กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 ... 10
21
พูดคุยทั่วไป / พวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ
« กระทู้ล่าสุด โดย สไตล์หรีด เมื่อ 20-10-2025 21:33:15  »

พวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ พวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ คือหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการแสดงความอาลัยแด่ผู้ล่วงลับในเขตบางเขน กรุงเทพฯ วัดพระศรีมหาธาตุเป็นวัดใหญ่และมีความสำคัญทางศาสนา รวมถึงเป็นสถานที่จัดพิธีศพของผู้คนจำนวนมากในพื้นที่ วัดแห่งนี้มีบรรยากาศสงบ ร่มเย็น และเหมาะสมต่อการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างครบถ้วน การส่ง พวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ จึงเป็นการแสดงออกถึงความเคารพ พวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุความอาลัย และความระลึกถึงผู้จากไปอย่างสมเกียรติ จุดเด่นของพวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ

ร้านพวงหรีดที่ให้บริการส่งพวงหรีดไปยังวัดพระศรีมหาธาตุ มักตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บางเขน หลักสี่ และรามอินทรา เพื่อความสะดวกในการจัดส่งและบริการที่รวดเร็ว ภายในร้านมีช่างฝีมือที่ชำนาญในการจัดดอกไม้ มีความเข้าใจในรูปแบบของพิธีศพแต่ละประเภท จึงสามารถออกแบบพวงหรีดให้เหมาะสมกับบรรยากาศในงานและสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ วัดพระศรีมหาธาตุยังมีหลายศาลาสำหรับประกอบพิธี ทำให้สามารถเลือกการจัดวางพวงหรีดให้เหมาะสมตามขนาดของสถานที่ได้ ร้านพวงหรีดส่วนใหญ่มักมีบริการ ส่งพวงหรีดด่วน ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าสามารถมอบพวงหรีดได้ทันเวลา แม้อยู่ห่างไกล
22
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 20-10-2025 20:16:17  »
“บอน ตอนนี้มึงมีแฟนหรือเปล่า ...” มันมองหน้าผม คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเหมือนไม่แน่ใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาของเรา ในรถมีแค่เสียงแอร์และเสียงจากเครื่องยนต์ และทันทีที่คนตรงหน้าส่ายหัว

“... ดี” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมิลค์ นิ้วมือเรียวสวยคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อโปโลสีแดงก่อนจะดึงรั้งแฟนเก่าเข้ามาประกบจูบ ... ผมรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่ค่อย ๆ ทวีความลึกซึ้งขึ้น บอนไม่ดันผมออก ไม่หลบ ไม่ปฏิเสธ ... แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปเหมือนสายน้ำที่พาเรามา


----------


#ดี!!! #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

23
Boy's love story / Re: SHORT: Venom & Feathers: นาโครคินทระ - กาศยป (๕) พิษนาค - 20/10/2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 20-10-2025 13:21:59  »



“นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย” คำถามดังออกมาจากอาจารย์สอนภาษาไทย “เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า” ถามไปที่นักเรียนทั้งห้องที่นั่งเรียนกันอยู่ “ในโคลงโลกนิติบทนี้ แปลว่าอะไร มีใครรู้บ้าง” นักเรียนทั้งชั้นต่างพากันมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครอยากลุกขึ้นตอบคำถามของอาจารย์ที่มองเข้ามาในห้องเรียน จนอาจารย์ภาษาไทยประจำคาบ ชี้นิ้วเลือกถามนักเรียนชายที่นั่งอยู่หลังสุดข้างหน้าต่างด้านซ้าย



“อุรเคนทร์ ไหนเธอลุกขึ้นตอบซิ” เจ้าของชื่อแม้ว่าจะได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียก แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวหรือมีท่าที ตอบรับไปกับเสียงเรียกของอาจารย์ประจำวิชานั้น “นายอุรเคนทร์ ได้ยินที่ฉันถามเธอมั้ย” นักเรียนชายเจ้าของชื่อ ยังคงนั่งนิ่ง เงียบ ไม่ตอบหรือแสดงอาการท่าทีอะไร และนั่น เริ่มทำให้อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย เริ่มมีสีหน้าและท่าทางที่ไม่พอใจ เมื่อเห็นว่า อุรเคนทร์ไม่ทำตามที่ถูกออกคำสั่ง


 
“พ่อปู่ ฉันสองคนก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว นี่เมื่อวันก่อนที่โรงพยาบาล มันก็วิ่งตามรถใครไปก็ไม่รู้ ปากก็ร้องตะโกนเรียกเสียงดังลั่น ว่าอย่าเอาน้องไป ให้เอาน้องคืนมา” พ่อปู่ที่ใครต่อใครให้ความเคารพ มองมาที่เด็กชายอายุประมาณห้าขวบ ที่มองสบตากลับมาที่พ่อปู่อย่างไม่ได้มีอาการสะทกสะท้าน ประหนึ่งว่า ตัวของเด็กน้อยเอง นั้นก็รู้ตัว ว่าเขานั้นมีดีเช่นกัน



“เอ็งสองคนน่ะ มีบุญมากพอพาเขาให้มาเกิดใหม่ แต่ก็อาจจะมีวาสนากันเพียงถึงแค่เท่านั้น” จากวันเดือนปีและเวลาตกฟาก ที่พ่อปู่เอามาตรวจดูแล้ว ก็พอจะเข้าใจแล้ว ว่าอะไรกันที่กำลังเกิดขึ้น “พิษนาค” พ่อปู่บอกกับสองสามีภรรยาที่พาลูกน้อยของตัวเองมาหาพ่อปู่ในวันนี้ “ให้เขาอยู่กับเอ็งสองคนต่อไป ก็พาลจะให้เจ็บให้ป่วย ให้ต้องความร้ายแรงพิษแห่งนาคนั้น เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ” พ่อและแม่ของเด็กชาย มีผ้าพันแผลที่มือ ที่ทางหมอเองก็ไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์ให้ ว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร



“เอาอย่างนี้” พ่อปู่หาทางออกให้ เมื่อแผลไหม้ที่บนมือของผู้เป็นแม่ของเด็กน้อยนั้น หลังจากที่จับแขนของลูก แล้วเกิดอาการปวดแสบจนแทบจะทนไม่ได้ หมอเองได้ตรวจสอบทั้งแม่และลูก ก็ไม่พบความผิดปรกติอะไร โดยร่ำ ๆ จะส่งเคสนี้ต่อไปให้ทางหมอจิตเวชช่วยวิเคราะห์ ว่าอาจจะเป็นอาการทางจิต มากกว่าอาการทางร่างกาย ที่หมออายุรกรรมหรือหมอผู้เชี่ยวชาญแผนกอื่นใด จะให้คำวินิจฉัยได้



“มันต้องมีใครสักคน ที่สามารถช่วยขัดเกลาอารมณ์ของเจ้าอุรเคนทร์ ให้รู้จักควบคุมให้ได้” พ่อปู่พูดออกมา “ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับ เจ้าน้อง” สายตาขอวงเด็กชายวัยห้าขวบเป็นประกายขึ้นมาในทันที ที่ได้ยินคำพูดของพ่อปู่ “ดูเองเถิด แค่พูดพาดพิง ถึงคนคนนั้นเพียงนิดหน่อย” ตากลมแป๋วของอุรเคนทร์ในวัยห้าขวบ จ้องไปที่พ่อปู่เขม็ง “เออ เอาสิ แม้แต่ข้า เอ็งก็จะไม่ยกเว้นใช่มั้ย” ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าพ่อปู่เองก็เห็นความดุดันที่ซ่อนอยู่ในแววตาที่ใสซื่อของเด็กน้อย

 

เมื่อวันเพ็ญถัดไปมาถึง พ่อและแม่ของอุรเคนทร์ได้พาเด็กชายวัยห้าขวบ ที่เป็นลูกชายคนเดียวของพวกเขา มาฝากตัวเป็นลูกเป็นหลานของพ่อปู่ และเต็มไปด้วยความประหลาดใจของพ่อและแม่ของเด็กชายตัวน้อย ที่อุรเคนทร์เองนั้น พอรถจอดที่หน้าเรือนไม้ยกใต้ถุนสูงของพ่อปู่ เด็กชายตัวน้อยก็ไม่ได้อิดออดหรือแข็งขืนอย่างที่ทำกับพ่อและแม่มาโดยตลอด เวลาถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบใจ กลับเดินลงจากรถ ถือเป้ที่แม่ใส่ของส่วนตัวของเด็กน้อย ขึ้นเรือนไปนั่งขัดสมาธิที่ด้านหน้าพ่อปู่ และหลังจากที่พ่อปู่ทำพิธีกรรมบางอย่างเสร็จ อุรเคนทร์ก็เดินเข้าไปในห้องนอนที่พ่อปู่จัดเอาไว้ให้อย่างว่าง่าย



“ฉันถามคำถามง่าย ๆ กับเธอ อย่ามายืนนิ่งแบบนี้ เมื่อถูกถาม ตามหน้าที่ของนักเรียน เธอก็ต้องตอบ” อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ ที่นักเรียนในชั้นไม่ทำตามคำสั่งที่บอกออกไป “อาจารย์คะ หนูตอบคำถามแทนเคนทร์เขาก็ได้ค่ะ” เด็กนักเรียนหญิงเพื่อนร่วมห้องของอุรเคนทร์ ที่ถูกเรียกออกมายืนอยู่ข้างกัน บอกกับอาจารย์ประจำวิชาออกไป เธอมองหน้าอุรเคนทร์ที่ตอนนี้ กำลังบอกบุญไม่รับอย่างเต็มที่


