บทที่ 15 รุนแรงเหลือเกิน
วริษฐ์ระบายความโกรธ และความรู้สึกมากมายที่เขาไม่เข้าใจลงบนร่างกายบอบบางของกวิน ทั้งกัดทั้งดูดไปทั่วทั้งลำคอ เหมือนต้องการจะกลบรอยที่คนแปลกหน้าทำเอาไว้
ครั้งนี้ไม่มีความอ่อนโยนปราณี ถ้าร่างบางต้องการนัก เขาจะทำให้ เขาถาโถมใส่ร่างบางทั้งที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้ แต่ร่างบางกลับครวญครางอย่างมีความสุข แทนที่จะกรีดร้องเจ็บปวด เพราะฤทธิ์ยาทำให้เขาไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บ ยิ่งถูกกระตุ้นยิ่งสุขสม กวินปล่อยให้สมองหนักอึ้งพร่าเบลอไม่รับรู้อะไร สัมผัสได้แค่จังหวะที่พี่อาร์ตของเขาถาโถมเข้ามา เท่านั้นก็พอ เขาต้องการแค่นี้
มือบางกำแน่น เมื่อไปถึงขีด เขาไม่ได้กอดหรือจิกแผ่นหลังอีกฝ่ายเพื่อระบายอารมณ์ที่พุ่งพล่าน เขาทำแค่จิกเล็บลงไปบนฝ่ามือตัวเอง ให้เขาเจ็บทั้งกายทั้งใจแค่เพียงคนเดียวพอ
ร่างสูงถาโถมครั้งแล้วครั้งเล่า ร้องครางต่ำเมื่อใกล้จะถึง ปลดปล่อยเข้าไปภายในของกวินซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อปลดเปลื้องความต้องการของเขา และร่างบางที่ยังคงตอดรัดเขารุนแรง เหมือนจะกลืนกินเขาเข้าไป เขาทำซ้ำไปซ้ำมาจนร่างบางหมดแรงหลับไป นั่นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะนอนหลับตามไปเพราะหมดแรงเช่นกัน
วริษฐ์รู้สึกตัวในตอนเช้า เขามองสำรวจร่างกายเปลือยเปล่าของคนข้าง ๆ ร่องรอยที่เขาทำชัดเจน ตรงลำคอขาวเป็นลอยแดง ๆ ม่วง ๆ วงใหญ่ มันช้ำอย่างน่ากลัว เนื้อตัวร่างบางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบคาว เขามองร่างนั้นด้วยความสงสาร ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมา
เขาลุกไปใส่เสื้อผ้าก่อนกลับมาพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำ พอแตะตัวกวิน ก็พบว่าคนน้องตัวร้อนจี๋ ร้อนยิ่งกว่าเมื่อคืนซะอีก ใบหน้าเนียนก็ดูแดง หรือว่าจะเป็นไข้ เขาถูผ้าขนหนูชุบน้ำไปตามเนื้อตัวและฝ่ามือเนียน พอแบฝ่ามือเนียนออกมาพบว่าที่มือมีห้อเลือด และรอยเล็บ เขาไม่เจ็บหลังเลย ตัวเขาปราศจากรอยขีดข่วน เพราะกวินไม่แบ่งปันความเจ็บปวดมา เจ้าตัวกอดมันไว้กับตัวเองคนเดียว วริษฐ์ยกฝ่ามือบางขึ้นจรดริมฝีปาก เขาจูบมันแผ่วเบาเหมือนจะปลอบโยนมัน ดวงตาคมมีประกายอ่อนโยนยามลอบมองใบหน้าคนหลับใหล น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนของดวงตาคู่นี้ทั้งคนนอนหลับ และเจ้าของดวงตาคม ที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ดวงตาของตัวเองอ่อนโยนขนาดไหน
เขาเร่งเช็ดตัวทำความสะอาดให้ร่างบางกลัวอีกฝ่ายจะหนาว ก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาเช็ดซ้ำ พร้อมเตรียมเสื้อยืดกับกางเกงของเจ้าตัวไว้ข้าง ๆ ตัวแห้งสนิทเขาจะได้ใส่ให้
“กวิน” เสียงทุ้มนุ่มผิดกับเมื่อคืนลิบลับเอ่ยเรียกปลุกร่างบาง
“...”
“กวิน ไหวมั้ย”
“อือ” ร่างบางครางต่ำ เขาอยากบอกว่าไม่ไหว ... เปลือกตาเคลื่อนไหว ก่อนกวินจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
“กวินเดี๋ยวใส่เสื้อผ้านะ”
กวินรู้สึกไม่ดี เขาปวดไปหมดทั้งตัว พอจะขยับตัว ความรู้สึกเจ็บแล่นไปทั่วทั้งร่าง ช่วงล่างปวดหนึบ ฝ่ามือก็เจ็บร้าว ตรงคอก็ปวด เขานิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวพี่ใส่ให้” วริษฐ์จัดแจงใส่เสื้อใส่กางเกงให้กวิน ร่างบางลืมตาขึ้นมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร ลำคอเขาแห้งผากไปหมด
วริษฐ์มองร่างบางที่เอาแต่จ้องมองเขา เขาจึงลุกไปเอาน้ำใส่แก้วมาให้คนตัวเล็กได้จิบ
“กวิน เจ็บมากมั้ย”
ร่างบางส่ายหน้าปฏิเสธ
“เจ็บใช่มั้ย”
มือหนาเอื้อมแตะที่ร่องรอยช้ำรอยใหญ่ที่เขาทำเอาไว้ เขารู้ว่าตัวเองโกรธ โกรธที่เห็นรอยของคนแปลกหน้าบนร่างบาง โกรธจนอยากจะทำยังไงก็ได้ให้ร่องรอยนั้นหายไป หรือกลบทับด้วยรอยที่เขาทำ
“พี่อาร์ต ขอบคุณครับ” คำขอบคุณเสียงเบาหวิวของร่างบางพุ่งเข้ามากรีดใจของวริษฐ์ให้เป็นแผลเหวอะหวะ
ความรู้สึกผิดโถมเข้ามาจนเขาแทบหายใจไม่ออก กวินขอบคุณอะไรล่ะ ที่เขาพูดจาว่าร้าย เขารู้ว่าเมื่อคืนเขาพูดจาไม่ดี แต่เขายั้งปากไม่อยู่ เขาเองก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อย การควบคุมตัวเองและความมีเหตุผลก็ต่ำลง บางทีก็รู้สึกเหมือนกับเป็นสัตว์ป่า ที่เขากระทำรุนแรง จนคนตัวเล็กเป็นไข้
“พี่ขอโทษ”
“ไม่หรอกครับ ผมขอโทษ”
“เมื่อคืนทำไมโทรตามพี่ทำไมไม่หนีกลับ ถ้าพี่ไม่ไปรู้มั้ยจะเป็นยังไง”
“ครับ ผมรู้ ถ้าพี่ไม่มาผมคงต้องตัดใจ...” ร่างบางพูดพลางก้มหน้ามองฝ่ามือของตัวเอง ที่มีรอยเล็บปรากฎชัด “คงถูกเขาทำจนไม่มีหน้าไปเจอพี่แล้ว”
วริษฐ์ได้แต่มองร่างบางที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตากับเขา
“ทำไมเราไม่หนีเขา”
“เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ไหว ถ้าออกไปนอกร้าน จะถูกหิ้วไปไหนก็ไม่รู้” เขาเองก็กลัว เรื่องเมื่อคืน ไม่ใช่ว่าไม่กลัว เป็นครั้งแรกที่เขารับของจากคนแปลกหน้ามาดื่ม ก็ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ “แต่ถ้าผมอยู่ที่ร้านเขาคงไม่กล้าทำอะไรมาก”
ก็ถูกของกวิน ถ้าฝืนออกไป ตัวบางแบบนี้คงถูกหิ้วง่าย ๆ แต่... นี่ขนาดไม่กล้าที่ลำคอขาวยังมีรอยขนาดนี้
“อย่ารับของจากคนแปลกหน้าอีก” วริษฐ์พูดย้ำเหมือนพ่อสอนลูกไม่มีผิดเพี้ยน “นอนพักซะ เดี๋ยวพี่จะไปหาข้าวหายามาให้กิน”
วริษฐ์คว้ากระเป๋าตังก่อนเดินออกไปจากห้อง กวินมองตามหลังร่างสูงจนประตูปิดลง
เขานั่งนิ่งทบทวนเรื่องเมื่อคืนความทรงจำขาด ๆ หาย ๆ ไม่ปะติดปะต่อนักตั้งแต่เขาวางสายจากพี่อาร์ต เมื่อวานมันพร่าเบลอ สติสัมปะชัญญะไม่รู้หายไปไหนหมด จำได้ว่าถูกชายแปลกหน้าเข้าหา จำได้ว่าพี่อาร์ตมาหา แต่จำช่วงที่กลับมาห้องไม่ได้เลย แต่ที่จำได้ดีคือคำด่าของพี่อาร์ต อีกฝ่ายคงทั้งโกรธ ทั้งโมโห เขาผิดเองที่พาตัวเองไปเจอสถานการณ์แบบนั้น เขาไม่โกรธพี่อาร์ตเลย เพราะเขาทำตัวเหมือนเป็นภาระของพี่เขา ภาระชิ้นใหญ่ที่เขาจะไม่มาหาก็ได้ จะถูกล่อลวงไปไหนก็ไม่ใช่ธุระโกงกางอะไรของเขาแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยอมมา กวินนึกขอบคุณเขา เขาสัญญากับตัวเองว่าจะระมัดระวังตัวกว่านี้
ไม่นานวริษฐ์ก็กลับมาพร้อมของพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือ กวินมองของในมือเขา ก่อนทำท่าจะลุกไปช่วย
“ไม่ต้องกวิน” ร่างสูงรีบห้ามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัว
“แต่”
“นั่งเฉย ๆ “ เขาดุขณะมือก็แกะและเทข้าวต้มหมูสับลงถ้วย ก่อนจะเดินไปยื่นให้กวิน
“กินเองได้หรือเปล่า”
“ได้ครับ” กวินรับถ้วยข้าวต้มมาถือเอาไว้ ข้าวต้มร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมอบอวล มือบางตักข้าวต้มกินไป สายตาก็จ้องมองร่างสูงไปด้วยที่กำลังจัดเรียงนั่นนี่
วริษฐ์ซื้อเสบียงตุนไว้สารพัด มีข้าวต้มอีกสองถุงสำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็น อาหารแช่แข็งอีกหลายกล่อง แล้วพวกขนม น้ำผลไม้ เขาจัดเรียงเข้าตู้เย็นเงียบ ๆ พอเขาจัดเสร็จก็หันไปดูกวิน ที่ตอนนี้กำลังจ้องเขาตาแป๋ว ถ้วยข้าวต้มยังอยู่ในมือแต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะตักขึ้นมากินอีก
“อิ่มแล้วหรอ”
“ครับ”
ร่างสูงเดินเข้าไปหาพลางมองลงไปในถ้วยข้าวต้ม ยุบไปนิดเดียว
“กินอีกหน่อย”
กวินส่ายหน้า กินไม่ลง อิ่มแล้ว
“กินแต่หมูก็ได้”
กวินขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมตักหมูเข้าปากแต่โดยดี แค่ก้อนเดียวก็ส่ายหน้า
“ไม่กินแล้วครับ อิ่ม”
“ก็ได้ งั้นกินยานะ” ร่างสูงแกะยาแก้ไข้ส่งให้คนป่วย 2 เม็ด กวินรับไปกินอย่างว่าง่าย
“ดูอะไรมั้ย”
“ครับ”
ร่างสูงเปิดสุ่มตอนจากการ์ตูนเรื่องที่ดูด้วยกันรอบก่อน
ร่างบางนั่งดูการ์ตูนพลางหัวเราะคิกคักไปตามเรื่องตามราว การ์ตูนมันตลกมากจริง ๆ จนวริษฐ์ก็พลอยขำไปด้วย ดูไปดูมากวินก็เริ่มตาปรือ ผล็อยหลับไปอีกรอบ
เขามองดูอีกฝ่าย ก่อนเดินสำรวจห้องกวินอย่างถือวิสาสะ เพื่อฆ่าเวลา รอปลุกกวินกินข้าวเที่ยงอีกที เขามองบนโต๊ะของกวินที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะวาดรูปเขาเพิ่มขึ้นมาอีกรูป รูปหลายเส้นแบบการ์ตูนไม่ใช่ภาพเหมือนแต่ก็ดูออกว่าคือเขา รูปเขาที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มันดูอ่อนโยนจนดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวเขายังไงอย่างนั้น
เมื่อใกล้เที่ยงร่างสูงก็เดินไปแตะวัดไข้กวิน ตัวไม่ร้อนเหมือนเมื่อเช้าแล้ว เขาก็สบายใจ
“กวินกินข้าว”
เขาปรือตาขึ้นมองตามเสียงเรียก เขาบิดขี้เกียจเล็ก ๆ พลางขานรับ
“ครับ”
ช่วงบ่ายกวินก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำผลไม้ ตอนวริษฐ์เข้าห้องน้ำ กวินหายไข้ เขาดีขึ้นมาก วริษฐ์เห็นแบบนั้นก็ตั้งใจจะกลับตั้งแต่บ่าย ต่อพอคิดจะกลับ ร่างบางก็เดินเซ จนต้องใช้มือยันพนัง เขาเลยตั้งใจจะต่อเวลาให้กวินอีกหน่อย
ร่างสูงเดินไปประคองคนตัวเล็กให้เดินไปนั่งที่โซฟา ทุกย่างก้าวสำหรับกวินนั้นเจ็บเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ พี่อาร์ตรุนแรงกับเขาจนเหมือนตัวเขาจะฉีกขาด เมื่อคืนเขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดเท่าไหร่ แต่พอตอนนี้มันเจ็บจนก้าวขาแทบไม่ออก
มือบางกำลังจะใช้มือหมุนเปิดขวดน้ำผลไม้ คนข้าง ๆ ดึงไปซะก่อน
“ผมเปิดเองได้” ร่างบางร้องบอกเขาป่วยนิดหน่อย แต่เขายังดูแลตัวเองได้
“มือเจ็บไม่ใช่หรอ” เขาพูดลอย ๆ
แต่กวินกลับกำมือแน่น ... เขารู้
“มันเจ็บไม่ใช่หรอแบบนี้น่ะ”
ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก
“แล้วทำ ทำไม หืม?”
“ผมไม่อยากให้พี่เจ็บ ผมเจ็บเอง เผื่อพี่จะมีความสุข มันเป็นบทลงโทษของผมนี่ครับ”
ร่างสูงเลิกคิ้วให้กับคำตอบนั้น
“ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน ว่าทำตัวเองเจ็บแล้วพี่จะมีความสุขน่ะ”
“ก็...” ทุกทีเวลาเขาเจ็บปวด ก็เห็นทุกคนมีความสุข...
“เฮ้อ เราน่ะรักตัวเองสักหน่อยเถอะ”
มือหนาขยับไปลูบแก้มเนียนแผ่วเบา ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ คนแบบกวินไม่ควรเลยที่จะมารักเขา
“รักตัวเองบ้าง อย่าเจ็บเพื่อคนอื่น”
“แต่ผม ...” ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด ... “พี่ไม่มีความสุขหรอครับ”
เมื่อคืนยังห่างไกลกับคำว่าความสุขมากนัก มีแต่ความโมโห กับความใคร่ ... ถ้าจะมีอะไรที่ใกล้เคียงความสุข ก็คงเป็นความเสร็จสมทางกาย
“พี่สุข เท่าที่พี่อยากจะสุข”
“ครับ?” กวินไม่เข้าใจ เขาขมวดคิ้วมากกว่าเดิม
เขาพูดดี เพราะเขาคือคนที่รักตัวเองมากกว่าใคร และจะไม่พาตัวเองไปเจอกับความรัก ความคาดหวังที่ต้องฝากไว้ที่คนอื่น เขามีความสุขมากที่สุขในขอบเขตของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้ใครได้เล็ดลอดเข้ามา
