเจอคุณแม่พี่ด้วยกันเถอะนะครับ”
คนตัวสูงนิ่งไปเล็กน้อย เขาปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้มาตลอด และกวินก็ไม่มีทีท่าจะพูดถึงมันจนตอนนี้
“ทำไม? ไม่เจอก็ไม่เป็นไรนี่ครับ”
“ผมอยู่กับพี่ทั้งคืน ผมรู้ว่าพี่ยังฝันร้ายอยู่”
“กวินรู้สึกตัวหรอครับ”
คนตัวเล็กพยักหน้ารับ
“พี่ทำให้เรานอนไม่สบายสินะครับ งั้นคืนนี้เราแยก...”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่พี่จะตื่นมากลางดึกแล้วกอดผม” กวินขยับฝ่ามือไปลูบแก้มอีกฝ่าย “กวินแค่อยากให้พี่นอนสบาย ๆ แค่ลองไปเจอดูดีมั้ย”
“แต่ว่า...”
“นะครับ ยังไงเราก็จะไปจากที่นี่อยู่แล้วแค่ทำทุกอย่างให้มันครบ”
“พี่ว่าแม่คงไม่ได้อยากเจอ”
“อย่าคิดเดาเองเลยครับ”
“พี่ไม่รู้เขาอยู่ที่ไหน”
กวินยิ้มออกมา ตอบแบบนี้แปลว่ายอมเจอ ถ้ารู้ก็จะไปแบบนั้นใช่มั้ย
“ผมรู้ครับ”
วริษฐ์เลิกคิ้วมองคนตัวเล็กที่ทำหน้าดีใจและภาคภูมิใจได้อย่างน่ามันเขี้ยว
“ก็ได้ครับ แบบนั้นก็ได้ ยอมแล้วครับ”
“พรุ่งนี้วันเสาร์ เราขับรถไปกันนะ”
คนตัวสูงพยักหน้าตกลง
กลับถึงบ้านหลังจากอาบน้ำทำอะไรเรียบร้อย กวินขึ้นไปนั่งมองเสื้อผ้าตั้งใจจะเตรียมให้วริษฐ์ในวันพรุ่งนี้ เขาเปิดตารางสีเสื้อมงคลขึ้นมา พรุ่งนี้กาลกินีสีม่วง ผู้ใหญ่เมตตาต้องขาว ครีม เหลือง
“พี่อาร์ตอยากใส่สีอะไรครับ ขาว ครีม เหลือง”
“หืม?”
“ไปเจอแม่พี่พรุ่งนี้ไงครับ”
“ไม่รู้สิครับ” วริษฐ์มองอีกคนด้วยสีหน้างง ๆ ว่าทำไมต้องขาว ครีม เหลือง “ทำไมต้องสามสีนั้นล่ะครับ”
“อืมมม ครีมแล้วกันครับ นุ่มนวลดี เป็นตารางเสื้อมงคลน่ะครับ”
“พนักงานออฟฟิศเขา เชื่ออะไรแบบนี้กันหรอครับ จริง ๆ วันเสาร์ก็ต้องสีม่วงสิครับ”
กวินพองแก้มใส่อีกฝ่าย “ไม่ได้ครับสีม่วงกาลกิณี”
วริษฐ์หัวเราะให้กับคำพูดนั้น เขาเองก็เคยได้ยินตารางสีเสื้อมงคลอะไรนี่เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ค่อยได้ดูได้สนใจเท่าไหร่ เขาใส่อะไรแล้วหล่อดูดี ก็จะใส่อันนั้น คนตัวสูงเลยเขยิบไปหาอีกคน
“ได้หมดเลยครับที่รัก” วริษฐ์พูดกระซิบข้างหูมือหนาสอดมากอดที่เอวเล็ก ท่าทางแบบนั้นทำเอากวินขนลุกซู่ ใบหน้าขึ้นสี
“แกล้งกันทำไมล่ะครับ”
“พี่แกล้งอะไรเราครับ พี่รักเราต่างหาก”
กวินหันไปงับแก้มอีกฝ่ายแก้มันเขี้ยว “นอนได้แล้วครับ พรุ่งนี้ต้องขับรถไปไกล”
“ไปไหนกวินยังไม่บอกพี่เลย”
“ปราณบุรีครับ”
“ประจวบสินะครับ งั้นก็เตรียมเสื้อผ้าไปนอนค้างสักคืนดีมั้ย”
“ดีสิครับ”
“เที่ยวทะเลกันสักหน่อยไปถึงทั้งที”
พวกเขาตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อจัดการทำธุระส่วนตัว แต่งตัวให้กันและกัน กวินหอมแก้มวริษฐ์ฟอดใหญ่ พร้อมเอ่ยปากชม ว่าอีกฝ่ายหล่อมาก เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับวริษฐ์
รถเคลื่อนตัวออกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี การออกเดินทางครั้งนี้ กวินทำหน้าที่ป้อนขนมและชวนคุยตลอดทาง บางทีก็ร้องเพลง เต้นยึกยักไปมา ทำให้วริษฐ์ได้แต่ขำ แต่แบบนี้ก็ดีเขาจะได้ไม่ง่วง
ระหว่างทางเขามีแวะพักเข้าคาเฟ่บ้าง เพราะจากกรุงเทพมหานครวิ่งไปทางปราณบุรี ใช้เวลาหลายชั่วโมง บางทีขับไปนาน ๆ ก็เมื่อยขา แถมพอช่วงสายถนนเริ่มมีรถเยอะ มีการปาด มีการหงุดหงิดรถคันอื่นอยู่พอสมควร ดีที่กวินเลือกที่จะเปิดเพลงแล้วเต้น ทำให้เขาอารมณ์เย็นลงได้
วริษฐ์ขับรถไปตามกูเกิ้ลแมพ จนมันขึ้นว่าอีกประมาณสิบนาทีจะถึงที่หมาย มือของเขาที่จับพวงมาลัยรถยิ่งเย็นเฉียบ แต่เหงื่อบนหน้าและต้นคอกลับแตกซ่กไปหมด กวินก็ได้แต่ใช้ทิชชู่เช็ดซับให้ พร้อมคำพวกปลอบว่าอย่ากลัวไปเลย เขาอยู่ข้าง ๆ เสมอ
วริษฐ์เห็นบ้านที่เป็นที่หมายแล้ว เขาขับเลยออกไป กูเกิ้ลแมพเอาแต่พูดว่าให้เขาไปกลับรถ แต่เขากำลังต่อเวลาเพื่อเตรียมใจ พอมาถึงตรงนี้ เขายิ่งกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
“จะดีหรอ” วริษฐ์พึมพำกับตัวเอง เขาขับรถเลยไปไม่ไกลจากบ้านมากนัก ก่อนจอดรถแล้วนั่งแช่อยู่แบบนั้น กวินเองได้แต่หันมองตาปริบ ๆ
“ไปกันเถอะครับ”
“แบบนี้จะดีจริง ๆ หรอครับ ... เรากลับกัน--”
“ไม่ครับมาถึงนี่แล้ว ไปกันครับ”
วริษฐ์จำยอมก้าวลงจากรถ เขารู้สึกกลัว...มือไม้สั่น เหงื่อแตกไม่หยุด สีหน้าวิตกกังวลสุดขีด กวินสังเกตเห็นจึงขยับไปกุมมืออีกฝ่ายไว้เพื่อปลอบ
“จะให้ผมเข้าไปด้วยมั้ยครับ”
มือหนากระชับจับมืออีกฝ่ายแน่นเพื่อบอกว่า เข้าไปด้วยกัน อยู่ด้วยกันห้ามไปไหน กวินเองรับรู้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายต้องการกำลังใจจากเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาเองก็ยินดีที่จะเป็นกำลังใจให้
ทั้งคู่เดินไปหยุดยืนอยู่หน้าบ้านรีรอไม่กล้าที่จะกดออด ไม่กล้าส่งเสียงเรียก
“ทำอะไรกันหรอ”
เสียงเรียกด้านหลังทำให้พวกเขาทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นว่าเป็นเด็กสาวคงจะวัยมัธยมปลาย
“อ่ะ คือว่า” กวินทำท่าจะตอบ แต่ก็คิดได้ว่า ให้พี่อาร์ตพูดดีกว่า
“ไม่ได้จะแอบขโมยของใช่มั้ย” เด็กสาวยกมือขึ้นกอดอกมองสองหนุ่มตรงหน้า “ฉันจะร้องให้คนช่วยแล้วนะ”
“พวกพี่ มาหาคุณวารินอยู่หรือเปล่า”
“หื้อ มาหาแม่หรอ อยู่สิ”
เด็กสาวเดินเลยพวกเขาไปเปิดประตูบ้าน
แม่? วริษฐ์มองน้องสาวต่างพ่อที่อายุห่างหลายปี ห่างกันเยอะเลยนะแบบนี้ หน้าตาก็น่ารักดี แต่ดูห้าวไม่เบา วริษฐ์คิดขณะมองสำรวจ หรือเขาควรจะกลับ เข้าไปอาจจะทำลายความสุขคนอื่นเปล่า ๆ
“มาสิคะ ยืนรอกันแบบนี้ไม่ร้อนหรอไง”
กวินดึงกระตุกแขนวริษฐ์ที่ดูเหมือนเข้าภวังค์ไปชั่วขณะ
“เอ่อ” วริษฐ์ลังเลหนักกว่าเดิม ถ้าก้าวพ้นรั้วบ้านนี่เข้าไป คงถอยกลับไม่ได้แล้ว
“ไปครับ” กวินเดินก้าวเข้าไปในบ้านก่อนแล้วดึงอีกคนให้ตามเข้ามา
วริษฐ์หันมองรอบบ้าน บ้านเดี่ยวแบบต่างจังหวัดที่มีพื้นที่ให้จอดรถและเพาะปลูก ดูร่มรื่นน่าอยู่ แม่คงจะมีความสุขดีบ้านที่นี่น่าอยู่
พวกเขาก้าวตามเด็กสาวเข้าไปในตัวบ้าน
“แม่! มีคนมาหาแม่!”
หญิงสาวตะโกนเรียกเสียงดังลั่น ขณะที่วริษฐ์บีบมือกวินแน่น เหงื่อไหลซึมออกที่ฝ่ามือจนชื้นไปหมด
“อะไรวาด เสียงดัง ป้าจอยมาหรอ” เสียงตอบกลับดังมาจากทางหลังบ้าน ก่อนวริษฐ์จะได้เห็นหน้าใครบางคนที่ไม่ได้เจอมาเป็นสิบยี่สิบปี
หญิงสูงวัยที่หน้าตาดูอ่อนกว่าอายุทั้งที่ห้าสิบปลายแล้ว แต่ดูยังไม่แก่สักเท่าไหร่ ยังมีเคล้าโครงความสวยงาม ถึงชุดอยุ่บ้านจะเป็นเสื้อยืดกับกางเกงผ้าก็ตาม
“ใครน่ะวาด”
“อ้าวก็เขามาหาแม่ แม่ไม่รู้จักเขาหรอ”
ผู้เป็นแม่ส่ายหน้า ดวงตามองคนมาเยือนอย่างไม่ไว้ใจนัก ก่อนดึงมือวาดให้เดินมาใกล้ ๆ อย่างระแวดระวัง
“คุณเป็นใคร มาหาฉันมีอะไร”
วริษฐ์ยืนนิ่งจ้องมอง ก่อนที่น้ำตาจะค่อย ๆ ไหลออกมาท่ามกลางความงุนงงของสองแม่ลูก ที่อยู่ ๆ ชายหนุ่มแปลกหน้ากลับเริ่มร้องไห้ขึ้นมา
“เอ่อ คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า” หญิงสูงวัยร้องถามชายแปลกหน้าเสียงเบา
“พี่อาร์ตอย่าเพิ่งร้องไห้สิครับ”
“อาร์ต?” หญิงสูงวัยถามชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา หรือว่า... “อาร์ต... ลูกหรือ?”
วริษฐ์พยักหน้าแทนคำตอบ เขายกมือข้างที่ไม่ได้จับกับมือกวินแน่นขึ้นเช็ดน้ำตา ขณะที่ผู้เป็นแม่กลับโผกอดลูกชายเต็มแรง
“อาร์ตหรอลูก อาร์ต” เป็นหญิงสูงวัยที่ร้องไห้สะอื้นขึ้นมาบ้าง พร้อมกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่น
สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ วาดเองก็ยังงงกับสถานการณ์ ส่วนกวินคิดว่านี่คงเป็นสัญญาณที่ดี ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักพี่อาร์ตสักหน่อย เธอกอดแน่นขนาดนี้ คงจะคิดถึงไม่ต่างกัน
หญิงสูงวัยผละออกก่อนยกมือขึ้นลูบจับแก้มลูกชายของเธอ แทบไม่เชื่อสายตาว่าจะเติบโตขนาดนี้
“ลูกโตขนาดนี้แล้ว”
“ครับ แม่”
วริษฐ์เรียกอีกฝ่ายเสียงสั่นในใจเต้นโครมคราม เขาไม่ได้เรียกคำนี้มานานมากแล้ว
“มาได้ไงล่ะ”
“เพื่อนช่วยหาน่ะครับ”
“งั้นเหรอ แม่ขอโทษนะลูก ที่ไม่เคยกลับไปเลยสักครั้ง”
“ครับ” วริษฐ์เม้มปากแน่น พยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ทำไม่ได้ เขาร้องไห้และปล่อยโฮอีกครั้ง เหมือนกลับไปเป็นเด็กแปดขวบในวันนั้น ที่บทสรุปตอนนั้นคือแม่ไม่กลับมา แต่ตอนนี้ ตอนจบมันเปลี่ยนไป เขาได้เจอแม่อีกครั้ง
กวินมองคนรักตัวเอง พร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอตาม ส่วนวาดพอจะรู้อะไรอยู่บ้างตอนที่โตมา เพราะมีรูปใบหนึ่งที่แม่ใส่กรอบไว้ในห้องนอน เป็นภาพแม่ที่อุ้มเด็กผู้ชายคนนึงเอาไว้แนบอก แต่เธอก็ไม่คิดไม่ฝันว่าพี่ชายของเธอจะหน้าตาดีได้ขนาดนี้
“ผมยังไม่ได้กินเค้กช็อกโกแลตเลยครับ” วริษฐ์พูดพลางยกมือขึ้นเช็ดปาดน้ำตาตัวเอง
ผู้เป็นแม่พยักหน้ารับคำพูดนั้น เธอจำได้ ว่าวันที่จากมาบอกลูกชายของเธอเอาไว้ยังไง เธอนึกโทษตัวเองที่ทิ้งเขาเอาไว้แต่อดีตสามีของเธอเองก็รักลูกมาก บอกให้เธอออกไปได้ แต่ลูกต้องเป็นของเขา
“พ่อเราล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“พ่อ ...เสียไปหลายปีมากแล้วครับ”
หญิงสูงวัยตกใจตาโต เธอไม่คิดว่าอดีตสามีจะจากไปเร็วขนาดนี้
“แม่ไม่รู้เลย” ผู้เป็นแม่ยิ่งรู้สึกเสียใจเข้าไปใหญ่ที่ปล่อยลูกเอาไว้ คงจะลำบากมามาก “แม่ขอโทษนะอาร์ต แม่ขอโทษ” เธอกอดลูกชายเอาไว้แน่น เหมือนจะชดเชยช่วงเวลาที่หายไป
“แค่ผมได้เจอแม่อีกครั้งก็พอแล้วครับ” วริษฐ์ตอบกลับเสียงอู้อี้ เขากอดแม่ของเขาเอาไว้แน่น รู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าอะไร เขาไม่เคยที่จะโกรธแม่เลยสักครั้ง แต่แค่เสียใจตลอดมาที่ถูกทิ้งเอาไว้
“อาร์ต อาร์ตลูกแม่”
สองแม่ลูกไปนั่งคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันที่โต๊ะรับแขก ผู้เป็นแม่ถามความเป็นไปของลูกชายละเอียดยิบเรียนอะไรที่ไหนยังไง ตอนนี้ทำงานอะไร หญิงสาวสูงวัยมองลูกชายด้วยความรักและความภาคภูมิใจ ลูกชายของเธอเก่งมากที่เติบโตมาได้อย่างดีขนาดนี้
ส่วนวริษฐ์เองก็เหมือนได้เติบเต็มในส่วนที่ขาด ร่องรอยที่ขาดวิ่นในวัยเยาว์ ค่อย ๆ เพิ่มพูนความทรงใจใหม่ ๆ ที่มีต่อแม่ การมาเจอกับแม่ ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้
นอกจากนั้น เขามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่อยากจะบอกแม่ของเขาเอาไว้... เรื่องของคนรัก
.
[ทั้งกวินและวริษฐ์ ทั้งคู่เผชิญหน้ากับครอบครัวของเขา
ทั้งพบเจอ และหันหลังให้ แต่ไม่เป็นไรพวกเขามีกันและกัน
และพร้อมที่จะสร้างครอบครัวของตัวเอง]