(ต่อครับ)แต่ตอนที่จะกลับออกมา เจอกับญาติผู้ใหญ่หลายคนที่มาทำบุญที่วัดและกำลังจะกลับ ฉันท์จึงแนะนำธามันกับทุกคน จากนั้นป้าคนหนึ่งก็ชวนให้มาร่วมงานทำบุญที่ตลาดในเดือนหน้า
ธามันรับปากว่าจะมาทำช่วยงานอย่างแน่นอน
จนกระทั่งกลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง ธามันถึงได้ชวนคุยเรื่องร้านต่อ
“คิดไว้หรือยังว่าจะขายข้าวต้ม ราคาถ้วยละเท่าไหร่”
ฉันท์คิดอยู่วินาทีเดียว “30 บาท”
“ใส่เครื่องแบบเมื่อเช้าน่ะนะ”
ฉันท์พยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ถ้วยขนาดนั้น ปริมาณหมูและเครื่องแบบนั้นน่ะนะ” ธามันไม่อยากเชื่อ
“ใช่” พี่จะถามย้ำทำไมให้ใจเสียนะ
“ชิรายูกิไม่ได้มีต้นทุนแค่ของที่เอามาทำข้าวต้มนะ ยังมีต้นทุนของที่ซื้อเข้าร้าน ทั้งถ้วยชาม โต๊ะเก้าอี้ ของที่หมดไปอย่างค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าไฟ รายจ่ายประจำอย่างค่าจ้างคนงาน ประกันสังคมให้ลูกจ้าง แล้วก็พวกภาษีป้าย ภาษีอะไรอื่นๆ อีก”
“...”
ธามันเคาะนิ้วกับพวงมาลัย ควรจัดเล็กเชอร์สัก 5 นาทีให้คนจบบริหารฯที่อยากเปิดร้านฟังดีไหมนะ
ในหลักสูตรที่เรียนมาไม่มีเรื่องนี้หรือ
“ผมแค่อยากทำข้าวต้ม”
“ก็ทำข้าวต้มไง ไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ” แต่พี่กำลังเครียด “ถ้าจะขาย 30 ก็ต้องลดปริมาณจากเมื่อเช้าลงมาครึ่งหนึ่ง ขายแบบ 2 ราคาก็ได้ 30 กับ 50”
“โหพี่ ใครเขาจะกินข้าวต้มหมูร้านห้องแถวถ้วยละ 50 กัน”
“ถ้ามันอร่อยถูกปากเขา กินถ้วยละ 30 ไม่อิ่ม เขาก็สั่งถ้วยใหญ่” ธามันยังมีไอเดียมานำเสนอ “ลองสูตรข้าวต้มทะเล กับข้าวต้มไก่ด้วยสิ ลูกค้าจะได้มีให้เลือกหลาย ๆ อย่าง”
ฉันท์ทำแก้มพอง “ถ้วยละ 50 บาทเชียวหรือแพงจัง”
“ชิรายูกิเคยกินข้าวจานละมากกว่า 50 บาทไหม”
ฉันท์พยักหน้า
“แล้วรู้สึกว่ามันแพงไหม”
“ก็ รู้สึกว่ามันแพง แต่ก็กิน”
“เพราะอะไรล่ะ”
“เพราะอยู่กับเพื่อน เพราะไม่ได้ใช้เงินตัวเอง เพราะไม่อยากไปกินร้านที่คนเยอะ ๆ ขี้เกียจรอคิว” นิ้วสวยแตะที่คางขณะที่กำลังคิด “อ้อ...เพราะมันคือข้าวผัดปู”
“ข้าวผัดปูจานที่มีราคาแพงที่สุดที่เคยกินคือเท่าไหร่ แบบที่จ่ายเองนะ”
“250”
“อร่อยไหม”
ฉันท์พยักหน้าเร็ว ๆ “แต่นั่นเป็นปูแบบมีก้ามใหญ่ ๆ วางข้าง ๆ มาด้วยนะฮะ ไม่ใช่ข้าวต้มซี่โครงอ่อนแบบนี้”
“แล้วคิดว่าข้าวผัดปูก้ามใหญ่นั่นต้นทุนเท่าไหร่”
ฉันท์นิ่งคิดตาม ธามันก็รุกต่อ “เข้าใจนะ ว่าอยากให้คนอื่น ๆ ได้กินข้าวต้มอร่อยสูตรของแม่ แต่ถ้าอยากให้คนได้กินไปนาน ๆ เพราะเราไม่เจ๊งไปเสียก่อน ก็ต้องคำนวนราคาที่เหมาะสม”
คนตัวเล็กพยักหน้า
“ไม่ต้องเครียดหรอกน่า เดี๋ยวเราต้องซ่อมร้านกันก่อน ยังมีเวลาคำนวนเหลือเฟือ”
เงียบไปครู่หนึ่งฉันท์ก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียงเหงาหงอย “ผมอยากทำข้าวต้มอร่อย ๆ ให้คนอื่นได้กินแล้วมีความสุขแบบเวลาที่ทุกคนในบ้านได้กิน ไม่อยากขายแพง คำนวนแค่พอให้จ่ายค่าแรงกำไรนิดหน่อยก็พอได้ไหมฮะ”
“เอางั้นหรือ”
“ของขายในร้านใกล้ตลาด จะไปตั้งราคาเหมือนในห้างได้ไง ลูกค้าแถวนี้พี่ก็เห็นอยู่ เขาไม่ใช่คนที่พร้อมจะจ่ายแพงเพื่อของอร่อย เขาต้องการของราคาถูก อิ่มและอร่อย”
“แต่ชิรายูกิมีต้นทุน มีรายจ่าย”
“ก็แค่พออยู่ได้ก็พอ เรื่องเงินหมุนน่ะผมมีพันธบัตร กับลงทุนพวกกองทุนรวมไว้ แล้วก็มีหุ้นอยู่นิดหน่อยเพราะเพิ่งลงทุนไป หรือถ้าไม่พอยังมีอยู่อีกนิดหน่อยผมไปเก็งราคาที่ดินเอาก็ได้ แต่ไม่ขายข้าวต้มแพง”
“เดี๋ยวนะ” ธามันยกมือข้างซ้ายขึ้น “กองทุนรวมกับหุ้นนี่ยังไง”
“คุณฐาติแนะนำไว้ฮะ ผมก็เลยไปคุยกับกองทุน”
ธามันเข้าใจแล้ว ว่าทำไมทั้ง ๆ ที่ฐาติแสดงออกมาตลอดว่าไม่ค่อยชอบน้องสักเท่าไหร่ แต่กลับสรุปว่าน้องเป็นคนว่าง่าย บอกให้ทำอะไรก็ทำตาม
“พี่”
“อืม”
“ช่างที่ซ่อมบ้านเราน่ะ ของบริษัทพี่ใช่ไหม ถ้าให้เขามาทำที่ร้านด้วยจะแพงมากไหมครับ”
ธามันนึกถึงสภาพในร้าน “ไม่น่าจะแพงเหมือนทำบ้านและน่าจะเร็วกว่าด้วย เพราะไม่มีคนพักอยู่ ช่างจะทำงานได้เร็วกว่า”
แต่ฉันท์ยังมีคำเตือน “ห้ามพี่ช่วยผมเรื่องเงินทำร้านนะ”
ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองคนรู้ทัน
“พี่ช่วยผมหลายอย่างแล้ว แต่เรื่องร้าน ผมจะเขียนแบบคร่าว ๆ ให้พี่ดูก่อนว่าผมอยากได้แบบไหน แล้วให้พี่ช่วยดูนะฮะ”
“ชิรายูกิ จ่ายค่าแรง พี่จ่ายค่าวัสดุโอเคไหม”
ฉันท์ขยับจะค้าน พี่ก็ท้วง “แบ่งกันไง”
“ผมเอาเปรียบมากไป”
“เดี๋ยวก็จะมีพวกของใช้ในร้านอีกไง”
“ตกลงฮะ แต่เดี๋ยวนะ ผมลืมอะไรไป อ้อ” น้องนึกออกแล้ว “พี่ใช้สิทธิ์ผู้บริหารไม่ต้องเสียค่าแรงนี่”
แปลว่าน้องไม่ต้องจ่ายเงิน
“เราตกลงกันแล้วนะ ชิรายูกิ” พี่ทำเสียงเข้ม “เราตกลงกันแล้ว”
ทั้งที่ไม่ค่อยชอบข้อตกลงนี้สักเท่าไหร่ แต่น้องก็ต้องยอมรับ “พี่จ่ายเยอะไปแล้ว”
“แต่มันเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน เดี๋ยวก็ได้ทุนคืนมา”
น้องนิ่งคิด ถ้าต้องคืนทุนให้พี่ด้วย “ที่จริงเงินที่พี่ให้มา ยังมีอยู่อีกนะฮะ”
“เอาไปซื้อที่ดินแปลงเล็ก ๆ แล้วทำบ้านเช่ากันดีไหม” บอกแล้วเรื่องให้คิดโครงการอะไรแบบนี้ ดร.ธามันถนัดมาก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน คราวนี้กวางอาบน้ำแต่งตัวหล่อ นั่งรออยู่กับจิโระที่หน้าบ้านแล้ว
“โอ้โห เราจะไปห้างกันตอน 11 โมง ตอนนี้ยังไม่ทันจะ 10 โมงเลยนะ”
“จิโระน่ะสิ” กวางบุ้ยปากไปที่น้องเล็กของบ้าน “พอพี่ฉันท์ออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตื่น แล้วบอกให้หนูอาบน้ำแต่งตัวเลย”
“แล้วเรากินข้าวเช้าหรือยัง”
กวางทำหน้ามุ่ย ฉันท์ก็เลยบอก “งั้นก็ไปกินข้าวก่อนเถอะ”
“โอนี ไป เท่ว กัน” จิโระบอก
“ให้กวางกินข้าวก่อน”
กวางพยักหน้าเร็ว ๆ แล้วรีบเข้าบ้านไปกินข้าวอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็คุยกันต่อ
ธามันหันมาชวนเด็กน้อย “เอาไว้เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหม”
ฉันท์หันมาบอกน้อง “อุมิ ทะเล”
“ไป ๆ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ วันนี้เราจะไปห้างเอากางเกงให้ฮันซะมุซังก่อนไง”
ธามันหัวเราะ “ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ฮันซะมุซังที่ชิรายูกิกับจิโระพูดถึงนี่ หมายถึงพี่ใช่ไหม”
ฉันท์หน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันทีขณะที่พยักหน้า
“แปลว่าอะไร”
“ฮันซะมุ ก็ Handsome ไง”
“ชิรายูกิบอกกับน้องให้เรียกแบบนี้หรือ”
“ไม่ใช่นะ จิโระเรียกพี่แบบนี้ก่อน บางทีคำนี้ในภาษาญี่ปุ่นจะหมายถึงคนที่หล่อแบบเนี๊ยบ หรู สำอางค์ แต่ไม่แน่ใจว่าจิโระหมายความแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะยังมีอีกหลายคำที่เขาใช้กันเวลาจะชมผู้ชาย คนญี่ปุ่นไม่ค่อยชมเรื่องหน้าตา มักชมว่า แต่งตัวดี เท่ดี นิสัยดีแบบนั้นมากกว่า”
ธามันเลิกคิ้วสูงทั้งยิ้มล้อเลียน
“ผมไม่ได้เป็นคนชมพี่สักหน่อย จะยิ้มแบบนั้นทำไม” ทั้งที่อธิบายไปแล้วว่าไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นใช้คำนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเขินอยู่ดี
“แล้วชิรายูกิคิดว่าพี่ฮันซะมุไหม”
ฉันท์ส่ายหน้า “พี่น่ะ อีโอะโตะโคะ”
จิโระหันมามองหน้าพี่ชายแล้วหัวเราะคิก ทำให้ธามันต้องหันไปถาม “แปลว่าอะไร”
“ห้ามบอกนะจิโระ”
จิโระยิ่งหัวเราะเสียงดังเมื่อฉันท์อุ้มพาเดินหนีแล้วธามันตามมาแย่งจิโระไปอุ้มได้สำเร็จ เพราะทันทีที่ธามันแตะที่เอวกลม ๆ น้องเล็กก็โผมาหาเสียดื้อ ๆ
มือเล็ก ๆ ป้องข้างหูธามันขณะที่กระซิบบอกคำแปล
สายตาหวานเชื่อมที่ธามันมองมาที่คนหน้าแดงในตอนที่ฟังคำแปลจากจิโระยิ่งทำให้ฉันท์เขินหนักกว่าเดิม
นั่นเป็นคำที่ไม่เคยใช้เรียกใครมาก่อน แต่ในตอนที่ถูกถามก็กลับคิดถึงคำนี้แล้วบอกออกไปทันที พอมาถึงตอนนี้ก็เลยยิ่งทำอะไรไม่ถูก
“ขอบใจมากนะ เดี๋ยวไปถึงห้างพี่จะเลี้ยงไอติมถ้วยใหญ่ ๆ ดีไหม”
“อย่ามาสอนน้องให้ชอบสินบน รางวัลนะ” ฉันท์ท้วง
“แต่กรณีนี้สมควรได้รับรางวัลจริง ๆ นี่นา” ธามันยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย
คนตัวผอมเถียงสู้ไม่ได้จะหนีเข้าบ้าน ธามันก็อุ้มจิโระตามมา
“สู้ไม่ได้แล้วหนีด้วย”
“ใครบอก ผมจะเตรียมข้าวผัดกับซุปมื้อเที่ยงไว้ให้ลุงกับป้าต่างหาก”
“อ้อ...” ธามันหันไปพยักหน้ากับจิโระ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันท์พาจิโระมาที่ห้างสรรพสินค้า เพราะที่ผ่านมาชายหนุ่มมักจะมาซื้อของตามลำพังที่ซูเปอร์ขนาดใหญ่ แล้วซื้อขนมมาฝากน้อง ส่วนของเล่น เสื้อผ้า และของใช้น้าผู้หญิงจะส่งมาให้ตลอด แต่จิโระที่ดูงง ๆ กับคนมากมายในห้างก็ไม่ได้ร้องว่าอยากได้อะไร พี่ชายจูงมือเดินไปทางไหนก็เดินตามไปด้วยดี จนกระทั่งมาหยุดยืนมองตุ๊กตาขนฟู แล้วหญิงสาวคนหนึ่งกับเพื่อนของเธออีก 2 คนเดินเข้ามาหาแล้วทัก
“ฉันท์ทัต”
“ครับ” ฉันท์หันไปมองด้วยสีหน้าสงสัย
“เธอคือคนที่มีหน้าตาตรงข้ามกับพฤติกรรมอย่างที่เขาว่าจริงๆ”
...จบตอนที่9...โพสอิทแผ่นแรกของเรื่องนี้ ชิรายูกิเป็นเจ้าชายน้ำแข็งจริงๆ และธามจะเหนื่อยกว่านี้สัก 100 เท่าในการตามจีบ แต่ผมท้วงว่า บุคลิกใกล้กับชินของเมเรมากเกิน เรา (ช่างกล้าเหมารวมเนอะผมเนี่ย) ก็เลยปรับนิสัยของชิรายูกิลงมาเป็นหิมะที่อยู่ใน snow globeส่วนธามันที่แปลว่าอาณาจักรของเทพเจ้าอันนี้จะให้ทำมาหากินอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากก่อสร้าง
ที่จริงอยากคุยท้ายเรื่องมาก แต่เพราะเรื่องที่อยากเล่ามักไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่อง จึงรู้สึกเกรงใจ (ร่างชิรายูกิลงแพร๊พนึง)
ขอบคุณที่ติดตามครับ
นัมจากับปาป้าไจไจ่ไจ้ไจ๊ไจ๋