[ 09 ]
เช้านี้ทีมลาดตระเวนเริ่มออกเดินตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นขอบฟ้า การเดินทางช่วงเช้าจะทำให้ได้ระยะทางที่มากกว่าเดิมเนื่องจากเพลิงมีเป้าหมายว่าหลังจากลาดตระเวนในเขตที่รับผิดชอบแล้ว เขาและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จะเข้าไปในหมู่บ้านท้ายเขาเพื่อสอบถามสำรวจดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านกลุ่มนั้น สายมากโขแล้วตอนที่พวกเขามาถึงกลางป่าลึก ราวๆ หนึ่งถึงสองกิโลเมตรจากตรงนี้จะเป็นเขตป่าไม้พะยูงที่ต้องเข้าไปสำรวจ
เพลิงกวาดตามองไปรอบๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่หยุดเก็บข้อมูล โดยการบันทึกสภาพป่าทั่วไป ร่องรอยสัตว์ป่าและพืชพรรณที่ขึ้นอยู่ในบริเวณโดยรอบ พลและเกิ้งกำลังยืนเช็ดพิกัดจีพีเอสและบันทึก เพราะข้อมูลเหล่านี้จะนำไปวิเคราะห์อีกชั้นหนึ่ง
“ไอ้พวกนี้มัน”
เปลวบ่นขึ้นขณะที่กำลังเก็บเศษขยะ
“มาลักลอบตัดไม้ไม่พอ ยังทำเลวทิ้งขยะไว้ให้ดูต่างหน้าอีก”
เศษขยะและอาหารกระดาษถูกทิ้งเกลื่อนบริเวณนั้นบ่งบอกว่าก่อนหน้านี้คงมีกลุ่มผู้กระทำผิดมาหยุดพักแถวนี้ พวกมันถึงทิ้งขยะไว้เป็นหลักฐาน
“อย่าให้เจอนะมึง”
เต็งบ่นเป็นหมีกินผึ้งไม่ต่างกัน ตอนที่ชวนเพื่อนเก็บเศษขยะใส่ถุง ความเป็นจริงแล้วขยะพวกนี้เป็นภาระเจ้าหน้าที่มากพอสมควร แต่ด้วยหน้าที่เขาปล่อยให้ขยะไร้ประโยชน์พวกนี้ทิ้งอยู่กลางป่าไม่ได้หรอก เพราะไม่รู้ว่าจะมีสัตว์ตัวไหนโชคร้ายมากัดกิน งานป่าไม้ที่ว่าหนักกายยังมีเรื่องหนักใจเมื่อเจอเรื่องกระทำผิดไม่เว้นแต่ละวัน บางครั้งมันก็น่าท้อใจอยู่หรอก แต่ก็เท่านั้นในเมื่อมันเป็นหน้าที่ เมื่อได้รับมอบหมายมาก็ต้องทำ
เปลวเหลือบตามองเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ซึ่งขะมักเขม้นก้มหน้าก้มตาทำงาน ทุกคนทำตามหน้าที่ของตนเอง ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าชุดลาดตระเวนซึ่งลงทุนนั่งเป็นฐานให้เต็งมันเหยียบแล้วปีนขึ้นต้นไม้เพื่อไปสำรวจมุมสูง เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าแล้วยิ่งนับถือคนๆ นั้น
พี่เพลิงไม่เคยเอาเปรียบใคร ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นลูกน้องหรือมีตำแหน่งที่ด้อยกว่า ตรงกันข้ามผู้ชายที่ดั้นด้นมาจากเมืองหลวงที่มีความเจริญทุกรูปแบบนั่น กลับมีน้ำใจและคอยยื่นมือมาช่วยผู้อื่นอยู่เสมอ เปลวรู้จักผู้ช่วยฯ ครั้งแรกตอนที่แกย้ายมาประจำใหม่ เปลวคือเด็กหนุ่มที่ก้าวพลาดในช่วงชีวิตวัยรุ่นทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาไม่น้อย เพราะพลาดทำแฟนสาวท้อง ซ้ำร้ายช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั่นจึงนำพาให้เด็กหนุ่มเข้าสู่วังวนของสารเสพติด
เปลวริลองเสพไอซ์ไม่พอยังทำหน้าที่ส่งมันให้กับกลุ่มเพื่อน ตอนนั้นเขาคิดแค่เพียงว่าอยากหาเงินเผื่อลูกน้อยซึ่งกำลังจะเกิดมาโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ พอทำงานผิดกฎหมายครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อมาจนกระทั่งถูกจับ และเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมเขาในตอนนั้นคือเพลิง ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานที่บังเอิญเข้าตรวจค้นการลักลอบขนไม้ใกล้ๆ จุดส่งยาของเขา เปลวจึงโดนร่างแหไปด้วยเพราะบังเอิญโผล่ไปใกล้ๆ จุดเกิดเหตุ
เพลิงค้นเจอยาไอซ์จำนวนหนึ่งในตัวเขา นั่นทำให้เปลวยอมรับสารภาพและยอมจำนนแล้วว่าคงต้องติดคุก แต่ผู้ชายหน้านิ่งคนนั้นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พร้อมถามสาเหตุที่ทำให้เขาหลงเดินทางผิด เพลิงพาเขาไปส่งตำรวจแล้วประสานงานขอกันเขาไว้เป็นพยาน หากเปลวรับปากว่าจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าจับกุมตัวการจนสิ้นซาก
เปลวเหมือนได้เกิดใหม่เพราะความช่วยเหลือของเพลิง คนๆ นั้นไม่กล่าวโทษเขา ซ้ำยังฉุดดึงเขามาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เพลิงเคยบอกว่าจะส่งเสียเขาให้เรียนจนจบแต่เปลวเกรงใจจึงขอทำงานกับเพลิงแทน ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบแทนความดีของเพลิงเท่านั้น แต่ระยะเวลาได้รู้จักกับเพลิงไม่นานทำให้เขารู้ว่าผู้ชายจากเมืองหลวงคนนี้มีดีมากกว่านั้น
คนที่ดั้นด้นมาเพื่อปกป้องป่าให้คนที่นี่ไม่เคยเรียกร้องความสุขสบาย นั่นจึงทำให้เปลวมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เขาเป็นคนที่นี่แท้ๆ กลับไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ซ้ำครั้งหนึ่งยังได้ทำผิดพลาดจบเกือบทำให้ลูกน้อยต้องกำพร้าพ่อ หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้วเขาจึงตัดสินใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมของเพลิง โดยที่ป้าสมัยและป้าอนงค์รู้เพียงว่าพี่เพลิงชักชวนเขาไปทำงาน เพราะเพลิงไม่เคยปริปากบอกใครถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเขาได้พบและรู้จักกับเพลิงด้วยสาเหตุอะไร
พี่เพลิงไม่เคยสอนเขาด้วยคำพูดสวยหรู ผู้ช่วยเพลิงคนนี้พูดไม่เก่งนักหรอก แต่การกระทำของเขามักสอนคนอื่นได้เสมอ
“ระวังด้วย”
เพลิงตะโกนบอกเต็งซึ่งกำลังปีนป่ายลงมาจากต้นไม้สูง
“วันนี้ร้อนกว่าทุกวันนะผู้ช่วย”
พรานธีปอพูดเสร็จแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งมืดครึ้มผิดปกติ
“น่ากลัวว่าฝนจะตก”
“นั่นสิครับพราน”
เพลิงพยักหน้าเห็นด้วย
“อีกไม่ไกล จะถึงป่าพะยูงแล้ว เดี๋ยวเราพักกินข้าวเที่ยงกันที่นั่นแล้วกัน ว่าแต่ทุกคนยังไหวใช่มั้ย”
ท้ายประโยคหันไปมองเจ้าหน้าที่แต่ละคนซึ่งยังมีสีหน้าแช่มชื่น
“ผมอ่ะไหวอยู่แล้วน่าผู้ช่วย”
เกิ้งตอบยิ้มๆ “ไปดูไอ้พลมันเหอะ เดินนิดเดียวก็หอบแดดแล้ว”
“ใส่ความว่ะ”
เสียงพลตะโกนแหวกอากาศมาจากอีกทาง
“คนหนุ่มอย่างผม ถ้าเดินแค่นี้เหนื่อยก็แย่แล้ว ไม่เหมือนพี่หรอกเก็บแรงไว้เยอะๆ เหอะ กลับไปคราวนี้หมดเนี่ยวหมดแรงระวังกิ๊กพยาบาลทิ้งแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”
“ไอ้ห่าพล”
เพลิงส่ายหัวเมื่อเห็นคู่กัดเจ้าประจำเริ่มล้งเล้งใส่กันอีกครั้ง ระหว่างนั้นเจ้าเปลวเดินมาใกล้เขาก่อนที่เด็กหนุ่มจะมองไปที่เป้ด้านหลังแล้วยิ้มเผล่
“กระเป๋าสวยนะพี่เพลิง”
“อืม”
เพลิงกดยิ้มมุมปากเหลือบตามองไปยังเป้ใบใหม่ซึ่งเปลวเอาติดตัวมาอีกใบ ความจริงแล้วเป้สมบุกสมบันของเพลิงนั่นยังจะใช้งานได้ดีอยู่หรอก ถ้าหากว่าเมื่อเช้าก่อนออกเดินทางมันจะไม่ขาดเป็นทางยาว ซ้ำในป่าแบบนี้จะหาอุปกรณ์มาซ่อมแซมคงยากลำบาก ดังนั้นเป้จากความอนุเคราะห์ของรเณศจึงถูกเปลวนำมายัดเยียดให้โดยปริยาย
“พี่เนตรนี่คาดเดาได้แม่นจริงๆ นะว่าเป้ใบนี้ต้องมีคนได้ใช้มัน”
เปลวพูดยิ้มๆ
“ขนาดนั้นเชียว”
“แน่สิครับพี่เพลิง”
“เพิ่งรู้นะว่าเราปลื้มหลานป้าอนงค์แกขนาดนี้”
เปลวหัวเราะ
“พี่เนตรแกดีกับผมและแก้มใสมากพี่เพลิง”
“งั้นเหรอ?”
“ครับ นี่แก้มใสก็ติดพี่เนตรแจแล้ว ทั้งที่พี่เนตรเอาไปนอนด้วยแค่ไม่กี่วันเอง พี่เนตรแกดูท่าจะรักเด็ก ซ้ำยังมีน้ำใจกับผมอีกพี่”
ตั้งแต่รเณศเอ่ยปากขอแก้มใสเป็นลูก ซ้ำการกระทำที่แสดงออกชัดเจนว่ารักและเอ็นดูลูกของเขานั่นทำให้เปลวยิ่งเคารพรักฝ่ายไม่ต่างเพลิงเลย เปลวบอกตัวเองว่าเขาโชคดี แม้จะเคยทำผิดพลาดแต่เขายังมีคนรอบกายที่คอยช่วยเหลือดูแล ซ้ำคนเหล่านั้นยังจริงใจกับเขาโดยแท้ ในชีวิตคนเราไม่ต้องอะไรมากมายนักหรอก แค่มีกินอย่างพอเพียง มีบ้านและคนที่รักให้กลับไปหา ที่สำคัญมีคนดีๆ อยู่รอบกาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ชีวิตที่ห่างไกลความเจริญทางวัตถุนั้น จึงทำให้เขาได้พบเจอกับคนที่มีความเจริญทางจิตใจ เป็นมิตรแท้ยามที่พบเจอกับความยากลำบาก เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ เมื่อเพลิงทำหน้าฉงน ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเมื่อเห็นเขายกหางรเณศขนาดนั้น
“พี่ว่าหมูทอดเมื่อวานอร่อยป่ะ”
เพลิงทำหน้างงเมื่ออยู่ๆ เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย
“ก็ดี”
เด็กหนุ่มยิ้มเผล่
“นั่นน่ะฝีมือพี่เนตรนะพี่เพลิง”
“หือ?”
เพลิงมุ่นหัวคิ้ว
“อร่อยใช่มั้ยล่ะ”
“พี่แกมีน้ำใจทำมาให้ แกคงได้ยินผมเล่าให้ฟังว่าเข้าป่าแต่ละทีได้กินแต่อาหารกระป๋อง”
เพลิงขยับรอยยิ้มจนเปลวนึกสงสัย
แปลกๆ ว่ะ ทำไมพี่เพลิงยิ้มแบบนั้นวะ ปกติพี่เพลิงยิ้มยากจะตายห่า รอยยิ้มที่นานๆ จะได้เห็นดันได้เห็นโดยไม่คาดคิดนั่นทำเอาเด็กหนุ่มยืนงงว่าอีกฝ่ายยิ้มทำไม
เดี๋ยวนะ!
เปลวลูบคางตัวเองนึกถึงรเณศที่คะยั้นคะยอให้เขาหอบเป้เปล่าอีกใบติดมา ซ้ำยังฝากหมูทอดมาให้ โดยบอกกล่าวว่าป้าอนงค์ฝากมาให้พี่เพลิง
นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปรึเปล่าวะ
เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆ มองตามหลังเพลิงที่ออกเดินทางไปแล้ว จนกระทั่งไอ้เต็งสะกิดหัวเขาแรงๆ นั่นแหละเปลวถึงได้สติ
“เหม่ออะไรไอ้ห่า”
“กูได้กลิ่นแปลกๆ ว่ะ”
เปลวพึมพำนั่นทำให้เต็งหน้าเสียมันก้มหน้าลงมาดมรักแร้ตัวเองทั้งซ้ายและขวาก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว
“กลิ่นมันไม่ถึงกับดี แต่มันก็ไม่เหม็นขนาดนั้นนะโว้ย”
เปลวถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กูไม่ได้หมายถึงกลิ่นตัวมึง”
“อ้าวแล้วกลิ่นอะไรวะ”
“กลิ่นคนรักกัน”
เต็งทำหน้างง
“มันมีกลิ่นแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ด้วยเหรอวะ”
“ไอ้ควาย”
เปลวด่าเพื่อนเสร็จก็เดินหนีมันทันที
.
.
“เวรเอ๊ย”
เสียงพลโวยขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะยกเท้าเตะอากาศเมื่อไม้พะยูงต้นหนึ่งซึ่งยังโตไม่เต็มที่เหลือแต่ตอ ซ้ำคนตัดยังอุตส่าห์ทิ้งใบเลื่อยซึ่งหักเป็นสองท่อนไว้ให้ดูต่างหน้า ท่าทางหัวเสียของลูกน้องนั่นอยู่สายตาของเพลิงตลอด อย่าว่าแต่พลเลยที่มีอารมณ์ในเมื่อคนอื่นๆ ที่เห็นสภาพตอไม้นั่นต่างเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
อีกไม่เกินห้าร้อยเมตรจากนี้จะเป็นพื้นที่ป่าพะยูงซึ่งมีอายุห้าสิบกว่าปีขึ้นทุกต้น พื้นที่ตรงนั้นราวๆ หนึ่งถึงสองงานนั่นเป็นป่าพะยูงผืนสุดท้ายของที่นี่ มันมีชีวิตที่ยืนยาวมานาน จนกระทั่งมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ ซ้ำยังอัจฉริยะผลิตเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย แต่นำเอาสิ่งประดิษฐ์จากมันสมองนั้นมาทำลายป่าไม้ซึ่งเกิดก่อนเราอีก
มนุษย์ที่ไม่รู้จักเพียงพอหาประโยชน์จากธรรมชาติ ขณะที่ธรรมชาติก่อให้เกิดผลผลิตให้คนเราเก็บกินซ้ำยังยืนต้นให้ความอุดมสมบรูณ์ ความมั่งคั่งทางทรัพยากรนั่นทำให้คนเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นั่นเข้ากระเป๋าตัวเอง ซ้ำร้ายยังทำลายความอุดมสมบูรณ์เพราะอำนาจเงิน
ธรรมชาติไม่เคยอุทธรณ์ร้องขอต่อคนเราหรอก แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราเอาเปรียบมันจนเกินพอแล้ว วันนั้นธรรมชาติจะเอาคืนเราเองแม้เราจะขออุทธรณ์ก็ตาม เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงทั้งสภาพอากาศและความแปรปรวนทางธรรมชาติในปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนและคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย นั่นเพราะเราทำลายธรรมชาติเอง
เพลิงเดินนำเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เข้าไปในผืนป่าพะยูงผืนสุดท้ายก่อนจะกวาดตามองต้นพะยูงสิบต้นสุดท้ายที่ยืนต้นสูงใหญ่ เปลือกไม้ที่บ่งบอกกาลเวลากว่าชั่วอายุคน ใบของมันซ้อนกันจนมองไม่เห็นท้องฟ้าเบื้องบน ทุกอย่างรอบกายจึงดูเย็นสบายขึ้น ในป่าลึกเช่นนี้เป็นปกติหากต้นไม้สูงใหญ่จะแตกกิ่งใบจนมองไม่เห็นอะไรg]p
ชายหนุ่มแหงนมองสูง แวบหนึ่งเขาอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่ายังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับต้นไม้แล้ว
“นึกว่าจะไม่เหลือซะแล้ว”
เกิ้งพูดยิ้มๆ ตอนที่เดินไปสำรวจป่าพะยูงผืนสุดท้าย การลาดตระเวนที่ผ่านมาของพวกเราทุกครั้งจะต้องเข้ามาสำรวจป่าแห่งนี้ เพื่อดูว่ามันยังคงหลงเหลืออยู่
“นั่งกินข้าวกันก่อน”
เพลิงกวักมือเรียกทุกคนมารวมตัวกัน แต่โชคไม่ดีระหว่างนั้นเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาพอดี ทุกคนต่างวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ ระหว่างนั้นเพลิงเห็นใบบัวใกล้ธารน้ำแถวนั้นเขาจึงไปเอาบางส่วนมาใช้แทนร่มกันฝนให้กับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
ใบบัวอันไม่ใหญ่นักนั่นเป็นเหมือนที่คุ้มภัยให้กับพวกเรา
“น่ากลัวว่าใบบัวนี่จะไม่ไหวนะผู้ช่วย ลูกเห็บลงแล้ว”
เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกให้คนอื่นขึงเต็นท์ระหว่างต้นไม้เพราะเม็ดฝนเริ่มใหญ่ขึ้น หลังจากนั้นทุกคนก็สวมใส่เสื้อกันฝนแล้วพากันมายืนเป็นกลุ่มอยู่ใต้เต็นท์
“โอ้โหทั้งฝนทั้งลูกเห็บ”
พลพูดไปหัวเราะไป
“ท่าทางเจ้าป่าเจ้าเขาจะดีใจใหญ่ที่พวกเราแวะมาหา”
เกิ้งพูดติดตลก
“ไม่ต้องดีใจขนาดนี้ก็ได้ครับ พวกผมชุ่มแล้ว”
เต็งยกมือไหว้ปลกๆ พาให้คนอื่นหัวเราะขบขัน
“ผู้ช่วยขยับเข้ามาอีกสิ ไหล่เปียกแล้วนั่น”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เปียกเท่าไหร่”
เพราะพื้นที่เต็นท์มันเล็ก การจะทำให้ทุกคนยืนกันพอดี เพลิงจึงต้องเสียสละไหล่ข้างหนึ่งให้โดนฝน
“ขยับมาเถอะน่าพี่เพลิง พี่จะเป็นพระเอกคนด้วยได้ไง”
เพลิงยิ้มน้อยๆ
“ถ้าจะเปียกก็ต้องเปียกด้วย ถ้าจะลำบาก เราก็ต้องลำบากด้วยกันนะพี่ เพราะเราทีมเดียวกัน”
เพลิงชะงักมองสีหน้าเจ้าหน้าที่แต่ละคนซึ่งต่างขยับเบียดกันเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เขา เปลวนึกตื้นตันเพราะพี่เพลิงไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง ดังนั้นทุกคนจึงรักและเคารพแกจริงๆ
“เฮ้อ”
เกิ้งร้องขึ้นหลังจากที่ฝนหยุดแล้วแต่ละคนมานั่งล้อมลงกินข้าวกับพื้นเปียกๆ เขาจ้องมองข้าวซึ่งแห้งและแข็งเนื่องจากเป็นข้าวเก่าตั้งแต่เมื่อวาน มื้อเช้าที่ผ่านมานี้รีบออกเดินทางจึงไม่ได้หุงหากันใหม่ ซ้ำบ่ายนี้ฝนยังตกหนักเชื้อเพลิงที่ใช้ในการก่อไฟก็เปียกหมดดังนั้นเมนูปรุงสุกใหม่จึงเป็นไปได้ยาก
“ใครเข้าฝันให้เรามาทำอาชีพนี้กันนะผู้ช่วย”
“พาตัวเองมาลำบากชัดๆ เลยเนอะ”
พลสัพยอกเข้าให้
“ลำบากแล้วทำไมไม่ลาออกไปทำอย่างอื่นวะ”
“ผมกลัวพี่เกิ้งเหงาปากไง”
“เถียงกันมากๆ ระวังผีผลักนะพี่”
เต็งแกล้งแซวก่อนจะถูกทั้งคู่เคาะกระบาลไปคนละที
“ถ้าจริงนะผู้ช่วย”
ลุงธีปอหันมาทางเพลิง
“ถ้าวันหนึ่งผู้ช่วยมีครอบครัวแล้วยังจะทำงานนี้อยู่มั้ย”
“คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ”
เพลิงยักไหล่ “ใครเขาอยากมาลำบากกับผมกันเล่า”
“ผู้ช่วยยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย”
“พี่ชายผมเคยบอกว่าสักวันหนึ่งผมคงต้องแต่งงานกับสิงสาราสัตว์”
เพลิงกดยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงคำพูดของธาม
“ผมไม่อยากให้ใครมาลำบาก ไม่อยากให้คนที่รออยู่ข้างหลังต้องกระวนกระวายเวลาเข้าป่าแต่ละที และสุดท้ายผมไม่อยากให้เขาต้องทุกข์ทรมานใจไปชั่วชีวิต ถ้าหากว่าวันหนึ่งผมไม่มีโอกาสได้กลับไปหาเขา”
ทุกคนพากันพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนที่แต่ละคนจะจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง ที่เพลิงพูดไปนั้นเป็นความจริงทั้งหมด งานยากลำบากและเสี่ยงอันตรายแบบนี้การคิดเผื่อไว้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะชีวิตในแต่ละวันในป่าไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะพบเจอกันสิ่งใด
☘☘☘☘
“ทอดหมูอีกแล้วหรือเจ้าเนตร”
รเณศยิ้มแหยตอนที่ป้าอนงค์ท้วงขึ้นเมื่อเห็นหมูทอดวางอยู่ในจานสำรับกับข้าวมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ผมเห็นหมูมันเหลืออยู่น่ะครับเลยไม่รู้จะทำอะไรดี”
ป้าแกพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปตะโกนเรียกป้าสมัยขึ้นมากินข้าว ระหว่างนั้นรเณศจึงเดินไปหาแก้มใสที่ร้องอ้อแอ้อยู่ในเปลขึ้นอุ้ม
“ตื่นแล้วหรือครับคนสวย”
คนกรุงเกลี่ยแก้มขาวเบาๆ หนูน้อยหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจจนน้ำลายไหลย้อย เขาจึงคว้าผ้าอ้อมที่พาดบ่าอยู่ขึ้นมาเช็ดให้ทันที
“เหมือนพ่อลูกอ่อนเข้าไปทุกวันนะเรา”
ป้าอนงค์พูดยิ้มๆ ตอนที่มองหลานชายอุ้มเด็กน้อยอย่างทะมัดทะแมง ซ้ำยังดูแลหนูน้อยได้ดีราวกับพ่อแท้ๆ
“เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงเจ้าเปลว”
“นั่นสินะป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง”
รเณศเม้มปากแน่นอดคิดตามบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้
“นี่ดูสิ เห็นหมูทอดนี่ก็นึกถึงผู้ช่วยเขาอีกคน แกคงจะได้กินอิ่มอยู่หรอกนะ หรือว่าไงเจ้าเนตร เราทอดไปให้เยอะอยู่มิใช่รึ”
รเณศเกาแก้มแก้เก้อ
“คนทำตั้งใจทำแบบนี้ คนกินคงจะอิ่มท้องอยู่หรอก แต่สงสัยว่าคนทำคงตั้งใจมาก ถึงได้ทอดหมูมาเป็นอาทิตย์แล้ว”
ป้าอนงค์พูดขำๆ ไม่ทันได้สังเกตใบหน้าคนเมืองที่แดงวาบขึ้น รเณศแกล้งเบือนหน้าหนี ตอนที่ป้าทั้งสองเปลี่ยนบทสนทนาไปคุยเรื่องอื่น ชายหนุ่มกระชับเด็กน้อยในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเหม่อมองไปทางท้ายไร่
ป่านนี้ไม่รู้คนในป่าไปจะเป็นอย่างไร
รเณศถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ปา ปา ป้อ”
“หือ?”
รเณศทำหน้าตื่นตอนที่มือน้อยๆ ตะปบเข้าที่ใบหน้าเขา ดวงใสแจ๋วจ้องมองกันนิ่ง เสียงเล็กๆ ไม่เป็นคำนั่นทำเอารเณศใจเต้นแรง
“หนูพูดเหรอลูก”
“ปา ปา”
“หนูพูดได้แล้ว”
รเณศกดจูบที่แก้มขาวก่อนจะร้องบอกผู้ใหญ่ทั้งสองเสียงดังลั่นว่าเด็กน้อยเริ่มหัดพูด เป็นข่าวดีสำหรับคนที่กำลังจะกลับบ้านว่าลูกสาวตัวเองพูดได้แล้ว
เจ้าเปลวคงจะดีใจไม่น้อย
และเจ้าของตุ๊กตาหมีที่มีเสียงช่วยในการหัดพูด ซึ่งใครบางคนซื้อมาให้เจ้าหนูนี่คงเจ้าดีใจเช่นกัน
กลับมาไวๆ นะคนไกล
.
.
“รอยเท้าสัตว์”
พรานธีปอเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งพิจารณารอยเท้าที่ปรากฏตรงดินโคลน รอยบุ๋มลึกลงไปใหญ่พอสมควรนั่นเรียกความสนใจจากบรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งต่างชะโงกหน้าเข้าไปดู
“เป็นไปได้มั้ยว่าจะเป็นรอยเท้าเสือ”
“แต่ในป่าเขตอุทยานเราไม่เจอร่องรอยเสือมาสิบกว่าปีแล้วนะครับ”
เพลิงยืนพิจารณาเพราะป่าแห่งนี้ไม่เจอเสือมานานแล้วจริงๆ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะสูญพันธ์เนื่องจากระบบนิเวศไม่เอื้ออำนวยต่อการมีชีวิต
“ถ้าเป็นเสือจริงๆ ก็ดีน่ะสิ”
พลพูดยิ้มๆ ไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ตาเป็นประกาย จริงอยู่ว่าเสือเป็นสัตว์ดุร้ายและน่ากลัว แต่นัยยะสำคัญของการที่เสือปรากฏขึ้นแถบนี้เป็นเหมือนดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เนื่องจากมันเป็นสัตว์ที่อยู่บนห่วงโซ่อาหารที่สูงสุด การที่เสือจะดำรงอยู่ได้แสดงว่าห่วงโซ่ชั้นรองลงมาในชั้นต่างๆ มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ
“ขอให้เป็นเสือจริงๆ ทีเถอะ”
“ภาวนาว่าถ้าเป็นมันจริง ก็อย่าให้มีใครเจอแล้วล่ามันได้เลย”
ปัง!
เต็งพูดจบพอดีที่เสียงปืนดังขึ้นในป่าใหญ่ เจ้าหน้าที่ทุกคนสบตากันเครียดก่อนจะกระชับอาวุธในมือ
“เสียงมันดังมาจากท้ายป่าทางเข้าหมู่บ้านหลังเขา”
“อาจจะเป็นเสียงยิงนกก็ได้นะพี่เพลิง หมู่บ้านผมชอบมายิงนกกันที่ตีนเขา”
เพลิงพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นเราแบ่งกำลังเป็นสองทีม ทีมหนึ่งลาดตระเวนทางตรงไปยังจุดที่ได้ยินเสียงนั่น อีกทีมอ้อมไปด้านหลัง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ เราค่อยไปเจอกับที่หมู่บ้านท้ายเขา”
การลาดตระเวนครั้งนี้เพลิงตั้งใจว่าจะเข้าไปในหมู่บ้านท้ายเขาซึ่งเป็นบ้านเกิดของพรานธีปอและเจ้าเต็งด้วย
“ระวังตัวด้วยทุกคน”
เพลิงร้องบอกพรานธีปอ เจ้าเต็ง และเจ้าหน้าที่อีกสองนายซึ่งแบ่งกำลังไปอีกทาง ก่อนจะเดินนำทีมตัวเองเดินลาดตระเวนไปยังจุดเกิดเหตุ ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงท้ายป่าอีกนิดจะถึงท้ายหมู่บ้านแล้ว
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ รอยเท้าสัตว์นั่นวิ่งเข้าไปในป่าลึก ไม่มีรอยเท้าคนตามไปแสดงว่าคงเป็นเสียงปืนจากที่นี่ ไม่น่าเกี่ยวกับมายิงสัตว์ในป่า”
“ผมได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้”
ทุกคนนิ่งเงียบก่อนจะพากันไปซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ จังหวะนั้นร่างผู้ชายสูงใหญ่สองคนซึ่ง สันนิฐานได้ว่าเป็นคนจากหมู่บ้านหลังเขาเดินถือหน้าไม้เข้ากับสำรวจอะไรสักอย่าง
แกร๊บ!
เปลวเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียง นั่นทำให้ชายทั้งสองหน้าตื่นันหน้าไม้มาทางพวกเขาทันที
“หยุด อย่ายิงนี่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวน”
“เฮ้ย”
“พี่เพลิง”
“ไอ้ฉิบหายเอ๊ย”
เกิ้งกระโดดเข้าชาร์ตสองคนนั้นหลังจากที่กระสุนหน้าไม้พุ่งเข้าไหล่เพลิงเต็มๆ
ฮือ พี่เพลิงของน้องงงง
ปล. สัปดาห์หน้าอัพวันจันทร์เช่นเดิมนะคะ อาทิตย์นี้มาวันพุธแบบเฉพาะกิจ อิอิ