Lies 14 : Is it true that pain is beauty?
ผมไม่อยากกลับ...
ไม่ได้เอ่ยออกไปแต่ฌาณคงสัมผัสได้ เขายืนลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา แย้มยิ้มจางๆ คล้ายกับพยายามปลอบประโลมผมอยู่
“ป่ะ รถมาแล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
เงียบเป็นคำตอบ ปล่อยให้เขายกกระเป๋าของผมขึ้นรถบัสที่จะไปสนามบินให้ เขาจ่ายค่าเดินทางสำหรับสองที่พร้อมกับจูงแขนผมไปหาที่นั่ง ท่าทางราวกับแค่จะพาผมไปส่งที่โรงเรียน ไม่เห็นมีทีท่าอาลัยอาวรณ์เหมือนผมเลย
“ซึมอะไร ทำเหมือนจะไม่ได้กลับมาแล้ว”
“...”
“ถ้าเจนคิดถึงที่นี่ก็แค่บอกไจ เดี๋ยวก็ได้กลับมาแล้ว”
“แต่ฌาณเป็นคนบอกเองว่าจะไม่มาเจอ”
“ก็ใช่...พี่จะไม่เจอเจน แต่ถ้าเจนอยากมาก็มาอีกได้ไง แค่จะไม่เจอพี่”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้ามาแล้วไม่เจอฌาณ”
“ทำไม? อยากเจอพี่ขนาดนั้นเลย”
“...”
ผมกัดปาก เกลียดที่ฌาณชอบพูดดักทางไปหมด
คืนก่อนจะถึงวันกลับ เขาตกลงกับผมว่าหลังจากนี้ไปจนถึงปีหน้า จนกว่าจะทำวิจัยเสร็จ เขาจะไม่มาเจอผม จะไม่กลับไทย หรือต่อให้ผมมาหาเขาก็จะไม่มาเจอ
เพราะเขาอยากให้ผมไปทำความเข้าใจตัวเองให้เรียบร้อยก่อน
ถ้าผมชอบฌาณจริง เขาขอให้มิถุนายนปีหน้ามาเจอกันที่สนามบินที่ Christchurch และระหว่างนี้ขอให้เราไม่เจอกันเลย
ฌาณจะบ้าเหรอ! ทำไมผมต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งเกือบปี ทำไมผมจะมาหาฌาณไม่ได้ ที่อยู่เขาผมก็รู้ มหาลัยเขาผมก็ไปเป็น ไทยกับนิวซีแลนด์อยู่ไกลกันก็จริงแต่ใช่ว่าผมจะมาไม่ได้ ผมคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วถึงได้ยื่นข้อเสนองี่เง่าเช่นนี้
“พี่ก็คิดว่าตัวเองบ้าเหมือนกันแต่พี่ให้เวลาเจนนะ เจนบอกเจนยังรักไนล์ ถึงแม้ว่าพี่อยากอยู่ข้างเจนและทำให้เจนลืมเขา แต่ยังไงพี่ก็อยากให้เจนหัดรับมือกับปัญหาที่เจนสร้างขึ้นมาเหมือนกัน เจนรักไนล์มานานแล้วใช่ไหมล่ะ พี่ไม่คิดหรอกว่าเจนจะตัดใจได้ง่ายๆ ในเดือนสองเดือนหรอก เพราะพี่ก็เคยเป็น”
“...”
“เพราะอย่างนั้น ถึงได้ให้เวลาเจนยาวๆ เพื่อให้เจนสรุปความรู้สึกตัวเองได้ ถ้ายังรักไนล์อยู่ ก็อย่ากลับมา แต่ถ้าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ ก็ขอให้กลับมา”
“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าถึงตอนนั้นแล้วฌาณจะคิดแบบเดียวกับผม”
“นั่นสินะ...พี่ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นแล้วเจนจะรักพี่ไหมเหมือนกัน ก็แฟร์กันดีเนอะ”
แฟร์บ้าบออะไรเล่า ฌาณงี่เง่า จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวตั้งเกือบปี ให้อยู่กับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกอย่างสุ่มเสี่ยงว่าจะรอดหรือไม่รอด แล้วก็จะรอให้กลับไปเนี่ยนะ
แต่เอาเข้าจริง ผมก็เริ่มคิดว่าถ้าตัวเองโวยวายได้ขนาดนี้ ไม่ได้แปลว่าว่าตัวเองเริ่มมีใจให้เขาแล้วหรอกหรือ
ในเมื่อผมไม่ชอบใจที่จะไม่ได้เจอฌาณ
ผมไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน และหลังจากที่เถียงกับเขาแทบตาย ผมก็ได้ข้อสรุปว่าผมควรกลับไปจัดการเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้จบสิ้นเสียดีกว่า ถ้าผมมีความกล้าที่จะเจอไนล์มากพอ และถ้าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้มันคงง่ายขึ้น
“แต่ระหว่างนี้เรายังติดต่อกันได้ใช่ไหม” ผมถามขึ้นขณะที่พวกเรานั่งอยู่ในรถบัส รอเวลาที่รถจะออกเดินทางไปสู่สนามบิน
“อืม แต่ติดต่อผ่านไจนะ”
“ฌาณ!” ผมร้อง หันไปค้อนใส่เขา “ไจยุ่งจะตาย กว่าจะได้คุยกับฌาณก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไจจะว่างอ่ะ”
“อยากคุยกับพี่ขนาดนั้นเชียว”
“แล้วฌาณไม่อยากคุยกับผมขนาดนั้นเลยหรือไง”
“...”
ผมโต้ เบะปากไม่พอใจ เอาแต่ต้อนผมอยู่นั่นแหละ คนบอกว่าชอบผมก็เขาทั้งนั้น ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขให้ยุ่งยากด้วย อยากเจอก็ไปเจอ อยากคุยก็คุยไม่ได้หรือไง
ฌาณยกยิ้มมุมปาก
“พี่อยากตามเจนกลับไทยเลยด้วยซ้ำ”
“ก็มาสิ” ฌาณเองก็มีเงินอยู่พอสมควร หรือถ้าเขาไม่มีผมออกให้ก็ได้
“...ไม่ได้หรอก ไม่งั้นเจนจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”
“แล้วผมต้องเรียนรู้อะไรให้มันมากกว่านี้ด้วยเหรอ ถ้าผมชอบฌาณระหว่างที่อยู่ไทย แต่ผมไปหาฌาณไม่ได้ ฌาณไม่กลัวว่าผมจะเลิกรักฌาณหรือไง แล้วยังไงล่ะ ถ้าผมยังชอบฌาณก็หมายความว่าผมต้องทรมานไปตลอดปีเลยใช่มั้ย”
“...”
“ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเสียเวลาด้วย” ผมโวยวาย สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว อารมณ์เสียใจน้อยใจ ไม่ได้ดั่งใจตีรวนเข้ามาเต็มไปหมด และผมก็ไม่ใช่คนอดทนเก่ง
คงเป็นอย่างที่เขาเคยว่า ที่เวลาเจออะไรไม่ถูกใจก็จะร้องไห้ เกลียดนิสัยตัวเองแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้นี่
“ไม่ร้องสิ โอเค...ปีใหม่ โอเคมั้ย ปีใหม่จะกลับไปหาที่ไทย”
“...อีกตั้งสี่เดือน”
“ก็ดีกว่าสิบเดือน จริงไหม”
“แล้วทำไมเราถึงเจอกันเร็วกว่านั้นไม่ได้”
ผมสะอื้นฮัก จนคนขับหันมามอง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ส่วนฌาณก็พยายามเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผม ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ
“พี่...” เขาเว้นวรรค ก่อนจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจ
“...”
