กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 ... 10
21
Boy's love story / ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
« กระทู้ล่าสุด โดย sarawit เมื่อ 21-05-2024 03:02:43  »
วิธูพยายามอ่านความคิดของศศิทัศน์ผ่านท่าทาง คำพูด และน้ำเสียง ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดตามที่พูดออกมา

“งั้น... มึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่ากูเกิดวันเพ็ญเดือนสอง” วิธูเริ่มเท้าความ

“ใช่ ก็ที่กูเคยบอกมึงไปแล้วไงว่ากูเกิดวันเพ็ญเหมือนกันแต่เดือนเจ็ดไง” ศศิทัศน์มองตอบกลับอย่างไม่เข้าใจวิธูจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่

“อ้าวจริงเหรอ ปันปันก็เกิดวันพระจันทร์เต็มดวงแต่ว่าเดือนสิบเอ็ด งั้นแสดงว่าปันปันก็ยังเป็นน้องเล็กสุดละสิ เย้!” ปัญจวีส์กำมือชึ้นทั้งสองข้างอย่างดีใจ ส่วนวิธูก็ส่งสายตาปรามไปหาเจ้าตัวที่ดีใจไม่รู้จักเวลา

“มึงเก็ตมั้ย พ่อแม่ตั้งชื่อให้กูว่ากระต่ายเพราะว่ากูเกิดวันเพ็ญ เหมือนกับมึงที่อาม่ารียกมึงว่ากระต่าย” วิธูต่อเรื่องราวให้ศศิทัศน์เข้าใจ “ส่วนมัน...”

“ทุกวันนี้คุณยายยังเรียกปันปันว่าลูกกระต่ายอยู่เลย” ปัญจวีส์แย่งวิธูตอบเอง

“หมายความว่ามึงไม่ได้ชื่อปันปันแต่แรก” ศศิทัศน์ถามย้ำ

“ใช่” ปัญจวีส์ยิ้มตอบสั้นๆได้ใจความ

“แล้วทำไมมึงถึงเปลี่ยนไปเป็นปันปันวะ หรือว่ามึงเชื่อตามที่เขาพูดกัน” ศศิทัศน์ถามต่อ

“เปล่า” ปัญจวีส์รีบตอบปฏิเสธทันที แบบเสียงสูงขึ้นมานิดหน่อย “มันก็... ไม่เชิงหรอก มันมีเรื่องอื่นปะปนมาด้วย แต่มันลงตัวพอดี”

ศศิทัศน์ยกตัวขึ้นวางแขนทั้งสองข้างทับซ้อนกันลงบนโต๊ะ แล้วก็จ้องมองปัญจวีส์แบบไม่ต้องส่งเสียงแต่เข้าใจได้ชัดเจนได้ทันทีว่าควรจะอธิบายออกมาให้หมด

“ก็... เวลาคิโนโกะจังเรียกชื่อกระต่ายแล้วเขาออกเสียงไม่ชัด ฟังดูเหมือน กะตาย กะตาย พอบอกให้เขาเข้าใจความหมายเขาก็ตกใจ แล้วก็บอกว่าเขาขอเรียกว่าปันปันแทนได้มั้ย ปันปันเองก็ว่าโอเคดี ก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตามชื่อใหม่ไปเลย”

“คิโนะโกะจัง นี่ใครวะ” ศศิทัศน์ถาม แล้วก็ยกตัวขึ้นนั่งตามปกติ

“แฟนมัน เจอกันตอนมันไปเรียนซัมเมอร์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มาเรียนอยู่วิท’ลัยนานาชาติที่กรุงเทพฯ” วิธูเป็นคนชิงตอบแทน

“อ๋อ” ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้น ก็กลับมาลงล็อคเหมือนเดิมละสิ คนพี่ชื่อวีมีน้องชื่อกระต่ายมาเป็นเพื่อนสนิทไอ้วีร์ แต่ โอ้...” ศศิทัศน์มองสลับไปมาระหว่างสองพี่น้อง “... แถมรอบนี้มาแบบคูณสองอีกต่างหาก”

“ก็ถ้ามึงเชื่ออะนะ” วิธูยักไหล่ตอบ “แต่ก็นะ พอดีว่าไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขนาดเพื่อนกูบางคนที่ไม่ได้สนิทกันจริง ยังไม่รู้เลยว่ากูมีพี่น้องอีกสองคน เพื่อนมันบางคนก็เหมือนกัน”

“ใช่ ของปันปันก็มีแต่โจ๊กกับโชกุนที่รู้เพราะว่าพวกนั้นก็สนิทกับพี่วีด้วย ส่วนคนอื่นๆก็ไม่ค่อยรู้กันหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าใช้นามสกุลไม่เหมือนกันด้วยมั้ง”

“หึ นี่ถ้าข่าวเรื่องที่พี่เข้าโรง’บาลเมื่อวันก่อนแพร่ออกไปนะ ได้ลือกันกระหึ่มอีกรอบแน่” วิธูทั้งส่ายหน้าทั้งถอนหายใจ

“เดี๋ยวปันปันไปบอกให้คุณยายส่งคุณทนายมาช่วยอีกรอบก็ได้ เรื่องเงียบทันตาเห็น” ปัญจวีส์เสนอทางแก้

“ปล่อยคุณทนายทำไปคดีของเฮียให้เสร็จก่อนดีกว่ามั้ง” เมื่อพาเรื่องราววนไปทิศทางนั้นแล้ว วิธูก็อดที่จะถามศศิทัศน์ต่อไม่ได้ “ว่าแต่เรื่องคดีไปถึงไหนแล้ววะมึง”

ศศิทัศน์ชักสีหน้าและตอบอย่างมีอารมณ์ขึ้นมาในทันที

“กูไม่ได้ใส่ใจจะตาม เท่าที่รู้ทนายฝั่งโน้นก็ช่วยให้รอดคุกได้แล้วแน่ๆ หึ ก็เล่นยอมรับสารภาพซะหมดเปลือกตามแผนตั้งแต่แรกขนาดนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่รอลงอาญา ส่วนคดีแพ่งก็แล้วแต่ทนายเครือล้ำเลิศจัดการให้ ยังไงป๊ากับม้ากูก็ไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ได้มาเท่าไหร่ก็จะบริจาคให้โรงพยาบาลทั้งหมดอยู่แล้ว”

“ก็... โอเค” วิธูพยายามจะไม่กวนน้ำให้ขุ่นไปมากกว่านี้และดึงหัวข้อสนทนาวนกลับมาเรื่องเดิม “งั้น สรุปว่าเรื่องพี่กับไอ้อ้วน มึงไม่ติดใจอะไรแล้วใช่มั้ย”

“ไม่” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นกอดอกและพิงหลังไป “แล้วพวกมึงจะให้กูช่วยอะไรมั้ย”

สองพี่น้องรู้สึกแปลกใจ เพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนกะทันหันของศศิทัศน์ และเรื่องที่เขาออกตัวว่าจะช่วยด้วยอีกแรง ทั้งๆที่เคยมีความคิดต่อต้านมาก่อน

“อ่า... ตอนนี้ยังก่อน” วิธูลังเลที่จะตอบเพราะอันที่จริงเขาก็ยังไม่มีแผนอะไรในตอนนี้

“ต่ายบอกว่าช่วงนี้อย่างเพิ่งทำอะไรมาก ไม่งั้นเดี๋ยววีร์จะมีปฏิกิริยาต่อต้านไปคนละทาง” ปัญจวีส์อธิบายเพิ่มเติม

“อืม โอเค มีอะไรให้ช่วยก็บอกละกัน” ศศิทัศน์พยักหน้าให้กับสองพี่น้อง ก็คงจะมีปัญจวีส์ที่ยิ้มหน้าบานตอบกลับ เพราะความรู้สึกบึ้งตึงของศศิทัศน์ที่มีต่อเขามานานหลายเดือน ดูเหมือนจะหมดไปแล้ว


*****


(แนบรูปภาพแอบถ่ายจากด้านนอกร้าน) ต่าย วิดกีฬา หมอต่าย แล้วก็ปันปัน เสดสาด แต่งฟิคเรื่องอะไรดี ช่วยกันคิดหน่อย
รุมมาตุ้มรุมรักคุณหมอสุดคิ้วตี้ ใช้ได้มั้ย

ฐานันดร มุ่งทางธรรม: มีแฟนกันหมดแล้วทั้งสามคนเลยนะนั้น
เรื่องจริงกับเรื่องแต่งไม่เอามาปนกันสิคะ #อย่าขวางทางจิ้น

VNND: ?


*****


ด้านหน้าอาคารอเนกประสงค์ที่ถูกจัดเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสัปดาห์บริจาคโลหิตครั้งที่สามของปีการศึกษา มีป้ายขนาดใหญ่ติดประดับตกแต่งไว้ ทั้งป้ายชื่องาน ป้ายแสดงคุณสมบัติของที่สามารถบริจาคได้ ป้ายแสดงขั้นตอนการบริจาค

รวมไปถึงป้ายที่มีขนาดใหญ่มากกว่าป้ายอื่นๆเพื่อประชาสัมพันธ์คลินิกนิรนาม โดยเฉพาะคิวอาร์โค้ดที่เชื่อมโยงไปถึงเว็บไซต์ของคลินิกนิรนามที่สามารถยกโทรศัพท์ขึ้นมาแสกนได้จากระยะไกลจากป้ายหลายสิบเมตร รวมถึงข้อความขนาดใหญ่แจ้งว่า โปรดอย่าใช้การบริจาคโลหิตเพื่อตรวจโรค คลินิกนิรนามมีบริการฟรี

วีร์และเพื่อนๆที่เคยมาร่วมกิจกรรมในครั้งก่อนหน้านั้นก็เดินทางมาถึงบริเวณจัดงาน แต่ละคนก็ค่อยๆทยอยกันไปกรอกใบสมัครร่วมกิจกรรมในวันนี้ ยกเว้นก็เพียงดวงใจที่ขอนั่งรออยู่ด้านหน้าอาคารก็พอ

วีร์ขอแยกตัวจากเพื่อนร่วมคณะเพื่อไปทักทายกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าที่กำลังศึกษาอยู่คณะแพทยศาสตร์ในฐานะเจ้าถิ่นที่ร่วมจัดงาน และเพื่อนเก่าที่เรียนคณะอื่นๆด้วยเช่นกัน

“ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะมาด้วยนะเนี่ย” “ใช่ๆ งานบุญงานกุศลไม่น่าจะได้เห็นมึงอยู่ด้วยนะเนี่ย”

“อื้อหือ พ่อพระพ่อมหาจำเริญ อย่าให้กูเห็นพวกมึงเหยียบไปที่ร้านพี่กูอีกนะ เดี๋ยวกูบอกให้พี่กูชาร์ตพวกมึงหนักๆ ในฐานะลูกหลานเครือล้ำเลิศ เอาขนหน้าแข้งร่วงซะให้หมด” ข้าวฟ่างสวนกลับนพชัยและชัยทิศ

“เอาเลย พวกกูไม่กลัว” “เพราะพวกกูไม่ไป”

ข้าวฟ่างกำลังจะพุ่งตัวเข้าหาคู่แฝดแต่ก็โดนยั้งตัวไว้เลียก่อน

“วีร์” ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มทักทายคนที่เดินมารวมกลุ่มกับพวกเขา   

“พวกมึงมากันเร็วดีนะ” วีร์ก็ยิ้มกลับและทักทายคนอื่นๆด้วย

“หึ เพื่อนกลุ่มอื่นเขานัดกันไปกินเลี้ยง มีแต่กลุ่มพวกเรานัดกันมาเสียเลือด” ข้าวฟ่างยืนกอดอก สายตายังคงจ้องคู่แฝดไม่ลดละ

“เอาน่ะ เขาเรียกว่าร่วมทำบุญทำกุศล แล้วงานนี้เฮียวีเป็นคนเริ่มทำไว้ เอาเป็นว่ามาช่วยๆกันสานต่องานให้สำเร็จ” วีร์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เพื่อนของเขามีอาการแบบนั้นไปได้ แต่เมื่อเห็นว่าคู่กรณีของข้าวฟ่างคือนพชัยและชัยทิศ เขาก็พอจะเดาเรื่องราวออก

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังไงกูก็ต้องมาอยู่แล้ว” ข้าวฟ่างหันไปพยักหน้าให้กับศศิทัศน์ “แล้วนี่มึงเพิ่งมาถึงเออ พวกกูกำลังรอเรียกคิวเตียงว่างอยู่เนี่ย” ข้าวฟ่างหันมาถามวีร์ต่อ

“ใช่ เพิ่งเลิกเรียน กูเดินมากับพวกเพื่อนที่คณะ” วีร์ชี้นิ้วไปด้านหลังทิศทางที่เพื่อนเขารวมกลุ่มกันอยู่

ข้าวฟ่างก็หันมองตาม ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังกรอกเอกสารกันอยู่ รวมถึงชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเขา ข้าวฟ่างก็สะกิดชายหนุ่มลูกครึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกันให้รู้ตัว

“วีร์ ปันปันเอานี่มาให้กรอก” ปัญจวีส์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับวีร์ แล้วก็โบกมือทักทายศศิทัศน์ รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาเองอย่างนพชัยและชัยทิศด้วย

“อ๋อ ขอบคุณมาก” วีร์รับใบสมัครดู แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาไม่ได้หยิบปากกาติดตัวมาด้วย ในขณะที่กำลังมองซ้ายมองขวาว่าจะทำอย่างไรดีก็มีคนยื่นปากกามากให้... สามแท่ง จากสามคน ปัญจวีส์ ศศิทัศน์ และเดวิด

เนื่องจากว่าพวกเขายื่นปากกามาพร้อมกันแบบนี้ทำให้วีร์เลือกไม่ถูกว่าจะรับปากกาจากใครดี แต่ความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าวีร์ยังไม่มีเวลาได้ทันคิดว่าเขาควรจะรับปากกามาจากใคร ควรจะรักษาน้ำใจของใคร หรือควรจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะว่าตัวเขาถูกลากออกไปจากวงสนทนาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

วีร์มองหน้าเพื่อนๆแต่คนที่กำลังมองดูเขาอยู่ด้วยอาการที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะมองด้วยความแปลกใจ ศศิทัศน์มีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ นพชัยและชัยทิศแสดงความอยากรู้อยากเห็น ปัญจวีส์ยิ้มหน้าบานก่อนที่จะหันมาลาทุกคนแล้วก็เดินตามออกไปด้วย เดวิดก็คิดจะเดินตามไปแต่ถูกข้าวฟ่างรั้งไว้เสียก่อน

วีร์หันมาเห็นคนที่กำลังจับต้นแขนของเขาและออกแรงลากให้เขาเดินตามไป ในสถานการณ์อื่นๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ถูกจับจ้องจากสายตานับร้อยคู่ วีร์พยายามขืนตัวแต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก

“ชมพู่” วีส์ร้องเรียกหญิงสาวที่กำลังทำหน้าที่เป็นแม่งานคอยจัดการงานทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น

“อ้าว มาแล้วเหรอคะ” หญิงสาวอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์หันมายิ้มตอบรับ แล้วก็มองเลยไปหาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ “น้องวีร์ มาพอดีเลย”

วีร์ยิ้มทักทายกลับ แต่ภายในใจยังไม่เข้าใจเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือ ปล่อยแขนเขาได้หรือยัง

“น้องวีร์น้องปันปันสนใจบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนมั้ยคะ” หญิงสาวถามเด็กหนุ่มทั้งสองคน

“เอ่อ... ยังไงเหรอครับ” วีร์ถามกลับไป

“การบริจาคโลหิตเฉพาะก็ไม่ต่างจากการบริจาคปกติทั่วไปเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจะใช้เวลานานกว่าประมาณสองถึงสามชั่วโมง เพราะว่ามันมีกระบวนการนำเลือดไปปั่นแยกส่วนผ่านเครื่องแล้วดึงส่วนที่ต้องการออกมา จากนั้นก็ส่งส่วนประกอบอื่นๆที่เหลือกลับเข้าร่างกายผู้บริจาค มันเลยใช้เวลานาน น้องวีร์สนใจมั้ยคะ”

วีร์ยังไม่แน่ใจมากนัก เขาลังเลที่จะตอบตกลงแต่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธ ส่วนปัญจวีส์ก็รอให้วีร์เป็นคนตัดสินใจก่อนแล้วเขาค่อยทำตาม

“คืออย่างนี้ ตามปกติเลือดที่เรารับบริจาคมาแล้วจะต้องเอาไปปั่นแยกส่วนประกอบอยู่แล้ว เม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด แล้วก็พลาสม่า แล้วก็ไปผ่านกระบวกการทำให้ปลอดภัยแล้วค่อยเอามาผสมกันอีกที” หญิงสาวอธิบายเพิ่มเติมเพราะคิดว่าวีร์อาจจะไม่เข้าใจวิธีการจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ เธอจึงพยายามให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

“คนไข้ที่ต้องการเม็ดเลือดแดง เราก็จะรวมเม็ดเลือดแดงจากของผู้บริจาคหลายคนรวมกันให้พอแล้วส่งต่อไปให้ผู้ป่วย คนใช้ที่ผ่าตัดก็อาจจะต้องให้เกร็ดเลือดมากสักหน่อย เกร็ดเลือดที่รับมาจากผู้บริจาคโลหิตแบบรวมส่วนคนเดียวจะไม่พอ ก็เลยต้องเอาจากหลายๆคนรวมกัน ฉะนั้นถ้าได้รับเกร็ดเลือดจากคนเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะมีอาการต่อต้านไม่พึงประสงค์ก็จะน้อยลงไปด้วย”

วีร์ยังคงลังเลอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากลองบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนแต่เพราะว่าต้องใช้เวลานาน ถึงแม้ว่าช่วงบ่ายหลังจากนี้เขาจะไม่มีเรียนแต่ก็ได้นัดไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆไว้แล้ว วีร์หันไปหาปัญจวีส์เพื่อจะถามความเห็น

“อ้าว นุ้ย มากันเออ” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาระหว่างที่วีร์กำลังจะตัดสินใจ

“อ้าว พี่ภูมิ บริจาคเสร็จแล้วเออ” วีร์ทักทายกลับ เขามองดูชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่เพิ่งจาะเดินออกมาจากพื้นที่ด้านใจและมีสำลีปิดตรงที่ข้อพับแขน

