55 จำชื่อทหารสลับกันไม่แปลก เราก็ลืมๆ เหมือนกัน
ส่วนจะได้เจอกับคนรักอะป่าว รออ่านต่อไปค้าบบ ขอบคุณที่มาให้กำลังใจน้า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ห้วงรัก20 lachrymal/ความจริง
คุณหมอธารมองโรงพยาบาลในกรุงเทพ หลังจาที่ตัดสินใจเข้ามารักษา ท่านนายพลพิภพรีบจัดการเรื่องต่างๆจนเสร็จ คุณหมอหนุ่มหลับตาลงเมื่อคำนึงถึงผู้กองหนุ่ม
“ธารวันนี้พ่อซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยที่ลูกชอบมาด้วย”
ท่านนายพลชูถุงพลาสติกขึ้น หลังจากที่ต้นธารายอมเข้ารับการรักษาจริงๆจังๆในกรุงเทพฯ ผู้เป็นบิดาก็มาเฝ้าไข้ทุกๆวัน วันละสองสามชั่วโมงก่อนจะไปทำงาน ต้นธาราเอ่ยขอบคุณบิดา เขาลงจากเตียงหยิบถ้วยมาเทโจ๊กร้อนๆ ชายหนุ่มนั่งลงตรงกันข้ามบิดา ท่านแต่งชุดทหารมาเยี่ยมไข้เช่นเคย
“ทานซะนะ วันนี้หน้าลูกดูซีดๆจัง จะให้พ่อเรียกหมอมาตรวจไหม?”
ต้นธาราส่ายหน้า เขาตักโจ๊กจรดริมฝีปาก สีหน้าครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ
“พรุ่งนี้หมอก็นัดตรวจแล้วครับ พ่อว่างไหม”
ชายหนุ่มวางช้อน เอนหลังพิงโซฟา มองจานโจ๊กครึ่งค่อนชาม แล้วเงยหน้า สบตาเข้มกร้าว
“ว่างสิ วันนี้พ่ออยู่ไม่ได้นานหรอกนะเดี๋ยวต้องไปประชุมกับกรมฯอีก เย็นๆพ่อจะมาหาลูกนะ”
ท่านนายพลลุกขึ้น ต้นธาราส่งบิดา ก่อนจะกลับมานั่งยังโซฟาตามเดิม ความรู้สึกกระอักกระอ่วนกินลึกในอก พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯเหมือนกับตัวจะลูกบีบจนเล็กเท่ามดตัวจ้อย คิดจะทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกสิ่งต้องถือฐานะหน้าตาเป็นหลัก คุณหมอกวาดสายตามองทั่วห้อง วันเวลาช่างเชื่องช้านัก นิ้วเรียวหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจจนเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางพยาบาลสาวยิ้มหวานถือถาดยามาให้
“ยาค่ะ ท่านนายพลสั่งให้นำมาให้”
ต้นธารามองยาเม็ดกลมคละกับแคปซูล เอ่ยขอบคุณเธอหยิบยาพร้อมกับน้ำดื่มจนหมด
“ทานเสร็จแล้วก็นอนพักนะคะ วันพรุ่งนี้คุณหมอนัดเก้าโมงเช้า ขอให้หลับสบายนะคะ”
เธอว่า ต้นธารายิ้ม เขาส่งถ้วยโจ๊กคืน ก่อนจะลุกไปยังเตียง ยังไม่ค่ำเลยด้วยซ้ำแต่ต้นธาราก็เข้านอนพักผ่อนแล้ว ต้นธาราปฏิบัติแบบนี้นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาพักรักษาตัว เมื่อไม่มีอะไรทำต้นธาราก็จะเอาแต่นอน เขาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็มิอาจทำได้จึงลุกขึ้นมานั่งเล่น...เพื่อรอผลการตรวจที่จะชี้ชะตาชีวิต
------------------------------------------------
วันรุ่งขึ้นต้นธาราตื่นมา รีบจัดการล้างหน้าล้างตา นั่งรอให้นางพยาบาลเข้ามาวัดความดันแล้วก็รอบิดาบังเกิดเกล้าไปพลางๆ สายตาไล่มองนาฬิกาอย่างกังวลใจ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำอาหารเช้ามาให้นะคะ”
นางพยาบาลเก็บสายวัดความดัน ต้นธารารออาหารเช้าซึ่งประกอบด้วยส้มเขียวหวานสองผล โอวัลตินร้อนแล้วก็ข้าวต้ม ต้นธารานั่งทานไปเรื่อยๆจนท่านนายพลพิภพกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง
“ทานข้าวอยู่รึลูก โทษทีๆพ่อมาช้า...เฮ้อ รถมันติดเหลือเกิน”ท่านบ่น ต้นธาราละมือจากการทานอาหาร รินน้ำจากเหยือกอลูมิเนียมให้แก่คุณพ่อ
“ขอบใจลูก เมื่อคืนนอนหลับดีใช่ไหม”
ศีรษะได้รูปผงกตอบรับ ท่านนายพลโล่งใจ
“พ่อคิดว่าธารจะกลุ้มใจเสียอีก”
เสียงหัวเราะร่วนดังจากปากต้นธารา
“ผมจะกลัวอะไรครับพ่อ เอ่อ พ่อทานข้าวมายังครับ”
ชายหนุ่มถาม ท่านนายพลโบกมือ
“โฮ้ย...พ่อไม่หิวหรอก แล้วคุณหมอมารึยัง”
บุตรชายส่ายหน้า
“ยังไม่นึกเวลาเลยครับ”
ชายหนุ่มทานข้าวต่อ นายนายพลมองนาฬิกาก่อนจะพึมพำ
“ยังไม่ถึงเวลาจริงๆด้วย เฮ้อ...ธารรินน้ำให้พ่ออีกสักแก้วสินั่งนานๆชักคอแห้ง”
ท่านนายพลสั่ง ต้นธารารินน้ำเย็นจากเหยือกให้บิดาอีกแก้ว ท่านยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย หลังจากที่วางแก้วลงบนโต๊ะ นางพยาบาลก็เข้ามาตาม
“อีกสิบนาทีคุณหมอจะมาถึงนะคะ”
นิ้วเรียวที่แกะเปลือกส้มชะงักไป นายนายพลสอบถามเรื่องเล็กๆน้อยๆจากนางพยาบาลที่ดูแลบุตรชายจึงทำให้ต้นธาราทานส้มที่อยากกินจนเกือบหมด ชายหนุ่มแกะอีกผลยื่นให้บิดา
“ธารทานเถอะ พ่อไม่หิว”
ท่านว่าด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม เขาจึงทานคนเดียวจนหมดแล้วส่งถาดอาหารคืน คุณหมออายุอานามแก่กว่าต้นธาราหลายปียกมือไหว้แขกผู้ใหญ่ ใบหน้าติดออกจีนยิ้มจนตาหยี
“สวัสดีครับท่านนายพลพิภพ”
คุณหมออดิเรกทัก นายพลพิภพยกมือรับไหว้
“เป็นเกีรยติอย่างยิ่งครับที่ได้รับใช้ท่านนายพล เห็นหมอประกิตติดต่อมาก็ตกใจแทบแย่”
คุณหมออดิเรกว่า รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าและดวงตา
“ต้องรบกวนคุณหมอหน่อยแล้วละครับ”
ท่านนายพลกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน คุณหมออดิเรกหันมาทางต้นธารา
“นี่คือคุณหมอต้นธาราบุตรชายของท่านนายพลสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมนายแพทย์อดิเรกครับ”
ต้นธารายกมือไหว้ผู้แก่วัยกว่า เสร็จสิ้นการแนะนำตัว คุณหมออดิเรกก็เริ่มเข้าเรื่อง
“ตามที่ผมได้อ่านแฟ้มประวัติของคุณหมอต้นธาราแล้วช่างน่าเป็นห่วงเสียจริงนะครับ”
คำพูดเกริ่นของนายแพทย์ดิเรกส่งผลให้ผู้ฟังตีสีหน้าทุกข์ใจ
“อันตรายขนาดนั้นเลยรึครับ”
“ครับ แต่ก็มีโอกาสหายครึ่งต่อครึ่งครับ ใจเย็นๆไว้”
นายพลพิภพทำหน้าโล่งอก
“ผมเคยได้ยินหมอประกิตบอกว่าถ้าจะหายก็ต้องปลูกถ่ายไขกระดูกกับทำเคมีบำบัดแล้วสองอย่างนี้ โอกาสหายมีกี่เปอร์เซ็นต์ครับ?”
นายพลแห่งกองทัพบกถาม นายแพทย์อดิเรกหยิบแฟ้มให้ดูประกอบกับอธิบาย
“การคีโมนั้นค่าใช้จ่ายถูกกว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่การทำเคมีบำบัดจะได้รับผลกระทบเยอะอาทิเช่นผมร่วง อาเจียนแต่ก็สามารถรักษาหายเช่นกันแต่ถ้าจะให้ขายขาดจากโรคอีกวิธีหนึ่งก็คือการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งเป็นวิธีที่แพงมากค่าใช้จ่ายในการรักษาก็ราคา1-3แสนบาทเป็นอย่างต่ำ มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่คุณหมอต้นธาราเป็น คือมะเร็งชนิดเรื้อรังแล้วอาการค่อยๆปรากฏเป็นชนิดแบบเฉียบพลันผมถึงบอกว่าอาการของคุณหมอธารน่าห่วงมากๆ”
นายแพทย์อดิเรกแตะแขนขาวซีด
“จากรายงานที่อ่าน คุณหมอต้นธาราได้ทานยาอยู่สม่ำเสมอ อื้ม...มันช่วยลดความผิดปกติของตับและม้ามได้พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้เพราะคุณหมอไม่ได้เข้ารับรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ”
คิ้วของท่านนายพลเลิกขึ้น
“ยังไงครับ?”
อดิเรกจึงขยายความให้ท่านนายพลฟัง
“ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นจะมีอัตราการรอดชีวิตตามภูมิต้านทาน อาการที่จะเกิดขึ้นก็จะแสดงตามโรค เช่นกรณีของคุณหมอต้นธารานั้นจะมีอาการซีดเหลือง เลือดออกง่ายโดยเฉพาะเลือดออกตามใต้ผิวหนังจะปรากฏให้เห็นเป็นรอยจ้ำๆตามแขน ขา และยังพบอาการ ตับ ม้ามและต่อมน้ำเหลืองโตซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการทำงานของไขกระดูกผิดปกติจึงทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น”
สายตาอ่อนโยนจับจ้องบุคคลทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ส่วนการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นเป็นวิธีที่ยุ่งยาก ซับซ้อนเนื่องจากต้องอาศัยเนื้อเยื่อไขกระดูกที่เข้ากันได้กับคนที่เป็นโรคนี้เท่านั้นจึงจะปลูกถ่ายได้ ประกอบกับขั้นตอนต่างๆตั้งแต่การเก็บไขกระดูก การปลูกถ่ายไปจนถึงการดูแลผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็มีปัญหายุ่งยากมากเป็นพิเศษ”
นายแพทย์อดิเรกเว้นไป รอให้คนฟังทำความเข้าใจกับคำพูดก่อน
“ครับ...แล้วการปลูกถ่ายกระดูกนี้มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง”
พอมาถึงจุดนี้ นายแพทย์อดิเรกหยิบแผ่นผับขึ้นมาส่งให้แก่บุคคลทั้งสอง
“อันดับแรกคือต้องหาไขกระดูกที่เข้ากันได้กับคุณหมอต้นธารามาก่อนครับ ซึ่งโอกาสมันหายากมาก”
ท่านนายพลทำสีหน้าว่าเข้าใจเพราะตนก็ตรวจดูไขกระดูกแล้ว ไม่อาจเข้ากับลูกได้
“เราไม่รู้ว่าใครจะมีไขกระดูกตรงกับคุณหมอบ้าง เลยต้องใช้วิธีรักษาแบบเคมีบำบัดไปพลางๆก่อน”
นายแพทย์แนะนำ ท่านนายพลวางเอกสารลง
“แล้วผมต้องทำอย่างไรดีครับ รู้สึกว่าเจอทางตันเสียเหลือเกิน”
น้ำเสียงแฝงความกลุ้มใจ ต้นธาราที่นั่งนิ่งมานานมองดวงตาแกร่งที่วูบไป
“พ่อครับ...”ชายหนุ่มเรียกเสียงอ่อน ใบหน้านั้นดูจริงจัง
“ให้ผมรักษาแบบเคมีบำบัดเถอะครับ”ท่านนายพลจ้องหน้าบุตร
“ธารพ่ออยากจะให้เจ้าหายขาดนะ...”
ท่านว่า ต้นธาราเข้าใจดีถึงความหวังดีและความปรารถนาของบิดา
“ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อนะ หากเจ้าจากไปอีกคนพ่อก็คงใจสลาย”
ท่านว่า ต้นธาราเงียบกริบ นายแพทย์อดิเรกมองสองพ่อลูกก่อนจะเอ่ยแทรก
“ยังมีความหวังห้าสิบ-ห้าสิบครับท่านนายพล”
แม้จะรู้ว่ามีความหวังครึ่งต่อครึ่ง หากในใจลึกๆของผู้เป็นบิดาย่อมทุกข์เป็นธรรมดา
“หากสงสัยอะไรก็ปรึกษาผมได้ตลอดนะครับ”
ท่านนายพลหันมองนายแพทย์อดิเรกก่อนจะเอ่ยความทุกข์ในอก
“ผมกลุ้มอยู่ว่าจะหาไขกระดูกที่ตรงกับของธารได้จากที่ไหน หากหาก็นาน”
ท่านบ่นด้วยความเศร้าสร้อย คุณหมออดิเรกมองแฟ้มประวัติ
“คุณหมอต้นธารากรุ๊ปเลือดBหากต้องการปลูกถ่ายไขกระดูกใหม่ก็ต้องหาที่ตรงกับผู้ป่วยมากที่สุดโดยตรวจจากองค์ประกอบของเลือดหรือHLAไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิต วิธีที่ง่ายสุดก็น่าจะประกาศหาผู้บริจาคน่ะครับถึงมันจะนานไปก็เถอะ แต่ก็ทำให้มีโอกาสสูงที่จะหาย หากมีผู้รับบริจาค การบริจาคอันดับแรกก็ต้องตรวจองค์ประกอบของเลือดก่อนโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะเจาะเลือดประมาณ20ซีซีเพื่อนำไปตรวจ หากมีองค์ประกอบเข้ากันได้แพทย์ก็นะนัดพบอีกครั้ง การบริจาคจะมีอยู่2ขั้นตอนนั้นก็คือการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดทางกระแสเลือด วิธีนี้จะคล้ายกับการบริจาคเลือด หากวิธีนี้ใช้เวลานานคือประมาณสามชั่วโมงโดยทั่วไปจะเก็บ2-4ครั้งเพื่อให้ได้จำนวนเซลล์ที่มากพอแต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้บริจาค”
นายแพทย์อดิเรกหยุดไป แล้วก็กล่าวบอกแก่ท่านนายพลเมื่อเห็นสีหน้าของท่าน
“ในการบริจาคผู้บริจาคจะได้รับการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวก่อนบริจาคทุกวันวันละหนึ่งครั้งเป็นระยะเวลา4-5วัน เราจะเก็บเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อนำไปปลูกถ่ายแล้วส่งเลือดที่เหลือกลับคืนสู่ผู้บริจาค แต่ในการบริจาคจะทำให้ผู้บริจาคเกิดอาการชาก็ไม่ต้องห่วงอีกเหมือนกันครับเพราะทางผู้บริจาคจะได้แคลเซียมไปรับประทาน อาการผลข้างเคียงของการบริจาคเซลล์ก็คือจะชารอบปาก ปลายมือปลายเท้าเราจะฉีด calcium gluconateให้ในรายที่มีอาการมากๆ”
นายแพทย์อดิเรกเงียบเมื่อนางพยาบาลสาวมาเสิร์ฟน้ำ ต้นธาราจึงมีโอกาสเอ่ยแทรก
“พ่อครับผมอยากจะ...”
ท่านนายพลพิภพรู้ดีว่าลูกชายคิดอะไรอยู่จึงส่งสายตาบอกให้เงียบ ต้นธาราจะอ้าปากค้านอีกสุดท้ายก็แพ้ นายแพทย์รอให้สองพ่อลูกคุยกันจนเสร็จจึงเอ่ยต่อ
“เรามาต่อวิธีที่สองกันเลยนะครับ วิธีที่สองก็คือการเก็บไขกระดูกจากโพรงกระดูก โดยวิธีนี้จะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กโดยแพทย์จะวางยาสลบแล้วทำการเจาะเอากระดูกจากบริเวณสะโพกของผู้บริจาคโดยสองอาทิตย์ก่อนบริจาคผู้บริจาคต้องมาบริจาคเลือดเก็บไว้ที่ธนาคารเลือด เพื่อใช้หลังบริจาค อาการหรือผลกระทบของการบริจาคในครั้งนี้ก็คือ เมื่อฟื้นจากยาสลบผู้บริจาคอาจรู้สึกเจ็บคอ คอแห้ง คลื่นไส้อาเจียนโดยอาการต่างๆจะหายไปในไม่ช้า หากผู้บริจาคเกิดปวดแผลซึ่งจะมีอาการ2-3วันทางแพทย์จะสั่งยาแก้ปวดให้แล้วผู้บริจาคจะได้รับเลือดที่ตัวเองบริจาคไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากทำแผลโดยที่ผู้บริจาคต้องทายยาบำรุงเลือดสักระยะหนึ่ง นี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับการบริจาคครับ”
นายแพทย์หนุ่มสรุป ท่านนายพลถอนใจเฮือก
“หากได้ผู้รับบริจาคแล้วต้องทำแบบนี้ใช่ไหมครับ ผมอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมอีก คุณสมบัติของผู้บริจาคต้องเป็นอย่างไรครับ”
นายแพทย์อดิเรกรื้อเอกสารจากในแฟ้มขึ้นมา ท่านนายพลรับมากวาดสายตาดูคร่าวๆก่อนจะรับฟังคุณสมบัติของผู้บริจาค
“เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของผู้บริจาคมีดังนี้ครับ เป็นผู้ที่มีอายุระหว่างถึง20-55ปี น้ำหนักไม่ต่ำกว่า45กิโลกรัม เพราะหากน้ำหนักน้อยจะไม่สามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดได้เพียงพอต่อการปลูกถ่ายไขกระดูก ข้อสองต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีประวัติการติดเชื้อต่างๆเช่นตับอักเสบ เอดส์ สามเป็นผู้ที่มีเชื้อสายเอเชียตะวันออกหรือเอเชียใต้เพราะถ้าเป็นเชื้อชาติอื่นจะมีเซลล์ต้นกำเนิดที่เหมือนผู้ป่วยน้อยมากแต่ในการบริจาคนี้จะต้องได้รับการยินยอมจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัวก่อนเพราะมันเคยมีกรณีที่ไขกระดูกตรงกันแต่คู่สมรสหรือว่าทางครอบครัวไม่ยอมให้บริจาคเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก”
นายพลพิภพเคาะแผ่นกระดาษกับตัว
“แล้วสองวีธีนี้วิธีไหนดีกว่ากันครับ”
“โดยทั่วไปแล้วส่วนมากจะเลือกวิธีที่สองครับ แต่ละวิธีก็มีข้อเสียต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพของโรคด้วย”
แพทย์หนุ่มตอบคำถามของท่านนายพล ต้นธาราสบสายตาบิดาอีกครั้ง ท่านนายพลพิภพเอ่ยอย่างมุ่งมั่น
“พ่อจะหาคนบริจาคให้ลูกให้ ธารอดทนหน่อยนะ”
สายตาแรงกล้าของผู้เป็นบิดาทำให้ลูกชายซึ้งใจ ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะตายมันกลับสั่นคลอนแคลน เขาทำตัวแบบนี้พ่อก็ยังรัก เฝ้าทนุถนอมดูแล
“ผมขอบคุณครับ”ชายหนุ่มยกมือไหว้บิดา ท่านนายพลใช้ดวงตาอ่อนโยนมองดูบุตร
“พ่อทำให้เจ้ามีความสุข พ่อก็ดีใจแล้ว...”
สิ่งที่พ่อเคยบอกมาตลอด หลังมือขาวสะอาดเช็ดน้ำตาที่ไหลซึม
“ต้องขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ”
คำขอบคุณทำให้ดวงตาคุณหมอยิ้มตาหยีอีกครั้ง อดิเรกลุกขึ้น
“เสร็จแล้วครับ เชิญท่านนายพลและคุณหมอต้นธาราพักตามสบายนะครับ หากมีสิ่งใดเรียกใช้ก็เรียกใช้ได้ตามสะดวกนะครับ”
ต้นธาราอยู่กับบิดาตามลำพัง ท่านใช้สายตาจับจ้องเสี้ยวหน้าซีดขาว
“ธารแม้มันจะลำบากแต่รู้ไว้นะว่าพ่อทำเพื่อลูกเสมอ เรื่องบางเรื่องเจ้าอาจจะไม่เข้าใจพ่อดีนักพ่อก็ขอโทษ”
ชายหนุ่มก้มหน้าสำนึกผิด
“ผมเข้าใจครับ บางครั้งผมก็ดื้อแพ่งกับพ่อมากเหมือนกัน”
คุณหมอหนุ่มว่า ท่านจับแขนเย็นๆ
“เจ้ายังคิดถึงเรื่องผู้กองนาคีอยู่รึ”
ต้นธาราผงกหัว
“...มันลืมยากเหลือเกิน คิดจะลืมก็กลัวทุกที”
ต้นแขนรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ
“แล้วเรื่องของผู้กองภานุล่ะเจ้าคิดอย่างไร พ่อไม่เข้าใจเจ้าเลยนะธาร”