กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 ... 10
31
พูดคุยทั่วไป / แฟชั่นสไตล์ Y2K, E-Girl, Blazer และ Old Money ปี 2025
« กระทู้ล่าสุด โดย airrii เมื่อ 15-10-2025 10:29:20  »
ในยุคที่แฟชั่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งการผสมผสานสไตล์ต่าง ๆ ที่ลงตัวและสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ Y2K, E-Girl, การแต่งตัวด้วย Blazer หรือลุค Old Money ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิกแต่ก็ยังคงความทันสมัย จะพาไปรู้จักกับเทรนด์แฟชั่นยอดนิยมและแนวทางการแต่งตัวให้นำเทรนด์ได้อย่างมั่นใจ ร้านเสื้อผ้า

เทรนด์แฟชั่นปี 2025 การผสมผสานสไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด
ปี 2025 นี้ แฟชั่นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ การนำสไตล์ Y2K, E-Girl, Blazer และ Old Money มาผสมผสานกันอย่างลงตัว กลายเป็นลุคที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การแต่งตัวในยุคนี้จึงเน้นความสร้างสรรค์และความกล้าแสดงออก



สไตล์ Y2K ย้อนยุค clothes 2000s กลับมาฮิตอีกครั้ง
เทรนด์ Y2K ยังคงเป็นที่นิยมในปี 2025 ด้วยดีเทลเสื้อผ้าสไตล์วินเทจอย่างเสื้อครอปคริสต์มาส, กางเกงบ็อกเซอร์, หรือหมวกบัคเก็ต สีสันสดใสและลายพิมพ์เทคนิคพิเศษทำให้ลุคนี้ดูสนุกสนานและน่ารัก เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบความสนุกสนานและความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่

แรงบันดาลใจจาก E-Girl ลุคสุดเท่แบบสายดิจิทัล
E-Girl เป็นสไตล์ที่เน้นความกล้าในการแต่งตัว ผสมผสานความเท่ ความหวาน และความลึกลับด้วยเสื้อผ้าสีดำ, ลายตาข่าย, ทรงผมสีสดใส และเครื่องประดับสุดแปลก ลุคนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างความแตกต่างและแสดงออกถึงตัวตนบนโลกออนไลน์

การแต่งตัวด้วย Blazer คลังสไตล์คลาสสิกสู่ความทันสมัย
Blazer เป็นไอเท็มที่ไม่มีวันตกยุค สามารถจับคู่ได้หลายลุค ทั้งลุคทางการและลุคแคชชวลในสไตล์โมเดิร์น เช่น ใส่ blazer คู่กับเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ หรือใส่ blazer ทับชุดเดรส ก็ได้ลุคที่ดูเรียบร้อยแต่ยังคงความเท่

ลุค Old Money คลาสสิกและหรูหราในทุกโอกาส
สไตล์ Old Money เน้นความเรียบหรูและคลาสสิก เช่น เสื้อเชิ้ตผ้าคุณภาพดี, กระโปรงทรงเอ, หรือสูทเนื้อผ้าดี สีโทนเรียบง่ายเช่น ครีม น้ำตาล เทา เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการความสง่าภูมิฐานในทุกสถานการณ์

การผสมผสานสไตล์ให้ลงตัวในปี 2025
จับคู่ Y2K กับ Blazer : เพิ่มความสนุกสนานด้วยเสื้อครอป Y2K คู่กับ blazer สีสดใสหรือพิมพ์ลาย
เติมความเท่ด้วย E-Girl + Old Money : เลือกเสื้อผ้าสีดำและลายตาข่าย ผสมกับเครื่องประดับทองคำเพื่อความหรูหรา
เล่นกับเทคนิคการแต่งตัว : เช่น ใส่ blazer คู่กับกางเกงยีนส์ขาดๆ เพื่อความสบายและดูเท่ในแบบโมเดิร์น

shoppingแฟชั่นในปี 2025 เปิดโอกาสให้สาว ๆ ได้สนุกกับการแต่งตัวและสร้างสไตล์ที่เป็นตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนานจาก Y2K, ความเท่แบบ E-Girl, ความคลาสสิกของ Blazer หรือความหรูหราแบบ Old Money  การผสมผสานสไตล์เหล่านี้จะทำให้คุณโดดเด่นและเป็นตัวเองในทุกโอกาส

32


“เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกกันนะ” เจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปด ที่นอกจากจะถูกพามาฝากที่บ้านหลังนี้ ที่เป็นคนรู้จักมักคุ้นของครอบครัวก็จริง แต่ส่วนตัว ก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ คนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นด้วย ก็นานมาก นานมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กนั่น พอเติบโตขึ้น ต้องแยกย้ายกันไป ก็เรียกไม่ได้เต็มปากนักว่า ยังคงสนิทสนมกันอยู่ อย่างที่เคยเป็น เมื่อได้มาเจอหน้ากันอีกที ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดเริ่มคุยด้วยเรื่องอะไร


“ใจเหมือนไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เลยสิท่า” เสียงถามนั้น ฟังดูไม่ใช่แค่อยากจะต่อว่า แต่น่าประหลาดที่เจือไปด้วยแววของความน้อยใจ คนที่ถูกตำหนิหันไปมองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก็หันหน้าออกไปมองสายฝนที่โปรยปรายลงมาตรงหน้า “เช่นนั้นแล้ว จะมาหากันทำไมตั้งแต่แรก” ปฏิเสธได้ยากว่า คนพูดนั้น ใช้น้ำเสียงปนไปด้วยคำต่อว่าต่อขาน ไปที่อีกฝ่ายอย่างจงใจ


“ที่มานี่ เพราะคุณแม่หวังใจว่า คนบ้านนี้จะต้อนรับขับสู้ และให้การช่วยเหลือดุจญาติมิตร แต่ก็มิคิดเลยว่า” เมื่อรู้ตัวว่าถูกค่อนแคะแบบไม่ปิดบัง ก็อดไม่ได้ ที่จะตอบโต้กลับไปในทันทีเช่นกัน “ไม่ใช่เพราะทะนงตน ว่าเกิดในชั้นตระกูลดี แลเป็นลูกครึ่งฝรั่งหัวทอง แห่งครอบครัวฟอล์คเนอร์ ชนชั้นสูงผู้รากมากดี สืบสายจากผู้ฝึกเหยี่ยวฝึกนก จากฝั่งยุโรปหรอกรึ” คนที่เป็นชายหนุ่ม ตัวสูงกว่า สายตานั้นดูดุดันเอาเรื่อง ตอบโต้กลับมาอย่างไม่ลดละ


“วิเรโอ ฟอล์คเนอร์ ชื่อไทยไม่มี ดูเอาเถิดทั้งนามสกุลก็เกี่ยวพันกับนก” ชายหนุ่มร่างสูงที่มองมาหาอย่างเปิดเผย พูดขึ้นต่อ “แถมชื่อ วิเรโอ ก็ยังมีความหมายไปทางเดียวกันนั้น แต่แปลว่านกตัวเล็ก ที่อพยพถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ ก็สมแล้ว ที่พอมายืนอยู่ใต้หลังคาศาลาเรือนไม้เดียวกันนี่ ฝนตกนิดหน่อย เจ้านกตัวน้อย ก็อยากจะบินหนีหายไป” ชายหนุ่มเองนั้น ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า พอรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่าย ทำไมเขาถึงต้องหงุดหงิดใจอะไรเช่นนี้ด้วย


“การพูดจา คำที่ใช้ ฟังดูมีหลักมีการ เต็มไปด้วยความรู้มากมาย เกี่ยวกับทั้งชื่อ ทั้งสกุลของเรา แต่กลับใช้มันอย่างมักง่าย กล่าวหาคนเขาไปทั่ว แบบนี้นี่ เรียกได้มั้ยว่า ต้นกำเนิดดี ไม่ได้แปลว่าจะเติบโตตามนั้นเป็นมั่นเป็นเหมาะ” รู้ตัวดีว่าเพิ่งโดนอีกฝ่ายด่าเข้าให้อย่างจัง แต่ก็แปลกที่ชายหนุ่มไม่ได้นึกโกรธขึ้งแต่อย่างใด กลับเอ็นดูปากบาง ๆ สีชมพู ๆ ของชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่า แต่แววตานั้นทระนงตามศักดิ์ของตัวเองเช่นกัน
 

“ก็เรายืนอยู่ใต้ศาลานี้ด้วยกัน เธอกลับมองเลยออกไปที่อื่น ให้ฉันยืนเดียวดายราวกับว่าฉันนั้นเป็นที่น่ารังเกียจรังงอนสำหรับเธอปานนั้น” ชายหนุ่มขยับเดินเข้าไปใกล้กับอีกฝ่าย ที่ไม่ได้ทำท่าจะเกรงกลัวแต่อย่างใด “เธอยังมองเห็นฉันมีตัวตนอยู่รึ” ความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็ก ที่เคยวิ่งเล่นในสวนนี้ด้วยกันมา มันวิ่งกรูกันกลับเข้ามาในห้วงคำนึงของชายหนุ่มอีกครั้ง


“ฝนก็ตก หากจะต้องคุยกัน ก็คงถึงกับต้องตะโกน” ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่า ยังไงเถียงกลับไม่ลดละ “ตอนนี้เธอพูดอยู่กับฉัน ต้องจะโกนเสียก็เปล่า ก็แค่เธอจะพูดขอให้ฉันขยับเข้ามายืนใกล้ ๆ กัน” ชายหนุ่มที่ริมฝีปากบางสีอมชมพู รู้ตัวอีกที ก็ต้องแพ้ให้กับเหตุผลนั้นของอีกฝ่าย เมื่อชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กว่านั้น ตอนนี้มาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้า ใกล้จนแค่คำกระซิบ พูดกันเบา ๆ ก็ยังได้ยินชัดเจน


“คุณวิษธร” วิเรโอเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไป “เธอก็จำกันได้นี่” ชายหนุ่มตัวสูงกว่าพูดออกมา ด้วยทั้งดวงตาและทั้งริมฝีปากที่ยิ้ม ด้วยความชอบใจในอากัปกิริยาของอีกฝ่าย “คงด้วยเหตุที่ว่า เมื่ออยู่ใกล้กับคนพิษสงเยอะ ก็ต้องระวังตัวเองเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่ากระมัง” วิเรโอตอบกลับไปในทันที ความเชือดเฉือนยังไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ที่บทสนทนานั้น ดูมีความผ่อนคลายว่าต้องการจะเจรจาสงบศึก


“ฉันเกิดปีมะโรง งูใหญ่ ชื่อฉันก็เป็นไปตามนั้น” วิษธรมองอีกฝ่าย ที่ดูจะผิดแผกไปจากบรรดาลูกครึ่งฝรั่งที่เขาเคยพบมา วิเรโอนั้นตัวเล็ก แม้ว่าตอนเด็ก ๆ จะมีแววที่จะสูงเมื่อโตขึ้น แต่กลายเป็นว่า เพื่อนไทยแท้ที่เล่นด้วยกันมา กลับกลายเป็นตัวสูงกว่ามากไปตาม ๆ กัน ยกเว้นวิเรโอ ที่หากจะถามว่าสิ่งใดที่เจ้าตัวมีมากกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิษธรก็คงจะพูดว่า เป็นปลายจมูกที่ยกเชิดขึ้นเล็ก ๆ นั้น มันบอกชัดเจนว่า เจ้าตัวดื้อเอาเรื่อง จนไม่มีใครใกล้เคียง


“คุณก็เลยร้ายกาจ” วิเรโอว่าอีกฝ่ายเข้าให้ “ก็เธอมันรั้น” วิษธรตอบกลับไปในทันที มองเห็นอีกฝ่ายที่เจ้าตัวมีกระ จาง ๆ อยู่บนโหนกแก้ม มันคืออีกสิ่งที่ติดตาวิษธรไม่ลืม ตลอดหลายปีมานี้ วิเรโออยากจะเถียงกลับไป แต่ด้วยความรู้สึกว่า ชายหนุ่มตัวสูงบึกบึนตรงหน้าคนนี้ รู้รายละเอียดรู้ความเป็นมาเป็นไปของเขาดีจนไม่กล้าจะให้วิษธร ได้เผยอะไรที่จะกลายเป็นการถูกเล่นงานเพิ่มเติมได้อีก


“ฝนคงจะตกอีกนาน เราคิดว่าเรา” วิเรโอพูดได้เพียงเท่านั้น “ระวัง เธอมาตรงนี้ มาหลบอยู่ที่ข้างหลังฉันก่อน” วิเรโอถูกวิษธรดึงให้เดินมาอยู่ด้านหลังของเขา และเมื่อวิเรโอมองไปตรงด้านหน้า ตรงที่เป็นที่นั่งด้านข้างของศาลา ก็พบว่า มีงูจงอางตัวใหญ่แผ่ชูแผงคอรอท่าอยู่ก่อนแล้ว “คุณมันอันตราย” วิเรโอร้องห้าม เผลอใช้มือดึงข้อมือของวิษธรเอาไว้ เพื่อห้าม เมื่อเห็นชายหนุ่มนั้นทำท่าจะเดินเข้าไปหางูจงอางตัวนั้น


“เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันแค่จะไล่มันไป” วิเรโอมองวิษธรที่เดินไปตรงที่งูตัวนั้นอยู่ ด้วยความระทึก หัวใจเต้นแรงที่สุด เท่าที่เคยรู้สึกรับรู้มา วิษธรเดินไปจนเกือบจะถึงงูจงอางตัวนั้น วิเรโอก็เห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าของเขานั้น มันเกิดขึ้นไวมาก เมื่ออยู่ ๆ งูจงอางตัวใหญ่ตัวนั้นก็ลอยขึ้น ตกเลยศาลาออกไปด้านนอก ส่วนวิษธรนั้น วิเรโอได้ยินเสียงของชายหนุ่มร้องดังลั่น ก่อนจะล้มลงนอนแน่นิ่งไปบนพื้นศาลา


“คุณ” วิเรโอทรุดตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ กายของวิษธรในทันที “คุณวิษธร” เสียงเรียกของวิเรโอที่มีให้กับอีกฝ่าย ทั้งเต็มไปด้วยความตกใจ รวมถึงความเป็นห่วงถึงอันตรายที่วิษธรได้รับ “คุณได้ยินเรามั้ย คุณ เดี๋ยวเราจะไปหาคนมาช่วยนะ คุณโดนงูพิษนั่นกัด” วิเรโอทำท่าจะผุดลุกไปร้องเรียกให้ใครก็ได้มาช่วยที แต่ก็ต้องกลับลงนั่งที่ข้าง ๆ วิษธรอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มคว้าข้อมือของวิเรโอไว้ได้ทัน ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเตลิดไป


“ยังไม่ต้อง เธอไม่ต้องไปเรียกหรือรบกวนใครทั้งนั้น” วิษธรหัวเราะออกมาเต็มเสียง ส่ายหน้าไปกับท่าทางตื่นตระหนกของอีกฝ่าย “คุณนี่นะ” วิเรโอเผลอเอามือฟาดเข้าที่ต้นแขนใหญ่ของวิษธรจนเต็มแรง “โอ๊ย ฉันเจ็บ ฉันผิดไปแล้ว แต่เธอก็อย่าตีฉันหนักนัก ใจดีกับฉันหน่อย” วิษธรหัวเราะชอบใจ ที่แกล้งหลอกวิเรโอได้จนเชื่อสนิทใจ “ฉันแค่จับงูนั้น โยนมันออกไปให้พ้นทาง เสียก็เท่านั้น” วิเรโอได้ยินคำอธิบายของวิษธร จะว่าโกรธก็โกรธ แต่ก็โล่งใจเช่นกัน ที่ชายหนุ่มตรงหน้านี้ ยังปลอดภัยดีอยู่


“คุณสนุกหรรษากับเรื่องแบบนี้ ชอบใจมากสินะ” วิเรโอต่อว่าต่อขานอีกฝ่าย ที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง “ฉันไม่ใช่แค่สนุกและบันเทิงไปกับมันเท่านั้นนะ” วิษธรลุกขึ้นยืนตามวิเรโอขึ้นมา “แต่ฉันนั้นยังไม่รับคำยืนยันอีกว่า” วิเรโอรับรู้ถึงที่วิษธรนั้นขยับเดินเข้ามาจนใกล้ ด้วยความใกล้ที่มันชิดจนแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้นนั้นจากทั้งสองฝ่าย “เธอยังคงใส่ใจและอาวรณ์ในตัวฉันอยู่ และนั่นมันทำให้ฉันมีความสุขอย่างที่สุด” วิเรโอเห็นแววตาของวิษธรที่มองมา เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ


“แล้วเธอล่ะ มีความสุขเช่นกันมั้ย หากลืมเรื่องที่ฉันเย้าเธอไปก่อน” วิษธรถามคนตรงหน้าออกไป “เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้เจอฉันอีกครั้งเช่นกัน ใช่หรือไม่” ภาพที่เห็นในความฝันจากตรงนี้ มันวูบไหวตัดฉากไปอีกที สิ่งที่วาตะเห็นก็คือ ภาพของเรือเดินทางข้ามทะเลขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากมาย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ กำลังขนข้าวของสัมภาระ เอาติดตัวขึ้นไปบนเรือลำใหญ่นั่น


ตรงนั้น ที่ตรงบันได วิเรโอก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดทางขึ้นเรือด้วยความสับสนและความลังเล ในใจของเขามีแต่ความคำนึงถึงบุรุษอีกคน บุรุษชาวไทยคนนั้น คนที่เมื่อคืนนี้ เฝ้ารำพึงรำพัน ทั้งขอร้องและอ้อนวอนให้วิเรโอเปลี่ยนใจ ไม่เดินทางกลับไปที่ต่างประเทศ ค่ำคืนทั้งหมดนั้น วิเรโอใช้มันไปกับการได้อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม คนที่เป็นอันที่รัก วิษธรเฝ้าบอกคำหวาน คำว่ารักกับวิเรโอนับครั้งไม่ถ้วน


“ฉันจะทำให้มันเป็นไปได้ เธอไม่ต้องกังวลไป ฉันจะทำทุกทาง เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันที่นี่” วิษธรกอดวิเรโอเอาไว้จนแน่น โดยที่วิเรโอนั้นได้แต่พยายามหักห้ามความรู้สึกเอาไว้ “สิ้นบุญคุณแม่ไปแล้ว ความเป็นไทยครึ่งหนึ่งของเรา ก็เหมือนจะมอดดับไปด้วย” วิเรโอรู้ดีว่า เมื่อคุณพ่อของเขาที่เป็นชาวต่างชาติเต็มตัว ที่ทำธุรกิจที่เมืองไทย แล้วมีปัญหากระทบกระทั่งกับกิจการอื่นมาโดยตลอด ที่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เพราะใบบุญของคุณแม่ของเขาเท่านั้น


“อย่าได้ต้องเดือดร้อนตามไปพร้อมกันเสียทั้งหมดนี่เลย” น้ำตาของวิเรโอไหลลงมาจากทั้งสองหน่วยตา “คุณยังมีหน้าที่การงานที่ต้องเติบโตไปภายภาคหน้า” วิเรโอไม่คิดว่า การอยู่ที่นี่ต่อไปของเขาจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อต้องมีวิษธรออกหน้า แล้วตกเป็นเป้าในแสงสว่างให้ต้องถูกหมายหัว มันไม่เป็นการยุติธรรมอันใดกับวิษธรเลยทั้งสิ้น เมื่ออาชีพหน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งเรืองและไปได้ดีกว่าใครในรุ่นเดียวกัน การกระทบกระทั่งกันของคนไทยกับต่างชาติ ความขัดแย้งลุกลามไปจนถึงการออกตัวขับไล่ ทำให้การตัดสินใจจากไป มันคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ที่สมควรจะทำได้แล้ว


“เราอาจจะต้องคอยและอดใจเอาไว้” วิเรโอเดินขึ้นไปด้านบนของเรือเดินสมุทรลำใหญ่ลำนั้น จำได้ถึงสิ่งที่ได้บอกกับวิษธรเอาไว้เมื่อคืน ที่เป็นคืนสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน “เผื่อว่าวันใด อาจจะไม่ใช่ในชาตินี้ อาจจะเป็นภพหน้าอย่างที่คนไทยเชื่อกัน ว่าวันนั้น เมื่อโกลเด้นแลนด์ ดินแดนแห่งสุวรรณภูมิส่องแสงทองมาถึง” วิษธรมองตามวิเรโอที่ไปหยุดยืนอยูี่ที่ด้านข้างเรือ แล้วมองลงมาหาเขา


วิษธรรู้สึกว่าเขากำลังใจจะขาด เหมือนดวงใจของเขาทั้งดวง ถูกริบเอาไป จนไม่เหลือหนทางให้ชีวิตต่อจากนี้ไป จะมีความสุขจากสิ่งใดได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเสียงหวูดเรือดังสนั่นเข้าไปในความรู้สึก ภาพของเรือเดินสมุทรที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากฝั่ง ภาพของวิเรโอที่โบกมือให้เขา มันคือภาพสุดท้าย ที่วิษธรจดจำมันเอาไว้ กับหัวใจของเขาที่มันแตกสลายลงไปกับตา


วาตะสูดหายใจเข้ายาว ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาต้องรีบหายใจเข้าอีกหลายครั้ง เหมือนจะคว้าอาการเข้าไปทดแทนกับความรู้สึกที่ทำให้เขาเกือบขาดใจลงไปตรงนั้น วาตะลุกขึ้นจากเตียงนอน คว้าเอาขวดน้ำดื่มมาเทน้ำใส่แก้ว ก่อนจะกระดกดื่มมันลงไปถึงสองแก้วติด และนั่นถึงทำให้วาตะผ่อนคลายความรู้สึกที่เหมือนกับยังคงติดค้างอยู่ในใจ มันมีผลมาจากคนที่เขาเห็นในความฝัน และมันเหมือนจริง วาตะรู้ดีว่า เขารู็สึกกับมันจริง ๆ ทั้งความเศร้าโศก ทั้งความมัวหมอง รวมไปถึงความอาลัยอาวรณ์ถึงคนที่วิเรโอทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง คนที่ชื่อวิษธร คนนั้น


วาตะทำได้แค่เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ห้ามอารมณ์ตัวเอง มันเหมือนกับเป็นทั้งการปลดปล่อยของตัววาตะเอง ให้ความรู้สึกนี้ลดทอนลงไปจากใจ รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้วิเรโอ ได้ชดเชยกับความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานที่ตัวเองได้พบเจอ ให้วิษธรรับรู้ด้วยว่า การจากไปนั้น มันได้สร้างรอยแผลในความรู้สึกของหัวใจที่ชอกช้ำและระทมทุกข์ ให้กับวิเรโอมากแค่ไหน


อุรเคนทร์จอดรถจักรยานยนต์คันใหญ่ของเขาที่ตรงหน้าบ้าน ชายหนุ่มถอดหมวดกันน็อคแบบเต็มใบออก เมื่อรู้ดีว่า ตอนนี้ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นภายในหัวใจของเขา คงเป็นไปแบบที่พ่อปู่ได้บอกกับเขาเอาไว้ ว่าเขาจะได้พบกับประสบการณ์เช่นนี้ ข้อสองนั้นคือ ถูกกีดกันด้วยถิ่นกำเนิดและถิ่นพำนัก น้ำตาที่อยู่ ๆ ก็ไหลอาบหน้าอุรเคนทร์อยู่ในตอนนี้ หยดน้ำตาอุ่นใส ที่ร่วงรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ความรู้สึกเศร้าเสียใจ หม่นหมอง ที่อุรเคนทร์ได้รับรู้ ต้องเป็นสิ่งที่คนในฝันของเขากำลังรู้สึกอยู่อย่างแน่แท้


วาตะเดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียงห้อง แหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า พระจันทร์กำลังจะใกล้วันเพ็ญส่องแสงสุกสกาว ความคิดคำนึงถึงใครบางคน ที่ต่างเฝ้ารอกันมานานแสนนาน ทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ แม้ไม่รู้ว่าความเป็นจริงมันจะเป็นไปเช่นไร อุรเคนทร์มองไปที่ดวงจันทร์ที่กำลังจะส่องสุกสกาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คนที่เขาต้องการจะเจอเป็นที่สุด คนที่ได้ฝากสัญญาและความรักต่อกันเอาไว้ คนที่อยู่ในหัวใจของเขาตลอดมา ไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหน คนนั้น

**************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ลั่นทม - COCKTAIL

https://www.youtube.com/watch?v=hr4SdgDFcRQ


เพราะกลิ่นหอมจางจางที่ลอยตามลมมา

Because of fading fragrance that’s being brought in the wind

หวนให้ใจคำนึงนึกถึงคราเราต้องไกล

That causes the heart to reminisce the day we departed

กลิ่นสุคนธ์ปนหวานใยทำให้ใจต้องขืนข่ม

The sweet essence of smell yet causes bitterness of all

ทุกข์ระทมตรอมตรมทำให้ใจหวั่นไหว

That suffers and also saddens the heart that is already crumbled


หากการพบรักจะต้องเคียงคู่ข้างเคียงกับการร่ำลา

If finding love is the reason to lose the loved one through goodbye

จะสุขสมหวังได้นานเพียงใดก็แล้วแต่โชคชะตา

Then how long being fulfilled to be is up to what has already been destined

ฟ้าให้เวลามาเท่าไหร่

How long will it be that is given by heaven?

และมันจะยาวนานเท่าใด

And how long will it last?


กลิ่นดอกไม้ลั่นทมเจ้าหอมรื่นรมย์

Flowers of Frangipani, they scent so pleasantly

เคยชื่นเคยชมดอมดมให้ชื่นใจ

Used to nourish and hold up that pleases mind

มาบัดนี้ตัวเจ้าร่วงโรยไม่โชยกลิ่นหอม

Until now, they are falling apart with no perfume left

กลีบขาวมัวหมองตรมตรอมเหี่ยวโรยร่วงไป

The white leaves are tarnished and damaged, then gone


จากเคยงามกลายเป็นความทรามที่ไม่จีรังหรือไร

From what people say beautiful to something wicked not permanent

และความรักของฉันต้องเป็นดังเช่นเจ้าลั่นทมไหม

If so, my love is going to be like Frangipani or not?

หากขัดขืนไม่ให้เวลาพัดพาสิ่งแปรผันไป

Or I can obstruct and never let time takes causes things to change

ฉันจะทำได้นานเท่าไหร่

How long will I be able to pull it off?

ถ้าฉันต้องการแค่ตลอดไป

If the word I need is just forever


เพราะรักของฉันจะนานกว่านั้น

Because my love is longer than that

นานชั่วกัลป์กัปนานนิรันดร์

Everlasting and eternal that’s what it is

จะไม่มีสิ่งไหนลบเลือนให้หายสิ้นกัน

Nothing can erase or eradicate it

ดอกไม้ใดจะหอมนานเกินกว่านั้นไม่มี

No other flowers give scents better that that


เพราะรักของฉันคงอยู่เสมอ

Because my love is to be there always

อยู่เพื่อเธอและเป็นของเธอ

It is just for you, and it belongs to you

กลิ่นหอมของความรักฉันจะติดตามพบเจอ

Fragrance of my love is following to find

ตามพบเธอไม่มีโรยรา ไม่มีวันจาง

I’ll find you, and you’ll be forever young and shiny


หากขัดขืนไม่ให้เวลาพัดพาสิ่งแปรผันไป

Or I can obstruct and never let time takes causes things to change

ฉันจะทำได้นานเท่าไหร่

How long will I be able to pull it off?


