“กาศยป” พ่อปู่ยื่นกระดาษที่มีภาพวาดและคำหนึ่งคำเขียนกำกับเอาไว้ ที่ดูจะสะกิดใจของเคนทร์มากพอสมควร “กา สะ ยะ ปะ” พ่อปู่พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ท่าทางขรึมแบบนี้ที่เคนทร์รู้ดีว่า จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่พ่อปู่กำลังพูดกับเขาด้วยความจริงจัง “เผ่าพันธุ์แห่งองค์พญาครุฑ ผู้เป็นใหญ่บนท้องฟ้า” เคนทร์นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกมีอาการวูบไหวไปตามผิวกาย พ่อปู่จับสังเกตอาการนั้นได้ ก็พยักหน้าน้อย ๆ เข้าใจว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่พ่อปู่เคยสัญญาว่า จะเล่าทุกอย่างให้เคนทร์ได้รับรู้
“เอ็ง เจ้าเคนทร์ หากเอ็งจะเคยได้ยินคำว่า ครุฑยุดนาค มาก่อนหน้านี้” พ่อปู่เริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นไปเป็นมาที่ท่านเก็บเอาไว้มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รับเคนทร์มาเลี้ยงดู เหมือนเป็นลูกหลานของพ่อปู่เอง “เหล่าบรรดาพญาครุฑต่างได้รับพรให้สามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้ มันทำให้สองเผ่าพันธุ์นี้ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด เพียงแต่ว่า” พ่อปู่หยุดนิดหนึ่ง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะเล่าต่อไปว่า
“นาโครคินทระ นา โค ระ อิน ทะ ระ” อีกหนึ่งภาพวาดที่มีชื่อกำกับอยู่ ถูกวางอยู่ตรงข้างหน้าของเคนทร์ วงศ์วานพญานาค ที่มีชาติกำเนิดสูง ได้รับการยกเว้นเอาไว้ โดยกาศยปและนาโครคินทะระ มีข้อตกลงกำหนดร่วมกันเอาไว้ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ใหญ่ ปากมหาสมุทรที่มีพญานาคผู้สูงส่ง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ดูแลเฝ้าห้วงผืนน้ำนั้นเอาไว้ ส่วนบรรดากาศยปพญาครุฑนั้น ใช้เป็นทางบินลงมาที่พื้นโลก ณ จุดที่ตรงนี้” มาถึงตรงนี้ พ่อปู่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเล่าเรื่องต่อไปว่า
“ข้อหนึ่งนั้น ถูกกีดกั้นด้วยชาติกำเนิดและเผ่าพงศ์” พ่อปู่มองไปที่เคนทร์ ที่เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าคมเข้มแบบไทยแท้ คมสัน คมคาย เพียงแต่ดวงตาทั้งสองนั้นต่างหาก ที่นัยน์ตาโศกนั้น ไม่อาจจะซ่อนเอาไว้ได้ “เมื่อพระแม่นาง มเหสีองค์เดียวแห่งมหาครุฑ เป็นมนุษย์ และเป็นผู้เดียวที่สามารถทำบุญถวายองค์พระได้ พระนางมีลูกชายอยู่หนึ่งคน ที่กำเนิดผิดแผกไปจากบรรดาพี่น้องครุฑอื่น ๆ ในเผ่าพันธุ์ และทำหน้าที่พาพระนางแม่ของตน ลงมาทำบุญที่พื้นโลก เพื่อแผ่บุญนั้นกลับไปสู่เหล่ากาศยป” พ่อปู่ยกน้ำชาขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“บุตรคนโตของนาโครคินทระ” พ่อปู่สบตากับเคนทร์ ก่อนจะวางภาพวาดที่สามลงที่ด้านหน้าของเคนทร์ ที่ทำให้ชายหนุ่มเอง ยังตกใจไปกับความละม้ายคล้ายคลึงกับตัวเขาเป็นอย่างมาก ด้วยภาพของชายหนุ่มที่ด้านบนเป็นมนุษย์ส่วนด้านล่างเป็นหางของพญานาค “โภคิน” พ่อปู่พูดต่อ “วันออกพรรษาเป็นวันที่โภคินผู้เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ขึ้นมาจากเมืองบาดาลมาที่เมืองมนุษย์ เพื่อรับพรจากองค์ผู้มีพระภาคเจ้า” พ่อปู่ดื่มน้ำชาอีกครั้ง
“บุตรชายของพระนางแม่แห่งเหล่าครุฑ ทิชชากร ผู้มีใบหน้าสวยงามยิ่งกว่าอิสตรีใด มีใบหน้าเป็นมนุษย์ ไม่ได้มีปากนกแหลมเช่นบรรดาพี่น้องต่างมารดา ผิวกายละเอียดผ่องพรรณ พาพระแม่ของตัวเองบินลงมาที่เมืองมนุษย์ เพื่อการบุญนั้น และคงเป็นโชคชะตา วาสนาที่นำพา โภคินที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนาน เพื่อหวังว่าวันหนึ่งหากตัวเองมีบุญมากพอ จะขอถือกำเนิดเป็นมนุษย์ต่อไปภายภาคหน้า ส่วนทิชชากร ที่รู้สึกแต่ว่าตัวเองไม่ใช่พวกเดียวกับเผ่าพงศ์ แปลกแยกและแตกต่าง” เคนทร์นึกถึงภาพในความฝันของใครคนนั้น ที่เขาฝันเห็นอยู่ซ้ำ ๆ
“หนึ่งคือครึ่งครุฑครึ่งมนุษย์ อีกหนึ่งคือนาคที่บารมีกล้าแกร่งแปลงกายเป็นมนุษย์ได้” พ่อปู็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เคนทร์มองเห็นพ่อปู่ดูอ่อนแรงลงไปมาก มากกว่าครั้งที่แล้วที่เขามาหา “ว่ากันว่า นาโครคินทระ นั้นคือเผ่าพันธุ์พญานาคที่ดุร้ายและไม่ยอมใคร ยิ่งเป็นบรรดาพญาครุฑ ที่แม้จะสงบศึกกันไป แต่ก็ยังคงเหยียดหยามนาคอยู่เสมอ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ครุฑเพียงหนึ่งเดียว ที่โภคินยอมให้ ด้วยความอ่อนโยนที่ผิดแผกแปลกวิสัยไป และนั่นคือทิชชากร ผู้มีนามแปลว่านก ไม่ใช่” อย่างวงศ์พญาครุฑ” ใบหน้าที่เคนทร์เห็นในความฝันนั้น เขาจำได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะหลับหรือลืมตาก็ตาม
“ผมขอถามได้มั้ยครับแม่” เขมรัฐพูดขึ้น เมื่อทั้งหมดลงมาที่ห้องรับแขกด้านล่าง หลังจากที่ขึ้นไปดูวาตะที่ยังคงหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอน และเมื่อเห็นแม่ของวาตะพยักหน้าอนุญาตอย่างพอจะเข้าใจได้ว่า เพื่อนทั้งสองคนของลูกชายของเธอ แจนและเขมรัฐ คงต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน “มันเกิดอะไรขึ้นกับวาตะกันแน่ครับ เพราะตอนกินข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหาร วาตะบอกว่าเขารู้สึกเจ็บที่หน้าอก เหมือนดื่มน้ำที่เย็นจัดลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ดื่มน้ำในตอนนั้น” เขมรัฐกำลังรู้สึกว่า เรื่องนี้มันแปลกเกินไป หากมันไม่มีคำอธิบายใด ๆ
“ใช่ค่ะแม่ แถมขมิ้นสั่งสเต๊กมากิน แต่เขาบอกว่าเหมือนถูกน้ำร้อนลวกที่ลิ้น น้ำร้อนประเภทที่ว่า แบบซุปร้อน ๆ ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำอะไรแบบนั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะแม่ คือถ้ามันเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือสปาเกตตี หนูยังพอจะเชื่อได้บ้าง” แจนเองก็ยอมรับว่า ตอนที่ได้ยินวาตะพูดมาแบบนั้น แจนก็อึ้งเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าวาตะเป็นเพื่อนที่ไม่ได้ชอบอำ หรือว่าสร้างเรื่องตลกอะไรแบบนี้
“พวกลูก ๆ เคยได้ยินคำว่า พิษนาค มั้ย” นิ่งไปอยู่อึดใจ แม่ของวาตะก็พูดขึ้น ส่วนพ่อของวาตะเดินไปที่ในครัว เพื่อไปเอาน้ำดื่มมาให้กับทุกคน แจนและเขมรัฐหันมามองหน้ากัน ก่อนจะต่างพากันส่ายหน้าเพราะนี่คือครั้งแรกจริง ๆ ที่ทั้งคู่ได้ยินอะไรแบบนี้ แม่รอจนพ่อกลับมาด้วยน้ำดื่มสี่แก้ว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่คนเป็นแม่เอง จากที่ไม่เชื่อว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง ต้องเชื่อจนสนิทใจ
“ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะหลวงพ่อ” แม่ยกมือไหว้ท่าเจ้าอาวาสวัดที่เธอมาทำบุญอยู่บ่อย ๆ ด้วยว่าท่านเป็นสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และคิดว่าคงจะช่วยลูกน้อยของเธอได้ “ตอนนี้ย่างเข้าเดือนที่หกแล้ว นี่ก็ตั้งแต่เขาเกิดมาเลย หนูสงสารลูกมากเจ้าค่ะ” หลวงพ่อมองดูเด็กชายตัวน้อยที่ร้องโยเยไม่ยอมหยุด เหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก
“เจ้าหนูนี่มันชื่อว่าอะไรล่ะ” หลวงพ่อเอ่ยถามเมื่อท่านทำท่าเหมือนกับว่า ท่านรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง “วาตะค่ะหลวงพ่อ” หลวงพ่อมองไปที่พ่อและแม่ ก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อยนั่นอีกครั้ง “ลม เจ้าแห่งท้องฟ้าสินะ” หลวงพ่อท่านพูด ก่อนจะยกตัวของเด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลขึ้นอุ้ม “อืม” หลวงพ่อเปิดเสื้อดูที่ไหล่ข้างซ้ายของเด็กน้อย จุดสีแดงนั่นมีขนาดเท่ากับเหรียญบาท เสียงแม่บอกกับหลวงพ่อว่า มันใหญ่ขึ้นกว่าตอนเกิดมาก จากที่เป็นเพียงจุดสีแดงเล็ก ๆ
“เขาทำสัญลักษณ์ของเขาเอาไว้ ว่าเมื่อพบกันอีกครั้ง เขาจะได้จำกันได้ และมันไม่ใช่เฉพาะเขาหรอกนะที่อยากจะจำ เจ้าหนูนี่ ก็เช่นกัน เราไปฝืนอะไรที่เขาลั่นวาจา สาบานกันเอาไว้แล้วไม่ได้หรอกนะ โยม” พ่อและแม่ของเด็กน้อยไม่เข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อพูด “อธิบายง่าย ๆ ไอ้การที่โยมทั้งสองมาเจอกันแต่งงานกัน นั่นก็เพราะกรรมที่ทำร่วมกันมา นำพาให้มาเป็นคู่กัน ทั้งกรรมดีและกรรมเลว” หลวงพ่อท่านพูด
“เจ้าหนูนี่ก็เช่นกัน กับสิ่งที่ติดตัวเขามา กำหนดให้เขาเป็น” แม่ของเด็กน้อยรีบถามขึ้นในทันที ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดมาแบบนั้น “ช่วยอะไรลูกหนูได้บ้างมั้ยเจ้าคะหลวงพ่อ” คำถามนั้นทำให้หลวงพ่อต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ “กิจของสงฆ์คงทำอะไรให้ไม่ได้มากนักหรอกโยม” หลวงพ่อพูดก่อนจะวางเจ้าตัวน้อยลงบนเปลตามเดิม “เอาเป็นว่า” หลวงพ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“วาตะคามิน” พลันเสียงร้องไห้โยเยนั้นก็เงียบหายลงไป แววตาใสแป๋วของเด็กน้อยจับจ้องไปที่ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ “เออ ว่าไง เย็นลงบ้างแล้วสินะ พิษนาคน่ะ” พ่อและแม่ยิ่งตกใจไปกันใหญ่ ที่เห็นลูกชายจองพวกเขาหัวเราะออกมา เอามือกำนิ้วชี้ของหลวงตาเอาไว้ “วาตะแปลว่าลม” หลวงพ่อท่านพูด ภาพในนมิตที่ผ่านมาให้ท่านเห็นนั้น
“คามินแปลว่าสีแดง” หลวงพ่อพูดกับพ่อแม่ของเด็กน้อย “สีแดงเลือดนก” หลวงพ่อท่านพูดจากภาพนิมิตนั้น “ครุฑกับนาค เขาไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครุฑหนึ่ง และนาคหนึ่ง ผิดแผกจากเผ่าพันธุ์ เอาเป็นว่าโยมทั้งสองให้ชื่อวาตะคามินติดตัวเขาไว้ก่อน ให้เขารับรู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งที่เคยเป็นมา ทั้งที่กำลังจะเป็นต่อจากนี้ และนี่ เอานี่ไป” หลวงพ่อยื่นตลับหนึ่งใส่มือผู้เป็นพ่อของเด็กน้อย
“เริ่มตั้งแต่เข้าพรรษานะ อย่าให้ขาด เอาสีผึ้งนี้ ป้ายที่ปานแดงนั่น ทาทุกวัน ก็คงพอจะช่วยได้บ้าง แต่พอถึงออกพรรษา ช่วงนั้นจะหนักหน่อย เขาทวงคนของเขา ส่วนช่วงอื่น ๆ หมั่นทำบุญพาเจ้าหนูนี่ไปด้วย สอนให้เขาแผ่เมตตา สอนให้รู้จักการให้อภัย แต่โยมต้องรับรู้ไว้ก่อนว่า ไม่มีอะไรสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้จริง ๆ หรอก วันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี พิษนาค ก็ให้ระวังเรื่องน้ำ ภัยจากน้ำ น้ำร้อน ลมพิษ งูเงี้ยวเขี้ยวขอ” หลวงพ่อพูดบอกกับพ่อและแม่ของหนูน้อย
“โยมอาจจะยังไม่เข้าใจทั้งหมดในตอนนี้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง ทุกสิ่งมันจะเกิดขึ้นโดยบุพกรรมนั้นจัดสรรบันดาล สิ่งที่ทำได้ ช่วยได้ ให้เจ้าหนูนี่มันเลี้ยงง่ายขึ้น โยมสองคนเหนื่อยน้อยลง อาตมาก็ทำได้เพียงเท่านี้แหละ” แจนและเขมรัฐได้แต่มองหน้ากัน กับสิ่งที่แม่ของวาตะเล่าให้ฟัง เพราะจำได้ว่า วาตะเล่าเรื่องที่เขาเกือบจะจมน้ำได้ในตอนเด็ก ดีว่าพ่อของวาตะมาเห็นเข้าก่อน และดึงวาตะขึ้นมาจากสระน้ำเป่าลมนั่นได้ทัน
“อุรเคนทร์” พ่อปู่เรียกชื่อคนที่พ่อปู่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เอ็งเองล่ะ เอ็งก็รู้ใช่มั้ย ว่าชื่อของเอ็ง” พ่อปู่ถามชายหนุ่ม ที่พ่อปู่ยกมือห้ามไม่ให้เข้าไปหาท่าน หลังจากที่เคนทร์เห็นพ่อปู่ไอออกมาอย่างหนัก “ชื่อเอ็งแปลว่าพญานาค” หลวงปู่ไออกมา ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก “ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าพ่อและแม่เอ็งจะใช้ชื่อไหนเรียกเอ็ง เอาสิวะ เอ็งไม่เคยหันเลยสักชื่อ” พ่อปู่หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูลูกหลาน
“แต่พอข้าขอเรียกเอ็งว่าอุรเคนทร์เท่านั้น เอ็งก็ยอมให้ข้าเลี้ยงดูเอ็งได้สักที” พ่อปู่พยักหน้าเมื่อเห็นสีหน้าของเคนทร์ที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างมาก “พิษเอ็งมันร้าย เจ้าเคนทร์ พิษนาค” พ่อปู่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หากรับเลี้ยงดูอุรเคนทร์ วันหนึ่งนั้น “ข้าจะต้องตายด้วยการหาสาเหตุไม่ได้ เพราะพิษนาคนั้น” แต่พ่อปู่ก็รักเคนทร์ดุจลูกหลานของพ่อปู่เอง “แต่พิษนาคนั้น ก็เกิดขึ้นกับคนของเอ็งเช่นกัน แต่มันคนละอย่างกับที่เกิดกับข้า” พ่อปู่บอกกับเคนทร์
“จนกว่าเอ็งจะหาเขาเจอ สิ่งที่เอ็งรู้สึก สิ่งที่เอ็งสัมผัส เขาจะรับรู้ได้ผ่านน้ำ ยิ่งใกล้ออกพรรษาแล้ว ขึ้นสิบห้าค่ำ และเช่นกัน สิ่งที่เขารู้สึก เอ็งก็จะรับรู้ได้เช่นกัน” เคนทร์ตอนรับคำพ่อปู่ แต่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปประคองพ่อปู่ ต้องเรียกให้ศิษย์คนอื่นมาพยุงพ่อปู่ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล อาการของพ่อปู่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่พ่อปู่ไม่ยอมบอกให้เคนทร์รู้ จนเมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว
ภาพที่เคนทร์เห็นในความฝัน เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้ เคนทร์รู้สึกหงุดหงิดบ้าง เมื่อพ่อปู่ได้แต่พูดบอกกับเขาว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็จะเกิดขึ้นเอง กับสิ่งที่ชายหนุ่มถามไปว่า เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เมื่อเวลามาถึง สิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จะแสดงตัวออกมาเอง และจะดำเนินไปอย่างที่ทุกอย่างนั้นจะต้องเกิดขึ้น และอีกเพียงไม่กี่วัน สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ข้าอ้อนวอนว่าต่อจากนี้ ขอเพียงมีที่พักพิงอาศัย แม้นเกิดอีกชาติหน้าฉันใด บำเพ็ญเพียรขอได้ตามอุรา” โภคินกอดทิชชากรเอาไว้ในอ้อมอกจนแน่น แต่อีกฝ่ายดันตัวของเขาออกห่าง “ข้าเองต่างหากที่บุญน้อย วาสนาต่ำต้อยฉุดรั้ง เพียงได้รักท่านแค่เพียงครั้ง ใจสมดั่งประสงค์มุ่งหมาย” ทิชชากรไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายใด ๆ กับโภคิน เมื่อท่านพ่อเจ้าเอ่ยปาก ว่าจะยกเรื่องนี้ให้ หากทิชชากรยอมกลับขึ้นไปเมืองครุฑ และจะไม่ลงมาพบกับโภคินอีก ตลอดไป
“แต่หากวันหนึ่งเป็นไปได้ เราคงรักใคร่สมหวัง ดินแดนแห่งนั้นว่านามตั้ง ไร้ชิงชังคือดั่งสุวรรณภูมิ” โภคินได้ยินแบบนั้น ก็ดึงตัวของทิชชากรเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปาก “ข้าขอสัญญาสาบานว่า ต่อให้นานเกินกว่าศตวรรษ จะเร่งรัดตามเจ้าวิหคศกุนต์ชาติ รักเราคืออำนาจเหนือสิ่งใด” ทิชชากรหลับตาเพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก่อนที่จะต้องรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานสุดจะบรรยาย เมื่อโภคินคายพิษนาคลงที่ไหล่ข้างซ้ายของทิชชากร พิษนั้นไหลลงบนปีกของทิชชากร ทำให้เลือดจากปีกไหลนองไปทั่วบริเวณ
โภคินต้องตัดใจ กลับลงไปใต้บาดาล ด้วยจิตที่ตั้งมั่นจะบำเพ็ญเพียร เพื่อจะได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์และครองรักกับทิชชากรที่สัญญาสาบานกันเอาไว้ ว่าจะต้องมีสักครั้ง ที่ทั้งสองได้สมหวังต่อจากนี้ พระนางแม่ที่ตอนนี้บินอยู่กับท่านเจ้าพ่อของทิชชากร ได้แต่ร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นลูกชายของพระนางตัดสินใจแบบนั้น และตอนนี้กำลังทุรนทุรายไปกับพิษนาคที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส
ทิชชากรเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ร้องเรียกหาพระนางแม่ด้วยน้ำตาอาบหน้า แต่ก็รู้ดีว่า ตัวเองได้ตัดสินใจเลือกทางชีวิตของตัวเองไปแล้ว ทิชชากรพยายามบินขึ้นด้วยปีกที่เหลืออยู่เพียงด้านเดียวของตัวเอง ด้วยพละกำลังที่เหลือทั้งหมดของตัวเอง เลือดจากปีกที่ใช้ไม่ได้แล้ว ไหลปลิวไปตามลมที่พัดมา ก่อนที่ร่างของทิชชากรจะหมดแรง และร่วงลงไปนอนอยู่บนพื้นดิน โดยที่สายตามองเห็นว่าที่บนท้องฟ้านั้น พระนางแม่ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว
*******************************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง - INK WARUNTORN
https://www.youtube.com/watch?v=xXUFl-hDG2gถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
If you love someone, do you really know it?
ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
That your love will be temporary or it will last forever
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ
If you find somebody, that you feel them so precious
เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร
When your eyes meet, how does that make you feel?
รักหนึ่งอาจเกิดด้วยใครลิขิตหรือมันอาจเกิดด้วยตาต้องใจ
One love may occur with destiny, or it was just pure attraction
หรือมันอาจเกิดด้วยเหตุผลใด ใครเล่าเลยใครจะเลยล่วงรู้
Though it may be because of various reasons, who know whichever works for you
อาจเกิดเพราะใครกำหนดหรือใครขีดกฎเกณฑ์ไว้ให้เจอ
It may happen because it’s meant to be, or it’s just rule of nature
ให้เราต้องพบกันอยู่เสมอทุกครั้งไป
So, we cross our paths in life always
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
If you love someone, do you really know it?
ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
That your love will be temporary or it will last forever
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ
If you find somebody, that you feel them so precious
เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร
When your eyes meet, how does that make you feel?
เมื่อรักผลิบานในความรู้สึก เธอไม่ต้องตรึกตรองลึกลงไป
When love is blooming in feelings, you don’t need to dig deep to find out
ขอเธอติดตามฟังเสียงหัวใจ พาล่องลอยไปจนไกลดุจฝัน
All you do is to listen to your heart, it’ll take you float away like you’re dreaming
เมื่อรักไม่อาจกำหนดและไม่อาจกดเก็บไม่ให้เกิด
So that love cannot design, and it cannot be suppressed from happening
เธอเพียงแค่ปล่อยให้ใจเตลิดลอยไป
You now need to let it flow and fly away
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
If you love someone, do you really know it?
ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
That your love will be temporary or it will last forever
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ
If you find somebody, that you feel them so precious
เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร
When your eyes meet, how does that make you feel?
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง และติดตราตรึงหัวใจ
If you do love someone, you love them wholeheartedly
ความรักจะเกิดขึ้นมาแบบไหนอย่างไรคงไม่สำคัญ
How love now shines, whatever it is, doesn’t really matter
เท่าเธอรักด้วยทั้งหมด ทุกสิ่งที่มันเป็นฉัน
It’s not bigger than you can love, love everything that’s made of me
ในชีวิตนี้แค่นั้นที่ใจฉันต้องการ
In my life, this is all I am asking for
แม้นานแค่ไหน
No matter how long it is
จะเป็นความรักหนึ่งเดียวที่ใจฉันต้องการ
This is the only love that my heart desires