ตอนพิเศษ ‘ปีใหม่เมื่อปีก่อน’
คืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับวันปีใหม่คนส่วนใหญ่เขาทำอะไรกันครับ
ถ้าจะถามเด็กม.4 ที่กำลังจะขึ้นม.5 อย่างผมคงตอบอย่างรวดเร็วทันใจเลยว่าต้องไปกินดื่มกับเพื่อนดิ แต่ทว่าปีนี้นั้นผมกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะครอบครัวของผมชิงจองตั๋วให้ผมไปเที่ยวเกาหลีใต้ด้วยไว้แล้ว ไปกันหมดทั้งเครือญาติอ่ะครับ มันทำให้ผมไม่สามารถไปกินดื่มกับเพื่อนได้ ต้องกลายเป็นผู้ช่วยถือของให้คุณแม่ ขณะทีท่านนั้นช้อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน
สำหรับผมแล้ววันปีใหม่แบบนี้จะมีค่าก็ต่อเมื่อได้อยู่กับเพื่อนครับ แต่ปีนี้ผมแม่งพลาดจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในประเทศที่อากาศหนาวมากจนแทบอยากจะฟินจนเหาะสำหรับเด็กไทยอย่างผม และยังมีอาหารตาที่ทั้งขาวและก็สวย แต่เชื่อป่ะว่าผมกลับไม่ได้สนุกเอาเสียเลย
อยากกลับไปหาเพื่อนโคตรๆ
ระหว่างที่ผมกับพ่อ (ผู้ช่วยถือของให้แม่เบอร์หนึ่ง) กำลังรอแม่เลือกซื้อเครื่องสำอางอยู่นั่นเอง เสียงแจ้งเตือนไลน์ของผมก็ดังขึ้น พ่อเป็นคนพกพ็อกเก็ตไวไฟครับ พวกเราแชร์กันสามคนพ่อแม่ลูก ส่วนญาติคนอื่นๆ เขาก็มีของเขาอีกทีหนึ่ง
คนที่ทักมาคือไอ้สิก
เห็นแล้วดีใจจนอยากจะร้องไห้ กูไม่คิดว่ากูจะคิดถึงมึงได้มากขนาดนี้จริงๆ เพื่อน แค่เห็นชื่อมึงกูก็น้ำตาจะไหลแล้วอ่ะ
PHYSICS : ฟืนมึงทำห่าอะไรอยู่วะ
PHYSICS : เงียบเลยนะสัด
ถ้าจะพิมพ์ตอบไปว่าดีใจที่มันทักมามากก็กลัวมันจะหาว่าผมเสี่ยว ผมก็เลยถ่ายรูปมยองดง ที่ๆ ผมอยู่ส่งไปให้ไอ้สิกดู มันคงเปิดหน้าจอสนทนาผมทิ้งไว้น่ะครับ เพราะส่งปุ๊บก็ขึ้นว่า Read ปั๊บ
FUEN : * Photo *
FUEN : รอแม่ช้อปว่ะ PHYSICS : เหยดเข้ คนเยอะมากกกกก
FUEN : กูก็ว่างั้น หนาวจนไข่สั่นแบบนี้ทำไมไม่นอนอยู่โรงแรมวะ ออกมาช้อปปิ้งกันทำไม
PHYSICS : ไข่มึงสั่นเหรอ? ผมอมยิ้มขณะที่พิมพ์ตอบมัน
FUEN : บ้านมึง กูพูดเพื่อให้มึงเห็นภาพว้อย
PHYSICS : กูก็เสือกบ้าจี้นึกภาพตาม
PHYSICS : อืมมม...
FUEN : อะไรของมึง
PHYSICS : เปล่า
PHYSICS : ที่นู่นกี่โมงแล้ววะ
FUEN : ใกล้จะสองทุ่มแล้ว เดี๋ยวกูกำลังจะกลับโรงแรม
PHYSICS : ไม่ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนต่อเหรอวะ
FUEN : ก็อยากไปอ่ะ ไม่มีเพื่อนไป
PHYSICS : พ่อกับแม่ไง
FUEN : มึงก็รู้พวกท่านนอนไว
FUEN : แล้วมึงทำไรอยู่วะ
PHYSICS : แดกข้าวกับเชี่ยซุปเชี่ยทีน
PHYSICS : รอไอ้ตังกับไอ้อ๊อฟ ว่าจะไปร้านพร้อมกันอ่ะ
PHYSICS : ไม่รู้พวกแม่งทำห่าเหวอะไรอยู่ สงสัยมัวแต่แต่งตัวเพราะรู้ว่าเชี่ยเนมชวนหญิงมาเยอะ เมื่อผมอ่านแล้ว ผมก็รู้สึกอยากวาร์ปกลับกรุงเทพฯ แทบจะในทันที ตอนนี้ที่ไทยคงจะใกล้หกโมงเย็น และพวกเพื่อนๆ ก็กำลังรวมตัวกันเพื่อจะไปร้านที่ไอ้เชี่ยเนม เสี่ยประจำห้องสามเหมาเอาไว้ (มันใช้เส้นพ่อ) ได้ข่าวมาว่ามันเล่นชวนสาวๆ มาหมดและก็บอกให้เพื่อนๆ ชวนสาวๆ ที่รู้จักกันมาให้หมดด้วย บอกเลยว่าต้องมีของเด็ดเต็มร้านจนกว่าจะถึงย่างเข้าสู่วันที่ 1 มกราคมอย่างแน่นอน
โอยยยย กูมาทำอะไรที่นี่วะ!
ผมมองดูแม่ที่ยังคงลังเลกับการเลือกสีลิปสติก ก่อนที่จะตัดสินใจคอลไลน์ไปหาไอ้สิก มันรับไวมากครับ
[ไง]
“กูอยากกลับไทยแล้วว่ะ” เสียงของผมโอดครวญใกล้เคียงออดอ้อน
[ดูทำเสียง เป็นเหี้ยไร อยู่เกาหลีไม่มีของดีให้มึงส่องหรือไง]
“มันก็มีอ่ะ แต่อยากอยู่กับพวกมึงมากกว่า วันนี้พวกมึงคงสนุกน่าดูเลย”
ไอ้สิกขยับโทรศัพท์ให้ไอ้เชี่ยทีนกับไอ้เชี่ยซุปเยาะเย้ยผมเต็มที่จนกระทั่งมันกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง
[ฮ่าๆๆ]
“พ่องตาย นี่มึงรักกูบ้างป่าววะเนี่ย กูเพื่อนมึงนะ”
[รักดิ]
คำพูดง่ายๆ ของมันทำเอาผมไปต่อไม่ถูกเลย อาจเป็นเพราะเสียงทุ้มๆ ของไอ้สิกที่พูดคำนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยมแบบแปลกๆ ด้วยมั้ง
“เอ่อ...”
[ถามห่าไรของมึง]
“กูแย่มากเลยสิก ตอนนี้อาการกูกำลังแย่”
[เป็นอะไร] เสียงไอ้สิกดูเอาใจใส่มากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการพูดไปเคี้ยวไปก็ตาม
“กู...เหงา”
[เหงาอะไรว้า]
“ก็เหงาอ่ะ”
[ไปเที่ยวน่าสนุกจะตาย กูเนี่ยดิที่ต้องเหงา]
“มึงยังกล้าใช้คำพูดว่ามึงเหงาอีกเหรอ”
[มึงทิ้งกูไปเที่ยวนะ]
“แต่มึงได้อยู่กับเพื่อนเยอะแยะ”
[เพื่อนคนไหนจะเหมือนมึงวะ]
แม่เลือกลิปสติกเสร็จแล้วและกำลังเดินยิ้มออกมาจากร้าน ผมจึงรีบบอกไอ้สิกว่า
“เดี๋ยวไว้คุยกันนะ แม่กูเสร็จแล้ววะ”
[เออ]
ผมกลับไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยถือของเบอร์สองให้แม่อีกรอบ เราสามคนพ่อแม่ลูกเดินกลับโรงแรมที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแหล่งช้อปปิ้งเท่าไหร่นัก ท่านทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็นอาการคอตกของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านทั้งสองเป็นคนให้ความสำคัญบางอย่างในช่วงเทศกาลครับ อย่างปีใหม่นี่ก็ให้ความสำคัญเรื่องการรวมญาติ แต่ไม่ให้ความสำคัญเรื่องการเคาท์ดาวน์ พวกท่านบอกว่ามันดึกและก็ง่วง ไม่เหมือนผมที่อยากเคาท์ดาวน์และก็ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ มาก
วันส่งท้ายปีเก่าปีหน้า ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะอยู่กับเพื่อน
เพราะพ่อแม่เริ่มสังเกตว่าผมดูเหี่ยวๆ เฉาๆ มั้ง ทั้งสองก็เลยอนุญาตให้ผมมาเดินเล่นแถวๆ ที่พักได้ ผมคอลไลน์ไปหาไอ้สิกอีกครั้งหนึ่ง (พกพ็อกเก็ตไวไฟออกมาด้วย) คราวนี้มันใช้เวลานานมากกว่าจะรับสาย
[เออ]
ดูมันรับสายสิครับ
“เพิ่งเดินออกมาจากโรงแรม”
[ออกมาทำซากอะไร กลับเข้าไป]
“ทำไมต้องดุวะ”
[ก็มึงออกมาคนเดียวไม่ใช่เหรอ]
“รู้ด้วย”
[รู้ดิ ญาติๆ มึงมีแต่ลุงๆ ป้าๆ เขาคงอยากนอนกันหมดแล้ว ไม่เหมือนมึง]
เป็นเรื่องที่น่าช้ำใจอีกเรื่องหนึ่งในทริปนี้ครับ ญาติที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมไม่ยอมมากันสักคน ผมก็เลยเป็นวัยรุ่นคนเดียวท่ามกลางญาติผู้ใหญ่
[กลับเข้าไปแล้วก็ไปนอนซะ]
“บ้าเหรอ วันแบบนี้ทั้งทีนะเว่ย”
[มันก็เหมือนทุกวันอ่ะ]
“ไม่เหมือนดิ”
[โอเค ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน]
“มึงทำไรอยู่” ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายรอบๆ ตัวมันด้วย
[อยู่บ้านเนม รอเวลา]
แม่งเอ๊ยยยยย โคตรอิจฉา
[มีสาวๆ มาด้วยว่ะ]
“มาบ้านเชี่ยเนมอ่ะนะ” ผมร้อง
[ช่าย เพื่อนๆ มัน]
“กี่คน”
[ห้า]
“บ้าไปแล้ว”
[เดี๋ยวมีมาอีก]
“บ้าที่สุด”
[ฮ่าๆๆ อิจฉาอ่ะดิ]
“โคตร!”
[กลับมาสิครับ]
“ให้กูหายตัวไปเหรอ”
[ทำได้ป๊ะล่ะ]
“ทำไม่ได้”
[อยากให้ทำได้จังเลย]
“ตลกแดกละ”
[ไม่มีมึงแล้วมันแปลกๆ ว่ะ นี่กูนั่งว่างๆ อยู่ โคตรเหงาเลย]
เมื่อไหร่แม่งจะเลิกพูดคำว่าเหงาสักทีวะครับ คนที่ควรพูดก็คือผมคนนี้ ไม่ใช่มันสิ
“ก็ส่องสาวไปดิ”
[เขากำลังส่องกูเนี่ย]
“โม้สาด” ผมเดินมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย อีกไม่นานร้านรวงแถวนี้ก็คงปิดแล้ว
[มึงคิดว่ากูโกหกจริงๆ เหรอ]
ผมนิ่งคิดแป๊บหนึ่งก่อนตอบ “เออ มึงพูดจริงนั่นแหละ แต่กูไม่อยากยอมรับ”
[ฮ่าๆๆ กูหล่อมากอยากให้มึงรู้]
“กูรู้แล้ว”
[ไหนลองชมกูดิ๊]
“เป็นบ้าเหรอ”
[อยากโดนมึงชมบ้างสักครั้ง]
“เฮ้ยยยยยยยย” ผมร้องเมื่อสายตาของผมไปเจอบางสิ่งบางอย่างเข้า “รองเท้าที่มึงอยากได้อ่ะ!”
[หา]
“ไอ้รุ่นที่ร้านพรีหาไม่ค่อยได้อ่ะ เนี่ย มันกำลังอยู่ในร้านที่กูกำลังมอง”
[มึงเข้าไปดูดิ๊]
เสียงไอ้สิกดูตื่นเต้นขึ้นมา ผมเดินเข้าไปในช้อปร้านขายรองเท้าแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี ผมถามพนักงานเป็นภาษาอังกฤษว่ามีไซส์ 43 มั้ย ในขณะที่มือผมยังคงเอาโทรศัพท์แนบหูอยู่
[จำไซส์รองเท้ากูได้ด้วย]
“ทำไมจะจำไม่ได้ กูไปซื้อรองเท้ากับมึงบ่อยจะตาย”
[เผื่อตีนกูใหญ่ขึ้นทำไง]
“สี่วันที่แล้วมึงซื้อคอนเวิร์สไซส์ราวๆ นี้ อย่ามาพูดมาก”
ผมเอียงคอออกมาจากโทรศัพท์เพราะต้องคุยกับพนักงาน เขาถามผมว่าอยากได้สีไหนระหว่างดำกับขาว ผมก็เลยตอบไปว่าดำ เพราะสิกมันอยากได้สีนี้
[ภาษาอังกฤษมึงง่ะ] ทันทีที่โทรศัพท์แนบหูผมอีกรอบ ไอ้สิกก็พูดแบบนี้
“ทำไม” มันจะพูดให้ผมเสียเซลฟ์มั้ยเนี่ย แต่พนักงานก็ฟังรู้เรื่องนะ เขากำลังไปหาให้ผมอยู่
[น่ารักดี]
“วันนี้มึงแปลกๆ นะเนี่ย คุยเหมือนจีบกูเลย”
[อ้าวเหรอ ฉิบหายละ!]
“มึงดูตกใจไปนะ”
[สงสัยกูคิดถึงมึงมากเกินไปหน่อย]
วันนี้มันเมาตั้งแต่หัวค่ำหรือเปล่าวะ ผมคิดในใจก่อนที่จะมองดูพนักงานถือรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมเบอร์ 43 สีดำที่ไอ้สิกอยากได้มาให้ผมดู ไอ้เหี้ย สวยโคตรรรร
“มีว่ะสิก ตกลงมึงเอาป่ะเนี่ย”
[เอาๆๆ มึงหิ้วไหวมั้ย]
“แม่กูเตรียมซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเยอะแล้วล่ะ ช้อปหนักขนาดนั้น”
[กูรบกวนหน่อยนะ เดี๋ยวกลับไทยกูคืนตังค์ให้]
“อืมๆๆ”
[สีดำกับสีขาวมึงว่าสีไหนสวยกว่ากัน]
ไอ้สิกยิงคำถามต่อ ผมมองดูรองเท้ารุ่นเดียวกันที่มีสีขาวสลับกับสีดำในมือของพนักงาน
“มันสวยทั้งคู่เลยว่ะ”
[แล้วมึงชอบสีไหนมากกว่ากันล่ะ]
“มึงจะซื้อสีดำไม่ใช่เหรอ”
[กูถามมึงอยู่เนี่ย]
“ถ้าจะให้กูเลือก กูเลือกสีขาวนะ กูเป็นคนใส่กางเกงสีเข้ม เสื้อสีอ่อน ถ้าเลือกสีดำมันคงกลืนไปกับกางเกงกูอ่ะ”
[อืม งั้นเอาสีขาวอีกคู่หนึ่ง]
“เดี๋ยวๆ อะไรของมึง”
[จะซื้อให้เคมอ่ะ สไตล์มึงกับเคมคล้ายๆ กัน]
“คล้ายตรงไหนวะ”
ผมเคยเห็นน้องชายไอ้สิกหลายครั้ง ทุกครั้งที่ผมเห็น น้องมันแต่งตัวแนวคุณชาย ไม่ใช่แนวสตรีทอย่างผมกับไอ้สิกสักหน่อย
[เถอะน่า อีกคู่มึงหิ้วไหวใช่ป่ะ]
“ได้ๆ”
[ตังค์พอนะ]
“เอาบัตรพ่อมาด้วย”
[กูฝากหน่อยนะเพื่อน]
“เคมีใส่ไซส์อะไรวะ”
[42]
“ทำไมตีนเคมีใหญ่จัง”
[ก็น้องกูเป็นคนตีนใหญ่]
ผมพูดกับพนักงานว่าอยากได้รองเท้ารุ่นนี้สีขาวเบอร์ 42 อีกคู่หนึ่ง พนักงานก็วิ่งไปหลังร้านพร้อมๆ กับหยิบออกมาให้ เขาบอกว่าเหลือสีขาวไซส์นี้เป็นคู่สุดท้าย เหมือนกับสีดำไซส์ 43 ของไอ้สิก
ช่างเป็นคู่พี่น้องที่โชคดีจริงๆ
ในที่สุดผมก็ออกมาจากร้านพร้อมๆ กับถุงใส่กล่องรองเท้า 2 กล่อง การที่ผมถือถุงรองเท้าแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกอยากซื้อไว้เป็นของตัวเองบ้าง
[เดี๋ยวอีกสักพักจะไปร้านแล้วนะ]
“อืม” ผมยังคอลไลน์กับไอ้สิกอยู่ครับ
[เสียงดูเศร้าลงไปเลย]
“ก็เศร้าดิ กลับโรงแรมไปกูก็ยังไม่ได้นอนอ่ะ”
[มึงจะทำอะไร ดูหนังโป๊เหรอ]
“บ้านมึงดิสัด”
[ลืมไปว่าอยู่กับพ่อแม่]
“พ่อแม่อยู่อีกห้องเว่ย”
[นั่นไง จะดูจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย]
“ไม่ใช่”
[ฮ่าๆๆๆ
(สิกไปไงอ่ะ)]
เสียงที่แทรกเข้ามาคือเสียงของผู้หญิงครับ
[แป๊บนะ...] มันกระซิบกับผมก่อนจะคุยกับอีกฝ่าย แต่ผมก็ได้ยินเสียงมันอยู่ดี [ ...ไปกับพวกตังกับอ๊อฟไง...รถว่างเหรอ เดี๋ยวรอดูพวกเพื่อนก่อนนะ...ต้องไปกับเพื่อนดิ ฮ่าๆๆ]
แหม ร่าเริงจริงนะ ได้คุยกับผู้หญิงอ่ะ! ผมเรียนชายล้วนมาทั้งชีวิตครับ การได้คุยกับผู้หญิงในวัยเดียวกันบางทีมันก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เหมือนกัน ไอ้สิกคงชินแล้วเพราะมันเป็นคนมีหญิงเยอะ น้ำเสียงของมันที่ปลายสายจึงชิลๆ สบายๆ แต่ถ้าเป็นผมคงมีตะกุกตะกักบ้างล่ะ
[เป็นไงล่ะ] สิกกลับมาแล้ว [หน้าแบบนี้มีสาวอยากไปส่งนะครับ]
“โม้จังวะ!”
[โมโหด้วย หึงเหรอวะ ฮ่าๆๆ]
“กูอิจฉาต่างหาก!”
[คำว่าบุญวาสนานะเพื่อนนะ
(ไปยังเชี่ยสิก) เออๆ...กำลังจะออกแล้วนะ]
“อืม ขอให้สนุกนะ”
[อย่าหงอยดิ]
“อื้มมมม”
[สี่ทุ่มที่นี่คือเที่ยงคืนของที่นู่นใช่ป่ะ]
“เออ”
[มึงจะเอาปีใหม่ของประเทศไหน ไทยหรือเกาหลี]
“อะไรของมึงวะ”
[กูจะโทรหาไง]
“บ้า ไม่ต้อง ตอนนั้นมึงคงเมาไปแล้วมั้ง”
[กูให้มึงคิดก่อนพูดอีกที]
เชี่ยสิกมันเมายากนี่หว่า...
“จะโทรมาจริงเหรอ”
[ก็เออดิ ต้องสวัสดีปีใหม่เพื่อนรักดิวะ]
“...”
[เดี๋ยวสี่ทุ่มไทยกูคอลหานะ]
สายตัดไปแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าไอ้สิกมันจะคอลมาหาผมมั้ย
แต่เชื่อป่ะว่ามันกลายเป็นสิ่งที่ผมรอคอยนับตั้งแต่วินาทีนั้น
[ มีต่อนะคะ ]