“...เคยสัญญากับแม่เขาไว้ว่าจะรักแค่โบตลอดชีวิต และพี่กำลังทำผิดสัญญา เรื่องมันผ่านมานานแล้ว มันอาจไม่ได้สำคัญอะไร แต่อย่างน้อยพี่ก็อยากจัดการเรื่องนี้ให้มันจบเหมือนกัน”
“...”
“พี่ไม่ได้กำลังจะลืมโบ แต่สิ่งที่พี่กำลังทำคือทำให้เจนเข้ามาในชีวิตพี่ได้ง่ายขึ้น ส่วนเจนเอง...ก็กลับไปจัดการเรื่องไนล์ให้เคลียร์ เข้าใจใช่ไหม”
“มันจะง่ายขึ้นยังไง...”
ผมแย้งเงียบๆ รวมถึงเกลียดคำว่าเข้าใจใช่ไหมของฌาณ มันเหมือนเป็นการบังคับให้ผมเข้าใจ
“ไม่ร้องสิ กลับไปไม่มีใครเช็ดน้ำตาให้แล้วนะ”
“...ฌาณก็กลับมาเช็ด...ให้ผมสิ” ผมสะอื้นตอบเขา สุดท้ายยังไงผมก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องหาเรื่องให้เราไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้น
“พี่เชื่อว่าถ้าเจนมีระยะเวลาในคิดหรืออยู่กับตัวเองมากๆ ความรู้สึกเจนจะชัดขึ้น”
ว่าจบ รถบัสก็แล่นออกจากป้ายรอรถ ขับตรงไปยังเส้นทางสู่สนามบิน
ใช้เวลากว่าสิบสองชั่วโมงในการบินข้ามทวีปมาสู่ประเทศไทย ประเทศที่คงความร้อนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไจเป็นคนมารับผมถึงที่ และเอาแต่บ่นเมื่อเห็นว่าตาผมบวมจากการร้องไห้ขนาดไหน แหงล่ะ ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบินผมเอาแต่ร้องไห้และนอนไม่หลับ ครั้นเหนื่อยอยากจะนอนก็มีหน้าฌาณโผล่เข้ามาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมจะไม่เจอเขาไปอีกเกือบปี น้ำตาก็ไหลพรากๆ
เป็นอย่างนี้วนไปจนถึงประเทศไทย ผมเหนื่อยแทบตาย ตาไม่บวมก็ให้มันรู้ไป
ไจก็บ่น หาว่าสายการบินไม่ดูแล ทั้งๆ ที่ผมนั่งเฟิร์สคลาส ได้รับการดูแลอย่างดี เพียงแค่คนที่อยากให้ดูแลไม่ได้อยู่ด้วยก็แค่นั้น
เราเดินมาถึงรถโดยที่ผมไม่ต้องแบกกระเป๋าตัวเองเลยสักนิด เมื่อไจให้คนของเขาช่วยลากกระเป๋าให้ รวมถึงขับรถให้ด้วย ระหว่างทางผมเล่าเรื่องการใช้ชีวิตคนเดียวที่ผ่านมา รวมถึงโม้เรื่องนิวซีแลนด์ตลอดเลย ชอบอันโน้น ถูกใจอันนี้ จนไจบอกว่าถ้าอยากไปอีกก็ให้บอก
ผมเลยพูดถึงฌาณ บอกว่าครานี้ถ้าไปที่นั่น ฌาณจะไม่มาเจอผมแล้ว แต่ไจกลับดูไม่ใส่ใจอะไร เพราะเขาบอกให้หาคนที่นี่ไปเป็นเพื่อนเอาก็ได้ แต่ผมไม่ได้สนิทกับพี่ๆ ในบริษัทนี่ อันที่จริง ก่อนจะเจอฌาณผมก็ไม่ได้สนิทกับเขานี่นา...
แม่ออกมาต้อนรับผมทันทีที่ถึงบ้าน ผมโดนเขกหัวเบาๆ จากผู้เป็นแม่ไปทีนึง ข้อหาทำให้เป็นห่วง แต่สุดท้ายแม่ก็กอดผมแน่น คิดถึงและดีใจที่ผมกลับมา แม่บอกว่ากลัวผมเลื่อนตั๋วไม่ยอมกลับแล้ว และผมก็เคยคิดอย่างนั้นจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาอยู่ดี
“แม่...แล้วพ่อกับเจด...”
“อยู่บริษัทน่ะ แม่บอกเขาแล้วว่าเจนกลับมาวันนี้ เดี๋ยวตอนเย็นไปทานข้าวด้วยกันนะ”
ผมก้มหน้าหงอย ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าพวกเขาอยู่ไหน เพียงแต่เรื่องที่ผมอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนี้เสียหน่อย
“...เรื่องไนล์ พี่จัดการให้แล้วน่า”
สุดท้ายก็เป็นไจที่เดาใจผมได้
“จัดการอะไร”
“ก็อธิบายให้พ่อกับเจดเข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว เชื่อพี่สิ”
ผมพยักหน้า ไม่แน่ใจเต็มร้อยแต่ก็เชื่อเขา ไจไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และเย็นวันนั้นก็เป็นตามคาด พ่อกับเจดที่ผมคิดว่าจะต้องโกรธที่ผมทำเรื่องงามหน้าไว้ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ชวนผมกินนู่นนี่ หาว่าอาหารไทยที่นิวซีแลนด์ยังไงก็สู้ที่นี่ไม่ได้ ชวนผมคุยเรื่องที่นู่น ถามว่ามีแนวโน้มธุรกิจอะไรให้ลองไปลงทุนไหม แน่นอนว่าผมไม่รู้หรอก ก็เอาแต่เที่ยวอย่างเดียวนี่ แต่ผมรู้ว่าพ่อแค่หาเรื่องคุยเฉยๆ
ผมดีใจนะที่พวกเขาไม่โกรธผม แต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ตัวเองดีว่าผิดและสร้างปัญหาให้พวกเขามากขนาดไหน
ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะนอนคนเดียวได้โดยไม่ร้องไห้ คิดถึงฌาณแทบบ้าตาย ระยะเวลาแค่สามเดือนทำให้ผมติดเขางอมแงม คิดถึงผ้าห่มอุ่นๆ ในเวลาที่อากาศหนาวๆ คิดถึงโกโก้ร้อนฝีมือเขา คิดถึงอาหารฝีมือเขา คิดถึงเสียงเครื่องอบผ้า คิดถึงเมืองโอ๊คแลนด์ และคิดถึงฌาณ...
ผมพอจะรู้ใจตัวเองมาสักพักแล้ว ติดตรงที่ผมไม่แน่ใจเรื่องของไนล์ การที่ไม่ได้เจอไนล์ทำให้ความรู้สึกมันคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือมันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเปลี่ยนยังไง
เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจึงเลือกที่จะไปงานแต่งงานของไนล์อีกครั้ง
ไนล์กับลินจัดงานแต่งสองครั้ง ครั้งแรกคืองานแต่งแบบทางการ เชิญญาติผู้ใหญ่ต่างๆ มาร่วมพิธี แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งงานแค่ในกลุ่มเพื่อน จัดกันเองและมีแต่เพื่อนๆ เท่านั้นที่มาร่วมงาน
ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับรึเปล่า
แต่เพราะไจฝากการ์ดเชิญมาให้ บนการ์ดจ่าหน้าซองที่เป็นชื่อของผม ผมถึงได้เข้าข้างตัวเองว่าผมมีสิทธิไปงานนั้น และหวังว่าตัวเองจะกล้าพอที่จะไปเผชิญหน้ากับเขา
พอยิ่งใกล้วันนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็กระสับกระส่ายถึงขั้นนอนไม่หลับ ไจเองก็ไม่ค่อยว่างทำให้ผมไม่ได้ติดต่อกับฌาณเท่าไหร่ ทำไงดี ผมอยากให้เขากอดปลอบผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมอาจจะสงบลงได้ และอาจจะมีความกล้ามากขึ้น
ผมรู้...ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะงอแงให้เขามาปลอบเหมือนทุกที ถึงเวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง และมันควรจบได้แล้ว
❄❄❄❄❄❄
“ร้องไห้ทำไมหืม”
“...ผมคิดถึงฌาณ”
“พี่ก็คิดถึงเรา”
“ผมไปหาได้หรือยัง ผมเคลียร์เรื่องไนล์แล้ว เข้าใจกันแล้ว ตอนนี้ผมคิดถึงฌาณ”
“เด็กดื้อ สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ”
“ผมไม่ได้สัญญากับฌาณสักหน่อยว่าจะทำตาม”
“ก็แย่สิ...เพราะพี่สัญญากับไจไว้”
“...”
“อ่า...ซวยล่ะ”
“หมายความว่าไง ไจบอกไม่ให้ฌาณมาเจอผมเหรอ”
เขายกยิ้ม และนั่นทำให้ผมรู้ว่าฌาณจงใจหลุดความลับออกมา คนไม่ดี โกหกผมงั้นหรือ
“ดึกแล้วเจ้าแกะน้อย ไปนอนได้แล้ว”
“ฌาณอย่าเปลี่ยนเรื่อง!”
“ถามไจเองแล้วกัน พูดเรื่องวันนี้ดีกว่า เป็นไงบ้าง”
ผมเกลียดที่ฌาณเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย แต่ก็เกลียดตัวเองด้วยที่ยอมคล้อยตามเขา ผมเล่าเรื่องราววันนี้ให้ฌาณฟัง ด้วยหวังว่าเขาจะยอมใจอ่อน ยอมมาหาผมหรือให้ผมไปเจอเสียที..
งานแต่งจัดขึ้นที่พัทยา ไนล์กับลินจองหาดส่วนตัวก่อนจัดปาร์ตี้กันริมทะเลที่นั่น งานเริ่มช่วงเย็น และผมก็ไปหลังจากเริ่มไปได้สักพัก...อันที่จริง ผมอยากไปตอนงานใกล้เลิก เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นตัวทำลายบรรยากาศงานมงคลของเพื่อนสนิท แต่เพราะไจบอกให้ไปเร็วๆ จะได้ไม่เสียมารยาทผมเลยทำตามที่ไจว่า
โดยลืมไปว่างานนี้มีแต่เพื่อนกันทั้งนั้น ผมไม่จำเป็นต้องเคร่งมารยาทขนาดนี้ก็ได้
เพราะถ้าก้าวขาไปในงานแล้วทุกคนจะมองมาขนาดนี้...
ผมใจเสีย อยากจะหนีออกไปจริงๆ แต่ไนล์เดินมารับผมเข้าไปในงาน นึกขอบคุณตัวเองที่อย่างน้อยการมาเร็วก็ทำให้คนร่วมงานยังมากันไม่เยอะมากเท่าที่ควร
“เจน...ขอบคุณที่มานะ”
“...”
“กินอะไรมาหรือยัง”
“...”
“ทางนั้นมีบาร์บีคิว”
“ไนล์...”
“ห้ะ หืม?”
“เราขอโทษ...”
“อ่อ...เรื่องนั้น...”
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เราแม่งโคตรเหี้ย ขอโทษที่ก่อเรื่อง ขอโทษที่ทำให้เสียความรู้สึกนะ ขอโทษ...ขอโทษ”
ไม่รอช้า เมื่อเห็นหน้าเขาคำพูดผมหล่นออกจากปากโดยแทบไม่ต้องผ่านความคิดด้วยซ้ำ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเรียบเรียงคำพูดที่จะมาพูดกับไนล์ แตว่าเมื่อเจอหน้าเขาก็มีแต่คำว่าขอโทษอย่างเดียว ทันทีที่คำพูดพรั่งพรูออกมาจนหมด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ล้นทะลักออกมา ผมร้องไห้อีกแล้ว น่าเบื่อเป็นบ้า แต่ถึงอย่างนั้นกลับหยุดร้องไม่ได้เมื่อได้เผยความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจ
“เจน...ไม่เป็นไร เราไม่โกรธแล้ว”
“ขอโทษ...ถึงรู้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้...แต่ขอโทษจริงๆ”
ไนล์เอื้อมแขนมาตบบ่าผม โอบไหล่ผมไว้แล้วโยกตัวไปมา ส่วนผมก็สะอื้นอยู่นั่นแหละ
“ไม่เป็นไรแล้ว เราไม่คิดอะไรเรื่องนั้นแล้วถึงแม้ตอนแรกจะโกรธนั่นแหละ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้วเราก็รู้ว่าเรามีส่วนผิด”
“...”
“เรารู้ว่าเจนชอบเรามานานแล้ว...ตั้งแต่มัธยม”
“...”
“แต่เราก็ยังทำแบบนั้นกับเจน...เราแม่งก็เหี้ยเนอะ”
“ไม่...ฮึก ไม่หรอก”
“อันที่จริงตอนแรกเราคิดว่าเราอาจจะชอบเจนก็ได้ แต่พอเราได้จูบกันจริงๆ เราถึงรู้ว่าไม่ใช่ เราเองสิที่ผิด เริ่มเรื่องเองทั้งหมดเพราะอยากพิสูจน์ความรู้สึกตัวเอง แล้วพอเจนทำกลับบ้างเราดันไปโกรธจะเป็นจะตาย โดยที่ลืมไปว่าตัวเองทำอะไรไว้”
“...” ผมไม่มีเสียงตอบกลับแล้ว ก้อนสะอื้นมันดันขึ้นมาจนจุกไปหมด
“แล้วพอเกิดเรื่องขึ้น เราก็โทษว่าเป็นความผิดเจน แต่หลังจากได้บอกลินแล้วคิดดีๆ เราถึงรู้ตัวว่าเราเองต่างหากที่โคตรเหี้ย เราเป็นคนเริ่มเอง เป็นคนทำให้เจนเสียใจเอง”
“ไม่...ไนล์ ฮึก...ไม่...”
“เพราะงั้นเราก็ขอโทษเจนนะ ขอโทษมากๆ เลย”
ผมไม่คิดว่าไนล์ผิดอะไร แม้เขาจะสารภาพเรื่องราวมาตั้งแต่ต้น แต่ผมก็คิดว่าเป็นผมเองที่หวังมากไปเอง และทำร้ายเขาจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เป็นแผลดำมืดกัดกินอยู่ในใจ จนสุดท้ายผมก้มหน้าสะอื้นจนไนล์ต้องประคองผมไว้ไม่ให้ทรุดลงไปนั่งกับพื้นทราย ไม่ได้ทรุดเพราะเจ็บปวดแต่เพราะยินดีที่เรื่องราวที่ราวกับเป็นเนื้อร้ายในอกค่อยๆ จางหายไป ผมร้องไห้ไม่หยุด เมื่อคิดว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ผมคาดหวัง
ผมไม่ต้องทนทรมานกับการคิดว่าจะโดนไนล์เกลียดแล้ว
กว่าจะเลิกร้องไห้ได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ไนล์ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่ไปไหน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปค่อนข้างนาน ผมเกรงใจเจ้าบ่าวเอาเสียมากๆ เลยบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรแล้ว ให้เขาออกไปต้อนรับเพื่อนๆ สนุกสนานกับคนอื่นๆ เถอะ พร้อมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิท ไนล์ถามย้ำว่าผมโอเคจริงๆ แล้วใช่ไหมตั้งนานกว่าจะยอมไป
ผมนั่งดูพวกเขาหยอกล้อกัน ทั้งคู่บ่าวสาว ทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ต่างตั้งวงพูดคุยอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผมไม่ขอให้ทุกคนเข้าใจเรื่องทั้งหมดหรอก ยังไงเสียมากกว่าครึ่งมันก็เป็นความผิดของผม การกระทำของผมสมควรที่จะได้รับการถูกรังเกียจจริง ผมขอแค่ไนล์เข้าใจว่าผมเสียใจมากจริงๆ ก็พอแล้ว
อันที่จริง มีอีกคนหนึ่งที่ผมอยากให้รู้ว่าผมเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ก็คือลินดา เสียแต่ผมไม่ค่อยได้คุยกับเธอเท่าไหร่ แหงล่ะ เพื่อนที่ผมสามารถคุยได้อย่างสนิทใจก็มีแค่ไนล์คนเดียว
ถึงอย่างนั้น ก็จะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเหมือนกัน
ผมใช้เวลาตัดสินใจและรวบรวมความกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งทำใจได้แล้วจึงเดินเข้าไปหาลินท่ามกลางเพื่อนๆ มากมาย
“ลิน...เราอยากขอโทษ...”
จบคำพูด ผมกลืนน้ำลายตัวเองดังเอื๊อก พวกเพื่อนคนอื่นๆ หันมามองทางผมราวกับเห็นพฤติกรรมผมเป็นเรื่องประหลาด ผมจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มากมาย แต่ไม่คิดว่าปฏิกิริยาของหล่อนจะเป็นการส่งยิ้มมาให้
“ไม่เป็นไร ไม่โกรธแล้ว ไนล์เล่าให้ฟังหมดแล้วล่ะ”
“...”
“เจนไม่ต้องโทษตัวเองแล้วนะ มา มากินปูกันดีกว่า”
ไม่ว่าเปล่า เจ้าสาวจูงแขนผมที่กำลังงงงวย ฝ่าวงล้อมของเพื่อนๆ พาไปยังเตาบาร์บีคิว หยิบอาหารใส่จานแล้วนำมาให้ผม
“อร่อยนะ ไม่กินล่ะพลาดแย่เลย”
จนผมต้องยิ้มตอบ รับจานกระดาษไว้ในมือ เอ่ยขอบคุณเธออีกครั้ง พร้อมกับขอตัวเดินออกมา แต่ลินดาไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว เธอเดินตามมานั่งข้างๆ ผม จนผมเกร็ง ครั้นจะขอให้เธอกลับไปร่วมงานลินก็พูดขึ้นมาก่อน
“ตอนแรกคิดว่าเจนจะไม่อยากมาร่วมวงด้วยเลยไม่กล้าชวน” เธอสารภาพ ส่วนผมปฏิเสธยกใหญ่
“เรากลัวเราไปทำให้เสียบรรยากาศมากกว่า ตอนที่ไปหาลินก็กลัวแทบตายว่างานจะพังเอา”
“ฮะๆๆ คิดมากน่า เราเองก็ผิดนะที่เอาเรื่องของเจนกับไนล์ออกไปบอกคนอื่นแบบนี้”
“ไม่...ไม่หรอก ถ้าเราเป็นลินเราก็คงทำเหมือนกัน” ผมว่าเสียงเบา...
“ไม่อะไร เราผิดสิ ทำให้เจนต้องเสียใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องของเจนกับไนล์แท้ๆ เราไม่ควรทำอะไรไปมากกว่าแค่รับฟัง แต่ก็ยัง... เฮ้อ ตอนนั้นก็นะ...”
“เราเข้าใจ”
“ขอโทษนะ”
“ลินอย่าขอโทษเลย เราต่างหากที่ผิด”
“เราเลิกโทษว่าใครผิดกันดีมั้ย ในเมื่อมีแต่คนอยากรับผิดกันไปหมด”
“ฮะๆ...” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้ผมต้องพลอยขำไปด้วยกับประโยคที่เจือไปด้วยความจริง
“ขอบคุณที่มางานนะ...ไนล์เขาเครียดมากเลยเรื่องเจน”
“...”
“เราก็อยากให้ทั้งสองคนดีกันนะ”
“...อืม เราก็ยินดีกับทั้งสองคนนะ”
ผมอมยิ้ม คิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องดีใจจนลิงโลดแน่ๆ และคงคิดเข้าข้างตัวเอง คิดว่าไนล์เครียดเรื่องผมแสดงว่ามีใจอะไรแบบนี้ คิดๆ ดูแล้วก็ตลกดี พอตกหลุมรักใครแล้วทุกอย่างก็ดูจะต้องเข้าข้างตัวเองไปหมดเลย
เพียงแต่ในตอนนี้ผมกลับนึกถึงใบหน้าของอีกคนขึ้นมา
และนั่นทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เมื่อคิดว่าเขาจะต้องสั่งสอนอะไรผมอีกต่างๆ มากมายเพื่อให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น ฌาณเป็นแบบนั้นแหละ
ผมมองบรรยากาศในงาน แม้ว่าจะไม่กล้าไปร่วมสนุกกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดีเพียงพอสำหรับผมแล้ว ตะกอนขุ่นมัวในใจถูกลบหายไป จากที่เคยจมอยู่ในความรู้สึกผิดตลอดมา ในครานี้ผมโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คิดว่าตัวเองควรจะมีความสุขได้เสียที
ผมไม่ได้อยู่จนจบงานเมื่อยิ่งมองไนล์กับลินอยู่ด้วยกันก็ยิ่งคิดถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกล ผมเลยขอตัวกลับก่อน แม้ว่าจะจองที่พักไว้แล้วก็ตาม แต่นั่นไม่เป็นปัญหาเมื่อไจส่งคนให้มารับผมในอีกชั่วโมงต่อมา ส่วนห้องพักก็ยกให้ใครสักคนในงานไป
โชคดีที่ไจทำงานจนดึกดื่น และนั่นทำให้ผมขอโทรศัพท์เขามาติดต่อกับฌาณได้เช่นนี้
“เก่งแล้วนี่”
“อือ เก่งแล้วไปหาได้มั้ย”
“ฮะๆๆ ถามพี่เราเองนะ”
“แล้วทำไมฌาณต้องไปตกลงกับไจด้วย”
“ไม่งั้นไจก็ไม่ยกน้องตัวเองให้พี่น่ะสิ”
ผมหน้าบูด มองหน้าเขาผ่านจอแก้วของโทรศัพท์ จ้องใบหน้าหล่อเหลานั่นก่อนจะเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป
“อยากจูบ”
“พรู่ด”
ฌาณสำลัก ไอจนต้องยกมือปิดหน้าปิดจมูกและปาก ส่งสายตาไปซ้ายทีขวาทีก่อนจะปล่อยมือมาเกาท้ายทอย หันหน้าไปมา ผมยิ้มกว้าง หัวเราะขำเมื่อได้เห็นอาการเขินของเขา จนฌาณหันกลับมาจ้องหน้าจอ ยกมือชี้นิ้วไปยังเลนส์กล้องมือถือ คล้ายกับต้องการจะชี้หน้าผม
“ไปนอนเลยไป”
❄❄❄❄❄❄
ตอนหน้าก็จบแล้วน้า
จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้มีดราม่ามากมายอะไรเลย
แต่ที่หน่วงๆ คงเป็นเพราะเจนไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า
หรือไม่ก็เพราะเขียนในฟีลลิ่งเครียดๆ 55555
ช่วงนี้งานค่อนข้างหนัก เลยไม่ได้เอามาลงบ่อยๆ ขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ
หลังจากจบแล้วยังมีตอนพิเศษหวานๆ ให้คลายเครียดกันอีกน้าไม่ต้องห่วงง