บทที่ ๒๑
พบพา
.
.
.
“หยุดพักที่นี่สักประเดี๋ยว แล้วค่อยออกเดินทางต่อ” อสุราหนุ่มก้าวลงจากหลังม้าหลังจากที่ต้องรอนแรมมาหลายวัน
เบื้องหน้าคือธารน้ำขนาดเล็กท่ามกลางไพรกว้างที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่...ที่แห่งนี้คือดินแดนมนุษย์ที่พวกเขานั้นย่างกรายเข้ามาถึงเมื่อหลายวันก่อน นัยน์ตาสีโกเมนกวาดมองรอบด้านเพื่อสำรวจก่อนจะเอ่ยบอกให้เหล่าทหารที่ติดตามออกไปเดินตรวจตราบริเวณโดยรอบ
“ห่างจากนี่ไปไม่ไกลคงเป็นหมู่บ้านของพวกมนุษย์” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากทานด้านหลังพานทำให้บรรยากาศรื่นรมย์นั้นพังทลายลง “หลังพุ่มไม้นั่น มีกับดักที่ทำจากไม้เหลาแหลม เอาไว้ดักพวกสัตว์ใหญ่”
“นั่นมันน่าอัศจรรย์ใจตรงไหนไม่ทราบ” กรรณหันไปมองคู่อริอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินลงไปที่ธารน้ำแล้ววักขึ้นมาล้างใบหน้า
“จากนครคีรีมาก็ตั้งหลายวัน” เวธัสนั่งลงบนโขดหินที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณผืนป่า “เดินทางรอนแรมไปทั่วทุกแดน…แต่ก็ไม่พบร่องรอยของทั้งสองจอมทัพแม้นเพียงกระผีก หากพวกเขาหนีออกมาพร้อมสมบัติมากมายเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ก็ต้องมีใครสักคนได้พบเห็นบ้าง” อสุราหนุ่มทอดถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา...นับว่าเป็นเวลาหลายวันที่ออกเดินทางตามหาทั้งสองจอมทัพตามที่ได้รับคำสั่งจากองค์จ้าวเหนือหัว
ยิ่งชักช้ามากเท่าไหร่...การสะสางคดีความก็ยิ่งถูกยืดเยื้อออกไปนานเท่านั้น
และนั่นก็หมายความว่าพวกราชคฤห์จะสามารถใช้จังหวะนี้เข้ามาแทรกแซงจนทำให้นครคีรีสั่นคลอนได้ในที่สุด
“หากเจ้าถอดใจก็กลับไปเสีย...ข้าทำภารกิจนี้คนเดียวได้” กรรณยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะปรายตามองไปยังอีกฝ่าย
“หึ...ปล่อยให้เจ้าที่เป็นพวกเดียวกันกับกบฏออกไปตามหาเพียงลำพังน่ะหรือ” เวธัสกระหยิ่มยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนจ้องหน้ากับอดีตคู่ปรับอย่างไม่ยอมลดละ
เพียงเท่านั้นเขี้ยวยาวของอีกฝ่ายก็งอกเงยขึ้นมาตามแรงโทสะก่อนเรี่ยวแรงมหาศาลจะกระทบเข้ากับเสี้ยวใบหน้าจนรู้สึกชา เวธัสคำรามเสียงกร้าวในลำคอในตอนที่กระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้เพื่อเป็นการเอาคืน อสุราหนุ่มสองตนฟาดฟันกันจนน้ำในลำธารกระเซ็นเปียกไปทั่วทั้งตัว
เสียงกึกก้องยามที่สันหมัดกระทบเข้าผิวเนื้อนั้นฟังดูน่ากลัวจนสัตว์ป่าเล็กใหญ่บริเวณนั้นแตกกระเจิงหนี
“เมื่อก่อนบ้าดีเดือดเช่นไร...ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม” เวธัสอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอถีบเข้าตรงกลางท้องจนมันล้มลงไปในธารน้ำ ก่อนจะตามไปเหยียบซ้ำหากแต่มันกลับพลิกตัวหลบได้เฉียดฉิว “ดีแต่ใช้กำลัง...ไร้หัวคิด”
“หึ” กรรณถ่มเลือดทิ้งก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาใช้ขาเตะเข้าที่ข้อพับฝ่ายตรงข้ามจนล้มลงไปในธารน้ำด้วยกัน “ถ้าข้าไร้หัวคิด...เจ้าก็คงไร้น้ำยา” เรื่องราวในอดีตถูกหยิบยกขึ้นมาหมายกระตุ้นเร้าโทสะ...แล้วก็ได้ผล
ได้ผลดีเสียด้วย เมื่อทหารเอกขององค์จ้าวเหนือหัวที่ในยามปรกตินั้นมักจะนิ่งขรึม แต่ครานี้กลับเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แม้นเพียงกระผีก
“เจ้ากำลังเอาเรื่องส่วนตัวมาข้องเกี่ยว” เวธัสออกแรงถีบลมอย่างแรงเมื่ออีกฝ่ายไหวตัวหลบทัน
“ส่วนเจ้าเองก็ไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้” อสุราหนุ่มคว้าเข้าที่ลำคอคู่ต่อสู้ก่อนจะออกแรงบีบเคล้นตามโทสะที่พุ่งขึ้นสูง “บุหลันเป็นเมียข้าแล้ว...นางรักข้า หาใช่เจ้า” ถ้อยคำย้ำเตือนเน้นชัดทิ่มแทงจิตใจคนฟังราวกับหอกแหลมนับพันสาดกระหน่ำลงบนอก เวธัสขบกรามจนขึ้นสันก่อนจะกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายจนเสียหลักลมลงไปในลำธารด้วยกันทั้งคู่
ทั้งสองแลกหมัดกันไปสักพักจนได้เลือดก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นแสงวาววับของสิ่งของบางอย่างที่โดนแดดส่องกระทบอยู่ภายใต้ผิวน้ำ
“นั่น...” กรรณผลักอีกฝ่ายออกห่างก่อนจะเดินย่ำน้ำเข้าไปใกล้ พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบเลือดออกไปจากใบหน้า
วัตถุชนิดนั้นตกอยู่บริเวณข้างโขดหินมันถูกตะไคร้น้ำเกาะเป็นบางส่วน...แม้นจะมองจากระยะนี้แต่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าคืนสิ่งใด อสุราหนุ่มถลาลงไปคว้ามันขึ้นมาก่อนความรู้สึกดีใจจะฉายชัดออกมาทางใบหน้า
“...กำไลต้นแขนของท่านวศิน” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยบอก
กำไลที่ถูกหล่อขึ้นมาจากเหล็กกล้าเนื้อดี...หนึ่งในเครื่องแต่งกายของแม่ทัพใหญ่แห่งนครคีรียามที่ต้องออกศึก
“เช่นนั้น...พวกเขาก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลำธารนี่” เวธัสขยับเข้ามาใกล้เพื่อพิศมองหลักฐานที่สองจอมทัพหลงเหลือเอาไว้
“ท่านกรรณขอรับ” หนึ่งในทหารที่ออกไปลาดตระเวนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“มีอะไร”
“จากลำธารนี่ไป ไม่ใกล้ไม่ไกลมีหมู่บ้านมนุษย์อยู่ทางหลังเชิงเขาขอรับ”
“แล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เวธัสเอ่ยถาม
“ตอนนี้พลทหารที่เหลือได้เดินทางเข้าไปตรวจตราภายในหมู่บ้านบ้างแล้ว...ข้าจึงรีบกลับมาแจ้งให้พวกท่านได้ทราบขอรับ”
“ดี” กรรณพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปที่อาชาศึกประจำกาย “ไปกันได้แล้ว”
ในเวลาบ่ายคล้อยเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านจันทน์ผานั้นก็ต่างดำเนินกิจวัตรส่วนตัวกันอย่างไม่รีบร้อนเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้นั้นแปลกไปเมื่อมีผู้มาเยือนย่างกรายเข้ามาในอณาเขต เสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านดังเซ็งแซ่อย่างตื่นตกใจเมื่อเห็นว่ามีเหล่ายักษาวัยฉกรรจ์หลายตนปรากฏตัวขึ้น
“พวกยักษ์นี่” เด็กสาวชาวบ้านที่ใบหน้าเปื้อนคราบเขม่าควันจากเตานึ่งขนมยืดคอมองอย่างสงสัยใคร่รู้
เฟื่องเช็ดมือเข้ากับผ้านุ่งก่อนจะเดินเข้าไปหายายกับพี่สาวที่นั่งกับดอกบัวอยู่บนตั่งไม้ใต้ถุนเรือน
“ยักษ์พวกนั้นเข้ามาทำอันใดที่หมู่บ้านของเรา” เด็กสาวยืนจ้องไม่วางตา
“บางที...อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์สองตนที่อยู่บ้านตาบุญกระมัง” บัวคลี่ชะเง้อมองตามน้องสาวก่อนจะยกมือขึ้นมาจับข้างขมับเมื่อความรู้สึกวิงเวียนกลับมาเล่นงานอีกหน
“ยังปวดหัวอยู่อีกหรือจ๊ะพี่บัว” เฟื่องเข้ามาประคองเมื่อเห็นว่าพี่สาวตนอาการไม่ค่อยดี
“อืม...ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อย คงเป็นเพราะอากาศวันนี้มันร้อนไปสักหน่อย” บัวคลี่ยิ้มบางเพื่อไม่อยากให้น้องและยายเป็นกังวล “เอ็งไม่ต้องเป็นห่วง...ได้นอนพักก็คงดีขึ้น”
ตั้งแต่เล็กๆ พี่บัวนั้นร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไรนักจึงทำให้ล้มป่วยอยู่บ่อยครั้ง มิหนำซ้ำยังกระหม่อมบางจนทำให้ตากแดดตามฝนนานไม่ได้ นางจึงมีผิวกายที่ขาวซีดเกินกว่าคนทั่วไปเพราะยายนั้นทั้งหวงและห่วงจนไม่ยอมให้พี่บัวทำงานหนัก
แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาร่างกายของนางดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหน้ามืดและอาเจียนเกือบจะทุกวัน จนตาบุญต้องแวะเวียนมาหาที่เรือนอยู่บ่อยครั้งเพื่อตรวจดูอาการและต้มยารักษาให้
“ข้าว่าอาการของเอ็งน่ะมันแปลกๆ อยู่นานังบัว” ยายนิ่มหันมามองหลานสาวอย่างเป็นห่วง มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบบนผิวเนื้อเนียนอย่างใช้ความคิด “เหมือนกับ...คนท้อง”
คำทักท้วงกะทันหันทำให้หญิงสาวหน้าซีดเผือดก่อนจะฝืนยิ้มออกมาเพื่อโต้ตอบ “ม...ไม่ใช่หรอกจ้ะยาย”
“พี่บัวจะต้องได้อย่างไรกันล่ะยายก็!” เพื่องค้านขึ้น “ฉันไม่เห็นว่าพี่กล้าจะทำอะไรพี่บัวสักหน่อย”
“แล้วใครเขาจะมาทำให้เอ็งเห็นกันล่ะนังเฟื่อง” ยายนิ่มหยิกเข้าที่ท้องแขนจนฝ่ายนั้นร้องโอดโอยก่อนจะใช้มันไปม้วนคำหมากมาให้เพื่อเป็นการระงับปากระงับคำ...นังหลานคนนี้นี่มันม้าดีดกะโหลกเสียจริง
“ไม่ท้องก็แล้วไป ข้าก็แค่ทักท้วงตามประสาคนแก่ที่ผ่านโลกมาเยอะกว่าพวกเอ็ง” นัยน์ตาฝ้าฟางกลับไปสนใจกลีบดอกบัวที่พับค้างเอาไว้ต่อ
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอขึ้นไปนอนพักสักประเดี๋ยวนะจ๊ะยาย” บัวคลี่ยิ้มก่อนจะลุกเดินขึ้นไปบนเรือน
คล้อยหลังจากนั้นหลานสาวคนเล็กก็เลียบเคียงเข้ามานั่งที่แคร่ไม้ก่อนจะป้องปากกระซิบกระซาบอย่างมีลับลมคมใน “ยาย...ยายว่าพี่บัวท้องจริงๆ น่ะหรือจ๊ะ”
“อะไรของเอ็ง” ยายนิ่มยังเมินเฉยไม่สนใจในสิ่งที่เฟื่องถาม
“แต่...ฉันก็คิดนะ ว่าพี่บัวน่ะท้อง” เด็กสาวว่าเสียงจริงจังเมื่อความทรงจำบางอย่างฉายชัดขึ้นมา “เมื่อสองเดือนก่อน งานบุญประจำหมู่บ้าน ยายจำไม่ได้หรือว่าคืนนั้นน่ะพี่บัวกลับบ้านเสียดึกดื่น มิหนำซ้ำพี่กล้าก็ยังเดินมาส่งด้วย”
“ปกติไอ้กล้ามันก็เดินมาส่งพี่เอ็งเป็นประจำอยู่แล้วนี่” ยายนิ่มแย้งขึ้น
“แต่ฉันว่ามันแปลก...ก่อนหน้านั้นพี่บัวน่ะไว้ตัวกับพี่กล้ามันจะตาย แค่จับไม้จับมือกันยังไม่ได้เลย” เฟื่องพูดต่ออย่างมั่นใจ “แต่หลังจากนั้นมา ทั้งพี่บัวและพี่กล้าก็ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ดูอย่างตอนที่พี่มืดมันมาหาเรื่องที่เรือนเราซี่ พี่บัวแสดงออกชัดมากเลยนะยายว่าเป็นห่วงพี่กล้าน่ะ” ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพี่สาวของนางจะไม่แสดงท่าทีว่าเป็นห่วงเป็นใยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเป็นพิเศษ
แต่สายตาที่พี่บัวใช้มองพี่กล้าวันนั้น...มันชัดเจนมากจนทำให้พี่มืดพูดไม่ออก
“อีกอย่างเดือนสองเดือนมานี้พี่บัวก็มีอาการแปลกๆ ด้วย มิหนำซ้ำยังบ่นว่าเหม็นดอกมะลิที่ฉันเอามาลอยน้ำในขันอีกต่างหาก ทั้งที่ปกติพี่บัวก็ชอบแท้ๆ”
“ก็จริงของเอ็ง” หญิงชราวางมือจากดอกบัวพี่พับกลีบเรียบร้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลานคนเล็กเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่มันพูดนั้นดูเข้าที
แต่ก่อนที่จะได้นึกคิดสิ่งใดให้มากความเสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านก็ทำให้สองยายหลานหันไปมองอย่างสนอกสนใจเมื่อเห็นว่ามีอาชาศึกตัวใหญ่ห้อตะบึงเข้ามาภายในหมู่บ้าน ก่อนความโกลาหลเล็กๆ จะเกิดขึ้นทันทีที่ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งร้องไห้จ้ากลับไปหาพ่อกับแม่เพราะตื่นตกใจกับเหล่ายักษ์
กลิ่นอายบางอย่างที่แผ่ออกมานั้นเพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ายักษ์สองตนที่ควบขี่อยู่บนหลังม้านั้นต้องเป็นทหารจากเมืองยักษ์
“น่ากลัว...แต่ก็ไม่เท่ากับตนที่อยู่บ้านตาบุญ” เฟื่องพึมพำกับตนเองก่อนจะร้องโอ๊ยเมื่อถูกยายตีเข้าที่ต้นแขน
“อย่าได้ตื่นตกใจไป...พวกข้ามาดี ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย” อสุราหนุ่มตนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านหันมาสนใจ
“พวกเรามาจากนครคีรี” อสุราหนุ่มอีกตนกล่าวขึ้นอย่างนิ่มนวล “รอนแรมมาหลายวันเพื่อออกตามหาสองจอมทัพใหญ่แห่งนครคีรีที่สูญหาย...พวกข้าตามหาไปทั่วเกือบทุกแว่นแคว้น แต่ในระหว่างที่หยุดพักที่ริมธารกลางป่ากลับพบสิ่งสิ่งนี้ตกอยู่ในน้ำ” กำไลแขนของจอมทัพวศินถูกชูขึ้นสูง “และทหารของข้าแจ้งเข้ามาว่าใกล้กันนี้มีหมู่บ้านของมนุษย์อยู่ จึงได้เร่งรุดเข้ามาหาเพื่อถามไถ่”
“ยายว่าคนที่พวกเขาตามหาจะใช่ยักษ์ทั้งสองตนนั้นหรือเปล่า” เฟื่องเอี้ยวตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบข้างหู
แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บริเวณบ่อนไก่หยัดยืนขึ้นเต็มความสูงโดยไร้ซึ่งท่าทีเกรงกลัวต่อพวกยักษ์ “เมื่อไม่นานมานี้มียักษ์สองตนพลัดหลงเข้ามาในหมู่บ้าน”
เพียงเท่านั้นความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปหาชายผู้นั้นทันที...กรรณกระโดดลงมาจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้าไปหาเป้าหมาย ท่าทีองอาจสมเป็นชายชาตินักรบทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเปิดทางให้แต่โดยดี “แล้วพวกเขาอยู่ที่ใด”
มืดผงะถอยไปเล็กน้อยเมื่อช่วงตัวสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ “บ้านครูบุญ...ไอ้แก้วมันเป็นคนไปเจอยักษ์สองตนนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่ในป่า จึงพากลับไปรักษาที่เรือน”
“แก้ว?” กรรณทวนชื่อซ้ำอีกครั้ง
“มันเป็นหลานคนเล็กของครูบุญ” มืดพยักพเยิดหน้าไปทางท้ายหมู่บ้าน “เรือนหลังนั้นอยู่ทางท้ายหมู่บ้าน เดินลัดป่าไปทางนี้เพียงไม่นานก็ถึงแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” กรรณมองตามไปที่จุดหมายก่อนจะหันกลับมาหาชายหนุ่มมนุษย์อีกครั้ง “เจ้าช่วยนำทางไปได้หรือเปล่า”
“จริงๆ ข้าก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่คงไม่สะดวกสักเท่าไร” มืดบอกปัดอย่างไม่ไยดี...เพียงแค่คิดว่าจะต้องก้าวไปเหยียบอณาเขตของไอ้หมาบางตัวมันก็พานม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว “จะให้ลูกน้องข้าพาไปก็แล้วกัน” ว่าไว้แค่นั้นก็หันไปสั่งลูกน้องอีกสองคนให้นำทางพวกยักษ์ไปที่บ้านครูบุญทันที โดยที่ไม่ลืมย้ำพวกมันอีกหนว่าห้ามก่อเรื่องกับไอ้กล้าเด็ดขาดเพราะถึงอย่างไรแล้วที่นั่นก็เป็นเรือนของครูบุญ ถึงแม้เข้าจะไม่ชอบขี้หน้ามันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพานเกลียดคนรอบตัวมันไปด้วย
“ขอบใจเจ้ามาก” กรรณพยักหน้ารับก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้เหล่าทหารให้มุ่งตรงไปที่เรือนท้ายหมู่บ้านโดยทันที
(มีต่อด้านล่าง)