เมื่อวริษฐ์แน่ใจว่าอีกฝ่ายหายไข้ เขาก็คิดว่าได้เวลาต้องกลับเสียที เขาจัดการล้างจานที่ใส่อาหารเย็นให้กวินกิน ส่งยาให้คนป่วยอีกสองเม็ด
“พี่กลับก่อน มีอาหารแช่แข็งหลายกล่องในตู้ ถ้าหิวก็เอาเข้าไมโครเวพเอานะ”
ร่างบางมองเขา มองเหมือนจะให้ภาพของเขามันซึมเข้าไปในสมอง ให้ไม่ลืมเลือนแม้กระทั่งตอนเขาไม่อยู่ในห้อง ให้จดจำแม้กระทั่งยามหลับว่าเขาอยู่ข้าง ๆ
“กลับดี ๆ นะครับ ถึงแล้วบอกผมด้วย” ร่างบางขยับส่งยิ้มให้เขา
“ครับ” ร่างสูงเดินหยิบข้าวของ ทำท่าจะเดินออกจากห้องก่อนหันกลับมาหากวินอีกครั้ง “วันจันทร์ไม่ต้องทำข้าวเช้าให้พี่”
“...” กวินหน้าเจื่อนลง
วริษฐ์เห็นแบบนั้นเขาจึงรีบพูดต่อ
“วันจันทร์กับอังคารพี่ไม่เข้าออฟฟิศ ไปอบรม มาอีกทีวันพุธ ค่อยทำมาวันนั้นนะ”
เพราะคำอธิบายของวริษฐ์ ทำให้ใบหน้าเจื่อน ๆ กลับมามีรอยยิ้ม
“พี่อาร์ตอยากกินอะไร”
“อืม อะไรก็ได้ครับ”
“งื้อ” ร่างบางส่งเสียงครางเบา คำตอบเดิม คำตอบนี้ เหมือนจะง่าย ๆ แต่แสนยาก อะไรก็ได้เนี้ย
“เจอกันวันพุธ” วริษฐ์พูดก่อนจะเดินออกไป เสียงปิดประตูทำให้กวินรู้สึกเหงาขึ้นมา เขากลับไปนอนบนเตียง พลางซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา อีก 3 วัน เจอกันนะครับพี่
วริษฐ์เดินออกจากห้องของกวินเขาถอนหายใจยาวเหยียด เสี้ยวนาทีที่เขารู้สึกว่าช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ไม่เลวร้าย แต่แค่พริบตาเขาก็รู้สึกเหมือนถูกรัดจนหายใจไม่ออก เอาล่ะ เขาคงต้องเริ่มใหม่ ... สร้างระยะห่างอีกครั้ง
กวินนอนพักผ่อนเต็มที่ วันอาทิตย์เขาก็รู้สึกดีขึ้น เขาคิดถึงพี่อาร์ต แต่ก็พยายามทำใจให้ชินที่จะไม่ได้เห็นหน้าเขา 3 วันเต็ม ๆ คิดถึงจนลงแดงตาย
วันจันทร์วริษฐ์กลับจากอบรม เขามีนัดเหมือนเคย สาวน้อยฝ่ายขายสดใสน่ารัก แต่งตัวเปรี้ยวทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน เดรสยาวสีดำที่เหมือนจะเรียบร้อย แต่กลับแหวกล่างขึ้นสูง จนเห็นเรียวขาเนียนชัดเวลาก้าวมาหาเขา สวยน่ารักน่าหลงใหล แต่ไม่เคยทำให้ใจเขาสั่น เขาตกปากรับคำมาเจอเพราะอีกฝ่ายเป็นคนนัด
“พี่วริษฐ์ สวัสดีค่ะ”
“ดีครับน้ำผึ้ง ชวนพี่มาแบบนี้ อยากกินอะไรหรือครับ” ร่างสูงยกมือขึ้นพลางเอ่ยทักทาย หญิงสาวที่ชื่อหวานหยด แต่นิสัยจริงกลับเปรี้ยวจี๊ด
“พี่วริษฐ์พูดอะไรให้ตีความได้กำกวมจังค่ะ” ร่างบางพูดพลางส่งยิ้มหวาน ดวงตากลมมีเสน่ห์มองสำรวจเขา “คิดถึงพี่ค่ะ ไม่ได้กินข้าวกันมาหลายอาทิตย์แล้ว คิดถึงหน้าหล่อ ๆ ของพี่จะแย่”
น้ำผึ้งดูแลฝ่ายขาย เธอไม่ค่อยอยู่ติดบริษัทนัก มักออกตรวจงามตามสาขาต่าง ๆ เราเริ่มความสัมพันธ์แบบนี้ระหว่างกันเพราะว่า เมื่อหลายเดือนก่อนบังเอิญต้องไปสาขาต่างจังหวัดด้วยกัน เขาในฐานะฝ่ายทรัพยากรบุคคลไปเป็นตัวแทนบริษัทมอบพวงหรีดให้พนักงานที่สูญเสียพี่ชายไปจากอุบัติเหตุ ส่วนน้ำผึ้งเธอต้องไปตรวจสาขาแถวนั้น แถมน้องพนักงานยังเป็นพนักงานสาขาส่วนโซนที่เธอดูแลเป็นหลัก เธอจึงต้องไปหาสักหน่อย ไปแสดงความเสียใจกับพนักงานของเธอ
น้ำผึ้งแสนหวานกับวริษฐ์ถึงได้มีโอกาสที่จะพูดคุยและดีลกันเพื่อผลประโยชน์ที่ลงตัว เรื่องเซ็กซ์ ถ้าทั้งสองฝ่ายต้องการ ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกัน ไม่มีใครเสียเปรียบใคร มีแต่สนุกด้วยกันทั้งคู่
“น้ำผึ้งปากหวาน”
“ยังจำรสชาติได้หรือคะ” เธอพูดสวนเขาหน้าตาเฉย ก่อนจะขยับเข้าไปให้เขาชิม แต่ทว่าเขากลับชะงัก พร้อมขยับหนี
หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่ไม่ค่อยสบายครับ กลัวน้ำผึ้งจะติดหวัด แค่ก ๆ” วริษฐ์แกล้งไอ เขาไม่ได้ป่วย แต่เขาไม่นึกอยาก ชั่ววินาทีเขานึกถึงริมฝีปากบางของอีกคน ริมฝีปากที่อวบอิ่มแดงระเรื่อโดยธรรมชาติ ไม่ใช่สีแดงกำมะยีแบบของน้ำผึ้ง ผู้หญิงแต่งตัวแต่งหน้าเก่ง ๆ ที่เขาเคยชื่นชอบ แต่พอวันนี้เขากลับแค่อยากดูเฉย ๆ ของสวย ๆ งาม ๆ แต่ไม่ได้อยากสัมผัส
วันจันทร์ของกวินไม่ค่อยดีนัก เมื่อเติ้ลโผล่มาอีก เหมือนเขาสุ่มมา โชคดีที่เจ้าตัวถึงห้องก่อนหน้าเขาจะมาประมาณชั่วโมงนึง รอบนี้เขามาเคาะประตู เคาะแล้วเคาะอีก ขณะที่กวินเก็บตัวเงียบ เขาไม่ร้องไห้ฟูมฟายแบบวันนั้น แต่ก็นั่งนิ่งจนเผลอกลั้นลมหายใจบ่อย ๆ พอเห็นว่าเขาเงียบ และเคาะให้ตายยังไงกวินก็ไม่ใจอ่อนเปิดประตูให้เติ้ลก็กลับ ฃ
น่าเหนื่อยใจเป็นบ้า ถ้าอยากเจอเดี๋ยวติดต่อไปเองว้อย คนที่มีเมียแล้วน่ะ เขาไม่อยากยุ่งด้วยอีกแล้ว ความรักที่เหมือนถูกทำเป็นของเล่นตลอดเวลา เขาไม่เอาด้วยแล้ว
เย็นวันอังคาร ช่วงใกล้เลิกงานกวินนั่งคิดว่าพรุ่งนี้จะทำเมนูอะไรเป็นอาหารเช้าให้วริษฐ์ดี เขาอยากทำของดีมีประโยชน์ สารอาหารครบ 5 หมู่ และรสชาติอร่อย เขาไล่เปิดดูภาพเมนูอาหารเช้า สารพัดเมนูไข่ ก่อนตกลงปลงใจที่ไข่ยัดไส้
เลิกงานกวินไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาเกต เดินเลือกของอย่างอารมณ์ดี หมูสับ พริกหวาน แครอท มะเขือเทศ หัวหอมใหญ่ เขาเดินไปที่จุดขายผัดก่อน เลือกหยิบวัตถุดิบแต่ละชนิดด้วยความใส่ใจ พริกหวานให้พลิกดูตุ่มที่ด้านท้าย เขาว่าถ้ามีสี่ตุ่มจะหวานกว่าสามตุ่ม ส่วนแครอทเลือกสีส้มสดใส ที่เป็นแท่งตรงผิวเรียบ มะเขือเทศสีแดงสด เลือกผิวเต่ง ๆ ไม่ช้ำ หัวหอมใหญ่ เลือกที่หัวเต่งๆ เปลือกแห้ง ไม่แฉะ ไม่มีรอยบุบหรือจุดดำ เขาได้ผักสวย ๆ มาเต็มไปหมด นอกจากเมนูตอนเช้า เขายังได้หัวไชเท้าสวย ๆ มาด้วย อยากต้มหัวไชเท้ากับกระดูกซี่โครงหมู ร่างบางย้ายไปเลือกซื้อหมูสับแพค มันดูสับเละเกินไปหน่อย ก่อนเปลี่ยนใจไปซื้อหมูเนื้อแดงมาแทน เขาสับเองดีกว่า อยากให้มันหยาบ ๆ หน่อย จะได้เคี้ยวถูกเนื้อหมูเต็มปากเต็มคำ
กวินได้ของครบเขามุ่งตรงกลับห้องในใจคิดว่าจะเริ่มทำอะไรก่อนหลัง จะเตรียมวัตถุดิบทำไส้ให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบมาก เขากลับไปถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างทำความสะอาดผัก จัดการมันตามที่ต้องทำ ปอกเปลือกแครอท ลอกเปลือกหัวหอมใหญ่ ฉุนจนน้ำตาคลอ เขาหั่นทั้งหมดเป็นเต๋า ใส่ลงในกล่องถนอมอาหาร ตามด้วยสับหมูหยาบ ๆ เสียงหมูสับดังลั่นห้อง ทำให้ห้องดูมีชีวิตชีวา ร่างบางร้องเพลงฮัมอย่างอารมณ์ดี ขณะจัดเรียงของใส่ตู้เย็น
เสียงมือถือดังขึ้น ทำให้กวินรีบล้างมือไปรับสาย
‘แต้ม’
“สวัสดี ว่าไง”
‘พฤหัสบดีว่างมั้ย แดกข้าวกัน’
“ว่างเย็น”
‘เออรู้แล้ว มีการมีงานทำเหมือนกันเว้ย’
“แดกไร”
‘ไม่รู้คิดก่อน กุชวนไอ้นุกกับไอ้โจ้ล่ะ’
“แล้ว...” ได้ชวนเติ้ลหรือเปล่า
‘ไม่ได้ชวน ไม่รู้แม่มจะสะเทือนใจมั้ย แต่ถ้ากุต้องเลือกเจอใคร กุก็เลือกเมิงก่อนแล้วกัน คนมีเมียแล้วไม่เหงาเท่าไหร่หรอก’
ใช่ ๆ คนมีเมียแล้วไม่เหงาหรอก จะโผล่หน้ามาอีกทำไม
“เออ กุขอโทษที่ทำให้อึดอัด”
‘ดีกันเร็ว ๆ ล่ะกัน’ ...คงดีถ้ามองหน้ากันติดล่ะนะ
“นัดก็ดี ไม่เจอนานคิดถึง”
‘กุหรอ’
“ไม่ใช่เมิง นุกกับโจ้ดิ จะได้เอาของฝากไปให้แม่มด้วย”
‘หึ ของกุอ่ะ’
“เมิงเอาไปแล้ว”
‘คิดว่าจะมีให้อีก ... เออไว้คุยกันในแชท แค่นี้แหละ’
โทรมากวนตีนแล้วแต้มก็วางสายไป เขาก็ไปจัดการสิ่งที่ทำค้างไว้ต่อ
วริษฐ์ขับรถไปผับของเพื่อน เพื่อไปสั่งข้าวมากิน เขาไม่ได้มาดื่มเหล้า แค่มาหาเพื่อนคุยเฉย ๆ
“ไงเมิง” เจ้าของผับตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เป็นการทักทาย ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้าม ชะโงกหน้าดูเมนูอาหารที่เพื่อนสั่ง ก่อนถามเพื่อเช็คคุณภาพ “อร่อยป่ะ”
“ก็ดี ร้านเมิงทำข้าวอร่อย”
“วันนั้นนภทำแก้วแตก 3 ใบ” เต๋าพูดพลางส่ายหน้า “รอบหน้ากุเปลี่ยนเป็นแก้วพลาสติก ไม่ก็สแตนเลสให้หมดดีกว่าจะได้เลิกทำแตก”
“กุว่าแล้ว” วริษฐ์รับคำพลางหัวเราะเสียงเบา “เออวันนั้นเท่าไหร่” ให้แชทไม่แชทมา
“โอยช่างมันเถอะ อยู่แค่ 4 ทุ่ม หารห่าอะไรล่ะ” เต๋าพูดพลางหยิบไก่ทอดเข้าปาก
“อ่าฮะ” วริษฐ์พยักหน้า พวกเพื่อนเขามันสบาย ๆ อะไรหยวน ๆ มันก็หยวน ๆ ทั้งนั้น แค่ไม่มีจิตใจคิดจะเอาเปรียบกันก็พอ พวกมันก็ถือว่าเป็นพวกมีอันจะกิน หน้าที่การเงินดี เลยไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อยอะไรเท่าไหร่ เพื่อนกันทั้งนั้น
“วันนั้น รีบกลับไปไหนวะ”
วริษฐ์นิ่งไปอึดใจ เขาต้องตอบว่าอะไรล่ะวะ
“ถูกโทรตาม”
“รีบร้อนขนาดนั้น สาวที่ไหนล่ะ” เต๋าเหล่มองเพื่อน ในมือหมุนแก้วที่มีน้ำสีอำพันบรรจุอยู่หมุนไปหมุนมาให้น้ำแข็งกระทบแก้วดังกริ๊ง ๆ
“ก็...” เขาอึกอักที่จะตอบ ไม่ใช่ทั้งสาว และไม่ใช่ทั้งแฟน แต่เป็นคนที่ชื่อกวิน
“ว่าที่แฟนหรอไง”
“เปล่า”
“มีพิรุธอ่ะเมิงล่ะ ตอบไม่เต็มเสียง”
“ช่างเรื่องกุเถอะ”
“พ่อหนุ่มเพลย์บอยกุจะมีหลักแหล่งให้ลงหลักปักฐานแล้วว้อย”
“ไม่ใช่ว่ะเต๋า รุ่นน้องผู้ชายมีเรื่องน่ะ” เรื่องใหญ่ โดนมอมยาปลุก ตัวอ่อนเปลี้ยจนเขาต้องไปช่วย ต้องไปดูแล... แก้ฤทธิ์ยาให้ทั้งคืน
“เชี่ย แล้วไม่บอกพวกกุ อยากมีเรื่อง อยากปะทะ” เต๋าพูดพลางตบอกตัวเองเบา ๆ “เมิงเป็นไรเปล่า”
“โคตรห้าว ไม่เป็นไร เคลียร์ได้สบาย ๆ” วริษฐ์หลบตา พลางยกน้ำขึ้นจิบ
“เออ วันหลังมีอะไรบอกสิวะ”
“ก็กุว่ากุจัดการได้”
“วริษฐ์ เมิงไม่ได้อยู่คนเดียวนะเว้ย เมิงมีพวกกุเสมอ” เต๋าพูดพลางมองหน้าเพื่อน พวกเขาคบกันมานาน เขารู้จักวริษฐ์ดี แล้วก็เป็นห่วงมันด้วย ชีวิตเพื่อนเขาลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องของครอบครัว เขาถึงเป็นห่วงมาก และอยากให้มันมีใครสักคนสักที
“ขอบใจเมิงมาก พูดซึ้งทำไมวะ แดกข้าวแทบไม่ลง”
“ควาย”
เต๋าเดินออกไปดูแขก ขณะที่เขาก้มหน้าก้มตากินข้าว ตัวคนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายหรอก เกิดมาตัวคนเดียว ตายไปก็ตัวคนเดียว ... ไม่ต้องคิดถึงใครให้ผูกพันให้เจ็บปวด
ร่างสูงกลับถึงบ้าน เดินออกระเบียงไปนั่งสูบบุหรี่สักมวนเหม่อมองดูดวงจันทร์ รอบบ้านเงียบกริบ เวลาห้าทุ่มกว่าทุกคนคงเข้านอนหมดแล้ว ส่วนบ้านของเขาเงียบมาตลอด เงียบมานานหลายปี... วริษฐ์จัดธุระส่วนตัวอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย ก็เตรียมเข้านอน มือหนาหยิบยานอนหลับกับแก้วน้ำมาถือเอาไว้ เขาคงต้องพึ่งมันอีกเพราะอยากจะนอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม
.
.
[พี่อาร์ตรุนแรงกับน้อง รุนแรงแค่ไหน น้องก็รัก
แม้จริง ๆ คนพี่จะแอบมีสายตาอ่อนโยนให้น้องก็ตาม
พวกเราก็จะรอให้พี่เปิดใจให้น้อง
//ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามอ่านอยู่นะคะ
ขอบคุณเม้นที่ทำให้เราไม่เหงา]
เฮ้ออ ถ้าพี่อาร์ตไปไม่ทันจะทำไงเนียะ
ถ้าไม่ทัน น้องคงต้องหายหน้าไปจากพี่ ดีที่พี่มีสกิลพระเอกอยู่
พี่อาร์ตช่วยน้องหน่อย อย่าดุน้องแรงนะ
ไม่ดุน้องแรง แต่อย่างอื่นแรง...