 
“ครูให้นายอุรเคนทร์เขาเป็นคนตอบ” อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทยยังคงแสดงความไม่พอใจ กับท่าทางของอุรเคนทร์ “แต่ถ้าเขาไม่ตอบ ครูจะให้เขาคู่กับเธอ เป็นตัวแทนของระดับชั้นมัธยมปีที่หก ในงานแสดงวันภาษาไทยที่จะถึงนี้” คำพูดของอาจารย์เหมือนเป็นการยื่นคำขาด กับคนอย่างอุรเคนทร์ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ เลยของทางโรงเรียน ไม่ว่าจะขอความร่วมมือ ขอร้อง หรือแม้แต่การขู่ บังคับ ต่าง ๆ นานายังไงก็ตาม



“ผมจะไม่คู่ใครทั้งนั้น” อุรเคนทร์พูดออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีก” อุรเคนทร์ที่ในใจนั้น มีเพียงแค่ความแน่วแน่ “ถ้าไม่ใช่น้อง ก็ไม่มีใครอื่นอีก” อุรเคนทร์ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ กับความแน่วแน่ที่แสดงออกมาในน้ำเสียง “ยิ่งกับผู้หญิงคนนี้ ยิ่งไม่ใช่” อุรเคนทร์ประกาศกร้าว ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น “เธออย่ามาพูดจาวิปริต ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น” อาจารย์ร้องตะโกนออกมาด้วยความลืมตัว กับเรื่องราวที่พอจะรับรู้มาบ้าง เกี่ยวกับอุรเคนทร์


 
“พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง” อุรเคนทร์พูด จ้องกลับไปที่อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย แต่ด้วยพลังอะไรบางอย่าง ที่ทำให้อาจารย์เริ่มผงะเกรง “ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี” เสียงของอุรเคนทร์นั้น เสียดแทงเข้าไปในใจ ผ่านความรู้สึกของอาจารย์ประจำชั้นเข้าไป จนคนเป็นครูรู้สึกว่า เธอกำลังโดนด่า ตีแสกเข้ากลางหน้าผาก “คนบางคน ก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ทั้งที่ต่ำต้อยแท้ ๆ แต่บังอาจเทียบชั้นใครต่อใคร” ทุกคนในห้องอึ้งเงียบ มีแต่อาจารย์ที่กำลังเต้นเร่าไปด้วยความโกรธ



“นี่คือคำตอบของผม” ขณะที่อุรเคนทร์กำลังจะหันหลัง เพื่อเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย เผลอลืมตัว เอื้อมมือไปคว้าแขนของอุรเคนทร์เอาไว้ อุรเคนทร์นั้น หันขวับมามองด้วยสายตาดุดัน เพียงเท่านั้น อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย ก็ต้องกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง ด้วยความเจ็บ ความปวดแสบปวดร้อนเสียยิ่งกว่า ถูกไฟแผดเผารวมกับโดนน้ำร้อนจัด ๆ สาดกระทบผิวหนัง อาการที่มี ทำให้ถึงกับต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวไปอย่างเร่งด่วน



ความตึงเครียดเกิดขึ้นที่ห้องของผู้อำนวยการโรงเรียน เมื่อพ่อปู่นั้น เมื่อมาถึงโรงเรียน ก็ไม่ยอมให้ทางคณะครูฝ่ายปกครอง ลงโทษอุรเคนทร์ จนทางโรงเรียนถึงกับต้องเรียกตำรวจในพื้นที่มาเป็นพยาน แม้ว่าเพื่อน ๆ ในห้องของอรุเคนทร์ เมื่อถูกตำรวจสอบถามกับต่อหน้าบรรดาครูฝ่ายปกครองทั้งหลาย และรับรองว่า จะไม่มีใครเอาผิดนักเรียนทุกคนได้ หากพูดความจริงออกมาทั้งหมด ซึ่งเพื่อน ๆ ของอุรเคนทร์ทั้งห้อง ก็ให้การตรงกันว่า เป็นที่อาจารย์ประจำวิชา ที่คว้าแขนของอุรเคนทร์ ทางฝ่ายนักเรียนนั้น ไม่ได้แตะต้อง หรือตอบโต้ทางร่างกายอะไรกลับไปเลย


 
“ไปเจ้าเคนทร์ กลับบ้านกับปู่” พ่อปู่คว้าแขนของอุรเคนทร์ โดยที่ไม่ได้แสดงอาการปวดแสบปวดร้อนอะไรให้เห็น ทางตำรวจที่มาไกล่เกลี่ย ก็พากันส่ายหน้า และบอกว่า ขอให้ทางโรงเรียน ยกเลิกบทลงโทษทั้งหมดกับอุรเคนทร์ เพราะเรื่องที่เล่ามา ไม่ตรงกับสิ่งที่ตาทั้งสองเห็น เพราะพ่อปู่ก็สามารถจับตัวของอุรเคนทร์ได้เป็นปกติดี “ไม่อย่างนั้น ผมจะแจ้งดำเนินคดีกับทุกท่านนะครับ คุณครู ข้อหาแจ้งความเท็จ และกระทำทารุณกรรมเด็กเสียเอง” มาตอนนี้ ทางโรงเรียนจึงต้องยอมทำตาม และยอมทำตามที่ตำรวจแนะนำ



วาตะตักข้าวต้มเข้าปากได้เพียงสองสามคำ ก็ผลักถ้วยออกเบา ๆ แสดงอาการว่าอิ่มแล้ว แม่ของวาตะใช้มือแตะที่หน้าผากและคอของลูกชายเธอ ก่อนจะหยิบยาแก้ไข้มาให้ วาตะรับยาจากแม่มากิน ก่อนจะดื่มน้ำตาม วาตะบอกกับแม่ว่า ตอนนี้ตัวเองนั้นรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แม่ไม่จำเป็นต้องห่วง วาตะมองเลยไปที่ตลับขี้ผึ้งที่วางอยู่บนโต๊ะ แม่ของวาตะถามว่า แล้วอาการเจ็บที่ไหล่ด้านซ้าย ตอนนี้วาตะรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง


 
“ลูกไม่เจ็บแล้วครับแม่” วาตะเอามือซ้ายยกขึ้นแตะลงที่ไหล่ข้างเดียวกัน แม่ของวาตะนั้นจำได้ติดตา ถึงรอยแดงที่นูนขึ้นเป็นปื้นยาว มันมีขนาดใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคยเห็นบนไหล่ของลูกชาย “ทาขี้ผึ้งยังช่วยได้เหมือนเดิมอยู่มั้ย” กับคำถามของแม่ วาตะส่ายหน้ากลับไปแทนคำตอบ ยังจำได้ว่า หลวงพ่อนั้นเคยเตือนเอาไว้แต่แรกแล้ว ว่าวันใดวันหนึ่งนั้นจะมาถึง เมื่อขี้ผึ้งที่เคยช่วยป้องกันตัว เมื่อทาที่หน้าผาก จะไม่สามารถมีฤทธิ์ช่วยทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น อีกต่อไป และสิ่งที่ต้องเกิด ก็จะต้องเกิดอย่างห้ามหรือชะลอต่อไปอีกไม่ได้


 
“เพราะแม่กับพ่อไม่รู้ว่า เขาคนนั้นจะมาดีหรือมาร้ายกันแน่” สิ่งที่ทำให้พ่อและแม่ของวาตะกังวลใจ และเป็นห่วงลูกมาโดยตลอดก็คือ ทางหลวงพ่อเองนั้น ก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่า เพราะเหตุใด สาเหตุใด เพียงแต่พูดว่า เพราะมีกรรม มีบ่วง มีห่วงผูกพันร่วมกันมาเท่านั้น “เวลาอายุถึงเบญจเพส คนโบราณถึงถือว่าเป็นช่วงอายุที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ยิ่งอีกไม่กี่วัน วาตะก็จะครบอายุนี้บริบูรณ์เช่นกัน



“มันอาจจะเป็นโอกาสที่” วาตะจับมือแม่มาบีบเบา ๆ “โอกาสที่ลูกจะได้ชดใช้ให้เขาไป กับสิ่งที่ลูกอาจจะทำไม่ดีกับเขาเอาไว้” แม่ของวาตะน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาในทันที เมื่อคิดถึงว่า มันอาจจะกลายเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ที่พ่อและแม่ กลัวเป็นที่สุด ตั้งแต่รับรู้เรื่องนี้ของวาตะมา “ลูกขอให้พ่อกับแม่อย่าเสียใจ ถ้าหากว่าลูก” แม่ของวาตะดึงลูกชายเข้ามากอดจนแน่น “จะต้องจากไป” อาการสะอื้นไห้รับรู้ได้ไม่ยาก เมื่อน้ำตาของผู้เป็นแม่นั้นไหลพรากลงมานองแก้ม



อุรเคนทร์มองจ้องออกไปที่ประตูกระจกที่เปิดค้างเอาไว้ ที่ด้านนอกคือระเบียงห้อง ลมที่พัดเข้ามาภายในห้องนั้น มีกำลังแรงจนน่าตกใจ ผิดแต่เพียงว่า ลมที่พัดกระหน่ำเข้ามานี้ ดูจะมีเพียงเฉพาะห้องของอุรเคนทร์เท่านั้น ที่ปรากฏเหตุการณ์นี้ขึ้น และด้วยลมที่พัดอย่างแรง ภาพที่ผุดขึ้นมาให้เขาได้เห็น แรงลมพัดจากปีกคล้ายนกที่ทรงพลานุภาพนี้ มาจากใครคนนั้น ที่มาจากครั้งกาลก่อนที่ผูกพันกันมา



ทิชชากรใช้แรงเฮือกสุดท้าย ที่จะพาตัวเองบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ปากที่ร้องเรียกบุคคลสุดท้ายที่เป็นคนเข้าใจความรู้สึกของทิชชากรได้ดีที่สุด ซึ่งเรื่องนั้นอาจจะเป็นจริง แต่ว่าในเวลานี้ กลับช่วยเหลืออะไรทิชชากรไม่ได้เลย พระนางแม่ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลลงนองใบหน้า เมื่อมองเห็นทิชชากรที่เหลือปีกเพียงข้างเดียว พยายามโบกบินอย่างสุดกำลัง จนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตรงบริเวณนั้น ปลิวกระจัดกระจายไปไกลหลายต่อหลายโยชน์



“เจ้าคือลูกข้ากลับไร้ค่าและลดตัว” เสียงองค์พญาครุฑที่พูดออกมาด้วยความผิดหวังในตัวทิชชากร “เลือกเกลือกกลั้วนาคะประการนั้น” แรงทั้งหมดแต่ของทิชชากรที่ถูกกลั่นออกมาจากทุกอณูของร่างกาย แต่ยิ่งบินด้วยปีกที่เหลืออยู่นั้น กลับไม่ทำให้ทิชชากรได้เข้าใกล้พระนางแม่เลยสักนิด “ข้าขอปลดหมดหน้าที่ด้วยเจ้าพลัน” น้ำตาของพระแม่ยิ่งรินไหลลงมา เมื่อได้ยินพระสวามีประกาศลั่นกลางเวหา

 

“สิ้นสุดกันเจ้าปรัตยาข้าปิตุรงค์” สิ้นสุดคำประกาศตัดพ่อตัดลูกนั้นของพญากาศยป ท่านก็พาพระนางแม่บินหายลับตาไปกับเมฆที่บนฟ้านั้น ทิ้งให้ทิชชากรที่ปีกอ่อนกำลังลงทุกที ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมากองอยู่ที่พื้นดิน เลือดจากบาดแผลเพราะพิษนาคที่ปีกด้านซ้ายนั้น ทำให้ทิชชากรรู้ดีว่า ชีวิตนี้คงไม่อาจจะไปต่อด้วยความเป็นครุฑได้อีก และคงต้องลาจากโลกนี้ไปด้วยความเวทนา ภาพที่อุรเคนทร์เห็น สะท้อนเข้าไปในหัวใจของเขา และนี่คือเหตุผลที่เขาจะต้องหาคนคนนี้ให้เจอ ให้จงได้



********************************************************


คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ทุกนาทีที่สวยงาม - นนท์ ธนนท์

https://www.youtube.com/watch?v=4U90jF4Fm1U



จำได้ไหมที่ฉันนั้นเคยถาม

Do you remember that I once asked you?

ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราทั้งสอง

What would it be like if the both of us,

ในวันพรุ่งนี้ ที่ตื่นขึ้นมาแล้วเราไม่ได้พบกันอีกแล้ว

Waking up tomorrow and wouldn’t be able to be together anymore?



ถ้าวันนึงที่เราต้องจากกันไป

If one day, we have to go our separate ways

ถ้าเธอไม่มีฉันแล้วอยู่ได้ไหม

Will you be okay when you don’t have me around?

คำถามมากมายที่อยากให้เธอนั้นตอบ

These many questions I want you to answer them

ได้ยินมันบ้างไหม

Do you hear what I’m saying?



ใจเต็มไปด้วยคำถาม

All of these questions stay in my heart

แต่ไม่มีเธอรับฟังอยู่อีกแล้ว

But you are no longer here to listen to

เหมือนตอนที่เธอและฉันเคยเคียงข้างกัน

Not like the time when we shared our lives



ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

No way I can forget all the evil things happened the day we said goodbye

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม

And all the terrific moments that showed us our beautiful journey

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Countless questions that are stuck on my mind, do you know that they still suffer me?

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

All the answers are lying in every single minute I was once with you



ทุกเรื่องราวยังชัดเหมือนเมื่อวาน

Everything remains clear like those old days

ฉันไม่เคยจะลืมแม้ผ่านไปนาน

I don’t let go though it has been this long

ทุกความสวยงามมีค่ามากมายให้เก็บ

Each beautiful part is meant to be kept alive

ไม่เคยทิ้งมันไปไหน

None can be gone through time



ใช้ชีวิตด้วยใจที่แตกสลาย

Living my life with my shattered heart

เพราะว่าเธอน่ะเป็นเหมือนสิ่งสุดท้าย

Because you are my very last resource

เรื่องราวมากมายยังอยู่ในใจที่เจ็บ

Holding my memories that still cause pains

เมื่อเก็บความรักไว้

When I chose to store this love

ใจเต็มไปด้วยคำถาม

All of these questions stay in my heart

แต่ไม่มีเธอรับฟังอยู่อีกแล้ว

But you are no longer here to listen to

เหมือนตอนที่เธอและฉันเคยเคียงข้างกัน

Not like the time when we shared our lives



ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

No way I can forget all the evil things happened the day we said goodbye

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม

And all the terrific moments that showed us our beautiful journey

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Countless questions that are stuck on my mind, do you know that they still suffer me?

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

All the answers are lying in every single minute I was once with you
 

ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

I cannot let go all the bad unlucky path we chose the day we had to leave

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม (ขนาดไหน)

Including all the good fortunate parts in the moment, how much angelically we really felt?

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Bunches of questions that remain unanswered, that pains me so damn much

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

Because the answers to them still live in the time you’re by my side
 

ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

I cannot let go all the bad unlucky path we chose the day we had to leave

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม (ขนาดไหน)

Including all the good fortunate parts in the moment, how much angelically we really felt?

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Bunches of questions that remain unanswered, those do pain me so god damn much

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

Because the answers to them still live in the time you’re by my side


ช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม

The moments we have had, they have been blessing us two

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

The questions that are stuck on my mind – you know they still give me such pain

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

Because the answers they live in the time that we were still in love
24
Unit Linked คืออะไร ประกันชีวิตที่ให้อิสระทั้งความคุ้มครองและการลงทุนประกันยูนิตลิงค์ (Unit Linked Insurance) หรือที่เรียกกันว่า ประกันชีวิตควบการลงทุน คือนวัตกรรมของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่แตกต่างจากประกันแบบดั้งเดิม โดยจะเป็นการรวมเอา ความคุ้มครองชีวิต และ การลงทุน เข้าไว้ด้วยกันอย่างชัดเจนและยืดหยุ่น

เบี้ยประกันที่คุณจ่ายจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก
ส่วนความคุ้มครอง (Protection Cost): นำไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัย (Cost of Insurance - COI) เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองชีวิตตามวงเงินที่เลือกไว้
ส่วนการลงทุน (Investment): เงินส่วนที่เหลือจะถูกนำไปลงทุนใน กองทุนรวม (Mutual Funds) ที่คุณเลือกเอง โดยมูลค่าของกรมธรรม์จะผันผวนไปตามผลการดำเนินงานของกองทุนนั้น ๆ
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Unit Linked โดดเด่น Unit Linked ไม่ใช่แค่ประกันชีวิตธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการบริหารจัดการความเสี่ยงและการลงทุนไปพร้อมกัน



1. ความยืดหยุ่นในการปรับเบี้ยและทุนประกัน
นี่คือหัวใจสำคัญของ Unit Linked ที่ประกันแบบเดิมให้ไม่ได้:ปรับเบี้ยประกัน, เพิ่ม, ลด, หรือพักชำระเบี้ย ได้ตามจังหวะทางการเงินในแต่ละช่วงชีวิต (โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ และมูลค่าบัญชีกรมธรรม์ต้องเพียงพอสำหรับหักค่าใช้จ่ายความคุ้มครอง)
ปรับทุนประกัน: สามารถ เพิ่มหรือลดวงเงินความคุ้มครองชีวิต ได้ตามความต้องการ เช่น เมื่อมีภาระหนี้สินหรือครอบครัวเพิ่มขึ้น ก็สามารถเพิ่มทุนประกันให้สูงขึ้นได้ (การเพิ่มมักต้องผ่านการพิจารณาความเสี่ยงใหม่)
เติมเงินลงทุนเพิ่ม (Top Up): สามารถจ่ายเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มเงินลงทุนในกองทุนได้ (ถ้ามีเงินก้อน) หรือ ถอนเงินบางส่วน จากมูลค่าหน่วยลงทุนออกมาใช้ได้ โดยที่ความคุ้มครองชีวิตยังคงอยู่ ประกันควบการลงทุน

2. อิสระในการเลือกลงทุน
คุณมีอิสระในการเลือกและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนด้วยตนเอง
เลือกลงทุนในกองทุนรวม: บริษัทประกันจะคัดสรรกองทุนรวมคุณภาพจากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำมาให้เลือก คุณสามารถจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ (ตั้งแต่กองทุนความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงกองทุนหุ้นความเสี่ยงสูง)
สับเปลี่ยนกองทุน (Switching): สามารถสับเปลี่ยนกองทุนภายในพอร์ตได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ตามจำนวนครั้งที่กำหนด) เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ข้อดี: Unit Linked เป็นตัวเลือกที่ดี หาก...
ต้องการความคุ้มครองชีวิตสูง: เหมาะกับผู้ที่ต้องการทุนประกันสูง เพื่อส่งต่อความมั่นคงให้กับครอบครัว
ต้องการความยืดหยุ่น: ผู้ที่ต้องการควบคุมการจ่ายเบี้ยและการคุ้มครองชีวิตได้ด้วยตนเอง
มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุน: ผู้ที่เข้าใจความผันผวนของตลาด และสามารถเลือก/บริหารกองทุนรวมได้
วางแผนการเงินระยะยาว: เหมาะสำหรับการสร้างวินัยการออมและการลงทุนเพื่อเป้าหมายเกษียณ หรือเป้าหมายระยะยาวอื่น ๆ กองทุนประกันชีวิต

ข้อเสีย: Unit Linked อาจไม่เหมาะกับคุณ หาก...
ไม่รับความเสี่ยงได้: ผลตอบแทนของ Unit Linked ไม่ได้รับการการันตี มูลค่ากรมธรรม์จะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนของกองทุนรวม และอาจขาดทุนได้
เน้นผลตอบแทนระยะสั้น: Unit Linked ถูกออกแบบมาเพื่อการลงทุนระยะยาว การถอนเงินในช่วงปีแรก ๆ อาจทำให้ขาดทุนสูง เนื่องจากมีการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานค่อนข้างสูงในช่วงเริ่มต้น
ไม่ต้องการความยุ่งยาก: ต้องมีการติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ หากไม่บริหารจัดการเอง อาจพลาดโอกาสในการทำกำไร

25
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 19-10-2025 10:20:15  »
ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด (Part 2/2)

ผมยืดคอขึ้นเพื่อโกยอากาศเข้าให้เต็มปอด เอวบางโยกขึ้นลงตามจังหวะที่ถูกส่งมาจากคนด้านล่าง ความเสี่ยวซ่านแพร่กระสานไปทั่วร่างกาย ในบางจังหวะที่จุดอ่อนไหวด้านในถูกกระตุ้น นิ้วมือเรียวสวยถึงกับต้องจิกลงบนกล้ามอกแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำ

มือหนาคว้าหมับเข้าที่เอวคอด ก่อนที่บอนจะพลิกตัวขึ้นเพื่อสลับตำแหน่ง ท่อนขาเนียนเรียวปราศจากไรขนถูกยกขึ้นพาดบนไหล่กว้าง เรา 2 คนสบตากันอีกครั้ง

“ไหวไหม” คนด้านบนถาม พอพยักหน้าตอบรับบอนก็โถมกระหน่ำแรงลงมาจนผมต้องเอื้อมมือขึ้นไปดันหัวเตียงเอาไว้ไม่ให้ตัวเองไถลไปตามแรงกระแทก

เสียงลมหายใจ เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงเจลหล่อลื่นที่เสียดสีกับช่องทางอ่อนไหว แม้จะฟังดูหยาบโลนแต่กลับยิ่งยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของเรา 2 คนเตลิดไปไกล

เพี๊ยะ!!!

ผมนิ่งงันไปชั่วขณะเพราะความตกตลึง แต่พอตั้งสติได้ความโกรธก็พุ่งทยาน

เพี๊ยะ!!!

ฝ่ามือบางตบเข้าที่แก้มของคนด้านบนเต็มแรง ใบหน้าคมหันไปตามแรงกระแทกก่อนจะเริ่มขึ้นเป็นสีแดงจางๆ กิจกรรมด้านล่างหยุดชงัก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันบ่งบอกชัดเจนว่าบอนไม่พอใจ

“อย่าตีก้น กูไม่ใช้กระหรี่” ดวงตาด้านล่างฉายแววแข็งกร้าวไม่ต่างกัน แต่พอพูดจบผมก็คว้าคอคนของมันลงมาประกบจูบ อารมณ์ใคร่ถูกปลุกกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เอวหนาซอยถี่ยิบ ฝ่ามือร้อนกดเอวบางจนแทบจะจมหายไปกับเตียง เสียงครางสูงต่ำดังสลับ คนด้านบนหายใจถี่เร็ว

“ทำให้กู ...” มิลค์พูดขึ้นพลางจับเอามือหนามาวางไว้ที่จุดอ่อนไหว

“... เสร็จพร้อมกัน” คนด้านบนพยักหน้ารับ เอวหนายังคงซอยถี่เร็ว ในขณะที่ฝ่ามือร้อนกุมจุดอ่อนไหวของมิลค์ไว้ในมือก่อนจะรูดขึ้นลง

“อ่า / อร่า!!!”



“มึงสวย” ผมที่กำลังนั่งเช็ดผมอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามปรายสายตาขึ้นมอง บอนที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่มองผมไม่ละสายตา เสื้อคลุมอาบน้ำที่เจ้าตัวใส่แหกออกจนเห็นช่วงอกที่มีรอยปื้นแดงๆ พาดผ่าน เพราะไม่ได้เตรียมชุดมาพวกเราเลยต้องใช้ชุดคลุมอาบน้ำแทนชุดนอน

“ต่อให้ชมมากกว่านี้กูก็ไม่ให้อีกรอบหรอกนะ” ผมแยกเคี้ยวใส่เพราะรู้สันดานของคนตรงหน้าดี นาฬิกา digital ตรงหัวเตียงบ่งบอกเวลา 01.45 พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า บอนอาสาไปส่งผมที่คณะให้ทันก่อนคาบเช้า 8.00

“กูไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ...” น้ำเสียงมันตัดเพ้อ บ่งบอกชัดเจนว่าให้ผมหยุดมองมันในแง่ร้ายได้แล้ว

“... มึงพูดจริงๆ เหรอว่าตั้งแต่เลิกกัน มึงไม่เคยมีแฟนอีกเลย”

“อืม ไม่เคย” ผมตอบพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่ใกล้จะแห้งสนิท

“ทำไมวะ”

“ไม่อยากมี อยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า”

“เดียวนะ!!! งั้นแสดงว่าถึงตอนนี้กูเป็นคนเดียวที่มึงเคยมีอะไรด้วย?” บอนตาเป็นประกายเมื่อตีความคำตอบของผมไปอีกประเด็นหนึ่งหน้าตาเฉย สีหน้าภาคภูมิใจนั้นทำให้ผมอยากจะเดินไปฟาดหน้ามันอีกซักที

“ก็ตามนั้น” ผมใช้ความนิ่งสยบแววตาเจ้าเล่ห์ของมัน ในใจรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ไอ้บอนลืมคิดไปว่านอกจากมันจะเป็นคนเดียวที่ผมเคยมีอะไรด้วยแล้ว เมื่อกี้ยังเป็น sex ครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีของผม

“กูพูดจริงๆ นะว่ามึงสวยจริง สวยมาก สวยจนใครๆ ก็ต้องหันกลับมามอง ...”

“... รู้หรือเปล่าว่าที่ห้องอาหารคนแอบมองมึงเยอะมาก” ผมยิ้มรับ ก่อนจะลุกขึ้นเอาผ้าขนหนูผืนเล็กไปเก็บในห้องน้ำ ขณะที่เดินกลับออกมาเห็นซองถุงยางที่ถูกฉีกออกแล้ว 3 ซองนอนนิ่งอยู่ก้นถังขยะ ช่วงจังหวะหนึ่งผมอยากจะย้อนเวลากลับไปหยุมหัวตัวเอง เพราะกลัวว่าการติดสินใจเพียงชั่ววูปจะทำให้เรื่องราวต่างๆ ซับซ้อนมากไปกว่าที่เป็นอยู่

“นอนเถอะ ...” ผมทิ้งตัวลงบนเตียงในขณะที่บอนก็ไถลตัวลงมานอนอยู่ข้างๆ เรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน

“... ปิดไฟได้แล้ว โคตรง่วง”

“กูขอโทษนะที่ตีก้นมึง” บอนทำหน้าหมาหงอย ให้ความรู้สึกเหมือนหมา Golden retriever ที่กลัวว่าจะถูกเจ้าของดุ

“อืม ขอโทษเหมือนกันที่ตบหน้ามึง”

“กูไม่รู้ว่ามึงไม่ชอบ ...”

“... มิลค์...”

“... ลองกลับมาคบกันไหม” นั้นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ

“อย่าเลย มึงก็รู้ว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า sex” ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แม้จะหายโกรธไปนานแล้วแต่ผมก็ยังจำได้ว่ามันทำให้ผมเสียใจมากแค่ไหน

“กูรู้ แต่กูอยากลองดูอีกซักครั้ง ... ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วกูไม่คว้าไว้ไม่ได้”

“กูไม่อยากทำร้ายมึง ... กูดีใจนะเว้ยที่เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง” ผมตอบตามความจริง ตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรในใจ แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่คำว่ารักปนอยู่เลยแม้แต่น้อย

“กูขอเวลาแค่เดือนเดียว ...” คนตรงหน้ายังคงยื้อ

“... ลองคบกัน แล้วเมื่อถึงเวลา กูทำให้มึงกลับมารักกูไม่ได้ ถึงตอนนั้นกูก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว...”

“... เราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

...

...

...

“ได้ ถ้ามึงสัญญาว่าทุกอย่างจะจบใน 1 เดือน...” มันพยักหน้ารับพร้อมมองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย

“... แต่กูเตือนมึงไว้ก่อนว่าอย่างคาดหวังอะไรมากนัก” รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางรู้สึกอะไรมากไปกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง อยากลองทำอะไรบ้าๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายดูซักครั้ง



“อีมิลค์ เมื่อวานแกหายไปไหนมา” แก้วถามทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้ามันแสดงออกชัดเจนว่าสงสัยที่เห็นผมนั่งอยู่ในห้อง lecture ตั้งแต่ 7.30 ทั้งที่ปกติผมมักจะมาถึงเกือบๆ 8.00

“ปวดหัวหน่อยๆ เลยกลับบ้าน”

“อย่าตอแหล เมื่อวานก่อนกลับบ้านไอ้ต่อยังเห็นรถแกจอดอยู่ที่ตึก ...”

“... แล้วเมื่อเช้าใครมาส่ง ... ฉันเห็นแกลงจาก BMW สีขาว รถใคร รถไอ้จีเหรอ”

“รถเพื่อน” ผมยอมบอกอย่างเสียมิได้

“ใต้ตาแกบวมมาก เมื่อคืนได้นอนบ้างไหมวะ”

“นอนดิ แต่ดึกหน่อย” แก้วยิ้มเจือน ไม่รู้มันจินตาการสาเหตที่ทำให้ผมนอนดึกไปไกลถึงไหน

“มิลค์ ฉันจริงจังนะ ... ทุกคนเป็นห่วง ...”

“... เมื่อวานอยู่ๆ แกก็หายไป โทรไม่รับ DM ไปก็ไม่อ่าน ทิ้งรถไว้ที่คณะทั้งคืน เช้านี้มีใครไม่รู้มาส่ง ...”

“... แล้วแกจะให้ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมหลุดขำกับจินตนาการสุดจะกว้างไกลของมัน แต่เจ้าตัวกลับตวัดสายตามองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นี่แกคิดว่าเราไปทำอะไรมา” ผมถาม

“กับพฤติกรรมของแกช่วงนี้ ฉันไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไรแล้ว”

“เพื่อนจริงๆ เพื่อนสมัยมัธยม บังเอิญเจอกันเมื่อวานเลยคุยกันเพลินไปหน่อย”

“คุยกันเพลินจนทิ้งรถไว้ที่ตึกเนี่ยนะ ... เฮ่ออออออออ ...”

“... แกรู้ใช่ไหมว่าคำตอบมันไม่ make sense แต่ถ้าแกบอกว่าเพื่อนฉันก็จะเชื่อ”

“เราขอโทษ แต่เราสัญญาว่าที่ผ่านไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย”

“ช่วงนี้แกเป็นอะไรวะ มีปัญหาอะไรบอกฉันได้นะเว้ย”

“เรามีเรื่องให้ต้องคิด”

“เรื่องไอ้จี? ...” ผมพยักหน้า

“... ฉันพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ...” ผมก็พอรู้ว่าแก้วเดาสถานการณ์ออก

"... เราช่วยอะไรแกได้บ้างไหม" ผมส่ายหน้าให้กับความหวังดีของแก้ว

"เรายังไม่พร้อมจะตัดสินใจอะไรทั้งนั้น แค่อยากอยู่กับตัวให้มากกว่านี้อีกหน่อย"



----------



“แน่ใจนะว่าจะไม่กินด้วยกัน” ผมถามในขณะที่รถกำลังเลี้ยงเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านเลียบด่วน

“ไม่วะ เพื่อนมึงไม่ชอบหน้ากู โดยเฉพาะไอ้ไอซ์” เพราะไอซ์มันรู้ไงว่ามึงสันดานเหี้ย มันเลยไม่ชอบมึง 555 อย่างว่าแหละผีเห็นผี

“งั้นกินเสร็จแล้วกูโทรหา ...”

“... ไหนว่าไม่ไปกินด้วยไง” ผมถามเพราะบอนก้าวลงมาจากรถเหมือนกัน

“ก็ไม่กิน แต่จะไปส่ง”

“กวนตีนนะมึง” ผมรู้ว่ามันจงใจไปกวนตีนไอ้ไอซ์มากกว่าอยากจะไปส่งผม

อาร์มโบกมือเรียนทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในร้านอาหาร บรรยากาศแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อพวกมันเห็นว่าคนที่เดินตามผมเข้ามาในร้านอาหารคือแฟนเก่าที่สร้างวีรกรรมไว้มากมาย เพราะรู้จักกันมานานถึงรู้ว่าพวกมันส่งซิกกันผ่านสายตา จีและไอซ์มองหน้าผมกับบอนสลับกันไปมา

“enjoy นะมึง เสร็จแล้วโทรบอก เดี๋ยวกูมารับ” บอนเดินมาส่งผมถึงโต๊ะอาหาร

“ไม่เอา อายคนอื่นเขา” ผมขืนตัวเมื่อคนข้างๆ พยายามจะกดจมูกลงบนศีรษะ

“ฮึๆๆ” มันหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหลังมือผมอย่างแผ่วเบา รู้แหละว่าตั้งใจปั่นประสาทไอซ์กับจี แต่ทำแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนในกลุ่มก็ทำให้ผมรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย

“เล่ามา” หลับหลังบอน ผมก็ถูกพวกมันทั้ง 4 คนจ้องมองด้วยสายตาคาดคั้น

“บังเอิญเจอกันที่สยามเมื่อหลายวันก่อน” ผมตอบพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบปลาดิบตรงหน้า

“อย่ากวนตีน” ไอซ์พูดเสียงเข้ม มันรู้ว่าผมจงใจเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

“มันขอจีบ”

“แล้วมึงตกลง?”

“กูไม่เสียอะไรหรือเปล่าวะ เหลืออีกไม่ถึง 3 สัปดาห์มันก็กลับไปเรียนต่อแล้ว” ผมยักไหล่ ทำสีหน้าท่าทางว่าไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร

“แล้วไงต่อ”

“ก็ถ้าถึงตอนนั้นกูไม่รู้สึกอะไร ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

“เพื่อน? ...” ไอซ์ถือวิสาสะแหวกคอเสื้อผมไปด้านข้างเผยให้เห็นหลักฐานจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ปรากฏชัดเจนบริเวณไหปลาร้าลามไปจนถึงลาดไหล่ คนข้างๆ ขมวดคิ้วทันที สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับภาพที่เห็น ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ช่วงอกและหน้าท้อง ผิวละเอียดของมิลค์เต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงช้ำ

“... ตัวลายเป็นตุ๊กแกขนาดนี้ยังกล้าพูดคำว่าเพื่อน”

“วินวินไง ... ทำอย่างกับมึงไม่เข้าใจคำนี้” ถึงเวลาของผมที่จะเอาคืนไอ้ไอซบ้าง

“ยอกย้อนนะมึง ... คิดจะแรดก็อย่าลืมป้องกันตัวเองให้ดีละ”

“เออน่า กูดูแลตัวเองได้ ยังไงก็ไม่ท้องก่อนแต่ง” พูดจบผมก็ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบอีกชิ้นเข้าปาก

“ปากดีฉิบหาย ท้องไม่ได้แต่ถ้าติดโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้ ไอ้เหี้ยบอนยิ่งมั่วๆ อยู่ด้วย”

จบประโยคนั้นพวกเราเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ในจังหวะที่มิลค์ก้มหน้าก้มตากินอาหารและพูดคุยกับเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจองมองมาด้วยสายตาสั่นไหว และเสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน สายตาจากดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นฉายแววความไม่พอใจอยู่ในที



ประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุดของคอนโดหรูย่านสาทร เจ้าของดวงตาชั้นเดียวก้าวออกมาจากลิฟต์ คีย์การ์ดถูกวางแนบลงบนบานประตูก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะปลดล๊อค แม้ช่วงหลังมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าของห้องจะดูห่างเหิน และเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยเหมือนเมื่อก่อนแต่การที่มิลค์ไม่ได้เอ่ยปากขอ keycard คืน ก็ทำให้จีรู้สึกใจชื่นขึ้นมาบ้างว่าระหว่างเรายังคงมีความรู้สึกบางอย่างเชื่อมถึงกันอยู่

ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ไฟตามทางเดินถูกเปิดทิ้งไว้เป็นสัญญานว่าเจ้าของอยู่ในห้อง แต่พอเดินเข้ามาหัวใจของจีก็เหมือนจะร่วงหล่น บนชั้นเก็บรองเท้าช่องประจำของเขามีรองเท้าของใครอีกคู่วางอยู่ จีเดินผ่านไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นชิน ห้องนั่งเล่นว่างเปล่า ห้องครัวและห้องกินข้าวเงียบสนิท พอเห็นว่าประตูห้องนอนของมิลค์เปิดแง้มไว้ 2 ขาก็เดินไปทางนั้นทันที แต่ยิ่งเข้าใกล้ หัวใจก็ยิ่งเต้นถี่รัว จีได้ยินเสียงบางอย่างเล็ดรอดออกมา เสียงที่บ่งบอกว่าเขามาผิดเวลา แม้จะรู้ว่าภาพด้านหลังบานประตูคืออะไรแต่ถึงอย่างนั้น 2 เท้าก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้า

ประตูรถ Lexus IS สีดำถูกกระแทกปิดอย่างแรงจนเสียงดังไปทั่วลานจอด กำปั้นหนักๆ ถูกฟาดลงบนพวงมาลัยอย่างไม่ออมแรง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาตะโกนออกมาเต็มเสียงอย่างสุดจะกั้น มันมากไป มากเกินไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาน่าจะหันหลังเดินกลับทางเดิม ไม่น่าพาตัวเองไปเห็นภาพตรงหน้า โกรธจนอยากจะพุ่งไปกระฉากทั้งคู่ออกจากกัน แต่สิ่งเดียวที่ทำได้คือพาตัวเองออกมา เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มจนไม่เหลือเค้าของความหล่อเหลา

จากช่องประตูที่แง้มอยู่ เขาเห็นมิลค์นั่งคร่อมอยู่บนตักของบอน ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้ออย่างนักกีฬากำลังโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนที่เขารักและเฝ้าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก เอวบางขยับขึ้นลงตามแรงอารมณ์ ทั้ง 2 คนสอดประสานกันแนบแน่นลงตัว จีเคยจินตนาการถึงการร่วมรักครั้งแรกระหว่างเขากับมิลค์ว่าเสียงครางของอีกฝ่ายจะต้องทำให้เขาคลั่งรักจนแทบบ้า แต่ตอนนี้เสียงที่ได้ยินกลับเหมือนใบมีดที่กรีดลึกลงกลางหัวใจ ... ทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว


----------


#พังหมดแล้ว #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ปล. สัปดาห์นี้ภาพเยอะหน่อยนะครับ  :hao7:
26
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 19-10-2025 10:16:48  »
ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด (Part 1/2)

ไม่ว่าแสงอาทิตย์จะฉาบท้องฟ้าให้มีสีฟ้าครามแค่ไหนแต่ผืนฟ้าที่เคยสวยงามตอนนี้กลับไม่สดใสเหมือนเก่า หัวใจของผมปกคุลมไปด้วยเมฆหมอกขมุกขมัว ความสัมพันธ์ของผมกับจีที่เหมือนจะกลับมาอยู่ในระดับเดิม ตอนนี้ร่วงหล่นราวกับตกเหว หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ออกไปไหนมาไหนกัน 2 คนอีกเลย สรรพนามของเราถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น ‘กู-มึง’ อีกครั้ง

“กลางวันไปกินข้าวไหน” แก้วถามเมื่ออาจารย์ปิดสไลด์ เป็นสัญญานว่าปล่อยนิสิตให้ไปพักกลางวันได้

“กูว่าจะไปหาอะไรกินในสยาม อยากเดินดูโน่นนี้หน่อย”

“ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่อเสนอตัวไปเป็นเพื่อน

“ไม่เป็นไร พวกแกไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ เราว่าจะเดินเล่นนิดหน่อย เกรงใจพวกแก”

“เหรอ”

“อืม ไว้เจอกันคาบบ่าย” แก้วเหมือนจะอยากตามมาแต่เพราะต่อส่งสายตาเชิงห้ามปรามเจ้าตัวถึงได้ปล่อยให้ผมไปคนเดียว มัน 3 คนรู้เรื่องระหว่างผมกับจี แม้จะเป็นห่วงแต่พวกมันก็ยินดีจะเว้นระยะห่างตามที่ผมต้องการ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะแยกตัวไปกินข้าวกลางวันคนเดียว อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากหน่อย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดแม้ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบซักที เทอมสุดท้ายของปี 5 ใกล้จะจบลง อีกไม่นานผมจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ของคณะ เวลาในรั้วมหาลัยเหลือน้อยลงทุกที จากที่เคยมั่นใจว่าจะเรียนต่อตอนนี้ผมรู้สึกลังเล

ผมเดินเลาะไปตามซอยของสยามสแควร์ตั้งใจจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ชั้น 2 ของร้านแว่นตา ในขณะที่กำลังเดินขึ้นชั้นบน ผมมองเข้าไปในร้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาพอดี เรา 2 คนสบตากัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นเลย เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู

“มิลค์!!!”

“บอน!!!”

“มึงมาทำอะไร” เจ้าตัวถามพลางก้าวออกจากร้าน

“กินข้าว ... ชั้น 2 มีร้านอาหารญี่ปุ่น” ผมอธิบายเพิ่มเติม

“จริงดิ? กูกินด้วยได้เปล่า ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย หรือมึงนัดใครไว้”

“เอาดิ กูมาคนเดียวเหมือนกัน”

“งั้นรอแป๊บกูจ่ายตังค์ก่อน ...” เจ้าตัวรีบกลับเข้าไปในร้าน จ่ายเงิน รับของ แล้วเดินออกภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 นาที

“... ไปกัน” มันพูดก่อนจะเดินตามหลังผมขึ้นมายังชั้น 2



“สั่งอะไรมากินตรงกลางไหม” บอนถามเมื่อต่างคนต่างสั่งมื้อกลางวันของตัวเองเรียบร้อย

“เอาดิ” ผมพยักหน้า แล้วเปิดเมนูหาอาหารจานกลาง

“มึงยังชอบกินของทอดอยู่ไหม”

“ชอบ”

“เอาหมู tonkatsu ครับ”

“กูสั่งอะไรมากินคู่กันหน่อยนะ” ผมถาม

“เอาเลยๆ” คนตรงข้ามตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

“เอา Hamachi sashimi ครับ” พนักงานตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเก็บเมนูแล้วเดินไปส่ง order

“มึงเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานโคตร” บอนถามอย่างกระตือรือร้น ตั้งแต่จบมัธยม เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ผมรู้แค่บอนเรียนต่อคณะบริหารที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง

“นานจริง กูโอเคดี ใกล้เรียนจบแล้ว”

“เออใช่ กูลืมไปเลยว่ามึงเรียนสัตวแพทย์” ผมไม่ได้แปลกใจที่บอนรู้ เราเป็น friend กันใน FB ตั้งแต่ปีที่แล้ว

“แล้วมึงละ ตอนนี้ทำไรอยู่”

“เรียนต่อ จริงๆ ตอนนี้กูเรียนต่อที่ New York แต่เป็นช่วงปิดเทอมเลยกลับมาบ้าน” รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะเจ้าตัวไม่ค่อย up อะไรลง FB ผมเลยไม่รู้เรื่องชีวิตของบอนมากนัก

“เรียนบริหาร?”

“อืม บริหาร minor เป็นการเงิน”

“เหมาะกับมึง” มันยิ้มกว้างตอบรับคำชมของผม บ้านของบอนเป็นโรงงาน OEM อาหาร ผมเชื่อว่าวัยเด็กของพวกเราทุกคนต้องเคยกินอาหารที่ผลิตจากธรุกิจที่บ้านของมันมาอย่างน้อย 1 อย่าง การเรียนต่อด้านบริหารควบการเงินเป็นสาขาที่เหมาะกับผู้บริหารในอนาคตอย่างบอน

“ขำอะไรวะ” มันถามเมื่อผมหลุดขำเพราะแอบแซวมันในหัว

“ขำมึง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กไม่ชอบเรียนหนังสืออย่างมึงจะมาไกลได้ขนาดนี้”

“ก็โตแล้วไหมวะ เรียนๆ เล่นๆ มาตลอด ถึงเวลาต้องจริงจังกับอนาคตตัวเองซักที” ผมทำสีหน้าเหลือเชื่อว่าประโยคคมๆ แบบนี้จะหลุดออกจากปากของมัน

“ม๊าคงดีใจน่าดู ... ป๊าม๊าสบายดีนะ” อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ผมกับบอนเลยคุยไปกินไป

“สบายดี แล้วมึงละ จบแล้วจะทำอะไรต่อ” มันถาม

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”

“อย่างมึงเนี่ยนะ” บอนถามด้วยสีหน้าสงสัย เพราะในความรู้สึกของบอนมิคล์เป็นคนเก่งและมักจะวางแผนอนาคตของตัวเองเสมอ

“คนอย่างกูเนี่ยแหละ 555” แต่แม้จะเป็นคนเก่ง แต่คนเราก็ย่อมมีช่วงที่ไม่แน่ใจกับอนาคตของตัวเองบ้างเหมือนกัน

“มึงไม่ได้จะต้องกลับไปช่วยงานพ่อเหรอ”

“ไม่รู้ซิ? ยังคิดอยู่ว่าจะเรียนต่อเกี่ยวกับสัตวแพทย์ดีไหม ช่วงหลังๆ พ่อกูไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย” ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเรียนจบแล้วอยากให้ผมกลับมาทำงานที่บริษัท

“เล่าได้นะ”

“เรียนต่อ ป.โท ที่คณะก็ยื้อเวลาเป็นหมอได้อีกซัก 3 ปี”

“อยากเป็นหมอขนาดนั้น?”

“ก็อยาก แม้จะรู้ว่าสุดท้ายต้องกลับไป” เพราะรู้ว่าสุดท้ายต้องกลับไป ตอนนี้เลยเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการฝืนชะตาชีวิตตัวเอง

“อืมมมมมม จริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องคิดมากเปล่าวะ อยากเรียนก็เรียน ใช้เวลาไม่กี่ปีเอง มึงยังเหลือเวลากลับไปช่วยงานที่บ้านอีกตั้งเยอะ แต่ถ้ามึงกลับไปช่วยงานพ่อเลย มึงจะไม่ได้กลับมาเรียนสัตวแพทย์อีกแล้วนะ”

จากนั้นก็เหมือน dead air ที่เราต่างคนต่างกินอาหารของตัวเองเงียบๆ ผมกำลังคิดตามประโยคที่บอนพูดออกมา

“มองไร” มันถามเมื่อผมเผลอมองหน้ามันนานกว่าปกติ

“มึงเปลี่ยนไปเยอะมาก”

“กูหล่อขึ้นใช่มะ ...” หมันใส้ความมั่นใจของมันเหลือเกิน ผมไม่ตอบแม้ว่าเรื่องอวยตัวเองของจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม บอนสมัยยังเป็นเด็กมัธยมในความทรงจำของผมวันนั้น ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก ไปแล้ว มันตัวหนาขึ้น ต้นแขนที่โผล่พ้นเสื้อโปโลแขนสั้นออกมาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวออกกำลังกายเป็นประจำ ใบหน้าที่คุ้นชินถูกแทนที่ด้วยโครงหน้าหล่อเหลาของผู้ใหญ่

“... ไม่อยากจะโม้ แต่ตอนมหาลัยกูรับงานเดินแบบด้วยนะ ...” ผมเผลอทำปากขมุมขมิบด้วยความหมันใส้

“... เคยสงสัยว่าจะมีโอกาสได้เจอมึงในงานบ้างไหม แต่ก็ไม่เคยเจอเลย”

“มึงดูละครมากไป กูไม่ค่อยได้ไปงานแบบนั้นหรอก” โอกาสจะเจอผมตามงานเปิดตัวสินค้าหรือตามงานสังคมต่างๆ น้อยยิ่งกว่าการเจอผมในเพจ cute boy มาก

“กินเสร็จแล้วมึงต้องกลับไปเรียนต่อหรือเปล่า ...” มันถามเมื่อมื้ออาหารของเราใกล้จะสิ้นสุดลง ผมขยับข้อมือดูนาฬิกา digital ของ Casio ที่ข้อมือซ้าย เหลือเวลาอีก 15 นาที

“... เสียดายวะ นานๆ ทีได้เจอมึงที ยังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหม”

“เบอร์เดิม มึงละ”

“เบอร์เดิม กูว่างอีกตั้งเดือนนึง ถ้าวันไหนมึงว่างไปเที่ยวกันไหม”

“เอาซิ ...” ผมมองมันในขณะที่มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว

“... บอน กูไม่อยากอยู่คนเดียว กูอยากไปเที่ยว มึงพากูไปได้หรือเปล่า”



ผมกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังสูงใหญ่ของบอน เราเดินลัดเลาะไปตามระเบียงของโรมแรมหรูที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อก้าวเท้าออกจากตัวโรงแรมผมก็ได้กลิ่นของแม่น้ำ สายลมเอื่อยๆ ของช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปะทะเข้ากับโครงหน้าสวย เส้นผมที่เริ่มจะยาวปลิวไสวไปตามสายลม

“ก้าวระวังนะ” บอนก้าวลงเรืออย่างมั่นคง มันหันกลับมาหาผมที่ยังยืนอยู่บนท่าเรือพร้อมกับรอยยิ้ม ผมมองฝ่ามือหนาที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ขอบใจ” มันกุมมือผมไว้หลวมๆ ในขณะที่ผมก้าวขึ้นเรือ

ย้อนกลับไปเมื่อกลางวันบอนนิ่งไปแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะตอบรับคำขอแปลกประหลาดของผม เจ้าตัวทำหน้าครุ่นคิดอยู่ซักพักก่อนจะออกไปโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับบอกว่าจะพาไปเที่ยว แต่ขออุ๊บไว้ก่อนเป็น surprise บอนเอาศักดิ์ศรีเป็นประจำว่าผมจะต้องชอบสถานที่ที่มันกำลังจะพามา ... ใครจะคิดว่าเจ้าตัวจะเล่นใหญ่ถึงขนาดเหมาเรือยอร์ชส่วนตัวพาผมมาล่องแม่น้ำเจ้าพระยา

“กูไม่เคยมาล่องเรือแบบนี้มาก่อน” ผมพูดพร้อมกับหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งข้างๆ บอน

“ชอบไหมละ”

“ชอบดิ วันนี้อากาศโคตรดี” เป็นโชดดีของผมวันนี้ที่อากาศเย็นส่งท้ายปลายฤดูหนาว

“มึงจ้างเขากี่ชั่วโมง” มันส่ายหัว

“นานเท่าทีจะทำให้มึงสบายใจขึ้น”

“โคตรป๋า ... ใช้มุกนี้จีบสาวบ่อยหรือเปล่า”

“ไม่เคยเลยเถอะ มึงชอบมองกูในแง่ร้าย”

“ใครจะไปรู้ เมื่อก่อนมึงใช่ย่อยซะที่ไหน ...”

“... พูดไปก็คิดถึงเมื่อก่อน มึงแมร่งโคตรเจ้าชู้ ชนิดที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน 555”

“เออ พูดตอนนี้แล้วก็ขำ ส่วนมึงก็โคตรขี้หึง”

“ทำไงได้ มึงเป็นแฟนคนแรกของกูนะเว้ย กูก็วาดฝันว่าโลกจะเป็นสีชมพูไหม ...”

“... ใครจะรู้ มีแฟนผิดคิดจนตัวตาย”

“มึงแมร่ง ด่ากูเจ็บตลอด...”

“... กูยังจำเรื่องห้องเก็บของหลังโรงยิมได้อยู่เลย”

“555 กูแรดเนอะ ทำไปได้ไงวะ” คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับความแรดของตัวเอง

“แต่กูพูดจริงนะว่าไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร”

“กูจ่ายได้นะ เกรงใจมึง”

“ไม่เอา มิลค์ ติฒสิงห์ เอ่ยปากอยากมาเที่ยวทั้งที กูก็ต้องตอบรับให้สมศักดิ์ศรีหน่อยซิวะ”

“ขอบใจนะ”

“เพื่อมึง กูยินดีเสมอ ...”

“... กูเคยคิดว่าถ้าวันนั้นกูทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมซักหน่อย รักมึงให้มากกว่าเดิมซักนิด หรือหยุดเจ้าชู้ในวันที่มึงร้องขอ ตอนนี้เรา 2 คนจะเป็นยังไง”

“ฮึๆๆ ไม่ใช้มึงแค่คนเดียวที่คิด ...”

“... บางครั้งกูก็สงสัยเหมือนกัน ว่าถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายถอดใจก่อน วันนี้เราจะเป็นยังไง แต่คิดไปก็ไม่มีใครตอบได้หรอก ... มึงอาจจะเป็นรักแท้...”

“... หรืออาจจะเป็นแฟนเหี้ยๆ ของกูเหมือนเดิม” ผมยืมประโยคที่ใครอีกคนเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนมาใช้ ผมกับบอนสบตากัน เราต่างอมยิ้ม ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันนึงจะได้กลับมานั่งคุยเรื่องในอดีตกับแฟนเก่าคนแรก มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ที่จริงคือมันดีมากๆ อาจเพราะเราเคยผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาด้วยกัน เคยรักกันมาก และเกียจกันจนไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน แต่แล้วความบาดหมางก็เจือจางไปตามกาลเวลา จนตอนนี้เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีๆ ที่ทำให้เรานั่งอมยิ้มทุกครั้งที่คิดถึง

เราใช้เวลาล่องเรือกันเกือบ 3 ชั่วโมง พอผมเอ่ยปากบอกว่าสบายใจขึ้นแล้ว บอนก็บอกให้คนขับหันหัวเรือกลับ ผมตอบแทนบอนด้วยการเสนอตัวเลี้ยงอาหารมื้อเย็นที่โรงแรม แม้จะคุยกันเยอะมากมาค่อนวันแล้วแต่เราก็ยังมีเรื่องให้สลับกันเล่าสู่กันฟังได้ฟังไม่รู้จบ บอนเล่าเรื่องราวโลดโผนของชีวิตในหอพักนักศึกษาให้ผมฟัง แน่นอนว่ามีทั้ง part ปกติและ part ที่ไม่น่าจะผ่านกองเซนเซอร์ ผมเพิ่งรู้ว่าหลังจากผม บอนก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายคนไหนอีก ที่ผ่านมาเจ้าตัวมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด

เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังขึ้นมาตลอดทางจากห้องอาหารไปยังตึกจอดรถ อากาศเย็นลงจากเมื่อบ่ายพอสมควร ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนที่จะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในรถ BMW series 3 สีขาวสะดุดตา

“มึงจอดรถทิ้งไว้ที่สยามใช่ไหม” บอนถาม

“บอน ตอนนี้มึงมีแฟนหรือเปล่า ...” มันมองหน้าผม คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเหมือนไม่แน่ใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาของเรา ในรถมีแค่เสียงแอร์และเสียงจากเครื่องยนต์ และทันทีที่คนตรงหน้าส่ายหัว

“... ดี” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมิลค์ นิ้วมือเรียวสวยคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อโปโลสีแดงก่อนจะดึงรั้งแฟนเก่าเข้ามาประกบจูบ ... ผมรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่ค่อย ๆ ทวีความลึกซึ้งขึ้น บอนไม่ดันผมออก ไม่หลบ ไม่ปฏิเสธ ... แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปเหมือนสายน้ำที่พาเรามา
27
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 17-10-2025 23:40:25  »
Teaser ตอนที่ 28

“กลางวันไปกินข้าวไหน” แก้วถามเมื่ออาจารย์ปิดสไลด์ เป็นสัญญานว่าปล่อยนิสิตให้ไปพักกลางวันได้

“กูว่าจะไปหาอะไรกินในสยาม อยากเดินดูโน่นนี้หน่อย”

“ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่อเสนอตัวไปเป็นเพื่อน

“ไม่เป็นไร พวกแกไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ เราว่าจะเดินเล่นนิดหน่อย เกรงใจพวกแก”

“เหรอ”

“อืม ไว้เจอกันคาบบ่าย” แก้วเหมือนจะอยากตามมาแต่เพราะต่อส่งสายตาเชิงห้ามปรามเจ้าตัวถึงได้ปล่อยให้ผมไปคนเดียว มัน 3 คนรู้เรื่องระหว่างผมกับจี แม้จะเป็นห่วงแต่พวกมันก็ยินดีจะเว้นระยะห่างตามที่ผมต้องการ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะแยกตัวไปกินข้าวกลางวันคนเดียว อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากหน่อย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดแม้ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบซักที เทอมสุดท้ายของปี 5 ใกล้จะจบลง อีกไม่นานผมจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ของคณะ เวลาในรั้วมหาลัยเหลือน้อยลงทุกที จากที่เคยมั่นใจว่าจะเรียนต่อตอนนี้ผมรู้สึกลังเล

ผมเดินเลาะไปตามซอยของสยามสแควร์ตั้งใจจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ชั้น 2 ของร้านแว่นตา ในขณะที่กำลังเดินขึ้นชั้นบน ผมมองเข้าไปในร้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาพอดี เรา 2 คนสบตากัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นเลย เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู

“มิลค์!!!”

“บอน!!!”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือชอบกินข้าวคนเดียว

#The toxic and abusive Ex is back #Red flag
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
28
ในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว พ่อแม่หลายคนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งหนึ่งในไวรัสตัวร้ายที่สร้างความกังวลให้ผู้ปกครองมากที่สุดก็คือ อาการ rsv ในเด็ก (Respiratory Syncytial Virus) ที่มักแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของอาการป่วยรุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะ อาการ RSV ในเด็ก ที่หลายครั้งเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่สามารถลุกลามจนเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการเริ่มต้น อาการรุนแรง และวิธีรับมือกับไวรัส RSV เพื่อให้สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างทันท่วงที

RSV คืออะไร ทำไมถึงอันตรายต่อเด็กเล็ก
ไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ความอันตรายของ RSV อยู่ที่การทำให้เกิด "หลอดลมฝอยอักเสบ" (Bronchiolitis) และ ปอดบวม (Pneumonia) โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี หรือเด็กที่มีภาวะเสี่ยง เช่น คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดและหัวใจ เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กเล็กมีขนาดเล็ก เมื่อเกิดการอักเสบและมีเสมหะจำนวนมาก จึงเกิดการอุดกั้น ทำให้หายใจลำบากและขาดออกซิเจนได้ง่าย



อาการ RSV ในเด็กจากหวัดธรรมดา สู่ภาวะอันตราย
อาการป่วยจากไวรัส RSV มักจะเริ่มแสดงออกภายใน 4-6 วันหลังได้รับเชื้อ โดยอาการในช่วงแรกมักจะคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป แต่จะมีลักษณะที่แตกต่างและรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

1. อาการเริ่มต้น (คล้ายไข้หวัดทั่วไป)
ในช่วง 2-4 วันแรก อาการมักไม่จำเพาะเจาะจง อาจทำให้พ่อแม่เข้าใจผิดว่าเป็นเพียงไข้หวัด
มีไข้: อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไข้สูง (บางรายอาจสูงถึง 39−40 ติดต่อกันหลายวัน)
น้ำมูกไหล: มักมีน้ำมูกใสในช่วงแรก ก่อนจะข้นและเหนียวขึ้น
ไอ จาม: ไอแห้ง ๆ ในช่วงแรก ก่อนจะพัฒนาเป็นไอมีเสมหะมากและเหนียวข้น

2. อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง (ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ)
หลังจากผ่านไป 2-3 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเด็กเล็กและทารก ให้สังเกตอาการที่บ่งชี้ถึงการลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง
ไอหนักและนาน: ไอมากจนอาเจียน หรือไอจนเหนื่อยหอบ
หายใจลำบาก/หายใจหอบเหนื่อย:เด็กหายใจครืดคราด เป็นอาการจำเพาะที่สำคัญที่สุด
หายใจเร็ว: หายใจเร็วกว่าปกติ (ควรนับอัตราการหายใจ)
อกบุ๋ม/ปีกจมูกบาน: กล้ามเนื้อหน้าอกหรือซี่โครงยุบลงไปด้านในเวลาหายใจ หรือปีกจมูกขยายใหญ่ขึ้น
มีเสียงหายใจผิดปกติ: ได้ยินเสียงหายใจดัง "วี้ด ๆ" (Wheezing) หรือเสียงครืดคราดในลำคอ (เสมหะเยอะ)
เบื่ออาหาร/กินนมน้อยลง: เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารหรือดูดนมน้อยลงมาก อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ
ซึมลง/หงุดหงิดง่ายผิดปกติ: เด็กเล็กมีอาการเซื่องซึม งอแง ร้องกวนมากกว่าปกติ หรือปลุกตื่นยาก
ริมฝีปากและปลายเล็บเปลี่ยนสี: ปากหรือปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ (Cyanosis) ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะขาดออกซิเจน ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หมอเด็ก


29
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 16-10-2025 08:30:07  »

“We must stop doing this, ...” ผมหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกกำลังเอ่อล้นจะแทบจะคุมไว้ไม่อยู่

“... I can't take it anymore. I feel like I'm falling apart” พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ผมสะอื่นแล้วรีบยกหลังมือของมาปาดน้ำตา ไม่เคยคิดเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้

“I am so sorry, dear. I don’ t mean to hurt you”

“You don’ t have to. No matter what I choose, it will hurt either way”


--------


#The truth hurts the most #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
30
การเต้นเป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง คลายเครียด แต่ยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจและพัฒนาบุคลิกภาพอีกด้วย สำหรับมือใหม่ที่อยากเรียนรู้การเต้น หรือมองหาคลิป/คอร์ส สอนเต้น โดยเฉพาะการเต้น Cover Dance ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น K-Pop Cover หรือ Dance Cover เพลงสากล บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 10 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้คุณพัฒนาจากมือใหม่ไปสู่การเต้นที่มั่นใจและสวยงาม



1. เลือกสไตล์เต้นที่ชอบและเหมาะกับตัวเอง

ก่อนเริ่มเรียนเต้น สิ่งแรกที่ควรทำคือการหาสไตล์เต้นที่ตัวเองชอบและสนใจจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Hip Hop, K-Pop Cover Dance, Shuffle Dance, Street Dance, R&B หรือ Sexy Dance แต่ละสไตล์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเลือกสไตล์ที่โดนใจจะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจในการฝึกฝน และไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ลองดูคลิปเต้นหลายๆ สไตล์ หรือค้นหาเพลย์ลิสต์ สอนเต้น ของครู/ช่องที่ไว้ใจได้ แล้วค้นหาว่าแบบไหนที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและอยากลองมากที่สุด

2. เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ท่าพื้นฐาน (Basic)

สำหรับมือใหม่ การเริ่มจากท่าพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าเพิ่งรีบไปฝึกท่ายากๆ หรือท่าที่ซับซ้อน การรับท่าพื้นฐานที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้คุณสามารถต่อยอดและพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในอนาคต เริ่มจากการเรียนรู้การเคลื่อนไหวง่ายๆ เช่น การนับจังหวะ 1-8 การขยับเท้า การโยกตัว การใช้สะโพก อก และเอว ทีละสเต็ป เมื่อคุณได้พื้นฐานที่แข็งแรง การเต้นในอนาคตจะง่ายขึ้นมาก เคล็ดลับคือเลือกวิดีโอ สอนเต้นพื้นฐาน ความยาวสั้นๆ แล้วทบทวนซ้ำจนชำนาญ

3. ฟังเพลงบ่อยๆ และลองขยับตามจังหวะ

นี่คือเคล็ดลับที่สำคัญมาก! ยิ่งคุณฟังเพลงที่จะเต้นบ่อยเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเข้าใจจังหวะและโครงสร้างของเพลงมากขึ้นเท่านั้น ลองเปิดเพลงแล้วขยับตัวตามสบายๆ แบบฟรีสไตล์ ไม่ต้องคิดมาก ให้ร่างกายรู้สึกตามจังหวะไปเลย การฝึกแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายของคุณเริ่ม "จำ" การเคลื่อนไหวได้เอง และเมื่อถึงเวลาเต้นจริง คุณจะรู้สึกคุ้นเคยกับเพลงมากขึ้น การเต้นก็จะดูเป็นธรรมชาติและลื่นไหลยิ่งขึ้น หากยังจับจังหวะยาก ให้ลองใช้คลิป สอนเต้นจับจังหวะ ที่มีการนับเสียงชัดๆ ควบคู่ไปด้วย

4. ฝึกการแยกสัดส่วนร่างกาย (Body Isolation)

Body Isolation หรือการแยกสัดส่วนร่างกาย ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากสำหรับการเต้นทุกประเภท การแยกสัดส่วนหมายถึงการฝึกให้แต่ละส่วนของร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ โดยไม่กระทบกับส่วนอื่น เช่น การขยับหัว คอ ไหล่ หน้าอก เอว สะโพก เข่า และเท้า ให้แยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน

ลองเริ่มจากการฝึกโฟกัสเพียงส่วนเดียว เช่น การใช้สะโพก ซึ่งเป็นท่าที่ผู้หญิงนิยมมาก ฝึกขยับสะโพกไปซ้าย-ขวา หรือหมุนเป็นวงกลม เมื่อชำนาญแล้วค่อยเพิ่มการขยับส่วนอื่นๆ เข้ามา หากคุณสามารถคุมร่างกายได้ คุณก็จะสามารถเต้นได้อย่างสวยงามและมีสไตล์แน่นอน แนะนำให้หาคลิป สอนเต้น Body Isolation ที่แยกเป็นส่วนๆ เพื่อทำตามทีละขั้น

5. เรียนรู้การนับจังหวะ 1-8

การนับจังหวะเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียนรู้ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถเก็บท่าเต้นได้ครบถ้วนและเต้นได้ตรงจังหวะ การนับจังหวะมาตรฐานคือการนับ 1-8 โดยนับตามเสียงหลักที่สม่ำเสมอของเพลง มักจะเป็นเสียงกลอง เมื่อคุณชำนาญการนับจังหวะ การจำท่าเต้นจะง่ายขึ้นมาก เพราะคุณจะรู้ว่าท่าไหนใช้กับจังหวะไหน

วิธีฝึกคือ เปิดเพลงแล้วลองนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 ตามจังหวะของเพลง เมื่อคุ้นเคยแล้ว ก็เริ่มเพิ่มท่าเต้นเข้าไป โดยให้แต่ละท่าตรงกับจังหวะที่นับ การฝึกนับจังหวะจะทำให้การเต้นของคุณมีความแม่นยำและดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น หากต้องการแนวทางที่เป็นระบบ ลองเลือกคลิปหรือคอร์ส สอนเต้นสำหรับมือใหม่ ที่มีส่วนฝึกการนับจังหวะโดยเฉพาะ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด