16
-สืบ-
หมวดรักษ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ขยี้ตางัวเงียมองรอบตัวด้วยความงุนงง พบว่านี่ไม่ใช่บ้านตน เกือบจะสงสัยว่าเป็นบ้านใคร แต่หางตาเหลือบไปเห็นผู้ชายหล่อสูงขาวเป้าใหญ่ในโปสเตอร์ติดฝาผนังซะก่อน เป็นรูปยุครุ่งเรือง (จริงๆ คือสามเดือนก่อน) ของนายแบบสุดฮอตสมชื่อเปลวไฟ ตำรวจเชื่อมโยงได้ฉับพลันว่าที่นี่คงเป็นแหล่งพำนักของคนในโปสเตอร์นี่เอง
เขาปะติดปะต่อเรื่องราวเมื่อคืนเท่าที่จำได้ ก็นึกออกว่ากำลังนั่งรถกับเปรมประกิตติ์ แต่เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น...เขาไม่รู้ บางทีอาจจะเผลอหลับในล่ะมั้ง คนที่นั่งข้างๆ เลยอาสาขับแทน
แต่หมวดก็สงสัยอยู่ดีว่าทำไมถึงถูกพามาที่นี่ แทนที่จะเป็นสน.
อยากถามให้รู้ความ ทว่าเจ้าของห้องกำลังเปิดเพลงขณะอาบน้ำดั่งกระหึ่ม ดังชนิดที่ว่าต่อให้ฟ้าผ่าก็คงไม่ได้ยิน เลยเก็บความสงสัยไว้ก่อน
ตำรวจหนุ่มดูโปสเตอร์อีกครั้ง จำได้ว่าเป็นภาพถ่ายบนปกนิตยสารชื่อลองจิจูด เนื่องจากวันที่เล่มนั้นออกเป็นวันเดียวกับที่นิยายเล่มล่าสุดของแสตมป์เบอรี่วางแผงพอดี หมวดไปร้านหนังสือเพื่อซื้อนิยาย แต่กลับรู้สึกแย่เพราะพนักงานมัวแต่เชียร์ขายนิตยสารที่ว่าท่าเดียว ไม่เกรงใจสาวกแม่แตมอย่างเขาเอาซะเลย คิวที่แคชเชียร์ก็ยาวเพราะสาวๆ พากันเหมาคนละเล่มหรือหลายๆ เล่ม สุดท้ายหมวดรอจ่ายเงินไม่ไหว เลยซื้อจากออนไลน์แทน นึกแล้วก็งงใจว่าไอ้นิตยสารที่บรรจุแต่ภาพเนื้อหนังของผู้ชายที่ชาตินี้ไม่มีวันจับต้องได้ มันมีดีตรงไหนกัน?
อย่างไรก็ตาม จะเรียกนั่นเป็นการพบกันครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการของหมวดกับเปรมประกิตต์ก็ว่าได้
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงห้าวห้วนของชายผู้เป็นเจ้าทุกข์ในเวลางานดังขึ้นเมื่อเปิดประตูออกมาด้วยสภาพผ้าขนหนูผืนเดียว หมวดรักษ์สำรวจมัดกล้ามเรียงตัวสวย ณ หน้าท้องสีขาวนั้น ได้ข้อสรุปว่ามันดูดีกว่าในรูปราวๆ สิบแปดเท่าได้
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมมาอยู่ที่นี่” แขกถาม
“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” เฟลมท่าทางโมโหทันที “คุณขับรถแล้วจู่ๆ ก็หลับในไง! เกือบโดนสิบล้อชน ผมเลยขับแทนแล้วพามาที่บ้านเนี่ย”
“อ้อ เหรอ” ดวงตาของหมวดกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่ยังดูมึนงง “สงสัยผมจะอ่านนิยายหนักจนหลับดึกไปหน่อย ขอโทษที”
“เออๆ ช่างมัน ตื่นแล้วก็ดี กลับบ้านไปเลย”
เฟลมโบกมือไล่ แอบผิดหวังที่รู้ว่าสาเหตุการอดนอนของหมวดคือติดนิยาย ไม่ใช่โหมทำคดีของตน... ตำรวจประสาอะไรกัน
หมวดรักษ์ทำท่าจะลุกจากเตียง แต่เมื่อก้มมองสภาพตัวเองแล้วก็เกิดคำถามอีก “เสื้อผมหายไปไหน ทำไมเหลือแต่เสื้อกล้าม นี่คุณลักหลับผมเหรอเปรมประกิตติ์”
ได้ยินอย่างนั้นเฟลมแทบสำลักน้ำลาย “จะบ้าเหรอ! ใครจะไปทำ! แอร์มันเสีย ผมกลัวคุณร้อนตับแตกตาย เลยถอดให้ต่างหาก”
“ว้าว เป็นห่วงกันด้วยแฮะ”
“ห่วงกะผี! ไปไหนก็ไป เดี๋ยวก็เข้างานสายหรอก”
“นี่เพิ่งหกโมงเอง” หมวดยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ยังง่วงอยู่เลย ขอนอนต่ออีกนิดนึงนะ”
“ไม่ได้! ผมจะออกไปทำงานแล้ว ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
เฟลมโวยวายเมื่อเห็นหมวดเอนตัวลงนอน เขาเข้าไปชิดเตียงแล้วกระชากผ้าห่มออกจากตัวแขกก่อนจะฉุดให้ลุกขึ้น
“โอ๊ย อย่าทำร้ายเจ้าหน้าที่สิคุณ”
“ตอนนี้คุณยังไม่เข้างาน เพราะงั้นคุณยังไม่ใช่ตำรวจ ผมไม่กลัว”
ชายหนุ่มว่าแล้วดึงแขนหมวดลุกจากเตียง แต่ฝ่ายนั้นรั้งตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น และด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งของตำรวจ จึงส่งผลให้เฟลมเป็นฝ่ายล้มลงใส่เตียงแทน
“!!!!!!!”
“!!!!!!”
แม้จะเป็นฉากที่คาดเดาได้ว่าต้องเกิดขึ้น เพราะในละครหรือนิยายร้อยละเก้าสิบเก้าต้องมี แต่พอเอาเข้าจริงใครๆ ก็คงช็อก
เฟลมล้มลงมานอนทับร่างของหมวดและผ้าขนหนูที่พันท่อนล่างก็หลุดออก เผยให้เห็นจุดยุทธศาสตร์เต็มตาจนหมวดรักษ์หายหน้ามึน ตามึนๆ กลายเป็นเบิกกว้าง เฟลมผวารีบผละจากร่างของหมวดแล้วคว้าผ้าขนหนูมาปิดด้วยท่าทางลนลาน
“อย่ามองนะ!”
เจ้าของห้องถอยห่างจากเตียงแล้วพันผ้ากลับ ใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่าเหมือนเพิ่งฟาดมาม่าเกาหลีมาสามห่อ
“จะอายทำไม คุณก็มีเหมือนที่ผมมีนั่นแหละ...แค่ขนาดต่างกันคนละไซส์”
“หยุดพูดเลย! ออกจากห้องผมได้แล้ว!” เจ้าของห้องออกปากไล่รอบที่สี่ล้าน
“ไหนๆ เมื่อคืนคุณก็ช่วยผมแล้ว ผมจะตอบแทนด้วยการไปส่งคุณที่ทำงาน” หมวดว่า
“ไม่ต้อง ผมไปเองได้” อีกฝ่ายปัดทิ้งไร้เยื่อใย
“ต้นถนนเริ่มก่อสร้างทางรถไฟฟ้าแล้วนะ ลองคิดดูสิว่ารถจะติดสักแค่ไหน”
“แล้วไง ถึงไปกับคุณก็ต้องติดอยู่ดีมั้ย”
“ไม่ เพราะรถผมมีไซเรน”
“เลว” เฟลมตีแสกหน้า “นี่ผมต้องฝากชีวิตไว้กับคนเลวแบบนี้จริงๆ เหรอวะ”
คนถูกด่าหัวเราะ “ล้อเล่นน่า จะพาขึ้นทางด่วนต่างหาก ประหยัดเวลาไปได้เกือบครึ่ง ตกลงตามนี้นะ”
“มัดมือชกขนาดนี้ก็ไม่ต้องถามแล้วล่ะ”
เฟลมถอนหายใจฟึดฟัดแล้วหยิบยูนิฟอร์มร้านฟาสต์ฟู้ดไปใส่ในห้องน้ำเสร็จภายในหนึ่งนาที หมวดรักษ์หาวและบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า หยิบเสื้อของตนที่แขวนข้างฝามาสวมแล้วออกจากห้องตามหลังเฟลมไป
“หิวยัง หาข้าวกินก่อนมั้ย” หมวดถาม
“ไม่ ผมไปกินที่ร้าน”
“อ๋อ จะแวะซื้อกลางทางสินะ”
“เปล่า ที่ร้านมีให้กิน”
เฟลมตอบไม่เต็มเสียงเนื่องจากอับอาย เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังถังแตกถึงขนาดไม่มีปัญญาซื้อข้าวแดกเอง (นี่เป็นหนึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจทำงานร้านอาหาร...) สำหรับเขาคำว่า ‘กินข้าวฟรี’ ทำให้ศักดิ์ศรีถูกบั่นทอนลงจนเหี้ยน เขารู้สึกเหมือนเด็กกำพร้าหรือคนจรจัดอนาถาที่ต้องรอความเมตตาจากสถานสงเคราะห์แจกจ่ายอาหารให้
ทว่าหมวดกลับมองต่าง “แบบนี้คุณก็ประหยัดเงินได้มากโขเลยล่ะสิ ทำงานร้านอาหารมันดีแบบนี้เอง น่าอิจฉาจังนะครับ”
ไม่รู้ว่าพูดประชดหรือมองโลกในแง่ดีกันแน่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลดความอายในใจให้น้อยลง
ถามว่าเหตุใดจึงเลือกงานนี้ ทั้งที่เงินจากการถ่ายแบบก็น่าจะมีอยู่เยอะแยะ นั่นก็จริง แต่เนื่องจากเขาไม่มีวันได้หวนกลับไปสู่วงการอีกแล้ว (นอกจากกลับไปซบไข่ไอ้มาร์ค...) เลยกลับไปเรียน ซึ่งก็ต้องใช้เงินมาก ทั้งค่าเทอม ค่าตำรา ค่าโปรเจ็คต์ต่างๆ หนำซ้ำแสงเทียนไม่อยู่ ค่าห้องราคาหลายพันที่เคยหารกัน เขาก็ต้องจ่ายคนเดียว ไหนจะค่ากินค่าใช้ประจำวัน กับค่าจ้างนักสืบอีกล่ะ ยิ่งคดีใช้เวลานาน ก็หมายถึงรายจ่ายบานเป็นเงาตามตัว แบบนี้จะให้อยู่เฉยๆ อย่างไรไหว เลยตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านฟาสต์ฟู้ด สาขาในห้างใหญ่ใจกลางกรุง เนื่องจากได้ค่าจ้างสูงกว่าสาขาอื่นๆ รอบนอก
เดินลงบันไดไปด้วยกันจนถึงชั้นล่างเฟลมก็โบกมือลาผสมไล่ ดึงดันจะขึ้นรถเมล์ แต่หมวดโน้มน้าวผสมบังคับให้ไปรถยนต์ด้วยกัน แม้เฟลมจะอ้างว่ารถ
‘สำหรับใช้ในราชการเท่านั้น’ แต่ใครล่ะจะฝ่าฝืนกฎหมายได้มากเท่าตัวข้าราชการเอง?
“วันนี้จะทำอะไร” เฟลมถามระหว่างนั่งรถ จริงๆ ไม่ได้อยากเสวนาด้วย แต่แรงเร้าภายในผลักดันให้เขาต้องถาม
“ก็ทำงานน่ะสิ”
“ไม่ใช่ หมายถึงงานอะไร”
“ถ้าอยากรู้เรื่องคดีของคุณ ทำไมไม่ถามตรงๆ ล่ะ”
เฟลมหน้าร้อนผ่าว เขาเกลียดไอ้ตำรวจนี่
“เออ จะทำไรกันมั่ง”
“นักสืบทิวาจะกลับไปเก็บรายละเอียดเพิ่มที่ตึกร้าง จ่าตะวันกับผมจะลงพื้นที่สอบปากคำครอบครัวกับเพื่อนฝูงของนายอติศร เผื่อจะได้เบาะแสมากขึ้น”
“ไปตอนไหน” เฟลมตาเหลือบวาว
“ความลับทางราชการ” หมวดยักคิ้ว
“ขอผมไปด้วยได้รึเปล่า”
“ไม่ได้ คุณเป็นที่รู้จักของประชาชนพอสมควร อย่างน้อยก็กลุ่มผู้หญิงน่ะนะ ผมเกรงว่าคนจะให้ความสนใจกับคุณมากกว่าตัวคดี แล้วงานจะไม่คืบหน้า ขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ” ปากว่าอย่างนั้น แต่สีหน้าผิดหวังแรง “ว่าแต่...คุณบอกพ่อแม่ของเทียนรึยัง”
“ยัง ผมคิดว่าคุณจะบอกเองซะอีก” ตำรวจเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่ง
“ไม่ ผมไม่กล้า” เฟลมส่ายหัว “ถ้าผมบอก พวกเขาต้องสาปแช่งผมจนตกนรกหมกไหม้แน่ๆ”
“ทำไมงั้น”
“เพราะผมสัญญาว่าจะรักและดูแลเทียนให้ดีที่สุดไง คุณรู้ใช่ไหมล่ะว่าเทียนเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่หวงเขายิ่งกว่าไข่ในหิน”
“อือฮึ”
“กว่าเราจะได้คบกัน ผมต้องผ่านบททดสอบต่างๆ นานาจากพ่อแม่เขา พิสูจน์ให้เห็นว่าผมรักเทียนจริงๆ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ พ่อแม่เทียนเชื่อใจผมมาก สามปีที่ผ่านมาพวกเขารักผมเหมือนลูกอีกคน...แต่ดูตอนนี้สิ ผมทำลูกชายพวกเขาหาย ทำลายความไว้ใจของพวกเขา แล้วคุณจะให้ผมเอาความกล้าที่ไหนไปเสนอหน้าบอกพวกเขากันล่ะ”
ท้ายประโยคปลายเสียงของเฟลมสั่นเครือ เหมือนถูกคลื่นความโศกเศร้าเข้าแทรก เขาหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อไม่ให้อีกคนเห็นระลอกสั่นไหวในแววตา เขาไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าตำรวจนายนี้
“แต่ผมว่าพ่อแม่คุณแสงเทียนควรจะรู้ บางทีอาจเป็นพวกเขาเองที่ช่วยเหลือให้ลูกชายหนีไปจากคุณ”
“ว่าไงนะ?” เฟลมหันขวับ ตาหรี่ หัวคิ้วขมวด “พูดบ้าอะไรของคุณ ก็ไหนบอกว่าเทียนโดนโจรลักพาตัว หลักฐานก็มีอยู่ทนโท่”
“ก็ไม่แน่เสมอไป”
“คุณกำลังกล่าวหาว่าแม่เทียนเป็นคนจัดฉากงั้นเหรอ? ท่านเป็นคนจิตใจดี แล้วก็เป็นถึงครูบาอาจารย์ จะทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นเพื่ออะไร!”
เฟลมฉุนขาด โมโหจนอยากต่อยหน้าคู่สนทนาให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่เกรงใจปืนพกที่เหน็บเอวมันอยู่ล่ะก็นะ
หมวดหันไปมองคู่สนทนาด้วยดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง
“เพื่อแก้แค้นคุณไง”
“คุณอ่านนิยายมากเกินไปแล้ว” เฟลมส่ายหัว
“ในฐานะตำรวจ ผมบอกเลยว่านิยายยังไม่โหดร้ายเท่าเรื่องจริง ถ้าคุณรู้ว่าวันๆ ผมต้องเจอคดีสะเทือนขวัญอะไรบ้าง คุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงติดนิยายโลกสวยนัก...ก็เพื่อหักดิบกับโลกของความเป็นจริงไงล่ะ”
“...” เฟลมกลืนน้ำลายแทบไม่ลง
“ผมตรวจสอบโทรศัพท์ของคุณแสงเทียนดูแล้ว เขาโทรหาแม่ทุกวันเสาร์ คุยครั้งละประมาณสิบนาที แต่ครั้งสุดท้ายเขาคุยถึงหนึ่งชั่วโมง ไม่คิดว่ามันแปลกๆ บ้างเหรอ”
“...วันเสาร์ วันที่เทียนหายตัวไป” เฟลมพึมพำ “เขาโทรหาแม่ตอนกี่โมง”
“ราวๆ หกโมงเย็น”
“ก่อนที่เราจะมีปากเสียงกัน”
“ใช่ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่คุณแสงเทียนจะเล่าเรื่องคุณนอกใจให้แม่ฟัง เธอเลยวางแผนให้ลูกชายหลบหนีหรือจัดฉากเกมลักพาตัวขึ้น”
“ผมก็ยังคิดว่ามันเหลวไหลอยู่ดี”
“ทุกข้อสันนิษฐานล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น การตัดสินแค่ผิวเผินไม่ทำให้การสืบสวนคืบหน้า แต่จะถูกจำกัดในวงแคบๆ”
เฟลมหน้าชาอีกระลอก เจ็บใจที่ถูกตอกกลับอย่างแสบสันต์ แต่ก็ทำให้รู้ว่าตำรวจนายนี้มีเหตุมีผล และรู้ว่าตัวเองใช้อารมณ์มากเกินไป
“เคยดูหนังเรื่อง Gone Girl ไหม?” หมวดถาม
“เดวิด ฟินเชอร์กับเบ็น เอฟเฟล็ค สองยอดฝีมือคนโปรดของผม” เฟลมพยักหน้า “แต่ผมไม่คิดว่าแม่ของเทียนจะ Bitch เหมือนนังเอมี่ที่ลักพาตัวเองหรอกนะ”
“ผมก็พูดไปงั้นแหละ ถึงเธอไม่ได้ทำ แต่อย่างน้อยที่สุดก็คงจะพอจับสัญญาณที่ไม่ชอบมาพากลจากลูกชายได้บ้าง”
“ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งบอกเลย จนกว่าจะถึงเสาร์หน้า” เฟลมว่า “หากท่านโทรมา แสดงว่ายังไม่รู้ว่าเทียนหายตัวไป แต่ถ้าไม่...ผมจะเป็นฝ่ายโทรไปหาท่านเอง”
“ดีเหมือนกัน ไม่แน่เราอาจเจอคุณแสงเทียนภายในสี่วันที่เหลือ”
“สาธุ” เฟลมถอนหายใจ “รับปากกับผมได้ไหมว่าถ้าคุณได้เบาะแสที่อยู่ของโจรแล้วจะพาผมไปด้วย”
“เสียใจ สิทธิ์วิสามัญคนร้ายเป็นของตำรวจเท่านั้น”
หมวดบอกอย่างรู้ทัน เฟลมพ่นลมออกจมูก
“เกลียดคุณชิบหายเลยว่ะ”
ด้านสามหนุ่มสามมุม
นักสืบทิวามีความคืบหน้าคือพบรอยนิ้วมือในตึกร้างเพิ่ม ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของชายชื่อ
‘บรรณภพ พวงเซ่’ หรือบอมเบย์ หนุ่มไทยวัยยี่สิบเอ็ดปีผู้มีทะเบียนบ้าน ณ ชุมชนสลัม กับอีกคนคือ
‘อเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์’ หนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ผู้ร้ายที่เพิ่งมีหมายจับคดีลักทรัพย์ไปหมาดๆ ทำให้รู้ว่าโจรพวกนี้มีกันเป็นแก๊ง
นักสืบแจ้งไปยังหมวดรักษ์และจ่าตะวัน ทั้งสองเตรียมลงพื้นที่ค้นหาเบาะแสทันที โดยหมวดรักษ์ปักหลักอยู่ที่เยาวราชเพื่อตามหาฝั่งนายอติศรควบนายฝรั่งอเล็กซ์ที่สถานสงเคราะห์เด็กบ้านนกกาเหว่า ส่วนจ่าตะวันมุ่งหน้าไปยังชุมชนสลัมที่เป็นบ้านเกิดของนายบรรณภพ
หัวหน้าทีมลงพื้นที่พร้อมกับข้อมูลอาชญากรที่สุดแสนจะโหรงเหรง เนื่องจากนายอติศร แซ่อู๋ มีประวัติค่อนข้างคลุมเครือ ช่วงสิบเจ็ดปีแรกของชีวิตไม่มีข้อมูลของเขาในประเทศไทย เพราะเจ้าตัวเพิ่งย้ายทะเบียนบ้านจากปักกิ่งมาเมื่อห้าปีก่อน ข้อมูลเท่าที่ตำรวจมี ณ ตอนนี้คือบิดาของเขาชื่อนายอดิศักดิ์ ลิ้มประเสริฐไพศาลยทรัพย์ (สกุลเดิมแซ่ลิ้ม) อดีตเจ้าของภัตตาคารซีฟู้ดที่มีสาขาในไทยนับสิบ มารดาเป็นชาวจีนชื่ออู๋ฮวาเหมย ซึ่งไม่ได้ติดตามลูกและสามีมาไทย แต่ดูแลสาขาใหญ่ในปักกิ่ง นับว่านายอติศรเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยโดยแท้ รวยชนิดที่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่าอนาคตเขาจะกลายเป็นคน ‘จน’ หรือ ‘โจร’ ไปได้
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
หกเดือนก่อนนายอดิศักด์มีความขัดแย้งทางธุรกิจกับหุ้นส่วนชาวจีนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยที่เขาเรียนมหา’ลัยปักกิ่ง ฝ่ายนั้นบินมาหาเขาถึงไทยเพื่อเจรจากันตัวต่อตัวเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม ไปๆ มาๆ จากทะเลาะธรรมดาก็กลายเป็นชักปืนมายิงกันดับอนาถทั้งคู่ เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมลงพาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในเวลานั้น
ความจริงมันควรเป็นแค่ข่าวฆาตกรรมเฉยๆ แต่เจ้าหน้าที่คิดว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง จึงสืบไซ้ไล่เรียงจนพบว่ารายได้ทั้งหมดของบริษัทมาจากการฟอกเงินของธุรกิจผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จักรวาลภัตตาคารจึงถึงกาลอวสาน บรรดาพนักงาน ครอบครัว เพื่อนพ้อง และญาติๆ ของนายอดิศักดิ์ถูกสอบปากคำไม่เว้น โดยเฉพาะนายอติศรผู้เป็นทายาท แต่ทุกคนก็พ้นข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฟอกเงิน จากนั้นไม่ถึงเดือน นายอติศรก็หายสาบสูญ โผล่มาอีกทีก็อยู่ในทีวีช่องข่าวอาชญากรรมในช่วงต้นเรื่อง
หมวดรักษ์ปักหมุดจุดแรกที่บ้านตระกูลลิ้มประเสริฐไพศาลยทรัพย์ ที่บัดนี้มีนายอดิเรก น้องชายของนายอดิศักดิ์เป็นเจ้าของบ้าน เดิมทีตำรวจหนุ่มวาดภาพไว้ว่าคงเป็นบ้านหลังใหญ่มหึมา มีสระว่ายน้ำสิบตารางวา มีสนามหญ้าให้หมาวิ่งเล่น แต่ความจริงสิ่งที่เห็นเป็นเพียงตึกแถวโทรมๆ ขนาดสามคูหาสามชั้น ชั้นล่างเปิดร้านซีฟู้ดบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างทะเลเดือด...มรดกชิ้นเดียวที่ผู้เป็นพี่ชายหลงเหลือไว้ให้หลังความตาย
ตำรวจมาถึงตอนสายๆ ถามลูกจ้างพม่าว่านายอดิเรกอยู่ไหน ไอ้หนุ่มฟังเข้าใจแต่อธิบายไม่ถูก เลยชี้ไปด้านหลังร้าน หมวดรักษ์พยักหน้าขอบคุณแล้วเดินไปสุดทาง เจอเจ้าของบ้านกำลังนั่งเก้าอี้เตี้ย ล้างกุ้งในกะละมังอย่างขมักเขม้น เขาเป็นชายร่างอวบ ผิวขาวจัด แก้มสองข้างแดงปลั่งเหมือนเด็กทิเบต คิ้วหนาดกดำเหมือนปลิง เอกลักษณ์ประจำตระกูลแบบเดียวกับโจรอู๋ มั่นใจว่าไม่ผิดคน
“สวัสดีครับคุณอดิเรก” หมวดกล่าวทักทาย
“ลื้อเป็นใครวะ เข้ามาทำไม ร้านยังไม่เปิด” ชายอวบละสายตาจากกะละมังหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญอย่างงุนงงผสมหงุดหงิด
“ผมร้อยตำรวจโทหริรักษ์ ป้องปกเกียรติ ที่โทรหาคุณเมื่อเช้า” พูดพลางแสดงเครื่องหมายข้าราชการให้ดู
“อ๋อ จำได้แล้ว แล้วไง มีอะไรรึ” นายอดิเรกหันความสนใจกลับไปที่กะละมังกุ้งตามเดิม
“ก็อย่างที่บอกไป ผมอยากสอบถามคุณเรื่องคดี”
“ของใคร ไอ้คนพ่อหรือไอ้คนลูก” น้ำเสียงที่เอ่ยถึงพี่และหลานของตนเองเจือแววชิงชังอย่างเปิดเผย “ถ้าเป็นของตัวพ่อ อั๊วพูดไปจนหมดไส้หมดพุงตั้งแต่หกเดือนที่แล้ว ขี้เกียจรื้อฝอยหาตะเข็บอีก ลื้อกลับไปดูแฟ้มสืบสวนเก่าๆ เอาเองเถอะ แต่ถ้าเป็นของไอ้ตัวลูก อั๊วไม่มีอะไรจะพูด”
“เรื่องคุณอดิศักดิ์จบไปแล้ว ผมมาเพราะเรื่องนายอติศรต่างหาก ที่คุณบอกว่าไม่มีอะไรจะพูด หมายความว่ายังไงครับ” ผู้มาเยือนถาม
อีกฝ่ายพ่นลมออกจมูกฟึดฟัดเหมือนกระทิงฉุนเฉียว
“ก็หมายความตามนั้น! อั๊วไม่รู้ห่าเหวอะไรเกี่ยวกับมันสักอย่าง!”
โกรธหลานก็พาลลงกับกุ้ง ทั้งบีบ ขย้ำ ฟาดกับน้ำจนกระทุ้งกระเทือน หมวดเห็นท่าว่าเจ้าของบ้านคงไม่เชิญเขาเข้าไปคุยเป็นกิจจะลักษณะในห้องรับแขกเป็นแน่ จึงนั่งเก้าอี้เตี้ยห่างๆ แล้วเปิดโปรแกรมอัดเสียงซะตรงนี้
“เท่าที่ผมรู้ คุณเป็นญาติฝั่งไทยที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของนายอติศร เขาน่าจะติดต่อคุณบ้างนะ”
“เฮอะ ไม่มีซะล่ะ! ตั้งแต่พ่อตายมันก็หายหัว ไม่เคยติดต่อมาจะครึ่งปีอยู่แล้ว อั๊วเจอหน้ามันอีกทีก็ตอนที่เป็นข่าวออกทีวีนี่แหละ!”
ความฉุนเฉียวของเจ้าบ้านรุนแรงขึ้น จนหมวดต้องถอยห่าง เพราะกลัวน้ำล้างคาวกระเด็นใส่
“ถึงอย่างนั้น คุณก็คงรู้จักเขาดีพอสมควร พอจะบอกได้ไหมว่าเขามีปัญหาใด ถึงได้กลายเป็น...โจร”
“ก็บอกว่าไม่รู้!” นายอดิเรกตะโกน ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก “ไอ้มี่มันเด็กจองหอง ไม่เคยเห็นหัวใคร เหมือนพ่อของมันนั่นแหละ! มีปัญหาห่ารากอะไร ฝันไปเถอะว่ามันจะบอกคนอื่น! อมพะนำไว้จนระเบิดฉิบหายในตอนท้าย แล้วก็ตาย แล้วก็หายตัว ทิ้งให้อั๊วหัวเดียวกระเทียมลีบรับเวรกรรมที่พวกมันก่อ!”
พูดจบก็โยนกะละมังกุ้งดังโครมระบายความเจ็บแค้น แล้วหันไปลงไม้ลงมือกับกะละมังปูต่อ
“...เก๊กฮวยมั้ยครับ” ตำรวจยื่นขวดน้ำหวานที่ซื้อโปรหนึ่งแถมหนึ่งจากเซเว่นให้ด้วยความหวังดี
“วางไว้ตรงนั้นเหอะ!” เฮียซีฟู้ดตะคอก หมวดเกือบจะเห็นควันพุ่งออกหูเขาอยู่แล้ว
“งั้นคุณพอรู้ไหมว่านายอติศรจะไปที่ไหน หรือที่ๆ เขาชอบไป”
“หึ... ถ้ารู้อั๊วคงไปลากคอมันมากระทืบเป็นคนแรก ไม่ต้องรอให้ตำรวจถามหรอก!”
หมวดแอบผวา ไม่บ่อยนักที่ใครจะทำให้เขาหวาดหวั่นถึงขั้นนี้ นายอดิเรกเหมือนภูเขาไฟที่เดือดปะทุอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าอาศัยอยู่ได้ด้วยเชื้อไฟแห่งความเกลียดชังพี่ชายกับหลานชายมาตลอดครึ่งปี (และคงจะอีกหลายสิบปีจนกว่าจะตายไป)
“ไอ้ห่ามี่มันเด็กผี คนไม่รักดี เหมือนกับพ่อของมัน โกหกตอแหลเจ้าเล่ห์ ไว้ใจไม่ได้ แล้วยังเห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก ถึงได้ตายเยี่ยงหมาไง! อั๊วว่าป่านนี้ไอ้มี่ก็คงมีจุดจบไม่ต่างกับพ่อมันหรอก ลื้อลองไปหาดูแถวๆ ป่าละเมาะหรือบ่อขยะดูสิ ไม่แน่อาจเจอศพมันก็ได้!”
เกลียดอะไรขนาดนั้น...“ดูเหมือนคุณไม่ถูกกับพี่ชายและหลานเลยนะครับ” หมวดว่า
“ไม่หรอกหมวด ต้องบอกว่าอับอายที่จะร่วมสายเลือดเลยดีกว่า!”
“...” ตำรวจหนุ่มยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“ไอ้สองคนนี้ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเราเสื่อมเสีย คนหนึ่งเป็นนักทุจริต อีกคนเป็นมิจฉาชีพ! ทุกวันนี้อั๊วอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เจอใครๆ ก็ทักว่าหลานโดนจับได้รึยัง! อั๊วไม่ได้เป็นคนเอาเงินของตระกูลไปทำเรื่องชั่วๆ จนครอบครัวล้มละลาย อั๊วไม่ได้จี้ปล้นใคร แต่ทำไมอั๊วต้องมารับเคราะห์แทนไอ้เฮียเหี้ยกับหลานหอกด้วย!”
“เอ่อ...ผมว่าใจเย็นก่อนนะครับ”
“ลื้อกลับไปซะหมวด ก่อนที่อั๊วจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดถึงไอ้สองคนนี้ทีไรละมันขึ้นทุกที!”
เจ้าของบ้านเตือน ซึ่งอีกฝ่ายก็เห็นด้วยตามนั้น ไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เป็นห่วงว่านายอดิเรกจะความดันขึ้น เส้นเลือดในสมองแตกหรือหัวใจวายตายซะก่อนต่างหาก จึงยอมถอยทัพ
“งั้นผมขอรบกวนคุณแค่นี้ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ หากมีเบาะแสอะไรที่เกี่ยวกับนายอติศร ช่วยติดต่อกลับมาหาผมด้วยนะครับ”
หมวดพูดแล้วลุกขึ้นยืน เจ้าของบ้านร้องเออแล้วโบกมือลาส่งๆ
ตำรวจหมุนตัวเตรียมกลับไปทางหน้าร้าน เสียดายเพราะคิดว่าน่าจะได้ข้อมูลมากกว่านี้ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ยังเหลืออาจารย์กับเพื่อนร่วมมหา’ลัยของนายอติศรอีกหลายคนที่รอให้เขาสอบปากคำ
ระหว่างทางจากหลังไปหน้าร้าน สายตาคมกริบของหมวดก็สะดุดเข้ากับรูปถ่ายของนายอดิเรกกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฉากหลังเป็นทะเลสีคราม ในรูปนั้นทั้งสองยิ้มกว้างจนตาหยี ยิ้มที่หมวดจินตนาการไม่ออกว่าจะปรากฏบนใบหน้ายู่ยับแดงก่ำดั่งลูกท้อบูดนั้นได้
“เด็กคนนี้ ลูกชายคุณหรือครับ” ถามเสียงค่อนข้างดังถึงคนหลังบ้าน
“ใช่ ชื่อเคฟ เป็นเด็กดีที่หนึ่งในโลกเชียวล่ะ” น้ำเสียงชื่นชมบ่งบอกความภาคภูมิใจสูงสุด “กำลังเรียนปีสามคณะวิทยาศาสตร์ มอ XXX เชียวนะ เรียนเก่ง ขยัน ทำงานหาเงินใช้เองเรียนตั้งแต่มอปลาย ไม่เคยทำให้อั๊วเดือดร้อนเลย ไม่เหมือนไอ้มี่ ลูกพี่ลูกน้องห่วยๆ”
“อืม เป็นเด็กดีขนาดนี้ คุณคงภูมิใจในตัวเขามาก”
“มากสิ”
“หน้าตาก็หล่อเหลาเอาเรื่อง”
“เหมือนอั๊วตอนหนุ่มๆ”
ริมฝีปากที่บูดบึ้งมาสิบนาทีคลี่เป็นรอยยิ้ม เหมือนหนอนน่าเกลียดกลายร่างเป็นผีเสื้อ ความรักของพ่อที่มีต่อลูกมันอัศจรรย์เช่นนี้เอง
“ไว้ว่างๆ ผมจะแวะมากินซีฟู้ดนะครับ”
“เออ”
หมวดลากลับ กดหยุดบันทึกเสียง แล้วบันทึกข้อความลงในสมุดโน้ตหัวข้อ ‘บุคคลที่รอสอบปากคำ’
เคฟ ปีสาม วิทยาศาสตร์ มอ XXX//// งานเข้าน้องเล็กของแก๊งแล้วไง
งานนี้อยู่ทีมใครกันคะ โจรหรือตำรวจ 5555
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