Secret Me คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 9
พวกเราสามคนยืนเมียงมองอยู่ห่างจากหน้าร้านประมาณสองช่วงตึกพลางยกกระดาษในมือขึ้นดูว่าชื่อร้านถูกต้องไหม และเพื่อให้แน่ใจว่าเรามาถูกที่จริงๆ
Wonderful Land
อื้อหือ นี่ชื่อร้านอาบ อบ นวดหรือสวนสนุก?
ยังไม่ทันอ่านชื่อร้านจบผมก็เห็นคนที่ต้องการตัวเดินออกมาจากข้างใน เจ้าก้อนนุ่มนิ่มอยู่ในชุดทำงานเข้ารูปดูดีเชียวล่ะ แต่มันดูขัดตาอีตรงเสื้อกั๊กสีชมพูนี่แหละ หวานแหววซะไม่มี ใบหน้าน่ารักนั่นยิ้มแย้มให้คนรอบข้าง พูดคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด บนลำคอมีหูฟังสุดรักคล้องเอาไว้หากเขาไม่ได้ใช้มันครอบหูเอาไว้อย่างทุกที ผมเหลือบสายตามองโดยรอบทันที ที่นี่มีคนเดินพลุกพล่านไปมา ดูก็รู้ว่าคนมาเที่ยวคงไม่คิดเรื่องทำงานกับการเรียนในหัวหรอก ถ้าเรื่องลามกล่ะไม่ต้องเดา แต่กระนั้นกระวานก็ยังคงไม่ใช้หูฟังเพื่อหลีกหนีคนเหล่านี้
ผมหรี่ตามองพี่ชายคนรองของบ้านก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา ภูธเรศกับบดินทร์กลับรั้งแขนเอาไว้คนละข้าง
“มึงจะเดินปรี่เข้าไปแบบนี้ไม่ได้”
“มึงต้องวางแผน”
“วางแผนอะไร? เข้าไปตามพี่ชายกลับบ้านไม่ต้องวางแผนอะไรหรอกมั้ง?”
“มึงดูนู่น” บดินทร์บุ้ยใบ้ปากไปอีกด้าน ทางนั้นมีชายใส่สูทดำเดินไปมา ให้ความรู้สึกเหมือนพวกมาเฟียหรือแก๊งค์พี่โหดแบบในหนัง ผมขมวดคิ้ว กระวานมาทำงานในสถานที่แบบไหนกัน! โดนหลอกมาหรือว่าโดนข่มขู่? ไม่ได้การล่ะ ผมจะยอมให้กระวานทำงานในที่แบบนี้ไม่ได้!
“เฮ้ย โป๊ยกั๊ก!” ผมตรงเข้าไปหากระวานโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนด้านหลัง
“กระวาน!” ผมแผดเสียงตะโกนจนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจ กระวานเบิกตามองมา ใบหน้าขาวดูซีดกว่าเดิม รู้ตัวเลยว่าผมคงทำสีหน้าท่าทางน่ากลัวแค่ไหนพี่ชายถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ชายตัวโตสองคนตรงทางเข้าร้านพอเห็นผมเดินเข้าไปพร้อมกับเห็นท่าทีแปลกๆ ของกระวานก็ขยับเข้ามาขวางเอาไว้ทันที
“หลีกไป”
“ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่น” หนึ่งในนั้นพูด ผมจึงเพิ่งเห็นว่ามีลูกค้าบางคนหันมามอง บ้างทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น บ้างมีท่าทีไม่สนใจ
“ไม่หลีกเหรอ? ได้!” ผมกำหมัดแน่นพร้อมลุยเต็มที่ ชายตัวโตทั้งสองคนเอื้อมมือไปหลังกางเกง
“เดี๋ยว!” กระวานที่เห็นท่าไม่ดีตะโกนแทรกเสียงดังแล้ววิ่งมาคั่นกลางระหว่างผมกับพี่เบิ้มสองคน “นี่น้องชายผมเอง!” สองคนนั้นจ้องหน้าผมสลับกับกระวานไปมา สงสัยจะไม่เชื่อว่าเราเป็นพี่น้องกัน เห็นแบบนั้นผมเลยชักสีหน้าใส่
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว กลับบ้าน!”
“เฮ้ย ไม่ได้” กระวานพยายามดึงแขนให้หลุดเมื่อผมคว้าหมับเข้าตรงข้อมือของเขา ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ ดูซิ กระวานชักจะดื้อใหญ่แล้ว
“ทำไมไม่ได้?”
“คุณกระวานเป็นพนักงานของเรา คุณมากระชากลากถูกันไปแบบนี้ไม่ได้ครับ” หนึ่งในนั้นเอ่ยบอก
“แต่ผมเป็นน้องเขา และตอนนี้ผมมารับเขากลับบ้าน”
“ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคุณกระวานครับ”
“ก็ไม่ต้องรอให้เลิก เพราะกระวานจะไม่ทำงานที่นี่อีก” สองคนนั้นเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้างแล้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ไม่เอาน่าไอ้กั๊ก” เพื่อนทั้งสองคนวิ่งตามเข้ามาพยายามบอกให้ผมใจเย็นลง
“เรื่องนี้คุณต้องไปคุยกับคุณจักรพรรดิเอง”
“ที่นี่เป็นจีนโบราณเรอะ มีจักรพรรดิด้วย? งั้นอย่างฉันนี่ต้องเรียกอะไร ฮ่องเต้?” พี่เบิ้มสองคนคอตั้งตรง หน้าตึง มือกลับไปตรงหลังกางเกงอีกครั้งเมื่อได้ยินผมพูดจา
“โป๊ยกั๊ก! คุณจักรพรรดิเป็นเจ้านายฉัน” กระวานดุผมเสียงเข้ม โอเค ผมยอมเงียบก็ได้
.
.
อาบ อบ นวด ที่นี่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนอาบ อบ นวดในความคิดของผมสักเท่าไหร่ ที่นี่เป็นคลับที่ดูดีมากแห่งหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปจะมีทางแยก ด้านซ้ายเป็นแผนกธุรการ การเงิน ฝั่งขวาตรงทางเข้ามีการ์ดสวมสูทดำยืนอยู่ ส่วนนี้แยกไปเป็นสถานเริงรมย์ คือมีตู้กระจกและสาวสวยอยู่ข้างในอย่างที่เคยเห็นในการ์ตูนนั่นแหละ
ตอนนี้ผมนั่งเผชิญหน้ากับคนที่ชื่อจักรพรรดิ เจ้านายของกระวาน ผู้ชายตัวสูงชะลูด ทั้งๆ ที่ผมว่าตัวเองสูงแล้วนะแต่เขายังสูงกว่าผมเสียอีก เรือนผมสีดำหวีเรียบไปด้านหลังนั้นยาวระต้นคอ ดวงตาสีนิลเย็นชาและสูทสีดำเรียบกริบบนตัวยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม
นี่มันพวกมาเฟียชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องตรงมาเงียบๆ ผมเองก็ไม่ยอมละสายตา มีกระวานนั่งกระสับกระส่ายอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับผม
“เอ่อ” บรรยากาศในห้องรับแขกของสำนักงานคงกดดันเกินไป กระวานจึงมีเหงื่อซึมขมับ เขาคงอยากสลายความอึดอัดนี้เลยส่งเสียงขึ้นมา
“ผมมารับพี่ชายกลับบ้าน” ผมเอ่ยแทรกทะลุกลางปล้อง กระวานอ้าปากค้างกะพริบตาปริบ
“คนของผมน่าจะบอกคุณแล้วว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกงานของเขา”
“ใช่” ผมยกมือแคะหูด้วยท่าทางกวนๆ คนตรงหน้ายังคงตีหน้าเรียบอ่านความรู้สึกไม่ออก “แต่ผมก็บอกแล้วเหมือนกันว่าผมไม่ยอมให้พี่ชายมาทำงานที่ร้านนี้” คราวนี้เขามีปฏิกิริยา ดวงตาดุๆ คู่นั้นหรี่ลงก่อนจะตวัดไปมองตัวต้นเหตุ
“คุณไม่ได้บอกคนที่บ้านหรือไงว่าทำงานที่นี่”
“เอ่อ บอกนะ” กระวานขยับตัวไปมาท่าทางมีพิรุธ
“บอกว่ายังไง?” นายหน้าดุหันไปถามกระวาน
“ก็ ก็บอกว่า ..ว่าทำงานที่ wonder land”
“เพราะแบบนี้ทุกคนในบ้านเลยเข้าใจว่ากระวานมาทำงานที่สวนสนุก” ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาเอ่ยปากต่อบทสนทนาของพี่ชาย ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่บอกแต่บอกไม่ครบต่างหาก!
“........” เจ้าของสวนสนุกถึงกับพูดไม่ออก
“กระวานมีปัญหา...สุขภาพ” ผมชี้ที่หูตัวเอง “เขาไม่ควรมาอยู่ในที่แบบนี้ ไม่งั้นเขาจะไม่สบาย”
“ไม่ๆ โป๊ยกั๊ก ตอนนี้ฉันสบายดี” กระวานเหลือบมองเจ้านายตัวเองแล้วรีบหันมาพูดกับผมรัวเร็ว ผมหรี่ตามองพี่ชายเพื่อจับสังเกตว่าเขากำลังพยายามปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า ปกติไม่ต้องให้ผมเอ่ยปาก กระวานก็มักจะไม่เข้าใกล้คนที่มีความคิดแนวนี้อยู่แล้ว น่าแปลกที่ยอมมาทำงานในร้านอาบ อบ นวด
“ผมจะยอมให้คุณพาพี่ชายกลับบ้านก็ได้นะถ้าคุณยอมชดใช้หนี้ที่พี่คุณก่อ”
“หนี้?”
“แหวนมูลค่าหลักสิบล้าน”
“สิบล้าน!” ผมหันไปมองพี่ชายคนรองของบ้าน “เงินไม่พอใช้พี่น่าจะบอกพวกเราซิ ไปขโมยของเขาได้ไง?”
“จะบ้าเรอะ! ไม่ได้ขโมยโว้ย” กระวานถลึงตามอง “พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย แล้วฉันทำแหวนคุณจักรพรรดิหาย”
“หายจริงเหรอ หาดูดีหรือยัง?”
“หาดีแล้วซิ เพราะไม่เจอไงฉันถึงต้องมาทำงานใช้หนี้แบบนี้”
“แหวนอะไรแพงขนาดนั้น โม้หรือเปล่า?” ผมพยายามหาเหตุผลมารองรับ แหวนบ้าอะไรราคาหลักสิบล้าน เออ ถ้าราคาหลักสิบล้านจริงนี่มีอีกสักวงไหม ผมอยากจะขโมยไปขายแล้วเอาเงินให้คำนับไปเรียนต่อจัง โว๊ะ นี่ผมกำลังคุยเรื่องซีเรียสของพี่ชายอยู่ ทำไมไพล่ไปคิดถึงเจ้านั่นได้ล่ะเนี่ย
“แหวนนั้นเป็นของสำคัญของผม และพี่ชายคุณทำของสำคัญของผมหายไป เขาต้องชดใช้” นายหน้านิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณกำลังขู่อยู่เหรอ?” ผมผละจากพนักโซฟา ค้อมตัวไปข้างหน้าจ้องตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“ก็ถือว่าใช่” เขาจุดยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์และอันตรายขึ้นมา
“....” ผมจ้องเข้าไปดวงตาสีดำคู่นั้น กำลังคิดประเมินว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี พลันบ่าก็โดนสะกิดจากด้านหลัง
“โป๊ยกั๊ก พี่ใหญ่โทร.มา” บดินทร์ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งมาให้ ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับโทรศัพท์ของเพื่อนมาแนบหู ผมปิดเสียงโทรศัพท์เปิดเป็นระบบสั่นเอาไว้ และแน่นอนว่ามันสั่นเป็นเครื่องนวดตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้ามา เพราะรู้ว่าพี่ชายคนโตจะต้องโทร.มาแน่นอนผมตั้งใจจะไม่รับจนกว่าจะลากตัวกระวานกลับบ้านได้ สุดท้ายก็ต้องคุยกันเพราะผมลืมสั่งเพื่อนว่า อย่ารับสายของพี่ไธม์
“ครับ”
‘โป๊ยกั๊ก กลับบ้าน’
“ไม่”
‘อย่าดื้อ ถือว่าพี่ขอร้อง’
“แต่กระวานกำลังตกอยู่ในอันตรายนะพี่” นายหน้าดุขมวดคิ้วฉับกับคำพูดของผม “เขาบังคับให้กระวานใช้หนี้ด้วย ผมว่าไม่เป็นมาเฟียก็ยากุซ่าแน่ๆ”
“เอ่อ” กระวานยิ้มแหย เขาเหลือบมองเจ้านายตัวเองที่ตีหน้าตึงคอตั้ง
‘เรื่องนั้นพี่จะตรวจสอบเอง ส่วนเราน่ะกลับบ้านไปได้แล้ว มันอันตราย’
“นั่นไง ขนาดพี่ยังว่าอันตราย ผมยิ่งไม่ควรปล่อยให้กระวานอยู่ที่นี่” ผมเถียง ไม่ยินยอมกลับง่ายๆ ส่วนกระวานกำลังขยับตัวไปมา
“โป๊ยกั๊ก นายกลับไปก่อนนะ แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง” ผมขมวดคิ้วใส่พี่ชายทั้งสองคน แม้พี่ไธม์จะไม่เห็นก็เถอะ
‘กระวานไม่เป็นอะไรหรอก แต่เรานั่นแหละ ยุ่มย่ามมากไปไม่เป็นเรื่องดี’
“แต่...” สรุปคนที่น่าเป็นห่วงคือผม ไม่ใช่กระวานเหรอ?
‘เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง เมื่อพี่กลับบ้าน โอเค๊?’
“ถ้าไม่โอเคล่ะ?”
‘คำตอบมีข้อเดียว โป๊ยกั๊ก’ โอเค น้ำเสียงพี่ไธม์เริ่มเปลี่ยนแล้ว ดังนั้นผมควรทำตัวเป็นเด็กดียอมกลับบ้านง่ายๆ ตามคำสั่งของพี่ชายคนโต
ผมยอมออกจากสวนสนุกนั่นโดยปล่อยให้กระวานทำงานต่อไปอย่างไม่เต็มใจ ไม่รู้ว่าใครโทร.หาพี่ไธม์ คงไม่ใช่เพื่อนทั้งสองคนของผมแน่ เดาว่าคงเป็นเพกา เพราะฝ่ายนั้นไม่อยากให้ผมบุกมาที่นี่เท่าไหร่
ผมไม่โกรธเพกาหรอกที่โทร.ไปฟ้องพี่ไธม์ เข้าใจแหละว่าน้องคงเป็นห่วง ผมเป็นคนใจร้อน พอรู้เรื่องก็รีบแจ้นมาที่นี่เพราะกลัวกระวานจะรู้สึกแย่ อย่างที่รู้ว่าหูของกระวานนั้นค่อนข้างพิเศษกว่าคนทั่วไป ผมเลยอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าพี่ชายคนรองจะลำบากแค่ไหนกับงานแบบนี้ อีกอย่างกลัวเจ้าก้อนนุ่มนิ่มนั่นโดนหลอก คนสมัยนี้น่ากลัวจะตาย ไว้ใจได้ที่ไหนกัน
หลังจากนั้นผมก็อยากจะเอาความกังวลทั้งหมดทิ้งลงแม่น้ำ เมื่อพี่ชายตัวดียิ้มแป้นแล้นหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน บอกว่างานนี้เหมาะกับความสามารถของตัวเองสุดๆ แถมเงินดีอีกต่างหาก
สวนสนุกนั่นไม่ได้มีแค่สาวสวย หากยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดีด้วย แยกออกไปในส่วนของตึกอีกหลัง มีทั้งอาบ อบ นวดหนุ่มน้อยสำหรับผู้หญิง อาบ อบ นวดหนุ่มน้อยสำหรับผู้ชาย โอ้โห อะไรจะครบวงจรขนาดนี้!
แม่ที่ได้ยินถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน ท่าทางตื่นเต้นปากก็พูดว่า อยากไปๆ เล่นเอาพ่อถึงกับอ้าปากค้าง จากนั้นก็นั่งหันหลังให้แม่พลางร้องไห้กระซิกๆ บอกว่าแม่ไม่สนใจพ่อแล้วถึงอยากไปอาบ อบ นวดหนุ่มน้อย ผมเห็นแม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะโอบไหล่พ่อเข้ามา
ผมเดาว่าคืนนี้พ่อต้องกลายเป็น ‘หนุ่มน้อยในตู้กระจก’ ให้แม่แหงๆ
**********
ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ
แต่ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหู...
เพกาเป็นคนน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดี เข้ากิจกรรมของโรงเรียนไม่ขาด การเรียนก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ใครหลายๆ คนต่างชอบเพกา ใช่ หลายคน แต่ไม่ควรมีคำนับเป็นหนึ่งในนั้น!
“เฮ้ย สรุปคำนับมันจีบเพกาจริงเหรอวะ?”
“มึงเอาอะไรมาพูด” ผมหันขวับไปตะคอกเสียงเขียวใส่เพื่อนชมรมไอคิโด
“อ้าว กูเห็นมันไปกินข้าวกลางวันกับมึงทุกวัน นึกว่าตีสนิทเข้าทางมึง” ผมยืดอกขึ้น ในอกฟูฟ่องแปลกๆ
“แล้วไง มันแค่ไปกินข้าวกับกูกับไอ้ภู ไอ้ดิน”
“เหรอ มันเข้ากลุ่มเหรอ งั้นเมื่อวานที่กูเห็นมันเดินไปกับเพกานี่ไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหม?”
“ห้ะ?” ผมหันขวับไปจ้องหน้าคนพูดอีกครั้ง
“หรือว่ามันเป็นพ่อสื่อให้ไอ้เน่าเพื่อนมันวะ?”
ผมหูอื้อตาลาย ไม่ได้ยินอีกแล้วว่าเพื่อนคนนั้นพูดว่าอะไรอีก รู้แต่เพียงว่าโกรธมาก ผมเป็นคนพาคำนับเข้าบ้านเอง หากเขาจะฉวยโอกาสนี้จีบเพกาหรือช่วยเพื่อนจีบผมจะทำยังไง ตีอกชกตัว?
ไม่ ผมจะชกมันนั่นแหละ!
มีบางสิ่งที่ผมไม่เข้าใจความโกรธครั้งนี้ มันไม่เหมือนเวลาโมโหคนอื่นๆ ที่เข้ามาจีบเพกา มันเจ็บยอกแปลกๆ ลมหายใจอึดอัด และทุกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ผมจะเห็นเพียงหน้าน้องสาวตัวเอง ห่วงหวงไม่อยากให้น้องมีแฟนก่อนเวลาอันควร คราวนี้กลับต่างออกไปเมื่อผมเห็นแต่เพียงหน้าของคำนับ ยิ่งคิดว่าเขาไปหัวร่อต่อกระซิกกับใครที่ไม่ใช่ผม ผมยิ่งโมโห
น่าแปลก แปลกมากจริงๆ
ผมไม่อยากเชื่อคำพูดของเพื่อนจากชมรมไอคิโดคนนั้นจึงลองลอบสังเกตว่าคำนับมีท่าทางอะไรแปลกๆ กับเพกาหรือไม่
“มึงบ้าหรือเปล่า? หวงน้องเกินไปแล้วนะ” ภูธเรศถอนหายใจแล้วส่ายหัวเมื่อผมยืนมองน้องสาวตัวเองกับคำนับช่วยกันปลูกผักตรงแปลงหลังร้าน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เขาสองคนช่วยกันปลูกผักแบบนี้ ทำไมผมต้องคิดมากด้วยนะ ผมถอนหายใจ บอกตัวเองว่าอาจคิดมากไปและควรไปช่วยพ่อทำความสะอาดร้านได้แล้วก่อนจะเริ่มเปิดร้านและมีลูกค้ามา จังหวะที่หมุนตัวกลับสายตาดันเห็นท่าทีของคนหลังร้านผิดแปลก คำนับวางเสียมขุดดินอันเล็กและถอดถุงมือออก ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เพกาแผ่วเบา น้องสาวคนสวยของผมยิ้มกว้างเจิดจ้า ปากขยับพูดไม่หยุด ขณะที่คำนับหัวเราะอารมณ์ดี
.
.
ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงร้องวี๊ดของเพกา ความรู้สึกเจ็บตรงกำปั้นเมื่อผมส่งมันกระแทกใบหน้าของคำนับ ผมกระชากเขาที่นั่งข้างเพกาขึ้นมาแล้วชกจนเขาล้มคว่ำ เพกาเข้ามาผลักผมออกแล้วตะโกนอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ยิน
คำนับมีท่าทีตกใจ มือผอมซีดยกกุมแก้มตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นตวัดมองผมคล้ายมองคนแปลกหน้า เป็นดวงตาเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ถูกเขามอง และนั่นยิ่งทำให้ในอกผมหน่วงหนักกว่าเดิมนับร้อยเท่า
“มึงจีบน้องกูให้ตัวเองหรือให้เพื่อนมึง?”
“พี่โป๊ยกั๊ก! หยุดเลยนะ!”
“ตอบ!” ไอ้ภูกับไอ้ดินวิ่งเข้ามาฉุดไหล่ผมคนละข้าง เพกาน้ำตาคลอหากผมเอาแต่จ้องหน้าของคนบนพื้น คำนับมองนิ่ง เขาหรุบสายตาลงพลางถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษดินตามกางเกง ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มองผมอีก
“ไอ้ครับ!” ผมผวาจะตามเขาไปหากแขนกลับโดนน้องสาวรั้งเอาไว้
“พี่โป๊ยกั๊ก!” เพกาตวาดกลับ ผมก้มลงมองหน้าน้องสาวที่เบะปากจะร้องไห้
“.....”
“พี่ชกพี่ครับทำไม”
“ก็มัน...จะ...เพกา”
“ใช่ที่ไหน!” น้องสาวคนเดียวของบ้านเริ่มร้องไห้ เพการู้ว่าประโยคต่อไปของผมคืออะไรจึงเอ่ยแทรก “พี่ครับไม่ได้จีบหนูสักหน่อย”
“แต่มันเช็ด...”
“ก็แค่เช็ดเหงื่อ! มือหนูเปื้อนดินพี่ครับเลยเช็ดให้”
“แล้วหัวเราะอะไรกัน” ผมขมวดคิ้ว นี่ต่างหากคือข้อสงสัยของผม
“ทำไมจะหัวเราะไม่ได้?”
“ก็...”
“พี่บ้าไปแล้วหรือไง จะไม่ให้พี่ครับหัวเราะหรือยิ้มกับใครเลยหรือไง”
“....” คล้ายมีมือมาบีบบางอย่างในอกให้แตกดังโพล๊ะ ความรู้สึกอึดอัดที่ผมไม่เข้าใจเมื่อครู่พลันกระจ่างเมื่อฟังคำพูดของเพกา ผมไม่ได้หวงน้องเหมือนอย่างทุกที ไม่ได้โกรธที่คำนับอยู่ใกล้เพกา แต่ผมไม่พอใจ ไม่พอใจที่เขาแสดงท่าทีสนิทสนมกับเพกา ยิ้มและหัวเราะกับใครที่ไม่ใช่ผม...
“เรากำลังคุยเรื่องเจ้าหญิงกัน แล้วพี่ก็เข้ามากระชากพี่ครับเฉยเลย”
“คุยเรื่องเจ้าหญิง?”
“ใช่!” เพกาทำปากยื่น เช็ดน้ำตาป้อยแล้วส่งค้อนมาให้วงใหญ่
เจ้าหญิงคือแมวเพศผู้ของบ้านเรา แมวที่พ่อเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวเมียจึงตั้งชื่อให้มันเสียน่ารักน่าชัง แมวสีดำตัวเขื่องขี้เล่นและฉลาดแสนรู้ แมวที่กระวานไม่ชอบและพี่ไธม์ไม่ค่อยอยากจับสักเท่าไหร่ แมวที่พ่อหลงนักหลงหนา แมวที่ผมชอบจับมันมาผูกโบว์สีชมพูเพราะอยากแกล้งมัน
แมวตัวเดียวกันนั้นที่ทำให้คำนับยิ้มและหัวเราะกับวีกรรมทั้งหลายของมันที่เพกาเล่า
********
“มึง แล้วกูจะทำยังไงดี?” อยากทึ้งหัวตัวเอง แต่ก็กลัวจะหัวล้านผมเลยได้แต่นั่งคอตกปรับทุกข์กับเพื่อนทั้งสองคน เมื่อวานหลังเหตุการณ์นั้นคำนับก็กลับบ้านทันที มาวันนี้ตอนถึงเวลากินข้าวก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็น
“สมน้ำหน้า ทำอะไรไม่รู้จักคิด” ภูธเรศค้อนตากลับ
“กูแค่หวงน้อง...”
“มึงหวงเพกาหรือหึงคำนับ เอาดีๆ” บดินทร์เอ่ยขัด ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอก
“หึงบ้านแป๊ะมึงซิ” ผมถลึงตาใส่เพื่อนรักทั้งสอง
“ฟังข่าวลือไร้สาระมา แถมไปจ้องจับผิดมันอีก เป็นไงล่ะคราวนี้”
“แหม มึงก็...คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันบ้างป่าว” แถจนสีข้างถลอก แสบไปหมดทั้งแถบละครับงานนี้ แล้วทำไมผมต้องรู้สึกโล่งใจด้วยนะที่ข่าวลือนั้นไม่ใช่ความจริง ประหลาดชะมัดเลย
“พลาดจังเบ้อเร่อ” ไอ้ดินทับถมไม่หยุด
“วันนี้แม่งเลยไม่กล้ามากินข้าวด้วยเลย แถมยังหนีหน้าอีกต่างหาก”
“ก็หมัดไอ้โป๊ยกั๊กเบาเสียที่ไหน ขืนพูดจาไม่ถูกหูอีก เกิดโดนชกขึ้นมาคราวนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตเลยนะโว้ย”
จะพูดให้รู้สึกผิดอีกนานไหมวะเนี่ย ไอ้เพื่อนบ้า! อยากตะโกนใส่แบบนี้แต่มีชนักติดหลังไง ขืนโวยวายใส่พวกมัน เกิดไม่ช่วยผมหาวิธีขอโทษคำนับขึ้นมาจะลำบากเอาได้
“มึงทำมันเจ็บตัวฟรี เตรียมง้อมันหรือยัง”
“ทำไมต้องง้อ ไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย แค่ขอโทษก็พอไหม?”
“อ้อเหรอ แล้วไอ้อาการเครียดเขม็งตอนคิดว่ามันจีบเพกาคืออะไร” บดินทร์และภูธเรศผลัดกันรุกถามผมไม่หยุด
“เพกายังไม่ควรมีแฟนไง และมันไม่ควรจีบน้องกู”
“โกหกไม่เนียนครับคุณ” ไอ้ภูเบะปาก
“มันไม่ได้โกหก แต่มันไม่รู้ต่างหากว่าตัวเองคิดอะไร รู้สึกยังไง” บดินทร์ยกยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้คู่หูตัวเอง
“คิดอะไร? รู้สึกอะไร?” อย่ามายั่วให้ผมไขว้เขว เห็นท่าทางมันแล้วอยากถีบมากบอกตรง
“ก็คิดแบบที่แตกต่างออกไปไง รู้สึกแตกต่างแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน” ผมขมวดคิ้วกับประโยคนั้นของบดินทร์
“อะไรของมึงไอ้ดิน?”
“ตอนนั้นมึงโมโหอะไร?”
“....”
“มึงไม่พอใจอะไร?”
“...” ผมนิ่งเงียบ ก็พอจะรู้อยู่แล้วแหละว่าผมโมโหคำนับ โกรธคำนับที่เข้าใกล้เพกา
“เวลามึงต่อยคนที่มาจีบเพกา มึงจะดึงน้องมึงมาไว้ข้างหลังตัวเอง ซัดอีกฝ่ายจนล้มคว่ำ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม”
“แต่นี่มึงเอาแต่จ้องหน้าไอ้ครับ ไม่สนใจเพกาเลย”
“มะ...” อ้าปากจะปฏิเสธ ภูธเรศก็ตบมือแปะแล้วเอ่ยพูดพร้อมกับสีหน้ารู้แจ้ง
“แบบนี้เขาเรียกว่าหึง”
“หึง?”
“ใช่”
“หึงใคร?”
“เพกา มึงหึงเพกา ไม่อยากให้เพกาเข้าใกล้คำนับ”
“มึงรู้สึกกับคำนับแบบที่ไม่ได้รู้สึกกับคนอื่น”
“มึงห่วงใย” พวกมันสลับกันพูดคนละประโยค ผมหันซ้ายแลขวาฟังเพื่อนพูดแล้วขมวดคิ้ว
“มึงฟิวส์ขาดเพราะคิดว่ามันจะมีแฟน ไม่ใช่เพราะมันจีบเพกา”
“พวกมึงอย่ามามั่ว!” ผมตะโกนใส่หน้าเพื่อน
“มึงอารมณ์เสียตอนมันไปเจอคนอื่น” ผมนึกตาม ตอนที่คำนับไปเจอไอ้เปรี้ยว ผมไม่พอใจ นั่นยอมรับ แต่เป็นเพราะไม่อยากให้มันไปยุ่งกับคนไม่ดีต่างหาก
“มึงใจเต้นตอนมันยิ้มให้” เอ่อ อันนี้ไม่เถียงนะ หลายวันมานี้ผมใจเต้นกับรอยยิ้มของคำนับจริงๆ
“มึงเผลอมองตามมันทุกฝีก้าว”
“เว่อร์ล่ะ กูจะไปมองมันได้ไง อยู่คนละห้อง” ผมยิ้มเยาะให้ไอ้ภูที่ทำท่าวิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญ มันค้อนใส่เมื่อโดนตอกกลับค้านคำพูดมัน
“มึงเกาะติดกับมันทุกวัน”
“....” อันนี้ชักเถียงไม่ออกแหะ
“มึงไม่อยากให้มันห่างสายตา”
“กูแค่กลัวพวกไอ้เปรี้ยวมาลากคอมันไปกระทืบต่างหาก”
“มึงอย่ามาตอแหล!” ไอ้ภูตะคอกใส่ท่าทางหมดความอดทน
“เอ้า?”
“ตอนนี้มึงยิ้มปากจะฉีกถึงหูแล้วไหม อย่ามาเนียนว่าไม่รู้สึกอะไรกับไอ้ครับมัน”
“เอ๊ะ?” ผมยิ้มงั้นเหรอ?
ผมยิ้มกับการที่โดนเพื่อนวิเคราะห์ว่าชอบคำนับงั้นเหรอ? ไม่มั้ง?
คำนับก็เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ นั่นแหละ เหมือนไอ้ภู ไอ้ดิน ที่บังคับให้อยู่ใกล้เพราะจะได้คอยสอดส่องไม่ให้พวกไอ้เปรี้ยวมันลากไปกระทืบเท่านั้น ที่บุกไปหาถึงบ้านเพราะแค่อยากรู้ว่าบ้านเขาอยู่ตรงไหน ทำอะไร ทำไมต้องยอมรับเงินจากคนที่จ้างไอ้เปรี้ยวด้วย
ที่ให้มากินข้าวด้วยกันทุกวันเพราะเห็นว่าคำนับผอมเกินไป ควรบำรุงให้มากหน่อยเลือดจะได้ไปเลี้ยงสมองเยอะๆ จะได้ไม่ชวดทุนที่ทำเรื่องขอไป
ที่บังคับให้กินน้ำเก๊กฮวยเหมือนตัวเองเพราะคำนับจะได้รู้ไงว่าผมชอบอะไร จะได้ไม่ขัดใจผมอีก แล้วถ้าชอบเหมือนผมได้ยิ่งดี ประหยัดเวลาในการซื้อ
และถึงแม้กับข้าวฝีมือคำนับจะอร่อยสู้พ่อฟ้าไม่ได้ แต่ผมก็อยากกิน หนำซ้ำไม่อยากแบ่งให้ไอ้ภูกับไอ้ดินกิน กลัวมันท้องเสียไง ไว้คำนับทำอาหารเก่งเมื่อไหร่ค่อยมากินตอนนั้นก็ยังไม่สาย
ผมไม่อยากให้คำนับจีบเพกา ไม่อยากให้คุยกับคนอื่น
ไม่อยากให้เขายิ้มกับใคร
ถ้าจะยิ้ม จะหัวเราะละก็...
แค่ทำกับผมคนเดียวก็พอ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
สวัสดีค่า
คำแรกเลยคือ.....
อย่าเพิ่งโกรธโป๊ยกั๊กกันเลยนะคะ TAT เอ็นดูนางเต๊อะ เด็กไม่เคยมีความรักก็งี้ (ฉันแถให้แกแล้วนะโป๊ย)
เอาน่า ถ้านางรู้ตัวว่ารักเขาเมื่อไหร่ก็คงทำตัวน่ารักขึ้นแหละ แต่อย่างว่า โป๊ยกั๊กเป็นพวกความรู้สึกต่อเรื่องนี้ช้า นางก็จะแสดงออกแปลกๆหน่อย ก็แบบว่านั่นน่ะ...ของเขานะ อย่ามายุ่ง ไรงี้
เช่นเคยค่า ขอให้สนุกกับเรื่องนี้นะคะ มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำติติงได้ค่ะ เพื่อจะได้กลับไปปรับปรุงเนอะ
ปล. คราวนี้คนตรวจคำผิดไม่สบายค่ะ หวังว่าน่าจะไม่มีตรงไหนรอดหูรอดตานะคะ (แต่งเองอ่านเองตรวจเองเข้าใจอยู่คนเดียว กลัวมันหลุดไปเหมือนกันค่ะ TAT)
#คนนี้ต้องลับ