ให้ตายเถอะพี่เรนโคตรจะน่ารักเลย
ตัวผมนี่แทบจะลอยได้อยู่แล้วนะ
kaminsay-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด #น้องกายหลงฝน ด้วยนะคะ โชคครั้งที่ • 8.2 •• • • ต่อค่ะ 100% • • •
น้องกาย พระเจ้า... ได้โปรดช่วยให้ลูกช้างมีชีวิตรอดปลอดภัยจากความน่ารักของพี่เรนด้วยเถอะ
คนบ้าอะไรวะ! ทำไมน่ารักแบบนี้ อ๊ากกก ยิ่งตอนยกมือจับแก้มตัวเองแล้วหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งน่ารัก น่ารัก
ไม่รู้ว่ายืนเพ้ออยู่นานไหม แต่ให้ตายเถอะพี่เรนโคตรจะน่ารักเลย ตัวผมนี่แทบจะลอยได้อยู่แล้วนะ ปกติก็น่ารักอยู่แล้วยิ่งมาเปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์แล้วก็ยิ่งน่ารัก คนบ้าอะไรวะน่ารักชิบหายเลย
พอพี่เรนเขินหน้าแดง ผมก็ชะงักไปจนกลายเป็นว่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีนอกจากยืนมองคนน่ารักเขิน มองคนเขินนานๆ ละชักจะเขินตามแล้วนะเนี่ย
“เรน” ผมมองเลยไปด้านหลังก็เห็นพวกพี่ตินาเดินออกมาจากร้าน ผมเลยทักทายพวกพี่ๆ เขาไป พวกพี่ๆ ดูจะแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมแต่ก็ทักทายกลับมา แล้วไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าแต่เหมือนเห็นสายตาและรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจจากพวกพี่ๆ เขา
แล้วเหมือนสิ่งที่ผมคิดจะไม่ผิด... เมื่อพี่ใบหม่อนเดินมากอดคอพี่เรน ใช้มือบีบแก้มขาวๆ ที่ยังมีสีระเรื่ออยู่นั้นเล่น “เรนพอเปลี่ยนทรงผม ใส่คอนแทคแล้วน่ารักจริงๆ เลยนะ ดูสิ... มีคนมองกันเต็มไปหมดเลย”
พอได้ยินพี่ใบหม่อนชม พี่เรนก็หน้าแดงขึ้น แล้วพอพวกพี่ๆ เขาเห็นว่าพี่เรนกำลังเขินก็ยิ่งแกล้งแซวให้เขินหนักกว่าเดิม จนตอนนี้หน้าพี่เรนแดงก่ำไปหมด แดงจนลามไปที่ใบหูแล้วก็ลำคอแล้วครับ สองมือก็ยกขึ้นจับแก้มตัวเองเอาไว้
แล้วคือ... พี่เรนหน้าแดงแบบนี้ก็ยิ่งน่ารักไง พอน่ารักก็ยิ่งน่ามอง แล้วไม่ใช่แค่ผมที่อยากจะมอง ไอ้ผู้ชายรอบๆ ก็มอง คือหึงไงครับ หึง!
ไม่อยากให้คนมอง หึง หวง ห่วง เข้าใจไหมครับ!
แต่ทำไรไม่ได้ไง
เศร้าไปอีกไอ้กายเอ๊ย
“งือ... อย่าแกล้งเราดิ” พี่เรนส่งเสียงงุ้งงิ้งที่โดนเพื่อนๆ แซว น่ารักไปอีกคนอะไร
“น่ารักจริงๆ เลยนะเรนเนี่ย เดี๋ยววันจันทร์ไปมหา’ลัย ทุกคนต้องตะลึงแน่ๆ ดีไม่ดีหนุ่มน้อยของเราคงมีคนต่อแถวรอจีบเพียบแน่นอน” พี่ตินาพูดยิ้มๆ แล้วอะไรคือการเหล่มองผมครับ
เดี๋ยวครับเดี๋ยว... ที่พาพี่เรนมาแปลงโฉมเนี่ย ต้องการที่จะทำให้ผมลำบากขึ้นใช่ไหมครับ ไหนว่าสนับสนุนผมไง แล้วอะไรคือการทำให้ผมมีคู่แข่งเนี่ยยยยยย
“ใครจะมาจีบเราละ” พี่เรนพูดไปก็ทำปากยู่ น่ารัก อยากจะเข้าไปจับปากยื่นๆ นั่นแล้วจุ๊บๆๆๆ
“ไม่รู้สิ... อาจจะมีแต่เรนไม่รู้ตัวก็ได้นี่นะ เอาละ... วันนี้พวกฉันเสร็จภารกิจแล้ว อย่างนั้นพวกฉันกลับก่อนนะ” พี่สาพูด หันมาหาผม “อ๋อ... พอดีเลยกาย ยังไงฝากไปส่งเรนที่หอหน่อยนะ ปล่อยให้กลับคนเดียวกลัวจะหลง นี่ยังแปลกใจว่ามาถึงห้างได้ยังไงโดยไม่หลงทาง”
พี่เรนทำหน้าบึ้งเลยครับพอได้ยินพี่สาพูดแบบนั้น “เราก็ไม่ได้หลงทางบ่อยขนาดนั้นสักหน่อย แค่นั่งรถไฟฟ้าจากหน้ามหา’ลัยมาสยามแค่นี้เอง”
“จ้าๆ พ่อคนเก่ง แต่ก็กลับกับกายเขานั่นแหละตอนเย็นคนเยอะเดี๋ยวหลงไปละยุ่ง” พี่สาหันไปดึงแก้มพี่เรน เห็นแล้วอยากจะดึงบ้างครับ
“รบกวนน้องเขา น้องเขามาทำธุระอะไรยังไม่รู้เลย” พี่เรนว่าพร้อมกับขมวดคิ้ว
จริงๆ แล้วผมนัดกับพวกไอ้แชมป์มาดูหนังกันครับแล้วก็ตั้งใจว่าจะไปนั่งชิลกันต่อคืนนี้ แต่ไม่เป็นไรพี่เรนสำคัญกว่าอยู่แล้วดีไม่ดีเย็นนี้อาจจะได้กินข้าวกับพี่เรน มีความสุขกว่าไปนั่งกินข้าวกับไอ้พวกนั้นอีก
“ไม่ได้รบกวนอะไรครับ ผมมาทำธุระเสร็จนานแล้วนี่ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผมไปส่งพี่เรนเอง” ไม่ได้มานานแล้วหรอก เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้างไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยครับ
“โอเค ตามนั้นนะเรน เจอกันวันจันทร์นะหนุ่มน้อย” พี่แป้งว่า พี่ๆ เขาบีบแก้มพี่เรนอีกคนละทีก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินเลี่ยงไป ตอนนี้เลยเหลือผมกับพี่เรนสองคน
“พี่เรนกินอะไรหรือยังครับ เราไปหาซื้ออะไรกลับไปกินที่หอกันดีไหม” ผมชวน ไม่ชวนกินที่ห้างหรอกครับเพราะรู้ว่าพี่เรนคงไม่ตอบตกลงเพราะคงอยากกลับไปดูแมวที่ห้อง ชวนซื้อของกลับไปกินที่หอน่าจะได้ผลกว่า
พอผมชวนแบบนั้นพี่เรนก็นิ่งคิดไปนิดก่อนจะพยักหน้ารับ “ก็ดีนะ พี่จะได้กลับไปดูหมีด้วย”
ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินคำตอบ ก่อนจะชวนพี่เรนไปซื้อของกินกันครับ ซื้อมาหลายอย่างเลย ไม่เน้นอาหารจานหลักแต่เน้นของกินเล่นหลายๆ อย่าง มีทั้งหมึกทอด ไก่ทอด ทาโกะยากิ ลูกชิ้น
พอได้ของกินเป็นที่พอใจก็พากันกลับครับ เลือกที่จะนั่งรถแท็กซี่กลับกันเพราะของกินหลายอย่างเกรงใจคนบนบีทีเอสครับ เดี๋ยวจะหิวกันหมด ผมส่งข้อความไปบอกเพื่อนๆ ว่าผมไม่ไปดูหนังกับพวกมันแล้วเพราะเจอพี่เรน กำลังจะกลับหอ โดนพวกมันถล่มข้อความมาด่าเพียบครับ แต่วินาทีนี้ไม่สนอะไรทั้งนั้นละครับ มีโอกาสได้อยู่กับพี่เรนสองต่อสองทั้งที
แต่จะว่าไป… ก็อดแปลกใจกับพวกพี่ตินาไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงปล่อยให้พี่เรนกลับมากับผมได้
ตลอดทางจากห้างกลับไปหอ จนกระทั่งเข้ามาในห้องของพี่เรนแล้วเรียบร้อย เทอาหารทุกอย่างใส่จานแล้วผมก็ยังละสายตาไปจากพี่เรนไม่ได้เลยครับ
ผมรู้นานแล้วว่าพี่เรนเป็นคนน่ารักมากเพราะส่องพี่เขาอยู่ทุกวัน ขนาดผมยาวปิดหน้าปิดตาผมก็ยังเห็นว่าน่ารัก ตอนนี้ไม่มีผมมาปิดหน้า ไม่มีแว่นมาบังก็ยิ่งทำให้พี่เรนน่ารักเข้าไปใหญ่
หน้าขาวๆ เรียวๆ แต่แก้มป่องๆ ตากลมโตอย่างกับตากวาง ไหนจะจมูกโด่ง ยังไม่รวมปากสีชมพูแบบไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายจะมีปากสีนี้ได้ คือ… โคตรของโคตรน่ารักเลยครับ
“ม มองหน้าพี่ทำไมนัก” พี่เรยถาม แก้มขาวๆ เริ่มจะขึ้นสีนิดๆ เพราะผมไม่ละสายตาไปไหนเลย
“พี่เรนน่ารัก น่ารักชะมัดเลย” ผมพูดอย่างเพ้อ ธรรมดาจะเคยเห็นเวลาไม่ใส่แว่น มัดผมจุกน้ำพุโชว์หน้าเต็มๆ ก็แค่ไกลๆ วันนี้คือได้เห็นอย่างใกล้ชิดมันก็เลยอดใจไม่ไหวครับ มองไม่เลิก
คนโดนชมหน้าแดงวาบขึ้นมาทันทีก่อนจะก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผมแล้วจิ้มปลาหมึกทอดเข้าปากเคี้ยวหมุบหมับไม่หยุด
เฮ้อ… คนอะไรน่ารักชะมัดเลยผมนั่งค้าวทางมองพี่เรนจิ้มของกินเข้าปากแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี วันนี้นี่มีความสุขจริงๆ เลยนะ
“กินยังไงของพี่ เลอะแล้วเนี่ย” ผมว่า ยื่นมือไปเช็ดมุมปากที่เปื้อนซอส
“ง่า… อ่า… ข ขอบคุณนะ” หน้าแดงอีกแล้ว น่ารักว่ะ “ก กายกินสิ ซื้อมาตั้งเยอะ ช่วยกันกินเลยนะ”
ผมหัวเราะนิดก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้าก้มตาช่วยพี่เรนจัดการของกินตรงหน้า “ครับๆ จะช่วยกินเดี๋ยวนี้แหละ”
ไม่ใช่อะไร… แต่หน้าตาจริงจังเหมือนจะบังคับนิดๆ ของพี่เรนตอนบอกว่าให้ช่วยกันกินมันน่ารักมากจนใจสั่น ทนมองไม่ไหวครับเลยต้องรีบก้มหลบ
ผมเถลไถลอยู่ห้องพี่เรนอีกพักใหญ่ๆ จนฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีผมถึงได้ขอตัวกลับก่อนทั้งๆ ที่ในใจก็ไม่ได้อยากจะกลับสักเท่าไหร่ ซึ่งหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จผมก็แกล้งพูดเรื่องที่จะให้พี่เรนมาเป็นนายแบบให้ผมอีกรอบ ถึงแม้พี่เรนจะยังปฏิเสธอยู่แต่ก็ดูไม่ได้จริงจังมากนัก คงเพราะด้วยนิสัยขี้เกรงใจของพี่เขา ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธตรงๆ ก็เลยได้แต่ส่ายหน้าไปมาจนผมสะบัดไปมา เห็นแล้วน่าจับมาฟัดชะมัด
เหมือนจะนอกเรื่อง...
“ยังไงพี่เรนลองเอาเรื่องที่ผมบอกไปคิดๆ ดูก่อนก็ได้ แต่ผมยืนยันนะครับว่าพี่เรนเหมาะจะเป็นนายแบบให้ผมจริงๆ”
“อ่า... พี่จะลองไปคิดดูแล้วกันนะ” พี่เรนที่อุ้มแมวอยู่พูดกับผม
“โอเคครับ เอาไว้เจอกันใหม่ครับ ไปแล้วนะหมี” ผมพูดกับพี่เรน ก่อนจะยื่นมือไปเล่นเจ้าหมี แมวของพี่เรนอีกทีแล้วจึงผละออก ยกมือโบกให้พี่เรน “ฝันดีนะครับพี่เรน”
“อือ! ฝันดีนะ” พี่เรนยิ้มน่ารักมาให้ จับขาหน้าเจ้าหมีขึ้นโบกให้ผมอีกต่างหาก
ผมได้แต่ยิ้มแล้วก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องพี่เรน และเมื่อปิดประตูห้องพี่เขาแล้วผมก็ได้แต่ยืนพิงผนังอยู่ตรงนั้น หันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทแต่ก็ยังพอได้ยินเสียงคนในห้องดังลอดออกมา
เพียงแค่นี้ข้างในอกมันก็พองจนคับแน่นไปหมดแล้ววันที่ผมและเพื่อนร่วมคณะแทบทุกคนไม่อยากให้มาถึง... แต่ในที่สุดมันก็มาถึงจนได้ครับ วันพรีเซนต์งานครั้งที่หนึ่งครับ ตื่นเต้นไหมก็ตื่นเต้นอยู่นะ แต่ผมก็เตรียมตัวมาพร้อมแล้วเหมือนกัน
ผมกับเพื่อนในกลุ่มถือฟิวเจอร์บอร์ดคนละหลายแผ่นเดินเข้าไปในห้องเรียนที่จะใช้ในการพรีเซนต์วันนี้ ฟิวเจอร์บอร์ดที่เราถือๆ กันมาคือสิ่งที่จะเอาไว้พรีเซนต์ครับ ทุกคนจะล้างรูปของตัวเองมาแล้วก็แปะใส่ฟิวเจอร์บอร์ด ซึ่งพวกนี้เอาไว้ให้อาจารย์ดูครับ ส่วนเวลาพรีเซนต์จริงๆ ก็ฉายสไลด์เอาในคอม แต่เพื่อป้องกันสีเพี้ยนอาจารย์ก็เลยให้ล้างรูปออกมาด้วยเลย
“ตกลงมึงได้รูปพี่เรนมาแล้วเหรอวะ” ไอ้เกลียวหันมาถามผม ตอนนี้พวกเรากำลังรอเวลาอยู่ครับ รออาจารย์มานั่นแหละ
ทุกคนพรีเซนต์ห้องเดียวกันหมด แถมอาจารย์ที่มาฟังดูจากจำนวนแฟ้มคะแนนที่วางอยู่ที่แถวหน้าของโต๊ะแล้ว... หกคนได้
“ก็ได้มาบ้างแต่กูไปแอบถ่ายมา พี่เรนยังไม่ยอมตกลงเป็นนายแบบให้กูเลย กูเลยมีแต่ภาพแอบถ่ายว่ะ” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก อย่างที่เคยบอกถึงแม้จะเรียกว่าพรีเซนต์งานแต่คะแนนก็ไม่ได้เยอะมากเพราะสุดท้ายวัดกันที่วันจัดนิทรรศการมากกว่า คะแนนคราวนี้อาจารย์เขาจะดูแค่ว่าแต่ละคนทำงานคืบหน้าบ้างไหม ใส่ใจกับงานแค่ไหน ยังไม่เน้นความสวยงามของรูปหรอกครับ เพราะจะถ่ายรูปออกมาให้สวย โดนใจเลยมันต้องรอทั้งจังหวะ โอกาส แล้วก็ดวงด้วย
“เออๆ อย่างมึงเอาตัวรอดได้สบายๆ อยู่แล้ว แถเก่งจนสีข้างถลอกเป็นแผ่นๆ อยู่แล้วนี่นะ กูไม่ห่วงมึงละ” ไอ้เป้ครับ ไอ้เป้ มันหันมากระแหนะกระแหนผมก่อนจะหันไปหาไอ้ไม้ที่นั่งเคี้ยวมาม่าแห้งตุ้ยๆ เห็นแล้วน่าตบกะโหลก “ว่าแต่มึงถึงไอ้ไม้ ความอยู่รอดของมึงนี่ตกลงยังไงวะ”
ไอ้ไม้หันมายักคิ้วจึกสองจึกให้ แต่ก็ไม่ขยายความอะไรมากกว่านั้นจนไอ้เป้หันไปตบหัวมันเพราะหมั่นไส้
“ตกลงว่ายังไงมึง ยังเอามาม่าอยู่ไหมเนี่ย” ผมหันไปถามมันบ้าง เพราะไอ้ไม้เป็นคนเดียวที่มันไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรเลย นอกจากมันบอกว่าสบายมากๆ แล้วก็เห็นมันถ่ายรูปควันที่ลอยอยู่บนถ้วยใส่มาม่าแค่นั้นแหละครับ
“เออน่า สบายมากไม่ต้องห่วงหรอก ไม่เชื่อเดี๋ยวพวกมึงคอยดูตอนกูพรีเซนต์ละกัน”
พอได้ยินมันพูดแบบนั้นพวกผมก็ขี้เกียจจะสนใจมันต่อครับ อีกอย่างอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องพอดีด้วย เราก็เลยหยุดพูดกันชั่วคราวแล้วเปลี่ยนมานั่งฟังเพื่อนๆ พรีเซนต์กันแทน
พวกผมเป็นพวกท้ายๆ ครับ เวลาพรีเซนต์ก็จะขึ้นแทบจะกลุ่มสุดท้ายเลย ระหว่างรอก็ฟังไปบ้าง เล่นเกมบ้าง หลับบ้าง คอมเมนต์ของอาจารย์คนไหนน่าสนใจ แล้วตรงกับงานของตัวเองก็หัวตั้งหูกระดิกฟังกันครับ เสร็จก็กลับไปสู่โลกส่วนตัวของตัวเองกันต่อ
มีหลายคนที่คอนเซ็ปคล้ายๆ กันไปจนถึงคอนเซ็ปเดียวกันเลยก็มี แต่ถึงอย่างนั้นภาพของแต่ละคนที่ถ่ายมาก็แตกต่างกัน เพราะเป็นผลงาน เป็นความคิดของแต่ละคน ผมชอบของเพื่อนคนหนึ่งนะ คอนเซ็ปของเขาคือแสงและเงา
ภาพที่ถ่ายออกมาแม้จะยังไม่สมบูรณ์แต่ก็สวยมาก มีเพียงแค่สีขาว เทา แล้วก็ดำ ภาพเป็นเพียงแค่เงาแต่ก็สื่ออารมณ์ได้ดีในแต่ละภาพ อย่างภาพที่ต้องการสื่อถึงความพลิ้วไหวก็ถ่ายออกมาได้ดีเลยครับทั้งๆ ที่ใช้โทนสีแค่สามสี เป็นภาพของเงาผ้าม่านที่ตกกระทบกับพื้นห้อง ทั้งๆ ที่ใช้สีเพียงแค่สามสีแต่ก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าผ้าม่านที่ติดหน้าต่างนั้นเป็นผ้าบางเบา และมันกำลังพลิ้วไหวอยู่เพราะต้องลมที่พัดผ่านช่องหน้าต่างมาพอดี จนเห็นเป็นภาพผ้าม่านกำลังโบกสะบัดอยู่
ให้ความรู้สึกพลิ้วไหวปนๆ ไปกับความลึกลับและน่าค้นหา
เพื่อนๆ ในชั้นยังคงทยอยพรีเซนต์กันไปเรื่อยๆ ได้รับคำชม คำแนะนำไปก็เยอะ แต่เพราะในชั้นผมคนค่อนข้างเยอะแล้วแต่ละคนใช้เวลาพรีเซนต์นานเลยต้องพักกินข้าวกันก่อน แล้วเริ่มพรีเซนต์อีกทีตอนบ่ายโมง กว่าพวกผมจะได้พรีเซนต์ก็คงเย็นพอดี
ไอ้ไม้เป็นคนแรกของกลุ่มผมครับ มันส่งฟิวเจอร์บอร์ดที่ติดรูปให้อาจารย์สองชุด
“คอนเซ็ปของผมคือความอยู่รอดครับ ตอนแรกผมตั้งใจจะใช้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นตัวสื่อในความอยู่รอดของผม” ไอ้ไม้เริ่มพูดพร้อมกับเปิดรูปที่มันถ่ายเอาไว้ด้วย คือไอ้นี่มันเก่งนะครับ ถ่ายรูปโคตรเก่งอะ
แค่ถ่ายรูปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่มันถ่ายออกมาได้โคตรน่ากิน น่าอร่อย ยิ่งตอนที่มันโฟกัสควันที่ลอยขึ้นมา สีเข้มๆ ของน้ำซุปที่ตัดกับสีของเส้น
มันก็บรรยายของมันไป ก่อนที่ภาพมาม่าของมันจะเปลี่ยนเป็นภาพของหมาที่ตัวหนึ่งกำลังวิ่งไล่ อีกตัวหนึ่งกำลังวิ่งหนี
“ตอนที่ผมกำลังเดินกลับหอ ผมก็เห็นหมาสองตัวนี้วิ่งไล่กันจนผมนึกขึ้นมาว่าทำไมต้องวิ่งหนี อ่อ… เพราะถ้าไม่หนีมันก็อาจจะโดนกัด มันคือสัญชาติญาณการเอาตัวรอด ผมก็เลยเปลี่ยนความหมายของคอนเซ็ปของผมใหม่ครับ แต่คอนเซ็ปหลักๆ ก็ยังคงเป็นความอยู่รอดเหมือนเดิม”
ไอ้ไม้พรีเซนต์เสร็จแล้วครับ พอมันเดินกลับมาถึงก็จัดการโบกหัวมันไปคนละทีเพราะหมั่นไส้กับท่าทางของมันครับ
พอจบไอ้ไม้ คนอื่นในกลุ่มก็เดินลงไปพรีเซนต์ต่อ ส่วนผมคนสุดท้ายต่อจากไอ้เกลียวครับ
พอใกล้ถึงคิวจริงๆ ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นนะครับทั้งๆ ที่ก็พรีเซนต์มาหลายรอบแล้ว
“มึงๆ มึงว่ากูเอารูปพี่เรนออกดีไหมวะ กูชักหวงพี่เรนแล้วว่ะไม่อยากให้คนอื่นเห็นรูป” ผมหันไปถามไอ้พวกนั้น
แล้วทำไมต้องมองผมแบบนั้นด้วยวะ ก็ผมพูดเรื่องจริงอะ ผมหวงพี่เรนนะโว้ยยย
“ทำไมวะ พี่เรนของกูออกจะน่ารัก เออ! พวกมึงยังไม่เห็นละสิพี่เรนกูเปลี่ยนลุคแล้วนะโว้ยโคตรจะน่ารักเลย”
“เห็นแล้ว” พวกมันพูดออกมาพร้อมกันจนผมนี่ได้แต่อ้าปากค้าง มันไปเห็นตอนไหนวะ
“พวกมึงเห็นได้ไงวะ!”
“กูเห็นรูปพี่เรนในเฟส” ไอ้เป้พูดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดๆ อยู่แล้วก็ส่งมาให้ผมพร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย “กูโคตรจะหมั่นไส้พวกผู้หญิงในนี้เลยว่ะ พอเห็นพี่เรนหน้าตาดีหน่อยก็กรี๊ดกร๊าดๆ คราวก่อนยังว่าพี่เรนอยู่เลยเรื่องรูปมึงกับพี่เรนน่ะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเพราะยังไม่ได้เข้าไปส่องเฟสบุ๊คเลยครับวันนี้ เลยได้แต่คว้าโทรศัพท์ของไอ้เป้มาดู มันเปิดหน้าเพจคิ้วบอยของมหา’ลัยเอาไว้ หน้าเพจอัพเดทล่าสุดเมื่อเช้าเป็นภาพของพี่เรนที่กำลังเดินถือกระดานวาดรูปตรงไปที่ตึกคณะ มีเขียนบรรยายเอาไว้ทำนองว่า คิ้วบอยคนใหม่ปรากฏตัว น่ารักมาก แล้วก็กรี๊ดกร๊าดๆ
มีคนมาบอกว่าเป็นพี่เรน คนที่อยู่ในภาพกับผมที่เพจนี้เคยลงเอาไว้ แล้วก็มีคนมาคอมเมนต์ชมกันใหญ่ คนที่เคยว่าพี่เรนก็มาชมว่าน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้ เห็นแล้วก็น่าหมั่นไส้อย่างที่ไอ้เป้บอกจริงๆ นั่นแหละครับ
“แต่กูว่านะ พี่เรนเปลี่ยนลุคแบบนี้แล้วมึงต้องรีบทำคะแนน เดินหน้าจีบจริงจังได้แล้วว่ะ จำที่พวกกูเคยบอกได้ไหม” ไอ้แม็คชะโงกหน้ามาพูดกับผม “ผมเห็นความน่ารักของพี่เรนก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่เห็น แล้วยิ่งตอนนี้พี่เรนโคตรน่ารัก ไอ้พวกหนุ่มๆ หน้าหม้อแม่งเข้ามาจีบพี่เรนแน่ๆ เลย แล้วอย่างพี่เรนจะไปตามไอ้พวกนั้นทันได้ยังไง พวกนั้นมันไม่ได้รักจริงอยู่แล้ว แม่งหลอกฟันทั้งนั้น ถ้ามึงไม่รีบระวังพี่เรนจะโดนคาบไปนะมึง”
ผมคิดตามที่ไอ้แม็คพูด สิ่งที่มันพูดก็เรื่องจริงทั้งนั้นแบบนี้ผมต้องรีบเดินหน้าจีบพี่เรนอย่างจริงจังได้แล้วละครับ จะมาเขิน มาอาย ทำเป็นเล่นๆ ไม่ได้แล้ว
“ตอนกูพรีเซนต์ กูวานไรพวกมึงหน่อยสิ...” ผมหันไปพูดกับพวกมัน ก่อนจะหยิบเอาฟิวเจอร์บอร์ดที่ติดรูปเอาไว้มาถือแล้วเดินลงไปด้านหน้าของห้องเพื่อเตรียมขึ้นพรีเซนต์ต่อ
หลังจากไอ้เกลียวเดินกลับไปนั่งที่แล้ว ผมก็เดินเอารูปไปให้อาจารย์แล้วก็เตรียมสไลด์สำหรับพรีเซนต์ ภาพแรกของผมเป็นภาพน้ำฝนที่ตกลงพื้นบนน้ำที่เจิ่งนอง จนเห็นเป็นวงน้ำขยายเป็นรูปวงกลม แล้วก็มีตัวอักษรภาษาเกาหลีที่ผมปรับตัวอักษรให้แทบจะกลืนไปกับภาพ แต่ก็ยังมองเห็นว่าเป็นตัวหนังสือ
“คอนเซ็ปของผมคือ พิ (비) ครับ พิ (비) เป็นภาษาเกาหลีแปลว่าฝน ส่วนถ้าถามว่าทำไมผมไม่ใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ก็เพราะสองภาษานี้เป็นภาษาที่คนอ่านและสามารถตีความไปได้เลย ส่วนภาษาอื่นผมก็ลองหาดูแล้ว แต่เส้นสายของตัวอักษรคำว่าฝนในแต่ละภาษาค่อนข้างเยอะ ฝนเป็นคำง่ายๆ ที่หลายคนมักจะชอบตีความหมายไปเอง ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจจะมีความหมายอื่นแฝงอยู่อีก ผมเลยเลือกใช้ภาษาเกาหลีเพราะว่าเป็นภาษาที่ใช้เส้นในการเขียนน้อย เหมือนเป็นคำง่ายๆ แต่ถ้าคนเขียนไม่เป็นก็ไม่สามารถเขียนได้ ก็เหมือนกับความหมายของฝนที่ถ้าไม่มองลึกลงไป ก็จะตีความเพียงแค่อย่างเดียว”
ผมเริ่มอธิบายคอนเซ็ปของผม “ถ้าถามหลายคนในห้องนี้ว่านึกถึงฝน จะนึกถึงความรู้สึกอะไร ผมเชื่อว่าหลายคนจะบอกว่า รู้สึกเศร้า เหงา โดดเดี่ยว ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยครับ ฝนก็เป็นเพียงแค่น้ำที่หยดลงมาจากฟ้า ไม่ใช่น้ำตาของนางฟ้าหรือเทวดา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่แค่สื่อถึงความเศร้า ความเหงาเท่านั้น”
ผมกดเปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆ พร้อมกับทั้งอธิบายความหมายของแต่ละรูป มีทั้งรูปตอนที่ฝนตกแต่แดดแรงมาก รูปที่แสงแดดส่องผ่านใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ลงมากระทบพื้นจนเกิดเป็นเส้นแสงชัดเจน
“ฝนไม่ใช่ตัวแทนของคำว่าความเศร้า แต่มันยังเป็นตัวแทนของความเด็ดเดี่ยว ความอ่อนโยนด้วยเช่นกัน”“ไอ้กาย ที่มึงขอกูเมื่อวานตอนจะพรีเซนต์อะ กูจัดการให้แล้วนะ” ไอ้เป้พูด พร้อมกับส่งโทรศัพท์มือถือของมันมาให้ผมดู
หน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าเพจคิ้วบอยเอาไว้ และรูปแรกที่ขึ้นก็เป็นรูปของผมตอนพรีเซนต์งานอยู่ที่หน้าห้อง โดยมีภาพด้านหลังเป็นจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ และบนเจอนั้นก็เป็นภาพครึ่งหน้าของพี่เรน ที่กำลังมองสายฝนที่โปรยปรายลงมาพร้อมกับยิ้ม เป็นภาพที่ผมแอบถ่ายเอาไว้และใช้มันเป็นภาพในการพรีเซนต์เมื่อวานนี้
“แบบนี้เขาเรียกว่าหมาหวงก้างหรือเปล่าวะ” ไอ้แม็คพูดพร้อมกับยิ้ม
ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้มกลับไปเท่านั้น ในเมื่อผมเองก็กังวลว่าอาจจะมีคนมาชอบ มาจีบพี่เรน ผมก็แค่ประกาศตัวเอาไว้ก่อนว่าคนนี้ผมจองนะก็เท่านั้นเอง ผมก็แค่บอกให้ไอ้เป้ถ่ายรูปผมตอนกำลังพรีเซนต์งานอยู่ ให้ถ่ายตอนที่เปิดรูปพี่เรนพอดี แล้วก็ส่งรูปไปให้แอดมินเพจพร้อมประโยคอีกประโยคสองประโยค
“แต่แม่งโคตรจะเลี่ยนเลยว่ะ” ไอ้เกลียวทำท่าเหมือนคนพะอืดพะอมอยากจะอาเจียน เห็นแล้วน่าถีบมาก
“เลี่ยนอะไรของมึง” ตอนนี้ไม่สนใจอะไรหรอกครับ พวกมันจะพูดอะไรก็ช่าง เพราะผมสนใจประโยคที่แอดมินเพจคิ้วบอยเขียนเอาไว้มากกว่า เขียนตามที่ผมต้องการทุกอย่าง
RAIN… IS MY HAPPINESSฝน... คือความสุขของผม ที่ตีความหมายได้ทั้งสองอย่าง คือฝนที่สื่ออารมณ์ถึงความสุข เป็นไปตามคอนเซ็ปในงานของผม และอีกความหมายคือ... คนในภาพ
พี่เรน... คือความสุขของผม กาย คามิน @Guy_Kamin
Rain… is my happiness #คนน่ารัก************************************************
กลับมาแล้วค่ะ มาต่อจนครบ 100% แล้วนะ นี่คือปั่นเสร็จแบบสดๆ ร้อนๆ เลยค่ะ แล้วก็รีบเอามาอัพ คือเรื่องนี้ช่างเข้ากับช่วงนี้จริงๆ ฝนตกแล้วตกอีก จนแบบ... เลิกตกบ้างก็ได้! เจอทั้งรถติด น้ำขัง โอ๊ย... พอ เข้าเนื้อเรื่องดีกว่า
เหมือนจะไม่มีอะไรเนอะครึ่งหลังแต่มีจ้า น้องกายเริ่มรุกอย่างจริงจัง แล้วไม่ใช่แค่รุกเดินหน้าจีบพี่เรนนะ นี่ประกาศตัวเลยจ้าว่าพี่เรนของกายนะ โอ๊ยยย คือพิมพ์ไปสะดุ้งไปเพราะฟ้าแรงมาก อยากจะคุยมากกว่านี้แต่ก็กลัวฟ้าจ้า ขอพักการคุยเอาไว้เท่านี้นะคะ ตอนหน้าจะมาคุยใหม่ อ่านให้สนุกค่ะ ไปละจ้าาาาาาาา
ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันต่อไปนะคะ
ปล. อ่านแล้วไม่เมนต์ เดี๋ยวฟางไม่อัพให้อ่านนะคะ ^^
อ่านแล้วอย่าลืมให้กำลังใจคนแต่งนะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งนิยายให้อ่านกันค่ะ อย่าเงียบนะคะใจคอไม่ดีเลยค่ะ คอมเมนต์คือกำลังใจของคนเขียนนะคะ ^^
สำหรับเฟสบุ๊คค่ะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/Fangiily_GC
เข้าไปพูดคุย สอบถาม ทวงหานิยายกันได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคน ทุกข้อสงสัย(ที่ตอบได้จ้า)
รักน้องกายพี่เรนกันเยอะๆ นะคะ กดเฟบ กดเมนต์ กดโหวด กดแชร์ แล้วแต่สะดวกเลยน๊า คนละนิดคนละหน่อยเป็นกำลังใจให้น้องกายพี่เรนนะคะ จุ๊บๆ ขอบคุณค่ะ