บทที่ 2.
หมดกัน!! ความสงบสุขในชีวิตไอ้คุณตุล เมื่อนายแม่ยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะยัดเยียดให้ไอ้เจ้าเด็กโย่งมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ให้ได้ โดยใช้เหตุผลที่เจ้าของบ้านตัวจริงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากประกาศตนเป็นเจ้าของ...ก็เงินครึ่งหนึ่งที่ซื้อบ้านหลังนี้นายแม่เป็นคนออกให้ บ้านที่ตั้งใจสร้างเอาไว้เพื่อเป็นเรือนหอ!!...
ใช่! บ้านน้อยหลังนี้ อดีตเกือบจะได้เป็นเรือนหอของกระผม แต่ด้วยความที่น้องนางเธอเกิดไปเจอบ้านหลังใหญ่ไฉไลกว่าเก่าเข้า เธอก็เลยโบยบินตีจากไป ตอนที่เกือบจะได้ร่อนการ์ดแต่งงาน(ยังนับว่าโชคดีอยู่ไหมล่ะ)
"ลูกอยู่บ้านนี้คนเดียวมานานแล้วตุล ในเมื่อไม่อยากกลับบ้าน แม่ก็ต้องทำแบบนี้แหละ" ตอนแรกที่งานแต่งล่มไม่เป็นท่าก่อนที่จะได้เริ่ม นายแม่โกรธมากประกาศจะขายบ้านหลังนี้ แต่ผมก็ยืนกระต่ายขาเดียวยึดบ้านหลังนี้เอาไว้ เพราะผมเป็นคนออกแบบ และลงมือตกแต่งเองทั้งหมด ถ้าขายไป....มันเหมือนกับขายความฝันของตัวเอง
"แม่ก็รู้ว่าผมยุ่งๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลเด็ก" ไอ้เด็กโย่งตัวปัญหาถูกบอกให้รออยู่หน้าบ้าน จนกว่าจะไปเห็นแวบๆ ว่ามันกำลังหลั่นล้าเดินชมสวน..หมั่นไส้ว่ะครับ!!
"ฉันไม่ได้หวังขนาดนั้นหรอกย่ะ!!" นายแม่ตอบกลับมาทันที ด้วยท่านั่งยกมือกอดอก แล้วเชิดหน้า 45 องศา แล้วปรายตามองมา แปลได้ใจความว่า 'อย่าได้ขัดใจฉันเชียวนะยะ!!' นี่แหละนายแม่ตัวจริงเสียงจริง
"โธ่..นายแม่คร้าบบบ!!" ต้องทำเสียงอ้อนเข้าไว้ไอ้ตุล เอ็งก็รู้ว่านายแม่รักไอ้หมีไวไวมาก ต้องหาเหตุผลให้ได้ซักข้อซิเว้ยเฮ้ย
"คิดว่าแม่อยากให้เด็กดีอย่างวายุมาขลุกอยู่ทีนี่รึไง นิสัยดี อ่อนน้อม ขยัน แถมมีคนช่วยเลี้ยงยัยมิ้นท์อีก แต่น้องบอกว่าจะไปทำงานเช่าห้องอยู่เองท่าเดียว!!" นายแม่บ่นยาวเหยียด ส่วนยัยมินท์คือหลานสาววัย 2 ขวบ ลูกของยัยมีนาน้องสาวคนเดียวของกระผม พ่อแม่ทำงานทั้งคู่คุณยายยังสาวอย่างนายแม่ก็เลยต้องรับหน้าที่เลี้ยงหลานที่ทั้งแสบและซน
"แล้วทำไม..ต้องบ้านผมล่ะแม่" วิธีสุดท้ายคือการโดดเข้าไปเกาะแขน ส่งสายตาอ้อนสุดฤทธิ์
"น้องจะมาอยู่ที่นี่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เข้าใจ๊!!?" นายแม่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคำประกาศลั่นบ้าน ทำเอาเจ้าของบ้านอย่างไอ้ตุลนั่งอ้าปากค้าง แน่นอนว่า..ไม่สามารถเอ่ยปากอ้างเหตุผลใดใดอีก เมื่อนายแม่ลั่นวาจาไปแล้ว
"ลูกวา ยกข้องเข้ามาในบ้านพี่เค้าได้เลยลูก!!" จบข่าวครับท่าน!! เพราะทันทีที่นายแม่สะบัดหน้าเชิดใส่ผมได้ ก็หันไปตะโกนบอกไอ้หมีไวไวที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน มันก็หอบสัมภาระเป็นกระเป๋าสองสามใบเข้ามาในบ้านทันที
"ขอบคุณครับเฮีย" ไอ้เด็กโย่งมันยกมือไหว้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มให้ ต่อหน้านายแม่ก็เลยต้องรับไหว้อย่างช่วยไม่ได้...แม้ว่าอยากจะบอกว่า..เจ้าของบ้านเค้าไม่เต็มใจโว้ย!!
"เออ!!" นายแม่หันมาถลึงตาใส่ลูกชายยังกับว่าไปทำอะไรผิดอย่างงั้น...กลายเป็นลูกตกกระป๋องไปแล้ว!!
"ฝากด้วยนะ ไว้น้าจะพายัยมิ้นท์แวะมาหาบ่อยๆ" นายตุลยืนอึ้งไปเป็นรอบที่สอง เมื่อได้ยินคำว่า'ฝาก'ของนายแม่ แทนที่จะเป็นฝั่งนี้ ไหงนายแม่กลับหันไปฝากฝังผู้อาศัยให้ดูแลเจ้าของบ้านซะงั้น แถมด้วยอาการถอนหายใจ แล้วปรายหางตามองมาอีกรอบนะเออ
"แล้วก็อย่าให้รู้ว่าแกล้งน้องนะตุล แม่ไปล่ะ ป่านนี้ยัยมิ้นท์ร้องหาแย่.." คุณยายยังสาวยังไม่วายหันมากำชับอีกรอบ ก่อนจะเดินเชิดหน้าอย่างผู้มีสิทธิ์เหนือกว่าออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ผมยืนเคว้งคว้างอยู่อย่างงั้น(เวอร์ได้อีก) กว่าจะรู้ตัวว่าต้องเดินไปส่ง นายแม่ก็ขับรถออกไปแล้ว...มีใครเข้าใจความลำบากของไอ้ตุลบ้างไหมล่ะเนี้ย!!
.
.
.
แม้ว่าจะขับรถออกมาแล้ว และจะได้ยินเสียงตะโกนเรียกของลูกชายคนโต คุณสุชาดาก็ต้องทำแกล้งเมินใส่ พร้อมกับเสียงถอนหายใจยาวเหยียดยามที่เหลือบมองไปยังกระจกมองหลัง แล้วเห็นลูกชายคนโตยืนทำท่าเกาหัวอยู่หน้าบ้าน หัวอกของคนเป็นแม่มันเจ็บปวด ที่ต้องมาเห็นลูกชายคนโตหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน
ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ไม่ยิ้ม ไม่สดใส ชอบแกล้งคนอื่นเหมือนเคย ไม่รู้ว่าจะไปถือโทษ โกรธใครดี เพราะชีวิตของคนเรามักจะไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ว่าไม่ได้ว่าใครที่ผิดหรือถูกอย่างหมดจด ก็ได้แต่หวังว่าความซื่อ และการมองโลกในแง่ดีของหลานชายคนใหม่ จะช่วยเยียวยาอะไรได้บ้าง...ซักนิดก็ยังดี...
--------------------
นายตุลเดินเข้ามาในบ้านอย่างหงุดหงิด สองสามปีมานี้ เคยชินเสียแล้วกับการต้องอยู่คนเดียวกับความเงียบ ไม่ได้เหงา ไม่ได้โหยหาอะไรจากใคร ก็แค่ค้นพบวิธีอยู่กับตัวเองกับสิ่งที่รักอยู่กับงาน กับหนังสือ ..ไม่ใช่กับความรักที่มีให้สิ่งมีชีวิต
"ขอโทษครับเฮีย ผมไม่ได้ตั้งใจมารบกวนจริงๆ" ผู้อาศัยคนใหม่มันขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนโซฟา แล้วยกมือไหว้ท่วมหัว เลยกลายเป็นว่าเจ้าของบ้านที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ยืนเอ๋ออยู่ตรงหน้าประตู
"ช่างเถอะ แล้วนี่มีของแค่นี้รึ!?" นายตุลจำต้องเปลี่ยนเรื่อง ไอ้ไวไวมันพยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ
"ผม...ขอแค่ที่ซุกหัวนอนก็พอ ตรงไหนของบ้านก็ได้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ผมจะหางานทำหลังเลิกเรียน...แล้ว.."
"มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น เกิดไม่ผ่านขึ้นมา นายแม่ได้ตามมาฉีกอกทีหลังแน่" วายุถอนหายใจเฮือก คนบ้านนี้พูดเหมือนกันหมด พอเริ่มต้นบอกว่าจะทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียน ก็โดนยื่นคำขาดว่า 'ห้าม!!' ทุกที บุญคุณที่รับเอามาเลี้ยงทั้งที่ลูกหลานก็ไม่ใช่ ยังไม่รู้ว่าชาตินี้จะชดใช้ยังไงหมด จะให้มาเอาเงินจากครอบครัวนี้ไปกินไปใช้...ใครจะไปสบายใจได้
"ผมอยากรับผิดชอบตัวเอง ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน.." ที่เลือกมาอยู่กับเฮียตุนก็เพราะว่าไม่อยากรบกวนคุณน้าไปมากกว่านี้
"เอาไว้ให้มีใครบ่นว่าเดือดร้อน ค่อยว่ากัน ตอนนี้หน้าที่ของนักศึกษาคืออะไร!!?" เจ้าของบ้านยืนกอดอกมองไอ้เด็กโย่งอย่างหงุดหงิด ถ้าได้ยินมันเถียงอีกคำ คงได้มีโดดเตะกันบ้าง
"เรียนครับ..." ไอ้ไวไวบอกเสียงเบา พร้อมกับก้มหน้าเหมือนเด็กสำนึกผิด
"รู้ก็ดี แต่ถ้าอยากตอบแทน...งั้น...ทำงานบ้านให้ก็พอ!!" วายุเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้านพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างยินดี ที่จริงต่อให้ไม่บอกผู้อาศัยก็สมควรจะรู้ด้วยตัวเอง ตั้งใจว่าจะช่วยงานบ้านทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเพราะตอนที่แม่อยู่ ก็รับผิดชอบงานนี้มาตลอด
"ครับเฮีย!! ผมยินดีทำทุกอย่าง" ไอ้ไวไวทำเป็นยกมือขึ้นตะเบ๊ะ โดยที่ตัวเองยังนั่งคุกเข่าอยู่บนโซฟา พูดง่ายๆเป็นการเลียนแบบที่ง่อยมาก
"ตามใจ..แค่ห้ามยุ่งกับโต๊ะทำงานก็พอ ส่วนห้อง...คืนนี้คงต้องนอนที่นี่ไปก่อน พรุ่งนี้ถึงจะจัดห้องให้ได้" นายตุลชี้ไปที่โซฟาตัวยาวกลางบ้าน ผู้อาศัยนั่งพยักหน้าหงึกๆ จนคอแทบหลุดจากบ่า แต่เจ้าของบ้านกลับถอนหายใจอีกเป็นรอบที่ร้อย ห้องเล็กอีกห้องที่เคยวางแปลนเอาไว้เป็นห้องเด็ก ถูกดัดแปลงไปเป็นห้องหนังสือได้หลายปี มีแต่ชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือ ตั้งแต่ตอนเริ่มเรียนต่อโท แล้วก็พวกหนังสือที่ชอบสะสมเป็นงานอดิเรกอีก
"เฮีย...อย่าเพิ่งรำคาญผมนะ"
"หือ!!? เมื่อกี้พูดว่าไงนะ!!?" ไอ้ไวไวส่ายหัวรัวแทนคำตอบ กำลังสงสัยอยู่ว่าไอ้เด็กนี่โดนฝังไมโครชิปหรืออะไรซักอย่างมาในหัวรึเปล่า นั่งพยักหน้ากับส่ายหัวเป็นว่าเล่นอยู่ได้
"เฮียมีอะไรให้ผมช่วยไหมอ่ะ..?" วายุหันมาถามหน้าซื่อ กลบเกลื่อนเรื่องที่ตัวเองเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา ยังดีที่เฮียมัวขมวดคิ้วคิดอะไรๆอยู่ก็เลยไม่ทันได้ยินเข้า
"วันนี้พักผ่อนไปเถอะ จะไปทำงานต่อ เออ!! ของใช้อะไรถ้าไม่มีมาก็หยิบในตู้ออกมาใช้ได้เลยนะ" ไอ้ไวไวพยักหน้าอีกรอบ ว่าจะหันไปสั่งอะไรอีกก็พอแล้วดีกว่าเหอะ กลัวว่าคอมันจะหลุดออกมา ทิ้งไว้แค่เสียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง
.
.
.
พอแผ่นหลังเจ้าของบ้านลับตาเข้าไปในห้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว วายุถึงค่อยขยับตัวเดินสำรวจ...บ้านของเฮียตุนเป็นบ้านชั้นเดียวบริเวณไม่ได้กว้างขวางเหมือนบ้านหลังใหญ่ของน้าสุชาดา ชอบที่ตรงหน้าบ้านยังมีบริเวณให้ทำสวนปลูกต้นไม้เล็กๆ ภายในตกแต่งแบบง่ายๆ แต่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นทุกอันเหมือนจะลงตัวเข้ากันจนไม่รู้สึกว่าคับแคบ
ห้องครัวที่อยู่ด้านในสุดมีเครื่องใช้ทุกอย่างครบ แล้วที่ออกจะดูแปลกตาไปซักนิดตอนที่เดินเข้ามา ก็..ตรงที่..ของบางอย่างมีคู่กัน อย่างเช่น แก้วน้ำลายนี้ จาน ชาม และอะไรหลายๆอย่างในบ้านที่มักจะเข้าคู่กันเสมอ เหมือนกับมีกลิ่นของใครบางคนตลบอบอวลอยู่ในบ้านหลังนี้
"คงไม่ใช่...เรื่องสยองขวัญหรอกนะ!!" อึ้ยยยย แค่คิดไอ้ไวไวก็ขนลุกล่ะครับท่าน จนต้องยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทางให้วุ่นไปหมด แถมยังพึมพำบอกสิ่งศักดิ์ที่ไม่รู้ว่ามีจริงรึป่าวอีกด้วย ยังไงก็ต้องนอนด้วยกันไปอีกนาน เพราะงั้น..ก็ขออยู่อย่างสงบก็แล้วกัน..สาตุ๊!!
หลังจากสำรวจสภาพโดยรวมของบ้านเรียบร้อย ก็เดินกลับมาลากสัมภาระตัวเองไปวางไว้ข้างๆห้อง หยิบข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวไปจัดวางไว้ในห้องน้ำที่อยู่ข้างนอก สายตาเหลือบไปเห็นถุงที่หอบหิ้วมาจากบ้านใหญ่ แล้วเดินกลับมาเปิดดูตู้เย็น..อย่างที่คุณน้าบอกเอาไว้ไม่มีผิด 'ถ้าไม่เตรียมของกินไปเอง มีหวังวันนี้ได้อดตายแน่' เพราะข้างในมันช่างขาวโล่ง มีน้ำเปล่าอยู่สองสามขวดแช่อยู่ข้างใน คิดว่าเจ้าของบ้านน่าจะแช่เอาไว้นานจนลืม
"แล้ววันๆ เฮียกินอะไรเข้าไปเนี้ยะ" ผู้อาศัยคนใหม่เหมือนจะนั่งคุยอยู่กับตู้เย็น มือก็หยิบเอาของกินที่เตรียมมาจัดใส่ตู้อย่างเป็นระเบียบ
เหลือบมองไปรอบบ้านอีกครั้งก็ต้องถอนหายใจ..มันเงียบ จนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ยามบ่ายแบบนี้จะให้ออกไปรดน้ำต้นไม้ ดูแลสวน คนเค้าคงจะหาว่าบ้าแดดเอาได้ เพราะงั้นวายุก็เลยลงมือจัดโน่นนี่ ทำความสะอาดตั้งแต่ห้องรับแขก เรื่อยไปจนถึงห้องครัว ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องที่เปิดแง้มเอาไว้ ไม่ใช่ห้องของเฮียเจ้าของบ้าน ก็เลยลองผลักเข้าไปดู ...ยังคงคิดถึงเรื่องสยองขวัญกลางวันแสกๆอยู่ก็เลยกลัวนิดๆ แต่ความอยากรู้ก็เอาชนะความกลัวไปได้ ห้องที่เดินเข้าไปทำเอาผู้อาศัยคนใหม่กลอกตาไปมาด้วยความยินดี เพราะทั้งห้องเต็มไปด้วยชั้นที่มีหนังสือมากมายอยู่เต็มไปหมด ยังกับยกห้องสมุดมาอยู่ที่บ้าน
ก๊อก ก๊อก
"เฮีย ๆ ผมถามอะไรหน่อยยยยย" เสียงตะโกนเรียกที่ดังมาจากอีกฟากประตู กระชากสติของคนที่อยู่ในโลกส่วนตัวออกมา พร้อมกับปากที่บ่นพึมพำด่าไอ้จอมโวยวายข้างนอก
"ถามอะไร ว่ามาดิ!!?"
"ห้องหนังสือข้าง ๆ ผมหยิบดูได้ไหมอ่ะ" แค่เรื่องหนังสือมันก็ยังเจือกมาตะโกนถามลั่นบ้าน
"ตามใจเหอะ อ่านแล้วเก็บที่เดิมให้ด้วยก็แล้วกัน" เสียงเจ้าของบ้านตะโกนตอบกลับมา แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนข้างนอกวิ่งห่างออกไป หวังว่าทั้งบ้านคงจะเงียบสงบไปได้ซักพัก
ก๊อก ก๊อก
“เฮียคร้าบบบ..เฮียตุนๆ” เจ้าของบ้านที่ไม่สามารถทนฟังเสียงเรียกแบบไม่หยุดหายใจ กับเสียงเคาะที่เหมือนจะพังประตูเข้ามา ถามก็ไม่ตอบว่ามันจะเอาอะไร ตะโกนอยู่ได้ลั่นบ้านไปหมด ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นายตุลก็เลยจำใจต้องละสายตาจากกองงานตรงหน้า เดินมาเปิดประตู
“เฮ้ย!!/เหวออออ” ไอ้เด็กเวร พอกระชากประตูเปิด ตัวโย่งๆของมันก็ดันถลาตามประตูเข้ามาด้วย แทบจะล้มหงายลงไปนอนวัดพื้นกันทั้งคู่ ดีที่ไอ้ไวไวมันแขนยาวรั้งประตูเอาไว้พร้อมเกี่ยวตัวเจ้าของห้องเอาไว้ได้ทัน
“ไอ้ไวไว ถ้าเฮียเจ็บ โดนสองเท่าแน่!! มีอะไร!!?” เผลอไปตะคอกใส่ ไอ้ไวไวทำหน้าหงอยหัวหด ก่อนจะหันมายิ้มแห้งๆ ให้
“ขอโทษครับเฮีย ก็ผมนึกว่าเฮียอดข้าวจนเป็นลมไปแล้วซะอีก” พอเหลือบมองไปทางนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ก็เพิ่งรู้ว่ามันเย็นป่านนี้แล้ว แถมกลิ่นหอมยั่วน้ำลายตอนที่เปิดประตูเข้ามา มันทำให้รู้ว่า...ท้องมันกำลังร่ำร้องหาของกิน
“เออ!! เฮียลืมไปว่ะ หิวรึยังล่ะ ออกไปหาอะไรข้างนอกกินกัน” จริงๆลืมไปด้วยซ้ำว่ามีอีกหนึ่งชีวิตอาศัยอยู่ด้วยกัน
“แค่เฮียเดินออกมานอกห้องก็พอ ผมเพิ่งทำอาหารเย็นเสร็จตะกี้เอง” คนเป็นพ่อครัวทำเป็นยืดอกเต็มความสูง เหมือนกับว่าภูมิใจตัวเองนักหนา ..ประเด็นคือ..มันไปเอาอะไรที่ไหนมาทำอาหารเย็น เพราะในตู้ จำได้ว่ามีแค่น้ำเปล่า หวังว่าคงจะไม่ใช่อาหารปรุงรส 3 นาทีเหมือนชื่อมันหรอกนะ
“ถ้าเป็นมาม่าล่ะก็ โทรสั่งของกินให้เค้ามาส่งก็ได้”
“โห่...เฮียอย่ามาดูถูก ถึงเป็นมาม่าแต่ก็ทรงเครื่องครบรสนะขอบอก” แล้วมันดูผิดตรงไหน ก็ไอ้จานอาหารเย็นตรงหน้ามันคือเส้นมาม่าชัดๆ เพียงแต่มีผัก ใส่ไข่ลงไปให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น
“แล้วทำเป็นมาคุย!!” พูดข่มไปงั้น แต่ตัวเองก็ย่อตัวลงนั่งที่โต๊ะกินข้าวก่อนใคร ณ นาทีนี้ความหิวมันเอาชนะได้ทุกอย่าง ต่อให้ตรงหน้าเป็นข้าวราดหน้าไข่เจียว ไอ้คุณตุลก็จะกินล่ะครับท่าน พยาธิในท้องมันเตรียมถือป้ายประท้วงอยู่
“ผมเตรียมตัวมาพร้อมแล้วนะ ตอนแรกว่าจะทำกับข้าว แต่...บ้านเฮียไม่มีข้าวให้หุงอ่ะ ผมก็เลยต้องใช้วิธีนี้” ไอ้ไวไวทำหน้างอย่อตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เหมือนนักกีฬาขี้คุยที่บอกว่าจะเอาที่หนึ่งให้ได้ แต่ดันได้มาแค่ที่สอง แล้วก็โทษว่าพื้นมันลื่น จะว่าไป..ก็ถูกอย่างที่มันพูดนั่นแหละ
“งั้นกินข้าวเสร็จ ออกไปซื้อของกัน” แล้วมันก็พยักหน้าหงึกๆอีกรอบ ลงมือกินมาม่าทรงเครื่องที่ตัวเองคุยโม้เอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น ก็แค่ไปซื้อของกินเข้าบ้าน ไอ้หมีไวไวทำเหมือนจะได้ไปเที่ยวสวนสนุก!!
===============================
มาอัพเช้า(ช้าบ้างอะไรบ้างต้องขออภัย แหะ แหะ)
เมื่อวานไปเล่นเกมส์คำใบ้กะคุณหมอมา(แอบเสียดายไม่ใช่หมอขนตางอนคนเดิม คริ คริ)
ได้ยามากินแก้อาการเพี้ยนหนึ่งกำมือ 
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง ฝนตก ลมแรง เดี๋ยวก็หนาว ทุกคนดูแลสุขภาพกันด้วย
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านอีกที กอด ๆ
