12.1
อื้อ อึดอัดว่ะ อะไรมารัดตัวกูตอนนี้วะ คนจะนอน ผมตะแครงตัวหันไปอีกด้าน แต่แรงกอดรัดก็ยังไม่คลายออก มิหนำซ้ำยังกระชับแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิมจนผมหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆแล้ว หรือว่า...
เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าผีอำ!!! ค่อยๆลืมตาขึ้น
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วเบนสายตาลงต่ำไปที่สัมผัสหนักอึ้งบริเวณเอว
เฮือก!! ขะแขนใครวะ ผมไม่กล้ามองต่อกลัวหันไปจ๊ะกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ผมหลับตาปี๋ปากก็ท่องสวดมนต์ถูกๆผิดๆ สลับกันไปมาคนละบท ไปๆมาๆแม่งแร็ปบทสวดเลยกู ช่างแม่มเหอะ!ขอให้มันไปก็พอ!
“รันต์กูจะนอน รำคาญว่ะ”แรงกอดที่เอวแน่นขึ้น บางอย่างซุกมาที่หลังคอผม
เหี้ยยยย ผีรู้จักชื่อกูอีกแถมง่วงเป็นด้วย เอ๊ะ แล้วไอ้สัมผัสอุ่นๆเหมือนลมหายใจรดต้นคอนี่คือไรวะ? ผีหายใจได้หรอ?
ผมลืมตาพรึ่บ เอาวะ!เป็นไงเป็นกัน ผมตัดสินใจพลิกตัวไปดูให้เต็มๆว่ามันคืออะไรกันแน่
‘อ่ะไอ้ยักกกกกก มึงกอดกูอีกแล้วนะโว้ยยยยยย’ ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้องตะโกนในใจ ไม่สบอารมณ์จริงๆเมื่อเจอไอ้ตัวต้นเหตุชัดๆ กูก็นึกว่าผี
ไม่ๆรันต์นั่นไม่ใช่ประเด็น ที่ทำผมโมโหคือมึงฉวยโอกาสกับกูอีกแล้ว
ผมแกะมือปลาหมึกทศกัณฐ์ออกจากเอวอย่างแรง แต่คือแม่งไม่กระดิกสักนิด
“ทศกัณฐ์ ปล่อยยยยย”ผมร้องดังๆให้มันตื่น นี่มันไม่ใช่นิสัยผมเลยนะครับ ไอ้การโหวกเหวกโวยวายเนี่ย แต่กับไอ้ยักษ์เจ้าเล่ห์นี่ไม่ไหวจริงๆ
“โวยวายอะไรแต่เช้าวะ”ปากพูดแต่ตาหลับเป็นทองไม่รู้ร้อน คิ้วขมวดกันยุ่ง
“ก็พี่ทำอะไรล่ะ ใช่เรื่องไหมเนี่ยมานอนกอดคนอื่น”
“จะหวงอะไรนักหนา ผู้ชายเหมือนกัน” ก็เพราะผู้ชายนั่นแหละโว้ย!!!เขานอนกอดกันที่ไหนล่ะ
“ผู้ชายบ้านพี่นอนกอดกันหรอวะ”ผมถามงงๆ คิ้วขมวดชนกัน หรือที่เมืองนอกผู้ชายเขานอนกอดกันเป็นเรื่องปกติวะ
“เออ”ตอบแล้วลืมตาสีเขียวหม่นๆขึ้นมามองผม แววตาเขาขุ่นมัวเล็กน้อยจากการโดนรบกวนการนอน
‘แล้วผู้ชายบ้านมึงเขาจูบกันไหมวะ’ ผมได้แค่คิดไม่กล้าพูดออกไป
“มองหน้าจะพูดอะไร?”ทศกัณฐ์ถาม ผมพึ่งสังเกตว่าหน้าเราใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เปล่า ปล่อยดิ๊มันสายแล้ว วันนี้รันต์มีเรียนเช้า”ผมปฏิเสธแล้วบอกเขาดีๆ ทศกัณฐ์คลายอ้อมแขนออกให้อย่างว่าง่าย ผมดีดตัวลุกอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ! ตัวผมเอนลงที่เดิมเพราะอาการหน้ามืดจากการลุกกระทันหัน
“หึๆๆ”เออ หัวเราะได้หัวเราะไป อย่าพลาดนะจะทำให้หัวเราะไม่ออกเลย ผมค่อยๆขยับลุกช้าๆ เดินไปเข้าห้องน้ำโดยไม่สนใจอีกคนที่นอนอารมณ์ดีมองอยู่
หลายๆคนก็คงสงสัยการกระทำของทศกัณฐ์ ตัวผมเองก็สงสัยครับ ช่วงนี้ดูเข้าหาแปลกๆแต่ก็ไม่อยากถามอะไรไปมากกว่านี้ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงเหมือนกัน ให้มันเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีกว่าก็ได้
ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ออกมาเตรียมอาหารเช้า ทศกัณฐ์ยังคงนอนต่ออยู่ในห้อง ก็มันพึ่งจะหกโมงครึ่งยังไม่ใช่เวลาตื่นเขาหรอก
วันนี้ผมทำเบคอนรมควัน ไข่ดาว แล้วก็ขนมปังปิ้งทาแยมสตอเบอร์รี่ไว้ให้ทศกัณฐ์
ครับคุณฟังไม่ผิด ไอ้ยักษ์เถื่อนมันชอบสตอเบอร์รี่มาก ทั้งแยมทั้งผลไม้ต้องติดตู้เย็นไว้ไม่มีขาด อ้อเหมือนจะมีสาลี่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนะ
แก็ก
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาก็ยังหลับในชุดนอนตัวโปรดบนเตียงอยู่เหมือนเดิม
“คุ...พี่ ตื่นได้แล้ว”ผมเดินไปกระชากผ้าห่มออกจากตัวทศกัณฐ์ มันมุดหน้าลงหมอนหนีผมเฉย
“เออตามใจ ผมทำอาหารเช้าไว้แล้วนะ กลับล่ะ”ผมหันหลังกลับจะออกจากห้อง ไม่ตื่นก็เรื่องของมึง
หมับ!สัมผัสจับที่แขนทำให้ผมชะงักแล้วหันไปเลิกคิ้วมองไอ้คนที่อยู่บนเตียง
“อาบน้ำนี่แหละใส่ชุดกูไปก่อน เดี๋ยวไปส่ง”ทศกัณฐ์บอกขณะกำลังงัวเงียในท่านั่ง
“ไม่เอา เดี๋ยวกลับไปอาบหอ พี่นอนต่อเหอะ”พึ่งนึกได้ว่าวันนี้เขาน่าจะเรียนบ่าย
“มันเสียเวลาไหม กว่าจะกลับหอแล้วไปมหา’ลัยอีก”เออ ก็จริง
“พี่มีชุดนีกศึกษาหรอ”ปกติเห็นแต่ใส่ชุดลำลองไปเรียน
“มี2-3ชุดมั้ง ไปดูเอาในห้อง อาบห้องนั้นไปเลย”ทศกัณฐ์บอก ตาก็เหมือนจะปิดตลอดเวลา
“ถ้าง่วงขนาดนั้นไม่ต้องก็ได้นะ เดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วไปเองก็ได้”
“กูบอกว่ายังไง?บอกให้ทำอะไรก็ทำไม่ใช่หรอ?”เออออ เรื่องของมึงเถอะถ้างั้น
“เออ!อยากทำอะไรก็ทำ เหอะ!”ผมตอบอย่างหงุดหงิด
“ว่าไงนะ!คนปากดีจะโดนอะไรรู้ไหม?”ทศกัณฐ์ขยับลุกขึ้นจากเตียงมายืนเผชิญหน้าผม ผมพยายามบิดข้อมือออกจากมือเขาแต่ไม่สำเร็จ มืออีกข้างยกขึ้นปิดปากอัตโนมัติส่ายหน้าไปมา
“แล้วอยากรู้ไหม?”มุมปากทศกัณฐ์กระตุกยิ้มอย่างอารมณ์ดี มึงถามอย่างเดียวหน้าไม่ต้องขยับมาใกล้ได้ไหมวะ ผมไม่ตอบถลึงตาใส่เขาแทน อะไรเนี่ย ไหงสถานการณ์มันพลิกได้วะ กลายเป็นกูถูกต้อนแทนซะงั้น
“ว่าไง?ไม่พูดไม่ปล่อย สายก็เรื่องของมึง”มันว่าแล้วเหลือบสายตามองนาฬิกามี่ผนัง ผมหันไปมองตาม
เชี่ย!!! เจ็ดโมงกว่า จะแปดโมงแล้วครับ ผมมีเรียน9โมงเช้าครับ วิชาเอกด้วยวันนี้
“ไอ่อากอู๊ อ่อย!(ไม่อยากรู้ ปล่อย!)”ผมจำใจบอกขณะที่มือยังปิดปากอยู่เสียงเลยอู้อี้ๆ
“พูดอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง”
“ก็บอกว่าไม่อยากรู้งะ...จุ๊บ!...มึง!!!”แม่งเล่นทีเผลอตอนผมเอามือออกอ่ะ ถึงจะแค่จุ๊บเร็วๆแล้วผละออกก็เถอะ ครั้งนี้ผมบิดข้อมือออกได้แล้วกระชากคอเสื้อมันอย่างเอาเรื่อง ทศกัณฐ์แค่แสยะยิ้มให้อย่างไม่ทุกข์ร้อน
“มากไปแล้วนะ เล่นเหี้ยอะไรเนี่ย!กูไม่ตลก”ผมตะคอกอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ได้เล่น”
“แล้ว...แล้วมึงมาจูบกูทำไม!” กระดากปากจะพูดจริงๆ
“กูพอใจ” มันยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง ผมได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“มึงจะคิดมากทำไม ไม่มีอะไรบุบสลายสักหน่อย ที่ยุโรปเขาก็จูบทักทายกันเป็นปกติ หรือมึงจะเถียง?”
“แต่...เราเป็นผู้ชายนะ”เสียงผมอ่อนลงเล็กน้อย
“ที่มึงกับเพื่อนมึงยังจูบกันได้เลย หรือว่าเพื่อนแต่ปาก หึ!”
“เพื่อนโว้ย!!”ผมแก้ตัวทันที มันเห็นหรอวะ?แล้วไอ้สายตาเย็นชานั่นหมายความว่าไง?
“แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้สนิทกันมากพอที่จะทำแบบนั้นนี่”ผมยังเถียงต่อ ทศกัณฐ์เพียงยักไหล่ มือเขาปลดมือผมออกจากคอเสื้อตัวเองแล้วตอบ
“สนิทกับกูไว้ไม่ดีตรงไหน? มึงเรียนเศรษฐศาสตร์มา อะไรที่มันให้ผลประโยชน์ทำไมไม่รู้จักคิด”อ้าว สรุปกูผิดอีก
“ผลประโยชน์อะไรมิทราบ”
“ถ้าทำให้กูพอใจได้มึงขอหรืออยากได้อะไรมันก็ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ แล้วการที่กูจูบมึงแสดงว่ากูพอใจถึงทำ ไม่คิดล่ะ?”หรอทศกัณฐ์หรอ เหตุผลดูมีประโยชน์ต่อตัวกูมากเลยครับ
“แล้วพี่มาพอใจจูบกับรันต์ทำไม”
“ก็...สตอเบอร์รี่มั้ง”มันว่าจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปเลย แล้วทำไมกูต้องหน้าร้อนๆวะแม่ง!!!
++++++++++++++++++++++
มหาวิทยาลัย YU
“เลิกเรียนกี่โมง”ทศกัณฐ์ถามขณะรับหมวกกันน็อคจากผม
“เที่ยง ทำไมอ่ะ”ผมตอบมือก็จัดทรงผมให้เข้าที่
“ได้ไปไหนต่อรึเปล่า”มือยื่นมาช่วยจัดทรงผมให้ ผมมองซ้ายขวาดูคนปัดมือเขาออกอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวคนมาเห็นจะเป็นเรื่อง ถึงตอนนี้เราจะอยู่หลังตึกเรียนและทศกัณฐ์สวมหมวกไว้อยู่ก็เถอะ
“ไม่ พี่มีอะไรรึเปล่า”
“วันนี้กูมีเรียนบ่าย ไม่มีคนเฝ้าไอ้สมิธ ถ้ามึงว่างก็ไปดูมันหน่อยละกันกูรำคาญมันถามหามึง เดี๋ยวตอนเย็นไปรับกลับคอนโดฯ”เขาดูเป็นคนแข็งๆแต่ดูรักเพื่อนอย่างไม่น่าเชื่อเลย ที่ผ่านมาพี่สมิธอยากทำอะไรก็ไม่เคยขัด
“ได้ครับ”รับปากไป ยังไงก็ว่างอยู่แล้ว
“อืม ไปเถอะจะสายแล้ว”ผมพยักหน้ารับ ยกมือไหว้เขาตามมารยาทแล้วเดินจากมาก่อนจะได้ยินเสียงรถบิดออกไป
ผมเดินเข้าตึกก็เจอกับเมฆนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เราทักทายกันตามปกติก่อนจะรีบขึ้นเรียนเพราะใกล้เวลาเต็มที
.
.
.
.
.
“รันต์เพื่อนร้ากกกกก” พออาจารย์ออกจากห้องไปปุ๊บไอ้เก่งก็ตรงดิ่งมาหาผมทันที
“อะไร?”ผมแกล้งถามงงๆ จริงๆก็รู้แหละครับว่ามันมาด้วยจุดประสงค์อะไร
“มึงอย่ามา ที่ให้ทำน่ะถึงไหนแล้ว”
“ถึงนี่แหละ”เมฆกวนตีนมัน ส่วนผมเก็บของใส่เป้
“อย่ากวนตีนสัส”เก่งทำหน้ายักษ์จะกระโจนไปขย้ำเมฆแต่โดนผมห้ามทัพไว้ซะก่อน
“เออ เขารับปากแล้ว แต่พี่สมิธไม่ได้นะพี่เขาป่วยอยู่คงลงไม่ได้”ผมยอมบอกในที่สุด พี่สมิธผมไม่ได้ถามคิดว่าแผลอาจจะหายไม่ทันลงกีฬาเลยไม่รบกวนดีกว่า
“กูว่าแล้วว่ามึงต้องทำได้รันต์เพื่อนรัก”มันทำท่าจะโน้มตัวมากอดผมแต่ผมเบี่ยงตัวหนีทัน ผมมองบนเลยล่ะเมื่อกี้ มึงไม่รู้หรอกว่ากูต้องแลกมากับอะไรบ้าง
“หมดหน้าที่กูแล้วนะ นอกเหนือจากนี้มึงไปจัดการเอง”
“เออ ขอบใจมากเว้ย”เก่งบอกยกมือตบไหล่ผมแปะๆ
“ไม่เป็นไร”กัดฟันพูดล้วนๆเลยครับ
หลังจากนั้นเราสามคน ผม เมฆ เก่ง ก็พากันไปกินอาหารกลางวันที่โรงอาหารคณะ เก่งมันก็ใจดีนะตอบแทนผมด้วยการไปซื้อน้ำซื้ออาหารมาบริการ ผมก็โอเคอ่ะ ไม่ขัดศรัทธาเพื่อนอยู่แล้ว
“เออรันต์กูถามอะไรมึงหน่อยได้เปล่าวะ”เก่งถามขึ้นหลังจากที่เรานั่งกินกันไปสักพัก
“ถามว่า?”
“มึงไปสนิทกับแก็งค์พี่ทศกัณฐ์ตอนไหนวะ บุคลิกอย่างมึงไม่ร่าจะโคจรไปเจอกับพวกพี่เขาได้”เก่งตั้งข้อสงสัย
“ก็...บังเอิญรู้จักเฉยๆน่ะแค่รู้จักนะเว้ย”ผมย้ำชัดเจน ก็แค่รู้จักกันจริงๆนี่
“หรอ แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”ไอ้เก่งยังเซ้าซี้ไม่เลิก วันนี้พูดมากจัง
“กูลืมไปแล้ว”
“อ้าว!”
“มึงแดกๆไปเลยจะเซ้าซี้เหี้ยไรนักหนา”เมฆขัดบทเก่งแล้วคีบลูกชิ้นในถ้วยตัวเองยัดใส่ปากเพื่อน
“แค่กๆสัส เกือบติดคอกู”
“สม P”
“แต่ว่าวันนี้ ชุดมึงดูตัวใหญ่กว่าตัวมึงมากนะรันต์”อยู่ๆเก่งก็โพล่งขึ้น
“เออนั่นดิ กูก็ว่าอยู่”เมฆสำทับอีกเสียง
“แค่กๆ ถามมากว่ะ แดกๆไปเลยพวกมึง”กลายเป็นผมที่สำลักข้าวมันไก่ซะเอง ผมไม่ตอบทั้งทั้งคู่แต่ชวนคุยเปลี่ยนเรื่องแทน พวกมันก็เออออไปตามเรื่อง
แต่มานึกๆดูแล้วการที่ผมได้รู้จักกับทศกัณฐ์มันคือเรื่องบังเอิญจริงๆหรอ?
++++++++++++++++++++++++
โรงพยาบาล C
หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็แยกกันกับเมฆและเก่ง เมฆจะไปซ้อมฟุตบอล ส่วนเก่งต้องไปห้องสโมฯ เราก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ตัวผมก็มาเยี่ยมไอ้พี่จิ้งจอกสมิธ
ก็อกๆๆ
ผมเคาะห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอฟังคำอนุญาต เดินเข้าไปก็เห็นไอ้พี่สมิธกึ่งนั่งกึ่งนอนดูทีวีอยู่บนเตียงอยู่
“ว่าไงไอ้น้องรันต์ ลมอะไรหอบมึงมาเยี่ยมกูได้เนี่ย”ถามทันทีที่เห็นผมโผล่มา
“แท็กซี่ครับ ผมบินไม่ได้”
“กวนตีน!เออ มึงมาก็ดีแล้วกูกำลังเซ็งๆอยู่พอดี”หางานให้กูอีกล่ะสิ
“ผมแค่สงสาร เลยมาดูเฉยๆนะครับ”ผมทรุดนั่งลงบนโซฟาในห้อง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทำเป็นไม่สนใจเขา
“ใจร้ายยยย กูออกจะคิดถึงมึงขนาดนี้ เชอะ!”พี่สมิธแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่
“จะอ้วกครับ”
“อ้าวแปบเดียวนี่ท้องแล้วหรอ ไอ้ทศมันน้ำยาดีจริงๆเว้ย ฮ่าๆๆ เอ...ได้ข่าวว่ามึงไปกราบขอร้องอ้อนวอนพวกไอ้ทศให้ลงกีฬาคณะให้หรอ”ผมตวัดสายตาให้ดุๆ ท้องบ้าอะไรล่ะ
“ก็ไม่ขนาดกราบหรอกครับ...แต่ก็ขอให้ช่วย” เขามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์นั่น มุมปากกระตุกยิ้มส่งให้ผม อืม...เสียวสันหลังแปลกๆแฮะ
“แล้วมึงทำยังไงมันถึงยอม” กูว่าแล้วไงต้องถาม ทำไมมีแต่คนอยากรู้จังวะ
“พี่ก็ไปถามพี่ทศเองสิ”ผมปัดไปให้อีกคน
“หืม...เมื่อกี้พูดว่าไงนะ อ่อ กูว่ากูพอจะรู้แล้วล่ะ J” กูเกลียดรอยยิ้มแสยะนั่นจริงๆ
“ก็ไม่มีอะไรเสียหาย”ผมยักไหล่แล้วเสหน้าลงมองหนังสือ กลัวไอ้พี่สมิธจะรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น
“หึๆ เรามาเล่นเกมส์กันดีกว่าน้องรันต์ กูเริ่มเบื่อละ”
“เกมส์อะไรอีกครับ?”ผมเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง
“ก็เกมส์ทายปริศนาง่ายๆนี่แหละ แต่...” ผมว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี
“คนแพ้ต้องทำตามที่คนชนะบอกนะ ฮิๆ”พี่สมิธบอกด้วยน้ำเสียงสนุกๆกับไอ้เสียงหัวเราะจิตๆนั่นอีก
“ผมไม่เล่น” ผมปฏิเสธแทบจะทันที คราวนี้จะให้กูทำอะไรอีกล่ะ ผมไม่มีทางตกหลุมพรางเขาแน่
“อ้าวป็อดนี่หว่า ยังไม่ได้ลองเล่นเลย หรือว่ามึงกลัวแพ้กู อ่อนกว่าที่กูคิดอีกนะมึงเนี่ย”ผมกัดฟันกรอด มึงหยามกูเกินไปแล้ว
“ได้!แล้วพี่อย่ามาร้องไห้เสียใจทีหลังละกัน!”
“โอ๊เคD”
+++++++++++++++++50%+++++++++++++++++++
เค้าขอโทษล้านที มาช้าเหลือเกิน มันปลีกตัวออกจากหนังสือแทบไม่ได้เลย สอบยังไม่เสร็จด้วย ฮืออ วันนี้ขอลงแค่ 50%ก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะมาลงให้ครบนะ
ไปแล่วววว ป.ล.มีคนบอกว่าเรื่องบังเอิญไม่มีในโลก มีแต่ตั้งใจทำให้มันบังเอิญ (จริงร๊อ)