“ใช่ เขาส่งหนังสือเวียนเชิญไปทุกคณะ พอดีว่าว่างอยู่ก็เลยมา” ภูมิยกแขนให้วีร์ได้เห็นชัดๆ “แล้วนี่...” ภูมิมองดูหลานชายของเขา แล้วก็ย้ายสายตาไปหานักศึกษาในที่ปรึกษาของเขา ก่อนที่จะส่ายตาลงมองต้นของเด็กหนุ่มแล้วก็กลับไปมองชายหนุ่มคนเดิม

เหมือนว่าวีส์เพิ่งรู้ตัวว่ายังจับแขนของเด็กหนุ่มนับตั้งแต่ที่เขาลากตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนจนถึงตอนนี้ ปัญจวีส์แสร้งทำเป็นกระแอมเสียงไม่ดังมากนัก เอาแค่พอให้ได้ยิน วีส์จึงปล่อยมือออกแต่โดยดี โดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวอะไรเพิ่มเติม

“นุ้ยกำลังคุยกับพี่เขาอยู่ พี่เขาชวนบริจาคเฉพาะส่วน” วีร์อธิบายให้ภูมิฟัง แม้ว่าจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ภูมิตั้งใจจจะถามก็ตาม

“อ๋อ เอาสิ มันไม่อันตราย แค่ใช้เวลานานกว่าสักฮิดเท่านั้นเอง”

“ใช่คะ มันไม่มีอันตราย ปลอดภัยทุกขั้นตอนและได้ช่วยคนป่วยด้วยค่ะ” หญิงสาวย้ำคำอีกครั้ง “แล้วก็วันนี้คนลงทะเบียนบริจาคเฉพาะส่วนมีไม่มาก มีเตียงว่างอยู่หลายเตียงเลยค่ะ”

“เอ่อ... งั้นก็ได้ครับ” ในที่สุดวีร์ก็ตอบตกลงเมื่อได้รับคำยืนยันจากหลายคน

“งั้น เดี๋ยวน้องวีร์น้องปันปันไปกรอกใบสมัครให้เรียบร้อย แล้วเอามาให้พี่นะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย” ไม่ต้องมีใครบอกก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะต้องเข้าไปพร้อมกันกับใคร “อาจารย์คะ เดี๋ยวอาจารย์ไปรับของว่างแล้วนั่งพักสักสิบห้านาทีก่อนนะคะ”

ภูมิพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไปยังจุดที่แจกอาหารว่างให้แก่ผู้ที่บริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ส่วนวีร์ก็แอบชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูงก่อนที่จะเดินตามภูมิไป

“อันนี้ไปตามน้องเขามาดีๆ หรือว่าไปบังคับมากันแน่” หญิงสาวเอียงไปกระซิบล้อเล่นถามเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาหลายปี

“ก็ไปตามมาให้แล้วไง เห็นบอกว่าอยากเจอไม่ใช่รึ” วีส์ย้อนกลับหญิงสาว

“จ้า... แล้วนี่จะเข้าไปเลยมั้ย หรือว่าจะรอ” หญิงสาวถามต่อ แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองตอบกลับมาก็รู้คำตอบได้ในทันที “โอเค... แล้วน้องปันปันกรอกใบสมัครเสร็จรึยังคะ”

“ของผมเสร็จแล้วครับ” ปัญจวีส์ยกแผ่นกระดาษขึ้นมาให้หญิงสาวเห็น

“งั้นเดี๋ยวไปซักประวัติแล้วเจาะตัวอย่างเลือดเลยนะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย”

แล้วหญิงสาวเดินนำพาปัญจวีส์ออกไป แต่ไม่ลืมหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับวีส์ วีส์ส่ายหน้ากรอกตามองบน แล้วก็หันไปดูเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งกรอกรายละเอียดในใบสมัครอยู่ข้างชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่กำลังมองกลับมาหาเขาอยู่ วีส์รีบหันไปมองทางอื่นแต่ก็แอบชำเลืองดูอยู่เรื่อยๆ


*****


(แนบรูป) มาช้ามีอดนะบอกไว้ก่อน ยิ่งช่วงนี้นานๆจะได้เห็นเขาอยู่ด้วยกันสักที #VVGo4Launch #GiveBloodGiveLifeครั้งที่3 #ชมพู่น่ารักมาก
ทำไม ทำม๊าย จะต้องเป็นวันที่ฉันไม่ได้ไปมหาลัยด้วย ฮือๆ
เห็นเขาเดินจูงมือกันผ่ากลางฮอลล์แบบโนสนโนแคร์ใดๆ เราก็ชื่นใจเป็นที่ซู้ดดดด

Apollo20: (แนบรูปเตียงผู้บริจาคโลหิตเฉพาะส่วนสองเตียงติดกัน)
VNND: จะลบรูปเองดีๆ หรือจะลบทั้งน้ำตา


*****


บรรยากาศสวนหลังบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็คึกคักตามปกติ ผู้คนมากหน้าหลายตามาจับจ่ายใช้สอย หรือมาหาความบันเทิงตามที่ตนต้องการ วีร์และเหล่าพองเพื่อนก็เช่นกัน

วันนี้เป็นวันรวมตัวของเพื่อนโรงเรียนเก่าที่เริ่มจะมีเวลาอยู่ด้วยพร้อมหน้าน้อยลงเรื่อยๆตามภาระและหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบ ถือฤกษ์งามยามดีที่ทุกคนว่างพร้อมกัน จังได้นัดมาพบปะสังสรรค์กันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

“อยู่กันครบทุกคนแบบนี้ เห็นแล้วอยากทำปิ้งย่างแล้วนั่งกินรอบกองไฟจังเลย” “ช่าย รอบที่แล้วงานล่มไม่เป็นท่า รอบหน้าต้องทำสำเร็จให้ได้”

“พวกมึงจะบอกว่าเป็นความผิดของกู” วีร์เอียงหน้ามองนพชัยและชัยทิศด้วยหางตา

“ไม่ใช่เลยเพื่อนวีร์ พวกกูไม่เคยโทษมึงเลย” “ใช่ๆ ความผิดทั้งหมดเป็นของพวกกูเอง มึงไม่เกี่ยวเลย”

วีร์พยักหน้าแล้วก็หันไปมองทางอื่นๆ นพชัยและชัยทิศก็ถอนหายใจโล่งออกมาพร้อมกัน

“แล้วนี่รออะไรอยู่วะ” พระยศถามแล้วก้หันมองรอคำตอบจากเพื่อนๆ

“ก็รอไอ้ต่ายไง มันเพิ่งไลน์มาว่าอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว กำลังออกมา” วีร์ตอบ

“มันไปไหนมาวะ” สุรศักดิ์ที่ยุ่งอยู่กับที่ร้านอาหารอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ขอหยุดงานเป็นกรณีพิเศษเพื่อมาเจอกับเพื่อนๆ

“ไปซ้อมเทนนิส เห็นว่าเดือนหน้ามีแข่งสองรายการ”

“อ๋อ” สุรศักดิ์พยักหน้ารับ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ในเมื่อลูกหลานเครือล้ำเลิศที่เป็นเพื่อนพวกเขามาอยู่กันที่นี่สองคนแล้ว ดังนั้น... “แล้วไอ้ปันเพื่อนมึง บ้านมันก็อยู่แถวนี้ จะโทรตามมันมาด้วยมั้ยวะ”

“มันไม่อยู่ มันไปกรุงเทพฯกับแม่มัน” คนที่ตอบนั้นไม่ใช่วีร์แต่ว่าเป็นศศิทัศน์ ทุกคนจึงหันมามองเป็นตามเดียว ต่างพากันสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่ถูกชะตากันถึงได้รู้เรื่องกันได้ “ไอ้ต่ายบอกกูมา”

“งั้นก็ ไปหาร้านกันเลยมั้ยละ กว่าไอ้ต่ายมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนานอีก” สุรศักดิ์เสนอความเห็น ซึ่งคนอื่นๆก็เห็นตามด้วย จึงชวนกันออกเดินไปหาร้านอาหารที่ต้องการ


*****
22
Boy's love story / ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
« กระทู้ล่าสุด โดย sarawit เมื่อ 21-05-2024 03:01:35  »
ตอนที่ 10 ปัง ปัง ปัง


เช้าวันนี้อากาศก็ยังคงร้อนไม่ต่างไปจากวันก่อนหน้า และจะยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้ฤดูแล้งที่มาถึงในอีกไม่ช้า แต่ก็ไม่อาจจะเป็นเหตุผลให้ใครลาหยุดงานได้ คู่สามีภรรยาต่างกุลีกุจอยกข้าวของเครื่องใช้ของเด็กน้อยใส่เข้าไปในรถยนต์ เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กของบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่

วีร์กำลังช่วยเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้นักเรียนตามที่เจ้าตัวยืนยันจะให้เรียกเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเล็กอีกต่อไป แถมยังมน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนด้วยต่างหาก และเมื่อโตแล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือเหมือนกับพ่อและแม่ที่ต้องไปทำงานทุกวัน วีร์จึงต้องเล่นตามน้ำช่วยเด็กโตเตรียมพร้อมเดินทางไปโรงเรียน

เมื่อเด็กทั้งสองคนประจำที่นั่งเด็กเล็กในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ธีร์และวนกรก็ได้เวลาออกเดินทางไปทำงานเสียที คงเหลือแต่วีร์ที่ไม่ต้องรีบออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนคนอื่นๆ ยังมีเวลาเหลืออีกสักหนึ่งชั่วโมงพอจะให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

ต้าวและเติบ สุนัขพันธุ์ขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวออกวิ่งเล่นรอบบ้านหลังจากที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อธีร์และวนกรเดินทางออกไปแล้ว ไม่นานนักมันก็มานั่งรอที่หน้าประตูบ้านเมื่อเห็นวีร์กำลังปิดประตูเตรียมออกเดินทางเช่นกัน โดยหวังว่าจะได้รับขนมไข่ของโปรดอีกสักชิ้นสองชิ้นสำหรับเช้าวันนี้

แต่ทว่าสัตว์หน้าขนทั้งสองตัวกลับเปลี่ยนใจในตอนที่วีร์กำลังล็อกประตูบ้าน เมื่อพวกมันได้ยินเสียงรถยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ต้าวและเติบวิ่งไปเกาะที่ประตูรั้วพร้อมกับส่งเสียงเห่าและกระดิกหางไปด้วย ราวกับจะบอกว่ามาทำไมและทำไมเพิ่งจะมาไปพร้อมๆกัน

วีร์เดินตามมาดูด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นรถยนต์สีดำคันเดิมแล้วความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าใยยามเช้าก็หายไปในพริบตา วีร์พยายามเดินผ่านประตูรั้วออกมาโดยระวังไม่ให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดออกมาด้วย ตอนที่หันตัวกลับก็เจอกับชายหนุ่มร่างสูงยืนรออยู่แล้ว

“จะไปเรียนใช่มั้ย ขึ้นรถ เดี๋ยวกูพาไปส่ง” วีส์ยิ้มทักทายตามปกติ ผิดกับอีกคนที่มองดูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แถมยังยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับตัวไปไหน “ขึ้นรถเถอะน่า ไหนๆกูก็ขับมาถึงบ้านมึงแล้ว อีกอย่างกูมีเรื่องจะคุยด้วย”

วีร์พิจารณาลักษณะท่าทางของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะสลบหมดสติไปไม่กี่วันก่อนเลย การพูดจาเป็นปกติ การเดินการทรงตัวก็เป็นปกติดี ดูจะไม่มีอาการอะไรเลยแต่ก็ไม่ได้น่าไว้วางใจได้สักเท่าไหร่ อย่างหลังนี่ไม่ได้หมายถึงอาการป่วยแต่หมายถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้

“ขึ้นรถ” วีส์บอกย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังไม่ยอมขยับตัว ทั้งๆที่เขาเดินไปเปิดตูเตรียมก้าวขาเข้าไปข้างในอยู่แล้ว

ถึงจะลังเลแต่วีร์ก็เดินอ้อมไปขึ้นรถแต่โดยดี กระนั้นก็ยังคอยสังเกตว่าชายหนุ่มร่างสูงอยู่เรื่อยๆ หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆก็จะได้คิดแก้ไขได้ทันท่วงที

“กูขอโทษนะที่ทำมึงตกใจเมื่อวันก่อน” วีส์เริ่มเปิดบนสนทนาเมื่อเขาขับออกจากปากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนใหญ่แล้ว “ตอนแรกกูก็ว่าจะเลื่อนนัดเพราะว่ามีงานด่วนเพิ่มขึ้นมาต้องรีบทำให้เสร็จ แต่มึงก็อุตส่าห์นัดวันมาแล้วกูก็รับปากไปแล้วด้วย ก็เลย...” วีส์มองกระจกข้างก่อนที่จะตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถยนต์ออกเลนขวาแซงรถยนต์คันข้างหน้าไป

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ก็นึกอยู่ในใจว่าถ้าขอเลื่อนมาตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มีปัญหาเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ถึงขั้นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สักหน่อย

“แต่ครั้งหน้าอาจจะต้องรอไปอีกสักนิดนึงนะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาทิตย์นี้” วีส์กล่าวเสริม

“อันที่จริง...” วีร์กำลังจะร้องค้านแต่ก็โดนตัดคำพูดเสียก่อน

“เอาน่ะ จริงๆมึงก็พอจะจับจังหวะเข้าเกียร์ได้แล้ว เหลือแค่ลองฝึกออกตัวรถตอนที่หยุดอยู่บนทางลาดเท่านั้นเอง ไม่ให้เครื่องยนต์ดับไม่ให้รถไหลลง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” วีส์ยังคงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องเกรงใจที่เขาเบียดบังเวลามาช่วยสอนขับรถยนต์ให้

“คือว่า...”

“เดี๋ยวกูดูวันว่างอีกที ยังไงช่วงนี้กูก็ไม่ต้องไปซ้อมเทนนิสแล้ว แล้วก็นะ... มึงไม่ต้องเป็นห่วง คราวหน้ากูจะนอนพักไปให้เต็มที่จะได้ไม่ต้องไปหาววอดๆให้มึงดูอีก”

วีส์บรรยายเสร็จสรรพจนวีร์หาช่องจะพูดแทรกไม่ได้เลย จากเดิมที่คิดจะล้มเลิกการฝึกขับรถยนต์ระเกียร์ธรรมดา แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาปฏิเสธได้อีก

“แล้ว... ทำไมถึงไม่ได้ไปซ้อมเทนนิสแล้วละครับ” วีร์เปลี่ยนไปใจถามเรื่องอื่นแทน

“กูลาออกจากทีมแล้ว” วีร์หันมามองเขาด้วยความแปลกใจ วีส์จึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “เดิมทีโค้ชก็เก็บกูไว้เป็นแค่ยันต์กันหมาอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ในทีมมีทั้งไอ้เพชรแล้วก็มีไอ้ต่ายมาเสริมอีก ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อกูไปขู่ใครแล้วมั้ง”

วีร์ยังคงมองคนขับรถอยู่อย่างเดิม แต่ตอนนี้กลับมามองด้วยสายตากวาดขึ้นกวาดลงดูคนที่เคยแข่งแพ้เขามาก่อน แต่ยังกล้ามาโอ้อวดตังเองให้เขาฟัง

“ทำไม มองกูแบบนี้หมายความว่ายังไง” วีส์หันมองสลับไปมาระหว่างถนนข้างหน้ากับผู้โดยสารที่มาด้วยกัน “กูได้แชมป์เยาวชนแห่งชาติสองสมัยติด ได้แชมป์ชาเลนเจอร์มาสี่รายการ แล้วก็เกือบจะได้ไปแข่งเอทีพีทัวร์แล้วด้วย”

“แล้วทำไมไม่ไปละครับ”

“หมดอารมณ์ที่จะไปแข่ง” วีส์ยักไหล่ตอบ “กูไม่ได้อยากไปแข่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่เบื่อจะได้ยินว่ามันทำอย่างโน้นได้มันทำอย่างนี้ได้ แล้วยังไง... กูก็ทำได้เหมือนกัน” วีส์เน้นย้ำประโยคสุดท้าย

วีร์เบนหน้าไปมองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไป เขาก็พอจะเข้าใจเหตุผล ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนถูกเอาไปเปรียบเทียบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกเปรียบให้ดูด้อยค่ากว่า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูค่อยนักวันอีกที” วีส์ชำเลืองมองอยู่หลายครั้งก่อนตัดสินใจพูด เขาก็ไม่ได้วางแผนนำหัวข้อสนทนามาในทิศทางนี้ มันแค่หลุดปากออกไปเอง

“ก็ได้ครับ คุณว่างเมื่อไหร่ก็บอกมาก็แล้วกัน”

วีส์รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเมื่อวีร์ยังตอบตกลงกลับมา เขานึกว่าตัวเองก็ทำโอกาสหลุดมือไปเสียแล้ว

“เออ ชมพู่ฝากมาบอกว่าอย่าลืมงานสัปดาห์บริจาคเลือดอาทิตย์หน้าด้วย”

“อ๋อ ได้ครับ” วีร์ตอบกลับสั้นๆ เพราะตัวเขาเองก็ตั้งใจจะไปร่วมกิจกรรมอยู่แล้ว เพราะก็ได้รับปากคำเชิญชวนของสองเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์อยู่ก่อนแล้วด้วย

เมื่อได้คุยธุระที่คิดไว้จนหมดแล้ว วีส์ก็ไม่รู้ว่าจะชวนเด็กหนุ่มคุยอะไรต่ออีก เขาจึงมุ่งขับรถยนต์ไปยังจุดหมายปรายทางเพียงอย่างเดียว จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนคอยแอบมองแอบเรียนรู้การขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาอยู่ จนกระทั้งรถเลี้ยวผ่านประตูมหาวิทยาลัย

“เอ่อ เดี๋ยวช่วยไปส่งผมที่ด้านหลังตึกคณะให้หน่อยได้มั้ยครับ” วีร์รีบบอกทันทีเมื่อรถยนต์เข้ามาในเขตของมหาวิทยาลัยแล้ว

“ได้สิ แต่ลงข้างหน้ามันสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ” ถึงจะตอบตกลงแต่วีส์ก็ถามต่อด้วยความสงสัย

วีร์ไม่ได้อยากจะตอบว่าถ้าหากให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ไปส่งที่ด้านหน้าตึกคณะ ใครต่อใครก็จะเห็นกันหมดว่าเขามากับใคร และคงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกหลายวัน และถึงแม้ว่าที่จอดด้านหลังตึกคณะจะไม่ใช่ที่เปลี่ยวลับสายตาคน แต่ก็มีน้อยคนที่จะเดินผ่านไปทางนั้น

“เอ่อ ถ้าเข้าด้านหลัง มันใกล้กับลิฟต์ขึ้นตึกพอดีครับ” ถึงแม้ว่าที่วีร์ตอบออกไปจะไม่ใช่เหตุผลหลักแต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ทำให้ดูน่าเชื่อถือได้ไม่ยาก

“อ๋อ โอเค” วีส์ไม่ได้เอะใจอะไร ยอมทำตามแต่โดยดี เขาเบี่ยงออกจากเส้นทางหลักภายในมหาวิทยาลัยแล้ววนอ้อมไปเส้นทางรองเพื่อไปยังที่จอดรถด้านหลังตึกคณะเศรษฐศาสตร์


*****


วีร์ยืนดูจนรถยนต์คันสีดำขับพ้นไปจากสายตาแล้ว จึงหันตัวกลับเดินเข้าไปที่ตึกคณะแต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงขาวหน้าตี๋กำลังยืนกอดอกจ้องมองเขาอยู่ สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย วีร์จึงเดินเข้าไปทักทายใกล้ๆ

“มึงมาทำอะไรแถวนี้วะไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ถามเมื่อเดินไปถึง

“กูจะไปเรียนที่ตึกบัญชีแต่ที่จอดรถมันเต็ม เลยนึกขึ้นได้ว่าที่คณะมึงน่าจะมีที่ว่างอยู่ตลอด ก็เลยเอารถมาจอดนี่แล้วค่อยเดินไป” ศศิทัศน์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีความขุ่นเคืองอะไร “แล้วมีงอะ... มาไงวะ”

วีร์ยู่หน้าเล็กน้อยคิด ถึงจะเป็นคำถามทั่วไป แต่ความหมายมันค่อนข้างชัดเจนว่า เห็นนะว่ามากับใคร จะยอมรับดีๆหรือว่าจะให้ต้องคาดคั้น

“กูเจอพี่เขาพอดี พี่เขาก็เลยอาสามาส่งแล้วก็ฝากส่งข่าวจากพี่ชมพู่เรื่องสัปดาห์บริจาคโลหิตอาทิตย์หน้ามาด้วย” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง แค่ไม่ทั้งหมดเท่านั้นเอง

“อ๋อ มึงจะไปใช่มั้ย” ศศิทัศน์รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่แน่ชัดนัก จึงไม่ได้สืบสาวต่อ

“ไปสิ ก็รับปากมึงไปแล้วด้วยไง”

“แหงละ โครงการนี้เฮียเป็นคนต้นคิดแล้วก็ทำจนเป็นรูปเป็นร่างขนาดนี้ มึงห้ามลืมโดยเด็ดขาด” ศศิทัศน์พูดจาหนักแน่น

“กูรู้หรอกน่า กูไม่ลืมหรอก”

“จะไปรู้เหรอ อะไรๆมันก็แน่ไม่นอน ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ศศิทัศน์พูดเหมือนบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อยากจะให้ดังไปกระทบหูของคนฟังด้วยเช่นกัน

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์อมยิ้มเล็กๆ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาไปทำอะไรมาถึงได้มาแสดงอาการงอนแบบเด็กๆกับเขาแบบนี้

“เปล่า” ตอบเสียงสูงที่ไม่ได้หมายความตามที่พูด

“ถามจริง พี่ฝ้ายชินกับอาการนี้ของมึงแล้วยัง” วีร์ทำสีหน้าล้อเลียนส่งยั่วโมโหกลับไป ซึ่งก็พอจะได้ผลอยู่บ้าง

“ก็กูเรียนหนัก พี่เขาก็ต้องทำงาน กว่าจะได้เจอได้คุยกันมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา นานๆจะได้อยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองสักที มันก็...”

ศศิทัศน์ยั้งคำพูดของตัวเขาเองไว้เมื่อเห็นว่าวีร์กำลังจ้องเขาแบบไม่วางตา

“เอ่อ.. คือ.. กู..”

“กูก็ยังไม่ว่าอะไรนิ” วีร์ยักไหล่ตอบยืนยันว่าเขาหมายความว่าเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็พูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง “มึงก็โตขนาดนี้แล้วแถมยังอุตส่าห์เรียนหมออีก ก็ควรจะรู้ใช่มั้ยว่าควรจะต้องป้องกันอะไรบ้าง ไอ้ตี๋เล็ก”

“กูรู้หรอกน่า ก็เห็นไอ้ต่ายมันเคยเล่าให้ฟัง... แบบว่ามึงว่าเรื่องของมันกับแพร...” ศศิทัศน์รีบตอบกลับเหมือนไม่พอใจที่ถูกจับได้ไล่ทันแต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นภายหลัง

“แล้วนี่เป็นอะไรอีก ต้องให้โดนด่าก่อนแล้วมึงถึงจะยิ้มออกรึไง” วีร์ยิ้มตามเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ “หรือว่ามีอาการทางจิต เรียนหมอนี่เขามีตรวจจิตเวชอยู่แล้วใช่มั้ย”

“กูปกติดี” ศศิทัศน์ตอบกลับ “ก็แค่พอเฮียไม่อยู่ ก็ไม่มีใครบ่นใส่หูให้ฟังเหมือนเมื่อก่อน”

วีร์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมของศศิทัศน์

“เดี๋ยวกูจะบ่นให้มึงฟังจนหูชาไปเลย ไอ้ตี๋เล็ก แล้วกูก็จะบอกพี่ฝ้ายช่วยด้วยอีกคน”

“มึง... จะไม่ลืมเฮียใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามแล้วก็ลุ้นรอฟังคำตอบ ถึงจะคาดเดาได้แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

“กูไม่ลืมหรอกน่า” วีร์ให้คำมั่น แม้ว่าระยะเวลาที่เขาได้รู้จักกับวีรมาตุจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี แต่ความประทับใจที่มีก็ยังคงตรึงอยู่ในหัวใจ

“กูกลัวว่าถ้ามึงไปมีแฟนคนใหม่ แล้วมึงจะลืมเฮีย” ความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจของศศิทัศน์ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาเสียที

“มึงคิดมากแล้ว ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ก็พอจะเข้าใจความคิดของศศิทัศน์ คนที่เคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อจับคู่ให้กับเขาและพี่ชายของตัวเองให้จงได้ “มึงไปได้แล้วไป เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”

“เออ แล้วก็อย่าลืมวันเชงเม้งสิ้นเดือนนี้นะมึง”

“มึงก็อย่าลืมมารับกูไปด้วยก็แล้วกัน”

“แล้วก็...” ศศิทัศน์เม้มปากเหมือนคนลังเลที่จะพูด แต่อันที่จริงคือไม่อยากจะฉีกปากยิ้มกว้าง “กูดีใจนะที่มึงยังเรียกกูเหมือนเฮียว่าไอ้ตี๋เล็ก”

สองเพื่อนสนิทต่างก็ยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ แล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง


*****


ช่วงยามบ่ายที่อากาศร้อนจัดจนแทบจะทนไม่ไหว การนั่งเล่นพูดคุยกันใต้ร่มไม้ในตอนนี้กลับไม่สุนทรีย์เหมือนเมื่อก่อน ต้องเปลี่ยนถิ่นฐานไปนั่งอยู่ภายในร้านคาเฟ่ขนมที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นๆด้วยเท่านั้นถึงจะเอาอยู่

ชายหนุ่มร่างสูงไม่แพ้กันสองคนกำลังนั่งสนทนาอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน คนที่ไม่รู้จักหรือแค่พอจะคุ้นเคยกันก็คงจะเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทมานั่งสังสรรค์กัน แต่คนที่สนิทสนมเป็นอย่างด๊ก็คงจะรู้ว่าเป็นการพูดคุยของคนในครอบครัว

“เห็นพ่อถามถึงอยู่เหมือนกันว่าว่างมั้ย” ปัญจวีส์ตอบกลับในขณะที่นั่งคนแก้วกาแฟของเขาไปด้วย

“ยังไงก็วันหยุดยาวอยู่แล้วไม่ใช่เออ เจ้าสัวน่าจะว่างมั้ง” วิธูนั่งพิงหลังไปที่พนักเก้าอี้ ในมือถือแก้วน้ำที่มีหลอดขนาดใหญ่เสียบอยู่

“ไม่แน่ ช่วงนี้ก็เห็นยุ่งๆอยู่ แล้วยังต้องเตรียมตัวไปจีนตอนปิดเทอมนี้อีก” ปัญจวีส์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

“ไปทำไมวะ” วิธูถามด้วยความสงสัย เขานึกว่าทุนที่พี่ชายของเขาได้รับคือให้ไปเรียนต่อหลังจากสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ก่อนเสียอีก

“ก็อารมณ์ประมาณไปฝึกงานมั้ง เห็นว่าเขาให้ไปเรียนรู้คร่าวๆว่าต้องทำอะไรบ้างก่อน แล้วเวลาอีกหนึ่งปีที่เหลือจะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรเพิ่มเติมอีก”

“นี่เขาให้ไปเรียน หรือว่าให้ไปทำงานกันแน่วะ” วิธูขมวดคิ้วสงสัย เขารู้สึกตัวเองโชคดีที่สมองทางวิชาการไม่โลดแล่นเหมือนพี่ชายทั้งสองคนของเขา เลยไม่ต้องมีชีวิตยุ่งวุ่นวายอะไรแบบนั้น

“ปันปันว่าจริงๆเขาก็คงอยากจะหาคนไปทำงานกับเขาด้วยนั่นแหละ ถึงขนาดส่งทีมมาคัดคนจากทั่วภูมิภาคแบบนี้ แล้วได้ตัวตึงไปแบบเน้นๆอีกต่างหาก ต้องมีเลือกคนเข้าไปทำงานต่อด้วยอยู่แล้ว”

“แล้วถ้าเจ้าสัวได้งานที่จีนจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้อ้วนจะเอายังไง”

“อืม... นั่นสินะ แค่ไปเรียนก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว ถ้าถูกเลือกให้ทำงานอีก จะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันแค่ไหนเชียว” ปัญจวีส์แอบบ่นเสียดาย

“จริงๆก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าไอ้อ้วนอยากจะไปมั้ย” วิธูเขี่ยน้ำเข็งใส่ปากแล้วก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ “แต่ปัญหาใหญ่กว่าในตอนนี้คือ ไอ้อ้วนจะเปิดใจรับเจ้าสัวมั้ยก่อนรึเปล่าเหอะ”

“อ้าว ก็ไหนต่ายเคยบอกว่าตอนนี้มีแนวโน้มสูงแล้วไง” ปัญจวีส์ขมวดคิ้วมองตอบพี่ชายรุ่นเดียวกันของเขา

“ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่หลังจากที่เจ้าสัวเข้าโรง’บาลไป กูละเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” วิธูถอนหายใจ จากที่เขาคอยสังเกตุท่าทางของเพื่อนสนิทของเขาระหว่างที่ไปเฝ้าดูอาการของวีส์ที่โรงพยาบาลแล้ว เขาเริ่มเดาทางไม่ถูกแล้วว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“ทำไมอะ” ปัญจวีส์ถามกลับในทันที “ก็เห็นบอกว่าวีร์ไม่เชื่อเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่น่า...”

“ไม่มีใครเชื่อเรื่องนั้นเท่ามึงแล้ว” วิธูมองปัญจวีส์ด้วยหางตา

“อะไร ปันปันไม่คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ปัญจวีส์รีบออกตัวปฏิเสธ

“เหรอครับ ถ้างั้นแล้วคุณบันนี่จะเปลี่ยนชื่อทำไมละครับ ถ้าคุณบันนี่ไม่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆ” วิธูมองตอบอย่างท้าทาย

“ก็คิโนะโกะจังชอบเรียกปันปันแบบนี้ ปันปันก็ว่ามันก็โอเคดีก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตาม ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย” ปัญจวีส์ยังคงแก้ตัวอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ยอมรับข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น

“เหรอ...” วิธูถามย้ำอีกครั้งแต่ปัญจวีส์ก็ยังคงตีสีหน้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดิม “แล้วเมื่อไหร่จะพาคิโนะโกะมาเจอกับเจ้าสัวแล้วก็ไอ้อ้วนสักทีวะ”

“ก็รอจังหวะเหมาะสมก่อนไง แล้วค่อยพามาเจอกัน” ปัญจวีส์จัดท่านั่งของตัวเองให้หลังยืดตรงดูสง่าผ่าเผย

“เขาก็อุตส่าห์เปลี่ยนแผนย้ายมาเรียนต่อที่ไทยเน๊อะ อยู่เรียนที่ญี่ปุ่นตามแผนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็...”

ปัญจวีส์กำลังจะตอบกลับแต่ก็ชะงักไปเสียก่อน เพราะมีชายหนุ่มร่างสูงมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ ปัญจวีส์และวิธูต่าง็หันมามองหน้าถามกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี ต่างฝ่ายก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาพวกเขาเอง

“กูนั่งได้ใช่มั้ย” ศศิทัศน์ชี้ไปที่เก้าอี้ว่างอีกตัวที่เหลืออยู่แล้วถามทั้งสองคน

“นั่งสิ” วิธูเป็นคนตอบในฐานะที่รู้จักมักคุ้นกับหนุ่มตี๋มากกว่าน้องชายรุ่นราวคราวเดียวกันของเขา

ปัญจวีส์ยังคงส่งสัญญาณผ่านสายตาไปหาวิธูให้เป็นคนเริ่มบทสนทนา เพราะเขายังรู้สึกเพื่อนตี๋คนสนิทของวีร์ยังคงตั้งแง่กับเขาอยู่

“เอ่อ... มีงมีอะไรรึเปล่าวะ” วิธูเอ่ยปากถาม

“เปล่า พอดีเดินผ่านแล้วเห็นพวกมึงนั่งกันอยู่ ก็เลยแวะเข้ามาทักทายเฉยๆ” ศศิทัศน์ตอบพร้อมกับยกมือเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม

บรรยากาศครึกครื้นกันเองก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความอึมครึมกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเริ่มหรือจะต่อบทสนทนาอย่างไรกันดี ว่าที่คุณหมอส่ายตามองดูซ้ายทีขวาที ผู้ร่วมโต๊ะของเขาเอาแต่ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาชิม ไม่มีทีท่าว่าใครจะชวนพูดคุยเหมือนก่อนหน้าที่เขาเดินมาร่วมโต๊ะเลย

“กูรู้เรื่องพวกมึงแล้ว” ศศิทัศน์ตัดสินใจเปิดหัวเรื่องเอง

ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างมองตากัน เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าความลับเรื่องไหนของพวกเขาที่ถูกเปิดเผยออกไป เมื่อหันไปหาศศิทัศน์ซึ่งก็กำลังมองพวกเขาสลับไปมาอยู่ ชวนให้น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นหลุมพรางหลอกถามก็เป็นได้ สองพี่น้องจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ไอ้ใหญ่เล่าให้กูฟังแล้ว” ศศิทัศน์เฉลยแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ข้อมูลอะไรมากนัก เมื่อเห็นท่าทางที่ยังสงสัยของทั้งสองคนอยู่ ศศิทัศน์จึงขยายความต่อ “มันรู้มาจากแพร แล้วเห็นว่าแฟนมึงเป็นคนเล่าให้ฟัง” ศศิทัศน์หันไปหาวิธูเพื่อให้รู้เขาหมายถึงแพรไหม

“เรื่องอะไรวะ” วิธูถามกลับให้แน่ใจ

“เรื่องที่พวกมึงสองตัวเป็นพี่น้องกัน” ศศิทัศน์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ

“อ๋อ” วิธูร้องออกมาด้วยความโล่งใจ เขาคิดไปถึงเรื่องใหญ่โตกว่านี้ หรืออย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสำหรับเขา และปัญจวีส์เองก็คิดไม่ต่างกันมากนัก

ศศิทัศน์เองก็รอดูว่าทั้งสองคนจะมีปฏิกิริยาอะไรมากไปกว่านี้หรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนกันทั้งสองคนก็รอการแสดงออกของเขาอยู่เหมือนกัน

“กูหมายถึง กูรู้แล้วว่าพี่เขาเป็นพี่ของพวกมึงด้วย”

“อ๋อ” คราวนี้ทั้งวิธูและปัญจวีส์ร้องออกมาพร้อมกัน แล้ววิธูก็แกล้งทำหน้าซื่อถามกลับไป “คนไหนวะ”

“ก็มีอยู่คนเดียวตอนนี้ที่มาก้อร้อก้อติกไอ้วีร์” ศศิทัศน์เหล่ตามองวิธูว่าเขารู้ทันที่วิธูก็เข้าใจว่าเขาพูดถึงใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็พยักหน้าว่าเข้าใจ

“แล้วมึง... มี...” วิธูเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถามอะไร เพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของศศิทัศน์ว่าต้องการอะไรถึงได้มาพูดคุยกับพวกเขาในเรื่องนี้

“กูแค่อยากรู้เฉยๆว่าตอนนี้เป็นยังไง” ศศิทัศน์ถามสองพี่น้อง

“ก็... ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่ตอนนี้กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ะ” วิธูตอบ

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการของตัวเองไว้

“คือพวกูกยังไม่รู้ว่าวันก่อนพวกเขาแอบนัดกันไปทำอะไรมาสองคน แต่วันนั้นพี่กูเกิดป่วยต้องรีบสั่งโรงพยาบาลด่วน หลังจากนั้นไอ้วีร์มันก็... ไม่รู้สิ แบบแปลกๆ” วิธูพยายามอธิบายความคิดของเขา

“แต่กูเพิ่งเห็นพี่เขาขับรถมาส่งไอ้วีร์ที่ตึกคณะเมื่อเช้านี้เอง”

“ห๊ะ” ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน จนคนในร้านหลายคนหันมามองพวกเขากัน ทั้งสองคนต่างก็ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ศศิทัศน์มากขึ้น

“หมอต่ายแน่ใจใช่มั้ยว่าเป็นพี่กับวีร์จริงๆ” ปัญจวีส์ถามพร้อมกับเขย่าแขนศศิทัศน์ไปด้วย

“ใช่” ศศิทัศน์พยักหน้ายืนยันคำตอบ “กูเห็นชัดๆกับตากูเลย”

วิธูกับปัญจวีส์หันมาส่งสัญญาณผ่านสายตากันอีกครั้ง ศศิทัศน์อยากจะเข้าร่วมด้วยแต่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีใครหันมามองเขาสักคน

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถาม

“ตอนแรกกูก็คิดไปว่าไอ้วีร์จะกลัวเรื่องอาถรรพ์ที่เขาเม้าท์ๆถึงมันอยู่” วิธูยกตัวกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม

“อาถรรพ์...” ศศิทัศน์ย้อนคำพูดเอามาถามซ้ำ

“ก็ที่เขาพูดกันว่ามันมีดวงกินผัว คบกับใครก็เดดซะมอเร่ย์หมดไง” วิธูไขความให้ฟัง

“อ๋อ ที่บอกว่าโดยเฉพาะแฟนชื่อวี แถมยังน้องเป็นเพื่อนสนิทมันแล้วยังชื่อต่ายเหมือนกันใช่มั้ย” ศศิทัศน์มองสลับระหว่างสองพี่น้องที่ก็พยักหน้ารับกันทั้งคู่ “แล้วไง คราวนี้ก็ไม่เห็นเหมือนกันนี่นา ก็มันชื่อ...” ศศิทัศน์ชี้นิ้วไปทางด้านปัญจวีส์ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นน้องชายของชายหนุ่มรุ่นพี่ในหัวข้อสนทนาของพวกเขา จึงเบนนิ้วไปทางด้านวิธู “อ๋อ... แต่มึงก็เป็นน้องพี่เขาแล้วก็เป็นเพื่อนไอ้วีร์อยู่แล้วนี่นะ กูก็ลืมไป”

สองพี่น้องต่างก็ยิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ เพราะอย่างน้อยสิ่งที่ศศิทัศน์พูดมาก็ถูกต้องแล้ว... ประมาณครึ่งหนึ่ง

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามทั้งสองคน

“อ่า...” วิธูมีท่าทางลังเลที่จะตอบ ส่วนปัญจวีส์ก็ยกการตัดสินใจในเรื่องนี้ให้วิธูรับไปเต็มๆ “เอางี้... กูอยากถามมึงก่อน ว่ามึงคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“เรื่อง...” ศศิทัศน์ถามกลับ

“ก็เรื่องของพี่วีกับวีร์ไง” ปัญจวีส์เริ่มกล้าพูดคุยกับศศิทัศน์มากขึ้น

“ก็ไม่ยังไง ถ้าไอ้วีร์มันชอบพี่เขาจริงๆ กูจะไปทำอะไรได้” ศศิทัศน์นั่งพิงหลังไปแล้วยกมือขึ้นกอดอก “เพราะต่อให้ไอ้วีร์ไม่ชอบพี่เขา ก็ใช่ว่าเฮียจะฟื้นขึ้นมาได้ซะเมื่อไหร่”
23
พูดคุยทั่วไป / Pretty Womans in your town for night
« กระทู้ล่าสุด โดย dada เมื่อ 20-05-2024 22:43:13  »
24
พูดคุยทั่วไป / Find Sexy Womans in your city for night
« กระทู้ล่าสุด โดย PKsuphakit เมื่อ 20-05-2024 19:48:41  »
25
Boy's love story / Free connections: no strings attached dating
« กระทู้ล่าสุด โดย shabushabu4 เมื่อ 20-05-2024 17:46:24  »
Turn casual moments into unforgettable dates – choose the best casual dating site!
Be free in your desires, night games.
Verified Maidens
Unsurpassed casual Dating
26
พูดคุยทั่วไป / Search Womans in your town for night
« กระทู้ล่าสุด โดย DoraZar เมื่อ 20-05-2024 17:25:10  »
27
พูดคุยทั่วไป / Dangerous liaison for one night, confidential meetings
« กระทู้ล่าสุด โดย Lyubov เมื่อ 20-05-2024 17:12:11  »
Experience carefree connections with the top-rated site for casual dating adventures.
A safe space for new acquaintances
Real-life Girls
Prime casual Dating
28
Boy's love story / Candid connections: Platform for casual relationships
« กระทู้ล่าสุด โดย Ketone เมื่อ 20-05-2024 15:41:11  »
Turn casual moments into unforgettable dates – choose the best casual dating site!
Urgently needed: partner for fun, one night only
Genuine Ladies
Exemplary casual Dating
29
พูดคุยทั่วไป / Get vivid impressions and unforgettable emotions
« กระทู้ล่าสุด โดย NeWOnLy เมื่อ 20-05-2024 07:21:45  »
Embrace the freedom of casual encounters on the best dating app in town!
Looking for fun companions for travels and adventures?
Verified Maidens
Premier casual Dating
30
Boy's love story / Re: Closer ตัวอยู่ใกล้ แล้วใจล่ะ? (ตอนที่ 7 สบตา)
« กระทู้ล่าสุด โดย A Dark knight เมื่อ 19-05-2024 17:08:29  »
ตอนที่ 7

สบตา


“มึงงง ดูนี่สิ ๆ” ว่าแล้วก็โชว์โทรศัพท์ให้ผองเพื่อนดู

เมื่อเจอแก๊งผองเพื่อนทั้งสามคนผมก็ไม่รีรอที่จะโชว์ผลงานที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้พวกมันดู โต๊ะไม้ใต้ตึกคณะถูกจับจองตั้งแต่เช้าเพราะต้องรอเข้าเรียนคาบเช้า

“เอาเรื่องว่ะ เจอกันไม่นาน สถานการณ์มันคืบหน้าไปขนาดนี้เลยหรอ” ไอ้กันต์ลูบคางไปพยักหน้าไป ทำหน้าทำตาเหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า

“เพื่อนเราก็ไม่ได้หน้าเหี้ยอย่างที่คิดนี่หว่า” ไอ้คิมโพล่งขึ้นมา

“อ้าว พูดงี้อยากโดนตีนแต่เช้าเลยหรอ”

“อุ๊ยอ๊าย ขอแรง ๆ เลยพี่นนท์ขา ขอตรงบั้นท้ายแรง ๆ เลย อ๊าห์” ไอ้คิมหันตูดมาให้ผมและตบแปะ ๆ แถมทำท่าทางล้อเลียนอีกต่างหาก

“วอนละมึงงง มึงโดนแน่”

ผมวิ่งไล่เตะตูดไอ้คิม มันก็วิ่งหนีผมอย่างรวดเร็ว เราวิ่งไล่กันไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมที่แกล้งกันตอนเช้าก่อนเข้าแถว อีกฝ่ายวิ่งหนีแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แสนจะกวนประสาท แก๊งผมนอกจากไอ้กันต์แล้วก็มีไอ้นี่แหละที่คอยกวนโอ๊ยอยู่เรื่อย เห็นพูดจาอย่างนี้ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก มันแค่ชอบกวนตีน

ระหว่างที่กำลังวิ่งไล่ไอ้คิมอยู่นั้นก็มีอีกแก๊งปรากฏตัวขึ้นมาตรงทางขึ้นคณะ ออร่าโผล่มาแต่ไกลแบบนี้ไม่ต้องสืบเลยว่าเป็นใคร

แก๊งไอ้นันท์...

“นี่นายคือนันท์ใช่ปะ เพื่อนเราชอ@#*&#”

ดีที่ผมล็อคคอและเอามือปิดปากมันทันก่อนที่จะพูดได้จบประโยค ไอ้เหี้ยนี่จะสร้างเรื่องแต่เช้าเลยรึไง

อีกฝ่ายที่เหมือนจะได้ยินก็หันหน้ามาทางเราสองคนแบบงง ๆ

“หวัดดี ๆ ไม่มีไร ๆ แค่หยอกกันกับเพื่อนเฉย ๆ” ผมแก้เขินด้วยการทักทายและแถมรอยยิ้มให้มันไป ส่วนมือข้างที่ไม่ได้ปิดปากไอ้คิมก็ยกโบกให้กับไอ้หน้าหล่อที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่

มันก็ดูจะงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะโบกไม้โบกมือเบา ๆ เป็นการตอบกลับ จากนั้นก็เดินผ่านพวกผมพร้อมกับแก๊งเพื่อน ๆ ของมันที่มีจำนวนคนน้อยกว่าแก๊งผมคนนึง

“อ่อยไอ้แอ๊วไอ้เอี้ย”

“อ้าว โทษทีเผลอตัวไปหน่อย” ผมผละมือออกจากเมื่อได้ยินเสียงอู้อี้ที่น่าจะหมายถึงให้ปล่อยมัน

“ไอ้เหี้ยมือเค็มชิบหาย ฉี่ไม่ล้างมือหรอวะ”
“เปล่า กูขี้มาต่างหาก”

“ไอ้เหี้ย! สกปรก แหวะ ๆ ๆ มึงไปไกล ๆ กูเลย” ว่าแล้วมันก็ทำหน้าขยะแขยงผมและก็วิ่งกลับไปหาไอ้กันต์กับไอ้โฟลทที่โต๊ะไม้

ผมเดินตามมันกลับไปที่ต๊ะไม้พร้อมส่งสายตาคาดโทษไปหาไอ้คิม “เกือบสร้างเรื่องแต่เช้าแล้วนะมึง” ผมก็ชี้หน้าไปที่มัน

“แซวนิดหน่อยเอง ทำเป็นเขินยังกับสาวน้อยนิยายแจ่มใสไปได้”

“ไม่เล่นไอ้เหี้ย เดี๋ยวมันกลัวกูทำไง”

“โอ้ยแค่นี่เองไม่มีไรมากหรอก อย่าซีเรียสไปเลยน่า”

“เออไอ้สัส”

“อย่างทะเลาะกันไอ้เหี้ย มีกันอยู่แค่นี้ยังจะตีกันอีก” ไอ้กันต์เป็นฝ่ายห้ามทัพไม่ให้พวกผมสองคนตีกัน แต่เอาจริงก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก ผมชินแล้วกับความขี้เล่นของไอ้คิมที่บางทีก็เกือบจะสร้างเรื่องให้กับผม

“ไม่ต้องห่วงหรอกมึง กูกับไอ้นนท์ยังรักกันดี เนอะนนท์” มันทำตาวิ้ง ๆ มาทางผม

“แหวะ น่ารักมากมั้งไอ้เหี้ย”

“น่ารักไม่เท่าไอ้รูปหล่อของมึงหรอกค้าบบ”

“เดี๋ยวกูจกตาเข้าให้ไอ้เหี้ยนี่”

ระหว่างที่เถียงกันไอ้โฟลทก็ส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ไอ้คนไม่ค่อยพูดจาก็คงจะรำคาญเป็นเหมือนกันสินะ

“เตรียมตัวขึ้นห้องได้แล้วพวกเหี้ย มีแลปแต่เช้าเลยเนี่ยเร็ว ๆ เดี๋ยวไม่ทัน”

ว่าแล้วไอ้กันต์ก็เก็บของ เก็บขยะต่าง ๆ เตรียมตัวเข้าแลปเช้า ผมกับคิมเลยต้องสงบศึกกันตรงนั้นและช่วยกันเก็บเศษขยะ ถุงขนม แก้วน้ำ และกระเป๋าพร้อมย้ายสถานที่นอน เอ้ย ที่นั่งเพื่อไปเรียนในชั่วโมงกำลังจะมาถึง

สถานการณ์แต่ละวันของพวกผมก็จะประมาณนี้แหละ ตีกันบ้าง ด่ากันบ้าง บางทีก็ตีป้อมด้วยกัน เพียงแต่ว่าวันนี้มีพลังใจมาบูสต์ให้มีแรงขึ้นไปทำแลปที่โคตรจะน่าเบื่อนี้

อยากเจอทุกวันเลย


----------

อีกบริเวณหนึ่งของตึกคณะ

ผมมาที่มหา’ลัยแต่เช้าวันนี้เพราะมีคาบเช้า แต่ด้วยความที่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่ชื่อ ‘ภาคภูมิ’ มีธุระไปรับของกับเพื่อนที่คณะวิทยาฯ ผมกับน้ำใจเลยไปเป็นเพื่อน
ก่อนจะแวะไปที่ตึกวิทยาฯ พวกเรากินข้าวเช้าที่โรงอาหารวิศวะฯก่อนที่คนจะแห่มากันเยอะกว่านี้ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่งเอาได้ กลุ่มพวกเรามีกันอยู่แค่นี้แหละครับ อยู่กันแค่สามคน พวกเรามีนิสัยคล้าย ๆ กันก็คือไม่ค่อยชอบสุงสิงกับชาวบ้านชาวช่องกันเท่าไหร่ ชอบความสันโดษมากกว่า หรือที่หลาย ๆ คนมักจะเรียกว่าอินโทรเวิร์ต อะไรประมาณนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกแปลกแยกอะไรหรอกเพราะมีเพื่อนน้อยแต่เข้าใจกันดี ก็คงจะดีกว่ามีเพื่อนเยอะแต่นิสัยไม่เข้ากัน มีแบบนั้นจะลำบากใจซะเปล่า

ระยะทางจากโรงอาหารวิศวะฯไปถึงตึกคณะวิทยาฯก็ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว ภาคภูมินัดเพื่อนไว้ที่ม้านั่งที่อยู่หลังลิฟต์ด้านหลังของตึกคณะ เราเลือกที่จะเดินจากทางเดินข้างหน้าเพื่อที่จะทะลุไปด้านหลัง

เท้ายังไม่ทันได้พ้นบันไดคณะสายตาก็พลันจับจ้องไปที่นิสิตชายสองคนที่กำลังไล่เตะกันอยู่ราวกับเป็นสนามเด็กเล่นของเด็กประถม หนึ่งในนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเพื่อนใหม่ที่อยู่ร่วมกลุ่มกันในวิชาเสรีที่เรียนวันอังคารเช้า ผมจำคนคนนั้นได้ดีเพราะวีรกรรมในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ที่วิ่งมาชนผมล้มจนได้แผลมา ทำเอาเกือบโมโห แต่ดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากก็เลยยอมปล่อยไป

นิสิตชายผิวสีน้ำผึ้งอ่อน ๆ ผมหยักศกที่ดูแล้วน่าจะไปดัดวอลลุ่มมาแน่ เห็นช่วงนี้คนกำลังฮิตทรงนี้กัน ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่ เดาว่าอาจจะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน

“นี่นายคือนันท์ใช่ปะ เพื่อนเราชอ@#*&#”

ผมหันคอไปยังต้นทางของเสียงตะโกนนั่น แต่ยังไม่ทันได้ยินเต็มประโยค ไอ้คนที่ชื่อนนท์ก็เอามือปิดปากเพื่อนแถมล็อคคอไว้ซะแน่นเชียว

ตั้งแต่เจอกันวันแรกจนตอนนี้ก็ยังคงวิ่งเล่นเป็นเด็กเหมือนเดิม...
“หวัดดี ๆ ไม่มีไร ๆ แค่หยอกกันกับเพื่อนเฉย ๆ”

อีกฝ่ายยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันแทบทุกซี่ อีกทั้งยังอุตส่าห์โบกมือทักทายมาทางผมอีก

“...” ผมไม่ได้พูดตอบกลับอีกฝ่ายไปเพราะกำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ก็ไม่ลืมที่จะโบกมือเพื่อเป็นการทักทายกลับไป

ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างผมกับคนที่ชื่อนนท์ในตอนเช้าของวันนี้ และผมก็ไม่รู้จะทักทายอะไรไป นิสัยส่วนตัวผมก็เป็นประมาณนี้อยู่แล้ว หลายครั้งคนที่ไม่รู้จักผมดีก็มักจะหาว่าผมหยิ่ง

เห็นอย่างงี้ผมก็ไม่ได้โง่นะครับ ผมรู้ดีว่าคนที่พึ่งทักทายผมไปนั้นคิดอะไรยังไงกับผม ทั้งความรู้สึก สายตาและการแสดงออกของไอ้นนท์อะไรนั่นน่ะโคตรจะชัดเจน ผมรับรู้ได้ครับ

ในคาบวิชาเสรีวันก่อนตอนที่เพื่อนที่ชื่อกันต์เดินมาขอแลกคอนแท็คกันกับผมและน้ำใจ ดูก็รู้ครับว่าไอ้นนท์กำลังประหม่า จะมองมาที่ผมก็ไม่ จะพูดกันดี ๆ ก็ไม่ อาการแบบนี้มันก็ค่อนข้างชัดครับ ผมเลยแกล้งมันด้วยการให้มันพูดขอผมเองเพื่อดูปฏิกิริยาว่ามันจะตอบกลับยังไง

และก็ชัดเจนว่ามันพูดตะกุกตะกัก สายตาล่อกแล่กไปมา แค่นี้ก็รู้เลยว่าไม่ได้เป็นคนดูมีพิษภัยอะไร ออกจะซื่อ ๆ ซะด้วยซ้ำ

ซึ่งผมไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกครับ ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ความรักมันไม่จำกัดที่เรื่องของเพศ รสนิยมทางเพศ หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ผมไม่ได้แสดงความรู้สึกหรือพูดอะไรออกไปก็เพราะว่าเรารู้จักกันจริง ๆ ยังไม่ทันจะถึงสัปดาห์เลย และผมก็ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องแบบนี้ อย่างน้อยเป็นเพื่อนกันก็ไม่แย่

“เล่นกันสนุกเชียว น่ารักดีเนอะคนที่ชื่อนนท์ ดูสดใสดี ท่าทางจะขี้เล่นไม่เบา” จากที่กำลังคิดอะไรอยู่เรื่อยเปื่อยน้ำใจแสดงความคิดเห็นขึ้นมาตอนที่เราเดินผ่านสองคนนั้นมาแล้ว

“เอ้ารู้จักคนนั้นด้วยหรอที่หยอกกันตะกี๊” ภาคภูมิถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“อืม อยู่กลุ่มเดียวกันน่ะในวิชาเสรีที่ลงไป ที่จริงภาคก็เคยเจอมาก่อนนะตอนที่เราไปกินเบียร์กันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา”

“ใช่คนที่มาขอไอจีนันท์น่ะรึเปล่า เหมือนจะจำได้ลาง ๆ”

“ไม่ใช่ ๆ อีกคนนึงที่ยืนใกล้ ๆ กัน ตอนนั้นมันมืดด้วยแหละภาคคงจำไม่ได้”

“อ้อ ๆ ก็คงงั้น”

เช่นเคยครับ ผมไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกไปในบทสนทนาระหว่างน้ำใจกับภาคภูมิ แต่ในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับคนที่พึ่งเห็นเมื่อตะกี๊

ที่น้ำใจบอกว่าน่ารัก

ก็คงงั้นแหละมั้ง
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด