ตอนที่ 10
ผมไม่เคยอยู่ห่างจากไอ้สิกนานๆ เพราะฉะนั้นผมถึงไม่ชอบความเงียบระหว่างผมกับมัน
ผมเข้าใจที่ตัวเองโมโหตอนที่มันพยายามตีตัวออกห่างจากผมเมื่อวันก่อน และผมก็เข้าใจมันในทันทีที่มันชี้แจงเหตุผลกับผม จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ความผิดของไอ้สิกเลยสักนิดที่มันจะหงุดหงิด เพราะฉะนั้นผมเข้าใจมันดีทุกอย่าง และก็รับรู้ด้วยว่าทำไมตอนนี้ผมกับมันถึงไม่ได้คุยกันมาเป็นเวลาห้าวันแล้ว ทั้งๆ ที่เราสองคนอยู่ในโรงเรียนและก็อยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาด้วยกัน
สตาร์เริ่มเดินหน้าจีบสิกเหมือนที่เขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ ผมพยายามที่จะไม่มองไปที่ภาพนั้นด้วยการเดินหนีทุกครั้ง ผมไม่รู้ว่าสิกมันจะคิดอะไรหรือรู้สึกยังไง แต่นี่คือสิ่งที่มันควรเกิดมาตั้งแต่ต้น
พี่ดินยังคงจีบผมด้วยวิธีการมึนๆ อีกเช่นเคย เขาชอบส่งน้ำส่งขนมให้ผมจนมาถึงตอนนี้ เพื่อนๆ ของผมต่างก็พากันงงไปหมดว่าทำไมพี่ดินจะต้องตามมาจีบผม แต่ก็มีใครหลายคนที่เดาๆ กันได้ เรื่องที่พี่ดินชอบผมค่อนข้างดังในหมู่นักเรียนม.6 พวกเด็กม.5 จึงเริ่มทยอยรู้กันไปทั่ว
อิทธิพลของพี่ดินทำให้มีคนมาก่อกวนผมน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าผมจะมีความสุขมากขึ้น
ตอนนี้ผมสูญเสียเพื่อนสนิทของผมอย่างไอ้สิกไป ไม่มีคนที่ไปไหนมาไหนกับผมทุกที่ ไม่มีคนที่รู้ใจผมทุกอย่าง ที่ผ่านมามันเป็นสิ่งมีค่าที่ผมมองข้าม ไม่เคยสังเกตตัวเองเลยว่าผมขาดมันไม่ได้มานานแค่ไหนแล้ว มัวแต่คิดอยู่ในใจว่าคนอย่างมันไม่มีทางที่จะทิ้งผมไปไหน แต่ในที่สุดก็มีวันนี้จนได้
และผมนี่แหละที่เป็นคนทำมันพังเองกับมือ
วันนี้เป็นวันจันทร์ คาบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ค่อนข้างแน่น ผมเป็นเด็กสายวิทย์ฯ ก็จริงครับ แต่ผมกลับชอบวิชาเหล่านั้นน้อยมากเหลือเกิน และยิ่งเรียนไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหน่วงในจิตใจ (เนื่องจากเห็นหน้าไอ้สิก) เพราะงั้นผมจึงโดดเรียนมานอนที่ใต้ร่มไม้หลังอาคาร สถานที่ยอดฮิตสำหรับเด็กนักเรียนที่อยากโดดเรียนแต่ไม่อยากออกจากโรงเรียน
ผมหยิบหูฟังกับโทรศัพท์ติดมือมาด้วย ผมนอนเปิดเพลงฟังเพลงไปเรื่อยๆ ทำเป็นว่าตัวเองนั้นมีความสุขเหลือหลายทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีความสุข จนกระทั่งมีคนมาดึงหูฟังของผมออกไปข้างหนึ่ง
พี่ดินมานั่งข้างๆ ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
ผมกำลังจะลุกขึ้นนั่งแต่พี่ดินทำมือเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ผมจึงนอนลงไปตามเดิม รู้สึกเกร็งไปทั้งตัวเหมือนอย่างเคยๆ
“พี่ดินก็โดดเรียนเป็นเหรอเนี่ย” ผมพูดตามความรู้สึก
“คาบนี้คาบศึกษาด้วยตัวเอง” พูดง่ายๆ ก็คือคาบว่างนั่นแหละครับ ถ้าไม่เนิร์ดเหมือนเด็กห้องคิงก็ไม่มีนักเรียนคนไหนหยิบหนังสือเรียนมาอ่านกันหรอก (เอ๊ะ หรือผมเป็นคนเดียว) “เห็นคนหน้าคุ้นๆ มานอนหลบมุมอยู่ตรงนี้ก็เลยเข้ามาทัก”
“แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ
“อึดอัดป่ะวะ”
“ครับ?”
“ที่พี่จีบแบบนั้นอ่ะ” พี่ดินไม่มองหน้าผม แต่สีหน้าแสดงความเขินอย่างเห็นได้ชัด
“ก็...” ผมควรจะตอบว่าไงดีล่ะ “เปล่าหรอกครับ”
“ถ้าไม่ชอบพี่ รำคาญพี่ บอกพี่มาได้ตรงๆ เลยนะ”
“...”
“พี่เป็นคนที่มีความคิดว่าเกิดมาทั้งทีก็ต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ชอบก็บอกว่าชอบ จะจีบก็บอกว่าจะจีบ เพราะงั้นพี่ไม่อยากให้ใครมาเสียเวลากับพี่ ถ้าฟืนไม่ชอบพี่ ก็รีบบอกพี่มา พี่จะได้หายไปทำใจและก็ปล่อยฟืนไป”
แม่ง ผมอยากเกิดมาแล้วเท่ได้เศษเสี้ยวของพี่ดินบ้าง พี่แม่งเกิดมาเพื่อเป็นไอดอลแก่เด็กวัยรุ่นชายทั่วประเทศจริงๆ หล่อ เท่ ความคิดดี ครบเครื่องว่ะ!
แต่ถึงผมจะไม่ได้ชอบไอ้สิก ผมก็ไม่ได้ชอบพี่ดินเขาอยู่ดีครับ
“พี่ชอบผมตรงไหนเหรอ ชอบได้ยังไง” ผมขอถามในสิ่งที่ผมสงสัยหน่อย
“ไม่รู้ว่ะ ก็แอบๆ มองฟืนอยู่นานแล้วเหมือนกันนะ ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้” พี่ดินเล่า “รู้ตัวอีกทีก็มองหาแต่ฟืนแล้ว ยิ่งรู้ว่าแม่ของพี่เป็นเพื่อนกับแม่ฟืนพี่ก็เลยรบเร้าให้แม่ย้ายบ้านไปอยู่ข้างๆ บ้านฟืนอ่ะ”
จริงง่ะ ผมอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แต่ใครจะรู้ว่าย้ายไปปุ๊บก็ไปเจอฟืนอยู่กับไอ้หน้าหล่อขี้เก๊กนั่นปั๊บ”
ผมหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ดินพูดถึงไอ้สิก
“พี่ดินครับ” ผมกำลังจะบอกกับพี่ดินตรงๆ ว่าผมคงไม่ได้ชอบพี่เขาแน่ๆ ในอนาคต ทว่าอะไรบางอย่างก็มาปรากฏขึ้นในสายตาของผมซะก่อน “ผมไปก่อนนะครับพี่”
“จะไปไหน”
ผมไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะตอบอีกฝ่าย รู้สึกร้อนใจจนต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ขอให้ภาพที่ผมเห็นมันไม่เลวร้ายมากขึ้นไปกว่านี้อีกเลย
เคมีถูกเด็กโรงเรียนอื่นแอบลากตัวไปทางหลังโรงเรียน
เคมี น้องชายของฟิสิกส์
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองบู๊เก่ง แต่ไม่รู้ว่าอะไรพาเท้าของผมให้มาหยุดยืนมองเคมีที่โดนพวกเด็กโรงเรียนช่างดึงตัวไปแบบนี้ เคมีถูกยื้อยุดฉุดกระชากไปมาในอาคารเก่าหลังหนึ่งที่อยู่ลับสายตาคน ผมมองดูอย่างเครียดๆ ภาพที่ผมกำลังเห็นทำให้ผมรู้สึกสงสารเคมีจับใจ
“ไม่มีตังค์ให้พวกพี่ ก็ต้องถอดนะจ๊ะ”
อะไรนะ! พวกเหี้ยนั่นพูดว่าอะไร ถอดอะไร
“ปล่อยผมไปเถอะครับ ปล่อยผมไปเถอะ” เคมีทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“พี่ก็ปล่อยน้องไปหนหนึ่งแล้วไง เพราะน้องบอกตอนนั้นไม่มีตังค์ถูกมั้ย”
“เพราะงั้นคราวนี้พวกพี่ไม่ปล่อยน้องไปง่ายๆ หรอก”
“ไม่มีเงินก็ต้องถอด ฮ่าๆๆ”
“ถอดกางเกงเดี๋ยวนี้”
ผมเข้าใจทำไมไอ้พวกบ้านี่ถึงหื่นกามกับเคมี ก็อย่างที่ผมบอกเคมีก็เหมือนสตาร์ในไซส์มินิ หน้าตาสะสวยน่ารักผิดแผกไปจากเพศผู้ ตัวก็เล็ก และผิวก็ขาวจั๊วะ
ผมรู้ดีว่ามันต้องการอะไรจากน้อง ทำไงดีวะ ตอนนี้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงมาก ถ้าผมวิ่งไปฟ้องลุงยามกว่าลุงจะมาน้องเคมีก็คงโดน...
โว้ยยยยยยยย ข้ามศพกูไปก่อนเถอะ แค่ผมคิดผมก็รู้สึกเลือดขึ้นหน้าแล้ว เพราะงั้นผมรอไม่ได้ ผมต้องรีบช่วยน้องเดี๋ยวนี้
“ไอ้พวกเหี้ย!” ผมรีบเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง “ตายซะเถอะ!”
ผมบู๊ไม่เก่งหรอก การที่ผมเข้าไปก็เหมือนกับเพิ่มเหยื่อให้พวกแม่งอีกคน ผมพยายามทั้งเตะต่อยและก็กระโดดถีบพวกนั้นแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงล้มลงไปกองกับพื้นอย่างน่าถนาถโดยที่ไม่สามารถทำพวกมันเจ็บได้สักคน
แต่อย่างน้อยเคมีก็อุ่นใจแหละครับ ที่ได้เห็นหน้าผม
“พี่ฟืน T_T” น้องเหมือนร่างอวตารของสตาร์จริงๆ ทำไมดูน่ารักมุ้งมิ้งไปซะทุกอย่างแบบนี้
“ไอ้เชี่ยนี่ถึงจะกากแต่ก็หน่วยก้านใช้ได้นี่หว่า” ใครหนึ่งคนมองดูผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“มันขาวด้วยนะ”
“ขาเรียวๆ”
“เออดี จะได้แบ่งๆ กันไป”
“ถอดกางเกงเลย เร็วๆ!”
เดี๋ยว พวกมึงคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอวะ นี่มันอยู่ใกล้โรงเรียนกูนะเว่ย ทำไมพวกมึงกล้า ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เคมี พยายามกันน้องไม่ให้ไอ้พวกเหี้ยนี้แตะตัวน้องอีก ในใจของผมก็เริ่มสั่นกลัวเหมือนกันว่าพวกเหี้ยนี้มันจะทำแบบนั้นกับผมและก็เคมี ถ้าเป็นงั้นผมจะทำยังไงดีวะ
หน้าของไอ้สิกลอยมาเป็นอันดับแรก ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงจะรู้สึกผิดกับไอ้สิกมาก
ผมช่วยน้องมันไม่ได้
ผมช่วยตัวเองก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น..สิกมันจะเป็นยังไง
“ในนี้เลยครับลุง ในนี้ครับครู!”
เสียงสวรรค์ทำเอาพวกโรงเรียนอื่นแตกตื่น ฝีเท้าหลายคู่วิ่งมาที่นี่จนทำให้พวกนี้หนีกันหัวซุกหัวซุน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกดีที่สิ่งที่ผมจินตนาการถึงมันไม่เกิดขึ้น ผมรีบหันไปมองดูว่าใครเป็นฮีโร่ที่เข้ามาช่วยผมกับเคมี
พี่ดิน
พี่เขามาพร้อมกับลุงยาม สารวัตรนักเรียน และก็คุณครูฝ่ายปกครองหลายคน ทุกคนพากันวิ่งตามจับไอ้พวกนักเรียนช่างที่เข้ามาทำเรื่องแย่ๆ ที่โรงเรียนกันยกใหญ่
พี่ดินเดินเข้ามานั่งยองๆ ดูผมกับเคมี เข่าของเคมีถลอกทั้งสองข้าง ส่วนผมมีบางแผลฟกช้ำเล็กน้อยและก็ที่ศอกมีรอยถลอก
“ยังจะทำเก่ง” พี่ดินส่ายหน้าให้ผมเบาๆ “รู้ทั้งรู้ว่าได้ใจสารวัตรนักเรียนไปแต่ก็ยังไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ”
ผมกระพริบตาปริบๆ เคมีมองผมกับพี่ดินสลับกันด้วยนัยน์ตากลมโต
“เดี๋ยวพี่จะให้คนพาไปห้องพยาบาล” พี่ดินลุกขึ้นยืน
“แล้วพี่จะไปไหนครับ” เคมีถาม
“พี่ก็จะไปจับไอ้พวกที่มาจับน้องไง”
“...”
“มาทำร้ายน้องโรงเรียนพี่ก็เหมือนทำร้ายพี่ แถมมาทำในถิ่นพี่ก็เหมือนมาเหยียบหน้าพี่”
พี่ดินก็เป็นคนแบบนี้แหละครับ เขารู้กันทั่วโรงเรียน รักศักดิ์ศรีรักพวกพ้องรักโรงเรียนยิ่งกว่าสิ่งใด (มิน่าถึงได้เป็นหัวหน้ากองร้อย) เคมีกับผมมองพี่ดินอย่างชื่นชมจนกระทั่งมีสารวัตรนักเรียนสองคนมาช่วยกันนำตัวผมกับเคมีไปยังห้องพยาบาล
ห้องพยาบาล
“อูย” เคมีร้อง
“แสบหน่อยนะ” ผมบอกน้อง
“รบกวนพี่ฟืนเลย”
“รบกวนบ้าอะไรล่ะ”
เพราะครูห้องพยาบาลไม่อยู่ผมก็เลยต้องลงมือทำแผลให้เคมีเอง เรื่องล้างแผลแค่นี้จิ๊บจ๊อยมากครับ โชคดีที่เคมีไม่เจ็บอะไรมาก แต่ดูช็อกๆ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมากเหมือนกัน
เป็นน้องที่แตกต่างจากพี่แบบสุดขั้วแทบจะทุกๆ ด้าน มีอย่างเดียวที่เหมือนกันก็คือหน้าตาดี
“ผมไม่นึกว่าพวกนั้นจะเข้ามาในโรงเรียนเรา” เคมีเอ่ย
“ทำไมมันเจาะจงแค่เคมีล่ะ”
“เพราะผมดูอ่อนแอมั้งครับ”
“ไม่จริงหรอก” ผมพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น “เพราะเคมีดูรวยต่างหาก พวกนั้นก็เลยคิดว่ามีตังค์เยอะ ถึงได้มาไถไง”
เคมียิ้มแห้งๆ ให้ผม อย่างน้อยเขาก็ยิ้มออกแล้วล่ะ ในขณะที่ผมใกล้จะล้างแผลให้น้องเสร็จ เสียงเลื่อนประตูห้องพยาบาลก็ดังขึ้นและดังมากจนสั่นสะเทือนไปหมด
ไอ้สิกมาแล้ว
มันมองหน้าน้องมันสลับกับมองหน้าผมก่อนที่จะเข้ามาในห้องอย่างร้อนใจ
“ใครทำ!” ไอ้สิกร้องถามทันที
“พี่สิก T_T” เคมีโอดครวญเมื่อเห็นหน้าพี่ชาย มิน่าล่ะพี่ถึงหวง เพราะอ้อนเก่งขนาดนี้ไง
“ใครทำเคม พี่จะไปจัดการมัน!” ไอ้สิกดูโกรธจัดมากจนแทบจะพังข้าวของได้
“พี่สิก ไม่ต้องไปแล้ว พวกพี่ดินไปจัดการแล้ว”
คำว่าพี่ดินของเคมีทำให้ไอ้สิกต้องตวัดสายตามามองผม “งั้นเหรอ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ไอ้สิกกำหมัดและก็หยิบหมอนที่วางอยู่เตียงอื่นขึ้นมาต่อยราวกับต้องการระบายอารมณ์
“พี่ขอโทษนะเคม พี่ไม่ดูแลเคมอ่ะ”
“บ้าเหรอพี่ ผมผิดเอง”
“เปล่าหรอก พี่ต่างหากที่ผิด”
“พี่สิกอย่าเพิ่งโทษตัวเองเลย มาช่วยทำแผลให้พี่ฟืนก่อน พี่เขาก็เป็นแผลเหมือนกัน” เคมีชี้มือมาที่ผมที่นั่งยองๆ ตรงหน้าเขา ไอ้สิกชะงัก หันมามองผมอย่างสงสัย “พี่ฟืนเท่มาก กระโดดเข้ามาช่วยผมทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีพรรคพวกมาด้วยเลย พวกนั้น เอ่อ พวกนั้นเกือบจะทำพี่ฟืนด้วยพอเห็นพี่ฟืนอ่ะ” น้องดูเล่าได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน
“พวกนั้นจะทำอะไร”
ผมมองดูเคมี พยายามส่งสายตาบอกน้องว่าห้ามพูดออกมาเชียว!
“พวกมัน...มัน...”
“...”
“พวกมันบอกให้เคมกับพี่ฟืนถอดกางเกง”
“เหี้ยยยยยยยยยย!” ไอ้สิกร้องลั่นด้วยความโมโหจนขาดสติ
“พวกมันอยู่ไหน!” “เชี่ยสิก” ผมลุกขึ้นมาจับแขนมัน “พวกครูกับพวกสารวัตรนักเรียนจัดการแล้ว ใจเย็นก่อน”
“กูไม่เย็นแล้ว ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”
“น้องมึงไม่เป็นไรแล้วไง”
“แต่มัน มัน มัน...”
“...”
“ถ้าไอ้พี่ดินไปช่วยมึงกับน้องไม่ทันล่ะ”
“...”
“มึงกับน้องกูเป็นหัวใจของกูเลยนะเว่ย” น้ำเสียงมันสั่นพร่าไปหมดเมื่อคิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดถ้าพี่ดินมาช่วยไม่ทัน ผมกลืนน้ำลาย ได้ยินคำนั้นชัดเจนเต็มสองหูแต่ก็พยายามเก็บไว้ในใจ
หัวใจของผมสั่นไปหมดเพราะคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจของสิก
“กูกับน้องมึงก็ไม่เป็นอะไรแล้วนี่ไง”
“แม่งเอ๊ย” ไอ้สิกนั่งลงกับเตียง เอามือทั้งสองข้างปิดหน้าด้วยความเครียด ผมยืนแตะไหล่ปลอบมันอยู่ข้างๆ
เราสองคนได้กลับมาคุยกันอีกครั้งเพราะเหตุการณ์นี้ เคมีที่ถูกทำแผลเรียบร้อยแล้วขอตัวกลับไปเรียนก่อนเพราะมีวิชาหนึ่งควิซในคาบ ในห้องพยาบาลจึงมีผมกับสิกสองคน
ผมเปลี่ยนมานั่งข้างๆ มัน ไอ้สิกเหลือบมองดูแผลที่ศอกของผมก่อนที่หยิบกล่องปฐมพยาบาลและก็ค่อยๆ บรรจงล้างแผลให้
“ที่พวกมันขอให้กูกับเคมีถอดกางเกง บางทีพวกมันอาจจะแค่อยากดูขนาดเจี๊ยวเราทั้งคู่ก็ได้นะ” ผมตลกแก้เก้อ จริงๆ แล้วผมเองก็ช็อกกับเหตุการณ์นี้มากครับแต่ผมแสดงออกมากไม่ได้ ตอนแรกผมอยู่ต่อหน้าน้องเคมีผมจำเป็นต้องเข้มแข็ง ส่วนตอนนี้ผมอยู่ต่อหน้าไอ้สิกที่กำลังโกรธ ผมไม่อยากแสดงออกว่าผมช็อกน่ะ
ไอ้สิกไม่ขำกับผม “กูไม่ตลกนะฟืน”
“...”
“ครั้งนี้กูต้องขอบใจไอ้พี่ดิน”
ผมมองมือที่มันกำลังทำแผลให้ผมก่อนที่จะทอดถอนใจ
“ทำไมมึงถึงโดดเรียน” สิกถาม
เพราะมึงไงล่ะวะไอ้สัด ผมอยากจะพูดเต็มแก่แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูด
“กูเดินหามึงไปทั่วเลย แต่ที่เดียวที่กูไม่หาก็คือตึกม.6”
ตึกม.6 จะอยู่ใกล้ๆ กับร่มไม้ที่ผมไปนอนเล่นในวันนี้ครับ
“เพราะงั้นที่ๆ มึงอยู่ก็คือตึกม.6 งั้นสินะ”
“เออ ร่มไม้ที่คนชอบมานอนเล่นเวลาโดดเรียนอ่ะ”
“ถ้ามึงไม่ไปอยู่แถวนั้นก็คงไปช่วยน้องกูไม่ทัน”
“...”
“ขอบใจมากนะ”
“หึ ไม่เป็นไร” ผมพูดจากใจ
“กูขอบคุณจริงๆ นะเว่ย”
“เออ ไม่ต้องพูดหลายครั้งก็ได้”
“...”
“กูรู้ว่ามึงห่วงน้อง” ผมพูด “ถ้าน้องมึงเป็นอะไรไปมึงคงทุกข์ใจ กูก็เลย...”
“...”
“กูแค่อยากเห็นมึงสบายใจอ่ะ”
มันคือความจริงจากใจของผม ไอ้สิกชะงักนิ่งพลางมองมาที่ผมด้วยสายตาสื่อความหมาย ผมเลือกที่จะเสมองไปทางอื่น
“เราจะกลับไปเงียบใส่กันอีกครั้งแล้วใช่มั้ยวะ” ไอ้สิกรำพึง
“คงต้องเป็นงั้นแหละ”
“กู...”
มือเรียวยาวของไอ้สิกเอื้อมมาแตะมือผมเบาๆ ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นนั้นของมันจนไม่อยากขยับมือออกไปไหน
ในมือของผมมีโน้ตการ์ดหนึ่งแผ่นตอนที่มันเอามือออกไปอย่างเชื่องช้าและอาลัยอาวรณ์
โน้ตการ์ดใบที่ 10
กูคิดถึงมึง คิดถึงมึงมากๆ เลย tbc*ต้องผ่านมันไปให้ได้นะ
ปล.ต้นฉบับเรื่องนี้ผ่านแล้วนะคะ
ปีหน้าหนังสือจะออกค่าาา ฝากอุดหนุนด้วยย <3