เพราะรักของฉันจะนานกว่านั้น

Because my love is longer than that

นานชั่วกัลป์กัปนานนิรันดร์

Everlasting and eternal that’s what it is

จะไม่มีสิ่งไหนลบเลือนให้หายสิ้นกัน

Nothing can erase or eradicate it

ดอกไม้ใดจะหอมนานเกินกว่านั้นไม่มี

No other flowers give scents better that that


เพราะรักของฉันคงอยู่เสมอ

Because my love is to be there always

อยู่เพื่อเธอและเป็นของเธอ

It is just for you, and it belongs to you

กลิ่นหอมของความรักฉันจะติดตามพบเจอ

Fragrance of my love is following to find

ตามพบเธอไม่มีโรยรา ไม่มีวันจาง

I’ll find you, and you’ll be forever young and shiny


กลิ่นดอกไม้ลั่นทมเจ้าหอมรื่นรมย์

Scent of Frangipanis, they smell all nice

เคยชื่นเคยชมดอมดมให้ชื่นใจ

Used to feel them that refreshed all memories
33
แบบห้องน้ำสไตล์มินิมอล (Minimal Style) เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิด "น้อยแต่มาก (Less is More)" ที่เน้นความเรียบง่าย สะอาดตา ความโปร่งโล่ง และฟังก์ชันการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ห้องน้ำกลายเป็นพื้นที่แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง

1. คุมโทนสีให้ "สะอาดตา" ด้วยสีหลักไม่เกิน 3 สี
หัวใจของมินิมอลคือสีที่เรียบง่ายและเป็นกลาง เพื่อสร้างความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
สีหลัก: เน้นใช้สีโทนสว่างเป็นหลัก เช่น สีขาว (เป็นสีที่ทำให้ห้องน้ำดูกว้างที่สุด), สีครีม หรือ สีเทาอ่อน
สีรอง/สีตัด: สามารถใช้ สีดำ หรือ สีน้ำตาลอ่อน (ลายไม้ธรรมชาติ) เป็นสีตัดในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ก๊อกน้ำสีดำ, ขอบกระจก, หรือเฟอร์นิเจอร์ลายไม้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและไม่ทำให้ห้องดูจืดชืดจนเกินไป
เคล็ดลับสไตล์มูจิ (Muji Style): หากต้องการให้ห้องน้ำมินิมอลดูอบอุ่นสไตล์มูจิ ให้เพิ่มวัสดุ ลายไม้โทนอ่อน เข้าไป เช่น เคาน์เตอร์ไม้ หรือกล่องเก็บของไม้



2. เลือก "สุขภัณฑ์" รูปทรงเรียบง่ายและเป็นเรขาคณิต
สุขภัณฑ์ คือจุดศูนย์กลางของห้องน้ำ การเลือกดีไซน์จึงต้องสอดคล้องกับสไตล์มินิมอล
โถสุขภัณฑ์ (Toilet): ควรเลือกแบบ ชิ้นเดียว (One-Piece) ที่มีรูปทรงโค้งมนหรือเหลี่ยมที่เรียบง่าย เพราะไม่มีรอยต่อ ทำให้ทำความสะอาดง่ายและดูคลีน หรือเลือกแบบ แขวนผนัง (Wall-Hung) เพื่อซ่อนถังพักน้ำและเผยให้เห็นพื้นที่พื้นห้องน้ำ ทำให้ห้องดูกว้างและโปร่งขึ้น
อ่างล้างหน้า (Wash Basin): เลือกอ่างแบบ แขวนผนัง หรือ อ่างวางบนเคาน์เตอร์ ที่มีรูปทรงวงกลมหรือสี่เหลี่ยมที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงอ่างที่มีลวดลายเยอะ

3. สร้างภาพลวงตาด้วย "กระจก" และ "แสงสว่าง"
เนื่องจากห้องน้ำสไตล์มินิมอลส่วนใหญ่มักมีพื้นที่จำกัด เทคนิคนี้จึงสำคัญมากในการทำให้ห้องดูกว้างขึ้น
กระจกเงาบานใหญ่: ติดตั้งกระจกเงาแบบไร้ขอบ หรือขอบเรียบง่าย เต็มผนัง บริเวณอ่างล้างหน้า เพื่อสะท้อนพื้นที่ ทำให้ห้องน้ำดูกว้างขึ้นทันตาเห็น
แสง Warm White: ใช้แสงไฟสีขาวนวล หรือ Warm White ในการให้แสงสว่าง เพื่อสร้างบรรยากาศที่นุ่มนวลและผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงแสงสีฉูดฉาด และควรมีแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาในห้องให้มากที่สุด

4. จัดเก็บของใช้แบบ "ซ่อน" และใช้ "ชั้นลอย"
หัวใจสำคัญที่สุดของมินิมอลคือ ความโล่งบนเคาน์เตอร์ ของใช้ทั้งหมดจะต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ
เน้นตู้บิลท์อิน (Built-in) แบบซ่อน: ติดตั้งตู้เก็บของแบบซ่อนในผนัง หรือใช้ตู้เคาน์เตอร์ที่มีหน้าบานปิดเรียบ ไม่มีมือจับ เพื่อเก็บอุปกรณ์และของใช้ส่วนตัวทั้งหมด
ชั้นวางของแบบลอยตัว: หากจำเป็นต้องวางของ ให้เลือกใช้ชั้นวางของแบบ ลอยตัว (Floating Shelf) ที่ทำจากไม้หรือวัสดุสีเดียวกับผนัง เพื่อใช้พื้นที่ในแนวตั้งและไม่เกะกะสายตา

การออกแบบ แบบห้องน้ำสไตล์มินิมอล คือการเน้นไปที่การใช้งานที่จำเป็น เลือกใช้วัสดุที่ทนทาน และจัดระเบียบของใช้ให้เป็นที่เป็นทางก็จะได้ห้องน้ำที่สวยงาม สงบ และเป็นพื้นที่ที่คุณสามารถใช้เวลาพักผ่อนได้อย่างมีความสุขในทุกวัน

34
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 14-10-2025 11:24:30  »
"My dear. the problem is that you love him so much
that you would allow him to drag you all the way to Hell
if it meant you could hold his hand on the way down"


----------


#Please, dance with me in the dark #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
35

อยากเปิดคลินิกทันตกรรมเป็นของตัวเอง อย่าลืมวางแผนวิธีการจัดทำ บัญชีคลินิกทันตกรรม ให้ดีก่อนเปิดกิจการ ซึ่งวันนี้ นรินทร์ทอง ได้นำวิธีการวางแผนทำบัญชีคลินิกทันตกรรม มาแชร์ให้ทุกคนในบทความนี้!
อยากเปิดคลินิกทันตกรรม หาที่ปรึกษาด้าน บัญชี แนะนำ นรินทร์ทองคลิกอ่านที่นี่

การวางแผนทำ บัญชีคลินิกทันตกรรม


1. กำหนดผังบัญชี (Chart of Accounts) - ด้วยการจัดหมวดหมู่รายรับ-รายจ่ายให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการบันทึกและตรวจสอบ ซึ่งผังบัญชีที่ควรมีสำหรับคลินิกทันตกรรม ได้แก่
    ต้นทุนสินค้าและบริการ (Cost of Goods Sold - COGS)
    ค่าใช้จ่าย (Expenses)
    รายได้ (Revenue)
2.  บันทึกรายรับ-รายจ่าย อย่างสม่ำเสมอ  - คือการบันทึกข้อมูลอย่างครบถ้วนและสม่ำเสมอ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
    บันทึกรายรับ
    บันทึกรายจ่าย
    การจัดการสต็อก
3. จัดทำรายงานทางการเงิน  - เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจ
    งบกำไรขาดทุน (Income Statement)
    งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)
4. การจัดการภาษี  - คลินิกทันตกรรมต้องมีการจัดการภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    ภาษีเงินได้
    ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ทำความเข้าใจรายละเอียด การวางแผนทำ บัญชีคลินิกทันตกรรมเพิ่มเติมคลิก

โครงสร้างธุรกิจบัญชีคลินิกทันตกรรม


1. ต้นทุนของบัญชีคลินิกทันตกรรม - คือ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการให้บริการรักษาแต่ละเคส ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผันแปรตามจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ ตัวอย่างเช่น
    ค่าวัสดุและอุปกรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโดยตรง

    ค่าใช้จ่ายทางห้องปฏิบัติการ (Dental Lab)

    ค่าคอมมิชชั่นทันตแพทย์
2. ค่าใช้จ่ายบัญชีคลินิกทันตกรรม - คือค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการรักษา แต่จำเป็นต่อการเปิดให้บริการ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
    ค่าใช้จ่ายคงที่
    ค่าใช้จ่ายผันแปร


3. รายได้ของบัญชีคลินิกทันตกรรม - มาจากการให้บริการและขายสินค้า ซึ่งควรมีการแยกประเภทรายได้ให้ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์
    รายได้ค่ารักษาทางทันตกรรม
    รายได้จากการขายสินค้า
    รายได้อื่นๆ

การเก็บเอกสาร
1.  หมวด “ข้อมูลกิจการ” ซึ่งประกอบไปด้วย
    หนังสือรับรองการจดทะเบียน และเอกสารการจดทะเบียนบริษัท
    งบการเงินของปีก่อน
    ภ.ง.ด.50 / ภ.ง.ด.51 ของปีก่อน
    ภ.พ.01 , ภ.พ.09 , ภ.พ.20
    สัญญาต่างๆ

2. หมวด “เอกสารขาย” ซึ่งประกอบไปด้วย
    ใบสำคัญรับเงิน Receipt Voucher
    สำเนาใบเสร็จรับเงิน
    สำเนาใบแจ้งหนี้ / ใบส่งของ / ใบกำกับภาษีขาย
    สำเนาใบลดหนี้ขาย กรณีราคาผิด คืนสินค้า
    หลักฐานการรับชำระเงิน สำเนาเช็ครับ สลิปการโอน
    ธุรกิจบริการ สำเนาหนังสือหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
    อื่นๆ เช่น ใบสั่งซื้อ (ถ้ามี)
3. หมวด “เอกสารซื้อ” ซึ่งประกอบไปด้วย
    ใบสำคัญจ่าย ต้องมีลายเซ็นผู้รับเงิน
    ใบแจ้งหนี้ / ใบส่งของ / สำเนาใบกำกับภาษี
    ต้นฉบับใบเสร็จรับเงิน
    หลักฐานการจ่ายเงิน สลิปโอนเงิน สำเนาเช็ค
    หนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50ทวิ)
    สำเนาบัตรประชาชน (กรณีจ้างบุคคล)
    ใบรับเงินหรือใบแทนใบเสร็จรับเงิน (กรณีผู้ขายไม่ออกใบเสร็จรับเงิน)
    อื่นๆ เช่น ใบสั่งซื้อ หนังสือจัดจ้าง (ถ้ามี)
4. หมวด “ภาษีขาย” ซึ่งประกอบไปด้วย
    สำเนาใบกำกับภาษีขาย
    รายงานภาษีขาย
5. หมวด “ภาษีซื้อ” ซึ่งประกอบด้วย


    ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ

    รายงานภาษีซื้อ
6. หมวด “ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย” เมื่อมีผู้เข้ารับบริการในคลินิกโดยใช้สิทธิ์ประกันสังคม ทางคลินิกจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ประกันสังคมจะจ่ายค่าบริการให้แก่คลินิก พร้อมให้ต้นฉบับกับสำเนาหนังสือภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ซึ่งประกอบไปด้วย
    ต้นฉบับเก็บแฟ้มภาษีหัก ณ ที่จ่าย
    สำเนาชุดใบสำคัญรับชำระหนี้
7. หมวด “งานภาษี (Tax File)” ซึ่งประกอบไปด้วย
    ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เช่น ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.3 ภ.ง.ด.53
    สำหรับคลินิกทันตกรรมที่จดทะเบียน VAT ต้องเก็บ ภ.พ.30
    รายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขาย ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 ของปีปัจจุบัน
    ประกันสังคมและกองทุนทดแทนต่างๆ
8. หมวด “เงินเดือนและประกันสังคม” ซึ่งประกอบไปด้วย
    แบบยื่นภาษี ภ.ง.ด.1
    แบบนำส่งเงินสมทบประกันสังคม (สปส.1-10)
    ตารางสรุปการจ่ายเงินเดือน


9. หมวด “ทะเบียนสินทรัพย์” สินทรัพย์จะต้องมีอายุการใช้งานเกิน 1 ปี และมีมูลค่าขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป หรือตามนโยบายของคลินิก ซึ่งประกอบไปด้วย
    เอกสารการซื้อ ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี
    ทะเบียนทรัพย์สิน

อ่านตัวอย่างเคส การบันทึกบัญชีคลินิกทันตกรรมเพิ่มเติมคลิก


จัดทำ บัญชีคลินิกทันตกรรม อย่างมืออาชีพ ป้องกันปัญหาภาษีในอนาคต เลือก นรินทร์ทอง!


อันที่จริงแล้วการจัดทำ บัญชีคลินิกทันตกรรม ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด หากคุณเริ่มต้นจากการวางแผนและบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คุณบริหารคลินิกได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพในระยะยาว ขอแนะนำ นรินทร์ทอง เป็นที่ปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
    การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
    รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
    งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
    ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.acอย่าแสดงเมลบนบอร์ด
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339


36
Boy's love story / Re: ทีเซอร์ ๒๔. Binary Eclipse ทวิคราส (๑๑) 12-10-2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 12-10-2025 19:11:00  »


“มีธุระอะไรหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนเปิดประตูบ้านออกมา ถามเด็กหนุ่มที่มายืนอยู่หน้าบ้าน “มาหาใคร” เสียงถามนั้น ฟังดูแล้วพอจะจับความรู้สึกได้ว่า เสียงเคาะประตูนั้น ได้ดังขึ้นขัดจังหวะ และทำให้ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านั้น รู้สึกหงุดหงิดอยู่พอสมควร ยิ่งพอเปิดประตูออกมาดู กลับเจอกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ตัวเองไม่รู้จักด้วยแล้ว


“นิวอยู่บ้านมั้ยครับ” น้ำเสียงนั้นใส ฟังดูซื่อและบริสุทธิ์ บวกกับท่าทางที่ดูเคอะเขิน ดูเก้กัง เหมือนไม่แน่ใจว่า ที่ตัวเองนั้นเคาะประตูไปแล้วนั้น จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ทำให้ชายวัยกลางคน ดูคลายอารมณ์ขุ่นมัวลงไปได้กว่าครึ่ง “ข้าวตังเป็นเพื่อนนิว วันนี้นิวขอให้ข้าวตังมาช่วยติวหนังสือให้” ชายวัยกลางคนฟังที่เด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกชาย พูดให้ฟัง


“คุณพ่อ” ข้าวตังยิ้มกว้าง ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าดู ที่ปกตินั้น ข้าวตังก็เป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักน่ามองอยู่แล้ว “ยุ่ง อยู่หรือเปล่าครับ” ข้าวตังเลิกคิ้วขึ้น ถามออกไป เมื่อได้ยินเสียงที่ดังเบา ๆ ออกมาจากลำโพง แว่วมาให้ได้ยินจากภายในบ้าน แต่จับใจความไม่ได้ว่า มันเป็นเสียงเพลงหรือว่าเสียงจากภาพยนตร์กันแน่ “พ่อกำลังดูหนังอยู่น่ะ เดี๋ยวแป๊บนึงนะ” ข้าวตังมองลอดผ่านช่องประตูที่ถูกแง้มค้างเอาไว้ เมื่อพ่อของนิวเดินเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนที่เสียงจากลำโพงนั้น จะเงียบลงไป


“ข้าวตังใช่มั้ย” พ่อของนิวถาม เมื่อเดินกลับมาที่ประตูบ้านอีกครั้ง ข้าวตังพยักหน้ารับน้อย ๆ ดูเขินอายกว่าเมื่อสักครู่นี้เสียอีก “เข้ามารอนิวก่อนมั้ย นิวออกไปข้างนอกกับแม่เขา” พ่อของนิวผลักประตูให้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ก่อนจะคะยั้นคะยอเพื่อนของลูกชายให้เข้ามานั่งรอภายในบ้าน ข้าวตังทำท่าลังเล แต่ก็เดินเข้ามาข้างในตามที่พ่อของเพื่อนเชื้อเชิญในที่สุด


“พ่อยังไม่ได้เก็บกวาดบ้านเลย ไม่คิดว่าจะมีแขกมาหา” ข้าวตังมองตามพ่อของนิว ที่คว้าเสื้อและกางเกงขายาวที่พาดอยู่บนพนักพิงโซฟา ก่อนจะโยนไปที่กองผ้าด้านหลัง “ไม่ว่ากันนะ” พ่อของนิวยิ้มพลางชี้ให้ข้าวตังเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ตามสบาย “ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน” พ่อของนิวพูด ดูไม่ได้เคอะเขินที่ตัวเองนั้นอยู่ในเสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์เพียงเท่านั้น


“คุณพ่อตามสบายเลยครับ บ้านของคุณพ่อเอง ไม่ต้องเกรงใจข้าวตัง เพราะข้าวตังเข้าใจ” พ่อของนิวมองมาที่ข้าวตังนิ่ง ๆ เมื่อสายตาของชายวัยกลางคนนั้น มองตามสิ่งที่ข้าวตังกำลังจ้องอยู่ กับคอมพิวเตอร์แลปท็อป ที่ถูกงับปิดลงเพียงครึ่ง ไม่ได้ปิดสนิท หน้าจอยังคงแสดงบางส่วนของภาพ ว่ามันเป็นวิดีโอเกี่ยวกับอะไร ข้าวตังละสายตาจากแลปท็อป ก่อนจะหันกลับมาทางพ่อของนิว ที่จ้องเขม็งมาที่ข้าวตัง


“ข้าวตังเอง พออายุเข้าถึงปีนี้ ปีที่สิบแปด ข้าวตังเองก็อยากที่จะเอ็กส์ปลอร์ อะไรต่าง ๆ ที่ข้าวตังก็มีความใคร่” ข้าวตังพูด มองจ้องตาพ่อของนิวกลับไป “อยากรู้เหมือนกัน” ข้าวตังมองเห็นพ่อของนิวกัดกรามขนขึ้นเป็นสันนูน เหมือนกับว่า ความรู้สึกที่มีกำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน “แต่คงจะต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ที่มีประสบการณ์มากกว่า” ข้าวตังลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยปากขออนุญาตเจ้าของบ้านว่า


“ข้าวตังขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ยครับ” เจ้าตัวถามออกไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่รอให้เจ้าของบ้านเอ่ยปากอนุญาต ข้าวตังเดินตรงไปที่ห้องน้ำชั้นล่างของบ้าน เปิดประตูเข้าไป แต่ก็ปล่อยให้ประตูห้องนั้นมันอ้าค้างเอาไว้แบบนั้น แสงไฟจากหลอดนีออนที่ติดอยู่เหนือกระจก ส่องให้เห็นว่า ข้าวตังที่ยืนอยู่ที่หน้ากระจก มองเงาที่สะท้อนอยู่กลับไปที่พ่อของนิว ที่ตอนนี้ใช้มือหันเอาหน้าจอแลปท็อป ที่กำลังเล่นหนังเรตอย่างว่างอยู่เต็มจอ


“ผมพูดได้แค่ว่า เท่าที่ผ่านมา มีแต่ข้าวตังที่โดนคนรอบข้างทำร้าย ทั้งเอาเปรียบ ทั้งเล่นแง่ ทั้งเหยียดหยามความเป็นคน ยิ่งถ้าถามว่าถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวนั้น เกินเลยไปมากไหม ผมบอกผู้กองได้เลยว่า ข้าวตังผ่านเรื่องแย่ ๆ เรื่องราวเลวร้ายอย่างมหันต์พวกนั้นมาได้ ถือว่าข้าวตังจิตใจเข้มแข็งมากเลยทีเดียว” เพราะการที่ปอนด์เห็นอะไรบางอย่างในแววตาของผู้กองปริม ที่ดูเคลือบแคลงสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน ยิ่งทำให้ปอนด์รู้สึกว่า เรื่องนี้เขาจะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว


“ปอนด์คิดว่า” ผู้กองสาวที่เห็นท่าทีของปอนด์นั้นชัดเจนมาก ที่พยายามจะออกตัว แก้ตัว หรือปกป้องข้าวตัง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แง่มุมไหน “มีเหตุผลอะไร ที่ทำให้ข้าวตังไม่อยากที่จะแจ้งความเอาผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพราะพี่ดู ๆ ไปแล้ว ก็เห็นว่า ปอนด์พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อที่ข้าวตังเอง จะได้รับความยุติธรรม ท่านสส.เกียรติเองก็ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมจะให้การช่วยเหลือ แถมพี่เห็นว่าปอนด์ก็อนุญาตให้นักข่าวไปทำสกู๊ปความเท่าเทียมทางเพศถึงที่บ้าน” ปอนด์นั้นอยู่ ๆ ก็เงียบเสียงลงไป “เรื่องส่วนตัวบางครั้ง ก็ตัดสินใจให้มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา” ก่อนจะตัดบท ให้ผู้กองปริมถามคำถามอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก


“เด็กแรด ๆ ร่านผู้ชายอย่างแก มันต้องโดนแบบนี้” ภายในหน้าจอมือถือที่ข้าวตังยกขึ้นถ่ายพ่อของนิวเอาไว้ คือชายวัยกลางคนที่เป็นพ่อของเพื่อน กำลังกระหน่ำสะโพกเด้งเข้าเด้งออกมาที่บั้นท้ายของข้าวตัง ที่กำลังนอนหงาย กางอ้าขาขนเกือบที่จะทำมุมหนึ่งร้อยแปดสิบองศา โดยที่ข้อเท้าทั้งสองของข้าวตัง ถูกมือทั้งสองข้างของพ่อนิวจับเอาไว้จนแน่น ใบหน้าที่เหยเกจากการเสพความหฤหรรษ์บนเรือนร่างของเด็กหนุ่ม


“ของเด็ดแบบนี้ ทำไมเพิ่งมาหากันวะ อีเด็กเหี้ย” ยิ่งเสียงครวญครางกระเส่าดังออกมาจากข้าวตังมากเท่าไหร่ คำพูดหยาบคายที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางจะคาดคิด ว่าจะได้ยินออกมาจากปากพ่อของนิว มันกลับกลายเป็นว่า ไม่รู้เลย ว่าพ่อของนิวไปสรรหาขุดเอาคำพูดเหล่านี้มาจากไหน ที่มันพรั่งพรูออกมาให้ได้ยิน เพื่อสนองอารมณ์ทางเพศที่กำลังโหมกระหน่ำความรู้สึกอยู่ในตอนนี้


“จะแตกแล้ว ใกล้แล้ว กูแตกใส่ข้างในมึงนะ แตกแล้ว ไม่ไหวแล้ว โอ๊ย อีเหี้ย” ข้าวตังกดปิดการถ่ายคลิปเอาไว้ตรงนั้น เมื่อพ่อของนิวฟุบหน้าลงมาที่หน้าอกของข้าวตัง ชายวัยกลางคนหอบตัวโยน หายใจเข้าออกแรงอย่างคนที่เกือบจะขาดอากาศหายใจ ก่อนที่พ่อของนิวจะรวบรวมแรง ดึงตัวเองออกจากช่องทางของข้าวตัง ความเปียกลื่นของของเหลว ทำให้เมื่อท่อนเอ็นที่ตอนนี้อ่อนยวบลง เมื่อดึงออกมามีเสียงดังผลั้วะ
 

“ไว้คราวหน้า มาหาพ่อ ให้มาเล่นสนุกกันอีกนะ” ชายวัยกลางคน เดินไปที่กองผ้า เพื่อจะหยิบเอาบ็อกเซอร์ตัวที่ถอดโยนไปนั้น ขึ้นมาใส่ “ได้สิครับแด๊ดดี้” พ่อของนิวแอบยิ้มเมื่อได้ยินข้าวตังพูดเรียกมาแบบนั้น “แต่มันอาจจะมีทั้งทนาย และทั้งตำรวจมาด้วยนะครับ” รอยยิ้มนั้นจางหายไปจากใบหน้าของพ่อนิวในทันที “ว่ายังไงนะ หนูว่ายังไงนะ” พ่อของนิวรีบถามกลับไป เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ มันคือการสมยอมของกันและกัน


“เริ่มจากการที่แด๊ดดี้เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ายังไง ๆ นิวก็ยังไม่ได้กลับบ้านในวันนี้ เพราะนิวกับคุณแม่เดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน” ข้าวตังพูด หัวเราะออกมาเบา ๆ มือก็ดึงกางเกงขึ้นสวมรูดซิป ก่อนจะตามด้วยการสวมเสื้อ “แด๊ดดี้ก็ยังจะดึงดันให้ข้าวตังเข้ามาในบ้าน จงใจเปิดเสียงหนังเอ็กซ์ให้ได้ยิน เพราะว่าแด๊ดดี้ยังช่วยตัวเองยังไม่เสร็จ” ข้าวตังขยับมือขึ้นลง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบใจ


“อะไรของมึงเนี่ย” พ่อของนิวเริ่มลนลาน เพราะลักษณะท่าทางของข้าวตัง อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคนกับที่เห็นเมื่อตอนแรก “ข้าวตังเรียนเร็วกว่าเพื่อน ๆ ที่โตด้วยกันมา แด๊ดดี้” ข้าวตังเดินตรงเข้ามาหาพ่อของนิว “แด๊ดดี้ฟังข้าวตังนะ ข้าวตังยังอายุไม่ถึงสิบแปดเลย แด๊ดดี้ของนิว แหย่ขาเข้าไปรอในคุกแล้วหนึ่งข้าง ไม่ว่าข้าวตังจะสมยอมให้แด๊ดดี้เอาหรือไม่ก็ตามนะ” เสียงหัวเราะของข้าวตัง ฟังเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าข้าวตังกำลังสนุกอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า


“แด๊ดดี้ ถ้าแด๊ดดี้จะโทษ ก็คงจะต้องโทษลูกชายของแด๊ดดี้เอง ที่นิวมันคงหาทางออกไม่ได้จริง ๆ เลยเอาเรื่องที่พ่อของมัน แรก ๆ ก็แค่ซื้อหนังสือโป๊มาอ่าน ต่อมาก็นั่งดูคลิปผู้ชายเอากัน จนนาน ๆ เข้า ก็ออกไปหาเศษหาเลย นัดผู้ชาย โดยเฉพาะเด็กผู้ชายอายุหมิ่นเหม่กฎหมาย เรียกแบบเสียเงินบ้าง นัดมาจากแอพฟรีบ้าง ปี้กันมาแบบนี้เป็นปี ๆ ลับหลังแม่ของนิว ลับหลังเมียของตัวเอง” เสียงใบหน้าของข้าวตังโดนพ่อของนิวตบเข้าจนเต็มแรง แต่เจ้าของใบหน้าก็หันกลับมายิ้มให้ ไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น


“จะตบอีกข้างก็ได้นะครับแด๊ดดี้ คดีทำร้ายร่างกายก็จะได้เพิ่มขึ้นอีก เอาเลยมั้ย ตบเลยมั้ย” ข้าวตังยื่นหน้าอีกข้างให้ พ่อของนิวนั้นได้แต่ยืนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ที่เสียรู้เด็กเมื่อวานซืน ยืนตัวสั่นเทิ้มไปหมด ด้วยความรู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อย แต่ความเคียดแค้นที่รู้ตัวดีว่าตกเป็นรอง ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดให้มากยิ่งขึ้น ข้าวตังยืนยิ้มชอบใจ ที่เห็นพ่อของนิวผลักแลปท็อปเต็มแรง จนร่วงตกจากโต๊ะ จนแตกกระจาย


“ขั้นแรก แด๊ดดี้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สแกนคิวอาร์โค้ดให้น้องหน่อย” พ่อของนิวจำใจยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่องไปที่หน้าจอที่ข้างตังถืออยูู่ในมือ “ไม่ต่ำกว่าหกหลักนะแด๊ดดี้ ที่มันจะพอปิดปากข้าวตัง ไม่ให้ไปชิทแชทกับตำรวจเย็นนี้เลย” จากที่เก็บรายละเอียดมาจากนิว พ่อของนิวมีบัญชีที่แยกมา เพื่อเปย์เด็ก ๆ ที่เรียกมาเอนเตอร์เทนปรนเปรอความสุขทางเพศ ที่มันเป็นเงินที่เลี่ยงมาจากลูกค้าสีเทา ๆ ของกิจการ ที่ขอจ่ายเป็นเงินสดแทน


“ยังไงแด๊ดดี้เตรียมตัวให้พร้อมนะ เพราะข้าวตังกำลังต้องการเงินค่อนข้างเยอะ แด๊ดดี้ก็เติมเงินในบัญชีธนาคารนี้อย่าให้พร่องไป ยังไงแด๊ดดี้ได้โอนเงินให้ข้าวตังอีกแน่นอน แต่จะยึกยักหรือทำตุกติกกับข้าวตังก็ได้นะ มัมหมียังไม่รู้ใช่มั้ย เกี่ยวกับเรื่องบันเทิงของแด๊ดดี้ ที่คลิปที่เราเพิ่งถ่ายกัน มันอยู่บนคลาวด์ จะเอามือถือข้าวตังไปกระทืบทิ้ง เชิญ” ข้าวตังจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปที่ประตูหน้าบ้าน


“ก็ตามใจนะ ว่าจะเสียเงินไม่เท่าไหร่ให้ข้าวตัง กับเสียทุกอย่างไป ทั้งครอบครัว กิจการ รวมไปถึงความเป็นพ่อคน ที่ถ้าเรื่องที่เรามันกันในวันนี้หลุดไป โอกาสของแด๊ดดี้ที่จะกลับมามีทุกอย่างแบบตอนนี้ ก็คือศูนย์” ข้าวตังยิ้มให้กับพ่อของนิว ที่เมื่อวันก่อน เพิ่งมาบอกเลิกยุ่งเกี่ยวกับข้าวตัง ไม่ว่าจะทางกาย หรือทางใจ นิวเพิ่งมาบอกว่า ขอแยกทางกับข้าวตังในเรื่องการถ่ายคลิป การกระทำใด ๆ ทุกอย่าง เพราะรู้ตัวแล้วว่า นิวนั้นชอบผู้หญิง ต้องการมีครอบครัวสมบูรณ์อย่างปกติเหมือนคนอื่น ๆ ไม่ใช่ประเภทกำกวมอย่างข้าวตัง


พ่อของข้าวตังกำลังคิดย้อนไปว่า เหตุใดพ่อของนิวถึงได้ยอมจ่ายเงินถึงห้าแสนบาท ด้วยความง่ายดาย โดยไม่มีการต่อรองหรือแสดงอาการอิดออดเลยสักนิด มิหนำซ้ำ ยังดูแปลกประหลาด จนพ่อของข้าวตังยังถามย้ำกับตัวเองเลยว่า ใช่แน่ ที่ได้สังเกตเห็นว่า ข้าวตังนั้นดูมีอิทธิพลเหนือพ่อของนิวอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อของนิวดูหวาดกลัวกับข้าวตังโดยไร้สาเหตุ ซึ่งมันไม่ควรจะถึงขนาดนั้น แม้ว่าทางฝ่ายตัวเองจะเป็นฝ่ายผิดก็ตามเถอะ


กับวันแรก ที่ปอนด์ได้ย้ายเข้าไปอยู่เป็นคู่รูมเมทกับข้าวตังร่วมหอเดียวกัน ปอนด์จึงแพลนเอาไว้ว่า จะฉลองวันแรกที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ แบบครบสูตร ด้วยการพาเฉพาะข้าวตังไปกินข้าวเย็น ต่อด้วยดูหนังกันสักรอบ แล้วพอหนังเลิก ดึกสักหน่อยก็ค่อยขับรถดูไฟยามค่ำคืนกันให้ทั่วเมืองกรุง มันคงจะเป็นความประทับใจไม่น้อย ที่ปอนด์จะสามารถมอบให้กับข้าวตังได้ และมันจะทำให้ข้าวตังจดจำซีนนี้ไปอีกยาว ๆ แน่นอน


“ข้าวตังเลือกเลยว่าอยากดูเรื่องไหน แต่ตอนเลือกที่นั่ง เอาแบบเป็นเตียงนอนคู่นะ ไม่เอาแบบแยกกัน เดี๋ยวปอนด์คุยโทรศัพท์แป๊บนึง” ปอนด์บอกก่อนจะยัดเอาบัตรเครดิตแบบไม่จำกัดวงเงินใส่มือข้าวตัง แล้วก็เดินแยกไปคุยธุระ ข้าวตังมองไปที่ตู้ขายตั๋วหนังแบบอัตโนมัติ ก่อนจะเดินเข้าไป แต่ไม่ใช่ที่ตู้ขายตั๋วที่ยังว่าง กลับเป็นตู้ขายตั๋วที่มีนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่งยืนซื้อตั๋วอยู่


“แน่ใจนะว่าจะทำแบบนั้น” ข้าวตังพูดด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ นิวที่จำเสียงของอีกฝ่ายได้ในทันที หันขวับมามองด้วยความตกใจ เพราะคิดว่าจากวันนั้นที่พ่อของเขายอมเสียเงินครึ่งล้าน เพื่อให้จบคดีแล้วแยกย้ายทางใครทางมัน นิวก็ไม่คิดว่าจะกลับมาเจอกับข้าวตังอีก “เพื่อนที่มหาลัยหรือคะนิว” หญิงสาวที่ยืนอยู่กับนิวถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเธอเองก็รู้จักเพื่อนที่คณะของนิวทุกคน แต่ไม่เคยเห็นคนคนนี้เลยสักครั้ง


“เพื่อนเก่าแก่กันน่ะคุณ” ข้าวตังตอบ ยิ้มให้กับหญิงสาว แต่ก็ทำให้นักศึกษาหญิงคนนั้นรู้สึกแปลก ๆ เมื่อข้าวตังมองเธอหัวจรดเท้าอย่างจงใจให้รู้ตัว “ที่นั่งแพงสุดของโรงเหลือเป็นคู่สุดท้ายแล้ว จะซื้อตัดหน้าเราจริง ๆ หรือไงนิว” ข้าวตังถาม มองนิวที่หลบเลี่ยงไม่ยอมมองสบตากลับ “มีอะไรหรือเปล่าข้าวตัง” ปอนด์ที่เดินกลับมาหา หลังจากคุยธุระเสร็จถามขึ้น รู้สึกหงุดหงิดใจชอบกล ที่เห็นข้าวตังเริ่มบทสนทนากับไอ้หนุ่มตี๋หน้าตาสะอาดสะอ้านคนนี้ก่อน ปอนด์จึงรีบวางสายแล้วเดินมาหาในทันที
 

“เรานั่งที่นั่งปกติก็ได้เนอะ” นิวหันไปบอกกับเพื่อนผู้หญิงของเขา ที่พยักหน้าตอบตกลง เพราะไม่อยากให้นิวต้องจ่ายเงินเยอะเช่นกัน “ขอบคุณนะนิว ยังใจดีเหมือนเดิมเลย ไว้เดี๋ยววันหลัง เราเลี้ยงข้าวตอบแทนดีกว่า” นิวได้ยินแบบนั้น แต่ไม่ตอบอะไรกลับไป ข้าวตังหุบยิ้ม มองดูนิวรีบกดซื้อตั๋ว จ่ายเงิน ทำเหมือนไม่ได้ยินข้าวตัง ไม่อยากจะรับรู้ว่า ข้าวตังอยู่ตรงนั้นด้วย ส่วนปอนด์ก็บอกให้ข้าวตังมากดซื้อตั๋วที่เป็นเตียงนอน จ่ายเงินจนเรียบร้อย


นิวลังเลอยู่สักครู่ ทำท่าจะพาแฟนเดินไปจากตรงนั้น ก่อนจะหันมามองที่ปอนด์ที่ดูจะแสดงออกอย่างชัดเจน ว่าคิดกับข้าวตังเกินเพื่อน นิวกำลังจะเดินเข้าไปหาปอนด์ ก่อนจะเห็นแววตานิ่ง ๆ ของข้าวตังที่มองมา เป็นเชิงบอกกับนิวโดยตรงว่า ถ้ากล้าก็เชิญ นิวหันไปทางแฟนของเขา ที่เธอกำลังทำหน้าฉงนสงสัยไปกับท่าทางของแฟนหนุ่ม ที่เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน จนสุดท้ายนิวก็ตัดสินใจ จับมือแฟนสาวแล้วเดินเลี่ยงไปจากตรงนั้น

******************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ความรักกับความลับ - ทาทา ยัง

https://www.youtube.com/watch?v=oACBUNC0N7E


ความรักกับความลับ ทำไมต้องมาพร้อมกัน

A secret and love, why do they come in pair?

เรื่องราวของเธอกับฉัน ใครกำหนดไว้ให้เป็นอย่างนี้

Your story and mine, who plans it this way?

ความรักที่อยู่ในใจ มันเป็นของเธอ

The love that’s in my heart, it belongs to you

แต่พูดออกไป ไม่ได้สักที

But I really can’t say it out loud

อาจยิ้มให้เธอวันนี้ แต่รู้ไหมในจิตใจ

I may smile at you today, but do you know that my heart


อึดอัดที่ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ เรื่องราวที่มันเป็นไป

Feeling so awkward that it’s only me who knows what really is going on

อึดอัดที่ใครก็รู้ไม่ได้ แม้แต่เธอคนนี้

Feeling so uncomfortable that no one cannot know, even it is you

เก็บกอดความลับคนเดียวในใจของฉัน

Keeping this secret to myself hidden in my heart

ทุกวันต้องทำเหมือนไม่ได้มี อะไรที่ฉันรู้สึก

Each day I need to pretend that there’s nothing that I’m feeling

ทั้งที่ในใจส่วนลึกมันทรมาน

Even though, deep down in me is all fully suffering


ความรักกับคำนี้ ที่ใครบอกว่าสวยงาม

Love, this very word is something people say it’s beautiful

อีกคำนิยามคำนั้น ที่ฉันได้รู้ไม่เป็นอย่างใคร

But the other definition I’ve found is something totally unfamiliar

หากใช้มันผิดเวลา พูดโดยไม่รู้ ไม่ดูเรื่องราวที่เป็นไป

If it’s used at the wrong time, being told without context, not realizing what’s going on

มันอาจทำร้าย ทำลายในความสัมพันธ์

It then eventually ruins and destroys that said relationship


อึดอัดที่ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ เรื่องราวที่มันเป็นไป

Feeling so awkward that it’s only me who knows what really is going on

อึดอัดที่ใครก็รู้ไม่ได้ แม้แต่เธอคนนี้

Feeling so uncomfortable that no one cannot know, even it is you

เก็บกอดความลับคนเดียวในใจของฉัน

Keeping this secret to myself hidden in my heart

ทุกวันต้องทำเหมือนไม่ได้มี อะไรที่ฉันรู้สึก

Each day I need to pretend that there’s nothing that I’m feeling

ทั้งที่ในใจส่วนลึกมันทรมาน

Even though, deep down in me is all fully suffering


อึดอัดที่ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ เรื่องราวที่มันเป็นไป

Feeling so awkward that it’s only me who knows what really is going on

อึดอัดที่ใครก็รู้ไม่ได้ แม้แต่เธอคนนี้

Feeling so uncomfortable that no one cannot know, even it is you

เก็บกอดความลับคนเดียวในใจของฉัน

Keeping this secret to myself hidden in my heart

ทุกวันต้องทำเหมือนไม่ได้มี อะไรที่ฉันรู้สึก

Each day I need to pretend that there’s nothing that I’m feeling

ทั้งที่ในใจส่วนลึกมันทรมาน

Even though, deep down in me is all fully suffering
37
ระบบ กระดูกและข้อ คือโครงสร้างหลักที่ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เมื่อโครงสร้างนี้เริ่มมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอาการ ปวดข้อ ข้อฝืด หรือกระดูกเปราะบาง ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในทุกด้าน การทำความเข้าใจโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อที่พบบ่อย จะช่วยให้คุณสังเกตอาการได้เร็วและเริ่มต้นการดูแลรักษาได้ทันทท่วงที หมอกระดูกและข้อ

1.โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis - OA)
ถือเป็นปัญหาหลักด้านสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะ โรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเป็นตําแหน่งที่พบมากที่สุด
ความชุก: ปัจจุบันคาดว่ามีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมในประเทศไทย มากกว่า 6 ล้านคน และพบสูงถึง 34−50% ในกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ลักษณะเด่น: เป็นโรคที่เกิดจากการ สึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ ตามอายุและการใช้งาน ทำให้เกิดอาการปวด ข้อฝืด และมีเสียงดังในข้อ โดยอาการจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว
สาเหตุ: อายุที่มากขึ้น, น้ำหนักตัวเกิน, การใช้งานข้อหนักซ้ำ ๆ, การบาดเจ็บของข้อ
อาการ: ปวดเมื่อย หรือ ปวดตื้อ ๆ ที่ข้อ โดยเฉพาะ ข้อเข่า และ ข้อสะโพก ปวดมากเมื่อใช้งาน หรือลงน้ำหนัก และอาการดีขึ้นเมื่อพัก ข้อฝืดตึง หลังตื่นนอนหรือนั่งนาน ๆ (มักไม่นานเกิน 30 นาที) อาจมี เสียงกรอบแกรบ เมื่อขยับข้อ



2.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
เป็นภัยเงียบที่คุกคามผู้สูงอายุและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักไม่มีอาการแสดงในระยะแรก แต่เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดกระดูกหัก
ความชุก: มีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนในประเทศไทย มากกว่า 1 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรสูงวัย
ลักษณะเด่น: เป็นภาวะที่ มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะบางและ หักง่าย แม้จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง ตำแหน่งที่หักบ่อยคือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และข้อมือ
สาเหตุ: อายุที่มากขึ้น (โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี), วัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง, ขาดแคลเซียมและวิตามิน D, การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
อาการ: ไม่มีอาการปวด ในระยะแรก สังเกตได้เมื่อเริ่มมี หลังค่อม หรือ ความสูงลดล อาการที่ชัดเจนที่สุดคือ กระดูกหักง่าย (เช่น กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง หรือข้อมือ) จากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง

วิธีดูแลและป้องกันสุขภาพกระดูกและข้อ ให้แข็งแรง
การมีกระดูกและข้อที่แข็งแรงไม่เพียงแค่ช่วยให้คุณคล่องตัว แต่ยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคในระยะยาวได้ด้วย
เสริมแคลเซียมและวิตามิน D ให้เพียงพอ: แคลเซียม (ประมาณ 800−1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) ช่วยสร้างมวลกระดูก ส่วน วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ควรรับประทานนมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว หรืออาหารเสริม
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เลือกการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก (Weight-Bearing Exercise) เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ หรือเต้นแอโรบิก จะช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อ
ควบคุมน้ำหนักตัว: น้ำหนักที่เหมาะสมช่วยลดภาระของข้อต่อ โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพก ซึ่งช่วยป้องกัน ข้อเสื่อม ได้เป็นอย่างดี
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: งดสูบบุหรี่ และ ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดกระดูกพรุนและกระตุ้นโรคเก๊าท์
การดูแลสุขภาพกระดูกและข้อเป็นเรื่องที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ หากคุณมีอาการปวดข้อที่เรื้อรัง หรือข้อฝืดตึงตอนเช้าผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ ตรวจสุขภาพประจำปี ราคา เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ตรงจุด
38
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 12-10-2025 09:33:37  »
ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ

“อีมิลค์ ฉันตื่นเต้นจะได้อยู่ใกล้ชิดพี่เจย์” แก้วพูดขึ้นพลางยกมือขึ้นปิดหน้า ทำท่าทำทางเขินอายราวกับสาวน้อยวัยแรกแย้ม ... ซึ่งไม่ได้เข้ากับจริตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ตื่นเต้นอะไรวะ ที่คณะก็เดินเจอกันบ่อย”

“แค่เดินเจอไง นี่จะได้ช่วยงานพี่เขาใกล้ๆ เลยนะ โอ้ยยยยยยยยย ตื่นเต้น” พูดจบมันก็หันไปเม้าท์มอยกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

พี่เจย์ ดอกเตอร์ป้ายแดงที่เพิ่งบินกลับมาสดๆ ร้อนๆ เป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงที่ครองตำแหน่งขวัญใจมหาชนของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอน ใครบ้างจะไม่ชอบพี่เจย์ หนุ่มตี๋ ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน ผู้ซึ่ง lecture ด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก และรอยยิ้มสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์

“มาแล้วๆ” ใครซักคนพูดขึ้นในจังหวะที่พี่เจย์เดินเข้ามาในห้องด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วย jacket กระดุม 2 แถวสี navy ตัดกับกางเกงสีครีม ดูจากกการแต่งตัวก็รู้แล้วว่าจบมาจากอังกฤษ

“สวัสดีครับน้องๆ พร้อมกันแล้วเนอะ” พี่เจย์ถามพวกเราทุกคน และทันทีที่พี่เขายิ้ม ผมก็ได้ยินเสียงครวญครางจากไอ้แก้ว ... แรดนัก

“พร้อมครับ / คะ”

“วันนี้เป็นวันแรกของพวกเรา อะไรๆ อาจจะติดขัดไปบ้าง ถ้ามีอะไรที่ผิดไปจากแผนที่เราคุยกันไว้ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ แก้ปัญหา ทุกคนมีเบอร์พี่แล้ว มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ ยังพอมีเวลาอีก 10 นาที ยังไงทุกคน stand by ที่คอมได้เลยนะครับ”

ช่วงสัปดาห์นี้มีงานประชุมวิชาการนานาชาติของสมาคมสัตวแพทย์ซึ่งจะจัดเป็นประจำทุกปี งานนี้เป็นงานใหญ่ระดับภูมิภาค มีสัตวแพทย์ทั้งในและต่างประเทศนับพันคนเข้าร่วม แน่นอนว่างานใหญ่ขนาดนี้อาจารย์แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะขนนิสิตนักศึกษามาช่วยงานกันอย่างคับคั่ง

“แก ฉันอยากกินกาแฟวะ”

“เหมือนกัน” ผมกับแก้วนั่งอยู่หลังหน้าจอคอม

“ช่วงว่างๆ ไปซื้อกาแฟกันนะ”

“อืม”

หลังจากนั้นพวกเราก็หัวหมุนกันอยู่หน้าคอม กว่าจะได้เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ 10 โมงกว่าแล้ว

“พี่เจย์ครับ เดียวผมกับแก้วขอเดินไปซื้อกาแฟแป๊บนึงนะครับ พี่เจย์เอาอะไรไหมครับ”

“พี่ขอ caramel macchiato แก้วใหญ่ เพิ่ม whipping cream ครับ”

“อ่อ!!! ได้ครับ”

“คิดจะกินแล้วต้องกินให้สุดครับ ...” เหมือนพี่เจย์จะรู้ว่าผมกับแก้วคิดอะไรอยู่ในใจ caramel macchiato ก็ว่าหวานแล้ว ยังเพิ่ม whipping cream ให้อ้วนขึ้นไปอีก

“... อะนี่ครับ พี่เลี้ยงมิลค์กับแก้วนะครับ” พี่เจย์ยื่นแบงก์พันส่งมาให้

“จะดีเหรอครับ”

“ดีซิ ผู้ใหญ่ให้ของแล้วห้ามปฏิเสธนะรู้ไหม เร็วเข้ารีบไปรีบมา พี่อยากกิน whipping cream แล้ว”

“ได้เลยคะพี่ ...” แก้วตอบรับก่อนที่เรา 2 คนไหว้ของคุณพี่เจย์

“... พี่เจย์นิสัยดีมากเลยอะแก ...”

“... คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งฉลาด ทั้งใจดี แค่อยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุขแล้ว”

“คนไหม ไม่ใช้เทวดา”

“ชิห์ แกเรียนต่อกับพี่เขาดิ”

“จริงๆ ก็คิดอยู่นะ แต่เพิ่งรู้จักพี่เขาเองเราเลยว่าจะรอดูอีกหน่อย” ตั้งแต่เจอกันในคาบ lecture ผมก็ถูกชะตากับพี่เจย์อยู่ไม่น้อย ผมชอบวิธีการสอนของพี่เจย์ ชอบความสุภาพ และเป็นกันเอง



“นั่งซิ” พี่เจย์แตะมือลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นผมเดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา

“ขอบคุณครับ”

“แก้วไปไหนละ”

“ไปหาเพื่อนที่ห้องอาหารครับ” แก้วไปกินข้าวกับไอ้ต่อไอ้ต้น

“แล้วไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนละ”

“ผมเกรงใจครับ ทุกคนไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยู่เฝ้าห้องเลย”

“เป็นคนดีจัง จะไปก็ได้นะ พี่อยู่ให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไปตอนนี้ห้องอาหารคนคงเยอะมาก” ผมพูดพลางแกะข้าวกล่องในมือ

“อยู่ง่ายกินง่ายกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”

“555 ครับ” ผมเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่อยากจะบอกความจริงว่า พอแก้วกลับมาผมถึงจะออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารด้านในศูนย์ประชุมเหมือนกัน โรคไม่ชอบกินข้าวกล่องนี่แก้ยังไงก็ไม่หาย อาการหนักพอๆ กับโรคไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก

“เลือกหรือยังว่าจะเรียนสัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์ครับ”

“สัตว์เลี้ยงครับ”

“555 พี่ก็ถามอะไรไม่รู้เนอะ คิดภาพมิลค์ไปล้มวัว เจาะเลือดหมูไม่ออกเลย”

“ปศุสัตว์ไม่เหมาะกับ life style ของผมเท่าไหร่ครับ”

“นั้นนะซิ ... เรียน lecture ถึงตอนนี้ชอบวิชาอะไรที่สุดครับ” พี่เจย์กินไปคุยไปกับผมอย่างเป็นกันเอง เหมือนเป็นรุ่นน้องมากกว่าลูกศิษย์

“lecture ของพี่ครับ” ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อเอาใจ แต่ส่วนหนึ่งคือผมชอบ lecture ของพี่เจย์มากจริงๆ

“ตอบได้ดี อยู่เป็นนะเนี่ย” รอยยิ้มล้อเลียนปรากฎของบนใบหน้าของดอกเตอร์หนุ่ม พอได้คุยเรื่องทั่วไปถึงได้สังเกตเห็นว่าเวลาพูดคุยพี่เจย์ก็เล่นหูเล่นตาเก่งเหมือนกัน ผมหมายถึงการแสดงออกทางสีหน้านะ

“ถ้าชอบมาเรียนต่อกับพี่ไหม”

“555 เอาแบบนี้เลยเหรอครับ”

“แบบนี้แหละตรงๆ” นี่ผมกำลังถูกจีบให้ไปเป็นเด็กในสังกัดแบบซึ่งๆ หน้าอยู่ใช่ไหมเนี่ย

“ผมคิดๆ เรื่องเรียนต่ออยู่เหมือนกัน แต่ขอเวลาผมตัดสินใจหน่อยนะครับ”

“เอาเลยครับ พี่ไม่ซีเรียส”

“พี่คุมน้ำหนักเหรอครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าพี่เจย์ตัดมันของหมูกรอบออกหมดเลย

“คนเริ่มมีอายุก็แบบนี้แหละครับ กินตามใจปากไม่ได้”

“พี่พูดอย่างกับตัวเองอายุ 30 ...”

“... จริงเหรอพี่”

“พี่อายุมากกว่าน้องมิลค์ 15 ปีเลยนะ”

“เชี่ยยยยย!!! … ขอโทษครับ” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเพิ่งหลุดพูดคำหยาบต่อหน้าอาจารย์

“ไม่เป็นไรๆ อยู่กันส่วนตัวแบบนี้ พูดได้ครับ พี่ไม่ซีเรียส” พี่เจย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม โคตร nice เชื่อแล้วว่าทำไมถึงมีแต่คนปลื้ม

“ผมคิดว่าพี่อายุมากกว่าไม่กี่ปี” surprise มากเพราะคิดว่าพี่เจย์อายุไม่เกิน 30 ยอมรับเลยว่าพี่เจย์หน้าเด็กมาก

“อ่า ขอบคุณที่ชมครับ”







เราทุกคนต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ของจีกับเฟิร์สขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะ แม้จะไม่ใช้คนที่จีโทรมาปรึกษาแต่ผมก็รับรู้ได้จากคำบอกเล่าของเพื่อนคนอื่นๆ พวกเขาทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันเกือบทุกเรื่อง เลิกๆ คบๆ วนไปวนมา สารภาพว่าครั้งแรกที่รู้ว่า 2 คนเลิกกัน มันมีความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในใจ แต่พอเขากลับมาคบกัน ดอกไม้ในใจของผมก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

แม้จะไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เหมือนเดิม แต่เราก็ยังมีนัดกินข้าวดูหนังกันนานๆ ครั้ง ผมไม่รู้ว่าอะไรทรมานมากกว่ากัน ระหว่างความคิดถึงเมื่อเราไม่ได้พบเจอ กับความจริงที่ไม่ว่าเราจะเจอกันบ่อยแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ใช้จีคนเดิมของผมอีกแล้ว

ผมว่าบางครั้งความเหงาก็น่ากลัว

ผมกำลังยืนรอจีอยู่ที่ตีนบันได BTS สถานีศาลาแดง วันนี้ถนนสีลมคราครำไปด้วยผู้คนเนื่องจากมีงานถนนคนเดินเป็นวันสุดท้าย เสียงพูดคุย แสงสี กลิ่นอาหารทำให้ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวา

“มิลค์” พอผมหันกลับไปตามเสียงเรียกจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“รถติดเหรอ”

“นิดหนึ่ง เอารถกลับไปจอดที่บ้าน แล้วก็รีบนั่ง MRT มาหามิลค์เลย ... หิวยัง” รอยยิ้มของมิลค์สดใสราวกับดวงอาทิตย์กลางฤดูหนาว

“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน” ผมพยักหน้าตอบรับ

เราเริ่มจากต้นถนนสีลมแล้วเดินย้อนไปทางแยกนราธิวาส แวะทุกร้านนี่อยากแวะ กินทุกอย่างที่อยากกิน ซื้อที่ทุกอย่างที่อยากซื้อ ... และรู้สึกที่อย่างที่เราอยากจะรู้สึก ราวกับว่าโลกใบนี้มีแค่เรา 2 คน

“จีว่ามิลค์ใส่เสื้อตัวนี้แล้วสวยไหม” ผมถามพร้อมกับพาดเสื้อยืดสีฟ้าสกรีนรายกราฟฟิกลงบนตัว

“อืม สวยอยู่นะ จะเปลี่ยนแนวเหรอ” หลังๆ มานี้จีสังเกตได้ว่าเพื่อนสนิทเปลี่ยนมาใช้ brand name เยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างวันนี้แม้เจ้าตัวจะแต่งตัวสบายๆ แต่เสื้อยืนที่สวมก็สกรีนโลโก้ brand ดังอยู่กลางอก รวมถึงเครื่องประดับแบรนด์หรูอย่าง Cartier เข้า set กำไลแหวนบนข้อมือทั้ง 2 ข้าง

“ซื้อเอาไว้ใส่ตอนไปฝึกงาน” คำตอบของมิลค์ทำเอาเจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย เขามัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นจนลืมไปได้ยังไงว่าตอนนี้มิลค์อยู่ปี 5 แล้ว เป็นปีที่เจ้าตัวเริ่มออกไปฝึกงานต่างจังหวัด ชุดฝึกงานต่างจังหวัดของคณะสัตวแพทย์มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า ‘ชุดหมี’ ซึ่งดูเผินๆ ไม่ต่างอะไรจากชุดพนักงานดับเพลิงดีดีนี่เอง แม้จะเป็นชุดที่หนาและร้อนแต่มิลค์กลับต้องใส่เสื้อผ้าไว้ด้านในอีกชั้น เพราะเนื้อผ้าที่สากทำให้เจ้าตัวรู้สึกคันเวลาสวม

“ต้องซื้อกี่ตัว”

“อยากได้ซัก 4 ตัว”

“งั้นจีช่วยมิลค์เลือกนะ” จีดูจะสนุกมากกับการจับผมแต่งตัวเป็นตุ๊กตา ซื้อแค่ 4 ตัวแต่ลองเสื้อไปประมาณ 30 ตัว ใช้เวลาเลือกไปเกือบครึ่งชั่วโมง เกรงใจคนขายจนไม่กล้าต่อราคา

ซื้อเสื้อเสร็จเดินไปอีกหน่อยก็เจอร้านหมูย่าง พอได้กลิ่น แค่มองหน้า ผมก็รู้แล้วว่าจีคิดอะไร

“จะกินกี่ไม้” ผมถามในขณะที่กำลังก้าวขาไปยืนต่อแถว จีชอบกินหมูย่างมาก เป็นอีกหนึ่งเมนูประจำของเจ้าตัว

“4 ไม้ มิลค์กินกี่ไม้”

“2 ไม้พอเก็บท้องเอาไว้กินอย่างอื่น อย่างกินของทอด โอ้ย!!!” ผมมองจีตาขวาง เพราะพอพูดเรื่องของทอดเจ้าตัวก็หยิกพุงผมเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

“เดียวจีต่อแถวให้ มิลค์ไปซื้อน้ำส้มคั้นร้านโน้นได้ปะ”

“ได้ๆ ขวดเดียว แบ่งกันเนอะ” พอจีพยักหน้าผมก็เดินไปต่อแถวร้านน้ำส้ม พอกลับมาหมูปิ้งทั้ง 6 ไม้ก็อยู่ในมือของเพื่อนสนิท

“มิลค์ถือเองได้” ผมพูดขึ้นเมื่อเจ้าตัวยื่นหมูปิ้งมาจอที่ปาก

“จีป้อน เดียวมือเปื้อน ...”

“... เร็วเข้า” ผมมองตาของเพื่อนสนิท ก่อนจะสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากหัว แล้วอ้าปากงับหมูปิ้งตรงหน้า เราสลับกันกินคนละคำสองคำ ทำไปทำมาผมเหมือนผมจะกินไป 3 ไม้แทนที่จะเป็น 2 ไม้ตามที่ตั้งใจไว้

“อะจี” หลอดพลาสติดสีเขียวถูกยื่นไปจ่อปากของเพื่อนสนิท เราสอบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่จีจะดูดน้ำส้มหายไปเกือบครึ่งขวด

“ที่เหลือมิลค์กินเลยนะ” ผมพยักหน้าแล้วดูดน้ำส้มจากขวดที่เหลือจากหลอดเดิมจนหมด

หลังจากหมูปิ้งก็ต่อด้วยผัดไท ปาท่องโก ไก่ย่าง ชานมไข่มุก เดินผ่านอะไรที่อยากกินก็ซื้อกินโดยไม่สนใจว่าจะเป็นคาวหรือหวาน

“เฮ้ย!!! ... หลบเร็วมิลค์” ไม่ทันพูดจบประโยค จีก็คว้าขอมือของผม แล้วพาผมวิ่งออกมาจากตรงนั้น

“อะไรวะ” งงว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็วิ่งตามหลังของคนตรงหน้า จีพาผมเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนหลงทิศ

“เหนื่อยวะ” จนสุดท้ายเรา 2 คนก็มายืนหอบแฮ๊กอยู่หลังมุมตึก

“โคตรเหนื่อย ไม่ได้วิ่งแบบนี้มานานมาก” ผมบ่น

“ท่าทางเหมือนหมาหอบแดดเลยมิลค์” จีเอ่ยปากแซว ว่าแต่คนอื่นทั้งที่ตัวเองก็หอบไม่แพ้กัน

“เออดิ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เจอเพื่อนเฟิร์ส” ผมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากหัว (อีกครั้ง)

“กลัวจะถูกจับได้เหรอ ว่าแอบหนีมาแรด” ผมยังไม่ได้เล่าใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้จีไปไหนมา จีไปส่งเฟิร์สที่สุวรรณภูมิ เพื่อบินไปเรียนต่อที่ปริญญาโทที่ USA ผมแสยะยิ้มเพราะเมื่อคำนวณคร่าวๆ ตอนนี้เครื่องของเธอน่าจะ take off ไปแล้ว

“ก็เออดิ” แล้วเราก็หัวเราะให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้ โคตรคิดถึงความรู้สึกแบบนี้เลย คิดถึงดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงเสียหัวเราะ ... คิดถึงจี

“G”

“ครับ, dear”

“I really like when we are together” ผมไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะตอบตกลง เมื่อจีโทรชวนผมมาถนนคนเดินตั้งแต่สัปดาห์ก่อน รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจความผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว

“Us two are the best”

“I miss you”

“And I miss us” ผมมองรอยยิ้มของเพื่อนสนิทตรงหน้า ยิ้มของจีอบอุ่นราวกับแสงแดดในฤดูหนาว

ผมว่าบางครั้งความเหงาก็น่ากลัวเพราะมันทำให้เราตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร



..........



“ทำไมมึงมาเร็ววะ” ผมถามพลางเขยิบหลีกทางให้ไอซ์เดินเข้ามา วันนี้พวกเรานัดมา hang out กันที่ห้องของผม ไอซ์มาถึงเป็นคนแรกก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมง

“มาคุยกับมึง” มันพูดพร้อมกับเดินนำผมเข้ามาในห้องนั่งเล่น

“มีเรื่องอะไรวะ” ผมกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟา เรานั่งอยู่คนละฝั่ง เผชิญหน้าเข้าหากัน

“กูถามมึงตรงๆ เลยนะ”

“อืม”

“มึงกำลังทำอะไรอยู่วะ”

“กูไม่เข้าใจว่ามึงหมายถึงอะไร”

“เรื่องไอ้จี”

“กูทำอะไร?”

“ไอ้มิลค์ อย่าตอแหล มึงคิดว่ากูไม่สังเกตเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อะไรของมึง” มึงยังคงตีหน้าซื่อเป็นผู้ร้ายปากแข็ง

“ได้!!! มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ... มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าพวกมึง 2 คนแอบไปกินข้าวดูหนังกัน พวกมึงกลับมาเรียกชื่อเล่นกัน และกูได้ยินเต็ม 2 หูว่ามันเรียกมึงว่า dear ...”

“... นี่มันลากมึงขึ้นเตียงแล้วหรือยัง” ไอ้เหี้ยยยยย!!! ถ้าจะพูดขนาดนี้ก็ลุกขึ้นมาตบหน้ากูเลยดีกว่า

“ไอซ์!!! มึงพูดเกิดไปแล้วนะ”

“ดูพฤติกรรมตัวเองก่อนจะมาด่ากู ... นี่มึงคิดจะทำอะไร” นอกจากมันจะไม่หยุดแล้วมันยังซักผมต่อ ไอ้เพื่อนเหี้ย!!!

“กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”

“ถ้าไม่คิดก็มองหน้ากู” ผมมองหน้ามัน แต่ไม่ถึง 3 วินาทีก็ต้องหลบตา คนทำผิดมักมีชนักติดหลังเสมอ

“ทำไมกูจะทำไม่ได้ ...” เมื่อหลังชนฝา ผมก็สารภาพความจริงออกมา

“... กู happy มัน happy ก็ไม่มีอะไรผิดเปล่าวะ”

“มึงพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”

“กู ไม่ แคร์” ผมกระแทกหลังลงกับเบาะ ยกมือขึ้นกอดอกราวกับเด็กน้อยที่ถูกขัดใจ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าที่เราทำอยู่หมายถึงอะไร

“เฮ่ออออออ ... มึงมีความสุขจริงๆ เหรอวะ ...” ไอซ์ถอดหายใจยาว เจ้าตัวนับ 1 ถึง 100 พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาหยุมหัวไอ้มิลค์

“... กูไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างมึง 2 คนเป็นบ้าอะไร ที่ผ่านมากู support มึงเพราะทั้งมึงและมันต่างก็ไม่มีใคร แต่ตอนนี้มันมีแฟนแล้ว และลึกๆ มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันผิด ...”

“... กูรู้ว่ามึงรักมัน และถ้ามันรักมึงจริงๆ มันต้องให้เกียรติมึง มันต้องไปเลิกกับเฟิร์สแล้วมาขอคบกับมึง ไม่ใช้ทำเหมือนมึงเป็นตัวสำรองแบบนี้ ...” เหมือนโดนลากมาตบกลางสี่แยกด้วยคำว่า ‘ตัวสำรอง’

“... และกูสาบาญเลยว่าถ้าถึงวันนั้นแล้วมันไม่ยอมคุกเข่าขอมึงเป็นแฟน หรือทำตัวกั๊กมึงไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน ต่อให้เป็นเพื่อน กูก็จะล่อมันให้หน้ายับเลย”



..........



ผมยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อคำเตือนของไอซ์ รู้ทั้งรู้ว่ามันหวังดีและรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันผิด แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้จับมือของจีไว้ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ผมก็ยินดี

“มิลค์ ไปกินบะหมี่ที่ทองหล่อกัน” จีพูดขึ้นในขณะที่คนอื่นๆ เตรียมตัวกลับบ้าน เข็มสั้นของนาฬิกาเลยเลข 11 มาเล็กน้อย ผมมองหน้าเพื่อนสนิทจากนั้นมองเลยไปที่ไอซ์ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังของจี

“ไปซิ” ไอซ์มองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่เจ้าตัวจะเก็บของใส่กระเป๋า มันเดินออกจากห้องเป็นคนแรกโดยที่ไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย



“ไม่ได้ไปกินบะหมี่เจ้านี้นานมาก” จีพูดขณะที่ Lexus IS 350 สีเทาดำกำลังเคลื่อนตัวผ่านถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ร้านบะหมี่ที่จีพูดถึงเป็นร้านรถเข็นที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้ามกับปากซอยทองหล่อ สมัยก่อนหลังจากเที่ยวเสร็จเราชอบมาแวะกินมื้อดึกกันก่อนจะกลับบ้าน ส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่าร้านนี้อร่อยเกินมาตราฐานร้านบะหมี่ทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมจีถึงได้ติดอกติดใจร้านนี้นัก

“จริง ไม่ได้มานานจนมิลค์ลืมร้านนี้ไปแล้ว” ตั้งแต่พวกมันเรียนจบ ผมก็แทบไม่ได้เที่ยวกลางคืนอีกเลย

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถาม

“ฝึกงานสนุกดี” ปีนี้ผมเริ่มมีวิชาฝึกงานมากขึ้น ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด

“ตอนไปต่างจังหวัดเป็นไงบ้าง ยังไม่ชอบอยู่ไหม”

“ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ผ่านการฝึกงานที่ฟาร์มมาได้แค่นี้สบายมาก

“อีกแป๊บเดียวมึงก็เรียนจบแล้วเนอะ”

“อืม ...” ตอนนี้ปี 5 เทอม 2 แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็เตรียมตัวขึ้นปี 6

“... ปิดเทอมใหญ่มิลค์มีค่ายอาสานะ”

“ค่ายที่มิลค์เคยพูดถึงนะเหรอ”

“อืม ค่ายนั้นแหละ” มันเป็นวิชาค่ายอาสาที่นิสิตทุกคนต้องไป

... ‘First’

บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะเมื่อโทรศัพท์ของจีก็มีสายเรียกเข้า จีหยิบมือถือที่วางอยู่ตรงคอนโซนหน้ารถขึ้นมาดูก่อนที่เจ้าตัวยกมือขึ้นมาทำท่าจุปากให้ผมอยู่เงียบๆ ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ... โทรมาดึกขนาดนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ

“Hello”

“จีอยู่ไหนแล้วคะ ถึงบ้านหรือยัง” แม้จะคุยกันไม่กี่ครั้งแต่ผมก็จำเสียงของเธอได้ขึ้นใจ โทรศัพท์มือถือของจีต่อกับ Bluetooth รถยนต์ทำให้ผมได้ยินเสียงของเธอชัดเจน

“กำลังจะกลับครับ”

... ‘Ice’

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมรีบหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงและตัดสายอย่างรวดเร็ว แต่ดูท่าว่าจะสายเกินไป

“จีอยู่กับใครคะ” มันเหล่สายตามองมาทางผม ผมสัมผัสได้ว่าเราทั้งคู่ต่างกลั้นหลายใจ

“อยู่กับมิลค์”

“กับมิลค์? ดึกขนาดนี้ยังอยู่กับมิลค์อีกเหรอ ไหนบอกว่ากำลังจะกลับบ้านไง” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ผมจะได้ยินอะไรมากไปกว่านั้นจีก็กดปิด Bluetooth แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูทันที

“กำลังไปหาอะไรกินกับมิลค์ ... ไม่ใช้อย่างนั้น ...” ไม่ใช้แค่น้ำเสียงของเธอที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงของจีก็เข้มขึ้นเช่นกัน

“... อืม อืม ... ไม่ใช้ ...” ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรแต่บรรยากาศในรถแย่ลงจากเมื่อ 5 นาทีก่อนราวกับพลิกฝ่ามือ

“... เฟิร์ส พูดอะไรช่วยให้เกียรติมิลค์ด้วยครับ ...” น้ำเสียงของจีเรียบนิ่ง สีหน้าแววตาฉายชัดว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ ... Winter is coming

“... อืม อืม ... ไว้คุยกันครับ” พูดจบมันก็กดวางสาย ก่อนจะโยนมือถือกลับที่เดิมอย่างไม่ใยดี

...

...

...

“กลับบ้านไหม” ผมถามเมื่อเราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กันมาซักพัก มันส่ายหน้า แต่ยังเหม่อมองไปนอกหน้าต่างๆ

“ไม่กลับ ... อยากอยู่กับมิลค์”

“อยากอยู่กับจีเหมือนกัน” นิ้วก้อยของผมยื่นไปสัมผัสกับนิ้วชี้ของจีที่วางอยู่บนเกียร์รถยนต์ ก่อนที่ปลายนิ้วของเราจะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ

“ทะเลาะกันมา 2 วันแล้ว จีไม่ได้คุยกับเฟิร์สมาตั้งแต่วันพฤหัส นี่เขาเป็นฝ่ายโทรมาก่อน”

“เลิกไหม รู้อยู่แล้วว่าเข้ากันไม่ได้ จีจะรั้งไว้ทำไม ... ไม่เหนื่อยเหรอ” เลิกไหม แล้วมาคบกับกู กูสัญญาว่าจะรัก และไม่ทำให้มึงเสียใจ ขอร้อง เรามาคบกับนะ ... ผมทำได้แค่กล่าวประโยคนี้ในใจ

“เหนื่อย แต่อีกใจ ... ก็รักเขา” คำตอบของจีทำเอาผมหายใจไม่ออกราวกับคนกำลังจมน้ำ ถ้าความรู้สึกที่มีให้อีกคนที่อยู่คนละซีกโลกคือความรัก แล้วความรู้สึกที่มีให้ผม คนที่นั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้มันเรียกว่าอะไร

ตอนที่จีชวนผมออกมากินข้าวผมจินตนาการภาพว่ามันคงเป็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคาดหวังไว้ เหมือนเราทั้ง 2 คนต่างหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง ต่างคนต่างกิน ไม่พูดคุย ไม่ไถ่ถาม กินเสร็จจ่ายเงินแล้วขับรถกลับ สารภาพว่าเมื่อชั่วโมงก่อนผมแอบมีความหวังว่าจีจะค้างคืนกับผม และเราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันจนถึงหัวค่ำของวันพรุ่งนี้ เหมือนอย่างในอดีต

Lexus สีเทาดำจอดสนิทอยู่หน้าประตูทางเข้าคอนโดย่านสาทร

“G” ผมเรียกชื่อเพื่อนสนิทด้วยสำเนียง American คุ้นหู

“ครับ, dear”

“We must stop doing this, ...” ผมหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกกำลังเอ่อล้นจะแทบจะคุมไว้ไม่อยู่

“... I can't take it anymore. I feel like I'm falling apart” พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ผมสะอื่นแล้วรีบยกหลังมือของมาปาดน้ำตา ไม่เคยคิดเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้

“I am so sorry, dear. I don’ t mean to hurt you”

“You don’ t have to. No matter what I choose, it will hurt either way”

“Milk, Can we still be best friends?”

“Always”

ตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่าระหว่างความคิดถึงกับความจริงอะไรเจ็บปวดมากกว่ากัน

‘Sometimes, the truth hurts the most’


----------


#Us two #I miss you # And I miss us #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
39
นรินทร์ทอง จะพาทุกท่านไปเรียนรู้ การวางแผนทําบัญชีร้านขายเสื้อผ้า พร้อมเรียนรู้แนวทางโครงสร้างของธุรกิจ การเก็บเอกสาร และตัวอย่างการบันทึกบัญชีในแต่ละเคสที่น่าสนใจ สำหรับใครต้องการแนวทางเหล่านี้ต้องห้ามพลาด!
เปิดร้านขายเสื้อผ้า ยังไงให้ราบรื่น ให้ นรินทร์ทอง ช่วยแนะนำอ่านเพิ่มเติมคลิก

การวางแผน ทำบัญชีขายเสื้อผ้า


1. ทำความเข้าใจประเภทของบัญชี - คุณต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจบัญชีพื้นฐาน 3 ประเภท
    รายได้ (Revenue)
    ต้นทุนสินค้าที่ขาย (Cost of Goods Sold - COGS)
    ค่าใช้จ่าย (Expenses)

2. เลือกระบบการทำบัญชี
    บัญชีมือ (Manual Accounting)
    โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป (Accounting Software)

    จ้างนักบัญชี (Accountant)


3. บันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่าย
    บัญชีรายรับ
    บัญชีรายจ่าย
4. การจัดการต้นทุนสินค้าคงคลัง (Inventory Management)
    บันทึกการซื้อสินค้า

    บันทึกการขายสินค้า

    ตรวจสอบสต็อก

5. การจัดทำรายงานทางการเงิน - การบันทึกบัญชีอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณต้องนำข้อมูลมาสรุปเป็นรายงานเพื่อดูผลประกอบการ
    งบกำไรขาดทุน (Income Statement)
    งบดุล (Balance Sheet)

    งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)


6. การจัดการภาษี
    ภาษีเงินได้

    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

    ภาษีอื่นๆ
เรียนรู้การวางแผนทำบัญชีร้านเสื้อผ้า แบบละเอียดอ่านเพิ่มเติมคลิก

โครงสร้างธุรกิจเสื้อผ้า

- ต้นทุน (Cost) 
    คือค่าใช้จ่ายจากต้นทุนจริง ที่เกิดขึ้นระหว่างการผลิตสินค้าหรือบริการ เช่น แรงงาน, วัสดุ, ค่าการตลาดและโฆษณา เป็นต้น
- รายได้ (Revenue)
    รายได้จากการขายปลีก - การขายเสื้อผ้าให้กับลูกค้าโดยตรงผ่านหน้าร้าน, ร้านค้าออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ
    รายได้จากการขายส่ง - ขายเสื้อผ้าให้กับร้านค้าอื่นๆ หรือตัวแทนจำหน่ายในปริมาณมาก
    รายได้จากการรับจ้างผลิต - รับจ้างผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อื่นๆ หรือลูกค้าที่สั่งผลิตในปริมาณมาก
- ค่าใช้จ่าย (Expenses)
คือค่าใช้จ่ายทั่วไปที่ทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ได้แก่
    ค่าสาธารณูปโภค - ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต
    ค่าเช่า - ค่าเช่าพื้นที่สำหรับหน้าร้าน, โกดัง, หรือสำนักงาน
    ค่าขนส่ง - ค่าจัดส่งสินค้า, ค่าขนส่งวัตถุดิบ
    ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม - ค่าธรรมเนียมในการขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม E-Commerce
    ค่าใช้จ่ายอื่นๆ - ค่าบัญชี, ค่าที่ปรึกษา, ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์

การเก็บเอกสาร
1. เอกสารการซื้อขาย
2. เอกสารการผลิต
3. เอกสารการเงิน
4. เอกสารทางการตลาด
5. เอกสารอื่นๆ
ซึ่งวิธีการจัดเก็บเอกสารสำหรับธุรกิจเสื้อผ้า สามารถทำได้ดังนี้
1. แบ่งแยกประเภทเอกสาร - แบ่งเอกสารตามประเภท เช่น เอกสารการเงิน, เอกสารการขาย, เอกสารการผลิต และเอกสารการตลาด เป็นต้น
2.จัดเก็บให้เป็นระบบ - คุณสามารถใช้ตัวช่วยอย่าง แฟ้มเอกสาร, ตู้เก็บเอกสาร หรือระบบจัดเก็บดิจิทัล (Cloud storage) เพื่อจัดเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบ
3. ระบุหมวดหมู่ให้ชัดเจน - ติดป้ายชื่อหรือใช้ระบบการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาเอกสาร
4. จัดทำสำเนา - จัดเก็บเอกสารต้นฉบับและสำเนาไว้ในที่ที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสียหายหรือการสูญหาย
5. รักษาความปลอดภัย - จัดเก็บเอกสารไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยและจำกัดการเข้าถึง เพื่อป้องกันการถูกขโมยหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
6. ทำลายเอกสารที่หมดอายุ - ทำลายเอกสารที่ไม่จำเป็นหรือหมดอายุตามที่กฎหมายกำหนด โดยใช้เครื่องทำลายเอกสารเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
7. จัดเก็บเอกสารดิจิทัล - สแกนเอกสารเป็นไฟล์ดิจิทัลและจัดเก็บในระบบคลาวด์ หรือฮาร์ดไดรฟ์สำรอง เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงและป้องกันความเสียหาย

ตัวอย่างการบันทึกบัญชี ในแต่ละเคสที่น่าสนใจ
เคสที่ 1: ร้านเสื้อผ้าออนไลน์ขนาดเล็ก (ทำบัญชีแบบง่ายใน Excel)
ลักษณะธุรกิจ: ซื้อเสื้อผ้าจากตลาดขายส่ง มาขายต่อผ่าน Instagram,  Shopee หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ไม่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
การบันทึกบัญชี: ใช้ตาราง Excel ในการบันทึกข้อมูลหลัก 3 ส่วน ได้แก่ รายได้, ต้นทุนสินค้า, และค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างการบันทึก: อันดับแรกต้องกำหนดคอลัมพ์ Excel ให้ละเอียดเลยว่า แต่ละคอลัมพ์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง โดยเริ่มต้นกำหนดคอลัมพ์แรกให้เป็น วัน เดือน / ปี >> รายละเอียดค่าใช้จ่าย >> ช่องทางขาย >> จำนวนเงิน (รายได้) >> จำนวนเงิน (ต้นทุน) >> จำนวนเงิน (ค่าใช้จ่าย) >> หมายเหตุ

เคสที่ 2: ร้านเสื้อผ้าที่มีหน้าร้าน (ใช้โปรแกรม POS และโปรแกรมบัญชี)
ลักษณะธุรกิจ: มีหน้าร้านและขายผ่านช่องทางออนไลน์ มีการจดทะเบียนบริษัท มีการจ้างพนักงาน
การบันทึกบัญชี: สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ
1. ณ จุดขาย (Point of Sale - POS) - ใช้ระบบ POS ในการบันทึกยอดขายทันทีที่ลูกค้าชำระเงิน ระบบจะบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น วันที่ขาย, จำนวนเงิน, วิธีชำระเงิน, และตัดสต็อกสินค้าอัตโนมัติ
2. โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป - นำข้อมูลยอดขายจากระบบ POS มาบันทึกในโปรแกรมบัญชี เช่น FlowAccount หรือ PEAK ซึ่งโปรแกรมจะช่วยจัดการ
    บันทึกรายจ่าย - บันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเช่า, เงินเดือนพนักงาน, ค่าไฟ, ค่าการตลาด
    การจัดการสต็อก - โปรแกรมจะเชื่อมโยงกับระบบ POS เพื่อควบคุมสต็อกได้อย่างแม่นยำ
    ภาษี - โปรแกรมจะคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้
    การจัดทำรายงาน - โปรแกรมจะสร้างงบกำไรขาดทุนและงบดุลให้อัตโนมัติ
ตัวอย่างการบันทึก:
    บันทึกยอดขาย  - โปรแกรมดึงข้อมูลจากระบบ POS เช่น ยอดขายวันที่ 15 ส.ค. จำนวน 15,000 บาท
    บันทึกค่าใช้จ่าย  - บันทึกค่าเช่าร้าน 30,000 บาท
    บันทึกต้นทุนสินค้า  - บันทึกการซื้อเสื้อผ้าล็อตใหม่ 100 ตัว เป็นเงิน 50,000 บาท
สนใจวางแผนทำบัญชีร้านเสื้อผ้า กับผู้เชี่ยวชาญอย่าง นรินทร์ทองอ่านเพิ่มเติมคลิก

เริ่มต้นทำธุรกิจขายเสื้อผ้า ให้ นรินทร์ทอง เป็นที่ปรึกษาด้าน ทำบัญชีขายเสื้อผ้า พร้อมต่อยอดธุรกิจ

การเลือก ทำบัญชีขายเสื้อผ้า โดยสำนักงานบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก หากคุณสนใจขอแนะนำ นรินทร์ทอง เป็นที่ปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
    การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
    รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
    งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
    ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.acอย่าแสดงเมลบนบอร์ด
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339


40
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 11-10-2025 11:07:10  »
Teaser ตอนที่ 27

“นั่งซิ” พี่เจย์แตะมือลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นผมเดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา

“ขอบคุณครับ”

“แก้วไปไหนละ”

“ไปหาเพื่อนที่ห้องอาหารครับ” แก้วไปกินข้าวกับไอ้ต่อไอ้ต้น

“แล้วไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนละ”

“ผมเกรงใจครับ ทุกคนไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยู่เฝ้าห้องเลย”

“เป็นคนดีจัง จะไปก็ได้นะ พี่อยู่ให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไปตอนนี้ห้องอาหารคนคงเยอะมาก” ผมพูดพลางแกะข้าวกล่องในมือ

“อยู่ง่ายกินง่ายกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”

“555 ครับ” ผมเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่อยากจะบอกความจริงว่า พอแก้วกลับมาผมถึงจะออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารด้านในศูนย์ประชุมเหมือนกัน โรคไม่ชอบกินข้าวกล่องนี่แก้ยังไงก็ไม่หาย อาการหนักพอๆ กับโรคไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือขอแนะนำพี่เจย์

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด