บทที่ 6.
หลังจากที่ฝันเพี้ยน ๆ ในครั้งนั้น กระผมนายตุลก็ยังโดนหลอกหลอนด้วยฝันสยองบ้างเป็นครั้งคราว จะปรึกษาใครก็ไม่ได้ ปากมันหนักเกินกว่าจะพูดออกไปว่าตัวเองฝันเห็นเด็กผู้ชายมาหลายเดือน และเพิ่งจะมารู้เร็วๆนี้เอง ว่ากลิ่นแก้มนุ่มที่ฝันถึงตลอดมา มันคือใครที่อยู่ใกล้นิดเดียว คิดแล้วก็กลุ้มจนปวดกบาล..ฝันไปได้ไงวะ!!
"..ตุ...ล..."
"นาย..ตุล..."
"ไอ้ตุลโว้ยยยยย!!!!"
"เฮ้ย!! จะตะโกนทำซากอะไรไอ้บ้า ตกใจหมด!!" คนที่กำลังนั่งเอามือเท้าคาง แล้วก็ปั่นดินสอในมือเล่นเพลินๆ ตกใจแทบร่วงจากเก้าอี้ที่นั่ง เนื่องจากโดนไอ้คุณเพื่อนหุ้นส่วนมาตะโกนใส่หู ชนิดที่ว่าแก้วหูชั้นกลางอาจจะสั่นสะเทือนได้
"เรียกจนปากจะฉีก มัวเหม่ออะไรอยู่วะ!!" ไอ้คุณเพื่อนเดินกลับไปนั่งเก้าอี้อีกฟากของโต๊ะทำงาน พร้อมกับชำเลืองมองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
"โทษที คิดอะไรเพลินไปหน่อย" คุณพิชหรือไอ้คุณเพื่อนพิชบอสใหญ่ของที่นี่ เพื่อนสมัยมหาลัยที่เรียนมาด้วยกัน เดิมทีบ้านของมันเปิดเป็นร้านขายพวกอุปกรณ์ก่อสร้าง และพอลูกชายคนโตเรียนจบมันก็เข้ามาปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นบริษัทรับก่อสร้าง และออกแบบเฟอร์นิเจอร์ พร้อมช่วยออกแบบตกแต่งภายในให้เสร็จสรรพ โดยมีหุ้นส่วนอย่างนายตุลคนนี้ควบคุมเกี่ยวกับเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์
"นานๆโผล่หน้ามาทียังจะมานั่งเหมือนวิญญาณไม่เข้าร่าง" คำประชดที่ได้ยิน ทำเอาไอ้คนไร้วิญญาณทำท่าจะเอาดินสอในมือจิ้มพุงบอสใหญ่ของที่นี่อย่างไม่คิดจะเกรงใจ
"นอนไม่พอว่ะ ช่วงนี้เหมือนราหูเข้า พระเสาร์แทรก ดาวอังคารเข้าสิง สภาพก็เลยเป็น.."
"พอๆ อาการมากขนาดนั้น แนะนำให้ไปลอยอังคารเหอะ ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่วะ!!?" ไอ้คุณพิชยกมือขึ้นมาห้ามให้หยุดพูด เนื่องจากเกิดอารมณ์รำคาญขึ้นมา เดี๋ยวจะได้พาไปลอยอังคารทั้งที่ยังมีลมหายใจ
"ฝันร้าย.." ที่จริงก็ไม่อยากจะบอก แต่เพราะหลุดปากบอกออกไปแล้ว..มันก็เลย...
"อุ๊บ!! ฮ่าๆ เป็นเด็กสามขวบรึไงไอ้คุณตุล!! ฮ่าๆ" นี่แหละอาการของไอ้เพื่อนเลว พอรู้ความมันก็ระเบิดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างไม่คิดจะเกรงอกเกรงใจ คนเค้ากลุ้มมันมองเป็นเรื่องตลกซะงั้น!!
"รู้งี้ไม่บอกก็ดีหรอก เดี๋ยวก็แช่งให้สำลักตายซะหรอก นิสัยว่ะ!!" ไอ้คุณบอสพิชมันยกมือปาดหางตาเนื่องมาจากหัวเราะเกินขนาด แถมยังยื่นหน้าเข้ามามองเหมือนกับมีอะไรติดอยู่บนหน้าเพื่อนมัน แล้วก็กลับไปนั่งหัวเราะเหมือนเดิม
"แล้ว..ฝันเห็นอะไรวะ แม่มดใจร้ายจะมากินตับ ปิศาจที่ลุกขึ้นมาจากหลุมแล้ววิ่งไล่ หรือไม่ก็ผีที่น่ากลัวในหนังสยองขวัญ!!?" คำคาดเดาของอีกฝ่ายไม่ได้ใกล้เคียงคำตอบในใจของนายตุลเลยซักนิด ให้มันเป็นอะไรในสามตัวเลือกนั้นอาจจะทำให้นอนหลับต่อ โดยที่ไม่ต้องตื่นมานั่งกลุ้มแบบนี้ก็ได้
"มัน น่า กลัว กว่า นั้น เยอะ!!" ตอนแรกก็ว่าจะลองปรึกษาคุณเพื่อนดู แต่พอหันไปเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของมันแล้วก็อดหาเรื่องเอาคืนที่โดนหัวเราะเยาะไม่ได้ อย่างไอ้คุณพิชญะต้องแกล้งให้มันอยากถึงที่สุด หึหึ
"แล้ว..มันคืออะไรล่ะวะ!!?" เจ้าของความฝันแอบคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไป ทำท่าเหมือนจะกระซิบกระซาบคำตอบให้ฟัง แล้วเกรงว่าคนอื่นจะได้ยิน
"มันคือ...เรื่องที่บอกไม่ได้เว้ย!! ฮ่าๆ" คนที่ตั้งใจรอฟังถึงกับอึ้งค้าง ก่อนจะหันมาแยกเขี้ยวใส่ เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนเอาคืน พอจะคว้าคอไอ้เพื่อนจอมแกล้งมันก็ทิ้งตัวกลับไปนั่งหัวเราะที่เก้าอี้ตัวเดิม
ไม่ใช่คิดจะแกล้งเพียงอย่างเดียว แต่จะให้บอกใครยังไงว่าตัวเองฝันเห็นอะไร ก่อนหน้านั้นอาจจะเอ่ยถามได้เต็มปากว่าฝันเห็นใครบางคนที่ไม่รู้จัก แค่รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เป็นเด็กตัวน้อยที่มีกลิ่นหอมแป้งเด็กอ่อนๆ เจ้าของแก้มนุ่มน่าหลงใหลให้ต้องยื่นมือไปแตะสัมผัส แต่...ใครเลยจะรู้ว่าไอ้เด็กตัวเปี๊ยกนั่นมันจะเป็นใครบางคนที่รู้จักดีเสียด้วย แถมยังมาอยู่ใกล้เห็นหน้ากันทุกวันอีกต่างหาก..
"ว่าไง ไอ้คุณตุล จะบอกดีๆ หรือจะให้สืบความเอาเอง!!" คำขู่ที่ได้ยินไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกกลัวเลยซักนิด แถมยังยิ้มตอบกลับมาให้อีกต่างหาก แต่ยังไม่ทันที่การสืบสวนจะได้เริ่มขึ้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะหมดยกเสียก่อน
ก๊อก ก๊อก
"คุณพิชญะคะ นักศึกษาที่นัดสัมภาษณ์มาแล้ว จะให้ไปรอที่ห้องโน่น หรือพามาที่ห้องนี้ดีค่ะ!?" เลขาคนสวยของบอสเคาะประตูตามมารยาท ก่อนกะเปิดเข้ามารายงาน เพื่อนพิชหันมาพยักหน้าเป็นเชิงถาม ส่วนไอ้คุณหุ้นส่วนที่กำลังจะหนีหน้าก็จำต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด เพราะเดาได้ว่าเด็กที่จะมาสัมภาษณ์งานคงหนีไม่พ้น....ไอ้หมีไวไว
"ไปทำงานดิ ไอ้คุณบอส" นายตุลรีบไล่ให้เพื่อนกลับไปที่ห้องตัวเอง
"อย่ามั่วดิ เด็กใครก็สัมภาษณ์เองดิวะ" อ้าวเวร!! งั้นเค้าจะเรียกว่าสัมภาษณ์งานทำซากอะไรวะ สู้พามาทำงานเลยก็หมดเรื่อง แล้วอีกอย่าง..อุตส่าห์หลบหน้าไอ้เด็กโย่งนั่นมาได้สองสามวัน เหตุเพราะฝันเป็นตุเป็นตะนั่นแหละ มันทำให้ไม่กล้ามองหน้า แล้วก็แปลกอีกที่มันไม่มาตามเซ้าซี้คลอเคลียแข้งขาเหมือนแต่ก่อนด้วย
"ไอ้เพื่อนพิชคร้าบบบ"
.
.
.
ไอ้เพื่อนเลวเหอะ!! มันเจือกบอกว่าไม่มีสิทธิ์มาอ้างความเป็นเพื่อนในที่ทำงาน ดันเอาตำแหน่งมาบังคับให้สัมภาษณ์งานไอ้เด็กโย่งมัน(คงจะเอาคืนเรื่องที่ไปแกล้งมันไว้เมื่อกี้สินะ) แล้วจะสัมภาษณ์อะไรล่ะครับท่าน ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมาเข้าออฟฟิศอะไรเอาวันนี้ซินาไอ้คุณตุล
ก๊อก ก๊อก
"เชิญเข้ามา!!" เสียงเป็นทางการและออกแนวดุ ทำเอาเด็กที่จะเข้ามาสัมภาษณ์งานพิเศษถึงกับสะดุ้ง สายตาเหลือบมองไปทางเก้าอี้ทรงสูง ที่กำลังหันหลังให้อย่างเกรงใจ กลัวว่าจะมาในเวลาไม่ควร แต่พอเจ้าของห้องหมุนเก้าอี้กลับมา วายุก็ถึงกับอึ้ง
"ฮะ..เฮีย!!! เฮียมาได้ไงอ่ะ" ทั้งที่ตอนแรกกลัวแทบตาย แต่พอเห็นหน้าเจ้าของห้อง นักศึกษาที่จะมาสัมภาษณ์งานพิเศษก็ฉีกยิ้มออกมาได้ ก่อนจะวิ่งพรวดมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทันที
"มาทำงานดิ ถามอะไรแปลกๆ" เจ้าของคำตอบไม่ได้หันมามองหน้าคู่สนทนาด้วย วายุกำลังคิดอยู่ว่า ใบสมัครที่รับมาจากเฮียวันนั้น ถ้าให้เดาตอนนี้ ใบสมัครที่เป็นชื่อโรงแรมก็คงเป็นที่ทำงานของพี่มีนา ส่วนอีกที่ก็เป็นของเฮียอย่างไม่ต้องสงสัย ...โชคดีจริงๆที่แวะมาที่นี่ก่อนเป็นที่แรก
"ไม่เห็นบอกซักคำ ว่าที่นี่ถิ่นของเฮีย" น้ำเสียงกึ่งงอนพร้อมกับหน้าบูดๆของไอ้เด็กโย่งตรงหน้า ทำเอาคนสัมภาษณ์งานที่เก๊กท่าผู้บริหารถึงขั้นหมดอารมณ์จะวางตัว
"ก็บอกให้เลือกเอง ไม่คิดว่าจะมาที่นี่ ก็เลยไม่ได้บอก" เฮียตุลทิ้งตัวลงไปพิงกับพนักเก้าอี้ พร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก ...ตั้งแต่เกิดเผลอใจไปขโมยแก้มของคนที่นอนหลับวันนั้น ก็เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่กล้ามองหน้าเจ้าของแก้มตรงๆ กลัวว่าหากอีกฝ่ายรู้ จะไม่สามารถอยู่ใกล้ได้อีก รอดูท่าทีมาสองสามวัน แต่ก็ยังเหมือนปกติ...ก็แค่มีบอกว่างานยุ่งๆ แต่คิดว่าคงไม่เกี่ยวกัน...ล่ะมั้ง!!
"ถ้ารู้ว่าเฮียอยู่ที่ไหน.. ไอ้ไวไวก็ต้องมาอยู่แล้ว" คำพูดง่ายๆ ธรรมดาของไอ้เด็กโย่ง แต่มันกลับทำให้นายตุลเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจเป็นครั้งแรก แต่ก็ต้องรีบกลบเกลื่อนเป็นกระแอมกระไอไปแทน
"เออ!! แล้วอยู่ที่นี่เรียกพี่ตุลก็แล้วกัน ส่วนเฮียจะเรียกเราว่าวายุด้วย" เจ้าของชื่อขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกแปลกนิดๆ ที่ต้องเรียกตามแบบที่ไม่เคยชิน
"ทำไมล่ะเฮีย!!? ทำไมเรียกแบบเดิมไม่ได้?" เสียงถอนหายใจดังออกมายาวเหยียดก่อนที่จะได้รับคำตอบ
"ก็เพราะเฮีย ไม่อยากให้ใครมองว่าเราเป็นเด็กเส้น คนที่นี่อยู่กันแบบครอบครัวก็จริง แต่ก็ดูที่ผลงานเป็นหลัก" ไอ้เจ้าไวไวพยักหน้าหงึกๆ เหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ยังคงทำหน้าเป็นหมีมึนอยู่ดี นายตุลถึงได้พูดต่อให้จบ
"มันจะดีกว่าไหมล่ะ ถ้าเราได้รับคำชมว่าทำงานดี กับคำชมที่ว่าเพราะเราเป็นเด็กเฮีย.."
"ได้ครับพี่ตุล นายวายุคนนี้จะทำงานให้สมกับที่ไว้วางใจเลยครับ!!" ไอ้หมีโย่งทำเป็นยืดยกมือขึ้นตะเบ๊ะเหนือคิ้ว ทำยังกับว่าตัวเองได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญระดับประเทศ ทั้งที่มัน...เพิ่งจะมาสัมภาษณ์งาน!!
"ยังไม่ได้บอกซักคำ ว่าจะรับเข้าทำงาน นี่คือการสัมภาษณ์โว้ย!!" พอเห็นไอ้ท่าทางมั่นใจแบบนั้น นายตุลก็อดหาเรื่องแกล้งไอ้หมีไม่ได้ ท่ายืดอกเมื่อครู่ก็เลยห่อเหี่ยว เหมือนใครปล่อยลมออกจากลูกโป่ง ทำเอาเฮียขี้แกล้งต้องกลั้นหัวเราะแทบตาย
"พี่ตุลอย่าใจร้ายซิคร้าบบบ สงสารนักศึกษาตาดำๆคนนี้เถอะ" จากท่าทีมั่นใจเมื่อครู่ กลายเป็นไอ้ไวไวที่หันมาทำตาวิ้งๆ เหมือนขอความเมตตา
"ตัวดำๆน่ะซิ ความเมตตาแถวนี้ไม่มีขายซะด้วย หึ หึ " เสียงหัวเราะสุดโหดของคนสัมภาษณ์ที่วายุได้ยินจนชินและแทบจะจำได้ขึ้นใจว่า หากได้ยินเมื่อใดไอ้ไวไวมันต้องกำลังตกที่นั่งลำบากทุกที
"อาหารเช้าและเย็นแบบพิเศษ แถมบัตรนวดไหล่ให้อาทิตย์หนึ่ง!!" ข้อเสนอทางการค้าที่ยื่นให้พิจารณาทำให้ไอ้คุณเฮียโหดเหลือบมองมาด้วยหางตาเหมือนจะบอกว่าไม่คุ้มค่ากับข้อแลกเปลี่ยน
"ติดสินบนนี่หว่า!!"
"ก็เฮียอ่ะ ชอบแกล้งไอ้ไวไวผู้น่าสงสารอยู่เรื่อย" เสียงไอ้นักศึกษาที่จะมาทำงานพิเศษนั่งบ่นหงุงหงิงไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้หันมาเห็นรอยยิ้มเอ็นดูบนใบหน้าคนสัมภาษณ์ที่หลุดขำออกมาโดยไม่รู้ตัว
"ไปซิ จะพาไปแนะนำให้รู้จักผู้ร่วมงาน" ไอ้หมีหงอยไวไว หันมาฉีกยิ้มให้อย่างยินดี ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งตามหลังหัวหน้างานคนใหม่ไปติดๆ
“ผมอยากรู้..ถ้ากลับไปบ้านเราสองคนก็เป็นเฮียเป็นไอ้ไวไวเหมือนเดิมใช่ไหม” คำถามที่กระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน นายตุลก็เลยต้องพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะตีบทขรึมเดินนำไปยังห้องผู้บริหาร และฝากให้เลขาคนสวยของไอ้คุณเพื่อนพาไปแนะนำตามแผนกต่างๆอีกที
เมื่อแนะนำตัวเสร็จสรรพ นายตุลก็ปล่อยให้นักศึกษาทำงานพิเศษได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้ร่วมงาน ส่วนตัวเองกลับมาเก็บข้าวของเตรียมตัวจะขนงานกลับไปทำที่บ้าน แต่ก็อดที่จะชะโงกมองไปทางใครบางคนที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันไม่ได้ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าหยิบขึ้นมากดเบอร์แล้วโทรออก
“จะกลับบ้านแล้วนะ ถ้าจะกลับด้วยก็ลงไปรอที่รถ” นายตุลกรอกเสียงลงไป แล้วกดวางทันทีที่ตัวเองพูดธุระเสร็จ ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังโต๊ะผู้ช่วยเพื่อมอบหมายงาน และสั่งผลิตตามรายการอีกสองสามคำ
พอเดินลงมาถึงลานจอดรถที่อยู่หลังตึก เจ้าของรถก็เหลือบมองไปรอบๆเหมือนคาดหวังว่าจะได้เจอหน้าของใครบางคนยืนรอด้วยใบหน้าหงอยๆ หรือไม่ก็ยิ้มแหยๆ แต่ก็ว่างเปล่า ..เสียงถอนหายใจดังออกมายาวเหยียด ก่อนจะเบียดตัวเข้าไปนั่งในรถ ไม่ได้รู้สึกสะกิดใจตัวเองเลยว่าสองสามวันที่หลบหน้าไอ้เด็กโย่งมา แต่พอได้พูดคุยกันเหมือนปกติตัวเองก็กลับเป็นฝ่าย’คิดถึง’โดยไม่รู้ตัว
นายตุลเหลือบมองไปทางตัวตึกออฟฟิศอีกรอบ ก่อนจะตัดสินใจสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเคลื่อนรถออกไปจากลานจอดรถ คิดซะว่ายังไงตอนกลับไปบ้านก็ต้องได้เจอหน้ามันอยู่ดี พอเลี้ยวรถออกไปบนถนน ใครบางคนที่ยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ก็โบกไม้โบกมือเรียกเยี่ยงเห็นรถแท็กซี่
“ผมนึกว่าจะไม่ทันเฮียซะแล้ว..” ไอ้โย่งไวไวพูดปนเสียงหอบ พร้อมกับเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ
“ก็บอกให้รอที่รถ วิ่งมาทำไมที่นี่ล่ะ สมน้ำหน้า” วายุหันมายิ้มให้เจ้าของรถ เข้าใจความหวังดีของไอ้คุณเฮียว่าที่แกล้งทำห่างเหินก็เพราะไม่อยากให้ใครมองตนด้วยสายตาเด็กเส้น(เส้นใหญ่แห้งเสียด้วย) ก็เลยวิ่งอ้อมมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าออฟฟิศเสียเลย ทั้งที่หวั่นๆ ว่าอาจจะคลาดกันได้ แต่ตอนที่เห็นรถเฮียเลี้ยวออกมาก็ทำเอายิ้มไม่หุบ
“ผมนี่เกิดมาโชคดีสุดๆไปเลยเฮียว่าไหม?” คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถชำเลืองมองมาทางตุ๊กตาหมีควายหน้ารถอย่างสงสัย
“เพ้ออะไรอีกล่ะ เบื่อจริงๆไอ้พวกอารมณ์ศิลปิน” วายุหันมายิ้มให้ไม่สนใจคำด่าที่ได้ยิน
“ก็โชคดีที่มีคุณน้า พี่มีนา และมีเฮียไง คนอื่นต้องเสียอย่างถึงจะได้มาอย่างหนึ่ง แต่ผมได้มาตั้งหลายอย่าง ถึงตอนนี้แม่ที่อยู่บนสวรรค์คงมีความสุขไปด้วยแน่ๆ” นายตุลเหลือบมองหน้าคนพูดแวบหนึ่ง แม้ว่าบนใบหน้านั้นจะเปื้อนรอยยิ้ม แต่ก็ยังเหมือนมีกลิ่นเหงาๆเศร้าๆแฝงอยู่ในคำที่พูดตอนท้ายประโยค ไอ้หมีไวไวที่แม้จะชอบทำตัวกวนประสาท แต่ก็ไม่เคยต้องทำให้ใครต้องเป็นกังวลเรื่องของตัวเอง
“อยากกลับไปเที่ยวที่บ้านไหม..?” บ้านหลังที่ว่า ก็คือบ้านหลังเก่าของแม่ษาที่ปิดทิ้งเอาไว้ ในหนึ่งอาทิตย์คุณยายจะจ้างคนไปทำความสะอาดให้ แล้วตั้งแต่มันย้ายมาอยู่ที่บ้านไอ้ไวไวก็ยังไม่ได้ขออนุญาตกลับไปเลยซักครั้ง
“ช่วงนี้ผมคงยังไปไม่ได้ ปีหนึ่งมีเรียนทุกวัน แล้วไหนจะงานพิเศษที่นี่อีก” ไอ้ไวไวทำหงอยเสียงเศร้า ยกนิ้วขึ้นมานับตารางงานคร่าวๆของตัวเอง
“เสาร์-อาทิตย์นี้ มีนัดที่ไหนไหมล่ะ” คำตอบที่ได้เป็นการส่ายหัวเร็วๆตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“คงอยู่บ้านทำความสะอาดอ่ะ เฮียจะให้ผมทำอะไรเหรอ” คนขับรถถอนหายใจเฮือก ก็เพราะข้อดีของมันก็คือมัวแต่คิดถึงคนอื่นก่อนเรื่องของตัวเองนี่แหละ ใครต่อใครถึงได้รุมห้อมล้อมมันนัก
“งั้นไปกัน” ไอ้ไวไวหันมาทำหน้างง
“ไปไหนอ่ะเฮีย ดรีมเวิร์ลผมไม่ไปนะ ฮ่าๆ เด็กๆเค้าเล่นกัน” นายตุลเหลือบมองกลับมาอย่างเอือมระอาจัด พร้อมกับเลี้ยวรถไปอีกทางแทนที่จะเป็นทางกลับบ้าน แต่กลับเป็นถนนที่เป็นทางตัดออกไปนอกเมืองแทน
“พาหมีไปปล่อยวัดมั้ง”
“เย้ยยย!! เฮียล้อเล่นป่ะ!!?” ไอ้หมีไวไวเหลือบมองตามตอนที่คนขับรถพยักหน้าให้มองทาง พอดีกับป้ายที่บอกทางเข้าวัดพอดี
“หึ หึ คนอย่างเฮียตุล พูดจริงทำจริง!!” วายุเหลือบมองคนขับรถ แกล้งทำเป็นเนียนสวมบทหมีที่กำลังจะโดนพาไปปล่อย แล้วโวยวายลั่นรถ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทางที่กำลังไป มันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหน ...ก็นี่แหละไอ้คุณเฮียที่แสนใจดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้ไอ้ไวไวมันปลื้มได้ยังไง
====================================
ไอ้คุณเฮียจะพาไวไวไปไหนก็มิรู้ได้ ต้องมารอลุ้นอยู่ข้าง ๆ ใจ (เน่าสนิทเหอะ 555)
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม