บทที่ 4
เนื่องจากระยะทางของธนาคารที่พวกเขาจากมากับตัวที่พักไกลกันค่อนข้างมาก กว่าจะกลับมาถึงเอลเลียตก็คอพับคออ่อน หลับไปหลายตื่นระหว่างอยู่ในรถ แถมยังเสียเวลาตรงที่คีลต้องแวะไปที่สำนักงานเพื่อให้คนในทีมตรวจสอบเจ้ากล้องวงจรปิดตัวจิ๋วที่ได้มา นั่นแหละถึงจะยอมกลับที่พักได้เสียที
เมื่อมาถึงห้องพักแล้วเจ้าตัวก็สะโหลสะเหลไปอาบน้ำทันที นึกสรรเสริญเจ้าหน้าที่หนุ่มที่พอถึงบ้านแล้วก็ยังเปิดแล็ปท็อปขึ้นมานั่งทำงานต่อ นี่ขนาดหมอนี่เป็นคนขับรถด้วยนะ… เหยียบคันเร่งสลับกับเบรกตั้งหลายชั่วโมง ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ พวกตำรวจนี่เป็นสายพันธุ์อึดแบบนี้กันทุกคนรึเปล่าเนี่ย
เอลเลียตออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น แต่สีหน้าก็ยังดูอ่อนล้าอยู่ เจ้าตัวเดินไปประชิดร่างสูงที่ยังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับงาน โน้มหน้าลงไปเพื่อมองหน้าจอให้ถนัด ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้คีลชะงักไปเล็กน้อยเพราะกลิ่นแชมพูสระผมอ่อนๆ ที่ลอยมาแตะจมูก
คนผมดำขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะหันกลับไปหาคนที่ก้าวเข้ามา “นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณเตรียมจะนอนแล้ว”
“อ้าว” คนที่เตรียมตัวพักผ่อนเต็มที่กะพริบตาปริบๆ “ก็… นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่ครับ เราจะไม่นอนกันเหรอ”
“จะไม่ลองพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองหน่อยเหรอครับ”
“โอ๊ย พรุ่งนี้ก็ได้มั้งคุณ” นี่คนนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ จะได้ทำงานได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่พอเห็นสายตาวับๆ เหมือนจะบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเกินความจำเป็น แถมการทำงานนี่มันก็งานหลักเขาเอลเลียตก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งดูวิดีโอทั้งหมดแบบสรุปรวบยอดอีกครั้ง
ผ่านไปได้ครู่ใหญ่ หลังจากที่เพ่งมองหน้าจออยู่นาน อยู่ๆ เอลเลียตก็บอกให้คีลหยุดวิดีโอชั่วคราวแล้วชี้ไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสองคนของทีมช่างซ่อมเก๊ มีรอยสักลวดลายบางอย่างโผล่พ้นขึ้นมาจากแขนเสื้อของชายคนนั้น จากนั้นเจ้าตัวก็ยกยิ้มอย่างผู้ชนะทันที
“ทำไมเหรอคุณ” คีลเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“ผมรู้จักหมอนี่”
“คุณว่าไงนะ”
“ก็ก่อนที่คุณะจับผมเข้าคุก คุณคิดว่าผมเป็นใครล่ะ ผมคืออายออฟไอเดนนะ เส้นสายผมมีเพียบ เอาจริงๆ วงการนี้มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมากหรอกนะคุณ”
“แปลว่าคุณเคยร่วมมือปล้นธนาคารกับเขามาก่อนงั้นเหรอ”
“ช่าย” น้ำเสียงภาคภูมิใจนั่นทำเอาคีลขมวดคิ้วมุ่น
“ผมนึกว่าคุณบอกรายชื่อคนในทีมทั้งหมดมาให้เราแล้วซะอีก”
นั่นแหละพ่ออาชญากรตัวแสบถึงได้สะดุ้งเฮือกแล้วหลบตาเขาไปอีกทาง
เผลอลดการ์ดลงตอนอยู่กับหมอนี่มากไปหน่อย… ฉิบหายล่ะไง
“ก็… ก็… แบบ พวกผู้ประสานงานไรงี้ คราวก่อนๆ เขาไม่ได้เข้าร่วมทีมด้วยจริงๆ จังๆ หรอกนะ”
“เมื่อกี้คุณบอกว่าเขาร่วมมือด้วยนี่”
โอ๊ย ให้ตาย ไอ้เอล จบงานนี้ไปจะจับปากตัวเองฟาดรัวๆ พูดนี่ไม่ได้ระวังอะไรเล้ย…
“เทย์เลอร์” เสียงเย็นเฉียบจนน้ำแข็งแทบจะเกาะตามตัวเขาได้แล้วเนี่ย
“คือ… ง่า เอาเป็นว่าผมขอโทษเรื่องนั้นแล้วกัน” ว่าพลางลุกขึ้นพรวด “แต่ตอนนี้ผมก็กำลังบอกคุณอยู่นี่ไง และเราก็กำลังจะรวบตัวเขาด้วยกันไม่ใช่เหรอ คุณอย่าดุผมนักได้ไหม แค่นี้ผมก็กลัวคุณหัวหดจะแย่แล้ว”
คีลไม่พูดอะไรตอบ อันที่จริงเขาไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไรหรอก เป็นเรื่องธรรมดาของพวกคนร้ายอยู่แล้วที่จะไม่คายข้อมูลหรือความผิดของตัวเองออกมาทั้งหมดถ้าไม่ถูกเค้นให้ตาย เพียงแต่เขาแค่อยากทำให้หมอนี่ระแวงไปงั้นเอง
"คุณกลัวผมด้วยเหรอ" คนผมดำว่าเสียงเรียบ "เท่าที่อยู่ด้วยกันมานี่ ผมไม่เห็นรู้สึกงั้นเลย แค่ความเกรงใจยังไม่มีให้เห็น"
"พูดได้ดี" คนผมน้ำตาลพูดด้วยท่าทียียวนชนิดกินขาด "แต่อย่าถือสาผมนักเลย คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมขอตัวไปนอนก่อน ตาจะปิดอยู่แล้ว ในคุกนั่นเขาปิดไฟหลังสี่ทุ่มห้าทุ่มแล้วนะ ทำเอาผมกลายเป็นเด็กอนามัยไปเลย ส่วนเรื่องไอ้หมอนี่ไม่ต้องห่วง ผมมีแผนเด็ดๆ ในหัวแล้ว แต่เราจะมาคุยกันตอนผมตื่น ตกลงไหม คุณเองก็ควรไปนอนได้แล้ว ขอบตาดำไปถึงแก้มแล้วนั่น ราตรีสวัสดิ์คุณสายสืบ"
คีลได้แต่ถอนหายใจเฮือกขณะมองแผ่นหลังของคนชอบทำอะไรตามอำเภอใจผลุบหายเข้าห้องไป นี่เบื้องบนต้องไม่พอใจอะไรเขาแน่ๆ ถึงได้โยนหมอนี่มาอยู่ในการดูแลของเขาแบบนี้
หาก... ลึกๆ ลงไปในใจแล้วคีลก็ต้องยอมรับ ว่าแท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เกลียดการทำงานกับเทย์เลอร์ขนาดนั้นหรอก
...
เสียงเปิดประตูแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความมืด ร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอ ตาทั้งสองข้างหลับพริ้มอย่างคนที่จมอยู่ในห้วงนิทรา เสียงฝีเท้าของร่างสูงก้าวเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตื่น
ความเงียบโรยตัวเข้ามาขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองใบหน้าของเทย์เลอร์ นัยน์ตาคู่นั้นยังคงอ่านยากเหมือนอย่างเคย จากนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ค่อยๆ ห่างออกจากเตียงไป ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องที่เบาไม่แพ้กัน
เอลเลียต เทย์เลอร์ยังคงหลับตาอยู่แบบนั้นอีกครู่หนึ่งอย่างไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ตรงหน้าเขาไหม และเมื่อแน่ใจว่าคีลออกไปจากห้องแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าก็ค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมาจนตัวเองยังต้องตกใจ
นี่เมื่อกี้หมอนี่มองเขา? คีลเดินเข้ามาในห้อง แถมยังมาหยุดดูเขานอนบนเตียงด้วยเนี่ยนะ?
อันที่จริงเอลเลียตรอให้คีลเข้ามาเช็กเขาอยู่แล้ว เพราะเมื่อคืนก่อนเจ้าตัวจะเข้านอน สายสืบหนุ่มก็แอบเปิดประตูเข้ามาเช็กว่านักโทษของตัวเองหลับดีอยู่รึเปล่า แต่เมื่อคืนหมอนั่นแค่หยุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้ก้าวเข้ามาถึงในห้อง แล้วคืนพรุ่งนี้จะเป็นไงล่ะ จูบราตรีสวัสดิ์เขาเลยไหม
เอลเลียตใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการจินตนาการเพ้อเจ้อไปว่าถ้าพวกเขาสองคนจูบกันขึ้นมาจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร มันคงจะดีไม่น้อย และเขาเองก็นึกอยากเห็นหน้านิ่งๆ แบบนั้นตอนที่เคลิ้มไปกับสัมผัสที่เขามอบให้... แล้วให้ตาย ตอนที่หมอนั่นยกยิ้มเยาะแม่งเป็นอะไรที่น่าขยี้มาก ระหว่างที่ยังอยู่ด้วยกันแบบนี้เขาจะมีโอกาสสักครั้งไหมนะ
หลังจากที่อารมณ์ปรารถนาเริ่มสงบลง เอลเลียตก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับสูดหายใจเฮือกแรงๆ เพื่อดึงสติของตัวเองกลับมา เขาเข้าใจตัวเองดีว่าการไปอยู่ในคุกและไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลยคงทำให้เก็บกดไม่น้อย แต่นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาคิดเรื่องแบบนั้น รวมถึงคนที่เขาต้องการก็ไม่ใช่บุคคลที่เขาควรจะถลำลึกลงไปด้วยมากถึงขนาดนั้น
เอลเลียตเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือแบบใช้แล้วทิ้งที่เขาแอบซื้อมาตอนที่คีลไม่ได้คุมแจเขา อันที่จริงเขาเองก็มีช่วงเวลาส่วนตัวของตัวเองไม่น้อยหรอก แถมไอ้แถบโค้ดที่รัดติดข้อเท้าคงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นวางใจไม่น้อย
นิ้วเรียวเริ่มกดหมายเลขโทรศัพท์ที่เขาจำได้ขึ้นใจในหัว แนบโทรศัพท์และรอฟังสัญญาณที่ดังขึ้น ปลายสายตอบรับเขาในกริ่งที่สี่
"ฮัลโหล สวัสดีครับ"
"ไง เทลออฟอดัมส์" เขาว่าเมื่อแน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นของคนที่เขาต้องการจะต่อถึงแน่ๆ "ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ"
ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งราวกับกำลังประมวลผล "อายออฟไอเดน"
"คิดถึงกันบ้างรึเปล่า ที่รัก"
"อันที่จริงก็ไม่นะ" คำพูดนั้นเย็นชาไม่น้อยเมื่อคิดว่าพวกเขาสองคนเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาก่อน "แล้วนี่นายโทรมาจากไหน เอาโทรศัพท์อะไรโทร ปลอดภัยรึเปล่า"
"โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งน่ะ ปลอดภัยแน่ไม่ต้องห่วง"
"ฉลาดดี ทุกอย่างเป็นไงบ้าง"
"นายก็น่าจะรู้ดีว่าเป็นไง อย่ามัวเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระเลย บอกฉันมา ลีโอ นายปลดแถบติดตามตัวที่รัดข้อเท้านักโทษได้ไหม"
"อย่าเรียกชื่อฉัน" ปลายสายว่าเสียงขุ่นทีเดียว "ส่วนเรื่องแถบรัดข้อเท้า ถ้าได้เวลาสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา"
"เคยทำมาก่อนหรือเปล่า"
"เคย"
"ครึ่งชั่วโมงเลยเหรอ" เอลเลียตยกแตะคางอย่างคิดหนัก ถ้าเขาต้องหนีจากพวกตำรวจแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ครึ่งชั่วโมงเลย นาทีเดียวก็มีค่า "เร็วกว่านั้นไม่ได้แล้วหรือไง"
"ครึ่งชั่วโมงก็เต็มที่แล้ว ไอเดน นายอย่าลืมสิว่าเราต้องสวมรอยโปรแกรมติดตามที่ว่านี่เป็นตัวล่อเข้าไปอีกต่อด้วย แล้วนี่จะเจอฉันเมื่อไหร่ ไม่นัดก่อนล่วงหน้าไม่ได้นะ"
"รู้อยู่แล้วล่ะน่า ลีโอ"
"บอกว่าอย่าเรียกชื่อไง"
"เฮ้ ฉันต้องการเงินเอาไว้หนีออกนอกประเทศ แล้วก็พาสปอร์ต นายจัดการให้ฉันได้ไหม"
"พาสปอร์ตถ้านายขอวันนี้ก็คงต้องรอสักหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่จัดการให้ได้ ส่วนเรื่องเงิน คงเตรียมไว้ให้นายได้สักแสน มาเอาพร้อมตอนที่จะถอดแถบรัดเลยก็ได้"
เอลเลียตคำนวณในหัวเร็วจี๋ แปลว่าเขาต้องหาทางเกาะติดกับคีลให้ได้จนกว่าพาสปอร์ตของปลอมจะมาถึงมือลีโอ แต่ชายหนุ่มคิดว่าเขาจัดการกับเรื่องนั้นได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ... เขาตงิดใจกับจำนวนเงินมากกว่า
"ฉันต้องการสองแสนห้า อดัมส์"
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังลอดมาให้ได้ยินก่อนลีโอจะตอบกลับมา "เต็มที่ได้แสนห้า ไอเดน พวกเราช่วยนายได้แค่นี้จริงๆ"
"ไม่ยุติธรรมเลย" ชายหนุ่มคราง "หลังจากทั้งหมดที่ฉันทำลงไปเนี่ยนะ? ไหนจะยังสองปีที่เข้าไปอยู่ในคุกอีก"
"เสียใจด้วย เบบี๋ แต่ถ้านายอยากให้ฉันใช้ปากทำให้เป็นค่าตอบแทนก็ได้นะ"
สาบานเลยว่าถ้าไอ้หมอนี่อยู่ตรงหน้า เขาจะยกเข่ากระแทกคางมันให้หน้าหงาย
"ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจมากนะ ลีโอ" เอลเลียตกัดฟันกรอด ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าครั้งหนึ่งเคยหลวมตัวคบกับหมอนี่เข้าไปได้ยังไง "แต่ค่าตัวนายไม่แพงขนาดนั้นหรอก เชื่อฉันเถอะ"
เทลออฟอดัมส์ไม่เอ็ดเรื่องที่เอลเลียตเรียกชื่อจริงตัวเองในครั้งนี้หากทำเสียงในลำคอเป็นเชิงเยาะเพราะคำพูดดูถูกของอีกฝ่าย
นี่ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหลายอย่าง ป่านนี้อาจจะฆ่ากันตายไปแล้ว
"ถ้าอยากได้เงินมากกว่านี้นัก นายก็ไปหาเพิ่มสิ" ลีโอพูดขึ้นมาในที่สุด "นายคืออายออฟไอเดนนะ รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องหาเงินยังไง"
"ฉันมีตำรวจหน้าดุนี่คอยตามติดตามอยู่ทุกฝีก้าว ขอบใจมากเลยนะ มันคงจะง่ายอย่างที่นายว่าแหละ"
คราวนี้ปลายสายระเบิดเสียงหัวเราะลั่นทันที "ไม่เอาน่า ไอเดน" เจ้าตัวว่า "ดูถูกตัวเองเกินไปรึเปล่า แค่ตำรวจคนเดียวทำอะไรนายไม่ได้หรอก นายก็พิสูจน์เรื่องนั้นแล้วด้วยการโทรมาหาฉันอยู่นี่ ไม่ใช่เหรอ?"
เอลเลียตไม่อยากจะเถียงกลับไปเลย ว่าไอ้การซื้อมือถือแบบใช้แล้วทิ้งหนึ่งเครื่องกับการหาเงินให้ได้อีกแสนถึงสองแสนน่ะ มันต่างกันมากแค่ไหน
“เอาเถอะ ไว้ฉันจะลองดู แต่พาสปอร์ตไม่เกินสองอาทิตย์ใช่ไหม”
“แน่นอน ไอเดน ฉันจะติดต่อนายได้ทางไหน”
“ไม่ต้องหรอก เสี่ยงเกินไป ฉันจะติดต่อไปเอง”
“นายคิดว่าจะถ่วงเวลาอยู่ข้างนอกนี่ได้นานพอก่อนจะได้พาสปอร์ตไหม ไอ้นี่มันหลายตังค์อยู่นะ เกิดเหมือนคราวก่อนที่นายเกือบจะสลัดหลุดไปได้แต่ดันโดนจับได้เสียก่อน เดี๋ยวก็ต้องเอาไปเผาทิ้งวุ่นวายอีก แถมเล่มหนึ่งก็แพงแสนแพง”
“รู้แล้วล่ะน่า” คนผมน้ำตาลพูดพร้อมกับเริ่มกัดเล็บ ข้อเสียอีกอย่างของเขาตอนคิดไม่ตก “ฉันว่าฉันถ่วงเวลาได้ ยังไงก็เร่งให้หน่อยแล้วกัน แล้วฉันก็ต้องไปหาเงินเพิ่มอีก ที่นายจะให้มันจะไปพอยาไส้อะไร”
“ก็ดี”
“ฉันอาจจะต้องทิ้งพวกของเราบางคน” พูดพลางนึกถึงชายหนุ่มรอยสักที่อยู่ในกล้องที่เขาเห็นวันนี้ ลีโอเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากถามต่อ
“นายจะทิ้งใคร”
“แจ็ค พอร์เตอร์”
“หมอนั่นเหรอ” พูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “อืม เป็นไพ่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมาก แต่หมอนั่นอยู่ในโลกมืดเต็มตัว พวกก็คงมีไม่น้อย แน่ใจนะว่าจะทิ้งใบนี้ นายอาจจะเดือดร้อนทีหลัง โดนพวกหมอนั่นเล่นงานเอาก็ได้”
“คำนวณไว้แล้วล่ะ แต่หมอนี่พลาดเองจริงๆ ที่สำคัญ ฉันเองก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้โชคดี แล้วฉันจะรอการติดต่อจากนาย อายออฟไอเดน” พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางหูไป ทิ้งให้นัยน์ตาสีฟ้าจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่เนิ่นนาน ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยอมแพ้ล้มลงไปนอนบนเตียง
คิดมากไปก็ปวดหัว ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองต้องการการพักผ่อนยิ่งกว่าคุณสายสืบคนนั้นเสียอีก
…
ทั้งคู่ไปที่สำนักงานเพื่อประชุมกับทีมของคีลแต่เช้า ครั้งนี้โจนาธาน ฟอร์ด ชายหนุ่มที่นั่งข้างโต๊ะของคีลเองก็อยู่ได้อยู่ในทีมเฉพาะกิจครั้งนี้เช่นกัน นอกจากนั้นก็มีคนจากแผนกอาชญากรรมอีกสองคนที่คีลเคยทำงานด้วยมาก่อนคนหนึ่ง อีกคนเคยเห็นหน้าผ่านๆ ในอาคาร
คีลสรุปข้อมูลในแฟ้มที่ได้มาจากทางเอฟบีไอ สรุปเรื่องความคืบหน้าที่เขากับเทย์เลอร์ได้มาเมื่อวาน จากนั้นลิลลี่ จอร์แดน หนึ่งในคนจากฝั่งคดีอาชญากรรมที่คีลมอบหมายเรื่องกล้องวงจรปิดตัวปัญหาไว้ให้ก็ก้าวขึ้นมาพูดเรื่องที่หล่อนได้จากการดูไฟล์ที่อยู่ด้านในพร้อมกับเปิดวิดีโอบางส่วนที่กล้องจับได้มาฉายให้ดู
“นี่ไง” เอลเลียตขอให้จอร์แดนหยุดวิดีโอเพื่อชี้ตรงบริเวณที่หมุนรหัสของตู้เซฟ “จากมุมนี้คือเห็นได้ชัดมากว่ารหัสตู้เซฟเป็นเลขอะไร ถึงตอนที่เจ้าหน้าที่คนอื่นมาทำจะโดนบังจนมองไม่เห็น แต่คราวนี้ชัดมาก ทีนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนี้ถึงได้ทำได้เนี้ยบขนาดนั้น”
“เราเจาะได้ไหมว่ากล้องนี่ส่งสัญญาณไปที่ไหน” คีลหันไปถามหญิงสาวที่ทำหน้าที่เรื่องกล้องดังกล่าวไปโดยปริยาย “ใครเป็นคนได้วิดีโอพวกนี้”
“ฉันจะจัดการเรื่องนั้นให้ค่ะ” หล่อนตอบคีลที่เป็นหัวหน้าทีมอย่างขึงขัง หากเอลเลียตส่ายหัว
“เสียเวลาเปล่าครับ มันผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ป่านนี้พวกนั้นก็ทำลายเบาะแสทิ้งไปหมดแล้ว ไม่มีทางที่พวกคุณจะสาวตามเก็บได้ทันหรอก”
เท่านั้นแหละคนผมน้ำตาลถึงได้สายตาเย็นชาปะปนมากับไม่พอใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสามคู่พร้อมกัน โอ้โห แค่คีลคนเดียวเขาก็สยองแล้ว
“ใช้แผนผมดีกว่า ผมบอกแล้วไงว่าผมรู้จักกับผู้ชายคนนี้ หมอนี่ชื่อแจ็ค พอร์เตอร์ ผมรู้วิธีติดต่อเขา ให้ผมสวมรอยไปล้วงข้อมูลจากหมอนี่ยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ วิธีการนี้ตรงประเด็นแล้วก็ชัดเจนที่สุดล่ะ หรือว่าพวกคุณไม่คิดงั้น?”
“แล้วเขาจะไม่แปลกใจเหรอคะว่าคุณออกมาจากคุกได้ยังไง ข่าวตอนที่คุณโดนโยนเข้าไปในนั้นน่ะ ไม่ใช่ข่าวเงียบๆ เลยนะ”
เอลเลียตตีหน้ายู่นิดหนึ่ง ไม่ชอบเลยไอ้คำว่าโดนโยนเข้าไปในคุกเนี่ย
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมก็แค่บอกเขาไปว่าตอนอยู่ในเรือนจำผมทำตัวดี ประพฤติดี ก็เลยได้ออกมาจากในนั้นเร็วก่อนกำหนดหน่อย” พูดพลางส่งยิ้มหวานให้อีกสามคนในที่ประชุม เน้นหนักที่คีลหน่อย “จะว่าไป… ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกหกเสียทีเดียว ถูกไหมครับ”
“คุณจะติดต่อเขาได้ยังไง” คีลทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มหวานหยดที่จงใจส่งมาให้เขาเป็นพิเศษ
เอลเลียตลุกออกจากเก้าอี้ล้อเลื่อน เหยียดแขนขึ้นบนเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ขอโทรศัพท์ให้ผมยืมสักเครื่องเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”
สามวันหลังจากนั้น
เอลเลียตอยู่ในชุดลำลองกึ่งทางการที่เขาย้ำนักย้ำหนากับคีลว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ และคนที่เป็นสายสืบซึ่งเคยปลอมตัวแฝงตัวเข้าไปเพื่อหาพยานหรือข้อมูลเพื่อสืบคดีมานักต่อนักอย่างเขามีหรือจะไม่รู้ เพียงแต่ไม่แน่ใจตอนที่เห็นเทย์เลอร์ดูมีความสุขเกินเหตุกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าติดแบรนด์ก็เท่านั้น อย่างว่าล่ะนะ คนที่ห่างหายโลกข้างนอกมาตั้งสองปี อะไรๆ ก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด
คีลขับรถมาส่งเจ้าตัวก่อนถึงที่หมายไปสองบล็อกเพื่อไม่ให้ฝั่งตรงข้ามผิดสังเกต ส่วนคนในอื่นในทีมเขาอยู่ถัดออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลคอยเป็นกำลังเสริมเผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
“คุณลองพูดอะไรดูซิ” คีลว่าขณะเลื่อนมือไปขยับหูฟังแบบบลูทูธที่ิติดหูอยู่ เอลเลียเลยพูดอะไรเป็นการทดสอบออกไปสองสามคำ “อืม คงไม่มีปัญหาอะไร คุณพร้อมนะ?”
“พร้อมมากๆ” ชายหนุ่มว่า กลบเกลื่อนอาการตื่นเต้นของตัวเองด้วยการทำตัวร่าเริงเกินเหตุ และใช่ว่าคีลจะดูไม่ออก
“ทำตัวเป็นธรรมชาติหน่อยคุณ ผ่อนคลาย อีกอย่าง เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ ใช่ และผมก็กำลังจะเอาเขาจับพานถวายใส่คุณอยู่นี่ไง เพื่อนจริงๆ”
ชายหนุ่มได้รับรางวัลเป็นรอยยิ้มจากคุณสายสืบในรอบนี้ “คุณกำลังทำเพื่อความถูกต้องต่างหาก”
“คุณว่าไงผมก็ว่างั้น เอาล่ะ ถึงเวลาไปกอบกู้โลกแล้ว” ว่าพลางเปิดประตูรถแล้วเดินปะปนไปกับฝูงชน ระหว่างนี้คีลก็เช็กความเรียบร้อยกับคนอื่นๆ ในทีมไปด้วย แต่ละคนอยู่ประจำจุดครบถ้วนดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขั้นตอนสำคัญก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาอยู่ดี
เอลเลียตตรงดิ่งไปที่อาคารซึ่งมีประตูไม้ผุๆ เป็นทางเข้า และมีชายคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เขาพูดอะไรกับชายคนนั้นสองสามคำก่อนอีกฝ่ายจะเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน
เสียงที่ดังผ่านหูฟังมาทำให้คีลพอจะจับได้ว่าสถานที่แห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงหัวเราะเฮฮาและเสียงเหรียญกระทบดังกริ๊งๆ ไม่ขาดสาย เสียงไม้กระทบกับลูกสนุกเกอร์ เสียงด่าทอสลับกับเสียงของเด็กเสิร์ฟที่ยื่นถาดซึ่งด้านบนเต็มไปด้วยแก้วเครื่องดื่มหลากชนิดที่ยื่นมาให้ผู้มาใหม่
“ขอบใจนะ” เอลเลียตพูดยิ้มๆ ขณะหยิบขึ้นมาถือแก้วหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็ตรงขึ้นไปบนชั้นสองอย่างชำนาญทางราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ซึ่งอันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกต่างหาก และด้วยความไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ทันทีที่ก้าวเท้าถึงหน้าประตู บอดี้การ์ดสองคนก็รีบเข้ามาขวางทางชายหนุ่มไว้
คีลที่ได้ยินแต่เสียงแข็งๆ ดังผ่านหูฟังมาเกร็งตัวนิดหนึ่ง เขาพร้อมที่จะเข้าไปคุมสถานการณ์ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากเขาอยู่ใกล้กับที่ที่เอลเลียตเข้าไปมากที่สุด หากไม่กี่วินาทีต่อมาสถานการณ์ก็คลี่คลายอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงของชายอีกคนดังแทรกเข้ามา คีลเดาได้ทันทีว่าคงเป็นเป้าหมายที่เทย์เลอร์จะไปคุยด้วยนั่นเอง
หลังจากที่พาตัวผู้มาใหม่ออกจากปัญหา แจ็ค พอร์เตอร์ก็ชวนให้เอลเลียตไปนั่งที่บาร์แล้วสั่งเครื่องดื่มให้ทั้งตัวเองและของอีกฝ่าย
“ทิ้งแก้วนั้นไปเหอะ” เจ้าตัวว่า “ก็แค่เหล้าถูกๆ กินไปก็เสียดายปาก แล้วนี่… เป็นไงมาไงถึงได้มาอยู่นี่ได้ เอลเลียต หรือว่าควรจะเรียกว่าไอเดนดี?”
“จะเรียกอะไรก็เรียก นายสบายดีรึเปล่า แจ็ค”
“ก็ดี” แจ็ค พอร์เตอร์เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอม เส้นผมสีดำรุงรังยาวจนถึงบ่า ใบหน้าซูบตอบจนเห็นโหนกแก้ม ขอบตาคล้ำ ใบหน้าทรุดโทรม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวหันกลับไปเล่นยาอีกแน่ หมอนี่พูดว่าจะเลิกๆ มาหลายครั้งก็ไม่เคยทำได้จริงๆ เสียที “แต่นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย ตกลงมานี่ได้ไง ไม่ใช่ว่านายโดนจับเข้าไปอยู่ในคุกแล้วหรอกเหรอ”
“ใช่ โดนแล้ว”
“แล้วมาไง”
“ก็พ้นโทษออกมา”
แจ็คเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจคนข้างตัว “ถ้าฉันจำไม่ผิด นายเพิ่งเข้าไปอยู่แค่… ปีกว่าเองไม่ใช่เหรอ”
“สองปี เพื่อนยาก แต่ฉันประพฤติตัวดี เลยหลุดออกมาได้เร็ว”
“แล้วตอนนี้ทำอะไร ยังไปเป็นนายหน้าขายบ้านอยู่ไหม”
“ยังหรอก เพิ่งออกมาไม่นาน” เขาว่า “ตอนแรกก็ว่าจะกลับตัวกลับใจไปทำงานดีๆ หรอกนะ แต่ใครที่ไหนจะรับคนมีประวัติแบบฉันเข้าไปทำงานง่ายๆ วะ”
“พูดอีกก็ถูกอีก” ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอขณะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด “คนพวกนี้แม่งซังกะบ๊วยกันหมด แล้วนายได้ติดต่อเทลออฟอดัมส์ไปรึยัง หมอนั่นน่าจะมีงานดีๆ ให้นายทำได้”
“ติดต่อแล้ว หมอนั่นช่วงนี้วุ่นๆ เลยรามือจากอะไรพวกนี้ไปบ้าง”
“อ้อ เลยนึกถึงฉันได้ล่ะสิ”
เอลเลียตผายมือออกไปข้างตัว “แล้วทำไมจะไม่ล่ะ”
“หึ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่เห็นว่านายกับหมอนั่นสนิทกันถึงขั้นไปนอนอยู่ด้วยกันแทบทุกคืน เลยเดาว่ายังไงก็ต้องไปหาหมอนั่นแน่ๆ”
เอลเลียตสะดุ้ง เขารู้ดีว่าคีลจะได้ยินบทสนทนาตรงนี้ทั้งหมด แต่เขาไม่อยากให้คีลรับรู้เรื่องนี้เลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
“ฉันเลิกกับหมอนั่นไปนานแล้วน่า” พูดพลางยกแก้วขึ้นจรดปาก“แล้วสรุปนายว่าไง ช่วงนี้มีอะไรให้ทำบ้างไหม รู้สึกเงินมันพร่องๆ ว่ะ ออกจากคุกมานี่เหมือนเริ่มต้นใหม่เลย ติดลบด้วยซ้ำ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วเนี่ย”
“อืม…” แจ็คยกมือขึ้นลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด “อันที่จริง ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยซะทีเดียวหรอกนะ”
เหยื่อค่อยๆ งับเบ็ดแล้ว ถึงตรงนี้เขาต้องระวังขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ
“จริงเหรอ แนะนำเพื่อนหน่อยสิ”
“ได้สิ อายออฟไอเดน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับกระแทกแก้วที่ว่างเปล่าของตัวเองลงบนโต๊ะ “ทำไมนายไม่รีบดื่มเหล้าของนายให้หมดๆ แล้วไปหาที่สงบๆ คุยกันล่ะ?”
--------------------------------------------------------
Talk: อะไรอ้ะ หนูเอล แอบร้ายนะหนู