พิมพ์หน้านี้ - ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-04-2008 21:25:13

หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-04-2008 21:25:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
ให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่า

++++++++++++++++++++++++++++++++++

นิยายเรื่องนี้ได้รับอนุญาตจากคุณ Rain-at-Rose แล้ว
ขอความกรุณาเพื่อนๆ อย่านำเอาเรื่องราวในเรื่องนี้ไปเผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตนะ

เครดิตเรื่องนี้ยกให้ป้า RN ที่เป็นคนแนะนำนิยายเรื่องนี้  บอกว่าสนุกมากกกกกกกก (ช่วยโม้555)  แล้วก็ให้เรากับ Poes ไปอ่าน  อ่านแล้วสนุกจริงๆแฮะ   เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา  ภาษาสวยงาม และโครงเรื่องแปลกไปจากนิยายเรื่องอื่นๆ ที่มีในเล้า  ที่สำคัญคนแต่งมีวินัยและค้นคว้าข้อมูลมาดีทีเดียว  เลยขออนุญาติท่านน้องเรนนำนิยายดีๆ แบบนี้มาลงให้เพื่อนในเล้าได้อ่านกัน  ขอบคุณเรนไว้ด้วยนะจ๊ะ   

อ่อ  ท่านน้องเรนฝากบอกว่า  ช่วยคอมเม้นต์ติชมกันด้วยน้า  อยากรู้ว่าเพื่อนๆ คิดยังไง  จะได้นำไปปรับปรุงสำหรับเรื่องต่อๆ ไป  ขอบคุณค้าบบบบ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรักเสน่หา

ขอแค่คำบอกรักสักเศษเสี้ยวเขาคนนั้นคงไม่มีให้นอกจากคำว่าแพศยา เจ็บปวดที่สุดเมื่อได้ยินคำว่าร่านราคะ ทุกสิ่งที่ทำชวนเจ็บปวดใจและมันไร้ความรัก แค่ความผิดเพียงครั้งเดียวจุดชนวนให้ชายผู้นั้นชิงชัง

(http://i140.photobucket.com/albums/r14/pimduen/11927288.jpg)

ต้นธารา...ยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง ย้ายมาเป็นแพทย์อาสาสมัครในชายแดนอันห่างไกลความเจริญเพียงเพื่อจะมาตามหารักแรกพบ

ภานุ...รักแรกพบของต้นธารา นายทหารยศ ร้อยเอก ดุดัน แข็งกร้าว รู้สึกไม่ชอบใจต้นธาราตั้งแต่เเรกเห็น ความรู้สึกไม่พอใจแปรเปลี่ยนเป็นความชิงชัง เมื่อต้นธาราเป็นชนวนให้เพื่อนรักของเขาตาย

ความสัมพันธ์ผูกพันเริ่มด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง ของอีกฝ่าย ต้นธารายอมรับสภาพนั้น เพียงเพื่อหวังเล็กๆในหัวใจว่าสักวันภานุจะหันมองตัวเองด้วยความรัก แทนความชิงชัง หรือสักวันนั้นคงได้แต่รอ?

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V24474FP0&Autoplay=1

สารบัญ  ห้วงรักเสน่หา

ห้วงรัก:1 First Sight/แรกพบ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg189667#msg189667)   l*l   
 ห้วงรัก: 1.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg190257#msg190257)   l*l   
 ห้วงรัก: 1.2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg191108#msg191108)   l*l   
 ห้วงรัก:2 Mistake/เข้าใจผิด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg192075#msg192075)   l*l   
 ห้วงรัก:3Lust/เสน่หา  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg193286#msg193286)   l*l   
 ห้วงรัก: 3.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg193694#msg193694)   l*l   
 ห้วงรัก4 Retrospection /หวนรำลึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg195114#msg195114)   l*l   
 ห้วงรัก: 4.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg195358#msg195358)   l*l   
 ห้วงรัก: 4.2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg195943#msg195943)   l*l 
 ห้วงรัก5 Sorrowful/ความเศร้าเสียใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg197126#msg197126)   l*l   
 ห้วงรัก: 5.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg198448#msg198448)   l*l   
 ห้วงรัก: 6 charades/ปริศนาแห่งความรู้สึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg201693#msg201693)  l*l 
 ห้วงรัก:7 meet with/พบเจอกันอีกครั้ง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg203256#msg203256)  l*l   
 ห้วงรัก:8 Task/ภารกิจ(Part)1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg204379#msg204379)  l*l 
 ห้วงรัก:9 Task/ภารกิจ(PART2)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg205657#msg205657)   l*l   
 ห้วงรัก:10 h-hour /แผนการโจมตี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg208081#msg208081)   l*l   
 ห้วงรัก:10-1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg209153#msg209153)   l*l    ห้วงรัก:12 hack/แผนปะทะ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg210024#msg210024)   l*l 
 ห้วงรัก:ตอนพิเศษ 1First Sight:.: Once Day Once Dream  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg211813#msg211813)   l*l   
 ห้วงรัก:ตอนพิเศษหนึ่งหน้าในสมุดบันทึก หน้าที่1 : Douceur memoire (sweet memory)   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg212636#msg212636)   l*l   
 ห้วงรัก:ตอนพิเศษ หนึ่งหน้าในสมุดบันทึก(จบตอนพิเศษ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg214922#msg214922)   l*l   
 ห้วงรัก:13 Harmful/เผชิญหน้า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg217282#msg217282)   l*l   
 ห้วงรัก:14 Absolve/สำนึกแห่งความรู้สึกผิด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg217961#msg217961)   l*l   
 ห้วงรัก:15 combat/เสียที  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg219040#msg219040)   l*l   
 ห้วงรัก:16/risk/ฝ่าวงล้อม  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg221092#msg221092)   l*l 
 ห้วงรัก17 lacerated/หัวใจที่แสนทรมาน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg223224#msg223224)   l*l   
 ห้วงรัก:18 sabotage/หลีกหนี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg224489#msg224489)   l*l   
 ห้วงรัก:19 Fabian /สิ้นสุด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg225846#msg225846)   l*l   
 ห้วงรัก20 lachrymal/ความจริง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg226943#msg226943)   l*l   
ห้วงรัก21 dream/ ความฝันหนึ่งและความเป็นจริงของหัวใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg229193#msg229193)   l*l   
 ห้วงรัก22 Back To home/กลับสู่ฐาน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg231559#msg231559)   l*l   
 ห้วงรัก23 keepsake/สถานที่แห่งความทรงจำ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg233537#msg233537)   l*l   
 ห้วงรัก24/loveless/ หัวใจที่ว่างเปล่า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg234652#msg234652)   l*l   
 ห้วงรัก25 Estimated time of departure/ การจากลาของความรู้สึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg235988#msg235988)   l*l   ห้วงรักเสน่หา  ตอนพิเศษ “Brown Eyes”  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg400059#msg400059)   l*l   

สารบัญ  เกียรติยศ กบฏหัวใจ (Fire of the Desire)

 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 1 Fate/ พบเจอบนพรหมลิขิต  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg237877#msg237877) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 2 Trust/ ไว้วางใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg239369#msg239369) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 3  Trust/ ไว้วางใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg245524#msg245524) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 4 Pain/ ความปวดร้าว  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg262022#msg262022) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 5 sensibilité/ หวั่นไหว [Part1]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg264291#msg264291) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 6 sensibilité/ หวั่นไหว  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg268871#msg268871) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 7 sensibilité/ หวั่นไหว [Part3]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg271780#msg271780) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 8 sensibilité/ หวั่นไหว [Part4]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg278636#msg278636) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 9 confession / คำสารภาพ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg280460#msg280460) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 10 Confession/ คำสารภาพ [Part2]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg281457#msg281457) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 11 Confession/ คำสารภาพ [Part3]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg288224#msg288224) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 12 Kill/ตามล่า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg293623#msg293623)   l*l   
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 13 Kill/ตามล่า [Part2]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg296111#msg296111) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 14 Under The Rose/ความลับในความรู้สึก [Part1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg302325#msg302325) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 15 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part 2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg311249#msg311249) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 16 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg312193#msg312193) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 17 L'honneur - L'amour: เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 1]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg313887#msg313887) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 18 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg320719#msg320719) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 19 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg331828#msg331828) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 20 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 4]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg334076#msg334076) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 21 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 5] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg340108#msg340108) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 22 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 6] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg342317#msg342317) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 23 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 7]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg348481#msg348481) l*l
  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 24 I Will Farewell : คำตอบในหัวใจ [Part 1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg352414#msg352414) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 25 Enemy : ศัตรู [Part 1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg353748#msg353748) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 26 Enemy : ศัตรู [Part 2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg360245#msg360245) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 27 Enemy : ศัตรู [Part 3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg361619#msg361619) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 28 Enemy : ศัตรู [Part 4] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg363015#msg363015) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 29 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg365472#msg365472) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 30 Sweet Memorial/ ความทรงจำแสนรัก (Part 2)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg367037#msg367037) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 31 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART3)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg368628#msg368628) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 32 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg371553#msg371553) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 33 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg374260#msg374260) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 34 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg379115#msg379115) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 35 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART4)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg380437#msg380437) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 36 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART5) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg388135#msg388135) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 37 Timeless / ทรยศ (PART 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg390971#msg390971) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 38 Timeless / ทรยศ (PART 2)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg392721#msg392721) l*l
 บทส่งท้ายTimeless  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg393994#msg393994) l*l
 End ตอนอวสาน หน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg396695#msg396695) l*l
Writer’s Talk  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg396712#msg396712) l*l   
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-04-2008 21:32:39
ห้วงรัก:1 First Sight/แรกพบ


เสียงระเบิดดังกึงก้องตรงแนวชายเขาสีเขียว เปลวไฟพวยพุ่งเสียงร้องโอดโอย ปนกับเสียงปืนที่ดังเป็นตับก่อนจะหยุดลงในเวลาไม่นาน

"สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง"

ชายหนุ่มร่างสูง ตัวบึกบึน ผิวสีเข้ม ใบหน้าดำมะเมื่อมไปด้วยถ่านเหลือเพียงดวงตาแกร่งยกมือทำวันทยหัตถ์ก่อนฟันมือลงอย่างแข็งแกร่ง รับความเคารพจากชุดทหารลายพรางสีเขียวเก่ามอซอ เปื้อนเศษดินสีดำ หมวกเหล็กเสียบกิ่งไม้ บ่าหนาสะพานปืนหน้าเคร่งเครียดรอรับฟังสถานการณ์ของลูกน้อง

"ทางศัตรูถอยไปแล้วครับ พวกมันหนีไปทางทิศเหนือแตกรังไม่เป็นท่าเลยครับ"

ทหารลาดตระเวน แต่งชุดเหมือนกันเพียงแต่ขีดและยศต่ำกว่าเท่านั้นรายงาน

"แล้วคนเจ็บและคนตายล่ะเป็นอย่างไร สิบตรีอิสระ?"

ดวงตาแกร่งเหลียวมองลูกน้องที่หลบอยู่ในบังเกอร์ ดวงตามุ่งมั่น ฉายชัดบนสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือเต็มไปด้วยความอยากจะประหัตประหารข้าศึกให้เป็นจุณ

"ฝ่ายเราบาดเจ็บที่ขาสองคนครับ คือสิบเอกธาวิทย์กับจ่าประกิตนอกนั้นก็แค่ฟกช้ำเล็กๆน้อยๆครับผู้กองภานุ"

ชายผู้เป็นหัวหน้าสายตระเวนผงกหัวผงกหัว

"ขณะนี้ทางแพทย์สนามกำลังห้ามเลือดและส่งกลับค่ายใหญ่โดยเฮลิคอปเตอร์อยู่ครับ"

เสียงรายงานเข้มแข็งปนกับเสียงสั่นพั่บๆของเฮลิคอปเตอร์ลำโตที่บินเหนือท้องฟ้า ภานุมองสีขอบฟ้า ควันจากระเบิดยังกรุ่นอยู่

"ดีมาก แล้วความเสียหายจากฝ่ายศัตรูล่ะ?"

สิบตรีอิสระอมยิ้ม รายงานอย่างภาคภูมิต่อผลงานที่ได้กระทำ

"ผู้กองสามารถยิงตัวหัวหน้าเป้งได้คนหนึ่งครับ นอกนั้นก็เป็นพวกลูกกระจอก"

ภานุตบบ่าให้กำลังลูกน้องก่อนจะสั่งเคลื่อนพลกลับฐาน เมื่อจบภารกิจการลาดตระเวนชายแดนที่กำลังมีสงครามติดพัน รถทหารบรรทุกลูกน้องจำนวนสิบแปดชีวิตกลับฐาน ตลอดเวลาเสียงอันดังก้องของล้อใหญ่บดถนน และสภาพถนนขรุขระ ฝุ่นคลุ้งมิได้ทำให้ทหารชาญชัยอยู่บนรถปริปากบ่นได้ ทุกคนต่างนั่งเงียบกริบ บ้างก็นั่งงีบ บ้างก็พูดคุยเบาๆ เป็นเพราะเกรงใจหัวหน้าใหญ่ที่นั่งไขว่ห้าง ดวงตาปิดสนิท หมวกเหล็กวางบนตักจนกระทั่งถึงค่ายขนาดใหญ่ ณ หมู่บ้านชายแดนภาคเหนืออันห่างไกลจากความเจริญที่มีทหารพม่าเข้ามารุกราน ปล้นสะดม ยึดทรัพย์สินชาวบ้านอยู่เนื่องๆจึงเป็นหน้าที่ ที่ร้อยเอกภานุต้องเข้ามาปราบปรามและเริ่มทำสงครามเมื่อเหล่ากองโจรเพิ่มมากขึ้น อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเรียกเอาจากหน่วยเหนือซึ่งเป็นฐานใหญ่ห่างจากที่นี่ไปร้อยยี่สิบกิโล การขนส่งที่ทำได้สะดวกที่สุดคือเครื่องบิน ลูกกระสุน ระเบิดน้อยหน่า ปืนใหญ่ต่างนำมาเก็บในคลังแสงซึ่งทำเป็นโกดังขนาดย่อมๆห่างจากหมู่บ้าน เฝ้าเวรยามอย่างเข้มแข็ง อาวุธที่นานๆขนมาครั้งนั้นสร้างความลำบากให้แก่หน่วยลาดตระเวนชายแดนไม่น้อย เพราะนอกจากจะขาดคนแล้ว อาวุธก็ยังไม่เพียงพอ แถมหยูกยาและหมอก็ขาดแคลนสภาพในค่ายจึงอยู่ในสภาพร่อแร่รอคอยการสนับสนุนจากทางกองทัพ จนถึงใกล้วันที่ทุกอย่างใกล้จบสิ้น ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างล้มป่วยเพราะโรคระบาด เหล่ากองโจรต่างเข้ามารุกรานเรื่อยๆเพื่อยึดอำนาจ ภานุซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในค่ายเล็กๆได้เขียนจดหมายร้องเรียนพร้อมกับร้องขอให้ค่ายใหญ่ช่วยจัดส่งกำลังคนพร้อมอาวุธมาให้ หลังจากที่เขียนจดหมายร้องเรียนไปนาน เฮลิคอปเตอร์ก็ได้ส่งทีมแพทย์อาสาสมัครมาพร้อมกับอุปกรณ์เครื่องมือ ยาและอาวุธ มันทำให้ภานุพอใจอยู่หรอกถ้าไม่นับรวมคุณหมอหนุ่มนามว่าต้นธารา...

------------------------------------------------

คณะนักรบกลับมาแล้ว ทุกคนต่างเหนื่อยอ่อนอยากจะพักผ่อน หมดแรง ผู้กองหนุ่มกระโดดลงจากหลังรถสั่งพลทหารทุกนายให้เก็บสัมภาระ อาวุธจำพวกปืนตรวจสอบก่อนเก็บเข้าคลังแสง เสียงล้งเล้งๆ เอะอะ ภานุถอดหมวกเหล็กออกเดินไปในฐาน

"กลับมาแล้วหรือ พ่อหนุ่มเลือดร้อน"

ผู้พันมีทรัพย์ถามระหว่างนั่งจิบกาแฟภายในบ้านไม้หลังโตที่ทำเป็นฐานทัพ ชายหนุ่มปลดปืนพกออก นำซองกระสุนโยนลงบนโต๊ะเสียงดังโครม ผู้พันมีทรัพย์เหลือบมอง

"ไง เป็นอะไรล่ะถึงได้เลือดร้อนนัก"

ชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยลุกขึ้น หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ก่อนจะโยนซองบุหรี่ให้ มันเป็นใบตองยัดยาเส้น ภานุหยิบมันมาจุดไฟแช็กสูบควันลอยอ้อยอิ่ง

"ก็ไอ้โจรห้าร้อยนั้นน่ะสิ มันเก่งฉิบหาย โจมตีหน่วยเราแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย"ชายหนุ่มด่า ทุบโต๊ะดังปัง

"เอาน่า จะโกรธไปทำไม ก็เขาชำนาญพื้นที่ดีกว่าเรานี่หว่า ดีแล้วที่แกไม่ตกหลุมขวากของมัน"

ชายอาวุโสหัวเราะ ชายหนุ่มพิงเก้าอี้

"เอ็งไม่เหนื่อยมั่งรึ ทำไมไม่ไปพักเสียล่ะ รบกลับมาก็มานั่งสูบบุหรี่ปุ๋ยๆ ถ้าเป็นข้านะจะไปหาแม่สาวสักคนมานอนกอดสักคืน ไม่ก็หลับเป็นตาย"

ผู้พันมีทรัพย์แนะนำชายหนุ่มเลือดร้อน

"ผู้พันไม่บอก ผมก็คิดทำอยู่แล้ว"

ร้อยเอกภานุหยิบเสื้อนอกเปื้อนฝุ่น

"เช็ดหน้าดำเป็นเมี่ยงแกออกก่อนล่ะ ถ้าไม่อยากให้สาวๆตื่นตกใจ"

ชายหนุ่มเดินออกมา เขาใช้เสื้อสีเขียวลายพรางเช็ดใบหน้า สายตาเหลือบมองไปยังโรงพยาบาลเล็กๆที่ตั้งเคียงกัน ธงสีขาวมีกากบาทสีแดงพัดโบกตามสายลมของขุนเขาพัดโบก เหล่าชายหนุ่มหญิงสาวที่รักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เสียสละตัวเอง ยอมเสี่ยงภัยมาอยู่ดินแดนห่างไกล วุ่นวายอยู่ภายใน ชายหนุ่มตัดใจเดินไปดู ร่างรีบเร่งในเสื้อกาวน์สีขาวเดินออกจากประตูโดยไม่มอง พร้อมกับชนภานุกระเด็นล้มไปเต็มๆ เสียงร้องโอยดังแผ่วเบา ใบหน้านั่นเงยมองร่างสูงใหญ่ เสียงหัวเราะจะดังขึ้นก่อนที่ภานุจะถามเสียอีกว่าร่างที่ล้มลงเจ็บหรือเปล่า

"คุณไม่ล้างหน้าเสียหน่อยล่ะ"

น้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยนถาม ภานุส่งมือให้ ฝ่ามือบางเกาะเกี่ยว ชายหนุ่มฉุดร่างบางกว่าขึ้นมาอย่างง่ายดาย

"เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณหมอต้นธารา"

ใบหน้าของภานุเรียบเฉย มองใบหน้าใจดี แว่นเลื่อนออก นิ้วเรียวดันมันกลับไปที่เดิม

"ไม่เป็นไรครับผู้กอง คุณคงมองไม่เห็นสินะ"

เสียงหัวเราะใสๆอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มเฝ้ามองสีหน้าอ่อนละมุนนั้น เสียงหัวเราะทำให้แพทย์อาสาคนอื่นๆต่างละมือจากงานที่ทำมองชายหนุ่มร่างยักษ์ ที่ขวางประตูไว้กับคนร่างเล็กที่หัวเราะราวกับไม่รู้จักมารยาท

"เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะผู้กอง บาดเจ็บตรงไหนคะ"

มาริสาหนึ่งในแพทย์อาสาสมัคร เดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม ใบหน้าของเธอมีรอยกังวล คุณหมอต้นธาราเหลือบมองทันที

"ไม่เป็นไรหรอกครับ"

ชายหนุ่มบอก มาริสาหยิบผ้าเช็ดตัวชุบน้ำ ส่งให้ชายหนุ่มเช็ดคราบถ่าน เผยให้เห็นใบหน้าแกร่งคมเข้ม กรามเป็นนูน คุณหมอต้นธารารีๆรอๆ

"ผมแค่มาตรวจดูความเรียบร้อยเท่านั่น ขอบคุณมากครับคุณหมอมาริสา"

รอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้หญิงสาว มาริสาแทบละลายเมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เดินจากไป ต้นธาราส่งรายงานคนไข้ให้แก่มาริสา

"ฝากดูเดี๋ยวเดียวนะ"

ชายหนุ่มร่างผอมบางวิ่งไล่ตาม ร่างเล็กๆหอบหายใจเหนื่อยเพราะตามชายหนุ่มที่ก้าวฉับๆอย่างรวดเร็วแทบไม่ทัน

"ไปไหนครับคุณหมอ"

เสียงทักจากเหล่าทหาร ต้นธารายิ้มให้ ใบหน้านั่นอ่อนโยนลง เขาเป็นหมออาสาที่ใครๆต่างเคารพและรักใคร่ นับตั้งแต่เข้ามาประจำการ ชายหนุ่มร่างสูงชะงัก หันกลับมา

"คุณตามผมมาทำไม"

ภานุถามเสียงห้วนสั้น ต้นธารายิ้มให้

"ก็คุณเพิ่งกลับมาจากรบไม่ใช่เหรอ บาดเจ็บฟกช้ำตรงไหนหรือเปล่าล่ะ"

"น่ารำคาญ"

ชายหนุ่มพูดแค่นั้น สีหน้าของคุณหมอหนุ่มเจื่อนลง แต่สายตามองเห็นแผลถลอก เขานิ่งเงียบไปก่อนจะเป็นฝ่ายดึงคนตัวใหญ่กว่าให้ไปยังบ้านพักของเขาเอง ภานุเดินตามร่างบางต้อยๆ ต้นธาราผลักประตู

"นั่งอยู่ที่นั่นก่อนสิครับ"

ชายหนุ่มมองรอบๆห้องที่เป็นระเบียบเรียบร้อย แคร่นอนกับเก้าอี้ทำจากไม้ไผ่ ผ้าปูสีขาวสะอาดผิดกับห้องของเขาที่เป็นสีเหลืองมอๆ คุณหมอหยิบกล่องยาขึ้นมา พร้อมลำลี ลากเก้าอี้ไม้ไผ่เข้ามาใกล้ๆชายหนุ่มร่างยักษ์ เปิดขวดแอลกอฮอล ชุบลำลีเช็ดตรงแผลถลอก

"ถึงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าปล่อยไว้เชื้อโรคอาจจะเข้าไปได้"

น้ำเสียงนุ่มหูกล่าว ภานุนั่งนิ่ง เฝ้ามองเสี้ยวใบหน้า มองๆไปคุณหมอผู้นี้หน้าตาดียิ่งนัก มิน่าล่ะ เมื่อมาถึงค่ายเล็กๆแห่งนี้ต่างเป็นที่เกรียวกราวยิ่งนัก พอเช็ดเสร็จ ลำลีสกปรกโยนลงถังขยะ ชายหนุ่มแปะพลาสเตอร์ให้ ยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงาน

"เสร็จแล้วครับ"

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เรือนผมสีอ่อนลุกขึ้นเปิดหน้าต่างออกกว้าง

"ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย"ภานุกล่าว มองพลาสเตอร์ยาที่ต้นแขนของตัวเอง

"เชื้อโรคมันไม่กล้าเขามาใกล้คนอย่างผมหรอกครับ"

คนเป็นหมอยิ้ม

"ขืนคุณป่วยทั้งค่ายมิแย่เหรอ?"

ชายหนุ่มนิ่ง นิสัยแรกเห็นที่เขาไม่ชอบเลยก็คือรอยยิ้ม...มันเหมือนสวมหน้ากากถึงใครๆจะบอกว่าคุณหมอยิ้มได้อย่างนุ่นนวลก็เถอะ ภานุคิดโต้แต่ชายหนุ่มอีกคนกลับเดินเข้ามา

"ว่าแล้วนายต้องอยู่ที่นี่"

ภานุยิ้ม ชายผู้ที่เข้ามาทำความเคารพ

"สวัสดีครับคุณหมอ ผมขอตัวไอ้เสือยิ้มยากไปก่อนนะครับ"

"เชิญเลยครับผู้กองนาคี"

ภานุลุกขึ้น หยิบเสื้อ

"เอ็งมาทำอะไรอยู่ที่นี่"

ร้อยเอกนาคีถามเพื่อนสนิท ภานุบุ้ยหน้า

"ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาที่นี่หรอก แต่คุณหมองี่เง่านั่นลากข้ามาน่ะสิ"

ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ นาคีหันหลังมองคุณหมอ

"เอ็งไปว่าอะไรคุณหมอ เขาออกจะใจดี น่ารักก็น่ารัก"

ภานุมองดูเพื่อน"ตรงไหนวะที่แกมองว่าเขาน่ารัก"

สีหน้าของนาคีดูสดชื่นเมื่อเอ่ยถึงคุณหมอ

"ก็รอยยิ้มสิ ไม่มีใครยิ้มได้อย่างอ่อนโยนแบบนี้เลย"

ภานุได้รับฟังแล้วนิ่งไป

"เฮ้อ...แล้วเอ็งมาตามอะไรข้า"

ภานุเปลี่ยนเรื่อง เบื่อหน่ายที่ใครต่อใครชื่นชมคุณหมอผู้เสียสละ นาคีหยุดเพ้อถึงคุณหมอ

"ก็ผู้พันมีทรัพย์เรียกประชุมด่วนบอกว่าข้าศึกเริ่มเคลื่อนไหวแล้วนะสิ"

ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง น้ำเสียงเคร่งเครียด

"อื้ม..แล้วมีรายงานอะไรอีกไหม?"

นาคีส่ายหัว

"ต้องไปประชุมว่ะถึงรู้"
……………………………………………………………………………………

นายทหารทั้งสองต่างเดินไปยังฐานบังคับบัญชาการ

"แกได้หลับบ้างหรือยัง"

ผู้พันกล่าว หลังจากที่นาคีและภานุนั่งลง ภานุส่ายหัว

"ไม่ครับผู้พัน"

ชายหนุ่มเอ่ย แฝงความเบื่อหน่ายเล็กๆ

"เจ้านี่มันไปขลุกอยู่ที่บ้านคุณหมอมา"

นาคีกล่าว ผู้พันมีทรัพย์เพียงเลิกคิ้ว

"โฮ่...ไปทำอะไรอยู่ที่บ้านคุณหมอรูปงามล่ะ เห็นเอ็งดูไม่ถูกกับเขาไม่ใช่หรือ"

นายทหารอาวุโสกล่าวหยอก เพราะครั้งแรกที่ภานุและคุณหมอต้นธารามาเจอกัน ฝ่ายภานุจะเดินหนีไปเสมอ

"แล้วผู้พันมีเรื่องอะไรครับ"

เขารีบวกกลับมาเข้าเรื่อง เพราะว่าดูทุกคนจะพูดถึงแต่คุณหมอเสียแล้ว

"ก็เรื่องเดิมๆแหละ ภานุนำคนออกไปสืบเสาะหาข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวก็ฝ่ายตรงข้ามทีสิ ได้ข่าวไม่ดีมาว่ามันได้ปืนใหญ่มาด้วย"

"ได้ครับผู้พัน"ชายหนุ่มรับ

"ร้อยเอกนาคีจัดเตรียมกองกำลังป้องกันไว้ เตรียมให้พร้อมอยู่เสมอนะ"

"ครับผู้พัน"

การประชุมเคร่งเครียดดำเนินมาช่วงระยะเวลาหนึ่งก็สิ้นสุด
…………………………………………………………………………………………………..

ภานุกลับที่พักของต้นเองซึ่งอยู่ตรงชายป่า มันเงียบสงบยิ่งนักและที่สำคัญเดินไปไม่ไกลจะมีลำธารใสสะอาดเอาไว้ใช้ ชายหนุ่มอ้าปากหาวรู้สึกง่วงเสียจริงๆ พอไปถึงบ้านพัก เขาก็เตะประตู เอนตัวล้มนอนหลับสนิท จนเกือบค่ำ

ภายในป่ามืดสนิท ชายหนุ่มรู้สึกร้อน เหนียวและคันไปทั่วตัวจึงฉวยผ้าขาวม้า สบู่และขันเดินไปที่ลำธาร วันนี้แสงจันทร์ส่องเป็นทางให้มองเห็นทุกอย่างชัดแจ้ง เสียงนกกลางคืน เสียงค่าง บ่างร้องโหยหวน ชายหนุ่มได้ยินเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มเขาก็เงี่ยหูฟัง ตั้งท่าเตรียมพร้อม พอเดินเข้าไปใกล้ เงาเล็กๆปรากฏชัดในสายตา ชายหนุ่มซ่อนตัวใกล้กับพุ่มไม้ รอให้อีกฝ่ายหันหลังก้มตัวจุ่มน้ำจึงพุ่งกระโจนรัดรอบลำคอ ร่างดิ้นขลุกๆ สะบัดให้หลุด เสียงน้ำแตกกระจาย ภานุกดหัวอีกฝ่ายจนจมน้ำแล้วค่อยดึงขึ้น

"อย่า..."

เสียงร้องขอวิงวอน พร้อมเสียงไอแค่กๆ ชายหนุ่มปล่อยท่อนแขนที่รัดต้นคอทันที ร่างที่ถูกรัดหล่นตูมลงน้ำ นิ้วเรียวเกาะกุมลำคอที่แดงเป็นปื้นน่ากลัว เสียงไอยังไม่จางหาย

"คุณหมอ"

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 25-04-2008 21:44:15
ขอเจิม+จิ้มพี่พิมพ์ก่อน

 :L2:
 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-04-2008 21:49:06
หุหุ คนที่สอง  :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nunyy ที่ 25-04-2008 21:53:20
เหอๆ คนที่ 3 เจ้าค่า  :m30:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 25-04-2008 21:56:10
เข้ามาติดตามและเป็นกำลังใจให้ครับ   :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 25-04-2008 22:11:30
 :oni1: มาอ่านด้วยคนค่า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: OT ที่ 25-04-2008 22:18:54
อ่านด้วยคน ๆ  :a5:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 25-04-2008 22:36:36



รักระหว่างรบ . . .

คิดถึงเจ้ารอยกับมิล่า  เลยอ่ะ


หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: HeretiC ที่ 25-04-2008 22:46:14
มากรี๊ดหนุ่มแว่นค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 25-04-2008 23:21:27
จะขยันกันไปถึงหนายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยพิมพ์สุดสวย เค้าอ่านไม่ทันแว้ววววววว   :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 25-04-2008 23:45:59
นึกถึงเรื่อง รอยอินทร์(เอ๊ะชื่อนี้หรือเปล่า  จำได้เเต่ปกล่าสุดของ นสพ.ว่าเป็นรูปผู้ชายที่ ดูเเล้วกรีดร้อง ไม่ใช่เจ้ารอยของช๊านนน) เรื่องเดียวกับพี่ต้นเลย  ฮ่าๆๆๆ

จะสปอยไหม ถ้าจะบอกว่าคนเขียน ใจร้าย

เป็นกำลังใจให้ทั้งคนโพสต์เเละคนเขียนค่ะ
/me ชิ่งเดส :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 25-04-2008 23:57:11
เรื่องใหม่มาอีกแล้ว ดู ท่าจะ เศร้าเคล้าความเจ็บปวด     :sad2:

จารออ่านจ้า พิมจุดจ๋วย   
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-04-2008 03:01:47
พิมเท่ร๊ากกกกกกก  :serius2: พิมพ์ชื่อเค้าผิดอะ Poes นะ ไม่ใช่  Pose  :o12: :o12:


อ่านเรื่องนี้แล้วอึดอัด สงสารหมอธาร  o7


เป็นกำลังใจให้พิมเท่ร๊ากกก หน้าม้าเคอะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 26-04-2008 04:41:58
 :impress: :impress: :impress:

เป็นกำลังใจให้ครับผม

น่าสนใจมากๆๆครับผม

แล้วมาต่อบ่อยๆๆนะครับผม

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 26-04-2008 07:22:17
พี่พิมพ์คนสวยยย  เก่งและสวย

ขยันจังเลยยยยยยย

ชอบๆๆเรื่องนี้อ่ะ  ชอบ ภานุ  ภานุ

อิอิ

ปล.พี่พิมพ์รีบมาลงเน้อออออ    o13 o13  +++พิมพ์ :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 26-04-2008 13:23:21
ตามมาทันแระ

ขอลิงก์ไปนึกว่าจะมาต่อ

เชอะ

มาต่อให้ว่องเลยนะค้าบบบบ





ลป.

เรื่องนั้นจัดการให้แระ อย่าลืมเชค พีเอ็มด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-04-2008 14:11:13
โอ่ พิมพ์มาเอง
 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-04-2008 20:56:43
ขอบคุณที่มาให้กำลังใจแทนน้องเรนน้า อิอิ  ต่อกันเลย 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชายหนุ่มอุทาน เมื่อเงานั่นชัดเจน ชายหนุ่มช่วยดึงให้ต้นธารานั่งบนโขดหิน

"คุณมาทำอะไรที่นี่"

ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม ภานุชี้เสื้อผ้าที่วางใกล้กับดงบอน น้ำที่เคยใสสะอาดกลับขุ่นเพราะการดิ้นรนเอาชีวิตรอด

"มาซักเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ คุณนี่บ้าหรือเปล่า รู้ไหมการอยู่ห่างจากค่ายและคนคอยคุ้มครองมันอันตรายขนาด
ไหน"

ชายหนุ่มด่าอย่างอารมณ์เสียที่ต้องเกือบเป็นฆาตกร

"ข...ขอโทษ"

คุณหมอหนุ่มพูด

"เห็นว่าที่นี่มันใกล้บ้านของคุณเลยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรก็เลยมา"

เสียงที่กล่าวออกกระท่อนกระแท่น ภานุเสยผม

"เดี๋ยวผมพาคุณกลับเอง ช่วยรออยู่ตรงนั้นเถอะ"

ชายหนุ่มถอดเสื้อยืดออก ต้นธาราหันหลัง

"วันนี้มันร้อน ก็เลยออกมาอาบน้ำ เห็นคุณนาคีเขาแนะนำที่นี่มา..."

เสียงเล็กๆแหบๆเอ่ย ภานุถูสบู่ทั่วร่าง พลางด่าว่าเจ้าเพื่อนชักจะยุ่งเกินไป

"คุณก็เลยคิดโง่ๆโดยการเดินท่อมๆมาที่นี่ตอนกลางคืน เพื่อมาอาบน้ำสระผมงั้นหรือครับ"

ชายหนุ่มเหน็บ ต้นธาราก้มหน้า

"เขตที่ผมพักอยู่ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์นัก ที่นี่อยู่ห่างจากผู้คน ตัวผมน่ะพอจะป้องกันตัวเองได้บ้าง ส่วนตัวคุณทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ระวังไว้เถอะพวกโจรห้าร้อยนั้นมันจะมาปาดคอขาวๆของคุณ"

สายน้ำไหลตามตัวเหมือนกับรูปปั้น นิ้วเรียวเกลี่ยหยดน้ำออกจากเส้นผม ภานุหอบกองเสื้อผ้าเปียกชื้นใส่ตะกร้าให้กับคุณหมอ รั้งร่างนั่นขึ้น ต้นธาราเดินโซเซเล็กน้อย

"คุณรออยู่ที่นี่ก่อนนะ"

ชายหนุ่มยกตะกร้าผ้าไปเก็บไว้บนบ้านของเขาก่อนที่จะมาอุ้มร่างของคุณหมอขึ้น

"เอ่อ...ด...เดินเองก็ได้..."

คุณหมอหนุ่มกล่าวและรู้สึกเขินเมื่อท่อนแขนแกร่งแรงโอบอุ้ม แก้มของเขาชิดหน้าอกร้อนผ่าว อบอุ่น

"สภาพแบบนี้หรือให้เดินเอง ผมว่ากว่าเราจะถึงบ้านคงเช้า"

ชายหนุ่มคนนี้ก็ชอบประชดเขาเหลือเกิน พอถึงบ้านพัก ร่างของต้นธาราก็ถูกวางลงตรงขั้นบันได

"รออยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะหาเสื้อผ้ามาให้"

ต้นธาราผงกหัว มองดูกระท่อมหลังเล็กๆที่มุงด้วยจาก ร่างกายสั่นเทาเบาๆจากสายลมที่พัดผ่าน ผ้าเช็ดตัวสีเขียวถูกยื่นมาให้ ต้นธาราตกใจเล็กน้อยแต่ก็นำมาเช็ดหัวให้แห้ง ซับน้ำออกให้หมด

"เอ่อ...ขอเสื้อเปลี่ยนได้ไหมครับ?"

ต้นธาราร้องขออย่างสุภาพมองชุดอยู่ในมือของชายหนุ่ม

"อ้อ...โทษที"

ภานุส่งเสื้อผ้าให้แก่คุณหมอ นิ้วเรียวแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดๆก่อนจะถอดมันออก เผยให้เห็นไหล่นวลเนียน ผิวขาวสะอาดตา

"เอ่อ...จะดื่มอะไรสักหน่อยไหม?"

ชายหนุ่มถามเบือนหน้าหนี คุณหมอหนุ่มมอง

"ขอบคุณครับ แต่ไม่จำเป็น เปลี่ยนเสื้อเสร็จผมก็จะกลับที่พักแล้วล่ะครับ"

พอใส่เสื้อของชายหนุ่มมันก็หลวมโพรกจนต้องพับแขนเสื้อขึ้น กางเกงก็เช่นกัน

"ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะซักคืนให้"

รอยยิ้มสวยงามผุดขึ้น ทั้งๆที่เขาคิดมาตลอดว่ามันเป็นรอยยิ้มของปีศาจ เป็นรอยยิ้มที่สร้างขึ้น แขนบอบบางยกตะกร้าหนักอึ้ง

"เดี๋ยว ผ้าน่ะตากที่นี่ก็ได้ คุณก็ขึ้นบ้านก่อนสิ วันพรุ่งนี้ค่อยกลับ"

ภานุกล่าว ต้นธาราลังเล แต่พอได้ยินคำกล่าวชวนอีกรอบหนึ่ง เขาก็นำผ้ามาแขวนกับราวที่ใช้ลวดขึง ในกระท่อม นั้นมีเพียงตู้ใส่หนังสือ เตียงนอนเหล็กขึ้นสนิมแล้วก็ข้าวของไม่กี่อย่าง ชายหนุ่มมองเครื่องแบบเต็มยศซึ่งแขวนไว้ตรงฝาผนัง มีถุงหุ้มกันฝุ่นเรียบร้อย

"นั่งก่อนสิ"

ภานุกล่าว ก่อนรินน้ำให้แก่คุณหมอหนุ่ม

"ที่นี่เงียบมากเลยนะครับ ต่างจากในค่าย"

คุณหมอกล่าว ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

" อยู่ตัวคนเดียวตรงชายป่า ไม่กลัวบ้างหรือครับ"

ภานุสั่นหัว เขาเฝ้ามองริมฝีปากอิ่มไม่กระพริบตา

"จะมีอะไรให้น่ากลัว"

ชายหนุ่มตอบเสียงสั่นพลิ้ว อีกฝ่ายยิ้มตรงดวงตา

"นั่นสิครับ แล้วคุณทำงานอาชีพทหารมากี่ปีแล้วล่ะ"

คุณหมอกล่าว นายทหารหนุ่มนิ่ง

"แล้วกัน นี่จะมาสัมภาษณ์อะไรผมล่ะ"ภานุนั่งตัวตรง

"ก็คุยกันไงครับ...หรือว่าจะเงียบก็ได้"

คุณหมอต้นธาราเอ่ยแล้วก็เงียบไปจริงๆ ภานุยอมแพ้จริงๆ

"ผมเป็นทหารมาได้สี่ปีแล้ว"

เขาตอบสั้นๆ รอยยิ้มนั่นยังไม่จางหายไป ดวงตาสวยเป็นประกายสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อย

"คุณง่วงแล้วนี่..."

ภานุกล่าว เขาลุกขึ้นเปิดทางให้

"เป็นแบบนี้ล่ะครับ ไม่เป็นไรหรอก ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังหน่อยนะครับ"

คุณหมอวิงวอน นายทหารหนุ่มนิ่ง

"เรื่องของผมมันน่าเบื่อจะตาย คุณต้องการรู้ไปทำไม"

ชายหนุ่มกล่าว เขาเอนหลังพิงเตียง สายตาสีน้ำตาลสบกับดวงตาสีดำ มันชวนให้ใจอ่อนเสียจริงๆ

"ทำไมคุณถึงเลือกจะมาอยู่ยังที่ห่างไกล แถมอันตรายเช่นนี้ล่ะ"

พอได้ยินคำถาม ร้อยเอกภานุยิ้มกับอดีต

"ผมเรียนอยู่ในโรงเรียนทหารตั้งแต่พ่อแม่ผมตายตอนเรียนจบผมเลยเลือกมาประจำอยู่ที่นี่ มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก"

เขาตอบ แล้วจ้องหน้าคุณหมอ

"แล้วคุณล่ะทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้"

ชายหนุ่มย้อนถามบ้าง รอยยิ้มเจือความง่วงงุ่นมอบให้

"ผม..."

คุณหมอหาวออกมา ภานุระเบิดเสียงหัวเราะ

"ผมว่าคุณหมอนอนดีกว่าครับ คงจะเหนื่อยเกินไปละสิ"

ชายหนุ่มลุกจากเตียงช่วยประคองร่างคุณหมอให้นอนบนเตียงเก่าๆ ดวงตาหลับเหมือนกับเด็ก ภานุยิ้ม...หากเจ้านาคีได้เห็นรับรองมันคงคลั่งใจตาย ชายหนุ่มลุกออกไปข้างนอก เสื้อผ้าคุณหมอสะบัดไปมา ดวงดาวอยู่ในป่านี่ทำไมมันช่างกระจ่างเสียจริง ชายหนุ่มสงบใจ...หากไม่มีสงคราม ไม่มีการสู่รบฆ่าฟันก็จะดีไม่น้อย เขามองเข้าไปข้างในห้อง คนที่นอนอยู่สงบใจเสียจริงๆ ชายหนุ่มคิดถึงคืนวันที่อยู่ในโรงเรียนทหาร มิตรภาพ ตอนนี้มันเป็นแค่อดีต..เงาของคนรักหายไปเพราะเขาเลือกจะมาฝังกายอยู่ในที่ไกลแสนไกล เป็นการตัดสินใจผิดหรือเปล่า หากเขายังเลือกประจำในที่ที่เจริญกว่านี้ ป่านนี้เขาคงได้ก้าวถึงขั้นนายพลอย่างแน่นอน ชายหนุ่มคิด ก่อนหยิบบุหรี่ป่าขึ้นมาจุด คนเราต่างมีเหตุผลที่ต้องเลือก...ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดที่เคยกับคนรักยามเธอห้ามไม่ให้เขามา...เลือกแล้วกลับคืนไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่ารอผมเลย...เขาเป็นคนพูดตัดขาดเอง ดวงดาวกระพริบแสง เมื่อไม่ได้ออกรบทำไมใจมันไม่สงบเอาเสียเลย เขาเดินเข้ามา ชายหนุ่มห่มผ้าให้คุณหมอ

...แรกๆที่ประจำอยู่ที่นี่ คุณหมอต้นธารามักจะมายุ่งกับเขาบ่อยๆจนภานุรำคาญใจต่อว่าต่อขานเท่าไรก็ไม่ยอมเลิกที่จะยุ่งกับเขา ชายหนุ่มจึงปล่อยมันเสีย ไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะเขามักไม่ค่อยอยู่ที่ฐาน นอกจากเสร็จสิ้นภารกิจ ชายหนุ่มก้มมองคุณหมอ ดวงหน้าเยาว์วัยกว่าอายุนั่นหลับสนิท เขาลองพิจดูว่ามีส่วนไหนบ้างที่ทำให้ทุกๆคนรักต้องชื่นชอบเจ้าหมองี่เง่านี่ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนๆ ท่าทีซ่อนความเย็นชาไว้ภายใน กับดวงตาสีน้ำตาลแสนแปลก...มันก็ผู้ชายธรรมดานี่น่า...ไม่เห็นมีส่วนไหนน่าสน ภานุลุกขึ้น

"ตรงส่วนไหนที่เจ้านาคีบอกว่าน่ารักกัน"

เขาพึมพำอยู่คนเดียว ไม่ทันไรเจ้าเพื่อนตายยากก็เดินเข้ามาหา

"มีอะไรว่ะ มาเสียดึกดื่น"

นาคีกระโดดขึ้นบันไดทีละขั้น

"เรื่องด่วนว่ะ "

ชายหนุ่มหอบ ภานุตักน้ำมาให้

"เออ แล้วอะไรว่ะเรื่องด่วนของเอ็ง"

นาคีดับไฟฉาย สีหน้าเครียด

"แพทย์สนามเราเกิดป่วยกะทันหัน ทางผู้พันเลยสั่งว่าขอตัวแพทย์อาสาใครก็ได้ติดตามไปกับหน่วยของแก"

น้ำเสียงเคร่งเครียด ภานุเหลือกตา

"เฮ้อ...ไม่จำเป็นก็ได้นี่ พวกข้าแค่ไปสอดแนมเดี๋ยวเดียวก็กลับ เอาไปเป็นภาระทำไมวะ"ชายหนุ่มออกความเห็น

"ข้าไม่รู้โว้ย เอ็งไปถามผู้พันสิว่ะมาถามอะไรข้า"เพื่อนปัด

"เออ แล้วแกจะทำอย่างไง หาใครไป ที่นี่มีแต่แพทย์ผู้หญิงซะด้วย"นาคีพึมพำ

"ก็ให้คุณหมอสุดน่ารักแกไปไง"ภานุว่า นาคีส่ายหัว

"เฮ้ย...แกอย่าพูดอย่างนี้สิ เอ่อ...ใช่...คุณหมอไปไหนว่ะ ข้าไปหาเขาที่บ้านพักกลับไม่เจอตัว"

เจ้าเพื่อนรักว่า ภานุชี้นิ้ว

"อยู่ในนั้น"เพื่อนซี้ที่สุดอ้าปากค้าง มองภานุอย่างอึ้งๆปนโกรธ

"เอ็งทำอะไรเขา"เพื่อนเค้นถาม

"ไหนเอ็งไม่ชอบขี้หน้าเขาไง เอ็งไปทำอะไรคุณหมอ"

ภานุปัดมือเพื่อนทิ้ง มองอย่างรำคาญ

"ใครจะไปทำคุณหมอของเอ็งกัน เห็นเดินเอ๋อมาอาบน้ำตรงลำธาร ข้าก็ตกใจหมดนึกว่าเป็นพวกศัตรูลอบเข้ามา"

ภานุกล่าว นาคีโล่งใจ

"แต่ข้าก็เกือบจะฆ่าเขาไปแล้วถ้ายั้งมือไม่ทันล่ะก็เสร็จ"เขาเสริม เพื่อนรักนิ่ง

"เอ็ง...เอ็งไม่ดูเลยเรอะ แล้วคุณหมอเป็นไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า"

ร้อยเอกภานุหัวเราะลั่น"เอ็งนี่ห่วงเขาอย่างกับเขาเป็นแฟนเอ็งจริงๆ"

"ก็คนมันห่วงผิดด้วยเหรอ"

"เออ เอ็งไม่ผิดหรอก ว่าแต่จะให้ใครไปร่วมลาดตะเวนชายแดนในวันพรุ่งนี้ล่ะ"

นาคีหนักใจ

"งั้นคำสั่งของข้า ขอให้คุณหมอต้นธาราร่วมงานกับเรา"

เจ้าเพื่อนรักอึ้ง

"แกมีสิทธิ์ไปคุ้มครองเขาได้"

ก่อนจะไล่กลับนาคีขอไปดูคุณหมอ แต่ภานุกลับถีบเกือบตกบันได

"รีบกลับไปนู้นไป พรุ่งนี้เช้าข้าจะบอกเขาเองถ้าไม่อยากเห็นคนที่แกชื่นชมโกรธแกก็รีบไปเสีย"

นาคีตัดใจ พอเจ้าเพื่อนรักกลับไป เขาก็มองร่างบาง ก่อนจะนำผ้าห่มมาปิดสีหน้าที่มีรอยยิ้ม เขาเฝ้ามอง เพียงเฝ้ามอง...คนโบราณว่าไว้ไม่ผิด ถ้าเกลียดสิ่งใดมันก็ยิ่งจะเจอ ชายหนุ่มนิ่ง...แล้วเขาเกลียดร่างบางหรือ...หัวใจอีกดวงตอบ...ไม่เลย เพียงแต่มีความรู้สึกไม่พอใจแฝงเท่านั้น

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 26-04-2008 21:30:49
อยากไปช่วยภานุ อาบน้ำ..อิอิ

 :m25: :m25: :m25: :m25: :m30:


พี่พิมพ์คนสวย+เก่ง รีบมาลงนะ

อิอิ o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 26-04-2008 21:46:12
ภานุรุนแรงโนะ เกือบทำคุณหมอ ม่องเท่งซะแล่ะ หมดกันเลยนะนั่น นายเอกตายอ่ะ เอิ้กๆ  :laugh:

พระเอกเรื่องนี้ใจร้ายน่าดู เช๊อะๆ

รอดูต่อไปจะใจร้ายก่านายเอกไปถึงไหน    o12

จุ๊บๆพิมจุดจ๋วยนะจ๊ะ  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: duchess ที่ 26-04-2008 22:21:43
 :m1:

ว้าว

คุณหมอ กะ ผู้กอง

ชอบๆคับ

+++

 :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 26-04-2008 23:55:34
 :impress: :impress: :impress:

แล้วเพื่อนรักที่ว่าตายอะครับ

คือนาคีป่าวครับผม

เป็นกำลังใจให้ครับผม ชอบๆๆ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-04-2008 03:14:37
ไม่พูดพล่ามทำเพลง

กดบวกให้เพื่อนสาวคนขยันเลย

วันๆ เอาแต่อ่านนิยาย

แม่รู้ แม่ด่าเปิง  :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 27-04-2008 12:13:35
สวัสดีครับ

คุณป้าเจ้าของกระทู้ แกส่งกระแสจิตเรียกผมมาอ่านนิยายเรื่องนี้ บอกว่าถ้าอ่านแล้วช่วยวิจารณ์ให้หน่อย.....แต่ก็ยังมิวายที่จะกำชับมาว่า อย่าวิจารณ์แรงนักนะ.... กลัวคนเขียนจะเสียกำลังใจ ....แถมป้ายังกลัวว่าคนอ่านจะไม่ยอมอ่านต่อถ้าผมวิจารณ์แรงๆๆ

 :เฮ้อ: ขออนุญาตถอนหายใจ ..... จริงๆๆแล้วนี่ ในความรู้สึกของผม ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะวิจารณ์รุนแรงอะไรนะครับ  :m23: เพียงแต่อาจจะละเอียดไปนิดดดดดดส์

แหม ก็ถ้าจะวิจารณ์ได้ ก็ต้องอ่านละเอียดใช่มั้ยครับ...ผมไม่อยากเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนนี่นา.... อีกอย่างผมวิจารณ์ด้วยความหวังดีครับ ..... แถมนานๆๆจะวิจารณ์ซะที..... กลัวแบบว่า "แกว่งเท้าหาเสี้ยน" น่ะครับ....

 :oni1: อืมเข้าประเด็นเลยดีกว่า.... ผมนั่งอ่านบทแรกของเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้แวะไปที่ที่ทำงาน ก็ยังปรินท์ออกมาอ่าน แต่ก็ลืมหยิบที่ปรินท์ออกกลับมาบ้านด้วย  ...เซ็งเลย :serius2:

ผมมีสองประเด็นที่จะพูดครับ

(1) เรื่องความสมจริงของเรื่องแต่ง.....

พูดง่ายๆๆก็คือแต่งอย่างไรให้สมจริงมากที่สุด โดยปกติแล้วผู้เขียนจะกำหนดความสมจริงของเรื่องที่แต่งได้จากการค้นคว้าหาข้อมูลครับ... นอกจากนั้นก็คือการใส่ใจในรายละเอียด และการแทรกข้อมูลลงไปครับ

เมื่อผมถอดสายตาอ่านมาตั้งแต่บรรทัดแรก ก็พบประโยค "ชายหนุ่มร่างสูง ตัวบึกบึน ผิวสีเข้ม ใบหน้าดำมะเมื่อมไปด้วยถ่านเหลือเพียงดวงตาแกร่งยกมือทำวันทยหัตถ์ก่อนฟันมือลงอย่างแข็งแกร่ง รับความเคารพจากชุดทหารลายพรางสีเขียวเก่ามอซอ" ประโยคนี้แสดงความไม่สมจริงครับ เพราะในสถานการณ์รบอย่างที่บรรยายมา การแสดงความเคารพนั้นดูเหมือนจะเป็นการผิดปกติ ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้บังคับบัญชาระดับผู้กองเช่นภานุ

ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่า กองกำลังตระเวนชายแดน ในภาระกิจที่ความเป็นเท่ากับความตายนั้น ทุกชีวิต คือเพื่อน คือพี่ คือน้อง คือครอบครัว.... การถือยศถือศักดิ์น่าจะทำเฉพาะเมื่อทำการรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาในระดับสูงเท่านั้น และกระทำเมื่อถึงคราวจำเป็น

"แล้วคนเจ็บและคนตายล่ะเป็นอย่างไร สิบตรีอิสระ?" ผมคิดว่าประโยคนี้คงจะสืบเนื่องมาจากการวางระดับของตัวละครของประโยคที่แล้ว ซึ่งผมมองว่ามันแปลกๆๆ เพราะผู้กองภานุน่าจะเรียกลูกน้องของตน ว่า "หมู่" หรือ ไม่ก็เรียกชื่อสั้นๆๆเสียมากกว่า ที่จะมาเรียกตามยศแบบนี้ ซึ่งถ้าผมอ่านประโยคนี้เดี่ยวๆๆ ผมก็จะคิดไปเสียว่า ภานุ เพิ่งเคยเจอกับอิสระ เรียกว่ายังไม่มีความคุ้นเคยกันเลย ถึงได้มีการเรียกชื่อพร้อมยศขนาดนั้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งคู่อยู่ในสนามรบด้วยกัน ผมคิดว่าประโยคสนทนาน่าจะสนิทสนมมากกว่านี้

"ฝ่ายเราบาดเจ็บที่ขาสองคนครับ คือสิบเอกธาวิทย์กับจ่าประกิตนอกนั้นก็แค่ฟกช้ำเล็กๆน้อยๆครับผู้กองภานุ" ในกรณีประโยคนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็น "ฝ่ายเราบาดเจ็บที่ขาสองคนครับ คือเจ้าวิทย์กับจ่ากิตนอกนั้นก็แค่ฟกช้ำเล็กๆน้อยๆครับผู้กอง" ซึ่งจะแสดงถึงความสนิทสนม และพร้อมที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่เสมอกัน

ต่อไปลองสังเกตุคำที่ผมขีดเส้นใต้นะครับ ซึ่งผมคิดว่าสมควรเปลี่ยนเพื่อปรับระดับให้เกิดความสมจริงของสถานการณ์ครับ

"ขณะนี้ทางแพทย์สนามกำลังห้ามเลือดและส่งกลับค่ายใหญ่โดยเฮลิคอปเตอร์อยู่ครับ" (คุณหมอ, ทำแผล)

"ดีมาก แล้วความเสียหายจากฝ่ายศัตรูล่ะ?" (แล้วไอ้พวกฝ่ายนั้นล่ะ มันเป็นงัยกันบ้าง)

ประโยคต่อไปครับ

ตลอดเวลาเสียงอันดังก้องของล้อใหญ่บดถนน และสภาพถนนขรุขระ ฝุ่นคลุ้งมิได้ทำให้ทหารชาญชัยอยู่บนรถปริปากบ่นได้ ทุกคนต่างนั่งเงียบกริบ บ้างก็นั่งงีบ บ้างก็พูดคุยเบาๆ เป็นเพราะเกรงใจหัวหน้าใหญ่ที่นั่งไขว่ห้าง ดวงตาปิดสนิท หมวกเหล็กวางบนตักจนกระทั่งถึงค่ายขนาดใหญ่ ผมสงสัยว่า ผู้กองภานุจะนั่งไขว่ห้างได้อย่างไรครับ ในลักษณะถนนขรุขระแบบนั้น การนั่งไขว่ห้างดูเหมือนว่าจะขัดกับกฏการทรงตัวนะครับ แถมถ้าผมจำไม่ผิด รถขนทหาร โดยเฉพาะเมื่อต้องออกตะเวนเช่นนั้น รถบรรทุกทหารน่าจะเป็นแบบเปิดไร้ที่นั่งมากกว่า เพราะเนื่องจากว่าทหารจะต้องหันหน้าออกสองข้างทาง เพื่อเฝ้าระวังการซุ่มหรือดักยิง การนั่งหันหลังหาข้างทาง ดูเหมือนว่าจะเป็นการประมาทเกินไปครับ โดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงเช่นนั้น

แถมหยูกยาและหมอก็ขาดแคลนสภาพในค่ายจึงอยู่ในสภาพร่อแร่รอคอยการสนับสนุนจากทางกองทัพ จนถึงใกล้วันที่ทุกอย่างใกล้จบสิ้น ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างล้มป่วยเพราะโรคระบาด โรคระบาดมันเกี่ยวอะไรด้วยกับประเด็นการขาดการสนับสนุนจากกองบัญชาการครับ

"เอาน่า จะโกรธไปทำไม ก็เขาชำนาญพื้นที่ดีกว่าเรานี่หว่า ดีแล้วที่แกไม่ตกหลุมขวากของมัน" ประโยคนี้มันแปลกๆๆนะครับ เหมือนกับทหารของเรายอมรับความผ่ายแพ้ และยังแสดงออกถึงความบกพร่องของฐานนี้นะครับ เพราะการเชี่ยวชาญในพื้นที่นั้นคือภาระกิจแรกที่หน่วยลาดตระเวนทุกนายต้องปฏิบัติ มิเช่นนั้นรบไปก็แพ้ครับ .... ข้ออ้างของผู้พันน่าจะเป็นประเด็นอื่นนะครับ

"เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณหมอต้นธารา" ประโยคนี้มันขัดกับ "คุณตามผมมาทำไม" "น่ารำคาญ".... อ่านแล้วเหมือนภานุเป็นพวกสองหน้าอย่างไรไม่ทราบครับ.... เหมือนสาววัยหมดประจำเดือน อย่างป้าเจ้าของกระทู้

ภายในป่ามืดสนิท ชายหนุ่มรู้สึกร้อน เหนียวและคันไปทั่วตัวจึงฉวยผ้าขาวม้า สบู่และขันเดินไปที่ลำธาร วันนี้แสงจันทร์ส่องเป็นทางให้มองเห็นทุกอย่างชัดแจ้ง เสียงนกกลางคืน เสียงค่าง บ่างร้องโหยหวน ชายหนุ่มได้ยินเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มเขาก็เงี่ยหูฟัง ตั้งท่าเตรียมพร้อม พอเดินเข้าไปใกล้ เงาเล็กๆปรากฏชัดในสายตา ชายหนุ่มซ่อนตัวใกล้กับพุ่มไม้ รอให้อีกฝ่ายหันหลังก้มตัวจุ่มน้ำจึงพุ่งกระโจนรัดรอบลำคอ ร่างดิ้นขลุกๆ สะบัดให้หลุด เสียงน้ำแตกกระจาย ภานุกดหัวอีกฝ่ายจนจมน้ำแล้วค่อยดึงขึ้น เหตุการณ์นี้ผมอ่านแล้วค่อนข้างจะเกิดความรู้สึกตำหนิเรื่องระบบการจัดการค่ายนี้นะครับ ว่าไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี คนในค่ายดูเหมือนว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อที่กำหนด รวมถึงภานุเองก็กระทำการแบบไม่สมเหตสมผลด้วยประการทั้งปวง

"มาซักเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ คุณนี่บ้าหรือเปล่า รู้ไหมการอยู่ห่างจากค่ายและคนคอยคุ้มครองมันอันตรายขนาดไหน" ถ้าภานุเห็นว่ามันอันตราย แล้วภานุกลับเดินมาจุดตรงนี้เสียเองโดยปราศจากอาวุธ ผมว่าภานุไม่เหมาะเป็นหัวหน้าหน่วยหรอกครับ...

จุดที่ขาดสำหรับเรื่องนี้คือรัศมีความปลอดภัยของค่ายครับ ซึ่งผู้เขียนเองกำหนดไม่ชัดเจน จนทำให้ตัวละครเกิดความสับสน การสนทนาขัดกันไปกันมา ทำให้ความสมจริงมันลดลง

หน่วยยามก็ไม่ได้เอ่ยถึง แถมตำแหน่งนี้ผู้กองนาคียังแนะนำมาเสียอีก ทำไมระดับผู้กองทั้งสองคนจึงกำหนดพื้นที่ปลอดภัยไม่เหมือนกันครับ....

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี่คือตัวอย่างนะครับ..... หวังว่าผู้เขียนคงจะนำไปประยุกต์เข้ากับส่วนที่เหลือให้งานออกมาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นนะครับ....

เริ่มต้นมาดีแล้วครับ จัดว่าดีที่เดียว

จริงๆๆแล้วมีสองประเด็นที่จะพูด แต่ผมขอพูดประเด็นเดียวก่อนดีกว่า เผื่อว่าจะมีคำสั่ง "ปิดปาก" มา จะได้ปิดทัน.....  :laugh:

สวัสดีครับ

Andreas

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-04-2008 12:31:48
เข้ามากดบวกให้กับสามีสุดที่ร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ก็ว่าจะเม้นต์ไปแล้ว  แต่กลัวโดนด่า  เลยไม่เม้นต์ อิอิ

รบกันจะเป็นจะตาย  ตาผู้กองภานุ  ดั้น  ไปเรียกลูกน้องว่า สิบตรีอิสระ

แล้วอย่างนี้มันจะซี้กันจนตายแทนกันได้เรอะ

อ่านแล้วแทบจะเป็นลมตกเก้าอี้ตาย


อิเจ้....คนที่เน้นมากกับความสมจริงของนิยาย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 27-04-2008 12:36:58
หึหึ
สงสัยต้องหาเพื่อนทหารสักคน
 :m32: :m32: :m32:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 27-04-2008 15:24:23

ขอบคุณทุกๆโพสมากเลยนะคะ สำหรับโพสที่เป็นกำลังใจให้โดยเฉพาะ คุณมูมู่น้อย :L2: และคุณ Andreas ที่ช่วยวิจารณ์ สุดยอดมากค่ะ ยินดีรับฟังคำแนะนำค่ะ มีคำแนะนำติชมบอกกล่าวได้ค้า :L1: :c5:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-04-2008 16:57:20
หุหุ  :m32: :m32: :m32: :m32:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nil ที่ 28-04-2008 00:56:27
 :m4: :m4: :m4: :m4:

เห็นเรื่องนี้แล้วรู้สึกคุ้นๆ ทั้งเรื่องแล้วก็คนแต่งด้วย

ได้อ่านจากอีกบอร์ด ติดงอมแงมเลย เข้าวันสองครั้ง บอร์ดนี้ก็เม้นท์กันสุดยอด

 :m29: :m29: :m29: เก่งกันจังเลย ตัวเองอ่านแล้วเม้นท์ไม่เป็นรู้แค่ว่า หนุกกะไม่หนุก อ่ะ

เป็นกำลังใจให้ทั้งคนแต่งและคนเม้นท์นะ

ชอบเรื่องนี้มาก หนับหนุนให้ทุกคนมาอ่านกัน

 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 28-04-2008 08:44:57
ต้องแวะมาจั่วหัวไว้ก่อน เดี๋ยวคนอ่านจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่.... :oni1:

บอกสั้นๆๆ ตรงไปตรงมาว่า....

ถ้าเรื่องไหนที่ผมวิจารณ์ หมายความเรื่องนั้นมีพื้นฐานการแต่งที่ดี และคนเขียนมีศักยภาพเพียงพอที่จะปรับปรุงและแก้ไขให้งานเขียนสมบูรณ์แบบมากขึ้น

ผมไม่ชอบปั้นดินให้เป็นดาว เพราะทำไม่เป็น..... หากแต่จะช่วยให้ดาวเคราะห์ ส่องประกายสดใสจนกลายเป็นดาวฤกษ์เข้าสักวัน....

สวัสดีครับ

Andreas
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 28-04-2008 11:40:43
ป๋ามาเอง

หายไปนายเลยนะครับ ว่าแล้วก็ทวงนิยายซะเลย ดองไว้นานแระ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-04-2008 14:45:30
อิอิ  ขอบคุณทุกคนที่อ่านแล้วก็คอมเม้นต์  เยี่ยมเลย  สนุกดี
ที่จริงน้องเรนอยากให้มีคนคอมเม้นต์เรื่องการเขียนไง  แล้วเรนก็แต่งได้ดีอยู่แล้วนะ  เลยบอกให้ตาจ๋อมมาลองเม้นต์ดู เผื่อจะได้เอาไปปรับปรุงงานเขียนให้ดีขึ้นไปได้อีก  จริงๆ กระทู้ที่มีการแสดงความเห็น ก็สนุกไปอีกแบบ  ลองๆดูกันไปแล้วกันจ้า  ใครมีข้อสงสัยหรืออยากถามไร เดี๋ยวเรนมาตอบ 555  (โยนให้น้อง)

ต่อกันเลยนะ  ช่วงที่กำลังจะลงนี้เป็นช่วงสุดท้ายของตอนที่ 1 เนื้อเรื่องกำลังจะเข้มข้นแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++


รุ่งเช้า ต้นธาราสะดุ้ง เขาเห็นชายหนุ่มแต่งตัวเรียบร้อย ในมือของเขามีอีกชุดยื่นให้ ต้นธารางุนงงแต่รับมาโดยดี

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"

เขาถามเมื่อถูกบังคับให้แต่งตัว คุณหมอหนุ่มงุนงงยอมแต่งตัวตามที่บอก ชุดหลวมไปนิด แถมมีกลิ่นอับๆติดจมูก

"มันเป็นชุดที่ฉันเคยใส่สมัยเข้ากรมฯใหม่ๆน่ะ เก็บไว้นานอาจจะเก่าไปบ้างอย่าถือสา"

"ครับ แล้วคุณให้ผมแต่งตัวอย่างนี้ทำไมครับ"

ระหว่างที่กลัดกระดุม รองเท้าเดินป่าถูกโยนลงตรงหน้าจนคนที่จะสวมใส่มัน กระโดดหนีแทบไม่ทัน

"เราจะไปลาดตะเวนกัน บังเอิญว่าแพทย์สนามที่เราจำเป็นต้องนำไปเกิดป่วยกะทันหัน คุณก็เลยเป็นผู้โชคดีนะสิ"

ภานุบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยยิ่งนัก ต้นธาราอ้าปากค้าง

"อะไรนะ!"

นายทหารหนุ่มจ้องหน้า เขาจับเท้าของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะยัดเท้าเข้าไปในรองเท้าเดินป่า ผูกเชือกให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ

"คุณไม่มีสิทธิ์บ่นนะครับ"

ชายหนุ่มห้ามเมื่อร่างบางจะกล่าวบางอย่าง

"แต่คุณไม่ต้องกลัวหรอกเพราะมีคนคอยคุมครองคุณอยู่"ชายหนุ่มปลอบขณะช่วยใส่รองเท้าให้อีกฝ่ายจนเสร็จ

"ผมไม่ได้กลัวหรอกที่จะได้ไปลาดตะเวนกับพวกคุณ แต่ผมยังไม่เตรียมอุปกรณ์เลย"

ชายหนุ่มเอ่ย นาคีเดินขึ้นมา ในมือของชายหนุ่มมีถุงย่ามประดับตราแพทย์ทหาร ต้นธารารับมันไว้

"ในนี้มีครบเลยครับ ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้"

รอยยิ้มอันสดใสของนาคี ต้นธารายิ้มตอบ

"ขอบคุณครับ แล้วคุณนาคีก็ออกร่วมเดินทางกับเราหรือครับ?"

นาคีส่ายหัว

"เปล่าครับ แค่มาคุ้มครองคุณหมอเท่านั้นเองครับ คราวนี้คุณหมอก็ไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ"

ชายหนุ่มจอมทะเล้นกล่าว ต้นธาราเอ่ยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนทั้งหมดจะเดินไปยังฐานใหญ่ รับคำสั่งแล้วเตรียมออกเดินทางด้วยความสงบ

------------------------------------------------

ต้นธารารออยู่ในป่า รอเวลาให้ค่ำลงกว่านี้ก่อนจะติดตามหน่วยสอดแนมเข้าไปในอาณาเขตป่า การเดินทางท่ามกลางความตึงเครียดโดยมีภานุนำหน้า ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้หยุด ต้นธาราชะเง้อมอง เขาไม่เห็นมีอะไรเลย แค่ทางที่ถูกใบไม้ทับถม สายตาของชายหนุ่มกวาดไปรอบๆ ก่อนจะชี้ทางให้เดินอ้อม ต้นธาราขมวดคิ้ว แต่นาคีดันให้เดินตามขบวนไป เขาจึงยอมเดินอย่างเสียมิได้

"ทำไมเราต้องอ้อม"

คุณหมอหนุ่มถาม นาคีหัวเราะแผ่วๆ เขาตั้งปืนไว้

"ถ้าคุณหมออยากพรุนก็เชิญเลยครับ"

ต้นธาราไม่เข้าใจ บางอย่างกระทบที่ตรงนั้น อย่างแรงจนช่องขนาดย่อมๆเผยออก ไม้ไผ่เหลาแหลมๆเสียบไว้ถี่ จนคุณหมอตกใจ

"นี่ล่ะครับเหตุผลว่าทำไมถึงต้องอ้อม"

ต้นธาราผงกหัว เขาเริ่มเข้าใจแล้ว ภานุสั่งให้เร่งฝีเท้า ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจของคุณหมอหนุ่ม

"ตามเจ้าภานุไปรับรองรอดครับ"

นาคีบอกเสียงสดใส เขาไม่รู้ว่าจะมีกับดักต่อหรือไม่เพราะป่าทั้งป่ากลับเงียบสงบ

"มีเหตุการณ์ผิดปกติครับ"คนที่อยู่เบื้องหลังรายงานชายหนุ่ม

"อื้ม งั้นเตรียมหาที่ซุ่มยิง"

ชายหนุ่มสั่ง ทุกคนแยกย้ายประจำตามจุด คงเหลือแต่คุณหมอหนุ่มที่ยื่นนิ่งกับคนคุ้มกันเท่านั้น

"อย่าตกใจไปนะครับ เพราะในไม่ช้าเสียงปืนก็จะดังขึ้นเป็นตับเลย"

ต้นธารายกมือปิดหู เสียงปืนดังเป็นดับก็เริ่มขึ้น เขาชะเง้อมองแต่ก็ถูกกดหัวลง

"ถ้ายังไม่อยากตาย อย่าเงยหน้าขึ้น"

นาคีบอกก่อนพาร่างบางเขยิบมาใกล้ชิด ถอยออกห่างจากแนวรบ พาไปยังที่โล่งๆและแล้วคุณหมอหนุ่มก็เหลือบเห็นนิ้วที่สั่นระริก ร่างกายที่ถูกยิงนอนรอความตายใต้ต้นไม้ใหญ่ ต้นธาราลุกขึ้นแล้วชะงักไปเมื่อเห็นเป็นฝ่ายศัตรู นาคีหยิบปืนพกขึ้น มองคนบาดเจ็บเลือดท่วม คงทรมานน่าดู เขามองปากแผลจากรอยกระสุนแล้วเตรียมยิง แต่ต้นธารามาขวางไว้

"คุณหมอไม่จำเป็นต้องช่วยมันหรอก"

คุณหมอหนุ่มตีสีหน้า

"ผมเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอกครับ"

ดูท่าคนป่วยจะรู้สึกตัวเบือนหน้ามา ดวงตามันวาวโรจน์ คุณหมอพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยน

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่เราอยู่ในแนวรบของศัตรูอยู่"

ผู้กองนาคีบอกแต่แล้วต้องถอนใจเพราะเห็นสีหน้าอ่อนโยนนั่น

"อยู่นิ่งๆนะครับ"

เขารักษาบาดแผลโดยมีนาคีมองไม่กระพริบตาเตรียมตัวยิงได้เสมอ

"ผมเป็นหมอ ผมช่วยชีวิตคนมิใช่ฆ่าคน ผมทนไม่ได้หรอกครับที่จะเห็นเขาตาย ทั้งๆมีสิทธิ์ที่จะรอด"

คนที่ถูกต้นธาราช่วยเหลือมองหน้า

"อายุก็ยังน้อยอยู่ ช่างน่าสงสารนักที่เข้าร่วมสู้รบ"

เขาออกความคิดเห็น ผู้กองนาคีมองไปรอบๆ

"ปกติครับคุณหมอ พวกนี้ต้องซ่องสุมคนไว้เยอะๆเพื่อมารุกรานเรา"

ชายหนุ่มมองการกระทำของคุณหมอ ในใจนึกชื่นชม แต่กับการช่วยศัตรูมันก็ข้อขัดแย้งในใจ เสียงปืนยิงกระหน่ำ ต้นธาราปิดบาดแผล

"เร็วเถอะครับคุณหมอ"

ผู้กองนาคีเร่งเพราะได้ยินเสียงฝีเท้า เข้ามาทางนี้ ต้นธาราละมือ...เขาช่วยได้เท่าที่ช่วยแต่สายไป เพราะเสียงปืนดังกระหน่ำ ร่างของเขากับผู้กองนาคีล้มลง ทับเขา คุณหมอรู้สึกจุกและสัมผัสถึงเลือดที่ไหลรินซึมเข้าไปในเนื้อผ้า หมวกเหล็กกระเด็นออก ภาษาแปลกๆไม่คุ้นเคยดังเข้าหู ความหวาดกลัวแผ่ซ่าน...

"อยู่นิ่งๆครับ"ต้นธาราดีใจที่ผู้กองนาคียังไม่ตาย น้ำตาจึงไหลออกมา

"อย่าให้มันรู้นะครับว่าคุณหมอไม่เป็นอะไร"

ลำแขนโอบเอวรอบขยับไม่ให้ผิดสังเกตซับน้ำตาให้

"ผู้กองบาดเจ็บ"คุณหมอกระซิบ ชายหนุ่มยิ้มให้

"เรื่องเล็กครับ ชูว์...พวกมันเข้ามาแล้ว"

ต้นธาราจึงปิดปากเงียบ พวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเสียแล้ว เสียงพูดคุยกัน ฟังไม่ออก ต้นธาราแทบตัวลีบลำแขนกดไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน ต้นธารารับรู้ได้ถึงเงาของปืนสั้นเขาหลับตา แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นเพราะเสียงตะโกนของคนที่ถูกเขาช่วยพูดราวกับจะห้าม อยู่บนความลังเล ทหารฝ่ายของภานุก็เคลื่อนเข้ามายิงตัวคนที่ถือปืนพกของผู้กองนาคี ปืนกระเด็นเข้ามาใกล้ ผู้กองนาคีลุกขึ้นฉุดเข้าลุกตาม ยิงกราดใส่ ก่อนจะผลักเขาไปสู่อ้อมแขนของภานุ เขาเซล้มเสียก่อน เสียงปืนดังซ้อนๆกัน นึกว่าตัวเองจะตายไปเสียแล้ว แต่ก็เปล่า เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมา ร่างของผู้กองนอนเคียงข้างเขา ตามลำตัวมีเลือดไหลไม่หยุด คุณหมอช๊อกไปชั่วขณะ ฝ่ายตรงข้ามรีบถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็วเพราะชำนาญพื้นที่กว่า ภานุโผล่ออกมาวิ่งเข้ามาหาคุณหมอที่พยายามช่วยเหลือร่างที่ตายไปแล้วของผู้กองนาคี นายทหารที่ติดตามไปดึงออก แต่คุณหมอก็ดิ้นเร่าๆ ผ้าก๊อซและมือชุ่มไปด้วยเลือด ภานุหลับตา เขาไม่คิดฝันว่าเจ้าเพื่อนที่เคยเฮฮาหยอกล้อเมื่อเช้าไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว

"ผมจะช่วยเขา"

ภานุเดินเข้ามาหาคุณหมอที่พยายามดิ้น ชายหนุ่มสะกดกลั้นความเศร้าเสียใจไว้ มองใบหน้าที่เปื้อนคราบเลือดและน้ำตา

"คุณไม่อาจช่วยคนตายได้หรอก พอเถอะ ผู้กองนาคีตายไปแล้ว"

พอได้ยินอย่างนี้ ต้นธาราเสียใจ น้ำตาไหลเผาะๆ

"เขาช่วยผมไว้...เขา..."ภานุลูบหัว

"เขาได้คุ้มครอง ทำหน้าที่บรรลุแล้วคุณอย่าห่วงเถอะ"

เพื่อนทหารนำศพของผู้กองนาคีกลับ ยังเหลือแต่กลิ่นคาวเลือด และร่างแข็งทื่อของต้นธารา

"เขาจากไปดีแล้ว"

ภานุปลอบพยายามฉุดให้ต้นธาราลุกขึ้น

"ผมไม่น่าไปช่วยพวกศัตรูเลย"

พอพูดอย่างนี้ ภานุชะงัก ฟังคำพร่างพรู

"ผมเป็นคนฆ่าผู้กองนาคี....ผมมัน..."

ชายหนุ่มอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆนี้จะช่วยฝ่ายตรงข้ามจนกระทั่งเพื่อนรักเขาตายไป ชายหนุ่มผลักร่างบางออก ตบใบหน้าฉาด ดวงตาวาวโรจน์...โกรธแค้น...กับคนที่ทำให้เพื่อนเขาตาย!

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 28-04-2008 17:02:30
  :impress: :impress: :impress:

อ่าครับเพื่อนที่ว่าก็คือ นาคีนี่เอง

เสียดายจังครับรีบจากไปหน่อย

เสียใจด้วยครับผม แล้วจะเป็นไงต่อไปอะครับ

อยากรู้จังเลย อยากรู้ว่าภานุกับหมอ ได้รักกันไหมครับ

เพราะดูท่าแล้วตอนหน้าภานุจะเกลียดหมอซะละ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา $
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 28-04-2008 19:18:52
เรนต้องขอบคุณคุณ Andreas ก่อนค่ะ ที่แวะมาวิจารณ์ผลงานให้ อ่านบทวิจารณ์แล้วค่ะ จะน้อมรับไปใช้ค่ะ  (ว่าแล้วเราจะได้เป็นดาวรึดินละหนอ?):o8: ชอบค่ะ คอมเมนท์แบบนี้ มันเหมือนมีกระจกเงาสะท้อนผลงานตัวเอง นานๆจะได้เจอคอมเมน์เเรงๆและตรงจนปวดใจแบบนี้ o7 ชอบค่ะ ถ้าว่างจะให้เกียรติมาวิจารณ์อีกนะคะ รอรับคำวิจารณ์เพื่อนำมาปรับปรุงค่ะ

สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณทั้งคุณAndreas และ คุณมู่มู่น้อยนะคะ ที่ทั้งช่วยวิจารณ์และช่วยนำนิยายมาเปิดตัวในบอร์ดนี้ :L2:

ปล.
1.ลืมบอกไปค่ะว่าเรื่องนี้มีตอนพิเศษด้วย เดี๋ยวนำส่งให้คุณมู่มู่น้อยนะคะ ในตอนพิเศษจะเป็นตอนที่บอกกล่าวบางอย่างในตอนหลักค่ะ
2.ขอน้อมรับคำวิจารณ์ไปใช้ตอนรีไรท์หลังจบเรื่องนี้นะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 29-04-2008 10:38:23
ป๋าแวะมาอีกรอบ เพื่อมาต่อให้จบ

ไม่ใช่เพราะคนเขียนไม่หืออือ เลยใส่เอาๆ หรอกนะครับ แล้วก็ไม่ใช่พวกอยากดังด้วย อยู่เงียบๆๆมานานตั้งแต่บอร์ดเปิดใหม่ๆๆจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่คิดอยากจะเรียกร้องความสนใจ (ไม่ได้กระทบใครนะจ๊ะ ไม่ต้องร้อนตัว)

หลายคนอาจจะพากันคิดว่า ซวยเนอะ เป็นนักเขียน เขียนให้อ่านฟรียังถูกวิจารณ์ซะและ..... (ไม่และหรอก ในกรณีผมน่ะ) อยากจะบอกว่าคนวิจารณ์นี่แหละซวยกว่า โดยเฉพาะนักวิจารณ์ที่เป็นนักเขียนด้วย จะโดนเป็นสองเท่า เพราะคนอ่านและคนที่ถูกวิจารณ์ก็จะจับตามองงานเขียนของคนๆนั้น ถ้าเขียนดีก็ดีไป ถ้าเขียนไม่ดี ก็ถูกบาทาเหยียบติดติน แถมด้วยถ้อยคำที่ว่า "เขียนก็ห่วยแล้วยังมาสะเออะวิจารณ์เค้าอีก"

คนว่าก็มันปากไป ทั้งๆที่ไม่ทราบเลยว่า การวิจารณ์กับการเขียน มันใช้ทักษะคนละแบบกัน เหมือนแคลคูลัส กับ ตรีโกณมิตินั่นแหละ ....เป็นคณิตศาสตร์เหมือนกัน แต่ใช้หลักการแตกต่างกัน ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น คนวิจารณ์ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเขียนดี ส่วนคนเขียนดีบางครั้งก็วิจารณ์ไม่เป็น

การเป็นคนวิจารณ์นี่ลำบากพอควร เพราะต้องมีทักษะที่จำเป็น (ไม่ได้อวดว่าป๋าเองมีหรอก....ไม่ต้องมาหมั่นไส้...ป๋าพูดตามเนื้อผ้า) คือ ภาษา และตรรกศาสตร์ ....ซึ่งเหมือนกับคนเขียนนั่นแหละ เพียงแต่ใช้งานต่างกัน

การวิจารณ์มีสองแบบ คือวิจารณ์การเขียน และการวิจารณ์วรรณกรรม .... ที่ผมถนัดคือวิจารณ์การเขียน ....ส่วนการวิจารณ์วรรณกรรมนั้นไม่ชอบทำ เพราะรู้ๆๆอยู่มันเป็นวรรณกรรม ไอ้ที่จะมาวิจารณ์ ทำไมตัวละครคิดอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำไมพลอตเป็นแบบนั้น ความสมเหตุสมผลของการกระทำของตัวละครคืออะไร.... ทำไม่เป็นง่ะ เพราะของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับคนเขียน จะไปคิดแทนคนเขียนได้อย่างไร (ยกเว้นไอ้พวกความคิด non-sense จริงๆๆ ก็ขอหน่อยเถอะ) ...

เหมือนคุณหญิงวิมล (ทมยันตี) เค้าชอบตอกกลับพวกมาวิจารณ์งานเขียนของเค้าว่า เขียนเองก็ไม่ได้ แล้วยังมาวิจารณ์อีก ..... อ่านๆๆดูแล้วเหมือนคุณหญิงเค้าไม่มีเหตุผล แต่ลองไปอ่านพวกที่วิจารณ์งานเขียนเค้าแต่ละคนดิ เล่นเอาพลอตไปวิจารณ์ เอาตัวละครไปว่าเสียๆๆหายๆๆ น้อยคนที่จะกล้ามาวิจารณ์ว่าภาษาคุณหญิงเค้าไม่ดี.... พูดง่ายๆๆคือ พอไม่มีจุดอ่อนที่โจมตีได้ ก็ไปดึงเรื่องอื่นมาโจมตี

แต่สำหรับผม ผมไม่เคยดึงเรื่องอื่นมาพูด เห็นอย่างไรในบันทัดที่พิมพ์มา ก็วิจารณ์ไปแบบตรงไปตรงมา เพราะผมวิจารณ์ "การเขียน" ถ้ามีจุดอ่อนจริงๆๆ ก็เป็นจุดอ่อนที่ make sense และสมควรแก่การแก้ไขในความคิดของผม (ย้ำความคิดของผม) ซึ่งนักเขียนเองก็มีสิทธิ์ในการ defend ได้ .... ผมเองยังทำบ่อยไป อะไรที่แก้ก็สมควรแก้ อะไรที่คงไว้ ก็คงไว้... แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล

ส่วนที่ยากที่สุดของการวิจารณ์ นอกจากจะต้องละเอียดและมีนิสัยรักการอ่านแล้ว ก็คือ การเขียนออกมาอย่างไรไม่ให้คนเขียนจิตตก จนเลิกเขียน .... ซึ่งผมยอมรับว่ายังทำได้ไม่ดีนัก ขนาดว่าใช้ภาษาเพราะๆๆแล้วนา....  กลุ้ม :serius2:

เห็นหนูเรน จิตไม่ตก .... ก็แวะมาต่อให้จบๆๆ กัน เพราะป๋าจะไม่ว่างแล้ว .... งานป๋าเยอะเหลือเกิน .... อีกอย่างธูปกำลังจะหมดดอกด้วย ต้องกลับไปตำหนัก สางงานต่อ..... (หนูพูห์ยิ่งมาทวงนิยายอยู่ ขึ้นบทนำไว้หกเดือนละ ยังไม่มีเวลาต่อซักที )

ผมบอกไว้ตั้งแต่เมือวานซืนแล้ว ว่ามีสองประเด็นที่จะพูด เรื่องแรกคือ ความสมจริงของนิยาย กับเรื่องที่สอง ลักษณะภาษาที่ใช้ .... ขอเริ่มต้นเลยดีกว่า

(2) ลักษณะภาษาที่ใช้

ก่อนอื่นต้องชมหนูเรนว่า จุดแข็งของงานเขียนของหนูเรนคือ การไม่ใช้คำซ้ำซ้อน (มันมีศัพท์สำหรับคำนี้น่ะ คิดไม่ออกง่า) ซึ่งนักเขียนส่วนน้อยจะทำได้ดีเช่นนี้

แต่จุดที่ต้องปรับปรุงคือ ระดับภาษาและการใช้คำทั้งในส่วนบรรยายโวหาร และ สนทนาโวหาร .... ป๋าขอยกตัวอย่างดังนี้

เสียงระเบิดดังกึงก้องตรงแนวชายเขาสีเขียว เปลวไฟพวยพุ่งเสียงร้องโอดโอย ปนกับเสียงปืนที่ดังเป็นตับก่อนจะหยุดลงในเวลาไม่นาน ลองเปลี่ยนระดับภาษาให้มันกลมกลืน เป็น เสียงระเบิดดังสนั่นตรงบริเวณแนวชายเขา พร้อมกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ถัดมาคือเสียงร้องโอดโอย ปนกับเสียงปืนที่รัวขึ้นเป็นชุดก่อนจะหยุดลงในเวลาไม่นาน ... จะสังเกตว่าผมปรับระดับของศัพท์ลงมาให้ทุกๆๆทำอยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยก .... ผมมองว่าพรรณาโวหารของหนูเรนมันเสียงดนตรี ซึ่งมีการใช้ระดับสูงต่ำ ซึ่งคนข้างจะ odd กับงานเขียนลักษณะ "รบ" แบบนี้

ส่วนที่ผมตัดคำว่า "เปลวไฟ" ออกไปนั้น เพราะคิดว่าระเบิดที่ใช้ในสนามรบไม่น่าจะทำให้เกิดไฟครับ แต่อานุภาพของระเบิดนั้นคือแรงอัด และชิ้นส่วนโลหะที่อัดไว้ในระเบิดนั้นมากกว่าครับ ... อีกอย่าง ถ้าบริเวณรบเป็น "เขาเขียว" จริงๆๆ คงยากที่จะทำให้ติดไฟนะครับ (ลองศึกษาจากลิงค์นี้นะครับ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94)

"ทางศัตรูถอยไปแล้วครับ พวกมันหนีไปทางทิศเหนือแตกรังไม่เป็นท่าเลยครับ" ลองเปลี่ยนเป็น "พวกมันถอยหนีแตกรังกันไม่เป็นท่าเลยครับ" จะดูกลมกลืนกับสถานการณ์และบุคลิกของนายทหารห่ามๆๆได้มากกว่า "ศัตรู" ว่ามั้ยครับ

"แล้วคนเจ็บและคนตายล่ะเป็นอย่างไร สิบตรีอิสระ?" ลองเปลี่ยนเป็น "แล้วพวกเราล่ะ เป็นงัยกันบ้าง"  จะกลมกลืนกว่ามั้ยครับ

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ผมว่า เหมือนเสียงดนตรี คือประโยคนี้ครับ ดวงตาแกร่งเหลียวมองลูกน้องที่หลบอยู่ในบังเกอร์ ดวงตามุ่งมั่น ฉายชัดบนสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือเต็มไปด้วยความอยากจะประหัตประหารข้าศึกให้เป็นจุณ มีคำศัพท์หลายคำที่ค่อนข้างจะมีระดับสูงกว่าปกติ เช่น กระเหี้ยนกระหือรือ ประหัตประหาร เป็นจุณ ..... ถ้าเป็นผม (ที่ผ่านการฝึกทหารมาก่อน) จะเขียนแบบนี้ครับ ดวงตาแกร่งเหลียวมองลูกน้องที่หลบอยู่ในบังเกอร์ สันชาติญาณความเป็นผู้ปกป้องแผ่นดินฉายชัดออกมาในแววตามุ่งมั่น ด้วยพร้อมที่จะกดดันให้ผู้บุกรุกถอยร่นกลับคืนฐานที่มั่น

อยากจะบอกให้หนูเรนเข้าใจลักษณะการรบในปัจจุบันว่า (ชายแดนพม่าตามท้องเรื่อง) มันเป็นการรบในลักษณะแย่งชิงพื้นที่ และกดดันการลุกล้ำอำนาจอธิปไตยเสียมากกว่า โดยที่การโต้ตอบนั้นจะกระทำภายใต้กฏระเบียบที่แน่ชัด .... แต่ถ้าเป็นการรบที่ภาคใต้ละก๊อ..... ตาต่อตาฟันต่อฟันครับ ไม่ต้องนึกกฏระเบียบให้ตายตัว เพราะมันคือปัญหาความมั่นคง มิใช่การลุกล้ำอำนาจอธิปไตย ..... แต่ถ้าหนูเรนจินตนาการการรบสมัยเมื่อห้าสิบปีที่แล้วล่ะก๊อ.... กระป๋มต้องขออภัยด้วย เพราะมันใช้วิธีการอย่างที่หนูว่ามาจริงๆๆ

ต่อไปลองสังเกตคำเหล่านี้นะครับ

ทหารชาญชัย = ทหาร

หัวหน้าใหญ่ = หัวหน้า

ปล้นสะดม กับ ยึดทรัพย์สิน    นี่น่าจะเหมือนกันนะครับ น่าจะเลือกใช้คำใดคำหนึ่ง

อาวุธยุทโธปกรณ์ นั้นเป็นศัพท์ที่ถูกต้อง และสมควรปรับคำว่า "หยูกยา" ให้สัมพันธ์กัน .... ซึ่งหยูกยาก็คือ เวชภัณฑ์

เฝ้าเวรยามอย่างเข้มแข็ง = เฝ้าเวรยามอย่างหนาแน่น

ยึดอำนาจ น่าจะเปลี่ยนเป็น ยึดพื้นที่ นะครับ

ลองเปลี่ยนบางคำของ ค่ายใหญ่  เป็น กองบัญชาการ หรือ กองกำกับการ น่าจะทำให้การเขียนดูมีน้ำหนักมากกว่านะครับ

พ่อหนุ่ม = ไอ้หนุ่ม (เพราะมันน่าจะเข้ากับระดับความสนิทสนมและความเป็นนายทหารมากกว่า พ่อหนุ่ม ซึ่งผมว่ามันดูพลเรือนมากไปหน่อยครับ)

ดังจ๋อมแจ๋ม = ลองปรับให้มันไม่จ๋อมแจ๋มได้มั้ยครับ

ผมคงยกตัวอย่างได้เท่านี้ครับ เพราะคิดว่าหนูเรนคงพอจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเสนอแนะแล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับหนูเรนแหละครับว่าจะจัดการกับข้อแนะนำของผมอย่างไร

ก่อนจะจากกัน ผมอยากจะแนะนำให้หนูเรนอ่านงานเขียนของ พลตำรวจเอก วสิษฐ์ เดชกุญชร ดูนะครับ ...รับรองว่าจะได้ในสิ่งที่ผมเขียนไปทั้งหมดข้างต้นครับ...

สวัสดีครับ

Andreas

ปล. อยากบอกให้ทราบว่าบทแรกของนิยายนั้นสำคัญที่สุด ภาษาต้องมีการพิถีพิถัน และใส่ใจกับรายละเอียด เนื่องจากมันจะกำหนดภาษาของบทต่อๆๆมาจนกระทั่งจบเรื่อง ถ้าบทแรกภาษาไม่เข้าจังหวะ บทต่อๆๆไปก็จะแย่.... ยิ่งกว่านั้น บทแรกก็เหมือนกับการโฆษณาขายสินค้านั่นแหละครับ ถ้าดี คนก็อ่านต่อครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 29-04-2008 13:45:42
ขอเสริมของป๋านิดหนึ่ง

ปล้มสะดม กับยึดทรัพย์ ความหมายไม่เหมือนกันนะครับ

ปล้นสะดม หมายถึง (โบ) ก. ปล้นโดยใช้วิธีรมยาให้เจ้าของทรัพย์หลับสนิทไม่รู้สึกตัว

ยึดทรัพย์ หมายถึง (กฎ) ก. การที่เจ้าพนักงานเอาทรัพย์สินไปจากการครอบครองของบุคคล เพราะเหตุที่กระทําการฝ่าฝืนกฎหมายหรือเพื่อบังคับคดี.

สองคำนี้ความหมายต่างกันนะครับ แต่จากเนื้อเรื่องแล้ว น่าจะใช้คำว่า ปล้นทรัพย์สิน น่าจะเหมาะนะครับ

ขอบคุณครับ

 o1
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา $
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 29-04-2008 15:49:12
ขอบคุณป๋า Andreas ที่สละเวลาของป๋ามาช่วยวิจารณ์ให้ ดีใจมากค้า เรื่องวิจารณ์แล้วเป็นผลเสีย-ผลดีสำหรับตัวเรนเองนั้น เตรียมใจไว้แล้วค่ะ (แต่ก็อดนึกโห...ไม่ได้ o7)แต่ก็จะพยายามสู้ๆ นำสิ่งที่แนะนำไปปรับปรุงค้า  และคุณJunrai_Hyper ที่ช่วยแนะนำมาอีกรายเจ้าค่ะ จะนำคำแนะนำไปปฏิบัติตาม :a2:

มุ่งจากดินเป็นดาว! :a1:

ปล.1ขอบคุณเรื่องแนะนำหนังสือด้วยค่ะ
ปล.2 ว่างๆช่วยแวะมาให้คำแนะนำดีๆอีกนะคะ


 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-04-2008 21:32:15
อ่ะจ้า  ขอบคุณที่มาเม้นต์ให้น้องน้า 
ที่จริงจะว่าไปภาษาที่อ่านก็ไม่ได้รู้สึกสะดุดอะไรมากมายนะ  ถ้าอ่านไปเรื่อยๆจะชอบพล๊อตนะ  ตบจูบๆ ดี 55 ชอบๆ  เป็นคนซาดิสม์  อ่านแล้วสนุกอะ 

ต่อเลยดีก่า
++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:2 Mistake/เข้าใจผิด

หลังจากนำร่างของนาคีกลับมายังฐานพร้อมกับคุณหมอผู้เศร้าโศก ภานุเอาแต่กัดฟันกรอด เขาไม่อาจโทษใครได้ตอนนี้ ร่างของเพื่อนหลับเหมือนกับหลับไป ผู้พันมีทรัพย์หลับตา สีหน้าของท่านเจ็บปวดที่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาการได้จากไปไม่มีวันกลับ

"เจ้านาคีมันโชคร้าย"ท่านเอ่ยแค่นั้น ทหารในกองต่างห้อมล้อมดูศพซึ่งถูกยิง

"จะมุงดูอะไรกัน ออกไป!"

ภานุตวาด เหล่าทหารที่เหลือต่างแตกฮือกระจายออก ผู้พันตบบ่าภานุราวกับจะบอกให้ใจเย็นๆ ก่อนปรายตามองคุณหมอที่ดูจะช๊อกไป

"อย่าเลยคนตายไปแล้วช่วยอะไรไม่ได้หรอก ทุกคนเขามาดูศพเพราะอยากมาเคารพ"

ท่านกล่าว ก่อนจะเลี่ยงไปสูบบุหรี่มองท้องฟ้า เขาได้เสียลูกน้องฝีมือดีไปแล้ว ภานุตวัดมองคุณหมอซึ่งนั่งหน้าซีดเซียว

"ได้ข่าวว่าคุณหมอต้นธาราเห็นตอนที่ผู้กองถูกฆ่าเต็มๆตาเลยรึ ช่างน่าสงสารนัก"

ผู้พันกล่าว ผู้กองภานุเตะโต๊ะก่อนจะรับคำเสียงห้วน

"ครับผู้พัน มัน...เอ่อ...เขาเห็นตอนผู้กองนาคีถูกยิงเลยเกิดอาการช๊อกครับ และอีกอย่างนาคีก็ตายเพื่อปกป้องคุณหมอด้วยก็เลยตกใจจนขวัญหาย"

น้ำเสียงแดกดัน ผู้พันหันมาส่ายหัวเพราะจับกระแสเสียงได้ว่ากำลังโกรธคุณหมอผู้น่าสงสาร

"ไม่เอาน่า ภานุ เอ็งก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือว่าการตายในสงครามมันเป็นเรื่องปกติ นาคีเขาได้ปฏิบัติหน้าที่จนสำเร็จแล้วอย่าได้โทษใครเลย"

ผู้พันมีทรัพย์เอ่ย เขาก็รู้สึกโศกเศร้าที่ส่งนาคีไปตาย นายทหารหนุ่มเลือดร้อนกำหมัดแน่น

"ผมทราบดีครับผู้พันแต่...."

อะไรบางอย่างทำให้ภานุไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด...เจ้าหมอดันใจดีเกินเหตุช่วยฝ่ายศัตรูจนนาคีต้องตาย เขาอยากจะพูดแต่นั้นไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาอ้างได้เพราะเขายังไม่รู้ความจริง

"ทางเราติดต่อทางค่ายใหญ่ไว้แล้ว พร้อมกับครอบครัวนาคีด้วยจะลาศพหรือทำอะไรก็รีบทำซะ"

ผู้พันสูบบุหรี่ ท่านแอบเช็ดน้ำตา ภานุหลับตาน้ำตา แทบไหลเมื่อเพื่อนรักมาจากไปอย่างกะทันหันเขาก้มหน้ารับคำอย่างเงียบๆ ต้นธาราถูกพาไปยังที่พักโดยมีจ่าแม้นปลอบใจระหว่างที่พากลับบ้านพัก

"คุณหมอใจเย็นๆครับ การตายในสนามรบเป็นเรื่องปกติของทหารอย่างเราอยู่แล้ว อีกอย่างก็ไม่มีใครห้ามโชคชะตาหรือฝืนลิขิตได้ ผู้กองนาคีเขาไปดีแล้วครับ"

คำพูดยิ่งเป็นมีดกรีดเฉือน ต้นธาราเช็ดหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา คราบเลือดติดแก้มขาวซีด

"แต่ผู้กองเขา..."

ชายหนุ่มอยากจะบอกเหลือเกินว่าที่ผู้กองนาคีตายก็เพราะเขาแต่มันก็พูดไม่ออก หวาดกลัวต่อความโกรธเกรี้ยวที่เริ่มถาโถม

"ยิ่งคุณหมอร้องไห้ ผู้กองนาคีที่จากไปแล้วอาจจะไม่สบายใจก็ได้นะครับ ทหารหาญอย่างเราพอใจแล้วที่ได้สิ้นชีพในสมรภูมิรบ"

จ่าแม้นพูดต่อ ต้นธาราส่ายหัวเหมือนจะไม่รับฟังคำพูดใดๆ เขากลับมาถึงบ้านพักแล้วพลางทรุดนั่งเพราะเขาอ่อน ยังจำได้ติดตาตอนที่ผู้กองนาคีล้มทับตนและเลือดแดงฉานไหลออกจากร่าง เขาเห็นและอยู่กับคนตายมาเยอะ แต่สำหรับผู้กองนาคีแล้วมันน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก ถ้าเขาเชื่อฟังและปล่อยให้ฝ่ายศัตรูนอนตายไปและหนีไปกับผู้กองเสียก็ดีแต่เขาก็ไม่อาจย้อนเวลาหวนกลับไปได้ คุณหมอหนุ่มซบหน้าที่ติดเลือดแห้งเกรอะกรัง จ่าแม้นนำน้ำใส่อ่างมาให้

"ผมว่าคุณหมอล้างหน้าล้างตาทำใจให้สงบก่อนเถอะครับ"

ต้นธาราพยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นดูฝืดๆเต็มทน

"ขอบคุณครับจ่าแม้น"

ชายหนุ่มแช่มือในอ่าง เลือดที่ติดมือละลายกับน้ำ คุณหมอหนุ่มมองดูแล้วใจหายยิ่งตอกย้ำความผิดพลาดของตนเอง จ่าแม้นส่งผ้าให้

"ไม่เป็นไรครับคุณหมอ ผมว่าคุณหมอนอนพักให้จิตใจสงบสักนิดจะดีไหมครับ"

จ่าออกความคิดเห็น ต้นธาราส่ายหัว เขายังไม่อยากนอน...มันดูเหมือนกับว่าเขาสบายอยู่คนเดียว ทิ้งให้คนอื่นต้องลำบาก

"คุณหมอเชื่อผมเถอะครับ เดี๋ยวผมจะมาปลุกเอง นอนพักสงบจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านอย่าคิดถึงเรื่องอื่น"

ต้นธาราทำตาม เขาแกะเชือกรองเท้าวางไว้ข้างเตียง ก่อนจะถอดเสื้อนอกลายพรางออกคงเหลือแต่เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า จ่าแม้นเอาน้ำไปเท ถ่ายมาใหม่ คราวนี้เป็นน้ำใสสะอาดพร้อมผ้าเช็ดตัวพื้นเล็กๆ

"นี่ครับ เช็ดหน้าเช็ดตาเสียหน่อยจะได้นอนสบาย"

ต้นธาราจัดแจงตามที่บอก เขาเช็ดลำคอ เช็ดแขนเช็ดใบหน้า ก่อนจะรู้สึกถึงความโหวงเหวงและหนักอึ้ง จ้าแม้นรับผ้า ก่อนคุณหมอจะหลับลงอย่างง่ายดาย จ่าแม้นถอนใจต่อความดื้อดึงของคุณหมอ...ออกเดินทางด้วยเท้า เจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันทนมาได้ถึงขนาดนี้นับว่าประสาทแข็งเอาการ จ่าแม้นคิดก่อนจะซักผ้าที่เปื้อนคราบสกปรกตากให้ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของผู้กองภานุ

"สวัสดีครับผู้กอง"จ่าแม้นทำความเคารพ ภานุผงกหัวยกมือรับ

"คุณหมอเป็นอย่างไรบ้างจ่า"น้ำเสียงราบเรียบข่มอารมณ์โกรธ จ่าแม้นชี้ไปบนบ้าน

"กำลังให้พักผ่อนอยู่ครับ สงสารแกเหลือเกิน ออกร่วมลาดตะเวนครั้งแรกก็เจอดีเสียแล้ว เฮ้อ...ไม่น่าเลย"

จ่าแม้นบ่นพึม ภานุยิ้มหยัน เขาเดินขึ้นไปบนกระต๊อบไม้ไผ่ เห็นคุณหมอหลับสนิท ใบหน้ายังมีรอยขมวดมุ่น สำหรับภานุแล้ว เขาไม่มีความสงสารหรือความเมตตาใดๆ เขามองใบหน้าที่หลับสนิทอย่างชิงชัง อยากจะรู้นักว่าเจ้านี้จะพอใจไหมที่เพื่อนรักเขาตายเพราะผลงานของตัวเอง ภานุคิด เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นอาจเป็นความคิดฝ่ายเดียว เขาเพียงโมโหจนไม่ยอมมองความจริง ผู้กองหนุ่มอยากจะบีบคอขาวๆของคนที่นอนหลับใหล แต่เขาคิดว่าไม่ควรที่จะกระทำ คุณหมอต้นธาราขยับตัว เสียงเดินขึ้นกระท่อมไม้ ชายหนุ่มหันมองคุณมองมาริสานั้นเอง เธอมีสีหน้ากังวล หญิงสาวเดินมากับเด็กๆชาวเขา

"ฉันมาเยี่ยมคุณหมอธารค่ะ"

หญิงสาวว่า พลางต้อนเด็กๆขึ้นบ้าน ภานุขยับตัว ให้หญิงสาวนั่งลงเคียงข้าง

"คุณหมอธารเป็นอย่างไรบ้างคะ ฉันได้ข่าวจากคนในค่ายบอกว่าคุณหมอได้รับบาดเจ็บ"

เธอเอ่ยอย่างกังวลใจต่อเพื่อนร่วมงาน ภานุทำหน้าเฉยเมย

"คุณหมอไม่เป็นอะไรมากหรอกครับคุณหมอมาริสา แค่ช๊อกนิดหน่อยให้พักสักนิดก็ดีขึ้นแล้วครับ"

คำตอบทำเอาหญิงสาวทำหน้าเจื่อนเพราะน้ำเสียงของนายทหารหนุ่มเย็นชายิ่งนัก

"ค่ะ...คือฉันเสียใจด้วยนะคะกับเรื่องผู้กองนาคี"

เธอเอ่ยอึกๆอักๆ ก่อนจะจ้องในแววตาแกร่ง

"คือฉันเพิ่งไปเคารพศพน่ะค่ะ รู้สึกเป็นห่วงคุณหมอก็เลยมาดู "

ชายหนุ่มผงกหัวรับทราบเรื่องที่หญิงสาวบอก

"คุณหมอจะไปไหนหรือครับ"

ภานุกล่าว มาริสายิ้มเธอโอบกอดเด็กๆ

"วันนี้อากาศดี ก็เลยคิดจะไปเดินเล่น"

คุณหมอสาวตอบเสียงแผ่ว ผู้กองหนุ่มหันมองใบหน้าของต้นธารา

"แต่เจอเรื่องไม่ดีก่อนใช่ไหมครับ"

ชายหนุ่มกล่าวต่อ มาริสาโบกมือวุ่น

"ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันไม่ได้คิดจะว่าเช่นนั้นเลย"

เธอตอบทันควัน ภานุหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอ

"ครับ ผมแค่หยอกเล่น"

ชายหนุ่มกุมขมับ มาริสายิ้มให้ เด็กๆชาวเขาลงไปคอยข้างล่าง วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน

"ค่ะ ฉันทราบ ดูเหมือนผู้กองจะเหนื่อยมากนะคะ โปรดพักสักหน่อยดีไหมคะ"

ภานุขอบคุณในความห่วงใยของหญิงสาว แต่เขาปฏิเสธไปว่าไม่ต้องการพัก

"ตายแล้ว นี่มันเลยเวลาเข้าเวรของดิฉันแล้วต้องขอตัวก่อนนะคะ"

หญิงสาวลุกขึ้น ภานุไปส่งเธอ ก่อนจะกลับหญิงสาวเอาผักกาดที่อยู่ในตะกร้ามีเชือกสะพายส่งให้

"ฉันฝากให้คุณหมอธารด้วยนะคะ คนป่วยที่คุณหมอธารเคยรักษาฝากขอบคุณมาค่ะ"

เธอโบกมืออำลาเด็กๆเดินตามหลังเธอ ภานุหอบตะกร้าผักกาดขึ้นกระท่อม...ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักใครต่อใคร ภานุบีบตะกร้าแน่น สำหรับเขามันยิ่งกว่าหนอนเสียอีก นายทหารหนุ่มทรุดนั่ง ความไม่พอใจเอ่อล้นเต็มอก เหมือนกับลาวาที่ใกล้ปะทุออกจากปากปล่อง ภานุรู้ดีว่าไม่อาจทานทนได้เมื่อมองใบหน้าของคุณหมอ ชายหนุ่มลุกขึ้น จะกลับไปยังค่าย แต่ก็ได้ยินเสียงบ่นพึมออกจากปากของต้นธารา

"ผู้กองนาคี ผมขอโทษ"

ภานุชะงัก เขาหันมองใบหน้าที่มีหยาดน้ำตาใสๆเอ่อล้น เหมือนมีอะไรมาจุกอก ชายหนุ่มทรุดนั่งอยากจะรู้ว่าร่างที่นอนอยู่นี่ต้องการอะไร ดวงตาแกร่งจ้องมองใบหน้าที่ดูอ่อนโยน มือที่กำแน่นกลับคลายออก ต้นธาราลุกขึ้นตกใจเล็กน้อยเมื่อเจอผู้กองภานุนั่งเฝ้าเขา

"คุณ..."

คุณหมอไอแค่กๆทันที ภานุลุกขึ้นตักน้ำฝนมาให้ ต้นธาราเอื้อมรับ เขาดื่มอย่างกระหาย ภานุนั่งขัดสมาธิอยู่มุมห้อง มองนิ้วเรียวบรรจงวางขันไว้ตรงโต๊ะ

"เป็นอย่างไรบ้าง"

น้ำเสียงถามห้วนๆ ต้นธาราก้มหน้า เขาไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกไปเลย กลัวทำให้ผู้กองไม่พอใจ

"เป็นใบ้กระทันหันรึไง"

คำพูดที่แดกดัน เสียดแทง คุณหมอกระพริบตา

"ดีขึ้นแล้วครับ"

คำตอบสั้นๆรอคอยให้อีกฝ่ายพูดตอบแต่ภานุกลับนิ่ง

"แล้วคุณล่ะครับ"

เมื่อฝ่ายชายหนุ่มไม่ตอบ ต้นธาราก็เป็นฝ่ายถามเอง ภานุเหลือบตามองราวกับเขาเป็นแมงหวี่ที่น่ารำคาญ

"ผมไม่ตายหรอกครับ"

คำตอบเรียบง่ายหากแต่แทงลึก ต้นธาราหน้าหม่นลง เขารู้ตัวดีว่าภานุไม่พอใจ ยิ่งชายหนุ่มเอ่ยอย่างนี้ก็ยิ่งเสริมให้เป็นจริง ต้นธารากำมือของตัวเองแน่น เขาอยากจะกล่าวอะไรอีกสักเล็กน้อยแต่มันช่างดูรางเลือน ต้นธาราดูเหมือนกับคนหมดสิ้นหนทาง เขาอยู่ใกล้ผู้กองภานุมากขนาดนี้แต่ดูเหมือนมันห่างหลายหมื่นโยชน์

"ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ผมขอตัว อ้อ...ผักกาดชาวบ้านแถวนี้เขานำมาให้คุณเป็นการตอบแทน"

ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังไม้ไผ่สาน ภายในบรรจุผักกาดอัดแน่น

"เอ่อ..ครับ..."

ต้นธารารับรู้ เขามองดูผู้กองหนุ่มลงจากบ้าน นิ่งอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้น

"แบ่งไปได้ไหมครับ ผมทานไม่หมดหรอกครับ"

เขาเรียก แกะตอกที่มัดปากตะกร้าสานออกหยิบผักกาดสีเขียวออกมา ภานุนิ่ง เขาเดินกลับมารับไม่กล่าวขอบคุณแม้แต่น้อย ยามที่ร่างสูงหันหลังกลับ ต้นธาราถอนใจ เขากุมหน้าอกของตัวเอง รู้สึกปวดใจ ชายหนุ่มหันหลังเดินขึ้นบ้าน เวลาทำไมมันช่างผ่านไปช้านัก คุณหมอหนุ่มซบหน้า ภาพรอยยิ้มของผู้กองนาคีแตกสลาย ทุกอย่างเปลี่ยนไปช้าๆ ต้นธารานั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเย็นเขาลุกขึ้น ชายหนุ่มผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเข้าไปในค่ายถามหาศพของผู้กองนาคี ผู้พันมีทรัพย์เดินมาหา ท่านถอดหมวกเบเรตออก

"สวัสดีครับผู้พัน ศพของผู้กองนาคีไปไหนครับ"

ชายหนุ่มถาม เขาดูกระสับกระส่าย

"ส่งกลับค่ายใหญ่แล้วครับคุณหมอ"

ชายหนุ่มทำหน้าเสียดาย เขาจะมาเคารพศพและขอบคุณที่ช่วยปกป้องเขา ดวงตาสีน้ำตาลเศร้าหมอง

"คุณหมอมาเคารพศพหรือครับ"

ต้นธาราผงกหัว ผู้พันพาคุณหมอหนุ่มไปนั่ง ท่านชงกาแฟให้ทรุดนั่งลงด้วย

"ศพของผู้กองถูกส่งกลับไปนานยังครับ"ต้นธาราเอ่ยถาม ผู้พันจิบกาแฟร้อนๆ

"นานแล้วครับ"

ท่านตอบและมองควันกาแฟลอยม้วนตัวสู่อากาศ

"มันเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของผมเองครับ"

ผู้พันวางถ้วยกาแฟลง ต้นธารารับฟังเงียบๆ

"ไม่นึกว่าเจ้าพวกนั้นจะกล้าโจมตีทางฝ่ายเรา"

เป็นเรื่องที่สุดวิสัยยิ่งนัก ชายหนุ่มหลับตาคำกล่าวที่ถ่ายทอดออก ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งเหมือนตกอยู่ในความฝัน

"ยิ่งนึกถึง มันก็เหมือนกับการตัดสินใจนั้นทับถมตัวเองไว้"

ผู้พันกล่าวเสียงเบา ต้นธารายิ้มในรอยยิ้มนั่นแฝงด้วยความผิดแน่นอก

"ไม่หรอกครับผู้พัน ผู้พันนั้นได้ตัดสินในถูกแล้ว"

เขาปลอบคนอื่นได้แต่ไม่อาจปลอบตัวเอง ผู้พันมีทรัพย์ยิ้ม

"นับตั้งแต่สมัยหนุ่มๆที่เขารวมรบในกองทัพมา ทุกสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจ ผมไม่เคยเสียดายแม้แต่น้อยจนกระทั่งครั้งนี้แหละ"

ผู้พันระลึกถึงอดีต คุณหมอนุ่มนั่งฟังอย่างเงียบๆ

"เฮ้อ...คุยกับคนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละ"

เสียงหัวเราะสดใสดังออกจากปากของคุณหมอหนุ่ม

"ไม่หรอกครับ คุยกับท่านสนุกจะตาย" แต่ในหัวใจลึกๆกลับไม่ใช่เลยเขาแค่กลัว

"ขอบใจมากนะคุณหมอ"

ต้นธารายิ้ม เขาเลื่อนเก้าอี้ออก ผู้พันมีทรัพย์มองคุณหมอผู้ดูร่าเริง ก่อนส่ายหัว...เขาอยากจะรู้จริงๆว่าคนการเรียนสูงๆแบบนั้นอยากเข้ามาทำงานหนักตามชายแดนทำไม มีโรงพยาบาลดีๆใหญ่ๆที่ต้องการตัวแยะแยะ กลับมาหมกส่วนอยูในป่าที่ไร้สิ่งอำนวยความสะดวกหรือเป็นจิตสำนึกดีกัน

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-04-2008 21:35:02
ฝ่ายต้นธาราเมื่อขอตัวออกจากค่าย เขาเดินไปตามเส้นทางอันมืดมืดหาผู้กองหนุ่มซึ่งนั่งดื่มเหล้าท่าทางเมามาย ดวงตาแกร่งว่องไวจับจ้องอยู่ที่ร่างที่เดินออกมาใกล้กับแสงตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนไปกับขื่อบ้าน คุณหมอยิ้ม ภานุมอง...อะไรกันนี่แม้แต่ในห้วงแห่งความฝันที่เขาอยากจะลืมยังเจอหน้าคุณหมออยู่อีกหรือ...ผู้กองขยี้ตา เหล้าป่าไหลรินเปียกคอเสื้อ

"ผมขออนุญาตขึ้นไปนะครับ"

ต้นธาราขอ ภานุผงกหัว เขาเดินสะเงาะสะแงะลงจากบ้านประชิดตัวคุณหมอ กลิ่นเหล้าโชยหึ่ง คุณหมอปิดจมูก

"เชิญ"

นายทหารหนุ่มเปิดทางให้ คุณหมอเดินขึ้นเรือนนั่งลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

"ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า"

คุณหมอสอบถาม ส่ายหัวเมื่อเหล้าป่ารสแรงถูกยื่นมาให้

"ขอบคุณครับ แต่ผมมาดูคุณเฉยๆ"

ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาปัดแก้วเหล้าออก น้ำใสแจ๋วกระฉอก ภานุทำหน้าบูดบึ้ง ต้นธาราหดคอ เขากลัวว่าชายผู้นี้จะทำร้ายเขาแต่ท้ายที่สุด คนดื่มจัดกลับคอพับคออ่อน แก้วหล่นจากมือแตกละเอียด คุณหมอมอง ภานุที่ทอดตัวยาว คุณหมอหนุ่มอึ้ง เขาลากตัวผู้กองหนุ่มเข้าห้อง รู้ว่าผู้กองคงดื่มเพื่อคลายอารมณ์โศกเศร้าที่สูญเสียเพื่อนรักที่สุด เขาคุกเข่ารู้สึกว่าตัวเองโชคไม่ดีนัก นิ้วเรียวตบแก้มหนาเบาๆ นายทหารหนุ่มคราง

"อือ..."

ดวงตาของภานุพยายามมอง เขาเห็นดวงหน้ารางเลือนของคุณหมอ ผมสีน้ำตาลตกระใบหน้า ดุจเพลิงพิโรธเผาผลาญ

"มาทำไมฆาตกร...แกทำให้คนดีๆต้องตาย"

คำพูดของคนเมา ถึงแม้ว่าต้นธาราจะไม่ถือ แต่มันกัดกินหัวใจตัวเองได้พอสมควร เขาปิดปาก

"เจ้านาคีก็งี่เง่าจริงๆยอมตายเพื่อหมอโง่ๆคนหนึ่ง แกไปหลงเสน่ห์อะไรเขาว้า"

ร่างหนาพลิกตัว เขาดันใบหน้าของคุณหมอ ต้นธาราตกใจกับการกระทำ

"ไหน...ตรงไหนกันที่นาคีมันหลงใหล"

นิ้วแกร่งบีบคาง ต้นธาราใช้นิ้วแงะมือที่แตะใบหน้าของตัวเองเสียจนเจ็บปวด ผิวขาวเป็นรอยช้ำ

"คุณจะทำอะไรน่ะ"

ต้นธาราตวาด เขาตกใจกับการกระทำ ชายหนุ่มลุกหนีแต่ก็ถูกคว้าตัวไว้

"เฮ้ อย่าเพิ่งหนีสิ ให้ฉันมองรอยยิ้มนุ่มนวลแบบคนอื่นๆบ้างไม่ได้รึ"

ความป่าเถื่อน ฤทธิ์เหล้าครอบงำ ภานุกระชากร่างของต้นธารากลับมาอย่างง่ายดาย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนๆเบิกกว้าง

"คุณเลิกทำเรื่องแบบนี้เดี๋ยวนี้นะ"

ต้นธาราดิ้นขลุกๆให้พ้นจากอ้อมแขนอันหนาแน่น

"บอกให้ปล่อย ผู้กองจะทำอะไร"น้ำเสียงเคร่งเครียดเพราะรู้ชะตาของตัวเอง ภานุเหยียดยิ้มยาว

"อา...พอมองใกล้ๆคุณหมอก็ดูน่าตาดีเหมือนกันน้า ผิวพรรณก็ละเอียด แก้มก็ใสสะอาด อีกทั้งดวงตาและริมฝีปากก็ช่างรับกันเสียจริงๆ"

ชายหนุ่มลูบไล้ลำคอ ต้นธาราตัวแข็ง ข้อมือถูกพันธนาการ

"นี่หรือคือสิ่งที่เจ้านาคีต้องการ"

จมูกเฉียดแก้ม ก้มจูบตรงซอกคอ ร่างของคุณหมอสะดุ้งเหมือนถูกนาบด้วยไฟร้อนๆ ชายหนุ่มคว้าแก้วเหล้านึกครึ้มใจจึงราดลงบนผิวสวยๆ ต้นธาราอยากจะพูดแต่มันก็พูดไม่ออก สิ่งที่ภานุต้องการคืออะไรกันแน่ ลิ้นอุ่นๆสัมผัสผิว คุณหมอรู้สึกหมดเรี่ยวแรง

"พอดีเลย คุณจะแตกต่างจากพวกผู้หญิงตรงไหนบ้าง"

ต้นธารานิ่งกับกับพูดกักฬขะของอีกฝ่าย เขาดิ้นอีกรอบจนแขนข้างนิ่งเป็นอิสระผู้กองหนุ่มควบคุมให้อยู่ใต้อาณัติตามเคย ลำแขนบางสลัดหลุดอีกครั้งเพราะภานุยังตกอยู่ในฤทธิ์น้ำเมา ต้นธาราหันไปตบหน้าแกร่งฉาดใหญ่ ภานุนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะใช้ฝ่ามือกดหัวคุณหมอซุกกับเตียงจนแทบขาดใจตาย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกร่างใหญ่ทาบทับความทรมานแล่นริ้วๆ ปอดทำงานหนัก ลมหายใจเริ่มขาดๆหายๆ ครั้งหนึ่งที่คิดว่าใกล้จะตาย นิ้วแกร่งก็จิกกระชากศรีษะได้รูปขึ้น เมื่อนั้นปอดก็สูดอากาศอันสดชื่น เขาจ้องเข้าไปในแววตาของผู้กองหนุ่ม

"คุณต้องการอะไรกันแน่ ลงโทษผมหรือว่า..."

เสียงพูดช่างปวดร้าวในลำคอยิ่งนัก ภานุทับต้นธาราไว้ น้ำหนักตัวกดเต็มๆ

"คุณโกรธหรือกับการที่ผมเป็นต้นเหตุให้ผู้กองนาคีตาย"

คุณหมอว่า ภานุจ้องดวงตา เขาปลดเสื้อของตัวเอง หน้าอกเป็นมัด ลำแขนแกร่งคร่อมไว้ ใบหน้าจรดชิด

"ตอนนี้คุณหมอที่น่ารักอยากเป็นอะไรล่ะ"

เสียงนุ่มๆถาม ต้นธาราอยากจะตบใบหน้าอีกสักฉาด หากร่างกายไม่อ่อนเปลี้ยล่ะก็ ใบหน้าแกร่งนั้นคงมีรอยนิ้วห้ารอยประทับอีกแน่ๆ

"เป็นถ้วยเหล้าให้ผมดีกว่านะ"

เสียงกระซิบหยาบคาย เขาพยายามเอาตัวรอด ช่วงท้องถูกทับสัมผัสถึงความแข็งขึงของร่างสูงใหญ่ อีกฝ่ายไม่เสียเวลาเปล่า รินเหล้าที่เหลือติดก้นขวดราดเสื้อผ้า

"คุณบ้าไปแล้ว"

ต้นธาราว่าเมื่อชายหนุ่มชูมีดพกเงาวับ ดวงตาสีน้ำตาลปรากฏแววพรั่นพรึง กลัวจับจิตว่าชายหนุ่มจะทำร้ายตนแต่ก็ไม่ใช่เพราะภานุเพียงใช้ตัดเสื้อ

"อย่าทำแบบนี้นะ"

อีกฝ่ายร้องเสียงหลง นี่มันยิ่งกว่าถูกทำร้ายเสียอีก เสียงฉีกขาด ก่อนมือแกร่งจะกระชากขาด เขาไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ร่างกายแข็งท่อนดุจท่อนไม้ ทันทีที่รสจูบประทับลง ริมฝีปากหนาเบียดรุกพยายามเปิดปากของต้นธาราให้ได้ ดวงตาสีน้ำตาลหลับลง การจูบที่บดขยี้ มันช่างเจ็บปวดและทำให้เขาตกใจ เมื่อการจูบรุนแรงไม่ได้ผล ภานุก็หันมาเคล้าเคลียกลีบปาก หยอกล้อจนทำให้รู้สึกเคลิ้ม ลิ้นอุ่นๆจึงทำการแทรกสอด ต้นธาราเริ่มตกอยู่ในอำนาจแห่งเสน่หา เขายอมให้ผู้กองได้ครอบครองริมฝีปากอิ่ม ก่อนจะถอนออก ภานุจ้องเข้าในดวงตาสีน้ำตาล ดูราวกับจะดูดกลืนแต่ชายหนุ่มกลับจ้องกลับด้วยแววตาเมินเฉย ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ

"หยุดเดี๋ยวนี้ ผมบอกให้คุณหยุด"

ต้นธาราห้าม เหล้าที่รินใส่เสื้อผ้า กลิ่นมันลอยเตะจมูกจนแทบทนไม่ได้

"โธ่เอ้ย คุณเป็นคนโรคจิตหรือไง"ปากเรียวยังไม่หยุดด่า ภานุเงยหน้ามอง

"ผมน่ะหรือโรคจิต"

เขาพึมพำ คุณหมออยากฝากรอยไว้บนแก้มแกร่งอีกข้างเหลือเกิน ดิ้นแล้วดิ้นอีก แรงอันมหาศาลก็กดเขานอนหงาย ใบหน้าของคุณหมอแดงก่ำ

"พอใจหรือยังล่ะ"

ความเหลืออดเหลือทนทำให้ต้นธารากล่าวเช่นนั้น ผู้กองหนุ่มลุกออกจากตัวอย่างง่ายดายจนต้นธาราแปลกใจไม่คิดว่าจะรอดมาได้ง่ายๆขนาดนี้

"ผมพอใจแล้วแหละ คุณไปอาบน้ำซะเถอะ"

ท่าทีเหมือนหยอกเย้าดูถูก ต้นธารากัดฟัน เขาลุกขึ้นมองดูเสื้อของตัวเองที่ไม่เหลือเป็นชิ้น

"คุณ...."

เมื่อพูดไม่ออก ต้นธาราลุกขึ้นจากเตียง เขาเดินก้มหน้าผ่านตารู้สึกถึงสายตาหยามแคลน ดวงหน้าแดงก่ำ ภายในดวงตาสีน้ำตาลสับสนวุ่นวาย ภานุกอดอกพิงผนังบ้านมองร่างที่เดินดุ่มหายในความมืด ก่อนจะปิดประตูไม่ใยดีว่าอีกฝ่ายจะไปไหน ชายหนุ่มรื้อผ้าปูเตียงเปื้อนคราบเหล้าออกโยนลงพื้น อาการเมาจางหายไปนานแล้ว ชายหนุ่มนอนประสานท้ายทอย จ้องมองเพดานห้องนึกหงุดหงิดหัวใจของตัวเอง สิ่งที่เขาทำ...เมื่อครู่เพราะเมาหรือเปล่านะ...เฮ้อ ช่างเถอะ...ชายหนุ่มพลิกกายไม่สนใจกับสิ่งใดนอกจากอยากพักผ่อน

ฝ่ายต้นธาราโมโห สิ่งที่ชายหนุ่มทำมันช่างดูถูกศักดิ์ศรีเขานัก คุณหมอหนุ่มกอดอกเปลือยเปล่า เขาไปยังลำธารใกล้บ้านของภานุ ชายหนุ่มรีบกอดกางเกงที่เหลือลงอาบน้ำท่ามกลางเสียงของป่าพงไพร นิ้วเรียวใช้น้ำถูไปทั่วกาย รู้สึกถึงความรังเกียจ ยิ่งชำระล้างก็ยิ่งชวนให้นึกถึง ต้นธารากัดฟัน เขาแช่น้ำเย็นเฉียบมองดูหมู่ดาว ด้วยความโกรธแค้นหรือที่ทำให้ชายหนุ่มทำเช่นนั้น ด้วยความชิงชังหรือเปล่า เขากวักน้ำล้างหน้าตาลบภาพที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆออก ก่อนจะมองดูเสื้อผ้าของตัวเอง...เขาจะกลับเข้าไปในค่ายได้อย่างไร ความโมโหก็แผ่พุ่งขึ้นอีกระรอก ชายหนุ่มตีน้ำจนมันแตกกระจายเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ หูแว่วได้ยินเสียงแซกๆหลังพุ่มไม้ งูตัวเบ้อเร่อเลื่อยออกมา คุณหมอตัวแข็งทื่อ เขานิ่งมันจ้องมองอยู่ชั่วครู่ก็เป็นฝ่ายเลื้อยหนี ลมหายใจถอนออก ดูท่าเขาจะซวยซ้ำซวยซ้อนแน่ๆถ้าหากยังไม่ขึ้นฝั่ง เรื่องไม่ดีต้องบังเกิดกับเขาอีกเป็นแน่แท้ ต้นธาราจึงว่ายขึ้นฝั่งแต่เขาต้องนิ่งอีกรอบ เพราะบนชายฝั่งมีชายหนุ่มสูงพอๆกับเขาโพกหัว ปิดหน้าปิดตาถือปืนยาวเล็งมาทางเขา ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบ...นี่ไม่ใช่ภาพฝัน...เขานิ่งงัน

"แกเป็นใครกัน"

ต้นธาราถาม เขาค่อยๆถอยห่างไปกลางลำธาร เท้ากระทบกับกรวดหิน แต่ปลายกระบอกปืนก็ยังไม่เบนไปจากเป้าหมาย เสียงพูดเป็นภาษาพม่า คุณหมอฟังไม่ออกเขาจึงได้แต่นิ่งมิไหวติง

"ท่านไม่เข้าใจในภาษาเรา เราขอโทษ"

ชายโพกผ้ากล่าว เขาลดปืนลงห้ามไกปืนทรุดนั่งริมฝั่ง ต้นธาราฟังคำกล่าวที่เอ่ยวาจาออกมาเป็นภาษาไทยถึง
จะแปร่งหูแต่ก็พูดได้ชัดเจน

"ท่านหมอผู้มีบุญคุณกับข้า"

ชายโพกหน้าก้มหัวให้ คุณหมอหนุ่มอึ้ง

"ผู้มีพระคุณ ข้ามีนามว่ากิ่งไผ่นี่คือชื่อในความหมายภาษาไทย ข้าอยากมาตอบแทนท่านที่ช่วยรักษาข้า"

ต้นธารามอง เขาทำตาดุใส่ ชายโพกหัวยื่นห่อผ้าขาวม้าให้

"ไม่ต้องการ เก็บไปเถอะ"ชายหนุ่มบอกปัด ชายโพกผ้าหน้าตาละห้อย

"ไม่ได้หรอก ท่านผู้มีพระคุณ เอ่อ ข้าเสียใจที่คนของข้าทำร้ายคนของท่าน"

กิ่งไผ่บอก ด้วยความเสียใจจริงๆ ต้นธาราดูเหมือนจะไม่ฟัง แต่ชายหนุ่มข้าศึกจากต่างแดนกล่าวขอโทษและบอกให้ใจเย็นลงบ้าง ต้นธาราพยายามระงับสติ

"ตอนนั้นหากท่านไม่ช่วยข้า ป่านนี้ก็ไม่ได้มานั่งตรงนี้เพื่อเอ่ยขอบคุณหรอก"

เขาตอบ คุณหมอหนุ่มทำใจให้สบาย

"มันเป็นหน้าที่ไม่จำเป็นหรอก"

ต้นธารากล่าว เขามองดูข้าศึก

"ข้าทราบดี แต่ข้าก็อยากมาตอบแทนท่านบ้าง ช่วยรับเงินนี้ด้วยเถิด"

เขามองดูถุงเงินซึ่งจะอาจปล้นมาจากครอบครัวเศรษฐีในเมืองของตัวเองก็เป็นได้

"มิได้ "

ชายหนุ่มยืนกรานปฏิเสธ กิ่งไผ่หน้านิ่ง เขาอุส่าห์ลอบเข้ามาในดินแดนศัตรูกว่าจะได้ กิ่งไผ่ทำหน้าเสียดาย

""แต่น้ำใจที่ท่านอุตส่าห์มาหาฉันก็จะรับไว้" ต้นธารากล่าว กิ่งไผ่ผงกหัว

"ครับ คุณหมอเป็นคนดีจริงๆ"กิ่งไผ่กล่าว

"ไม่ได้เป็นคนดีถึงขนาดนั้นหรอก"ดวงตาสีน้ำตาลหม่นอีกรอบ

"เพราะเรื่องลูกน้องของผมที่ทำร้ายผู้กองใช่ไหมครับ"

ต้นธาราผงกหัวบอกกล่าวตรงๆ

"ใช่ เพราะลูกน้องของท่านที่ทำให้ผู้กองนาคีต้องตาย"

กิ่งไผ่ก้มหน้า

" ช่างน่าละอายใจนัก แต่ข้าได้ลงโทษคนที่ทำร้ายผู้กองแล้ว ถึงแม้ชีวิตมันทดแทนกันไม่ได้ก็เถอะ"

ชายหนุ่มโพกหน้าตอบ ต้นธาราผงกหัว

"ก็ไม่ได้ถือโกรธหรอก รู้ดีว่ามันเป็นสงคราม"

เขาว่าอย่างนั่น ก่อนจะตีน้ำให้มันกระเพื่อมเป็นวงกว้างๆ กิ่งไผ่มองดูคุณหมอ

"เป็นสงครามและหน้าที่ที่สวนทางกันด้วย"

ชายในผ้าโพกกล่าว ต้นธาราหลับตาลง เขาอยากพักผ่อนใจแต่ดันมีตัวขวาง แต่เขาก็ไม่เก็บมาคิดมาก สนทนาอยู่กับเชลยต่างแดน

------------------------------------------------

ภานุร้อนใจ เขานอนกระสับกระส่าย ไม่เห็นคุณหมอเดินทำหน้าบูดกลับมาจึงรีบลุกขึ้น คิดบางอย่าง...หรือว่ากลับในค่าย แต่นั้นก็เป็นไปไม่ได้เพราะเสื้อผ้าฉีกขาดหมด ชายหนุ่มที่ไม่คิดสนใจก็สนใจจนได้ ภานุนำมีดสั้นออกมา เตรียมกระสุนกับปืนให้พร้อมก่อนจะออกมาหาคุณหมอต้นธารา ชายหนุ่มเดินมายังธารน้ำและก็ได้เห็นคุณหมอหนุ่มคุยกับเงาๆหนึ่ง ภานุเพ่งมอง ตกใจเมื่อเงานั่นกลับเป็นฝ่ายศัตรู มันถือปืนยาววางพาดตักพูดคุยเรื่องอะไรสักเรื่องกับคุณหมอที่กำลังแช่น้ำ ใบหน้าของคุณหมอเคร่งขรึม ภานุดวงตาวาวโรจน์ ยิ่งกว่าโกรธ ชายหนุ่มเดินออกจากที่ซ่อน เขาเกือบไปถึงเป้าหมายแล้วแต่เป้าหมายนั้นกลับลุกขึ้นอำลา ชายหนุ่มจึงหลบเข้าที่ซ่อนตามเดิน ซึ่งที่เขาเห็น...คือการทรยศหักหลังที่เจ็บแสบที่สุด ชายหนุ่มกำมือ เพราะเหตุนี้สินะนาคีถึงตาย สิ่งที่สงสัยมาตลอดกลายเป็นความจริง ต้นธารารีบขึ้นจากน้ำ เขาไม่รู้เลยว่านับจากนี้ไปชีวิตของเขาต้องตกอยู่ในอำนาจของผู้กองภานุ กับความใจดีนั้น...มันทำร้ายตัวเขาเอง

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 30-04-2008 11:55:35
วุ้ย สวรรค์เบี่ยง บวก จำเลยรักมาเอง

ตบจูบ ตบจูบ

ชอบคร้าบบบบ

เป็นกำลังให้นะครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 30-04-2008 13:58:09
55++สวรรค์เบี่ยงเรนไม่เคยดูค่ะ ย้ายเข้ามาหอไม่เคยได้ดูทีวีเลย เกาะแต่คอมพ์ จำเลยรักเคยดูแต่เวอร์ชั่นเก่า เมื่อWhen I was yong  (สมัยจอห์น นูโวเล่นอ้ะ จำได้ในความทรงจำรางเลือนว่าพระเอกเถื่อนสมคาแรคเตอร์ในเวอร์ชั่นนิยาย):oni2: ต่อไปคงออกแนวน้ำเน่าหลุดโลกยิ่งกว่านี้ :oni1: เดี๋ยวจะฝากตอนพิเศษมาให้พี่พิมพ์ลงนะคะ ^^

 ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-04-2008 18:51:22
แอ่ะ  มาด้วยดัน  เอิ๊กๆ 

วันนี้ยังไม่ลงต่อแล้วกันเน้อ  พรุ่งนี้ก่อน  น้องเรนน่าร้ากกก  มาตอบด้วย  อิอิ 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-05-2008 04:10:56
เข้ามาช่วยเพื่อนสาวดัน

อึ้บส์ๆๆๆๆ



ปล. เพื่อนสาวขา  หนักมาก  ลดฟามอวบด่วน   :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 01-05-2008 05:55:58
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 01-05-2008 06:13:20
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับผม เป็นกำลังใจให้คุณหมอนะครับ

การเกิดการเข้าใจผิดครั้งนี้ทำให้ภานุโกรธและเกลียดคุณหมอมากขึ้นไปอีกป่าวครับ

สงสารคุณหมอจังครับ เป็นกำลังใจให้ครับผม คุณหมอทนภานุต่อไปแล้วกันครับ

เพราะคิดว่าต่อจากนี้ ภานุคงจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณหมอเจ็บละครับผมว่า

เป็นกำลังใจให้คนเขียนคนโพส เสมอครับผม เรื่องน่าสนใจและสนุกมากครับ

ชอบแนวแบบนี้ครับ ซาดิส ดีชอบๆๆ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-05-2008 20:31:37
5555  มาต่อกันเล้ย  เพิ่งรู้ว่าพูห์กับชิว่าชอบตบจูบๆ นะ
ส่วนเจ้กับแป๋ว  รู้อยู่แล้ว อิอิ
++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:3Lust/เสน่หา

ภานุทรุดนั่งใบหน้าของชายหนุ่มมีทั้งความโกรธแค้น อัดอยู่เต็มเปี่ยม เขารอให้ศัตรูหายไปไกลก่อนค่อยๆย่องออกมา คุณหมอหันมาเจอภานุยืนจังก้าก็ตกใจ

"อ่ะ...คุณมาตั้งแต่เมื่อไรครับ"

ต้นธาราถามเสียงซื่อใส คุณหมอก้มเก็บเศษส่วนเสื้อผ้าที่เหลือเพื่อจะนำมาปิดผิวขาวนวลเนียน แต่เท้าของภานุไวกว่า นายทหารหนุ่มเตะกางเกงไปไกล คุณหมอหน้าแดงฉาน เพราะเมื่อเห็นหน้าของผู้กอง เขาก็นึกถึงฉากที่ผู้กองกดเขาไว้

"ผมมาตั้งนานแล้วครับ"

น้ำเสียงเย็นจัด ต้นธาราหน้าซีด

"จะให้ผมบอกแก่ทางกรมทหารเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสักครู่ไหมครับคุณหมอผู้ใจดี"

ชายหนุ่มหันปากกระบอกปืนไปทางต้นธาราที่ยื่นตัวสั่นงันงก

"เรื่องนั้นผมอธิบายได้นะครับ ผมไม่ได้ทรยศเลย"

เขาโต้กลับ เท้าชาเมื่อแช่น้ำนานๆ ชายหนุ่มหัวเราะลั่นป่า

"แล้วถ้างั้นมันอะไรล่ะครับ แอบนัดพบกับทางฝ่ายศัตรูจะขายความลับหรือ"

ภานุหยิบห่อเงินในผ้าขาวม้าโยนใส่หน้า ต้นธารารับไว้ทัน เขาวางมันไว้ริมโขดหินที่โผล่พ้นน้ำ

"คุณอย่าเพิ่งต่อว่าผมสิ ฟังเหตุผลก่อนได้ไหม"

ต้นธาราวอน สีหน้ายุ่งยากใจเรื่อยๆ เขาถอยกรูดๆเมื่อชายหนุ่มลงมาในลำธาร ลดปืนกระชากร่างของคุณหมอให้เข้ามาหาก่อนจะแนบปลายกระบอกเย็นๆแนบท้องขาวเนียน ต้นธารานิ่ง ชายหนุ่มดูถ้าจะอารมณ์แรง เขาก็ไม่กล้าดิ้นหรือขัดขืน กลัวผู้กองร่างใหญ่จะทำอะไรเขา

"ได้โปรดเถิด ฟังกันบ้างได้ไหม"

คุณหมอเว้าวอน แต่ชายหนุ่มร่างยักษ์ก็ผลักจนล้มลงไปในน้ำแตกกระจาย สัมผัสเย็นเฉียบ ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนปรากฏแววขลาดกลัว

"นั่นคือคนที่ผมให้ความช่วยเหลือ...."

เขายังพูดไม่จบก็โดนบีบคาง ชายหนุ่มวางปืนที่ห้ามไกแล้วลงบนพื้น ผิวขาวช้ำ เสียงที่ลอดออกมามีเพียงความอู้อี้ๆ

"ปล่อยนะ...ปล่อยผม"

ร่างของต้นธาราดิ้นสุดแรงเกิด น้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้างกระเซ็นถูกภานุเปียกชุ่ม

"ปล่อยคนอย่างคุณไป สู้ให้ไปตายเสียยังจะดีกว่า ไอ้พ่อพระในคราบฆาตกร"

ผู้กองด่าลอดไรฟัน บีบคางมนแน่นจนมันแทบแหลกคานิ้วที่บีบรัด

"อย่า..."น้ำตาคลอหน่วย ไม่มีวันที่ภานุจะเห็นใจ

"อยากลิ้มลองความตายไหม จะให้ลิ้มรสดู"

ศีรษะได้รูปของคุณหมอสั่นไหวไปมา

"ไม่..."

ความกลัวเอ่อล้น ชายหนุ่มกดหัวของคุณหมอที่หวาดกลัวจมน้ำ เรี่ยวแรงเพียงนิดเดียวขัดขืนไม่ได้ คุณหมอดิ้นหาทางรอดให้กับตัวเอง ปอดอึดอัด เขาคงต้องตายจริงๆหรือนี่...ความรู้สึกเศร้าเอ่อล้น เจ็บปวดไปหมด ภานุมองร่างที่ค่อยๆอ่อนแรงลง เขาก็รีบยกขึ้น คุณหมอมีสีหน้าเหนื่อยอ่อน ร่างอ่อนระทวยตกอยู่ในอ้อมแขนของผู้กองหนุ่ม สายตาที่ใกล้ปิดมองเห็นใบหน้า รับรู้ถึงความอ่อนโยน...เขาตาฝาดไป...

"ผมไม่ได้ทรยศคุณ...ผม..."

คำพูดแผ่วเบา ริมฝีปากบางขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ร่างบางจะถูกโยนไปบนฝั่ง เจ็บกายไม่เท่ากับเจ็บปวดหัวใจ...ร่างกายเขาสามารถรักษาได้แต่แผลตรงหัวใจมันกรีดเฉือนลึก...เสี้ยวหน้าอ่อนโยนมองเสี้ยวใบหน้าแกร่ง กร้านศึก...ทำไม...เขาถึงต้องตามหาชายผู้นี้ ความคิดระลึกย้อนไปถึงวันฝึกเดินสวนสนามในค่ายทหาร มันเป็นภาพที่เขาลืมไม่ลงเมื่อได้เจอพบหน้าผู้กองภานุครั้งแรก ใบหน้าที่แข็งแกร่งภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น เขาลืมไม่ลงเลยเมื่อทางมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนได้จัดทัศนศึกษาไปค่ายทหารและได้พบกับภาพการฝึกเดินสวนสนาม พร้อมกับผู้กองภานุครั้งแรก...นั้นมันผ่านมานานแล้ว...ชายหนุ่มอาจลืมไปแล้วก็ได้ หัวใจที่เต้นแรง ถี่กระชั้น...นิ้วเรียวกรีดหยาดน้ำตา กับชายหนุ่มที่มองอย่างไร้ความรู้สึก ภานุทำให้ต้นธาราตกหลุมรักก่อน จนถอนตัวไม่ขึ้น เป็นรักครั้งแรก ผู้กองฉุดร่างของคุณหมอขึ้น

"อย่ามาทำตัวอ่อนแออยู่แถวนี้"

น้ำเสียงกระชาก ห้วน ต้นธาราขืนตัวเองไว้ จนชายหนุ่มต้องลาก ผิวสวยๆนุ่มนวลกระทบกับเศษดิน เศษหิน เสียดสีจนรู้สึกเจ็บปวด เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ภานุก็หยุดนิ่ง

"นี่คิดจะขัดขืนกันเรอะ"

ต้นธารามิปริปาก ชายหนุ่มทรุดนั่งก่อนจิกกระชากเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มมือ เห็นในแววตาวามเปล่า เขาก็คลายมืออก แตะแก้มเบาๆ

"อยากจะพูดอะไรพูดมา ก่อนที่จะไม่ได้พูดอีก"

น้ำเสียงราบเรียบ ต้นธาราก็ยังไม่ตอบ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นเพราะอีกฝ่ายกลับสงบปากสงบคำ

"เมื้อกี้เห็นอยากจะพูดนัก ทำไมตอนนี้ถึงได้เงียบไปล่ะ แก้ตัวสิ ทำไมไม่ทำ"

ภานุกล่าว เขาทรุดนั่งอย่างอ่อนแรง หมดแล้วกับขีดสุดแห่งความอดทน

"คุณกล้าทรยศคนอื่น ผลักให้คนอื่นตายแทนคุณเพื่อให้อยู่รอด แล้วสำหรับเรื่องแค่นี้ยอมรับไม่ได้หรือไง"

แม้จะบังคับให้พูด หรือใช้น้ำเสียงเข้าข่ม แต่คุณหมอก็บื้อใบ้ เอาแต่ส่ายหัว

"นาคีเขาเห็นคุณสำคัญมาก เขาปกป้องคุณจนถึงนาทีสุดท้าย"

ผู้กองภานุกล่าวอย่างเสียใจ คุณหมอเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ใช้วงแขนเรียวกอดภานุไว้ นุ่มนวล แผ่วเบา ผิวหน้าแนบแก้ม ร่างกายถ่ายทอดความอบอุ่น

"ทำไม ผมไม่เข้าใจ...เพราะอะไรนาคีถึงป้องคุณนัก"ภานุเอ่ย เขาดันใบหน้าให้มาสบตา

"ผู้กองนาคีเป็นคนอ่อนโยน เขาเป็นคนกล้าหาญผมเสียใจที่เขาได้เสียชีวิตไป ผมว่าผมควรเป็นคนตายแทนผู้
กองนาคีเสียมากกว่า"

คุณหมอกล่าวด้วยความเศร้าโศก ชายหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาที่ลึกซึ้ง แววตานั้นไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย สองสายตาที่ประสาน...เขาควรจะทำอย่างไรดี....ต้นธาราเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าหาภานุ ริมฝีปากอิ่มแตะสัมผัสนุ่มนวล ผิวเย็นเสียดสีเนื้อผ้าแข็ง ภานุกอดเอวแน่นโหยหาความอบอุ่น แต่กลับพบผิวเย็นเฉียบ ถึงแม้จะทะเลาะกันอย่างรุนแรง แต่ก็สงบลงชั่วครู่ชั่วยาม ชายหนุ่มสัมผัสถึงความร้อนรุ่ม ลูบไล้ผิวนุ่มเปื้อนดินทั่วเรือนร่าง สีหน้าอยากจะกลืนกินร่างของต้นธาราเข้าไปทั้งทั่ว เพียงสัมผัสด้วยอาการแผ่วเบา ร่างของคุณหมอยอมอ่อนผ่อนตาม ภานุจับพาดตักใช้ตัวเองเป็นที่รองรับน้ำหนัก ลำแขนคล้องคอไว้ นายทหารหนุ่มจึงได้สำรวจทั่วกายอย่างง่ายได้ นิ้วลูบไล้ทั่วหน้าอก ลำแขนของคุณหมอยิ่งรัดแน่น แนบกายให้ชิดใกล้ นิ้วมือไล้วนทั่ว ให้ความรู้สึกดุจอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ภานุก้มหน้าลงบนยอกอก จูบซับที่ผิวกาย ซอกคอก่อนจะขบเม้มยอดอก ริมฝีปากผมกับกันอีกครั้ง ก่อนจะถอนออก ให้ความรู้สึกถึงหัวใจที่หวิววาบ และความรักแสนหวาน นิ้วแกร่งไล้ลงต่ำเรื่อยๆจนเจอกับส่วนต้องห้าม ภานุสัมผัสมันแผ่วเบา มันกลับตื่นตัวและหลั่งหยาดหยดใสๆออกมา แม้จะกลัว...เขาก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาดใจ นิ้วแกร่งจิกเรือนผมสีน้ำตาล ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้สึกคล้ายกับดาวพร่าพราย เท่านั้นยังไม่พอ ส่วนที่แข็งขึงของชายหนุ่มก็ตุงผิดปกติ ภานุหยุดมือที่สร้างความสุขสมให้ เขาใช้นิ้วที่เปื้อนหยดคราบน้ำแตะใบหน้า ไกล่เกลี่ยริมฝีปากอิ่ม ก่อนจะค่อยๆปลดซิบออก ปลดปล่อยความต้องการให้พวยพุง คุณหมอลงจากตัว ก้มหน้าลงหาอาวุธประจำกายของชายนุ่มก่อนจะส่งมันเข้าปาก ค่อยๆดูดกลืนช้าๆ มันพองโตคับปากเล็ก หัวในสองตัวสัมผัสซึ่งกันและกัน...แม้เป็นแค่ชั่วขณะก็ตามแต่ คุณหมอเงยหน้ามองใบหน้าที่ได้อารมณ์ของผู้กองหนุ่ม ก็ลุกขึ้น

"ทำไมถึงได้ชำนาญนัก"

ภานุถาม เสียงสั่นเครือ ต้นธารานิ่งลงมือทำการยั่วผู้กองหนุ่มผิดกับลักษณะนิสัย ใบหน้าที่ดูสุภาพโดยสิ้นเชิง ภานุกระชากร่างที่เล่นกับตัวเองให้เข้าไปหา

"หน้ากากของคุณช่างน่าขยะแขยงนัก จิตใจที่แสร้งทำดีที่แท้ก็แฝงความร่านราคะไว้"

ชายหนุ่มว่าจิกเรือนผมนุ่มแน่น รอยยิ้มละลายหัวใจเผยอออก...การกระทำที่เหมือนกับความฝัน...เขาเพียงแค่ดีใจเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับคนที่ตัวเองรักมาโดยตลอด..อยากจะทำให้มีความสุขที่สุด...ชายหนุ่มบดขยี้ริมฝีปากอิ่มเอิบที่หลงเหลือรสชาติขื่น จูบแนบชิดสนิท ต้นธาราขึ้นคร่อม บทรักอันแสนร้อนแรงดังสะท้อน จนชายหนุ่มต้องระงับโดยการนำผ้ามาอุดปาก มีเพียงเสียงครางอู้อี้ดังลอด ต้นธาราจิกนิ้วแน่นบนแผ่นหลัง กดจนเลือดซึม ชายหนุ่มค่อยๆสอดแทรกความอบอุ่น ที่ร่างของคุณหมอต้องแบกภาระหนัก ส่วนขยายพองค่อยๆแทรกเข้าไปช้าๆหากแต่แฝงความนุ่มนวลไม่เร่งเร่า เมื่อสิ้นสุดค่อยๆขยับไหว สร้างความคุ้นเคยจนเพิ่มระดับตัณหาให้มากยิ่งขึ้น จนกระทั้งทนการปลุกเร่าไม่ไหวถึงฝั่งฝันเกือบพร้อมๆกัน คุณหมอหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ซบใบหน้ากับบ่าหนา กล้ามเนื้อตรึงแน่น เสียดสีกับผิวอันอ่อนนุ่มที่แดงขึ้นเพราะอุณหภูมิของร่างกาย ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน จนกระทั่งไม่รับรู้สิ่งใด

ภายในกระท่อมเมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็เห็นว่าร่างเปลือยเปล่าถูกวงแขนใหญ่กอดแน่น ต้นธารายิ้มอย่างอ่อนโยน เขามีความสุขกับการที่ได้มอบสิ่งที่ภานุต้องการให้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคนละความหมายกับที่ชายหนุ่มทราบ ภานุรั้งแขน ส่งสายตามองให้นอนลงข้างกาย ต้นธารายอมอย่างง่ายดาย เขามองดูกองเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งเกะกะ ความฝันเมื่อครู่ก็เป็นความจริง ร่างกายถูกชำระร่าง แขนเรียวโอบกอดร่างบึกบึน สัมผัสอุ่นไอแห่งรัก แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ตามแต่ ต้นธาราก็อยากจะเก็บมันไว้ แม้นความจริงจะเป็นแค่สิ่งลวงตา เขาได้เพียงแค่นี้ก็สุขใจ หากสิ้นสุดถึงวันลาจาก...หัวใจเขาจะเป็นเช่นไร

สิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ เป็นแค่ความฝัน หรือว่าคงอยู่ในโลกแห่งความจริงกัน เป็นเพราะอะไรถึงได้มีความผูกพัน เพราะโชคชะตาอย่างนั้นหรือ หรือเพราะจังหวะหัวใจที่เต้นถี่กัน...เราถึงพบกัน

ไดอารี่สีฟ้าพัดปลิวตามแรงลม เปิดไปหน้าที่เขียนถึงการพบเจอภานุป็นครั้งแรก ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย ในหน้าไดอารี่อีกหน้าสอดรูปของการเดินสวนสนามซึ่งรางเลือนเพราะมีรอยหยดน้ำหกใส่ ในวันที่แสงแดดสาดส่องเป็นวันที่เราได้พบกัน ความทรงจำสำหรับต้นธารา มันล้ำค่าที่สุด และเขาก็รักมันมากที่สุด....ไม่ลืมแม้กระทั่งความตายก็ตาม...เขาบอกกับตัวเองเช่นนั้น บอกกับหัวใจ....จุดเริ่มต้น...ที่ค้นเจอ

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 01-05-2008 23:19:30
 :laugh:


จิ้มๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 02-05-2008 02:43:36
:impress: :impress: :impress:

อ่าครับผมชอบแนวนี้อะครับ อิอิ

ตอนล่าสุดได้ใจผมไปเต็มๆๆ

ชอบตอนล่าสุดจังครับผม

ผู้กองภานุนี่ก็ไม่รู้ใจตัวเองหรืออย่างไรอะครับ

เอาเป็นว่าจะรออ่านตอนต่อไปละกันว่าจะเป็นยังไง

กันต่อไปอะคู่นี้อะ แต่ยังไงๆผู้กองก็อย่าทำให้คุณหมอบอบช้ำมากนะครับ อิอิ

เป็นห่วงคุณหมอจริงๆๆ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-05-2008 06:22:44
มาดันให้อีกคน  :oni2: :oni2:

นู๋เรนทัน จอห์น นูโว แต่พี่ทัน ลิขิต เอกมงคล  :laugh: :laugh: กรี๊ดดดดดดดด แก๊ แก่
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 02-05-2008 09:11:53
มาดันให้อีกคน  :oni2: :oni2:

นู๋เรนทัน จอห์น นูโว แต่พี่ทัน ลิขิต เอกมงคล  :laugh: :laugh: กรี๊ดดดดดดดด แก๊ แก่

แก่โคตรรรรรรร เคอะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-05-2008 09:44:54
กรำ ทันยุคลิขิตเหมือนกัน  :m29:  :m29:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 02-05-2008 10:33:08
บทอัศจรรย์

อ่านแล้วยังงงๆ อยู่

แต่ช้อบชอบ เสียเลือดขาวขุ่นเนี้ยะ

เอิ๊กๆๆ

 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-05-2008 14:40:45
ป้าๆ ลุงๆ ทั้งหลาย  ทันกันใหญ่  555  เราไม่ทันนะ  เค้ายังไงเด็กอะตัวเอง
ชิว่า เรื่องนี้คุณหมอคงช้ำหมดอะ (ว่าไปนั่น)  แล้วก็ต้อนรับ Yo dea จ้า  มาจิ้มมันทุกทู้เลยนะ

ต่อเลย  ยังคงตบจูบๆ ได้อีก
+++++++++++++++++++++++++++++

เช้ามืด คุณหมอก็ยังคงอยู่ภายใต้อ้อมกอดของภานุ ซึมซับความอ่อนโยน ต้นธาราหันหน้ามองนายทหารหนุ่ม เขาซ่อนความรู้สึกที่ชายหนุ่มไม่มีทางเข้าใจไว้ภายใต้ส่วนลึกของจิตสำนึก สิ่งที่เอ่อล้น ไม่อาจเข้าใจได้กับคนที่ห่างไกลเกินเอื้อม...ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องริมฝีปากหนา ที่มันเคยเบียดรุก จูบพรมไปทั่วกาย มันอาจจะเพียงพอสำหรับเขาแล้วก็เป็นได้...สัมผัสหนึ่งที่หัวใจและร่างกายได้รับ หยดน้ำตาไหลกลิ้งออกจากดวงตาคู่งาม...เขาไม่น่าเอาหัวใจไปวางไว้ในคนเย็นชาเลย คนที่เขาเฝ้ารออยากจะพบเจอด้วยหัวใจ มันเจ็บแปลบขึ้นมา เหมือนกับนายทหารหนุ่มจะรู้ตัวว่าคุณหมอตื่นแล้ว เขาจึงรั้งร่างเข้าหาและเกลี่ยหยดน้ำตาออกจากแก้มให้...ทำไมต้องทำแบบนี้...ไม่รักทำไมต้องให้ความหวัง...อย่าทำแบบนี้เลย...ได้โปรด...เหมือนกับหัวใจจะแตกสลาย...มีเพียงแค่ความชิงชัง อยากกดลงให้อยู่ใต้อาณัติ...หัวใจยับเยินกับคนที่ทำแบบนี้กับหัวใจอันแสนบอบบาง

ต้นธาราลุกขึ้น ช่วงสะโพกรู้สึกชา ขาก็หนักอึ้งไร้ความรู้สึก ชายหนุ่มนวดขาให้เลือดไหลเวียน เมื่อรู้สึกว่าขยับเขยื้อนได้ เขาก็ลงจากเตียงต้องทรุดลงบนพื้นไม้เย็นเฉียบ ต้นธารากำเสื้อผ้าแน่น เขาอยากชำระคราบสกปรกโสโครกที่ติดตัวเหลือเกิน สายลมพัดโชย ร่างเปลือยสั่นเทา หัวใจเอ๋ยเหตุใดจึงเจ็บปวดนัก คุณหมอพยายามจะลุกขึ้นให้ได้ หยิบผ้าเช็ดตัวกับข้าวของส่วนตัวลงจากกระท่อมของภานุ พอคุณหมอลงไปแล้ว ภานุก็ตื่นขึ้นมา เขาลุกขึ้นขัดสมาธิ แตะหน้าผากตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม นิ้วของเขายังรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ร้องไห้ทำไมหรือ...เขาอยากจะถามเหลือเกิน...ชายหนุ่มเป็นห่วงคุณหมอต้นธาราเสียจริงๆ จึงลุกขึ้น สายตาสะดุดกับผ้าปูเตียงอันแสนยับเยิน มองเห็นรอยคราบเลือดจางๆ ภานุยิ่งหน้าเครียดขึ้น เขารีบลงจากกระท่อมตามหาคุณหมอ ก่อนที่เขาจะเห็นทรุดนั่งบนดินท่ามกลางป่า เปรียบประดุจเทพี นางไม้ ชายหนุ่มที่ถือเสื้อนอกลายพรางห่มร่างขาวสะอาดตา ทรุดนั่งก่อนตระกรองกอดร่างบอบบางของคุณหมอแน่น ถ่ายทอดความอบอุ่นที่มีให้

"ตื่นแล้ว ทำไมไม่บอกว่าอยากจะอาบน้ำ"

ชายหนุ่มถาม น้ำเสียงเมยเฉย ต้นธารากัดริมฝีปากล่าง เขาไม่เข้าใจการกระทำของภานุเลย ร่างกายอ่อนล้าถูกฉุดขึ้นก่อนจะถูกอุ้ม

"ผมไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำถึงขนาดนั้นนะ" กับความเฉียบขาดสมทหาร เขามองดูรอบๆป่าที่เงียบสงบ

"ออกมาเดินแบบนี้ช่างมั่นใจเหลือเกินน่ะที่ตัวเองจะไม่โดนไข้โป้ง"ภานุเยาะ คุณหมอหนุ่มก้มหน้า คนร่างยักษ์แบกเขามาถึงลำธาร เขาวางร่างของคุณหมอลงอย่างแผ่วเบา

"จะอาบก็รีบอาบเสียสิ ผมจะได้พากลับ"

ถึงจะเป็นคำพูดที่เห็นใจเขาก็เถอะ ต้นธาราค่อยๆดันร่างของตัวเองให้ลงน้ำ เมื่อทำได้ร่างของเขาก็แช่อยู่ในลำธารเย็นเฉียบ นั่งแช่ดุจจะให้หนาวตาย ภานุถอนใจเฮือก ชายหนุ่มลงไปฉุดให้ต้นธาราลุกขึ้น

"อยากจะเป็นปอดบวมตายหรือไง" ภานุพูดกระชาก เสียงกร้าว ห่อตัวอ่อนปวกเปียก หมดใจไว้ในอ้อมอกหนา ใบหน้าเปียกชื้นซบอยู่กับแผ่นอกแกร่ง

"ประชดผมเรอะ"เมื่อถูกจิกกระชากใบหน้าให้แหงนหงาย ดวงตาเด็ดเดี่ยว สบกับแววตาหวั่นไหว

"ยังไม่สะใจอีกหรือไงครับกับบทลงโทษ แค่นั้นน้อยไปใช่ไหม?"

ชายหนุ่มว่า หมดแรงที่จะโต้ตอบ มันชาด้านไปทุกสัดส่วน ไม่อาจจะเคลื่อนไหว หรือขยับปากโต้ตอบ

"อย่า..."

ได้แต่เผยอปากขมุบขมิบ ชายหนุ่มฟังไม่รู้เรื่องหรอก ร่างสวยงามอ่อนระทวยเหยียดยาว ก่อนดวงตาจะปิดลง ภานุคลายแรง ส่ายหัว อุ้มร่างที่เบาหวิวขึ้น...หัวใจลึกๆเป็นห่วงหา ภานุจำต้องลบมันออก เขาจะเห็นใจคนทรยศไม่ได้ แต่ร่างของคนที่เขาอุ้มอยู่ช่างไร้พลังและน่าปกป้อง สำนึกส่วนลึกบอก เขาขึ้นบ้าน วางคุณหมอลงบนเตียงหาเสื้อผ้าหนาๆใส่ให้ นั่งมองใบหน้าอันแสนใจดีนั้น

"ไม่มีใครสักคนที่ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างถูกเติมเต็ม"

ภานุพึมพำ เขาไม่คิดไม่ฝันอะไร ปัดออกจากใจ หัวใจและความรักมันเป็นเรื่องยากจะตัดสินจริงๆ เหมือนกับมันจะย้ายมาในหัวใจอย่างรวดเร็ว....ชายหนุ่มลุกขึ้นเดิน ก่อนจะหันมามองคุณหมอต่อ สีหน้าซีดเซียว เขาไม่อาจจะตัดใจละสายตาได้ บางเวลา...บางความรู้สึก...หรือว่าบางความทรงจำ ไม่ได้สวยงามเลยซักนิด

" นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลง"

ชายหนุ่มมองขอบฟ้าที่เริ่มมีสีอื่นจับ เขาคิดถึงดวงตาที่เฝ้ามองอยู่เสมอ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่ต้นธาราเจอกับเขามักจะทำสีหน้าดีอกดีใจอยู่เสมอ ชายหนุ่มวางมือบนหัว สูบไล้เส้นผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน ไล้ใบหน้าเนียน ชายหนุ่มถอนใจอีกเฮือก ทางที่หาทางออกไม่เจอ ภานุพิงผนังบ้านกับความรู้สึกดีๆที่เริ่มต้นขึ้น

------------------------------------------------

ตอนสายคุณหมอลุกขึ้นจากเตียง เลิกผ้าห่มออก มองกระท่อมที่วางเปล่าแล้วหรุ่บตาลง เขาอยากจะกลับไปยังค่ายทหารเสียแล้ว ต้นธาราหาเสื้อผ้า มองถุงเงินอันหนักอึ้งอย่างหนักใจ และแล้วต้องถอยกรูด หาที่หลบอย่างรวดเร็วเมื่อชายหนุ่มเดินขึ้นมา ในมือมีผลส้มกับถุงกับข้าวหลายถุง

"คือ...ผมจะกลับแล้ว"

ต้นธาราบอก กลัวชายหนุ่มจะโกรธ ภานุไม่ได้ตอบหรือว่าอะไรเลย กลับเงียบทำเหมือนเขาเป็นธาตุอากาศ มันน่าเจ็บปวดใจไหมล่ะ ภานุวางของ เดินผ่านคุณหมอที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา ชายหนุ่มหยิบเสื้อโยนให้มันเป็นเสื้อยืดตัวใหญ่สีเขียวขี้ม้า

"ใส่ซะแล้วมานั่งนี่"

ชายหนุ่มสั่ง ต้นธาราทำตาม เขาลุกขึ้นดูขัดๆเขินๆมานั่งตรงพื้นที่วางเปล่า ภานุหาถ้วยหาชามตั้งตรงหน้า ต้นธาราจะลุกขึ้นไปช่วยแต่ได้รับการปฏิเสธ

"นั่งอยู่เฉยๆเถอะ ลุกขึ้นมาก็เกะกะผม"

ชายหนุ่มว่าอย่างนั้นเขาจึงได้นั่งอย่างเหงาๆ นิ้วเรียวหยิบถุงแกง เขาอยากรู้ว่าเขาต้องแกะมันไหม หากเขายื่นมือช่วยแล้วมันจะเป็นอย่างไร เขามองดูภานุเห็นชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เขาจะกระทำ เขาจึงแกะถุงกับข้าว เทแกงใส่จาน

"แกงส้มสายบัว...ทางค่ายทำหรือครับ"เขาถามนายทหารหนุ่ม ภานุส่ายหัว

"เปล่า ชาวบ้านแถวนี้ให้มาตอนไปตรวจหมู่บ้าน เลยไปหาถุงใส่"ชายหนุ่มพูดดีด้วย ต้นธาราใจชื้นขึ้น เขายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

"ดีจังเลยนะครับ"

ภานุเห็นรอยยิ้มนั่นแล้วเงียบไป ต้นธารานึกว่าตัวเองจะทำเรื่องทั้งหมดพังกับมือ ดวงตาสีน้ำตาลหมองลง

"เอ่อ...ผมขอโทษครับถ้าคำพูดนี้มันอาจจะทำให้คุณไม่พอใจ" ต้นธาราว่า ภานุแค่นยิ้ม

"ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย"ชายหนุ่มทรุดนั่งลงตรงกันข้าม เทข้าวใส่จานสังกะสียื่นให้คุณหมอ

"ทานซะ"

ต้นธาราพึมพำคำขอบคุณ เขายังไม่ลงมือทานจนกระทั่งผู้กองหนุ่มย้ำอีกรอบนั้นแหละ ต้นธาราจึงตักแกงขึ้นมากิน ภานุนึกว่าต้นธาราจะกินไม่ได้เสียอีก แต่ร่างที่อยู่ตรงหน้าก็ทานน้อยเหลือเกิน

"เอาข้าวอีกไหม กลัวอะไร"ภานุหยิบถุงข้าวโยนให้ ต้นธาราทำท่าเกรงอกเกรงใจ

"หรือว่ากับข้าวไม่ถูกปากคุณหนูล่ะ"เริ่มวกกลับเข้ามาแดกดัน ต้นธาราหน้าซีดเผือดหมดอยากไปทันที

"ไม่ใช่..."เขาพูดพึมพำ กลัวว่าชายหนุ่มจะชิงชังตน มือถือช้อนจึงสั่นระริก

"อะไรกันหนักกันหนา ทำให้หมดอยากหมด"นายทหารหนุ่มวางจานข้าว เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะเห็นคนตรงหน้ามีน้ำตาไหลหยดออกมา

"เอ่อ ผมขอโทษครับ"

ต้นธาราเช็ดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว จริงๆแล้วก็ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย...เพียงแต่เขารู้สึกเจ็บปวดอีกครั้ง

"ผู้กองภานุอยู่ไหมครับ"

เสียงตะโกนดังจากหน้าบ้าน ภานุถอนใจ คุณหมอที่เช็ดน้ำตาจนแห้งทำท่าปกติ ชายหนุ่มร่างสูงออกมายืนพิงประตู

"มีอะไรหรือจ่า?"เขาถามเมื่อเห็นจ่าแม้นแต่งตัวเต็มยศสะพานปืนมาหาถึงบ้าน

"ผู้กองครับ คุณหมอไม่อยู่ครับ"จ่าแม้นทำสีหน้ากังวลใจ ภานุยังไม่ตอบหรือเฉลยอะไร

"คุณหมอมาริสาจะตามไปทำงาน แต่ไปถึงบ้านคุณหมอก็หายไป ตามหาจนทั่วก็ไม่มีใครรู้เห็นมีคนบอกว่าคุณหมอมาทางนี้ ผู้กองเห็นเขาไหมครับ?"

จ่าแม้นดูร้อนใจ ภานุลงจากกระท่อม

"จ่าไม่ต้องห่วงหรอก คุณหมอเขามาหาผม กลับไปบอกกับทุกคนเถอะว่าคุณหมอปลอดภัยดี"

ชายหนุ่มว่า ต้นธาราโผล่หน้าออกมา ยิ้มอ่อนๆให้จ่าแม้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ผมปลอดภัยดีครับจ่าแม้น แค่มาดูผู้กองเสียหน่อยนะครับ เห็นบอกว่าดูท่าจะเป็นไข้ ขอโทษครับที่ทำให้เดือดร้อนกัน"

จ่าแม้นคลายใจเมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน จ่าแม้นทำความเคารพ

"ครับผม จ่าก็เป็นห่วงเอ่อ...ใช่ ผู้กอง วันนี้ผู้กองรู้ไหมครับว่าจะมีคนใหม่มาแทนร้อยเอกนาคี"

จ่าแม้นบอก ภานุผงกหัว ต้นธาราดูหน้าซีดไปกับชื่อของผู้กองนาคี

"รู้แล้ว เห็นบอกว่ามาวันนี้นี่น่า"

ภานุกล่าว เขามองต้นไม้เขียวชอุ่ม แสงแดดอาบไล้ นกป่าร้องเสียงไพเราะ

"ครับ ผู้กองจะไปดูหน้าไหมครับ"

จ่าแม้นถาม ชายหนุ่มบอกว่าจะไป จ่าแม้นจึงขอตัวไปรายงานว่าหาคุณหมอเจอแล้ว พอพ้นเงาจ่าแม้น ภานุมองคนบนบ้าน

"จะกลับค่ายไหม?"

ต้นธาราผงกหัว เขาเก็บถ้วยเก็บชามซ้อนกันไว้ ชายหนุ่มปิดกระท่อม ยื่นแขนให้เกาะ

"คุณดูเหมือนกับเดินไม่ถนัด ระวังจะล้มเอา"

ต้นธารามองดูต้นแขนแกร่งอย่างลังเล ก่อนที่จะเกี่ยวแขนแกร่ง

"เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง ผมคงไม่ทำให้คุณเจ็บนะ"

คุณหมอไม่ตอบ รู้สึกประหลาดนักว่าเพราะเหตุใดจึงได้อ่อนโยนปนโหดร้าย คุณหมอส่ายหัวราวกับจะบอกว่า มันไม่เป็นอะไรมากหรอก ภานุมาส่งคุณหมอในบ้านพักก่อน เขาทรุดนั่งริมเตียงมองดูร่างบางหาเสื้อผ้าเปลี่ยน ชายหนุ่มตาไวจับจ้องที่รอยจูบบนผิวขาวสะอาด ลุกขึ้นไปยื่นซ้อนทางเบื้องหลัง

"ขนาดนี้ยังทำให้ใจปั่นป่วน ช่างมีเสน่ห์เหลือล้นจริงๆนะ"

ภานุเย้า ต้นธาราเอาแต่เงียบ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หันมาทางนายทหารหนุ่ม จะทำเป็นไม่สนใจก็ถูกรั้งสะโพกเข้าแนบชิด

"ถ้าคุณอยากอยู่เป็นพ่อพระอยู่ที่นี่ คืนนี้ไปหาผม"

ชายหนุ่มก้มกระซิบ ต้นธาราหน้าชาวาบ...เขาทำแบบนี้เท่ากับว่าดูถูกกันชัดๆ ชายหนุ่มผลักร่างของต้นธาราออก เท่ากับย้ำว่าเขามันต่ำ ต้นธารากัดฟัน...เพราะอะไร...ถึงเห็นเขาเป็นแบบนี้

"ถ้าผมไม่ไปตามคำที่คุณสั่งล่ะ"น้ำเสียงเย็นเยือกกล่าว ภานุยิ้มเย็นราวกับว่าใครจะเป็นต่อ

"เรื่องที่คุณขายความลับมันก็จะรั่วไหลไปเช่นกัน คุณไม่อยากรักษาหน้าพ่อพระไว้หรือ?"

ภานุกล่าว ต้นธาราพูดอะไรไม่ออกเลย...แม้จะเป็นการเข้าใจผิด เขาก็ไม่อาจแก้ตัวหรือนำมันออกจากหัวใจได้เลย

"ทำไมคุณต้องทำแบบนี้"

ต้นธาราถามเสียงแผ่ว ภานุไม่ตอบ...เขาก็ไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดถึงอยากทำแบบนี้นัก...ทำไมจึงรู้สึกอยากรั้งไว้

"จะพูดมากทำไม คุณมีสิทธิ์แค่ทำตามคำสั่งผม"

ชายหนุ่มว่า ต้นธารากัดฟันกรอด....คำสั่งงั้นหรือ...

"ผมมีสิทธิ์ที่จะไม่ทำตามคุณ!"

น้ำเสียงแข็งกระด้าง ชายหนุ่มใช้พละกำลังบีบคาง

"เรามาดูกันว่าคุณกับผมใครมันจะแน่กว่า"

ต้นธาราจากที่เคยอารมณ์เย็น มันสิ้นหวังแล้วทุกๆอย่าง เขาเงื้อมือตบใบหน้าของผู้กองหนุ่มจนหน้าหัน ภานุหันกลับมามองดวงตาแกร่งวาวขึ้น

"ฤทธิ์มากนัก"

เขาผลักคุณหมอที่ไม่ทันระวังให้ล้มลง เอาคืนด้วยการตบใบหน้านั้น มือหนาจะกระทบซีกแก้ม ต้นธาราหลับตา....เขาได้รับปฏิบัติแบบต่ำๆ....หัวใจข้างในเจ็บแปลบ รอรับฝ่ามือที่แสนหนักหน่วง ไม่มีการหลบหรือปกป้อง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอลืมตา ผู้กองหนุ่มมองเขานิ่ง เล่นเอาหัวใจแทบหยุดเต้น ผู้กองหนุ่มลุกขึ้น ฉุดร่างของเขาขึ้น ใช้นิ้วจิกรั้งศีรษะให้แหงนหงาย ประทับจูบอย่างแผ่วเบา ต้นธาราเบิกตากว้าง...ยิ่งกว่าการลงโทษโดยใช้กำลัง เขาดิ้น แต่ก็ถูกตรึงศีรษะแน่น ริมฝีปากบางถูกบดขยี้ เล็บจิกเข้าที่ต้นแขน พยายามหลบใบหน้าแกร่งที่โน้มลง เขาจะหลงไปกับสัมผัสนี้ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป อันตรายเกินกว่าที่จะห้ามหัวใจให้เชื่อฟัง กับสัมผัสที่อ่อนโยนและน่ากลัว...ต้นธาราพยายามหนี เขาไม่ยากถูกกระทำแบบต่ำๆอีกต่อไป ชายหนุ่มขยับตัวดันให้ออก มีหรือที่เขาจะขัดขืนได้ ท้ายที่สุดต้นธาราต้องรอให้โชคชะตาช่วยเท่านั้น และคำอฐิษฐานในใจก็เป็นจริง มีคนมาเคาะประตูเรียกอย่างกังวล เป็นเสียงคุณหมอมาริสานั้นเอง เขาคิดว่าภานุจะเลิกกระทำแบบนี้แต่ผิดคาด ชายหนุ่มกลับดันเข้าติดผนัง ก้มซุกไซร้ซอกคอ มือถูกตรึงแน่น...ไม่มีวันที่จะหลุดกรงเล็บนี้ไป...ในสายตาของภานุบ่งบอกเช่นนั้น

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 02-05-2008 19:05:36
:impress: :impress: :impress:

อ่าครับเห็นไหมครับว่าคุณหมอช้ำหมดแน่ๆๆงานนี้

ผู้กองภานุมีแต่ได้กับได้ อิอิ

ชอบจังครับ ฉากตบๆจูบๆๆเนี้ย

โหดและหื่นดี อิอิ เป็นกำลังใจให้เสมอครับผม

ว่าแต่นายทหารที่มาใหม่อะครับ จะตกหลุมรักคุณหมอของผมป่าวเนี้ย อิอิ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 03-05-2008 00:28:36
มาดันให้อีกคน  :oni2: :oni2:

นู๋เรนทัน จอห์น นูโว แต่พี่ทัน ลิขิต เอกมงคล  :laugh: :laugh: กรี๊ดดดดดดดด แก๊ แก่

55+++เรนยังไม่แก่น๊า อายุ21เอง ตอนดูก็ได้ดูสมัยเด้ก เด็ก...หาว่าเรนแก่(แอ๊บเด็กแล้วเรา)
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-05-2008 02:04:36
ขอยาแก้ช้ำในด่วน หมอต้นแย่แว้ว    :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: animob ที่ 03-05-2008 13:28:05
ตบจูบๆ โอ้วววว มันบีบหัวใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 03-05-2008 18:46:46
 :impress: :impress: :impress:

อย่าพึ่งท้อนะครับคนแต่ง คนเขียน

อย่างน้อยยังมีผมอีกคน

ที่ยังเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ

คอยอ่านคอยติดตามอย่างห่วงๆๆครับผม

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.TaiKi ที่ 03-05-2008 22:44:37
 :impress: :impress: :impress: :impress:
ขอร่วมก๊วนด้วยอีกคนนะค้าบ
ชอบแนวเน้มั่กๆๆๆ (ตบ จูบ กระชาก กด)
แต่สงส้านสงสาน นายเอกขอเรา
อ่านแล้วเจ็บจี๊ด~~~~ที่หัวใจข้าน้อยยิ่งนัก  :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 03-05-2008 23:34:09
 :mc4: :mc4:


แรงได้อีกเน้อออ

ชอบๆๆ  แบบนี้แหละชอบ

อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-05-2008 07:13:44
 :laugh: แวะมาดันให้พิมเท่ร๊ากกกกกกก  :oni1: :oni1: ไปแระช่วงนี้มะว่าง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 04-05-2008 17:38:13
:laugh: แวะมาดันให้พิมเท่ร๊ากกกกกกก  :oni1: :oni1: ไปแระช่วงนี้มะว่าง

ขอบคุณโพสพี่Poes ที่มาช่วยดัน ><

:mc4: :mc4:


แรงได้อีกเน้อออ

ชอบๆๆ  แบบนี้แหละชอบ

อิอิ

เรื่องนี้กะว่าจะแรงกว่านี้แต่เกรงใจ ลงในเด็กดีเลยลดดีกรีลงเสียก่อนจะถูกเจี๋ยนทิ้ง  :o12:

:impress: :impress: :impress: :impress:
ขอร่วมก๊วนด้วยอีกคนนะค้าบ
ชอบแนวเน้มั่กๆๆๆ (ตบ จูบ กระชาก กด)
แต่สงส้านสงสาน นายเอกขอเรา
อ่านแล้วเจ็บจี๊ด~~~~ที่หัวใจข้าน้อยยิ่งนัก  :m15:


ขอบคุณค้าที่เข้ามาอ่าน เป็นผลงานแนวตบจูบๆเรื่องแรกค้า...ฝากคำแนะนำด้วยค้า :m13:

:impress: :impress: :impress:

อย่าพึ่งท้อนะครับคนแต่ง คนเขียน

อย่างน้อยยังมีผมอีกคน

ที่ยังเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ

คอยอ่านคอยติดตามอย่างห่วงๆๆครับผม

:impress: :impress: :impress:

ขอบคุณก๊าบ สำหรับกำลังใจที่มีให้มาตลอด :L2:

ตบจูบๆ โอ้วววว มันบีบหัวใจเหลือเกิน

ยังแอบเกร็งๆว่าผลจะเป็นไงหนอ....ขอบคุณค่าสำหรับโพส   :pig4:


ขอยาแก้ช้ำในด่วน หมอต้นแย่แว้ว    :m1: :m1: :m1: :m1:

55+++รีบให้ยาหมอธารด่วน.....เดี๋ยวหมอธารช้ำ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 04-05-2008 22:55:49
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับวันนี้ก็ยังไม่มา

แต่ก็รอได้ครับผม

ชอบคนโหดๆๆอ่านแล้วสนุกดีครับ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: duchess ที่ 05-05-2008 03:35:09
 :m13:

มาจิ้มๆพี่เรน

555+

เอาภานุโหดอีกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-05-2008 05:48:23
ขออภัยที่ต่อช้าไปหน่อย  อิอิ
น้องเรนน่าร้ากก  มาตอบด้วย  ขอบคุณทุกกำลังใจจ้า  ชิว่าก็น่ารักเนอะ  จุ๊บๆๆ

ต่อเลยแล้วกัน  ยังคงตบจูบๆ ได้อีก เอิ๊กๆ
++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก4 Retrospection /หวนรำลึก


คุณหมอดิ้นขลุก พยายามหลุดจากกรงขังของอ้อมแขน ต้นธารารู้สึกสะใจที่ได้ข่วนใบหน้าของนายทหารหนุ่มบ้าง ดวงตาเป็นประกายหากตอนนี้มันแฝงแววหวาดหวั่นจับจ้องรอยแดงที่ประดับบนใบหน้า ภานุบิดข้อมือจนข้อมือแบบบางแทบหัก ต้นธาราก็พยายามขัดขืนจนข้าวของล้มระเนระนาด เสียงแก้วตกแตก ภานุไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มจับคอขาวไว้

"คุณหมอคะ...คุณหมอต้นธาราคุณหมอธารเป็นอะไรไหมคะ?"

หญิงสาวเคาะประตูแรงขึ้น ตกใจกับเสียงที่เกิดขึ้นข้างใน

"ไม่เป็นอะไรครับ ผมลื่นล้มน่ะครับจะไปเปิดประตูให้เดี๋ยวนี่แหละครับ ขอโทษนะครับที่ให้รอนาน"

คุณหมอหนุ่มหันตามองนายทหารขวาง มือแข็งพาดบนลำคอหากยังไม่ออกแรง ขืนออกแรง แม้เพียงน้อย
นิด ลำคอขาวๆนั้นต้องหักอย่างแน่นอน ชายหนุ่มมองกลับ ในสายตาของคุณหมอบอกให้ปล่อย

"ปล่อย!"คุณหมอหนุ่มตะคอก ภานุส่ายหัวทำหน้าตายียวนกวนอารมณ์

"ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ ผมไม่อายหรอกนะที่ถูกเห็นในสภาพแบบนี้ แต่คุณสิดูท่าว่าจะหน้าบางกว่าที่คิดนะ"

นายทหารหนุ่มกระซิบ ใช้ลิ้นแลบไล้ข้างแก้ม ไล้ไปถึงใบหูข้างใน ต้นธาราต้นคอขนลุก

"อย่า..."

เสียงประตูแรงขึ้นอีก

"แน่ใจนะคะว่าคุณหมอธารไม่เป็นอะไร?"

คุณหมอมาริสาตะโกนอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจนักว่าคุณหมอต้นธาราจะเป็นอะไรหนักหรือเปล่า

"ปล่อย..."

ต้นธารากระซิบ เป็นจังหวะเดียวที่คุณหมอมาลิสาเปิดประตูเข้ามา ภานุยังกระทำห่ามๆอยู่เหมือนเคย ชายหนุ่มเลิกเสื้อขึ้น มาริสาแตะประตู เห็นว่าไม่ได้ลงกลอนไว้ เธอจะผลักออกไป ประตูแง้มออก ต้นธาราหน้าร้อนผ่าว แต่...ผู้กองหนุ่มกระโดดลุกขึ้นจับแขนของคุณให้ลุกขึ้นทันพอดีกับคุณหมอมาริสาโผล่พรวดเข้ามา

"เอ่อ ขอโทษนะคะ...ที่มารบกวน"

มาริสายิ้ม ต้นธาราโบกมือ เท้าเอวตีสีหน้าเจ็บปวด

"เป็นอะไรมากไหมใช่ไหมคะคุณหมอ " หญิงสาวเข้ามาดูใกล้ๆ ต้นธาราเบี่ยงตัว พูดโดยไม่มองหน้า

"เอ่อ ไม่ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากครับ ขอบคุณ"

ผู้กองหนุ่มจับมือถือแขน ต้นธาราอยากให้ปล่อยเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีวัน

"ขาคงแพลงน่ะครับ คุณหมอมาริสามีอะไรหรือครับ"

ภานุออกหน้าแทน ชายหนุ่มยิ้มทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกินขึ้น

"เอ่อ เห็นคุณหมอธารหายไปน่ะค่ะ ดิฉันก็เลยนึกเป็นห่วง"

หญิงสาวว่า ผู้กองหนุ่มยิ้มอย่างนุ่มนวล ดุจสวมหน้ากากไว้

"คุณหมอเขาไปพักกับผมนะครับ เป็นคนดีมากเลย ที่ยอมไปตรวจว่าผมเป็นไข้หรือไม่"

สายตาแกร่งปรายมอง คุณหมอรู้คำๆนั้นมันแดกดันเข้าไปในจิตใจของเขา

"ง...งั้นหรือคะ"

คุณหมอมาริสาพยุงคุณหมอต้นธาราให้นั่งบนเตียงไม้ ฝ่ายนายทหารหนุ่มกอดอกหยุดอยู่ตรงประตู

"คุณหมอมาริสามีธุระแค่นี้หรือครับ?"

ต้นธาราถาม เขาอยากให้เธอออกไปไวๆเสียจริง เขากำลังฝืนยิ้ม...รอยยิ้มที่ผู้กองภานุว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แสร้งปั้นแต่งขึ้น

"ก็จะมาบอกข่าวด้วยน่ะค่ะว่าวันนี้ทางค่ายจะจัดเตรียมต้อนรับคนที่จะมาแทนผู้กองนาคี"

เธอว่า ส่งรอยยิ้มให้ ต้นธาราผงกหัว

"ครับ...แล้วเขาจะมาตอนไหนหรือครับ"

ความทรงจำ..ย้อนไปถึงวันที่ผู้กองนาคีได้ตายจาก สร้างความรู้สึกสะทกสะท้อนในหัวใจ ภานุมองสีหน้าหม่นลงก็แค่นยิ้ม

"จะมาถึงตอนเที่ยงนี่ล่ะค่ะ เห็นทางผู้พันมีทรัพย์บอกว่า..."

หญิงสาวว่า เธอรู้สึกอึกอัดกับบรรยากาศที่อยู่ในห้องนี้ ถึงคุณหมอธารจะยิ้มอย่างอ่อนโยนแบบที่เคยทำ แต่มันก็ดูเหมือนกับฝืนๆ

"ผมขอแต่งตัวสักครู่นะครับ ขอบคุณที่มาบอก"

คำพูดออกจะห้วนผิดปกติ คุณหมอมาริสาจึงบอกว่าจะไปคอยที่โรงพยาบาลในค่าย พอหญิงสาวเดินออก ผู้กองหนุ่มรอจนกระทั่งหญิงสาวไปไกล ชายหนุ่มก็เตะประตูให้ปิดและลงกลอน คุณหมอต้นธารารู้อยู่แล้วว่ามันต้องลงในรูปแบบนี้ ชายหนุ่มหงุดหงิดจริงๆ เพราะอะไรเขาถึงต้องรู้สึกอย่างนี้ นายทหารทรุดนั่งเคียงข้าง เชยใบหน้าขาวสะอาดขึ้น

"รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะกับคนที่จะมาแทนผู้กองนาคี ผมว่านิสัยเขาคงไม่เหมือนกับผู้กองนาคีนะ คนที่โง่หลงคุณได้"

มือเรียวปัดนิ้วมือที่เกาะเกี่ยวคางออก ดวงตาแฝงรอยโกรธ เล็บจิกผ้าปูสีขาวสะอาดตา

"ดีใจไหมล่ะที่มีคนมาแทนผู้กองนาคีได้"

เขารู้ว่าชายหนุ่มโกรธเคืองที่เขาเป็นคนทำให้เพื่อนรักของภานุตาย แต่ทำไมต้องแดกดันเขาถึงขนาดนี้ ลามปามไปถึงคนที่ยังไม่เคยพบหน้าพบตากัน เขาควรจะทำอย่างไร...ตอบโต้คืนหรือว่าเก็บงำมันไว้อย่างเงียบงัน คอยให้ชายหนุ่มดูถูกอยู่แบบนี้ ให้โทสะนั้นได้ผ่อนคลายลง แต่ทำอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้ผู้กองภานุเกลียดเขาเลย นายทหารร่างยักษ์มองเสี้ยวหน้าที่มีแต่ความช้ำใจแฝง รู้ทั้งรู้ว่าทำให้หัวใจหนึ่งเจ็บช้ำ ด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างมากมาย ด้วยอคติ...ทำไมคุณหมอไม่ถามเลยว่าทำไมเขาถึงลงมือทำร้าย...ทำไมถึงยอมให้อย่างง่ายดาย...ทำไมไม่ขัดขืน หรือว่ามีความรู้สึกผิดที่เป็นคนฆ่านาคีทางอ้อมจึงไม่พูดอะไรออกไป ภานุค่อยๆสอดมือรั้งร่างบางเข้ามาแนบชิด ต้นธาราอยู่ในอ้อมอกนั้นอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มบีบบ่าเล็กด้วยความรู้สึกที่อึดอัด..เมื่อเขาแอบมองเข้าไปในดวงตา เขาก็จะได้เห็นแววอันอบอุ่น ราวกับจะบอกว่า มีเพียงหัวใจเขาเท่านั้นที่แปลมันออก ถ้าหากชายหนุ่มใช้หัวใจรับรู้...ก็จะสามารถเดาได้ว่าหัวใจดวงเล็กๆคิดอย่างไร ด้วยความรู้สึกที่มืดหม่นปิดกั้นไว้ ภานุพยายามปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง

"คืนนี้คุณต้องไปหาผม"

ชายหนุ่มยังย้ำถึงคำเดิม ก่อนจะผลักร่างที่กอดกระชับออก ต้นธารามอง...ความเศร้า...เอ่อล้น...เขาถอนใจ มือจับเสื้อของตัวเองไว้แน่น คืนนี้อย่างนั้นเหรอ...เพราะอะไรกัน ต้นธาราหาคำตอบในคำสั่งนั้น เพียงต้องการที่ระบายความใคร่เท่านั้นเองหรือถึงได้ชักนำเขาไว้ นี่มันยิ่งกว่าโสเภณีเสียอีก เขาเป็นมนุษย์ มีจิตใจ...มีความรัก...มีความรู้สึก กับการกระทำเยี่ยงสัตว์ คิดอยากจะได้ตัวตอนไหนก็เรียกไป มันช่างทำร้ายจิตใจเขายิ่งนัก หมดค่าในความเป็นมนุษย์...ชายผู้นั้นมองเห็นเขาเป็นอะไรกันแน่?
………………………………………………………………………………

เด๋วมาต่ออีกที  ขอโทษค้าบ รีบๆๆ สั้นไปหน่อย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: alulugun ที่ 05-05-2008 07:21:33
แอ๊ย ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตบจูบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-05-2008 07:40:32
แต่...ผู้กองหนุ่มกระโดดลุกขึ้นจับแขนของคุณให้ลุกขึ้นทันพอดีกับคุณหมอมาริสาโผล่พรวดเข้ามา

ประโยคนี้งงอ่ะ ตกอะไรไปรึเปล่า   :m23: พอดีอ่านแล้วสะดุด  :m13:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-05-2008 14:06:13
เรื่องนี้ พิศาลกำกับ  :laugh: :laugh: ชอบตบจูบ ข่มขืน นายเอกโดนทรมาน โรคจิตปะเรา  :m23:

คุณเรน ที่เก่าก็ยังเฝ้าอยู่นะ คึคึ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-05-2008 14:11:54
^
^
คนอะไร  โรคจิตที่สุด  มั่กๆ 

ปล  ต่อดียังอะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 05-05-2008 16:06:37
^
^
คนอะไร  โรคจิตที่สุด  มั่กๆ 

ปล  ต่อดียังอะ

 :impress: :impress: :impress:

ครับผมมาต่อได้แล้วครับ

เพิ่งตื่นอะครับ

เลยมาอ่านช้า อิอิ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-05-2008 16:20:30
นึกว่ามาต่อรอบ 2 อ่ะ  o12
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-05-2008 19:20:10
อิอิ  ต่อเลยน้า 
ช่วงนี้ไม่มีตบจูบๆ 555 เสียใจด้วย  จะตบจูบบ่อยๆ เด๋วคนแต่งจะโดนว่าหื่นซาดิสม์เกิน เอิ๊กๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++


ต้นธาราลุกขึ้น ความรู้สึกอยากจะอาเจียน เขาจึงรีบปิดปากตัวเอง มองออกไปข้างนอกที่สดใส...หากไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ทั้งเขาและผู้กองภานุจะเป็นเช่นไรกัน? เขาก็ยังได้แย้มยิ้ม พูดคุยกับผู้กองได้ตามปกติ ดวงตามีน้ำตากลบ เขาดึงเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยน ผิวที่สวยงาม ขาวละเอียดมีรอยช้ำ รอยแผลจากการกระทำของชายหนุ่ม เขาไม่ใส่ใจกับมัน พยายามไม่มอง รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด ก่อนจะลงจากเรือน เขาเดินอย่างเซื่องซึม ไม่ทักไม่ยิ้มใครทั้งนั้น หน้าบูดบึ้ง

"คุณหมออารมณ์ไม่ดีหรือครับ?"

ชายผู้หนึ่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ หลังแกร่งพิงลำต้น ต้นธารามองหน้า ชายหนุ่มที่ไม่คุ้นตา อยู่ในชุดฝึก คิ้วเรียวขมวดมุ่น

"คุณเป็นใคร?"น้ำเสียงเย็นชืด ชายผู้นั้นหัวเราะ

"ใครๆก็บอกว่าคุณหมอเป็นคนใจดี นุ่มนวล ผมหวังว่าจะได้เห็นคุณหมอที่ถูกเล่าลือแต่ดูเหมือนจะผิดหวังซะแล้ว..."

ชายผู้นั้นกล่าวอย่างอารมณ์ดี แหงนหน้าอาบไล้แสงอาทิตย์ที่สดใส ต้นธารายังหน้าบึ้ง

"ยิ้มหน่อยสิครับคุณหมอ ทำหน้าแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้แก่ก่อนวัยกันพอดี"

ชายหนุ่มร่างสูงว่า คุณหมอหนุ่มกอดอก

"แล้วคุณเป็นใครกัน"

ด้วยอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ข้างใน คำพูดออกจะกระแทกไปนิด แต่ชายหนุ่มแปลกหน้าก็ไม่ถือสา

"อา...เมื่อยตัวจริงๆ ผมอุตส่าห์มาก่อนเวลาไปตั้งชั่วโมงแท้ๆ...เดี๋ยวเราค่อยเจอกันนะครับ"

ชายหนุ่มผู้นั้นดึงมือของต้นธาราที่กำลังเหม่อมมอง ดวงตาของชายผู้นั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงกับผู้กองนาคียิ่งนัก ความอบอุ่นในแววตา ท่าทีขี้เล่น ดูอารมณ์ดี รอยยิ้มนี่...เขาเป็นใคร...เขาหลุดจากภวังค์เมื่อชายหนุ่มจับแขนไว้และประทับจูบหลังมือ

"ไปก่อนนะครับ"

ต้นธาราอึ้ง...นี่คืออะไร...เขาคนนั้นเป็นใคร เหตุใดต้องทำแบบนี้ ร่างบางยืนรากงอก เฝ้ามองชายหนุ่มแปลกหน้าวิ่งเหยาะๆหายลับไปในกองบัญชาการชั่วคราว ส่วนเขาก็ปัดชายหนุ่มผู้นั้นทิ้งแต่ก็ทำไมได้ เพราะริมฝีปากอบอุ่นยังไม่เจือจางไปจางผิวเย็นชืด รอยยิ้มและคำพูดจามันขุดความรู้สึกเก่าๆออกมา...ความผิดพลาดที่มอบความเจ็บปวดให้ ร่างโปร่งถอนใจ เขาลองยิ้มดูไม่ได้ทำสีหน้าบูดบึ้งเหมือนเคย เดินไปยังโรงพยาบาล อาจเป็นเพราะคำพูดของชายแปลกหน้า...เขาจึงเป็นไปถึงขนาดนี้ รอยยิ้มที่ใจดีงั้นเรอะ ถ้ามันเป็นจริงตามที่พูด ภานุคงรู้สึกกับเขาอีกอย่าง...เขาถอนใจ ลบทุกอย่างที่วุ่นวายใจออกจากหัวใจ

พอเข้าไปในโรงพยาบาลเล็กๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มทักทายคนป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ คุณหมอมาริสาถือแฟ้มประวัติคนไข้ เรือนผมยุ่งเหยิง

"สวัสดีค่ะ ขาเป็นอย่างไรบ้างคะ?"

หญิงสาวทักเมื่อเห็นคุณหมอ ต้นธารายิ้ม รอยยิ้มนั้นลบข้อข้องใจจากใจของคุณหมอมาริสา มันเป็นรอยยิ้มที่นุ่มนวลอย่างแน่จริง

"ครับ ก็ค่อยยังชั่วแล้วแต่คงเดินไม่ได้ไปชั่วระยะแหละ"

คำพูดร่าเริง มาริสาดีใจที่คุณหมอหายหงุดหงิด

"ผ่านไปสักอาทิตย์ก็จะดีขึ้นเองละค่ะ ทนรำคาญสักหน่อย"

เธอออกความเห็นวางแผ่นประวัติคนไข้ลง ต้นธาราเดินเขยกๆนั่งลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง

"นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราไปที่ค่ายกันไหมคะ?"

หญิงสาวชวนไปต้อนรับนายทหารคนใหม่ที่จะมาแทนผู้กองนาคี ต้นธาราผงกหัว ก่อนจะนึกถึงชายแปลกหน้าที่ได้พบ

"เอ่อ...เขาจะมาตอนเที่ยงตรงเลยหรือครับ?"คุณหมอหนุ่มถาม

"ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่น่าจะมาตรงเวลานะคะ แล้วคุณหมอเดินไหวหรือเปล่าคะ?"

หญิงสาวยื่นแขนให้คุณหมอเกาะ

"ขอบคุณครับ"

เขาเดินคู่กับหญิงสาว ในหัวของคิดถึงชายหนุ่มที่ได้พบเจอ พอไปถึงยัง ฐานบังคับบัญชา เขาเห็นผู้พันมีทรัพย์แต่งตัวเต็มยศกำลังยืนพูดคุยกับชายหนุ่มร่างสูง ต้นธาราสอดสายตาหาผู้กองภานุ

"อ้าว...คุณหมอมาริสา คุณหมอต้นธาราเชิญครับ"

ผู้พันร้องเรียก ต้นธาราและมาริสาแย้มยิ้ม ชายหนุ่มผู้พันหันหลังมายิ้มกริ่มให้แก่คุณหมอหนุ่ม

"นี่คือร้อยเอก ธีรเดช ยศเรืองรองจะมารับตำแหน่งแทนผู้กองนาคี"

"หรือจะเรียกผมว่าธีก็ได้นะครับ"

คุณหมอมาริสายกมือไหว้ ต้นธารานิ่ง

"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ดิฉันมาริสา และนี่คุณหมอต้นธาราเป็นแพทย์อาสาประจำค่ายนี้ค่ะ"

หญิงสาวแนะนำตัว ธีรเดชยิ้มแย้ม จับจ้องที่ต้นธาราเป็นพิเศษ

"ผู้กองธีรเดชเขาเพิ่งเขาย้ายมาจากค่ายที่บุรีรัมย์มาประจำการอยู่ที่นี่ เขาเป็นรุ่นน้องของผู้กองภานุด้วย"ผู้พันมีทรัพย์อธิบาย

"เป็นคนหนุ่มที่มีผลงานดีเด่นมาก"

ชายหนุ่มที่ได้ฟังผู้พันบรรยายไม่ถามอะไรทั้งนั้น เพราะคนที่เดินออกมา ใบหน้ากวนอารมณ์ตบบ่าผู้กองธีรเดชดังป้าบ

"ธีเอ็งนี่ก็แปลกที่ย้ายมาอยู่ในป่าในเขา"

ต้นธาราเผลอเบือนหน้าหนี

"ผู้กองภานุก็แปลกเหมือนกันแหละครับที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่"

ผู้กองธีรเดชย้อน เล่นเอาชายหนุ่มที่แซวอึ้งไป

"พอใจอยู่เว้ย"ผู้กองภานุว่า ผู้พันมีทรัพย์หัวเราะ

"เอ็งสองคนนี้กัดกันยังไม่เปลี่ยน"

ท่านผู้พันกล่าว แล้วเดินไปเอาน้ำมาต้อนรับ ต้นธาราต้องนั่งลงอย่างไม่เต็มใจกับการอยู่ต้อนรับผู้กองคนใหม่ เพราะสายตาของคนตรงกันข้ามนี่สิ...ยิ่งแทบทำหายใจไม่ออก

"ผู้กองภานุกับผู้กองธีรเดชรู้จักกันมาก่อนหรือคะ?"

มาริสาเอ่ย เธอสบตาผู้กองหนุ่มที่ดูเหมือนกับจะจับจ้องอยู่ที่ใครเป็นพิเศษ

"ผมกับผู้กองเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันครับ"

ธีรเดชตอบ ดวงตาหรี่ลงเมื่อรู้ว่ารุ่นพี่กำลังมองดูคุณหมออย่างโจ่งแจ้ง

"แถมยังเป็นครูฝึกกับลูกศิษย์ด้วย"ผู้พันมีทรัพย์เสริม คุณมาริสาเลิกคิ้ว

"จริงหรือคะ แหม...น่าตกใจจังนะคะ" เธอหัวเราะร่วน

"คู่นี้เป็นคู่กัดกันด้วย สมัยก่อนที่สองคนเป็นลูกศิษย์อาจารย์กันเจ้าธีมันร้ายนัก ไม่ยอมเชื่อฟังภานุเลยจนผมคิดว่าสองคนนี้จะไม่ถูกกันเสียอีก"

ชายชรากล่าวถึงความหลัง ทั้งหมดหัวเราะต่อวีรกรรมของธีรเดช ยกเว้นคนเดียวที่เงียบที่สุดคือต้นธารา

"คุณหมอธารเป็นอะไรไหมครับ"ผู้พันมีทรัพย์ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

"เอ่อ...ไม่ครับ"

เขาตอบปฏิเสธและสร้างรอยยิ้มขึ้น แต่มันไม่อาจจะรอดพ้นจากสายตาของชายหนุ่มทั้งสองได้

"เมื่อเช้าคุณหมอเขาหกล้มน่ะค่ะ คุณหมอเจ็บขาหรือคะ "

ผู้พันมองเข้าไปในแววตา

"แต่คุณหมอหน้าซีดมากๆเลยนะครับ ไม่สบายหรือ"

เมื่อพูดแบบนี้ เขาก็ยิ่งถูกจับตามอง ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ....อยากจะอาเจียนออกมาเหลือเกิน

"ขอโทษนะครับ ผม..."

คุณหมอลุกขึ้นกุมหน้าอก สีหน้าซีดเซียว คนที่ลุกขึ้นไปรับร่างที่จวนเจียนล้มไว้ทันเป็นธีเดช คุณหมอเซตก
อยู่ในอ้อมแขนของผู้กองคนใหม่

"รู้สึกอย่างไรบ้างครับ สูดลมหายใจลึกๆ ปล่อยใจให้สบาย"

ผู้กองหนุ่มว่า ต้นธาราเกาะแขน ใบหน้ายิ่งซีดสนิท

"รู้สึกอยากจะอาเจียน"เขากระซิบ ธีเดชแตะแขนเบาๆ

"ใจเย็นๆนะครับ หลับตาลง"

ภานุที่ลุกขึ้นแล้วนั้นนิ่งไป ผู้พันมีทรัพย์และคุณหมอมาริสาเข้าใกล้

"พาคุณหมอไปโรงพยาบาลดีกว่านะ"

ต้นธาราส่ายหัวปฏิเสธ

"ผมอยากกลับที่พักมากกว่าครับ"

เสียงกระซิบด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดก่อนจะล้มฮวบ

"คุณหมอ!"

สิ้นเสียงสุดท้าย ดวงตากลมก็ปิดสนิท

" พากลับที่พักเถอะ ให้นอนพักสักครู่ อาการก็จะทุเลาเอง"

คุณหมอมาริสาตรวจชีพร ภานุมองดูเธอ วูบหนึ่งในแววตาคู่นั้นฉายความห่วงใย และอาทร

"คุณหมอต้นธาราเป็นอะไรหรือครับ?"

ผู้กองภานุถาม มาริสาถอนใจ เธอวางแขนคุณหมอลง

"แค่เหนื่อย แล้วก็เครียดเกินไปน่ะค่ะ ดูเหมือนว่าจะพักผ่อนน้อยเกินไปด้วย" หญิงสาวอธิบาย

"งั้นก็แย่สิ"ผู้พันว่า ก่อนจะกุลีกุจอยกร่างของคุณหมอขึ้น

"ผมจะพาคุณหมอไปยังบ้านพักเองครับ"

ธีรเดชอุ้มคุณหมอขึ้นมา ภานุยิ่งมองตาขวาง

"คุณหมอมาริสาช่วยพาผู้กองธีรเดชไปยังบ้านพักของคุณหมอต้นธาราทีนะครับ ผมยังมีธุระอยู่ที่ค่ายอีกสักหน่อย"

ผู้พันมีทรัพย์แตะแขนของภานุที่จะเดินตามทั้งสองไว้

"ค่ะ ผู้กองธีรเดชเชิญทางนี้เลยค่ะ"

หญิงสาวเดินนำ ธีรเดชอุ้มขึ้นหมอแนบอก เดินอย่างระมัดระวังตามหญิงสาวไป

"ระยะนี้คุณหมอต้นธาราทำงานหนักหรือครับ?"ชายหนุ่มถาม หญิงสาวหันมา

"ก็ค่ะ...ทางเราขาดแพทย์ คุณหมอธารเลยต้องทำงานหนัก เมื่อคืนเห็นว่าไปดูอาการป่วยให้แก่ผู้กองภานุด้วย ทุกคนใจหายหมด นึกว่าคุณหมอถูกจับตัวไปเพราะไม่บอกไม่กล่าวว่าจะไปไหน"

มาริสาเล่าให้ฟัง ธีรเดชผงกหัว เขาก้มมองใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ

"อีกอย่างยิ่งเรื่องที่ผู้กองนาคีตายต่อหน้าต่อหน้าก็เลยทำเอาคุณหมอช๊อก ร่างกายก็เลยยิ่งอ่อนแอลง"เธอเสริม

ธีรเดชอุ้มร่างบางแน่นขึ้น

"น่าสงสารคุณหมอเหลือเกินที่เจอแต่เรื่องร้ายๆ"

"ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาครั้งแรกก็รบกวนเสียแล้ว"

ผู้กองธีรเดชโบกมือ

"ไม่หรอกครับ นั้นใช่ไหมที่เป็นบ้านพักของคุณหมอ"

ชายหนุ่มชี้ไปทางกระท่อมที่โดดเดี่ยว มาริสาผงกหัว

"ค่ะ นั้นแหละ"

หญิงสาวเปิดประตู ชายหนุ่มวางร่างต้นธาราอย่างนุ่มนวล มาริสาหาผ้ามาปิดชุบน้ำเช็ดตามตัว คลายกระดุมที่รัดแน่นออก

"เดี๋ยวจะเอายาลดไข้ที่โรงพยาบาลมาให้นะคะ"

หญิงสาวลุกขึ้นวางกะละมังใส่น้ำไว้บนเก้าอี้

"ครับ เดี๋ยวผมจะดูแลคุณหมอให้นะครับ"

คุณหมอมาริสาลงจากเรือน ชายหนุ่มมองไปบนโต๊ะ เห็นสมุดจดบันทึกสีฟ้าวางไว้ ชายหนุ่มถือวิสาสะเปิดดูเห็นข้อความข้างในแล้วเงียบกริบ...ภาพของผู้กองภานุคั่นหน้านั้นไว้

สิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ เป็นแค่ความฝัน หรือว่าคงอยู่ในโลกแห่งความจริงกัน เป็นเพราะอะไรถึงได้มีความผูกพัน เพราะโชคชะตาอย่างนั้นหรือ หรือเพราะจังหวะหัวใจที่เต้นถี่กัน...เราถึงพบกัน แค่เพียงได้สบตา...ก็สอนให้รู้สึกความหวั่นไหวในหัวใ จ สอนให้รู้จักคำว่ารัก จากความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ก็หมดไปนับตั้งแต่ได้พบกับเขา

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 05-05-2008 20:52:26
ผู้กองภานุ  ระวังให้ดีเถอะ

จะมีคนสอย คุณหมอไปเน้ออออ

ปล.ตอนนี้ไม่มีตบจูบเหรอ อิอิ

 o13 o13

ปล.ขอบคุณน้องเรน และคนโพสด้วยเน้อ

ชอบๆๆเรื่องนี้
 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-05-2008 04:52:15
:impress: :impress: :impress:

อ่าครับผู้กองธีรู้ความลับแล้วละมั้งครับ

ก็เป็นกำลังใจให้นะครับ

ว่าแล้วว่าผู้กองธีต้องแอบหลงรักคุณหมอของเรา อิอิ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: andy_kwan ที่ 06-05-2008 14:00:53
ป้าขอสมัครเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยค่ะ
รักสามเส้าฉบับ ป๋าพิศาล  ชอบอ่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-05-2008 16:27:49
ตอนนี้เครียดอะ

สงสารคุณหมอต้นอะ

ว่าแต่ตกลงชื่อคุณหมอต้น หรือคุณหมอธารอะ

แอบงงเล็กๆ

 :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 06-05-2008 18:03:52
ตบ  จูบ  :o8:

      :o8:     ตบ  จูบ



รอตอนต่อไป :oni1:

 :bye2:  มาต่อเร็วๆ นะค่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 06-05-2008 18:15:59
ตอนนี้เครียดอะ

สงสารคุณหมอต้นอะ

ว่าแต่ตกลงชื่อคุณหมอต้น หรือคุณหมอธารอะ

แอบงงเล็กๆ

 :serius2:

ชื่อคุณหมอคือต้นธาราค่ะ แล้วแต่ว่าจะเรียกว่าหมอธาร หรือหมอต้นก็ได้ค้า

ตบ  จูบ  :o8:

      :o8:     ตบ  จูบ



รอตอนต่อไป :oni1:

 :bye2:  มาต่อเร็วๆ นะค่ะ

ถ้ามาต่อเร็วๆต้องอ้อนพี่พิมพ์ค้า


ป้าขอสมัครเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยค่ะ
รักสามเส้าฉบับ ป๋าพิศาล  ชอบอ่ะ :pig4:

ขอบคุณค้าที่อ่านเรื่องนี้ :กอด1:

:impress: :impress: :impress:

อ่าครับผู้กองธีรู้ความลับแล้วละมั้งครับ

ก็เป็นกำลังใจให้นะครับ

ว่าแล้วว่าผู้กองธีต้องแอบหลงรักคุณหมอของเรา อิอิ

:impress: :impress: :impress:

555+ธีเป็นมากว่านั้นค้า....เดี๋ยวก็รู้ หึๆ


ผู้กองภานุ  ระวังให้ดีเถอะ

จะมีคนสอย คุณหมอไปเน้ออออ

ปล.ตอนนี้ไม่มีตบจูบเหรอ อิอิ

 o13 o13

ปล.ขอบคุณน้องเรน และคนโพสด้วยเน้อ

ชอบๆๆเรื่องนี้
 o13

อันนี้เรนต้องขอบคุณสำหรับพี่ๆที่แนะนำเรื่องนี้ในบอร์ดเล้าเป็ดด้วยที่ทำให้ห้วงรักสเน่หาได้ลงในเล้าเป็ด ขอบคุณพี่พิมพ์และอีกหลายๆท่านจากใจค่ะ ><
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-05-2008 19:05:17
มาลงให้ก่อน  เล้าจะเป็นไงไม่รู้อะ  ลงไว้ก่อนอะนะ  เฮ้อ
น้องเรนน่าร้ากกกกกกกก  มาตอบหมดเลย เยี่ยมๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++


ข้อความที่จรดลงแผ่นกระดาษกับเบื้องหลังของรูปภาพที่เขียนคำว่าคิดถึงเอาไว้ แม้จะรางเลือนแต่ธีรเดชก็รู้ว่านั้นคือใคร

"คุณยังลืมเข้าไปได้อีกหรือคุณหนูธาร"

ชายหนุ่มว่า ต้นธาราลืมตาขึ้น เขามองชายหนุ่มที่ถือรูปภาพและสมุดจดบันทึกไว้

"สิ่งนี้สำคัญกับคุณมากถึงขนาดนั้นเลยหรือ กับคนที่ไม่เคยมองคุณเลย"

ธีรเดชวางของทั้งหมดลง

"แล้วคุณล่ะ...มาที่นี่ทำไม"

คุณหมอหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามเหล่านั้น ธีรเดชหันมอง

"หึ...ผมคิดว่าคุณหมอธารแสนดีจะแสร้งจำผมไม่ได้เสียแล้ว"

ชายหนุ่มกุมมือขึ้นมาแนบแก้มสาก ต้นธาราบิดออก มันหลุดจากพันธนาการอย่างง่ายดาย

"มาที่นี่ทำไมอีก"

ต้นธาราถามเสียงเข้ม ธีรเดชก้มมองพื้น ไล้พวงแก้มขาวสะอาดเล่น

"คงคิดถึงมั้งถึงได้ตามหาคุณ"

ชายหนุ่มตอบเล่นๆ คุณหมอหันหน้าหนี

"...คุณก็ยังคงหลงใหลคนที่ทำร้ายหัวใจคุณอีกหรือ"

ความเงียบเข้าครอบงำ

"คุณมาที่นี่เพื่อตามหาเขา ละทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งครอบครัว ผลสุดท้ายคุณได้อะไร?"

ธีรเดชกล่าว ต้นธารานอนตะแคงตัว

"อย่าเอาคำพูดของตาแก่นั้นมา...นายพลพิภพใช้นายมาที่นี่รึไง"

หงุดหงิดหัวใจเมื่อเจอกับคนที่รู้จักตัวเองลึกซึ้ง

"เปล่า...แต่ก็ไม่เชิงหรอก ท่านพิภพขอให้ผมมาดูแลคุณตอนที่ย้ายมาอยู่ที่ค่ายแห่งนี้"

ชายหนุ่มว่าเท้าคางมองร่างที่นอนตะแคงเอาผ้าห่มคลุมหัว

"โกหกล่ะสิ ตาแก่พิภพนั้นต้องการอะไร พูดยังไงก็ไม่กลับไปบ้านหลังนั้นหรอก"

ต้นธาราย้อน ธีรเดชส่ายหัว

"คุณดื้อดึงไม่เปลี่ยนแปลง...สิ่งที่ท่านพิภพสั่งมาคือถ้าคุณใจเย็นลงแล้วขอให้กลับไปและท่านยังสั่งอีกว่าคนที่
ท่านเฝ้าตามนั้นไม่ได้ดีอย่างที่คิด ผู้กองภานุมีคนรักอยู่แล้วขอให้เลิกคิดเถอะ"

ผู้กองธีรเดชกล่าว มีหรือที่ต้นธาราจะไม่รู้ถึงข้อนี้ เขาใช้ความเงียบเป็นการตัดบท ธีรเดชคอตก

"ผมรู้ว่าคุณรักเขามาก...แต่ขอให้คุณตัดใจได้ไหม...เขาจะทำคุณเจ็บปวด ทานทนได้หรือกับความเย็นชานั้น"

ต้นธาราหันมายิ้ม...ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน...อ่อนโยนจนคนมองหวั่นไหว

"ขอบคุณที่เป็นห่วง"

เขารู้ว่าธีรเดชก็รักเขาอยู่...หากแต่ความรักของเขากลับมอบให้คนที่ไม่เคยเหลือบแลเลย

"ผมห่วงคุณเสมอแหละ"

ชายหนุ่มลูบไล้เส้นผมนุ่มมืออย่างอ่อนโยน จนคนที่เดินขึ้นเรือนมาอย่างเงียบกริบ เห็นภาพนั้นชะงัก หันกลับลงไปอย่างช้าๆ มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ร่างนั้นลงจากเรือน เดินสวนกับคุณหมอมาริสาที่ทำหน้าแปลกใจ

"ผู้กองภานุมาเยี่ยมคุณหมอต้นธาราเสร็จแล้วหรือครับ"

เธอมองดูใบหน้าที่เหมือนกับจะเจ็บและเศร้าหมอง ภานุผงกหัว

"ครับ เสร็จแล้ว...ตอนนี้ผมจะกลับไปยังที่พัก แล้วคุณหมอมาริสาล่ะครับ?"

เขาย้อนถามเมื่อเห็นกล่องยา

"อ้อ...ฉันจะเอายาลดไข้ไปให้แก่คุณหมอธารน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ"

ชายหนุ่มผงกหัว มาริสาเดินอย่างเร็วๆก้าวขึ้นเรือน ธีรเดชก็ผละออกจากคุณหมอ ในดวงตาลึกๆปรากฏแววสะใจเล็กน้อย...ชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้า ไม่ต้องคาดเดาว่าเป็นใคร คงจะเจ็บปวดน่าดู เพราะชายหนุ่มก็รู้ว่าภานุนั้นก็มีความรู้สึกที่ดีแก่คุณหมอธาร...หรือคนที่เขาเคยดูแลมาชั่วระยะหนึ่ง...ต้นธาราบุตรชายคนเดียวของท่านนายพลพิภพ เอกอัคราชทูตประจำเวียดนาม คุณหมอหนุ่มผู้ทิ้งอนาคตไว้ที่เมืองหลวงออกตามหาคนรักที่ไม่อาจเป็นไปได้

ธีรเดชเคยเป็นคนสนิทของท่านนายพลพิภพ รู้จักกับครอบครัวของท่านพิภพดี เคยอยู่เป็นเพื่อนของคุณหนูธารก่อนจะไปประจำการที่บุรีรัมย์ เขาได้รักได้ฝากหัวใจให้แก่ต้นธาราแต่เขาก็ถูกปฏิเสธกลับมาโดยที่ต้นธารานั้นได้มอบหัวใจให้แก่ผู้กองภานุเสียแล้ว ชายหนุ่มยิ้มเศร้า จนต้นธารามองอย่างฉงน

"มีอะไรน่าเศร้าใจหรือ?"

ชายหนุ่มถาม แต่ธีรเดชนิ่งเฉยเสีย เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันได ต้นธาราหัวใจเต้นแรงคาดว่าคนที่ขึ้นมาจะเป็นคนที่อยากพบเจอ คุณหมอหมอมาริสาโผล่หน้ามา ต้นธาราถอนใจทันที

"ยามาแล้วค่ะ...คุณหมอธาร"

เธอทักเมื่อเห็นต้นธาราตื่นขึ้นมาแล้ว หญิงสาววางซองยาให้

"ขอบคุณครับที่อุตส่าห์นำมาให้"เขาลุกขึ้นโดยมีผู้กองธีรเดชคอยช่วยเหลือ

"ไม่เป็นไรค่ะ คุณหมอป่วยไปฉันก็ต้องหัวหมุนสิคะ"หญิงสาวกล่าวติดตลก

"เมื่อสักครู่ฉันเดินสวนกับผู้กองภานุด้วยค่ะ"เธอบอก ต้นธาราตาวาว

"เขาจะมาที่นี่หรือ?"

"เอ๊ะ...ก็เห็นมาแล้วนี่คะ คุณหมอธารไม่ได้เจอหรือคะ"

หญิงสาวทำเสียงสงสัย คุณหมอหนุ่มส่ายหัว ก่อนจะล้มตัวนอนอย่างอ่อนแรง

"น่าแปลกจัง"

ธีรเดชเห็นแววตาที่หม่นหมองไม่สดใส

"คุณหมอธารนอนหลับอยู่ครับก็เลยไม่รู้เรื่อง"

"เอ๊ะ...แต่ว่าเขาเพิ่งไปเมื่อสักครู่เองนะคะ น่าจะเจอตอนคุณหมอตื่นแล้ว เป็นอย่างไรเนี่ย"

"คงจะคลาดกันจริงๆแหละครับ ผมอาจจะหลับอยู่ก็ได้ในตอนนั้น"

ต้นธาราพูดเบาๆ คุณหมอมาริสาก็ไม่ได้ติดใจอะไร

"งั้นคุณหมอก็พักผ่อนเยอะๆนะคะ เดี๋ยวฉันต้องไปดูแลคนป่วยอีก ไปก่อนนะคะผู้กองธี"

หญิงสาวอำลาลงจากกระท่อมไป ทิ้งให้ธีรเดชมองใบหน้าของคุณหมอ

"นอนพักสักหน่อยนะ เรื่องอื่นอย่าเก็บมาใส่ใจเลย"

ผู้กองธีรเดชกล่าว ต้นธาราหลับตาลงอย่างง่ายดาย...คนๆนั้นมาเยี่ยมเขาจริงๆหรือ...ตอนไหนกัน? เขาไม่อยากจะคิดอะไรเลย...เมื่อต้นธาราหลับตา ธีรเดชก็ลุกขึ้น เขาปิดประตู หวังว่าต้นธาราจะเข้าใจกับสิ่งที่เขาบอกไป พอหลับหลังธีรเดชต้นธาราลุกจากเตียง เขานั่งเหม่อภายในกระท่อมหลังน้อย คิดถึงคำพูดของธีรเดช ชายหนุ่มกล่าวถูกทุกอย่าง เขาละทุกๆสิ่งเพื่อมาตามหาความว่างเปล่าของหัวใจอย่างงั้นเหรอแล้วผลสุดท้ายเขาได้อะไรกลับไปบ้างล่ะ...คุณหมอมองสมุดจดบันทึกสีฟ้า ธีรเดชไม่ได้มองดูมันทั้งหมด เขาฉีกหน้ากระดาษที่เขียนถึงผู้กองภานุทิ้ง เพราะอะไร...เขาถึงจะกลับไปเป็นเช่นดังเดิม...เพียงลืมเท่านั้นหรือ? เขามองเศษกระดาษในมืออย่างเสียดาย นึกถึงคืนวันที่ย่างก้าวออกจากบ้านหลังใหญ่เพื่อตามหาหัวใจของตนเอง

"แกจะได้อะไรจากมัน ถ้าแกทิ้งอนาคตทั้งหมดไป มีแต่ความว่างเปล่ากับความเพ้อฝันเท่านั้นแหละที่ชีวิตแกจะได้ ความรักที่แกบอกว่ามันเป็นโชคชะตาก็เป็นแค่เรื่องที่โง่ๆสำหรับคนเขลาอย่างเจ้าเท่านั้น"

เขาหวนถึงคำพูดของท่านพ่อ ท่านนายพลผู้ยิ่งใหญ่อย่างที่เขาเรียกท่านอย่างประชดประชัน ชายหนุ่มเท้าคาง...มันสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ หัวใจของเขาเรียกร้องหาคำตอบ พอเขาออกก้าวเดิน จุดจบของมันคืออะไร...ก็คือความว่างเปล่า...กับความชิงชัง คุณหมอลุกขึ้น ก่อนจะคลี่กระดาษแผ่นเดิม รีดให้เรียบร้อย ก่อนจะใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บให้สมบูรณ์ เขาทรุดนั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน หยิบปากกาออกมาลงมือเขียน

...ถึงใครจะว่าอย่างไร ผมก็ยังรักเขา สักวันหนึ่งผมจะทำให้เขาเข้าใจว่า หัวใจหนึ่งได้โหยหาเขามากเพียงใด แม้หมดลมหายใจ...ผมก็ยังจะรัก

คุณหมอต้นธาราปิดสมุดจดบันทึก เขาลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าและยาเข้ากระเป๋า รอให้ยามราตรีเข้าเยี่ยมกราย ก่อนจะลุกขึ้นหยิบเป้...ถึงใครจะบอกว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่โง่เขลา ไร้ประโยชน์ ถึงแม้ว่าหัวใจจะเจ็บช้ำ...แต่เขาก็จะทำ ทำตามหัวใจหนึ่งเรียกร้อง ก่อนทุกอย่างจะสายไป คุณหมอมองรอบๆ ก่อนค่อยๆลงจากบ้าน ปิดประตูให้สนิท เดินไปยังท้ายชายป่า ยามกลางคืนช่างน่ากลัวนัก เขาเดินอยู่ในความมืดมิด หวาดกลัวก็หวาด เพราะบ้านของผู้กองภานุอยู่ห่างจากค่ายใหญ่พอสมควร หากเกิดอะไรขึ้นข้างทาง เขามีแต่ตายกับตายอย่างเดียว เสียงแมลงกลางคืนขับกล่อมฟังไพเราะจับจิต มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ชัดเจนในความเงียบสงบ เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจเมื่อเข้าใกล้อาณาเขตบ้านของผู้กองหนุ่ม ค่ำคืนเดือดมืด ตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนไว้หน้าบ้านส่องให้เห็นชายหนุ่มที่แหงนหน้ามองดาว ดวงตาแกร่งเศร้า ต้นธาราหยุดมองห่างๆ เขาเห็นชายหนุ่มเช็ดดวงตาของตัวเอง...ร้องไห้อย่างงั้นหรือ? ดวงตาเรียวกระพริบ...แสงไฟทำให้เขาตาไม่ฝาดใช่ไหม ที่เห็นชายหนุ่มเศร้า แต่ชายหนุ่มก็กรอกเหล้าเข้าปากกลบใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ต้นธาราเดินออกไป ภานุมองคนข้างล่างที่ปรากฏท่ามกลางแสงสว่าง ใบหน้าสวยงามนั้นมีรอยทุกข์ระทม นิ้วเรียวกำเข้าหากันแน่น ภานุกระโดดลงจากเรือนเตี้ยๆ

"คุณเป็นอะไร?"

เขาถาม แต่ชายหนุ่มกลับกอดเขาแน่น ภานุตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนี้...กับคนที่เขาทำตัวห่างเหิน

"ในที่สุดก็มาตามคำบอกจริงๆเหมือนกับหมาข้างถนนจริงๆ"

คำพูดที่หัวใจไม่อยากฟังหลุดออกจากปาก ต้นธารากัดฟันแน่น

"อยากถึงขนาดนั้นเลยหรือครับ? หรือว่าคนที่คอยปรนเปรอคุณมันให้ไม่พอ"

ยิ่งฟังก็ยิ่งต้องการอุดหูแน่น

"คุณหมายถึงใคร"

เขาถามเสียงเย็น จ้องใบหน้าของผู้กองหนุ่มเขม็ง

"ใครล่ะที่ลูบไล้เรือนผมอันแสนนุ่มนวล...ส่งรอยยิ้มแสนหวานให้ จับคนใหม่ได้เร็วจริงๆนะครับ"

ต้นธารารับฟัง ตัวแข็ง เขาปลดเป้ออกโยนใส่หน้า

"คุณอย่ามาพูดต่ำๆแบบนี้นะ คุณธีมาเกี่ยวอะไรด้วย และผมก็ไม่ต้องการจะมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ"

ภานุแสยะยิ้ม

"อ้อ นี่จำใจมาเพื่อปกปิดความผิดหรือครับคุณหมอ"

ผู้กองหนุ่มดูเป้ใบเขื่อง เขาไม่เจ็บสักนิด ชายหนุ่มสัมผัสสิ่งนุ่มๆอยู่ภายใน ต้นธารากอดอก ชายหนุ่มถอนใจ

"เรามาทำสัญญาแลกเปลี่ยนกันดีไหมครับ?"

ต้นธารามองหน้า...สัญญา...สิ่งที่เขากระทำนั้นหรือเป็นสัญญา

"สัญญาที่คุณได้เปรียบข้างเดียวสิ"

ริมฝีปากเรียวพึมพำ ภานุเพียงแค่นยิ้ม ก่อนชายหนุ่มจะจูงมือให้ต้นธาราขึ้นเรือน ดับตะเกียงปล่อยให้ทั้งบ้านตกอยู่ในความมืดมิด แสงดาวยิ่งเด่นชัด

"ผมได้ประโยชน์คนเดียวซะที่ไหน...เราทั้งสองคนต่างหากที่ได้ประโยชน์จากมันต่างหาก"

ภานุพาต้นธารานั่งลงบนพื้น ยิ้มให้ขณะไกล่เกลี่ยเส้นผมที่เปียกชื้นออกจากแก้ม

"คุณมีความสุข...ผมจะเก็บความลับไม่ให้คนของคุณรู้ รับรองจะรูดซิปปากสนิท กับเรื่องที่คุณขายความลับด้วย ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?"

คุณหมอกลืนน้ำลาย...เอาเถอะ...จะเข้าใจผิดไปถึงไหนเขาจะไม่ปริปากหรอก...

"แต่คุณเข้าใจผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นนะ"

เขาอดบอกไม่ได้ ชายหนุ่มกลับหรี่ตาราวกับบอกว่า...โกหก ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะลดมือที่แตะใบหน้าลง

"จะให้ผมเหลือความเชื่อใจในตัวคุณได้บ้างหรือเปล่า"

ภานุกระซิบ ต้นธาราจึงค่อยๆเงียบลง...เหตุผลที่ต้องการบอกละลายหายไปจากใจ...ปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีแล้ว แม้หัวใจเขาจะมีแต่ความว่างเปล่า...แม้จะมีแค่สัมพันธ์ทางกาย บทลงโทษ ข้อผูกมัด...มัดให้ไม่อาจหลุดพ้น ...ขอแค่สักวันหนึ่งที่เขาจะรับรู้...แต่ถ้าถึงวันนั้นแล้ว ทุกอย่างมันจะเลือนหายไปไหม ความจริงที่อยู่บนภาพลวงตา กรุ่นกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง...อยากรู้นักว่าทำไมถึงได้ดื่มหนักถึงเพียงนี้ ความทุกข์ในนั้น เขาจะเล่าให้ฟังบ้างไหม นายทหารร่างใหญ่เห็นคุณหมอหลับตาลงราวกับยอมจำนน ดวงตาแกร่งมองเรียวปากนั้น...ครั้งแรก...เขาจับคุณหมอไว้ บังคับขืนใจเอาตามความต้องการ เหตุผลที่อยากจะกอดมันไม่มีหรอก ชายหนุ่มพยายามจะคิดเช่นนั้น กับเหตุการณ์ครั้งแรก แต่เขาก็ทำให้คุณหมอเจ็บ ทั้งตัวและหัวใจ...เหตุเกิดจากโทสะ ความรู้สึกโกรธ ไม่เข้าใจ ชิงชัง...แต่ในตอนนี้ล่ะ เขาจะนำความรู้สึกไหนมาตอบกับการกระทำนี้ได้ ชายหนุ่มใช้นิ้วเกลี่ยรอบๆริมฝีปากเรียว ดวงตาทั้งสองต่างจับจ้องกันแหละกัน...หนึ่งเผยความรู้สึก อีกหนึ่งที่เก็บงำไว้ อ่อนไหว...ใบหน้าอยู่ในอุ้งมืออันอบอุ่น เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่ง เหมือนหัวใจทั้งดวงหลอมละลาย ความนุ่มนวลของริมฝีปากยังไม่คลายไปจากความทรงจำ ชายหนุ่มดึงร่างโปร่งเข้าหา กดจมูกแน่นกับบ่าบอบบาง

"สักวันถ้าผมจากไปคุณจะรู้สึกอย่างไร?"

ร่างโปร่งกระซิบถามกับคำตอบที่ไม่เคยได้รับ จมูกอุ่นๆจูบแถวๆซอกคอ ชายหนุ่มได้ยินทุกอย่าง...หากจากไปหัวใจของเขาจะทำเช่นไร...ชายหนุ่มนำคำถามนั้นมาถามตัวเอง ประมวลผลว่าเหตุใดร่างบางถึงต้องพูดเช่นนี้ ต้นธารามีรอยเศร้าอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มจับข้อมือไว้ ค่อยๆกดร่างให้อ่อนโยนตาม ใบหน้าของต้นธารายิ้ม อบอุ่น นุ่มนวล...ชายหนุ่มมองดูใบหน้านั้น...ยอมรับหัวใจของตัวเองเสียที....สัมผัสของชายหนุ่มแผ่วเบา สร้างความสุขและฝันแสนหวานได้ ภานุจูบหลังมือ...เป็นเขาใช่หรือเปล่าที่จะได้ครอบครองเพียงร่างนี้ ชายหนุ่มแกะกระดุมออกทีละเม็ดๆ เผยแผ่นอกสวย ทุกอย่างงดงาม ทุกสัมผัส...วินาทีหนึ่งที่หัวใจได้ตอบรับ มีเพียงความอ่อนโยนเท่านั้น ลำแขนเรียวแตะแผ่นหลังแกร่งแน่น การโอบกอด แม้จะมีความรุนแรงแฝงไปบ้าง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับหนึ่งความทรงจำที่จะเก็บไว้

ผู้กองหนุ่มทาบทับไปบนร่างบอบบาง เฝ้ามองสีหน้าที่เคลิ้มฝัน....ต้นธาราก็ยังยิ้ม...รอยยิ้มที่นุ่มนวล คุณหมอแตะใบหน้าแกร่ง...ระยะนี้เขารู้สึกว่าสุขภาพตัวเองแย่ลง ตอนที่เจอกับธีรเดชครั้งแรกความเครียดและความรู้สึกต่างๆถาโถมเข้ามาในจิตใจ ต้นธารากลัว...ก่อนที่จะมาประจำการอยู่ที่นี่เขาได้ไปตรวจสุขภาพ เขาเป็นหมอรู้ดีว่าอาการที่เกิดขึ้นมันคืออะไร แต่เขาก็พยายามปัดมันออกไปจากหัวใจ ปัดความทุกข์กังวล ดวงตาเป็นประกายมองดูใบหน้าแกร่งที่ก้มมอง...เพียงเท่านี้หัวใจก็เป็นสุขดีแล้ว ชายหนุ่มสอดใส่ความต้องการเข้าไปช่องทางอันคับแคบ ขยับอย่างแผ่วเบาจนรู้สึกหวาบหวาบจนแทบอยากปลดปล่อย สำหรับภานุแล้วหลังจากลงโทษร่างบางชายหนุ่มเจ็บยอกในอก สิ่งที่อยากจะทำไม่ใช่แบบนี้ นิ้วแกร่งจึงคลายมือจากเรือนผม ประทับจูบข้างแก้มราวกับอยากบอกขอโทษ ต้นธาราหลับตาเก็บความรู้สึกชั่วครู่ชั่วยามนี้ไว้ หัวใจก็อ่อนไหวตาม

-----------------------------------------------

ธีรเดชรื้อกระเป๋าออกมา ชายหนุ่มจัดเรียงของให้เข้าที่เข้าทาง ชายหนุ่มมองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างที่เปิดกว้าง ก่อนจะดึงซองสีน้ำตาลออกมา มันประทับตราของโรงพยาบาล ชายหนุ่มเปิดผนึกออก มันเป็นใบรายงานผลทางการแพทย์ในชื่อของคุณหมอต้นธาราว่าเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว...สิ่งที่ชายหนุ่มอยากจะบอกกับความลับที่เก็บไว้ รายงานนี้เพิ่งถูกส่งมาหลังจากที่ต้นธาราได้ไปตรวจเลือด คุณหมอธารยังไม่ทราบผลนี้ ท่านนายพลที่ทราบผลแล้วอยากให้บุตรชายคนเดียวกลับมารักษา แต่เขาจะบอกตามตรงไหม...ธีรเดชทรุดนั่งลง...นี่คืออีกหนึ่งข้อฝากฝังของท่านนายพลพิภพ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-05-2008 19:48:04
งานนี้นอกจากจะตบจูบแล้ว มีแววเป็นหนังเกาหลีอีก   :m29:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 06-05-2008 19:58:54
งานนี้นอกจากจะตบจูบแล้ว มีแววเป็นหนังเกาหลีอีก   :m29:

55+เพิ่งเคยมีคนบอกว่ามีแววเหมือนหนังเกาหลี ปกติเห็นแต่บอกเป็นหนังแนวพิศาล  :laugh:
แหม...หนูธารเราอินเตอร์นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-05-2008 21:51:58
ทำงานกันเป็นทีม พิมลงนิยาย นู๋เรนมาตอบเม้นท์ หน้าม้ามาดันทู้  :laugh: :laugh: แล้วก็รออ่านต่อไป
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: alulugun ที่ 06-05-2008 22:13:59
คุณหมอน่าจะรู้ตัวเองอยู่หรอกว่าเป็นตัวเองกำลังป่าวยอยู่

เฮ้อ.......... :sad2: :o12: :serius2: :o :m15: :เฮ้อ: :a5:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-05-2008 23:27:51
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับผม เหมือนๆจะเศร้าละ

คุณหมอจะเป็นไรป่าวครับผม

หวังว่าตอนจบคงไม่เรียกน้ำตาจากคนอ่านไปนะครับ

ผมอะคนอ่อนไหวง่าย อิอิ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: dekchin ที่ 06-05-2008 23:33:21
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 07-05-2008 11:10:45
มาอีกแระ นิยายสุดโศก ฉลองเล้าเดี้ยง

เป็นกำลังใจให้คนแต่ง คนโพสต์ จ้า

 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nooww ที่ 07-05-2008 15:10:18
 :m1: สนุำกมากเลยมาต่อเร็วนะ :m1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-05-2008 17:12:04
 :a2: ได้เจาะไข่ nooww แล้ว  :m4: คนแรกในรอบครึ่งปี้มานี้  :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 07-05-2008 17:52:14
อิอิ

นุ่มนวลๆๆ  ผู้กองภานุ ทำเบาๆกับเค้าได้ด้วยเหรอ..อิอิ :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 08-05-2008 11:49:38
ต่อค้าบบบ  เริ่มมีคู่น่าจับตามองคู่ใหม่ละนะ  อิอิ
นี่มาลงเพื่อพูห์เลยนะเนี่ย 555 ว่างใช่มะ  อ่านไปเลย   
ต้อนรับน้องใหม่ nowww กับ Dekchin  Alulugan นึกว่าหายไปแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก5 Sorrowful/ความเศร้าเสียใจ


สิ่งที่ธีรเดชได้รับรู้ สิ่งที่หนักใจ เขาอยากจะพาคุณหมอกลับไปยังกรุงเทพฯ ชายหนุ่มวางผลตรวจไว้บนโต๊ะ จริงๆแล้วคุณหมอต้นธาราจะรู้ไหมนะว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ต้นธาราน่าจะรู้...เป็นห่วงเหลือเกินที่เห็นคุณหมอเป็นลมไป ทั้งๆที่เป็นหมอแท้ๆ ชายหนุ่มกลุ้มใจจริงๆ ใบรายงานผลทางการแพทย์กับความหวังของนายพลพิภพที่ต้องการพาบุตรชายกลับไปรักษาตัว ความดื้อดึงที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีให้แก่กันกลายเป็นปัญหา เข้าใจดีว่านายพลพิภพหัวแข็งมากเพียงไร แต่ลึกๆแล้วท่านห่วงบุตรชายที่ดูเหมือนจะหลงไปในความรู้สึกที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ธีรเดชถอนใจ เขาถอดชุดฝึกออก คงเหลือแต่เสื้อสีเขียวเข้มหยิบเสื้อกันหนาวติดตัวไปพร้อม ชายหนุ่มลงจากบ้านพักเพื่อไปหาคุณหมอ เมื่อไปถึงยังบ้านพักของคุณหมอต้นธารา ทั่วทั้งบ้านเงียบสงบ ธีรเดชรีๆรอๆอยู่ชั่วขณะ ไม่เห็นคุณหมอจุดตะเกียง ก็คิดว่าคุณหมอคงหลับไปแล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงว่าคุณหมอจะป่วยหนัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเคาะประตู แรกๆเขาเคาะเบาๆก่อนจะเพิ่มแรงเคาะ ก็ไม่เห็นมีใครมาเปิดประตูให้ ธีรเดชจึงยืนอยู่หน้าประตูสักพัก คิดสงสัยว่าคุณหมอหายไปไหน เขาก็มองไปทางธงของโรงพยาบาลพัดโบกไหวในความมืดมิด ในนั้นยังสว่างอยู่ ชายหนุ่มคิดว่าคุณหมออาจจะเข้าเวรก็ได้จึงตรงไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ ธีรเดชก้าวเข้าไปข้างใน มีหมอที่อยู่เวรแค่คนเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งก็คือคุณหมอมาริสา หญิงสาวนั่งหน้าเคร่งฝังกายอยู่กับโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มหยุดอยู่สักพัก มองเคาท์เตอร์สำหรับชงเครื่องดื่ม ชายหนุ่มจึงไปชงนมที่อยู่ในโถยื่นให้แก่คุณหมอสาวซึ่งเงยหน้าขึ้นมาตกใจเล็กน้อยยามเห็นผู้กองคนใหม่ยิ้มให้กับเธอ

"พักสักหน่อยนะครับ"

รอยยิ้มพาดอยู่บนใบหน้าของผู้กองคนใหม่ มาริสาเอื้อมมือรับแก้วนมพร้อมกับเชื้อเชิญให้นั่ง

"ไม่รู้ว่ามันจะหวานเกินไปหรือเปล่านะครับ"

เขามองดูริมฝีปากอิ่มแตะขอบแก้ว

"ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันตกใจหมด...เออ เรื่องเครื่องดื่มแค่นี้ก็พอดีแล้วค่ะ"

มาริสาตอบธีรเดช เธอกุมถ้วยอุ่นๆ อากาศของที่นี่เย็นจัด ชายหนุ่มดูคุณหมอสาวที่ใส่เพียงเสื้อกาวน์สีขาว สวมกระโปรงพลีท ชายหนุ่มเห็นเธอสั่นนิดๆและรู้สึกว่าสุขใจยามที่ได้ดื่มอะไรร้อนๆ

"มีธุระอะไรหรือเปล่าค่ะ"มาริสาถามผู้กองหนุ่ม

"ผมมาหาคุณหมอต้นธาราครับ เห็นว่าอาจจะเข้าเวร"

ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะถอดเสื้อกันหนาวลุกขึ้นไปห่มให้คุณหมอสาวที่นั่งอึ้งต่อความใจดีของผู้กองธีรเดช

"ข...ขอบคุณมากค่ะ"

เธอกระชับเสื้อกันหนาวที่มีกลิ่นโคโลญจ์อ่อนๆไว้แน่น หน้าแดงนิดๆ

"คุณหมอธารรู้สึกว่าวันนี้จะไม่ได้เข้าเวรน่ะค่ะ เป็นวันพรุ่งนี้...แต่เอ๋...คุณหมอธารป่วยอยู่นี่คะ"

มาริสารำพึง ชายหนุ่มนิ่ง

"ผมไปหาคุณหมอที่บ้านไม่เจอ บังเอิญว่ามีธุระสำคัญด้วย"ธีรเดชทำท่ากังวลใจ

"ฝากดิฉันไว้ไหมคะเผื่อคุณหมอธารเข้าเวรตอนตีห้า"

มาริสาเอ่ย เธอวางแก้วเครื่องดื่มที่เหลือครึ่งแก้วลง

"อ้อ ไม่เป็นไรครับแล้วคุณหมอมาริสารู้จักบ้านของผู้กองภานุไหมครับ?"

หญิงสาวเลิกคิ้ว

"บ้านของผู้กองภานุหรือค่ะ ถ้าจะไปตอนนี้ก็...."

เธอหยุดไป ธีรเดชทำหน้าแปลกใจ

"มีอะไรหรือครับ?"

ความนุ่มนวลที่แฝงทุกคำพูด มาริสาก็อธิบายให้ฟัง

"บ้านของผู้กองภานุอยู่ห่างไกลจากค่ายพอสมควรค่ะ ทางที่ไปก็เป็นทางลูกรัง มืดก็มืดอาจมีฝ่ายตรงข้ามดักทำร้ายเอาได้นะคะ"

ธีรเดชยิ้มกับคำเตือนนั้น

"ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมพกปืนไปอยู่ แล้วบ้านของผู้กองอยู่ตรงไหนครับ"

เขาขอคำตอบ คุณหมอสาวก็เลยต้องอธิบายให้ฟัง

"บ้านของผู้กองภานุหรือคะ อยู่ตรงชายป่าค่ะ มันจะมีทางแยกลงไปท้ายหมู่บ้านนะคะ ผู้กองเขาอาศัยอยู่ที่นั่น"

ธีรเดชกล่าวขอบคุณเธอ

"ครับ ขอบคุณมากครับ คุณหมอก็ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ อากาศแถวนี้มันเย็น"

คำพูดนั้น ส่งผลให้มาริสายิ้มหวาน

"ค่ะ...ผู้กองก็ระวังตัวด้วยนะคะ..."

ธีรเดชผงกหัว เขาออกจากโรงพยาบาล หยุดอยู่ทางเบื้องนอก แสงดาวทอประกาย ดวงจันทร์ขึ้นลับเหลี่ยมเขา หมอกยามค่ำคืนลอยจางๆ สายลมหนาว ผู้กองหนุ่มห่อไหล่ เขาทำหน้าเคร่ง...รับรู้แล้วว่าคุณหมอธารหายไปไหน...แต่เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้ ชายหนุ่มล้วงกระเป๋า ลองไปบ้านของผู้กองภานุตามคำบอกกล่าวของคุณหมอมาริสา ชายหนุ่มเดินไปตามความมืดมืด ทั่วทั้งป่าราวกับจะหลับไหล ไม่มีเสียงของสรรพสิ่งใด ผู้กองหนุ่มเดินก้มหน้าหลบลมหนาวที่ค่อยๆพัดปะทะ เขาเงี่ยหูฟังทุกสรรพสิ่งที่ดังขึ้น ชายหนุ่มหยุดนิ่งสักระยะ ยามที่ได้ยินเสียงใบไม้หล่น ภายใต้ความมืดมิด ผู้กองคนใหม่หันหน้าไปดู ดวงตานั้นจ้องเขม็งกับที่มาของเสียง ชายหนุ่มหยิบปืนพก ค่อยๆปลดไกปืนจับกระชับมั่นไปยังจุดที่เกิดเสียง เขาเห็นเงาวูบไหว ชายหนุ่มยิ้มเหี้ยมเกรียม...เงานั้นดูท่าจะรู้ตัวเสียแล้วว่าเขารับรู้ แต่ในที่มืดๆอย่างนี้เงานั้นกลับเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเหลือเกิน หลบหลีกดุจจะรู้เส้นทาง

ธีรเดชแปลกใจขณะที่เข้าไปในอาณาเขตป่า เงานั้นดุจจะกลืนกินไปกับความมืดมิด เขาคิดว่าอาจจะเป็นสัตว์ยามค่ำคืนหรือเปล่า...แต่เขาก็เห็นเป็นชายเสื้อรางๆ...ฝ่าการตรวจตรามาได้อย่างไรนะ ชายหนุ่มลดปืนสีดำสนิทลง คิดจะรามือแต่เขาก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อรู้ว่าศีรษะได้รับความเย็นเฉียบ เขาขยับแต่รับรู้ได้ว่า เขากำลังถูกกดแนบกับสิ่งแข็งๆซึ่งเขารู้ดีว่ามันคือปืน.38 แถมลำคอยังรับรู้ถึงความเย็นเฉียบของสิ่งกรีดคม มันกดเนื้อผิว รับรู้ถึงความแสบร้อน...ธีรเดชนิ่ง ไม่ขยับตัว เสียงกระซิบเป็นภาษาแปลกๆ แฝงคำข่มขู่...ช่างโง่บัดซบยิ่งนักที่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือศัตรูง่ายๆ

"แกเป็นใคร"

ชายหนุ่มส่งเสียงถามอย่างกระชากๆ ดูท่าท่างคนที่จับเขาไว้จะตกใจมากมาย มือที่กอดรัดไว้คลายออกเล็กน้อย

"ผู้กองนาคี?"

เสียงถามอย่างสงสัยงุนงง ธีรเดชอึ้ง เหตุใดคนๆนี้ถึงว่าเขาเป็นผู้กองนาคีที่สิ้นใจไปแล้วแล้วรู้จักได้อย่างไร...งุนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะใช้โอกาสนั้นปัดทุกอย่างออกจากตัว ชายหนุ่มหันไปชกท้องจนร่างนั้นจุกไป อีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าพลาดพยายามจะกู้สถาณการณ์คืน แต่ธีรเดชไวกว่า ชายหนุ่มบิดแขนให้ปล่อยมีดและปืน ก่อนจะเตะมันไปไกล เขาก็รีบหยิบปืนมาจ่อหน้าผาก กดร่างไว้ใต้ตัว มองดูใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าขาวม้าที่โพกไว้

"แกเป็นใคร?บุกเข้ามาจากไหน"

ธีรเดชสอบถาม เขาบิดแขนไขว้ไว้ ใบหน้านั้นกลับเบือนหนี...ไม่ใช่ผู้กองคนนั้น...

"ผู้กองนาคีล่ะ...เขาอยู่ไหน"

ร่างนั้นตัดสินใจถาม คำพูดที่เอ่ยภาษาไทยชัดเจน แรกๆธีรเดชก็สงสัย เพราะเขารู้ว่าคนๆนี้ต้องเป็นไส้ศึกจากทหารพม่าแน่ๆ

"แกจะเอาอะไรจากเขา?"

ชายหนุ่มกระซิบเสียงต่ำ ให้ฟังดูน่ากลัว ค่อยๆเอื้อมมือไปปลดผ้าที่พันใบหน้าออก ร่างนั้นรีบปัดป้องโดยการเบือนหน้าหนีสุดชีวิต แววตาที่หวาดหวั่นเริ่มปรากฏ

"คุณไม่ใช่ผู้กองนาคี"

เสียงกระซิบ แววตาสีดำสนิทเหลือบมองอาวุธของตน ยิ่งไม่เข้าใจว่าร่างนี้ต้องการอะไร

"นาคีตายไปแล้ว"

ธีรเดชสงสัยว่าอาจจะมีการติดต่อกันลับๆก็ได้ ความตึงเครียดเริ่มก่อเกิด นิ้วแกร่งกระชากผ้าขาวม้าให้หลุดออก ก่อนกลุ่มผมสีดำจะสยายตาม ชายหนุ่มตกใจที่ร่างที่เขากอดอยู่จะเป็นผู้หญิง !... เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ

"เธอ..."

เขาหน้าแดงฉานที่ทับอยู่บนตัว อาจเพราะหน้าอกที่ถูกซ่อน ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้ ใบหน้าที่ซ่อนภายใต้กลุ่มผมยาวสีดำ ดวงตาอาจจะแฝงความหวาดหวั่นไปบ้างแต่มันก็เข้มแข็งและแฝงความพยศ ร่างที่ถูกกดไว้ดูท่าจะแปลกไปยามถูกเรียกเช่นนั้น ธีรเดชรีบออกจากด้วย จับข้อแขนเรียวนั้นแทน เขาหาอะไรมาผูกข้อมือไม่ให้ขัดขืน อีกฝ่ายก็ไม่ดิ้นสักนิด

"ผู้กองนาคี..."

ริมฝีปากนั้นเอื้อนชื่ออยู่ซ้ำๆซากๆกลุ่มผมยุ่งเหยิง ธีรเดชถอนใจ

"จะเรียกหาคนที่ตายไปแล้วทำไม"

ชายหนุ่มถาม เมื่ออีกฝ่ายราวกับจะฝึกมาให้พูดแต่คำนั้น หรือว่าเป็นหญิงสาวที่หลงรักผู้กองนาคีกัน ชายหนุ่มมองดูเธอ...แต่งตัวด้วยชุดมอๆ สวมใส่เสื้อเชิ้ตลายทางไว้ ข้างนอกทับด้วยเสื้อแจ็กเกต รองเท้าเดินป่าดูหนักอึ้ง เอวที่ดูท่าจะบอบบางนั้นสะพายซองกระสุนกับซองมีดที่ใช้ขู่บังคับเขา

"เธอรักเขารึ?"



ชายหนุ่มเดา ไม่อย่างงั้นเธอคงไม่เสี่ยงแต่งตัวมาแบบนี้ ฝ่าอันตรายเข้ามา ดวงตานั้นจ้อง ใสดุจน้ำค้างกระจ่าง สงสัยกับคำพูดนั้น เขาจับผ้าขาวม้าที่ทำเป็นที่จับ ร่างนั้นส่ายหัว...คู่รักหรือ...ชายผู้นี้หมายถึงอะไร ความสงสัยเก็บงำอยู่ในใจเงียบๆ เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ธีรเดชก็หยุดนิ่ง

"แล้วเธอจะมาเขาทำไม พูดภาษาไทยยาวๆได้ไหม เห็นฟังออกอยู่นี่"

การหยุดนิ่ง ยิ่งเพิ่มความระแวงแก่ร่างนั้น

"ถ้าเธอไม่ยอมตอบฉันก็จะฆ่าเธอเสีย"

ธีรเดชขู่ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที เสียงใสฟังแล้วสบายใจ ในความมืด เขาหยิบไฟแช็กขึ้นมา จุดไฟให้ติด แล้วใช้แสงอันน้อยนิดนั้นสาดส่องใบหน้าที่ออกซีดๆ ดวงตานั่นหรี่ลงเล็กน้อยราวกับแพ้แสง ดวงหน้าเรียว ดวงตาที่ดุจน้ำค้างหลับลง เขามองริมฝีปากเรียวเม้มแน่นที่เขาทำเสียมารยาท แสงไฟเล็กๆวูบดับ หลังจากที่ดูโดยคร่าวๆแล้วร่างของหญิงผู้นี้ก็สูงพอควร ชายกางเกงหลุดจากรองเท้าเดินป่า ธีรเดชก้มลงยัดคืนให้พร้อมกับผูกเชือกให้เรียบร้อย

"ตอบมาสิ"

ความอ่อนใจ ธีรเดชเริ่มรู้สึกว่าจะถูกปั่นหัวหรือเปล่า รอยยิ้มที่โผล่ออกจากความมืด ช่างเศร้าศร้อย

"ผู้กองนาคี"

ยิ่งพูดย้ำคำเดิมๆ ผู้กองหนุ่มอ่อนใจทันที

"ถ้าเธออยากจะรู้นะ ผู้กองนาคีน่ะตายไปแล้ว ตอนนี้ศพถูกเคลื่อนไปเก็บที่บ้านเกิดแล้ว อยากตามไปคงต้องไปตามเอาที่สวรรค์แล้วล่ะ"

ผู้บุกรุกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ก่อนการขัดขืนจะเริ่มขึ้น ชายหนุ่มออกแรงกดไว้

"อย่าดิ้นสิ"

เรี่ยวแรงมหาศาลดีชะมัด ร่างที่ถูกจับไม่ยอมเดิน จู่ๆก็ทรุดนั่ง พนมมือพึมพำด้วยภาษาพม่า ซึ่งชายหนุ่มรู้ว่านั้นเป็นบทสวดที่แผ่ให้คนตาย เขาแปลกใจ...ผู้หญิงคนนี้...พอสวดจบ ดวงตานั้นก็ลืมขึ้นและจ้องเขาด้วยสายตาน่าสงสาร

"ปล่อย..."

อีกฝ่ายวอนขอ ชายหนุ่มอึ้ง น้ำตานั้นไหลลง เขาทรุดนั่ง ถอนใจและใช้นิ้วปาดน้ำตา

"ฉันปล่อยเธอไม่ได้หรอกเพราะต้องนำไปสืบสวน"

ธีรเดชอธิบาย ร่างนั้นนั่งเป็นเสือติดจั่น หาทางออกไม่ได้ จู่ๆน้ำตานั่นก็หยุดไป ชายหนุ่มที่ได้สัมผัสความอบอุ่นของหยาดน้ำใสๆ อยากจะโอบกอดเอาไว้ ลึกๆแล้วธีรเดชหนักใจ เขาลูบกลุ่มเรือนผมยาวสีดำ มันนุ่มสลวยและมีกลิ่นสะอาด

"ได้โปรด ปล่อย..."

เสียงพูดขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น ผู้กองคนใหม่ออกจะหนักใจกับคำขอ ชั่ววูบหนึ่งจะแกะผ้าที่พันข้อมือออก แต่เขาก็ยั้งสติทัน เสียงนกร้องคู้ๆ ดวงตาใสกระจ่างเหลียวล่อกแล่กดูกังวล ชายหนุ่มบีบแขนเธอแน่น...รู้ว่าอาจจะมีพรรคพวกมาเสริม

"คุณเป็นคนใจดีใช่ไหม?"

ร่างนั้นถาม ธีรเดชแปลกใจ

"สัมผัสได้จากท่าทีของคุณ...อย่า..."

คำพูดหลังเหมือนกับไม่ได้เอ่ยกับเขา ชายหนุ่มหันมองรอบๆ ใบหน้านั้นค่อยโน้มเข้าหา กลิ่นรวยริน หอมอ่อนๆแทรกซึมเข้าไปในจมูก ธีรเดชกลั้นใจอัตโนมัติก่อนริมฝีปากอิ่มจะประทับลง แขงขาชาวูบ เรียวแรงราวกับจะหมดหาย...ริมฝีปากอุ่นๆประทับเนิ่นนาน ก่อนค่อยๆถอนออกยามที่ชายหนุ่มล้มลง หลับสนิท

"อย่า...พอแล้ว...ปล่อยเขาไว้ที่นี่แหละ"

เสียงคำสั่งกระซิบ คนที่โผล่มาแปลกใจ

"เหตุใดจึงไม่จัดการสังหารมันเสียนาย"

ร่างนั้นถาม คนที่ลุกขึ้นแก้มัดส่ายหัว

"อย่าได้ทำอะไรเอะอะไป แถวนี้มันเขตของทหาร"

เงาที่ก้มหน้ามองแปลกใจ

"แต่นาย..."

อยากจะถามว่าเพราะอะไรถึงบุกมาที่นี่เพียงคนเดียว ร่างนั้นหยิบข้าวของของตัวเอง นำผ้าขาวม้าห่มร่างที่นอนหลับสนิทไว้

"ฉันก็แค่มาดูลาดราว เจ้ามีเรื่องอะไร?"

อีกคนส่ายหัวกับคำพูดแข็งๆ

"กลับ"

คำสั่งเดียว ก่อนจะถอนกายไปอย่างเงียบเชียบ...ร่างนั้นแตะริมฝีปาก ไม่อยากจะใช้วิธีนี้ แต่มันจำเป็นไม่อย่างนั้น อาจจะไม่ได้กลับ...ดวงตาราวน้ำค้างยังจำแววตาอบอุ่นได้...ผู้กองนาคีกลับชาติมาเกิดหรือ...เขาเป็นใครกัน...นายทหารคนนั้น...ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 08-05-2008 14:14:06
โอ๊ะๆๆๆ มีสองคู่เหรอครับเนี่ย!!!

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 08-05-2008 15:38:34
อะมีปมใหม่มาอีกแระ

ขอบคุณหนูพิมนะคร้าบบบบบบ

ขอบคุรน้องหนูเรนนี่ด้วยนะคับ

 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 08-05-2008 18:01:38
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับผม ผู้หยิงคนนั้นเป็นใครหนอ

ปานนี้คุณหมอกับผู้กองภานุไปถึงไหนกันแล้วนะ อิอิ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 08-05-2008 23:31:27
โอ๊ะๆๆๆ มีสองคู่เหรอครับเนี่ย!!!



555+ติดตามตอนต่อไปค้า....

อะมีปมใหม่มาอีกแระ

ขอบคุณหนูพิมนะคร้าบบบบบบ

ขอบคุรน้องหนูเรนนี่ด้วยนะคับ

 o13

พี่พิมพ์ค้า มาต่อด่วนเน้อ :m13: ขอบคุณที่เข้ามาอ่านด้วยเช่นกันค้า

:impress: :impress: :impress:

อ่าครับผม ผู้หยิงคนนั้นเป็นใครหนอ

ปานนี้คุณหมอกับผู้กองภานุไปถึงไหนกันแล้วนะ อิอิ


ไม่ใช่ "ผู้หญิงคนนั้น" เจ้าค่ะ (ผู้กองภานุกับต้นธาราพักไว้แป๊ป เดี๋ยวจะโผล่เป็นระยะๆ)

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 08-05-2008 23:36:42
อิอิ มีอีกคู่โผล่แล้ว

เราชอบแบบหลายๆๆคู่

แบบหมู่เลยก็ดี

 :m25: :m25: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 08-05-2008 23:40:22
อิอิ มีอีกคู่โผล่แล้ว

เราชอบแบบหลายๆๆคู่

แบบหมู่เลยก็ดี


 :m25: :m25: :laugh:


เอ่อ....ประโยคในเส้นใต้มันแหม่งๆนะเจ้าคะ (ทำตาใสซื่อ  :m29:)
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-05-2008 00:55:14
อิอิ มีอีกคู่โผล่แล้ว

เราชอบแบบหลายๆๆคู่

แบบหมู่เลยก็ดี

 :m25: :m25: :laugh:

เพื่อนแป๋วจะเอางั้นรึ ชอบเป็นการส่วนตัวปะไอ้หมู่ๆเนี่ย  :laugh: :laugh: เดี่ยวนี้หื่นออกมาข้างนอกหมดเลยนะ เก็บๆไว้มั่ง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nooww ที่ 09-05-2008 02:42:06
 :m4: สนุำกมากเ้ลยมาต่อเีร็วๆนะ  :m4:   :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Simply Blue ที่ 09-05-2008 21:14:54
เริ่มส่อเค้ารันทดซะแล้ว  :o12: คุณหมอเพิ่งจะได้อยู่ขอบใจผู้กองภาณุเอง (อีกนิดก็เข้าไปอยู่ในใจแล้ว 55)
เห็นใจคุณหมอจริงๆๆ เพราะตัวเองป่วยเลยต้องปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นแบบนี้ (เศร้า เดินคอตกออกจากกระทู้)
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 09-05-2008 21:24:46
เริ่มส่อเค้ารันทดซะแล้ว  :o12: คุณหมอเพิ่งจะได้อยู่ขอบใจผู้กองภาณุเอง (อีกนิดก็เข้าไปอยู่ในใจแล้ว 55)
เห็นใจคุณหมอจริงๆๆ เพราะตัวเองป่วยเลยต้องปล่อยให้ความสัมพันธ์เป็นแบบนี้ (เศร้า เดินคอตกออกจากกระทู้)

กลับมาก่อนค้า...คุณหมอยังอยู่กับเราไปอีกนานนนนนค้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-05-2008 08:55:37
ว่าแล้วออกแนวเกาหลีจริงๆด้วย ประเภทป่วยเป็นโรคนี่  :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 10-05-2008 12:41:39
ว่าแล้วออกแนวเกาหลีจริงๆด้วย ประเภทป่วยเป็นโรคนี่  :m29: :m29:

5555+ :laugh: ช่วงนี้เกาหลีมาแรง ขอติดเทรนด์บ้าง55+
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-05-2008 19:12:02
ธีรเดชรับรู้ถึงเปลือกตาอันหนักอึ้ง เขาขยับกายแทบไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิดและเจ็บใจที่พลาดไป ได้แต่นอนนิ่งๆ รู้สึกทุกสัดส่วนของร่างกายจะชาไป เขาถูกทำอะไรกันแน่ ชายหนุ่มพยายามลืมเปลือกตาที่ปิดสนิทขึ้น ยิ่งขัดขืน ร่างกายยิ่งไม่ฟังคำสั่ง ชายหนุ่มพยายามจะดิ้นเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ ผ้าข้าวม้าเลื่อนหลุด ลมหายใจหอบแรง พอแขนขยับได้ เขาก็รู้สึกดีใจ พยายามจะใช้ต้นไม้เป็นที่ยึดเหนี่ยวกาย เขาหอบอีกแล้ว ทรุดนั่ง กำผ้าขาวม้าแน่น กลิ่นของเส้นผมติดกับเนื้อผ้า ไม่ใช่กลิ่นหอมๆที่ทำให้ร่างกายชา ยาที่ทำให้ศัตรูว่าง่าย...เขามีอาชีพเป็นทหารพลาดท่ากับผู้หญิงคนเดียว มันน่าเจ็บใจนัก ต้องรอสักระยะกว่าอาการชาจะหายไป ชายหนุ่มเช็ดเหงื่อ นึกโล่งใจที่คนติดตามมาไม่ได้จัดการสังหารเขา ไม่งั้นการประจำหน้าที่ ที่นี่ครั้งแรกพลันต้องจบ...เรื่องของคุณหมออีก รอจนฤทธิ์ยาจางหายลุกขึ้นได้ คว้านหาปืนคู่กาย เขาพบมันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบโชคดีที่กระสุนมันอยู่เต็มแม็ก ฝ่ายตรงข้ามยังมีเมตตาอยู่บ้าง ธีรเดชคิดว่าตัวเองต้องกลับฐานเสีย แต่ด้วยความที่ห่วงคุณหมอธารจึงทำให้เขาต้องฝืนใจ ชายหนุ่มเดินโซซัดโซเซไปยังกระท่อมของภานุ เขานึกโล่งอกที่ในที่สุดก็ได้มาถึงบ้านของผู้กองภานุ ทั่วทั้งบ้านของผู้กองเงียบสงบ ทุกอย่างดำมืด แสงจันทร์เป็นตัวนำทาง ลมหายใจหอบๆท้ายที่สุดต้องทรุดนั่งอยู่ตรงหน้าบันไดบ้านพร้อมๆกับมีผ้าขาวม้าแนบกาย

------------------------------------------------

ยามเหน็บหนาว เขาจะนอนกอดใคร...เพียงอยากให้รู้ว่าทุกส่วนของหัวใจยังคงมีแต่คุณ...ช่วงเวลาที่ยาวนาน การจากกัน ความคิดถึงใฝ่หา ไม่เคยลืมเลือนแม้สักครั้ง ตามหาทุกๆครั้งอีกฝ่ายก็จะเป็นฝ่ายหนี ตื่นขึ้นมาเพื่อมาดูว่ายังอยู่หรือไม่ อ้อมแขนนั้นยังโอบกระชับอยู่หรือเปล่า หรือว่ามันจะหายไปตามที่ใจแสนหวาดกลัวคิด ต้นธาราตื่นขึ้นมา คอแห้งผาก เขากระแอมไอเบาๆ สีหน้าเริ่มซีดสนิท ส่วนคนข้างกายที่นอนอยู่เคียงข้างนั้นกลับหลับอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่ได้ไยดีกับคนที่ใช้สายตามองอย่างอาทรเลย แม้จะไม่เหลือบแล แม้จะเกลียด แต่ก็อยากให้ฝันดี ต้นธาราจับมือร้อยเอกภานุไว้ แนบบนแก้มเย็นๆ เขาห่มผ้าให้เกรงว่าอีกฝ่ายจะป่วยไข้ ถึงจะตัวใหญ่ ร่างกายแข็งแรง หากแต่ล้มไปก็ไม่ไหว เขาจัดที่นอนให้ผู้กองภานุเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงลงจากเตียงรู้สึกวิงเวียน ปิดปากตัวเองไว้ กุมต้นแขนของตัวเอง เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เขามองผิวของตัวเองมันช้ำราวกับห่อเลือด ใบหน้าเรียวพลันซีดลง...ระยะเวลา...ทำไมมันเดินมาเร็วนัก คุณหมอรีบเก็บเสื้อผ้า เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เมื่อเสร็จแล้วก็ยืนขึ้น ขาสั่นนิดๆ รู้สึกถึงความปวดเมื่อย เขาใช้ดวงตาสีอ่อนดูภานุครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกมา คุณหมอไม่ได้มองเลยว่าใครนอนขวางอยู่ตรงขั้นบันไดจนใกล้จะเหยียบ ต้นธาราจึงสะดุ้งถอนเท้าออกแทบไม่ทัน

"ผู้กองธีรเดช!"

นิ้วเรียวนำกระเป๋าออกจากบ่า ใบหน้าปรากฏความห่วงใยที่เห็นผู้กองหนุ่มนอนหลับพาดอยู่กับบันไดอย่างไม่รู้สาเหตุ พอแตะตัวให้นอนหงาย เขาเอานิ้วจ่อจมูก ยังรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่แผ่วเบา เขามองผ้าขาวม้าที่ติดมาด้วย เอามันออก มืออังหน้าผาก....ตัวก็ไม่ร้อน...เขาห่วงผู้กองธีรเดชยิ่งนัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองผ้าขาวม้าสีคุ้นเขม็ง ยังไม่ได้ทำอะไร เขาก็ถูกโอบกอดแน่น

"หนาว..."เสียงสั่นเครือ คุณหมอลูบศีรษะเบาๆ โอบกอดตอบ

"ผู้กอง?"

ต้นธาราเรียก ผู้กองธีรเดชจะลืมตาตื่น มองไปรอบๆตัวราวกับต้องการคำตอบ และคนตรงหน้าก็ไม่ใช่ความฝัน

"ขอโทษครับ"

คำสุภาพก่อนจะถอนตัวออก ธีรเดชเหมือนกับจะเบลอไป

"มาทำอะไรที่นี่หรือครับผู้กองธีรเดช?"

ต้นธาราเอ่ย เป็นเสาหลักให้ผู้กองพยุงกาย ปืนพกร่วงหล่นโชคดีที่มันห้ามไกไว้ก่อน เสียงของแข็งกระทบพื้น ปลุกให้ภานุตื่นขึ้น แต่ชายหนุ่มก็นิ่งเงียบฟังเสียงพูดคุยแผ่วเบา

"แล้วคุณหมอล่ะครับ มาทำอะไรดึกๆดื่นๆอยู่ที่บ้านผู้กองภานุ"

ธีรเดชตัวเอนไหว พิงร่างคุณหมอไว้

"คือ..."

ต้นธาราตอบไม่ถูก เขาเงียบไป ธีรเดชจับต้นแขนเรียวจ้องมองเห็นรอยช้ำใต้ผิวหนัง

"หน้าของคุณซีด"

ธีรเดชว่า ต้นธาราจับบ่าของธีรเดชไว้

"ผู้กองนั่นแหละ เป็นอะไร ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้นี่น่า?"

มืออุ่นๆแตะหน้าผาก ธีรเดชส่ายหัว อาการคล้ายคนเมา

"ผมไม่เป็นอะไรจริงๆปล่อยเถอะครับ ธารนั่นแหละเป็นอะไรหรือเปล่า....ผมเป็นห่วง"

พูดจบก็ซบหน้ากับบ่าบอบบาง เขาเห็นภายใต้ร่มผ้านั้นมีบางสิ่งบางอย่างประทับไว้

"ผมไม่เป็นอะไร"ต้นธารากระซิบตอบ

ธีรเดชจ้องหน้า บุคคลที่แอบฟังเห็นกำมือแน่น...รอคอย....

"คนโกหก"

ผู้กองธีรเดชกระซิบ เจ็บปวด...เขาพยายามจะไม่นึกถึงเรื่องนี้แล้วแท้ๆ คุณหมอหน้าเสีย ก้มหน้าจำยอมรับกับคำพูดที่ตามมา

"คุณนอนกับเขา...ผมรู้ว่ามันคือความปรารถนาของคุณ...แต่ธารครับ...คุณต้องรู้ว่าการกระทำนั้นมันทำร้ายคุณมากเพียงใด"

ภานุกอดอก...คำพูดที่ดังมาถึงที่นี่...ความปรารถนางั้นหรือ

"คุณพูดอะไรอยู่"คำพูดเย็นชา รู้ว่ามันจริงทุกอย่าง

"ธาร ผมจะพูดความจริงให้คุณฟัง...รู้ไหมคุณน่ะเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ท่านนายพลอยากให้คุณกลับไปรักษาตัว"

ทั้งคุณหมอและภานุต่างนิ่ง....มะเร็งในเม็ดเลือดขาวงั้นหรือ

"คุณน่ะอาการเพิ่งเริ่ม ขอให้ละทิ้งความรักที่ไร้ค่านั้นทิ้งเถอะ"

...คำว่ารัก...ดุจดั่งหินกระทบจิตใจคนที่นอนฟังอยู่ คุณหมอส่ายหัว

"เป็นเพราะมีเขาอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ?"

คำถามที่เล่นเอาภานุตะลึงไป...แล้วอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร...เขาชิงชัง...ใช่...มีอยู่แค่นั้นแหละ....ความรู้สึกฝ่ายเดียวที่ทำให้หัวใจเจ็บแปลบ

"อยู่ที่นี่คุณจะได้อะไรขึ้นมา ทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่ อย่างกับไร้ค่า...คนๆนั้นเขาไม่ได้รักคุณเลย"

พูดถึงจุดนี้ ต้นธาราก็น้ำตาไหล ธีรเดชกอดแน่น ไม่อยากเห็นน้ำตาที่ไหลลง

"ผมขอโทษที่พูดจาโหดร้าย...แต่ผมอยากให้คุณมีความสุขจะได้ไหม? ขอให้ลืมเขาคืนนี้เป็นค่ำคืนสุดท้าย...วิมานแห่งนี้ขอให้เก็บไว้ในความทรงจำเถอะ"

ภานุจะลงมา เขาอยากจะต่อยใบหน้าของไอ้ผู้กองคนใหม่เสียจริงที่มันบังอาจพูดมาก พอมานึกดู...แล้วเขาจะทำอย่างนั้นได้หรือ

"จะยังไง....ก็กลับไม่ได้ที่นี่จะเป็นที่ฝังกายของผมจนตราบที่เขาจะจากไป ไม่มีวันกลับไปอย่างเด็ดขาด"

กรีดเฉือนหัวใจ คำพูดนั้นเท่ากับปฏิเสธสิ่งที่เขาพูด

"แต่ธารครับ..."

ภานุหนาวเยือก...ความตาย...เขาลูบหน้า...ลงไปเสียที่สิแก

"ผู้กอง ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี...ขอบคุณสำหรับคำห่วงใย"

ชายหนุ่มแตะใบหน้าคุณหมอให้เงยขึ้น เห็นแววตาเศร้าอยู่ภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

"ผมจะชิงทั้งตัวและหัวใจของคุณไปจากเขาให้ได้"

ธีรเดชพูดด้วยความมุ่งมั่น ชายหนุ่มพยายามไล่อาการอ่อนเพลีย พอได้ยินคำพูดนั้น ชายหนุ่มที่ฟังอยู่ตั้งนาน กอดอก มองอย่างเมินเฉย

"ทำอะไรอยู่"

คำพูดไม่ใยดี ต้นธาราจะผลักร่างของผู้กองธีรเดชออก

"คือ...ไม่มีอะไร...เห็นผู้กองเขาดูท่าทางจะไม่สบาย..."

เขาพยายามจะแก้ตัว แต่ก็ถูกกอดแน่น ดวงตาของผู้กองทั้งสองจ้องกันเขม็ง

"จะแก้ตัวไปทำไมครับธาร...ก็เห็นๆกันอยู่...ผมไม่โกรธหรอกที่คุณมาหาเขา"

ธีรเดชจับไม่ให้คุณหมอดิ้น ต้นธาราหน้าเผือดเมื่อเห็นผู้กองภานุหรี่ตา

"ไม่ยักรู้ว่าคุณสองคนจะรักกันหวานชื่น ดูแลไม่ดีหรือไงถึงให้วิ่งมาหาคนอื่น...แต่ร่างกายก็ไม่เลวนะ"

พูดด้วยความดูถูก คนฟังหน้าชา ธีรเดชชี้หน้า

"แก...ทำให้ธารเจ็บปวดยังไม่พอ ทำไมต้องดูถูกเขาด้วย"

ชายหนุ่มจะขึ้นไปต่อยหน้าแต่ต้นธาราห้ามไว้

"อย่าเลย...อย่าทะเลาะกัน"

คำพูดที่ค่อยๆข่มอารมณ์ พอได้ยินก็กลั้นสะอื้น ภานุหน้าเสียไปบ้าง เขาควบคุมมันซ่อนมันไว้ในใจลึกที่สุด

"ทำไม...คุณหมอเฮงซวย เที่ยววิ่งตามหางคนอื่นน่ะหรือน่าสงสาร"

แขนเรียวตกลู่ สัมผัสเมื่อคืนมันอ่อนโยน...มาบัดนี้ มันกลับไม่เหลือแม้แต่น้อย ร่างกายหนาวยะเยือก

"อย่างคุณน่ะจะทำอะไรได้ ดูท่าอ่อนปวกเปียกป้อแป้ขนาดนั้น"

ภานุพูดจาดูถูก ธีรเดชไม่ยอมเสียเชิงหรอก เขาหยิบปืนขึ้นมา

"แกไม่รู้อะไรเลย...เห็นไหม คุณอยากจะตามไอ้เลวนี้อีกหรือเปล่า เขาดูถูกคุณ ดูถูกความรักของคุณ คุณยังอยากไล่ตามมันอีกหรือ อยากให้ตกเป็นเหยื่อความโง่ของมันอย่างงั้นหรือ สิ่งที่คุณคิดจะฝังกายอยู่ที่นี่ มันเทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำกับชายไร้ค่าคนนี้"

ลำกล้องปืนชี้ไปทางผู้กองภานุที่ยืนกอดอก สีหน้าหน่ายๆ

"พูดคำว่ารักเรอะ น่าขยะแขยง"

ยิ่งฟังมากเท่าไร ต้นธารายิ่งเกาะแขนตัวเองแน่น หนาวสั่น...เขาลืม...ลืมว่าเคยกอดอย่างอ่อนโยนขนาดไหน ร่างบอบบางพิงผู้กองธีรเดช...ธีรเดชพูดถูก...เขาเจ็บแล้วไม่จำเอง

"ยิงสิถ้าแกแค้นแทนคุณหมอเฮงซวยนี้"

มือที่กดไกปืน จะง้าง...แต่แล้วต้นธาราก็กางแขนส่ายหน้า อาการสิ้นหวัง หยาดหยดน้ำตาเอ่อท่วม

"อย่าเลยครับผู้กองธี...มันจบตามที่คุณว่าจริงๆ"

ธีรเดชลดปืนลง เตะปืนอย่างหัวเสีย...ทำไมยังไปปกป้องมันอีก เขายอมติดคุกเพื่อได้ฆ่าไอ้เฮงซวยคนนี้ ภานุไม่คาดฝัน เขารู้ว่าธีรเดชยิงแน่...แต่ทั้งๆที่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เพราะอะไรอีกฝ่ายถึงออกมาปกป้อง ต้นธาราปิดปาก

"ผมอยากออกไปจากที่นี่ช่วยทีได้ไหม"

ธีรเดชค่อยโอบกอด เขาพาคุณหมอกลับไปด้วยเรี่ยวแรงที่มี ภานุมองอีกคนดูเหมือนจะโดนยาอะไรสักอย่าง...กับคุณหมอที่บอบช้ำไปหมดทั้งตัวและหัวใจ...เขาจะหันหลังหนี...นี่มันดีแล้ว...เกลียดผมจนอยากกลับไปเสีย ผมน่ะไม่มีค่าพอสำหรับคุณหรอก....

------------------------------------------------

ธีรเดชประคองคุณหมอ พร้อมกับทรุดล้มไปพร้อมๆกัน ชายหนุ่มโอบกอดร่างบางไว้แน่น ใช้ผ้าขาวม้าห่อกายที่สั่นระริก ใบหน้าซบอยู่กับบ่า

"เพราะอะไร...เพราะอะไร"

คำพูดราวกับอัดอั้นตันใจ ผู้กองหนุ่มลูบเรือนผมสีอ่อน

"เขาเกลียดคุณหรือ"

ธีรเดชถาม อ่อนแรงไปเหมือนกัน...เขาเจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ต้นธาราผงกหัว

"ผม...ฆ่าผู้กองนาคี เขาก็เลยเกลียดผม" ต้นธาราตอบ ก่อนจะสะอื้น

"ไร้เหตุผล"ชายหนุ่มด่า

"แต่มันก็ดีแล้ว...ผมคิดอยู่เสมอ ให้เขาพูดว่าเกลียดผมทุกลมหายใจ...ยังดีกว่าที่เขาคนนั้นลืมผม "

ธีรเดชใช้ผ้าขาวม้าเช็ดทำนบน้ำตา

"คิดอะไรโง่ๆ คนที่เกลียดน่ะเขาจะไม่นึกถึงหรอก"

ตัวที่ถูกโยกคลอน กลิ่นของผ้าขาวม้ากรุ่น ต้นธาราจับมันมาดู

"ผ้านี้...เหมือนกับ...คนที่ชื่อว่ากิ่งไผ่เลย"

อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ ธีรเดชชะงัก

"อะไรนะ คนที่ชื่อกิ่งไผ่น่ะหรือ"

คุณหมอเล่าให้ฟัง กอดเข่า หน้าหมอง

"ผมไม่รู้จักเขา แต่ผมเคยช่วยไว้จากถูกยิง ผู้กองนาคีพยายามห้ามผมและจะฆ่าเขา แต่ผมขอร้องไว้ ผู้กองนาคีเลยไว้ชีวิต ผลสุดท้ายผู้กองนาคีก็ถูกยิงตาย แต่นั้นไม่ใช่ความผิดของคนๆนั้นๆเลย เขาพยายามจะห้าม...แต่มันสายไปและคนๆนั้นเข้าก็มาหาผมนำเงินมาให้ มันสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้กองภานุ"

เสียงกระซิบเบาๆ ชายหนุ่มเกลี่ยใบหน้า ยิ้มอย่างอ่อนโยน ปลอบให้หัวใจหายเจ็บช้ำ

"แล้วเคยเห็นหน้าคนที่ชื่อกิ่งไผ่ไหม...เขาเป็นผู้หญิงนี่น่า"

ต้นธาราส่ายหัว เขาเช็ดน้ำตา

"ไม่รู้ครับ...ว่าเขาเป็นใคร...แต่มัน..."

ร่างบางพยายามจะอธิบาย แต่ชายหนุ่มก็ดึงศีรษะมาจูบปลอบ

"อย่าคิดมากเลยนะคนดี"

ต้นธาราเบือนหน้าออก

"ขอบคุณที่เป็นห่วง ผมไม่อยากทำให้หัวใจของคุณเจ็บ"

รอยยิ้มที่อ่อนโยนหายไป ธีรเดชมีรอยช้ำอยู่ในดวงตา

"ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอถึงแม้คุณจะไม่ต้องการ"

ต้นธารารู้ว่าหัวใจทั้งหมดต่างเจ็บ...เขา...ไม่อยากจะลืม...น่าจะรักธีรเดชเสีย....แต่หัวใจมันกลับดื้อด้านนึกถึงคนไร้ใจ

"ขออยู่ที่นี่สักพักได้ไหม...ถ้าผมเหนื่อยหัวใจเมื่อไร รับรองว่าผมจะกลับไป บอกท่านนายพลด้วย"

ต้นธาราบอกเบาๆจนธีรเดชยอมแพ้ ต้องยอมให้คุณหมออยู่ที่นี่

"ครับ...ผมรู้ว่าคุณต้องเอ่ยอย่างนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกคนดี ผมจะคอยปกป้องคุณจากคนเลวนั้นเอง"

ชายหนุ่มพาคุณหมออกเดิน

"แต่สัญญาได้ไหม...ขออย่าให้คุณออกไปไหนกับเขา อย่าให้เขาล่อลวงคุณได้ ผมรู้ไม่อาจเหนี่ยวรั้งคุณไว้...มีเพียงข้อนี้เท่านั้นที่ผมจะขอ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจบางอย่างกับท่านพิภพ"

คุณหมอผงกหัว...มันหมดไปแล้วล่ะกับคืนวันอันอ่อนโยน เขาไม่อาจเรียกร้องได้ ความรู้สึกลวงตาค่อยๆมลาย...รัก...แค่คำพูดที่อีกฝ่ายไม่ชอบใจ...เป็นยิ่งกว่าสุนัขจรจัดข้างทางตามที่ปรามาส ทั้งๆที่รู้ว่าเขาหมดค่าความเป็นมนุษย์...ยังอยากจะอยู่ภายใต้วงแขนที่ผลักไส ธีรเดชส่งคุณหมอกลับบ้าน เขาอยู่เป็นเพื่อน เฝ้ากุมมือเย็นเฉียบและเห็นแววตาที่เหม่อไปทางสมุดบันทึก

"สิ่งที่คุณมองเขาก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น"

ธีรเดชบอก อีกฝ่ายคราง

"อือ...ผมรู้ แต่คุณกลับไปเถอะ วันพรุ่งนี้ยังต้องรับภารกิจอีกไม่ใช่หรือ? วันพรุ่งนี้น่ะ ผมก็แข็งแรงดีแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องน่ากังวลหรอก"

เขาว่า แต่ธีรเดชไม่ยอม

"ไม่เอา ผมรู้นิสัยคุณดีนะธาร"

ชายหนุ่มกล่าวอย่างเข้มงวด ต้นธารายิ้ม

"เหมือนเดิมเลยนะคุณธี..เรื่องมากเสมอ...แต่ก็ขอบคุณที่คอยอยู่เป็นเพื่อน ผมในตอนนี้เข้มแข็งนะ"

คำพูดนั้นเจือหยอกเย้า ธีรเดชโล่งอกที่ไม่เห็นอีกฝ่ายมีรอยเศร้า

"แต่ผมยังห่วงคุณอยู่นะกับเรื่องมะเร็ง"

ต้นธาราตบหลังมือ ยิ้มให้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวลได้

"ผมเป็นหมอนะรู้อยู่หรอกว่าต้องไหนจะถึงขีดอันตราย"

เขาตอบ แต่ธีรเดชส่ายหัวไม่ยอมเชื่อ

"แต่ก็ไม่รู้ใช่ว่าเป็น"เขาตอบพร้อมถอนใจ

"ก็รู้อยู่หรอกน่า"

คุณหมอเอาผ้าห่มคลุมมิด หันหลังหนี พอทำเช่นนั้น เขาจะได้ทำหน้าโศกได้โดยไม่ต้องห่วงว่าธีรเดชจะห่วงตัวเองไหม

"ผมยังจำได้นะวันแรกที่ไปรับใช้ท่านนายพลคุณเป็นคนหัวดื้อ ทะเลาะกับท่านนายพลบ่อยๆ ผมก็หนักใจเหมือนกันที่เห็นคุณโกรธท่านนายพลพิภพ รู้ไหนตอนที่ท่านนายพลใช้ผมไปง้อคุณน่ะ ผมขำนะ ท่านนายพลที่ถือว่าเฉียบขาดกับลูกชายหัวดื้อ..."

ต้นธาราหันมา"ถ้าคิดจะพูดถึงตาแก่นั้นล่ะก็พอเถอะ"

ชายหนุ่มวางแขนบนเตียง

"แต่ท่านนายพลก็ห่วงคุณนะ นับตั้งแต่คุณหญิงประภาได้สิ้นไป ท่านนายพลห่วงคุณอยากกับไข่ในหิน ท่านเข้มงวดก็เพราะรักคุณจริงๆ"

ต้นธารารู้...แต่เขาอยากจะดื้อ เพราะความรักที่ก่อเกิดขึ้น...มันทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัว

"ท่านกลัวว่าคุณจะถูกหลอก...ตอนนี้ก็สายไปในเมื่อหัวใจนี้ถูกชิงไปทั้งดวงเสียแล้ว"

อีกฝ่ายนิ่ง...พ่อ...ที่เป็นห่วงเขา...เขามันโง่เอง...

ธีรเดชยิ้มอ่อนโยน"แต่ท่านก็ไม่ถือโกรธคุณ กลับไปหาท่านบ้างก็ดีนะ"

ดวงตาสีอ่อนหลับลง...คำปลอบโยน...หวนถึงใครบ้างคน...ผู้กองนาคี

------------------------------------------------

ภายในเพิงไม้ คบไฟที่จุดรอบๆประทุ ร่างที่ถือปืนอ้ากาเดินขวักไขว่เฝ้า คนสีดำผมยาวทำหน้าเจื่อนยามที่ถูกตำหนิ

"เอาอีกแล้วนะกิ่งไผ่ เจ้าเล่นหายไปแบบนี้รู้ไหมว่าใครจะเป็นห่วงเจ้าบ้าง ครั้งก่อนยังไม่จดจำอีกหรือ"

คนที่ถูกด่ายืนทำหูทวนลม

"พูดกับเจ้าข้าสู้ไปพูดกับไอ้พวกที่อยู่ข้างนอกดีกว่า"

ร่างนั้นแลบลิ้นเมื่อถูกไล่ออกมา เขาทรุดนั่งมองรองเท้าที่คนใจดีนั้นผูกให้ แล้วก็ยิ้ม...คนใจดี...ยิ้มนุ่มนวล ร่างนั้นก่อนเข่า แกะผมที่มัดออก มันยาวคลุมหลัง

"พ่อรู้ว่าเจ้าเบื่อ...แต่...พ่อก็เสียใจที่เจ้าต้องมาสู้รบแบบนี้"

ผู้เป็นพ่อมาทรุดนั่ง ก่อนจะถาม

"เจ้ายิ้มอะไร ในแววตาเจ้ามีใครอยู่?"

นายพลอินคานออกมาตามบุตรชายคนเดียว อีกฝ่ายไม่ตอบกับกอดเข่าแน่น

"ไม่มีอะไร...ผมอยากอยู่คนเดียว"

ท่านนายพลถอนใจ ก่อนจะลุกขึ้น เฝ้ามองดูใบหน้าที่มีความสุข...เจออะไรมา หากนั้นมันเป็นความสุขของบุตร ตอนนี้เขาก็ไม่ขัด นายพลอินคานนึกโล่งใจที่ลูกชายรอดตายจากการถูกยิง...ได้ข่าวว่าถูกช่วยจากหมอฝ่ายตรงข้าม...คนที่เป็นศัตรู...แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลที่จะไว้ชีวิต รอยยิ้มยังไม่คลายจากใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากระจ่างเหม่อมองดาวเกลื่อน...อยู่บนเขา มันช่างเหน็บหนาวยิ่งนัก เขาเติบโตขึ้นมาก็ได้พบเห็นแต่ความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย การกระทำเพื่อความอยู่รอด...โชคชะตา...ที่ทำให้เขาพบกับคนใจดี...ผู้กองนาคี เขาเสียใจที่ชายหนุ่มสิ้นใจ เขาเห็นภาพที่ผู้กองคุ้มครองคุณหมอ นึกเสียใจที่ไม่อาจห้ามได้....เราทั้งสองต่างเป็นศัตรูกัน เพียงแค่นี้ก็ดีแล้ว กับหนึ่งความทรงจำที่ได้รับ...แต่ละฝ่ายต่างมีเหตุผล...ช่วงเวลาของหัวใจที่ต้องตามหา สุดท้ายช่วงเวลานั้นจะกลายเป็นเวลาแห่งการจากลา

-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 10-05-2008 20:23:15
 :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Simply Blue ที่ 10-05-2008 23:34:25
 :o12: เศร้าอย่างต่อเนื่อง  :m15:

ผู้กองภาณุนี่ก็แปลกจริง ขนาดรู้ว่าคุณหมอป่วยยังไม่รู้สึกอะไรอีก ต้องให้คุณหมอไปจริงๆ ถึงจะรู้สึกหรืองั้ยเนี่ย  :m16:

 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 12-05-2008 13:47:52
อืมมม

เครียดดดดดดด

 :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 12-05-2008 13:50:44
อิอิ มีอีกคู่โผล่แล้ว

เราชอบแบบหลายๆๆคู่

แบบหมู่เลยก็ดี

 :m25: :m25: :laugh:

เพื่อนแป๋วจะเอางั้นรึ ชอบเป็นการส่วนตัวปะไอ้หมู่ๆเนี่ย  :laugh: :laugh: เดี่ยวนี้หื่นออกมาข้างนอกหมดเลยนะ เก็บๆไว้มั่ง

ติดมาจากเพือนหนึ่งแหละ
อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 14-05-2008 02:13:34
:impress: :impress: :impress:

กลับมาแล้วครับผม ตอนแรกก็นึกว่ากิ่งไผ่เป็นผู้หญิง

แต่เป็นผู้ชายหรอกเหรอ อิอิ

สงสารคุณหมอจังครับ ผู้กองธีด้วย อิอิ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-05-2008 12:56:19
 :a5: ยังเศร้าไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง  o7 o7

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-05-2008 14:29:28
 :o12: บีบหัวใจจิงๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 14-05-2008 17:44:44
หนูพิมหายยยย

 :m14:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 14-05-2008 21:07:18
 :เฮ้อ:

อึดอัด



ขัดใจ


ไปดีกว่า


อิอิ


 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-05-2008 12:23:56
กลับมาแล้วววววว  ขอโทษที  หายไปโดยไม่ได้บอกกล่าว  แงแง  ขอโทษอีกครั้งน้า 
ต่อกันเลย
++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก: 6 charades/ปริศนาแห่งความรู้สึก


มันช่างยากเย็นยิ่งนักสำหรับการลืมบางสิ่งบางอย่าง ตกอยู่ในความเหงา เลือกไม่ได้สักทางเลย เป็นความปวดร้าวที่อยู่ในใจลึกๆ...

สายตาที่มองดูแผลของตัวเอง เป็นรอยน่าเกลียดประทับอยู่บนแขนขาวสะอาด แผล...ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการสู้รบทั้งนั้น ดวงตาที่ปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อนพิงผนังที่สร้างจากสังกะสี คืนนี้เขาก็ยังคงนั่งมองดูรอยแผลนี้ คิดถึงกับคนที่คิดจะสังหารเขาให้ดับดิ้น

"พี่ไผ่นั่งทำอะไรครับ?"

ใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดโผล่มา กิ่งไผ่ถอนใจ เพราะโผล่มาอย่างกระทันหัน ชายหนุ่มลุกขึ้นใช้ผ้าขาวม้าขาดๆปิดร่างกายไว้

"แล้วเอ็งมีอะไรล่ะไอ้ขิ่น"

เด็กหนุ่มนามว่าขิ่นขึ้นเรือนมานั่งขัดสมาธิ ทำสีหน้าจริงจัง

"ฉันอยากให้พี่ไผ่สอนฉันยิงปืนหน่อย"

เด็กหนุ่มขอ ร่างบางส่ายหัวปฏิเสธ หยิบเสื้อเชิ้ตเก่าๆสวมใส่

"ไม่ ฉันไม่สอนหรอกขิ่น"

กิ่งไผ่ปฏิเสธ เด็กหนุ่มที่ขึ้นมาคอตก

"ทำไมล่ะพี่ไผ่ ผมอยากออกไปสู้รบบ้าง ผมอยากให้ท่านนายพลอินคาพอใจ ผมอยากสู้เคียงข้างทุกๆคน"

ร่างนั่นหันมามอง ใบหน้าสงบราบเรียบ

"คิดว่ามันสนุกหรือไงที่ได้ออกไปสู้รบ คิดอยากออกไปตายหรือ สงครามมีแต่ความสูญเสีย เอ็งอยากได้อะไรจากมัน ความตายงั้นรึ?"

กิ่งไผ่ย้อน คนที่ถูกพูดอย่างนั้นด้วยหน้าเสียแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

"จะยังไงผมก็อยากเข้าร่วมรบกับกองพลอยู่ดี"

เมื่อพูดไม่เข้าใจ กิ่งไผ่ได้แต่ส่ายหัว สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นขุนเขาไกลลิบๆ

"ขิ่น...เอ็งน่ะไม่รู้หรอกว่าสงครามมันโหดร้าย สร้างความสูญเสียได้มากเพียงไร ทำให้คนดีๆต้องตายไปมากมาย ฉันก็ไม่ชอบใจหรอกนะ ที่เข้ามาร่วมรบแต่มันจำเป็นเพื่อบ้านเมือง เพื่ออาณาจักรของเรา เอ็งยังเด็กนักพ่อข้าทำถูกแล้วที่ยังไม่ให้เอ็งเข้าร่วมรบ...เพราะ...มันน่ากลัวยิ่งนักกับความตาย"

พูดจบกิ่งไผ่ก็กอดอก หนาวเหน็บเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองถูกยิง...หากไม่ได้พบกับคุณหมอผู้ใจดีกับผู้กองนาคีแล้วละก็ ชีวิตของเขาคงไม่มีทางได้มองเห็นวันพรุ่งนี้แน่ เจ้าขิ่นไม่เข้าใจนักแต่มันเป็นคนดื้อด้าน กิ่งไผ่รู้ดีว่าสักวันมันต้องเข้าสู่วังวนกลิ่นคาวเลือด

"แต่ผมก็เกิดมาเพื่อชาติ บ้านเมืองเหมือนกัน ผมไม่กลัวอย่างที่พี่ไผ่กลัวหรอก"

เจ้าขิ่นว่าก่อนจะลุกขึ้นวิ่งลงจากเรือนอย่างฉุนๆเมื่อได้ยืนประโยคขี้ขลาด กิ่งไผ่หลับตาที่กระจ่างใสแน่น มีความเจ็บปวดเอ่อล้น...จะทำอย่างไรที่จะให้เด็กคนนั้นเข้าใจ เขา...ไม่ชอบเลยกับการสูญเสีย จะทำออย่างไรดีกับสงครามที่ต้องเข้าร่วม ไม่อาจหลีกหนี ยิ่งคิดก็ยิ่งบีบแขนที่มีแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัว กิ่งไผ่คิดถึงมารดาที่ตายไป

"ปะกอกู" (แย่ชะมัด)

ชายหนุ่มบ่นพึมเป็นภาษาบ้านเกิดของตน ลุกขึ้น เจ้าขิ่นกลับไปรวมกับพรรคพวกแล้ว ชายหนุ่มนั่งยังขั้นบันได...เด็กพวกนี้ต้องโตมาเพื่ออุดมการณ์ ความสุขของพวกเขาจะหาได้จากที่ไหนกัน มือที่สัมผัสเลือดครั้งหนึ่งคงไม่มีทางลบออก ต้องเข้าไปในการฆ่าฟันเรื่อยๆจนกว่าตัวเองจะตาย...เหมือนกับเขา หลงอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายสงคราม ต้องเข้มแข็ง ต้องฆ่าผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดยิ่งทำความเป็นตัวเองราวกับจะจางหาย คล้ายกับหุ่นยนต์ เรือนผมยาวสลวยปลิวตามสายลม...และแล้วความรู้สึกก็ถูกนำกลับคืน เมื่อเห็นความสูญเสียและความเศร้าเสียใจ

"เจ้าเป็นอะไรหรือ?"

นายพลอินคาน เข้ามาดูลูกยังที่พัก เห็นบุตรชายทำหน้าสับสน มองไปไกล ดูไม่สนใจใครต่อใครเลย ท่านกอดอกมองดูบุตรชายจากข้างล่าง

"พ่อจะให้เด็กพวกนั้นเข้ารบด้วยหรือครับ?"

เขาเอ่ยถาม ผู้เป็นบิดาถอนใจ

"เจ้าเป็นอะไรอีกล่ะคราวนี้"

ท่านนายพลขึ้นมานั่งด้วยกับบุตรชาย กิ่งไผ่เท้าคาง คิดบอกเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองตามตรง

"ผมไม่อยากให้เด็กพวกนั้นต้องมาเป็นเหมือนกับผมเลย"

ท่านนายพลนั่งฟังเงียบๆ

"อยู่แต่กับพวกกับระเบิด กลิ่นควันปืน การฆ่าฟัน มันน่าสงสารนะครับ"

นายพลอินคานบีบมือแน่น

"มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะไผ่ เรายังต้องการคนมาแทนที่กับคนที่เราสูญเสีย ใช่ว่าพ่ออยากจะทำนัก 'แต่'
หากเราไม่ทำอาณาจักรเราก็ไม่ได้กลับคืน เจ้าอย่าได้เอ่ยสิ่งที่แสดงความอ่อนแออีกเข้าใจไหม"

ท่านนายพลลุกขึ้น กิ่งไผ่ถอนใจ...นั่นสินะ อาณาจักร...เขาก็ต้องทำเพื่อส่วนรวม ทุกคนก็ทำเพื่อส่วนรวม หากมันสำเร็จเมื่อไรทุกคนก็จะมีความสุข ความคิดหลากหลายหลั่งไหลเข้ามา...แล้วเมื่อไรจะถึงวันนั้น เขาต้องดับสูญไปก่อนหรือ ความอ่อนแอ เจ้าจงฆ่าความรู้สึกนั้นทิ้ง อย่าให้หลงเหลือคำว่าสงสาร กิ่งไผ่ หากลูกไม่สู้ คนอื่นก็จะช่วงชิงชีวิตลูกไป หากเป็นเช่นนั้นพ่อก็คงเสียใจ คำพูดของบิดาระหว่างที่สอนให้เขารู้จักกับการต่อสู้ก้องเข้ามาในหัว...หากเขาไม่ทำ เขาก็คงถูกช่วงชิงชีวิตไป อย่างไหนก็มีแต่ความสูญเสีย กับสิ่งที่เรียกว่าความสุข มันคือส่วนรวม ชายหนุ่มลุกขึ้น ปิดประตู...ความสุขและความอบอุ่นของหัวใจอยู่ที่ไหนกัน

------------------------------------------------

ธีรเดชหลังจากดูแลคุณหมอจนกระทั่งหลับสนิทจึงไว้วางใจ ชายหนุ่มจึงลุกขึ้น หยิบผ้าขาวม้าที่ได้จากหญิงพม่าขึ้นมา คิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องไปรายงานเรื่องนี้กับผู้พันมีทรัพย์ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องเปลี่ยนใจ เขาก็ไม่รู้เหตุผลที่ทำ แต่เรื่องนี้ชายหนุ่มขอเก็บไว้ให้แน่ใจสักพัก คิดถึงความสัมพันธ์ของเธอและผู้กองนาคี มันจะมีอะไรที่ซับซ้อนหรือเปล่านะ ผู้กองธีรเดชครุ่นคิด เดินไปถึงบ้านพักของตัวเอง รู้สึกหนาวสั่น ความง่วงเข้าสู่โจม ชายหนุ่มมองนาฬิกา ตีสองแล้ว ธีรเดชวางผ้าขาวม้าลงบนเตียง ร่างกายที่อ่อนล้าอยู่แล้วทรุดฮวบ ล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ ชายหนุ่มมองเพดาน...เขาจะพาคุณหมอไปก่อนจะถึงฤดูฝนไหมนะ ธีเดชเป็นห่วงกับสวัสดิภาพชีวิตของต้นธารา เขานึกแค้นเคืองที่ไม่อาจช่วยอะไรคุณหมอได้เลย เจ็บปวดเพราะเป็นสิ่งที่ต้นธาราเลือก เขาได้แค่มองดูอยู่ห่างๆ เจ็บใจอยู่ลึกๆว่าทำไมถึงเลือกชายไร้ใจ ถึงจะรู้ว่าความรักมันขึ้นอยู่กับการเลือกของคนๆนั้น แต่เขาก็ไม่อาจทนเห็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงตาคู่นั่นได้อีกแล้ว...จะคอยปกป้องอยู่ห่างๆ เขาสัญญากับตัวเอง สายตาแกร่งปิดลง แต่กลิ่นหอมๆของเนื้อผ้าลอยอวล ยิ่งนึกถึงกลิ่นเอื้องแซะ...กลิ่นชาวป่าโดยแท้จริง ชายหนุ่มเผลอหยิบมาสูดดม คิดถึงกลีบปากบางที่ประทับลงอย่างไม่ช่ำชอง ธีรเดชหลับตา คาดหวังอยากจะเจอกับเธออีกสักครั้ง เขานึกถึงเรื่องที่คุณหมอเล่ายิ่งไม่เข้าใจ เธอช่างน่าสงสารจริงๆเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆแท้ๆกลับต้องมาสู้รบปรบมือ เข้าร่วมสงครามที่แสนน่ากลัว...เมื่อไรจะได้เจออีกนะ ชายหนุ่มพับผ้าขาวม้าไว้อย่างเรียบร้อย ยังติดใจอยู่ไม่หายกับเหตุผลเข้าร่วมสู้รบของเธอ นายทหารหนุ่มหลับตาลง วันพรุ่งนี้เขายังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ต้องทำ

------------------------------------------------

คุณหมอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แต่งตัวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยิบกระเป๋าอุปกรณ์ปฐมพยายาบาลเดินลงบ้านอย่างเซื่องซึม ตรงไปยังโรงพยาบาลเล็กๆเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณหมอมาริสาอ้าปากหาว ลุกขึ้นมาต้อนรับคุณหมอธาร

"เมื่อคืน ผู้กองธีรเดชถามหาคุณหมอค่ะ"

คุณหมอมาริสาบอก บิดตัวไล่ความเมื่อยขบ ต้นธาราพยักหน้าเงียบๆ วางของลงบนโต๊ะ

"คุณหมอธารดูไม่สดใสเลย เป็นอะไรคะ จะดื่มกาแฟไหม เดี๋ยวฉันชงให้ก่อนจะออกจากเวร"

หญิงสาวถาม เมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มติดใจลอย

"หา...อ้อ ขอบคุณครับ"

ต้นธาราเอ่ยขอบคุณ มาริสาหยิบแก้วมาชงกาแฟให้

"แล้ว...เมื่อคืนได้เจอกับผู้กองไหมคะ เพราะเห็นถามถึงทางไปบ้านของผู้กองภานุ"

คุณหมอหนุ่มรีบพยักหน้า นั่งลงอย่างเนือยๆ

"เจอกันแล้วครับ แล้วคุณหมอมาริสาจะออกเวรตอนไหนครับ"

ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง มาริสาถือกาแฟควันกรุ่นมาตั้งโต๊ะ

"ก็คงสักพักแหละค่ะ เอ๊ะ...แขนของคุณหมอเป็นอะไรหรือคะ ทำไมมีรอยช้ำ รอยห้อเลือด?"

หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง ต้นธารายิ้มเจื่อนๆให้เธอ

"ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่ผมซุ่มซ่ามทำ เอ่อ...ชั้นหนังสือหล่นใส่ตัวนะครับ"

คุณหมอสาวทำหน้าเหมือนกับไม่เชื่อ แต่ชายหนุ่มก็ยิ้มให้กับเธอราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมกับดึงแขนเสื้อกาวน์สีขาวให้ปิดท่อนแขนเรียว

"งั้นหรือคะ ทีหลังคุณหมอก็ระวังตัวด้วยนะคะ"

หญิงสาวหยิบเสื้อ เก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋าประจำตัว

"ผู้ป่วยท้องร่วงจะมาหาคุณหมอตอนบ่ายๆ คุณหมอช่วยดูด้วยนะคะ"

เธอเก็บกระเป๋า บอกก่อนที่จะออกจากห้อง มาริสาถือเสื้อกันหนาวของพวกทหารไว้ ต้นธารามองด้วยความสงสัยว่าเป็นของใคร เขาก็ไม่กล้าออกปากถาม ได้แต่รับคำที่เธอบอกเท่านั้น แล้วนั่งเอนหลังดื่มกาแฟเงียบๆ ภายในโรงพยาบาลเงียบเหงา ธงที่โบกสะบัดไปมาเป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะมีชีวิต นิ้วเรียววางแก้วลง ก่อนที่ธีรเดชจะตรงมาทางเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

"เป็นอย่างไรบ้างครับธาร?"

ชายหนุ่มนั่งลงอย่างถือวิสาสะตรงที่นั่งตรวจโรค ต้นธารายิ้มตอบ

"ผมสบายดีครับแล้วผู้กองละครับ สีหน้าอิดโรยคล้ายกับนอนไม่พอเลย"

คุณหมอหนุ่มลุกขึ้น ไปชงเครื่องดื่มมาให้ธีรเดช

"สบายๆครับธาร แต่ผมเป็นห่วงคุณอย่างเดียว"

ธีรเดชเอ่ย ร่างบางวางแก้วเครื่องดื่มให้ นิ่งขรึม

"ไม่ต้องห่วงผมหรอก แม้จะเจอกับเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหนผมก็ยังรู้สึกสบายใจ"

ผู้กองหนุ่มเลื่อนมือมาเกาะกุมผิวที่เย็นเฉียบ

"ทำไมว่าอย่างนั้นละครับ เก็บความทุกข์ใจไว้ทำไมกันครับ?"

ต้นธาราแกะมือออก

"ขอบคุณที่ผู้กองเป็นห่วง แต่สำหรับผมไม่จำเป็นจะได้รับคำปลอบใจหรอกแล้วก็กรุณาอย่าทำเช่นนี้อีก"

เสียงที่กล่าวออกมา ฟังดูแข็งกระด้าง แต่ธีรเดชก็ไม่ถือ

"ผมขอโทษ แค่อยากเห็นหน้าคุณเท่านั้นเอง"

ชายหนุ่มยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม ต้นธาราพยายามที่จะนิ่งเฉย เขาเข้าใจในความหวังดีของธีรเดชดี แต่ถ้าเขาอ่อนแอ...คอยให้ชายผู้นี้ปกป้อง เขาก็จะเจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ อยากจะยืนอยู่ด้วยขาของตัวเอง ความหวังดีนั่นผู้กองหนุ่มควรมอบให้แก่คนอื่น ไม่ใช่ยึดติดอยู่ที่เขาที่ไม่มีหัวใจให้เลย

แม้จะยิ้ม แต่ภายในอกของผู้กองหนุ่มรู้สึกเจ็บยอก พยายามที่จะดื่มเครื่องดื่มที่คุณหมอธารชงให้หมด แต่รู้สึกว่าตัวเองกลืนไม่ลงเลย

"มีงานอะไรไหมครับ อีกสักหน่อยผมก็คงยุ่ง"

คุณหมอกล่าวเป็นทำนองไล่ ผู้กองแสนดีลุกขึ้น

"ขอบคุณครับสำหรับเครื่องดื่มที่ชงให้"

ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณ เดินออกจากโรงพยาบาลที่เงียบเหงา คุณหมอถอนใจ...จริงๆแล้วก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอก แต่ถ้าไม่ทำ ผู้กองธีรเดชก็เป็นคนที่น่าสงสาร คุณหมอหนุ่มพยายามไม่คิดมากในเรื่องนี้ แต่ผลสุดท้าย เขาก็ต้องเกาะกุมแขนตัวเองไว้ ยอมรับว่าถ้าไม่ได้ผู้กองธีรเดชช่วย เขาก็จมอยู่กับความเสียใจ เรื่องระหว่างผู้กองภานุกับเขา เขาควรจะจัดการเอง คุณหมอเคาะโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมาตะโกนบอกบางอย่างกับผู้กองธีรเดช

"ขอบคุณนะครับ สำหรับเรื่องเมื่อคืน"

ผู้กองธีรเดชชะงักก่อนจะโค้งตัวให้ มันช่วยให้หัวใจของต้นธารารู้สึกดีขึ้นจริงๆ

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-05-2008 12:26:12

ยามถึงรุ่งสาง กิ่งไผ่ก็แต่งตัวด้วยชุดรัดกุม เก็บเส้นผมให้เรียบร้อย ลงไปข้างล่าง เห็นเหล่าพลทหารในค่ายกำลังซ้อมยิงปืน เขาก็หยิบปืนประจำกายขึ้นมา ตรวจดูลูกกระสุน เสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังที่ฝึกยิงปืน

"เป็นอย่างไรบ้าง?"

ชายหนุ่มถามลูกน้องที่โค้งกายให้

"ฝีมือของแต่ละคนเรียกได้ว่าแม่นยำไม่เปลี่ยนครับ นายจะลองดูไหมครับ"

กิ่งไผ่ผงกหัว ก่อนที่อีกคนจะตั้งกระบอกไม้ไผ่ไว้บนตอไม้ เรียงไว้สี่อัน แล้วยกมือเป็นทำนองว่าเสร็จเรียบร้อย

"ให้เจ้าขิ่นลองยิงดูก่อนไป"

กิ่งไผ่เอ่ย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มนามว่าขิ่น กอดอกมองดูเขาที่เดินเข้ามาอย่างโกรธๆ แต่พอได้ยินว่าจะไดยิงปืนจึงดูตื่นเต้นลืมโกรธไปชั่วคราว

"แต่นายครับจะให้เจ้าขิ่นมัน..."

คนสนิทของท่านนายพลอินคานกล่าวค้าน แต่ถูกมือบางยกห้ามไม่ให้พูดต่อ เรียกเจ้าขิ่นให้เข้ามาใกล้

"มานี่สิขิ่นฉันจะสอนแกยิงปืน"

เจ้าขิ่นไม่เชื่อว่า กิ่งไผ่จะยอมใจดีสอน ทั้งๆที่เมื่อคืนพูดห้ามไว้เสียยืดยาว มันจึงเดินเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ

"พี่ไผ่จะสอนยิงปืนจริงๆหรือ"

เด็กหนุ่มถามเพื่อให้แน่ใจ กิ่งไผ่ยิ้มเป็นการยืนยัน ผู้เป็นนายสั่งให้คนนำปืนมาให้แก่เจ้าขิ่น มันเห็นปืนกระบอกโตแล้วกลืนน้ำลาย มันเป็นปืน ปลย.11ซึ่งปกติแล้วจะใช้ในกองทัพบก ทางกองพันโจรคงไปปล้นมาได้และตอนนี้เขาจะได้ใช้มัน เจ้าขิ่นตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง กิ่งไผ่ถอดปลอกกระสุนออกมา นำลูกกระสุนบรรจุเข้าไปจนเต็ม เจ้าขิ่นมองทุกอิริยาบท เพราะเจ้านายเชี่ยวชาญมากในเรื่องอาวุธ เมื่อเสร็จก็ยื่นให้แก่เจ้าขิ่น เด็กหนุ่มรับปืนแทบทรุด และแปลกใจว่าทำไมเจ้านายถึงถือมันได้สบายๆ

"อันดับแรกที่เอ็งต้องเรียนลักษณะของปืน การบรรจุลูกกระสุน การถอดและใส่ซองกระสุนยังไม่ให้ยิงตอนนี้"

กิ่งไผ่ยึดปืนไป เจ้าขิ่นทำหน้าเสียดาย รอยยิ้มประดับบนใบหน้านั่น ทำให้ดวงหน้าละมุนขึ้น

"เอ็งไม่ต้องตีสีหน้าอย่างนั้นหรอกน่า การที่จะทำอะไรสักอย่างก็ต้องเรียนรู้หลักพื้นฐานไว้ก่อน"

นิ้วเรียวสางผม โอบบ่าเด็กหนุ่มให้มานั่งยังตอไม้

"ปืนเล็กยาวหรือว่าปลย.11เป็นอาวุธประจำกายที่ใช้ในกองทัพบกมีอำนาจในการยิงทั้งการรบในแบบและนอกแบบ"

ชายหนุ่มเริ่มอธิบาย แรกๆเจ้าขิ่นทำหน้าเบื่อหน่ายแต่พอได้ฟังก็หันกลับมาตั้งใจ กิ่งไผ่ยิ้มให้เมื่อเห็นเด็กหนุ่มสนใจ

"ลักษณะโดยทั่วไปของปืนเล็กยาว11มีขนาด5.56x45,มม. ออกแบบและสร้างโดยบริษัทเฮกเลอร์และโคช ประเทศเยอรมัน ระบายอากาศด้วยความร้อน มีความกว้างปากลำกล้อง5.56มม.ทำงานด้วยการถอยหลังของส่วนเคลื่อนที่ เป็นการยิงจากลักษณะหน้าลูกเลื่อนปิดท้ายรังเพลง ซองกระสุนมีสองชนิดคือชนิดยี่สิบนัดกับชนิดสี่สิบนัด สามารถติดตั้งกล้องเล็งและกล้องอินฟราเรดได้ ทำการยิงลูกระเบิดยิงจากปืนเล็กได้ ทำการยิงกระสุนซ้อมรบก็ได้ เมื่อสวมปลอกทวีความถอยแทนปลอกลดแสงที่ปากลำกล้อง"

กิ่งไผ่หยุดไปชั่วครู่ เพื่อให้เจ้าขิ่นได้ทำความเข้าใจกับคำพูดของเขา แล้วอธิบายต่อ

"ปืนปลย.11มีสามแบบคือ ปลย.11 , ปลย.11 เอ 1, ปลย11 เค น้ำหนักของปืนเล็กยาว11ถ้าไม่มีซองกระสุนจะหนัก7.38ปอนด์หรือ3.35กิโลกรัม กระสุนมีอยู่สี่ชนิดคือกระสุนแบบธรรมดา ส่องวิถี กระสุนฝึกหัดและซ้อมรบซึ่งกระสุนส่องวิถีจะมีปลายสีส้ม และกระสุนซ้อมรบมีปลายสีม่วง"

พอพูดถึงช่วงนี้ เจ้าขิ่นก็ขัดขึ้น

"กระสุนส่องวิถีเอาไว้ทำอะไรครับ"

"ก็เอาไว้ส่องนำวิถีน่ะ สงสัยอะไรอีกหรือเปล่าล่ะ?"

เจ้าขิ่นเริ่มงุนงง ไม่กล้าถามต่อ เขาทึ่งที่เจ้านายรอบรู้จริงๆ

"เอาล่ะเรามาอธิบายกันต่อนะ"

เด็กหนุ่มลูบปืนสีดำมะเมื่อมซึ่งชายหนุ่มถอดซองกระสุนออกเป็นที่เรียบร้อย กิ่งไผ่จับปืนขึ้นมาถอดและประกอบเข้ากันจนเจ้าขิ่นอึ้งไปอีกครั้ง

"สุดยอดเลยครับพี่ไผ่"

เด็กหนุ่มตาวาวเมื่อเห็นกิ่งไผ่ประกอบปืนได้อย่างรวดเร็ว

"ทำได้ไงครับเนี่ย?"

กิ่งไผ่ไม่ตอบคำถามนั่น เแต่ยิ้มเพียงอย่างเดียว

"เอ็งลองไปเป็นลูกนายพลอินคานสิว่ะ แล้วไปเรียนที่โรงเรียนทหารสิว่ะไอ้ขิ่น รับรองเอ็งเก่ง"

ชายวัยกลางคนที่นั่งมองดูใต้ร่มไม้ว่า

"แต่น้ำหน้าอย่างเอ็งน่ะไม่ได้ครึ่งของนายกิ่งไผ่หรอก"

ชายวัยกลางคนว่า กรอกเหล้าที่อยู่ในกระติกอลูมิเนียมเข้าปาก เด็กหนุ่มชักสีหน้า

"โธ่! ลุง มาว่ากันแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ"

เด็กหนุ่มโวย กิ่งไผ่หัวเราะ

"เอาน่าๆเงียบเถอะขิ่น ถ้าเอ็งฟังคำอธิบายจากฉันละก็รับรองเอ็งเก่ง"

กิ่งไผ่ปราม เจ้าขิ่นหันมาสนใจทันที

"จริงหรือครับ งั้นพี่ไผ่อธิบายมาเลย"

พอได้ยินแบบนี้ คนที่อธิบายก็เริ่มสอนต่อ

"ต่อไปจะมาสอนวิธีถอดประกอบอาวุธกัน อันดับแรกต้องตรวจสอบความปลอดภัยของปืนโดยปฏิบัติดังนี้"

นิ้วเรียวหยิบกระบอกปืนขึ้น ชี้ไปตามส่วนที่อธิบายมาตามหลัง เจ้าขิ่นกกระตือรือร้นร้น จ้องเขม็ง

"อย่างแรก เราต้องห้ามไกปืนก่อน ปลดซองกระสุน ดึงคันรั้งลูกเลื่อนมาค้างไว้"

กิ่งไผ่ปฏิบัติให้ดู พร้อมๆกับอธิบายไปด้วย

"ต่อไปใช้มือซ้ายปลดคันรั้งลูกเลื่อนไปข้างหน้า เปิดห้ามไกแล้วลองลั่นไกไปทิศทางปลอดภัย"

หลังจากที่ทำให้ดูก็ส่งให้เจ้าขิ่นลองทำตาม

"ชิ้นส่วนถอดประกอบของปลย.11มีการถอด6หมู่ชิ้นส่วนคือ ซองกระสุน พานท้าย ด้ามปืนและเครื่องลั่นไก ลูกเลื่อนและโครงนำลูกเลื่อน ปลอกรองมือและสุดท้ายลำกล้องและห้องลูกเลื่อน การประกอบให้ทำตรงข้ามกับการถอดโดยชิ้นส่วนที่ถอดมาทีหลังตามที่บอกให้นำประกอบเข้าไปก่อน"

เด็กหนุ่มทำอย่างเชื่องช้า กิ่งไผ่ก็คอยปลอบให้กำลังใจ จนกระทั่งปืนที่ถอดออกมาประกอบเข้าด้วยกันจนสำเร็จ

"เก่งมาก"

เขาชมลูกน้องของตัวเอง เจ้าขิ่นชูปืนที่ประกอบด้วยความภาคภูมิ

"พี่ไผ่มีอะไรสอนอีกไหมครับ การถอดประกอบปืนมีแค่นี้หรือครับ?"

เด็กหนุ่มกำลังคึกคะนองกับผลงานของตัวเอง

"อย่าเพิ่งดีใจไป นั้นยังไม่ถึงขั้นลึกเลย การถอดประกอบอีกวิธีต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ขนาดฉันที่เรียนมายังไม่ชินเลย"

ดวงตาของคนคึกคะนองบ่งบอกว่าจะมีอะไรยาก

"ว่ามาเถอะครับ ผมทำได้อยู่แล้ว"

กิ่งไผ่ส่ายหัว เด็กจริงๆ...

"เฮ้ย ไอ้ขิ่นเอ็งจะถอดอีกวิธีเรอะข้าว่าอย่าเลยเดี๋ยวปืนดีๆพังหมด"

ชายวัยกลางคน คนเดิมว่า เด็กหนุ่มทำหน้าหยิ่ง

"ลุง คอยดูฝีมือผมแล้วกัน"

พูดโอ่ โดยการถือปืนที่หนักแสนหนักขึ้นอวดศักยภาพของตัว กิ่งไผ่ไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่า เขาควรจะสอนต่อไปไหม สุดท้ายเขาก็ยอมใจอ่อนจนได้ เพราะเจ้าขิ่นก็เหมือนกับน้องของเขาคนหนึ่ง

"มานั่งลงตรงนี้ขิ่น ลุงตวนก็อย่าไปพูดกระทบกระเทียบเจ้าขิ่นมันเลย"

กิ่งไผ่พูด เส้นผมตกระหน้า นิ้วเรียวปัดออกให้พ้นหน้าผาก ลุงตวนทำหน้าบึ้ง

"ขิ่นก็หัดเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสียบ้าง"

เจ้าขิ่นหน้าบูด กิ่งไผ่ระอาใจ แต่ก็ยอมอธิบายต่อ

"เอ้า...ฟังต่อ การถอดอีกวิธีคือการถอดหมู่ชิ้นส่วนของชุดเคลื่อนได้มีดังนี้ หนึ่งคือ ถอดแหนบและแกนแหนบส่งโครงนำลูกเลื่อนส่วนนี้ห้ามแยกออก อันต่อไปคือลูกเลื่อนและหลอดเข็มแทงชนวนสุดท้ายคือเข็มแทงชนวนและแหนบ ส่วนการประกอบคืนให้ทำตรงข้ามกับถอด"

กิ่งไผ่แค่อธิบายแต่ไม่ทำให้ดูเพราะเขาไม่ชำนาญ

"โห...ดูท่าจะยากจริงๆนะครับ"

เจ้าขิ่นว่า คนอธิบายผงกหัว

"ใช่ ยาก...และอีกวิธีคือการถอดด้ามปืนออกจากเครื่องลั่นไกโดยถอดคันบังคับการยิง เครื่องลั่นไก ด้ามปืนประกอบก็เหมือนเดิม คือประกอบตรงข้ามกับการถอดโดยการที่เอาชิ้นส่วนที่ถอดหลังสุดประกอบเข้าไปก่อน"

คนฟังเริ่มปวดหัว

"เอ่อ...ครับแล้วเมื่อไรที่พี่ไผ่จะสอนผมยิงเสียทีละครับ"

เด็กหนุ่มเริ่มเบื่อ กิ่งไผ่ลุกขึ้น

"ขั้นตอนต่อไปนี่ล่ะ เราเรียนทฤษฏีมาแล้ว คราวนี้มาปฏิบัติกัน"

ดวงตากระจ่างหรี่ลงเพราะแสงจ้า สายลมพัดโชยเอื่อยๆ ลุงตวนลุกขึ้นเมื่อนายน้อยสั่งให้เตรียมเป้า

"ตั้งใจดูดีๆล่ะ"

ชายหนุ่มปรับศูนย์ยิง เล็งลำกล้องไปทางเป้าหมาย เจ้าขิ่นตั้งใจดู กิ่งไผ่ปรับตำแหน่งคันบังคับการยิงเป็นยิงที่ละนัด พอกระสุนปล่อยออก เสียงดังปังๆๆสิ้นสุด ลุงตวนหยิบเป้ากระบอกไม้ไผ่ที่กระเด็นชูเหนือหัว เด็กหนุ่มอาปากค้าง เพราะเป้ากระบอกไม้ไผ่เล็กมาก ทุกนัดที่ยิงทำลายมันแตกกระจุย

"การหมุนศูนย์ถ้าหมุนศูนย์หลังตามเข็มนาฬิกาจะทำให้รอยกระสุนต่ำแต่ถ้าหมุนศูนย์หลังทวนเข็มนาฬิกาจะทำให้รอยกระสุนสูงขึ้น ระยะยิงของปลย.11คือ ถ้าเป็นระยะยิงไกลสุดประมาณ3000เมตรส่วนระยะยิงหวังผลประมาณ400เมตรลงมา"

พูดเสร็จก็ส่งปืนไปให้เจ้าขิ่น เด็กหนุ่มลองยิงบ้าง แต่ก็ไม่ถูกสักนัด เจ้าขิ่นทำหน้าผิดหวัง ลุงตวนหัวเราะ

"วันหลังต้องทำได้ดีแน่ขิ่น วันนี้ขิ่นแค่ตื่นเต้นเท่านั้นเอง"

กิ่งไผ่ปลอบ เขาตบบ่าเด็กหนุ่มที่หงอยเหงาไปทันใด

"แต่จำไว้ อาวุธเหล่านี้ใช้ฆ่าคน มันไม่สนุกหรอกที่จะจับมันขึ้นมาใช้"

กิ่งไผ่สั่งสอน สั่งให้คนเก็บปืน

"ไปหาข้าวเที่ยงทานกันเถอะ"

เขาชวนเด็กหนุ่ม เจ้าขิ่นเดินตามหลัง มองท่าเดินที่งามสง่า เรือนผมที่ยาวสลวยสะบัดไปมา รู้สึกว่าน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่

"ที่สอนไปยังไม่หมด"

กิ่งไผ่ยังจะอธิบายต่อ แต่เด็กหนุ่มกลับโบกไม้โบกมือบอกให้พอ

"แค่นี่หัวผมก็จะระเบิดอยู่แล้ว"

พอได้ยินแบบนี้ คนฟังก็หัวเราะ

"แล้วใครอยากเรียนเรื่องปืนล่ะ"

ชายหนุ่มย้อน เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ

"ไป....ไป๊....ไปกินข้าวเที่ยงกัน"

ทั้งสองเดินไปยังโกดังที่เปิดโล่ง หยิบจานที่วางไว้เป็นระเบียบไปตักข้าวในหม้อที่หุงไว้ร้อนๆ มานั่งทานกับเนื้อกระต่ายย่าง กับแกงเนื้อกวาง

"พี่ไผ่จะออกไปตรวจตรารอบๆค่ายอีกไหม"

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมา ระหว่างที่กำลังกินข้าว ชายหนุ่มเหลือบมองก่อนจะสั่งสอน

"เวลาทานข้าวอยู่อย่าพูด มันไม่เรียบร้อย"

เจ้าขิ่นแอบเบ้หน้า เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยกับความเข้มงวดของกิ่งไผ่

"ครับ"

เด็กหนุ่มดูท่าจะอิ่มข้าวไปทันที

"วันนี้จะออกไปในเมือง หาซื้อของที่จำเป็นเตรียมตัวไว้ด้วย"

เด็กหนุ่มวางจานลงทันที ส่งเสียงร้องเสียงดังลั่นโกดัง กิ่งไผ่นั่งทานข้าวเงียบๆไม่สนใจกับอาการลิงโลดของเจ้าขิ่น พอทานเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับมายังที่พัก เตรียมตัวออกเดินทางไปในเมืองซึ่งต้องเดินทางในป่าสองวัน แล้วต้องขอติดรถชาวบ้านแถวนั้นไปยังเมือง กิ่งไผ่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ซึ่งมันมีเสื้อเชิ้ตลายทางขาดๆ ผ้าข้าวม้าโพกผม เครื่องประดับสำหรับผู้หญิง และที่สำคัญคือผ้าถุง...สำคัญที่สุดสำหรับกิ่งไผ่คือการปิดร่องรอยตัวเอง

"ลูกจะออกไปในเมืองอีกแล้วหรือ?"

ท่านนายพลที่นั่งอ่านหนังสือเอ่ยขึ้น ระหว่างที่มองบุตรชายคนเดียวจัดเตรียมของ

"ครับ....ผมจะไปจัดการธุระนิดหน่อย พ่อจะเอาอะไรไหมครับ"

ท่านนายพลส่ายหัว

"ไม่หรอก...ระวังตัวด้วยล่ะ"

ท่านนายพลรู้ว่าบุตรออกไปสืบหาข่าว บุตรของเขาไม่ไว้ใจคนอื่นเลย

"แล้วจะไปกับใครล่ะ"

กิ่งไผ่เหลือบมอง ตอบแผ่วเบา

"กับเจ้าขิ่นมัน"

นายพลอินคานพยักหน้า

"งั้นเหรอ...แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะสอนยิงปืนให้กับเจ้าเด็กนั่น"

ท่านแปลกในนิดหน่อย ที่กิ่งไผ่นำเด็กที่เป็นห่วงเป็นใยไปเสี่ยงอันตรายด้วย

"ฝีมือยิงปืนของเจ้าขิ่นมันห่วยบรมเลย แต่ก็น่าจะพัฒนาฝีมือได้"

กิ่งไผ่ให้ความเห็น ปิดกระเป๋าสะพายลุกขึ้น

"ผมต้องไปแล้วนะครับพ่อ"

ชายหนุ่มลงจากบ้านพัก ท่านนายพลหันไปสนใจกับหนังสือต่อ กิ่งไผ่ยืนอยู่หน้าบ้านพักของตัวเอง เจ้าขิ่นหอบย่ามมาหน้าตากระหืดกระหอบ

"ไปได้แล้ว"

ทั้งสองมุ่งหน้าลงเขาออกเดินทางเข้าไปในเมือง

------------------------------------------------

เสียงเรียกรวมพลดังขึ้น ธีรเดชและนายทหารทุกคนต่างจัดเรียงแถวเป็นแถวหน้ากระดาษ ผู้พันมีทรัพย์เดินออกมา ข้างหลังเป็นผู้กองภานุ ชายหนุ่มมองเขม็ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้กองภานุดูเฉยชา ทำตัวปกติจนธีรเดชรู้สึกไม่ชอบใจมากยิ่งขึ้น เขารู้ว่านั้นเป็นนิสัยของผู้กองภานุ เขาจะทนได้อยู่ถ้าไม่มีเรื่องของต้นธาราเข้ามากวนใจ

"แถวตรง"

เสียงของผู้กองรังสรรค์สั่ง ยามที่เห็นหัวหน้าใหญ่ออกมา ทุกคนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ฟังคำทักทายจากผู้พัน

"สวัสดีนายทหารทุกท่าน วันนี้ทางค่ายใหญ่มีคำสั่งลับมาถึงผม ผมอยากจะคุยกับทุกคนตอนหกโมง ขอให้มาตรงเวลาด้วย"

ทุกคนยกมือวันทยาหัตถ์รับทราบ ก่อนจะพากันสลายตัว

"แย่นะครับที่ผู้กองธีเข้ามาในค่ายก็ได้รับงานเสียแล้ว"

ธีรเดชมองตามหลังคนที่ติดตามผู้พันมีทรัพย์

"ไม่หรอกครับ ผมดีใจที่ได้ทำงานเสียที"

ผู้กองรังสรรค์เห็นธีรเดชจับจ้องยังผู้กองภานุก็พูดขึ้น

"ผู้กองภานุเป็นคนสนิทของผู้พันมีทรัพย์ครับ เขาอารมณ์เสียขึ้นกว่าเดิมนับตั้งแต่เพื่อนสนิทตาย ผู้กองอย่าไปถือสาเลยนะครับถ้าผู้กองภานุแสดงอารมณ์ไม่ดี"

ผู้กองรังสรรค์เอ่ย ธีรเดชผงกหัว หรี่ตา

"ผมไม่ถือหรอกครับ กับคนประเภทนั้น"

พูดทิ้งท้ายไว้ให้ผู้กองรังสรรค์สงสัยแต่ธีรเดชก็เดินกลับเข้าไปในค่ายเสียแล้ว ทิ้งให้ผู้กองรังสรรค์งุนงงก่อนจะเดินตามไป เมื่อชายหนุ่มเข้าไปในกองบังคับบัญชา ผู้พันมีทรัพย์ก็ทัก

"มะรืนนี้จะเข้าเมืองไหมวะธี"

ธีรเดชหันมอง ทำหน้าแปลกใจ

"เข้าเมืองหรือครับ?"

เขาถามอย่างสงสัย พยายามไม่มองชายหนุ่มที่นั่งหน้าเย็นบนโซฟาเก่าๆ สายตาคมกำลังตรวจดูแผนที่

"ใช่ ก่อนทำภารกิจ ทหารที่นี่จะไปหาความสุขในเมือง แล้วกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เพราะปกติไม่ค่อยได้ออกไปไหนกัน"

ผู้พันมีทรัพย์อธิบาย ชายหนุ่มนิ่งไปสักพัก

"สนไหมจะให้ภานุเขาแนะนำให้"

ธีรเดชใช้ดวงตากร้าวมองผู้กองภานุที่ดูไม่สนใจใครเลย

"หรือว่าผู้กองรังสรรค์ก็ได้"

ผู้พันเอ่ยเมื่อเห็นดวงตาที่ดูไม่พอใจ

"สาวๆที่นั่นสุดยอดเลยนะครับ แต่ละคนเป็นสาวพม่าทั้งนั่น รับประกันสวยหยาดเยิ้ม"

ผู้กองรังสรรค์เสริม เขาหยิบ*กริดมาทาบกับแผนที่ คุยเรื่องระยะทางกับผู้กองภานุ

"สนไหมครับ?"

ผู้กองรังสรรค์ถามซ้ำ ธีรเดชคิดว่าตัวเองต้องไม่ทำให้แปลกแยกไปจากคนอื่นจึงผงกหัว

"พูดน่าสนดีนี่ครับ เห็นว่าสาวพม่าใช้ขมิ้นขัดผิวให้สวยผมก็ชักอยากจะสัมผัสเสียแล้วสิ"

พูดถึงตรงนี้ ทั้งผู้กองรังสรรค์และผู้พันมีทรัพย์หัวเราะร่วน

"ระวังใครบางคนเข้าใจผิดนะครับ"

เสียงเย็นๆสอดแทรกขึ้น ธีรเดชนิ่ง ผู้กองรังสรรค์ละมือจากงาน ทำหน้าแปลกใจ

"อะไรกันผู้กองมีคนรักแล้วเรอะ"

ธีรเดชโบกมือปฏิเสธ

"ผมยังไม่มีใครหรอกครับ ผู้กองภานุนี่ชอบอำคนอื่นเสียจริง"

ดุจจะกล่าวแดกดัน ผู้กองภานุยักไหล่อย่างกวนๆ

"เฮ้ย พูดมากกันน่าจะมีฟงมีแฟนก็เก็บไว้สักพักเถอะ ไปหาอีหนูสาวๆกันดีกว่า"

ผู้พันเอ่ยอย่างตลก ธีรเดชยิ้มตาม ทั้งๆที่ในใจนั่นหงุดหงิดกับชายที่คิดว่าหน้าด้าน แต่เอาเถอะ ถ้าได้ออกไปข้างนอก เขาคิดว่าน่าจะพาคุณหมอต้นธาราไปด้วยได้ พอคิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็คลายความขุ่นข้อง เขาลืมไปว่าเมื่อเช้าโดนพูดอะไรมาบ้าง ภานุมอง ชายหนุ่มโยนปากกาลง...กับสิ่งที่ทำ...เหมือนกับว่าเขากำลังหวง ต้องการจะทำกันแน่นะเรา

------------------------------------------------

PS. * กริด ระบบวัดแผนที่ทางทหาร
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-05-2008 12:54:09
อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงตอนสมัยเรียน รด. อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-05-2008 14:40:40
เข้ามาให้ กลจ. คนโพสต์จ้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 16-05-2008 16:07:35
 :impress: :impress: :impress:

ถ้าเดาไม่ผิด ผู้กองนาคี กับกิ่งไผ่

น่าจะรักกันนะครับผมว่านะ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 16-05-2008 16:41:18
 :m23:  ขอร่วมวงด้วยคนนะคับ
แต่ผู้กองธีกะลังนอกใจหมอธารง่ะ  :m31:
แต่ถ้าเป็นกิ่งไผ่ก็อภัยได้คับ  :m12:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 16-05-2008 17:30:01
เข้ามากด +ให้คนโพสสสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 16-05-2008 17:45:29
ข้อมูลเพียบ

ขอบคุณครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-05-2008 17:48:38
มาดันให้คนโพสสสส  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-05-2008 19:53:07
ต่อกันเลยน้า  ยินดีต้อนรับ Taurus (ชื่อไรหว่า อิอิ)  
ตอนนี้หื่นแบบโศกๆ  กรี๊ดดดดดดดดดดดด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:7 meet with/พบเจอกันอีกครั้ง

กิ่งไผ่ย่ำเท้าไปตามพื้นดินสีดำ แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ ก่อเกิดเป็นแสงเงาสวยงาม เจ้าขิ่นหอบหายใจ เพราะว่าเจ้านายของเขาเดินโดยที่ไม่ได้พักเลย

"พี่ไผ่พักหน่อยได้ไหม?"

เด็กหนุ่มว่า มันปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เส้นผมของมันเปียกชื้น กิ่งไผ่ไม่ยอมทำตามที่ขอ ชายหนุ่มเดินข้ามขอนไม้ที่มีดอกเห็ดขึ้นเต็ม สายตาจับจ้องยังต้นไทรขนาดใหญ่ที่มีมอสสีเขียวเกาะเต็ม เมื่อไม่ได้รับคำอนุญาต เจ้าขิ่นจึงจำใจเดินต่อไป แม้จะรู้สึกกระหายน้ำเจ้าขิ่นก็ไม่กล้าบอกยามที่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเจ้านาย จึงเดินไปอย่างเงียบๆ ทั่วทั้งป่าเงียบสงบ มือบางยกขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุด เจ้าขิ่นชะงัก

"มีงูอยู่ตรงหน้าเรา"

เด็กหนุ่มชะเง้อมอง เห็นลวดลายเลื่อมระยับก็รู้ว่าเป็นงูพิษ

"งูเห่าใช่ไหมกับพี่ไผ่"

เจ้าขิ่นว่าเมื่อเห็นสีผิว กิ่งไผ่หยิบปืนพกออกมา เตรียมพร้อมหากถูกโจมตี

"ระวังนะครับพี่ไผ่"

เด็กหนุ่มเตือนยามที่มันเริ่มขยับกาย กิ่งไผ่ระวังเสมอ เขาพยายามไม่ให้มันตกใจ รอให้มันเลื้อยหายไปเอง เพราะเขาก็ไม่อยากจะฆ่ามันโดยไม่จำเป็นเหมือนกัน ทั้งสองนิ่งรอให้เจ้าสัตว์เดรัจฉานเลื้อยหนีกิ่งไผ่จึงเก็บปืน ถอนใจอย่างโล่งอก

"เดี๋ยวเราไปพักข้างหน้ากันมันมีลำธารอยู่"

กิ่งไผ่ว่า เจ้าขิ่นจึงมีแรงเดินต่อ พอไปถึงลำธารใสสะอาด สายน้ำใสไหลเอื่อยๆผ่านโขดหิน กอเฟิร์นขึ้นตามริมตลิ่ง เจ้าขิ่นทรุดนั่งใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำขึ้นมาแล้วหันไปทางเจ้านายที่วางกระเป๋าสัมภาระลง ปลดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากตัว นิ้วเรียวกวักน้ำใสๆลูบหน้าลูบตา

"ผมตักน้ำเสร็จแล้วครับ"

กิ่งไผ่ผงกหัว ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ก่อนจะสั่งให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นชุดพื้นเมือง

"ขิ่น เปลี่ยนเครื่องแต่งกายได้แล้วตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เขตชายแดนไทย"

ก่อนที่จะทำตามเจ้าขิ่นจะดื่มน้ำ แต่กิ่งไผ่ก็โยนกระปุกด่างทับทิมให้

"อย่าเพิ่งดื่ม เพราะมันอาจมีเชื้อโรคต่างๆอยู่ในน้ำ ใส่ด่างทับทิมพอเป็นสีม่วงอ่อนๆแล้วทิ้งไว้สิบถึงสิบห้านาทีก่อนค่อยดื่มได้"

เด็กหนุ่มทำตาม กิ่งไผ่ถอดเสื้อผลัดเปลี่ยนด้วยความรวดเร็ว พอเสร็จก็ลุกขึ้นสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง เจ้าขิ่นไปเปลี่ยนเสื้อ หันมาเห็นเจ้านายตัวเองติดกระดุมเสื้อ ผมบางส่วนเคลียบ่า ดวงหน้าสวยงาม ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ช่างดูงดงามหมดจดจนเด็กหนุ่มเผลอใจเต้นแรง กิ่งไผ่หันมาเจ้าขิ่นจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า

"เสร็จหรือยังขิ่น เราต้องเดินไปอีกสองกิโลนะ"

ชายหนุ่มเร่ง ซ่อนปืนในเสื้อตัวโคร่ง มองภายนอก กิ่งไผ่คล้ายกับหญิงสาวพื้นเมือง เขาพาเด็กหนุ่มเดินไปต่อ จนกระทั่งออกมาถึงถนนลูกรังฝุ่นแดงคลุ้ง

"เราจะซ่อนของทั้งหมดไว้ทางนั้นแล้วนำกระบุงใส่ของป่าออกมา ขิ่นต้องเป็นน้องชายของฉันเข้าใจไหม"

เด็กหนุ่มผงกหัว เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับการปลอมตัวเข้าเมืองในครั้งนี้ ร่างของเจ้านายไปยังที่ซ่อนของ หยิบกระบุงขึ้นมาสะพายหลัง ก่อนจะพาเจ้าขิ่นเดินไปตามทางถนนลูกรัง กิ่งไผ่ทำตัวปกติแต่เจ้าขิ่นดูยังกลัวๆกับสภาพรอบๆที่ตัวเองต้องเผชิญ

"อย่าทำตัวตื่นเต้นไป ระวังคนอื่นจะสงสัย"

แต่คำเตือนนั่นไม่ทำให้เจ้าขิ่นสบายใจได้เลย เด็กหนุ่มยังกลัวว่าจะถูกจับได้ เจ้านายของเขาก็ยังเดินด้วยกิริยาที่เป็นปกติ

"แน่ใจหรือครับพี่ไผ่ว่าไม่ถูกจับได้"

กิ่งไผ่ยิ้มเป็นคำตอบ

"แน่สิ เราเป็นลูกของตาสาที่ชอบอาศัยอยู่ในป่าลึกนั่นล่ะข้อมูลที่ชาวบ้านแถวนี้รู้ ตาสาเป็นบ้าไม่มีใครอยากเข้าใกล้ มีลูกสาวกับลูกชายซึ่งนานๆที่จะได้เห็นหน้าค่าตา ลูกสาวสวย กตัญญูต่อบิดา แต่ดูโง่ๆส่วนลูกชายก็ดูเซื่องๆซึมๆ เป็นชีวิตที่น่าสงสารหนุ่มๆที่พยายามจะมาจีบลูกสาวตาสา ขอไปเป็นเมียต้องผิดหวังกันเป็นแถวๆเป็นไงล่ะกับเรื่องที่แต่งขึ้นชาวบ้านแถวนี้เชื่อกันหมด ไม่มีใครกล้ายุ่งเลย"

กิ่งไผ่ว่า เจ้าขิ่นทึ่ง

"แล้วพวกทหารล่ะครับเชื่อหรือเปล่ากับเรื่องนี้?"

กิ่งไผ่หัวเราะเบาๆ

"พวกนั้นจะมาสนอะไรกับชีวิตชาวบ้านล่ะไม่มีใครมานั่งสอบสวนเรื่องนี้ให้เปลืองสมองหรอกขิ่นก็รู้นี้ว่าเรื่องลึกลับเกี่ยวกับภูตผีปีศาจทุกคนในแถบพื้นที่นี้ถือมากเพียงไร"

เจ้าขิ่นผงกหัว เริ่มใจชื้นขึ้น เด็กหนุ่มจึงรีบเดินตีคู่ขึ้น

"แล้วก็แสดงให้สมจริงสมจังหน่อยล่ะ กับบทเซื่องๆซึมๆน่ะ"

สีหน้าของกิ่งไผ่ดูไม่เหมือนกับคนที่เป็นนักฆ่า สายตามองดูเศร้าๆ ใบหน้าที่งดงามดูซื่อๆ จนเจ้าขิ่นประหลาดใจที่เจ้านายสามารถแสดงบท"หญิงสาวที่ดูโง่ๆ"ได้อย่างยอดเยี่ยม

"เราจะพักอยู่ในเมืองสักวันสองวันแล้วกลับฐาน"

กิ่งไผ่เอ่ยระหว่างที่เจอกับถนนลาดยาง เด็กหนุ่มดีใจที่ได้เที่ยว เพราะนอกจากค่ายและในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว เขาไม่เคยข้ามมายังฝั่งไทยเลย กิ่งไผ่ครุ่นคิดอะไรอยู่เงียบๆ เขารอจนกระทั่งมีรถผ่านมาแล้วกิ่งไผ่ก็โบก รถกระบะคันเก่าๆก็จอด

"ขอติดไปในเมืองด้วยได้ไหมจ๊ะ"

ใบหน้าที่ยื่นเข้าไปในหน้าต่างรถที่เปิดกว้าง คนขับเป็นชาวบ้านที่มีฐานะและดูเหมือนจะเป็นนายหน้าจัดซื้อของป่าจากชาวเขาเพราะสายตากระจ่างเห็นรังผึ้ง ว่านต่างๆวางอยู่ท้ายรถ รอยยิ้มที่แย้มอย่างอ่อนหวาน เจ้าขิ่นมองไม่กระพริบตาต่อการแสดงละครของเจ้านาย

"แล้วจะไปไหนล่ะจ๊ะแม่สาว"

ชายหนุ่มอายุสามสิบปีเอ่ย ดูท่าทางเจ้าชู้ เมื่อเห็นใบหน้าของกิ่งไผ่ที่ยื่นเข้ามาก็ตะลึงไป

"ฉันกับน้องอาศัยอยู่ในป่านู้น จะเอาของไปขายในป่าจ้ะ"

กิ่งไผ่โกหกด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ชายผู้นั่นผงกหัวและนึกถึงข่าวลือของชาวบ้านแถบนี้ที่ลือว่าตาแก่บ้า มีลูกสาวที่งดงามแต่ดูโง่ๆ อาจจะเป็นแม่สาวคนนี้ก็ได้

"แล้วแม่สาวชื่ออะไรล่ะจ๊ะ"

ชายหนุ่มเปิดประตูให้ กิ่งไผ่ก็ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มที่สวยงามเช่นเคย

"ฉันชื่อเอื้องคำจ้ะ ส่วนน้องชื่อขิ่น"

พอได้ยินชื่อก็พิศมอง...สมกับชื่อจริงๆ ใบหน้าที่ออกสวยซึ้งปนเศร้า...นี่มันลูกสาวตาสาบ้าจริงๆน่ะหรือ

"เหรอ พี่ชื่อชาติน่ะ ทำมาค้าขายกับชาวบ้านแถวนี้ น้องขึ้นมาสิจ๊ะของวางไว้หลังรถก็ได้"

กิ่งไผ่โล่งใจที่ชายหนุ่มตกหลุม เขาวางกระบุงใส่ของไว้หลังรถ แล้วขึ้นมานั่ง เจ้าขิ่นก็พยายามจะขึ้นมาด้วยแต่ก็ถูกไล่ไปนั่งหลัง แรกๆเจ้าขิ่นไม่ยอม แต่เพราะสายตาของเจ้านายบังคับ มันจึงตัดใจขึ้นไปนั่งหลังรถ คอยมองเจ้านายอย่างเป็นห่วงกลัวเจ้าคนชื่อชาติจะทำอะไรไม่ดีกับนายของตน ภายในรถกิ่งไผ่พยายามเงียบ เขาจะตอบคำถามที่ชายหนุ่มถามเท่านั้น

"น้องสาวอายุเท่าไรแล้วจ๊ะ แล้วอยู่กับใครเอาอะไรมาขาย?"

ใบหน้าและสายตาที่มองตรงไปยังถนน ตอบด้วยความเขินอาย

"ฉัน...อายุยี่สิบจ้ะ อยู่กับพ่อที่แก่แล้ว พอดีหาสมุนไพรได้ก็เลยจะมาขายเพื่อแลกเงินซื้อข้าวน่ะจ้ะ"

เขายังโกหกต่อ ชายชื่อชาติผงกหัว

"งั้นขายให้พี่หรือเปล่าล่ะ เรียกราคาเท่าไรก็ได้ น้องสาวจะได้ไม่ต้องเข้าเมืองไง"

กิ่งไผ่ส่ายหัว

"ขอบใจพี่มากจ้ะ แต่ฉันมีธุระในเมืองด้วย แค่พี่ให้ติดรถมาเกรงใจจะแย่อยู่แล้ว"

เจ้าขิ่นมองผ่านกระจกรถ เห็นเจ้านายแย้มยิ้มให้ก็รู้สึกโกรธไอ้คนชื่อชาติถึงจะรู้ว่านั้นคือละครก็ตาม เขาเห็นมันพยายามจะจับมือถือแขนก็ยิ่งกำหมัดแน่น เขาก็ต้องอดทนเพื่อไม่ให้แผนแตก กิ่งไผ่เห็นอีกฝ่ายทำรุ่มร่าม ก็ใจเย็นปกป้องตัวเอง แสร้งซื่อใสจนกระทั่งถึงในเมือง เขาก็รีบลงจากรถ เอ่ยขอบคุณแล้วเดินหายไปท่ามกลางฝูงชนทิ้งให้ชายหนุ่มที่ให้อาศัยติดรถมาด้วยนิ่งไปชั่วขณะแล้วก็ยักไหล่กลับไปทำธุระของตัวเองต่อ

------------------------------------------------

หลังจากที่ผู้กองธีรเดชทำงานเสร็จก็มาหาคุณหมอต้นธาราที่อยู่เวร เขายังคงยิ้มให้อยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะได้เห็นความเย็นชาที่ปรากฏอยู่ในสีหน้า

"ผู้กองมาที่นี่บ่อยจังนะคะ"

คุณหมอมาริสารที่มาผลัดเวรกล่าวหยอก ธีรเดชยิ้มให้

"ผมมีธุระกับคุณหมอต้นธาราครับ"

หญิงสาวยิ้มตอบ ก่อนจะกล่าว

"สนิทกับคุณหมอจริงๆนะคะ"

เธอว่า ชายหนุ่มได้แต่เพียงยิ้มเท่านั้น

"ผมก็ไม่ได้สนิทอะไรมากมายหรอกครับ วันนี้ได้ยินผู้พันมีทรัพย์ชวนไปในเมืองก็เลยมาชวนคุณหมอต้นธาราไปด้วยนะครับ คุณหมอมาริสาสนใจไปด้วยไหมครับ?"

"โอ้ย ขอบคุณที่ชวนค่ะ ดิฉันขออยู่ที่ค่ายดีกว่า ไม่กล้าขัดพวกหนุ่มๆหรอกค่ะ"

หญิงสาวเอ่ยติดตลก ธีรเดชหันมาทางต้นธารา เอ่ยถามราวกับไม่สนิทสนม

"คุณหมอต้นธาราสนใจไหมครับ"

แรกๆที่ได้ยินคำชวน คุณหมอหนุ่มจะปฏิเสธแต่พอได้ยินคุณหมอมาริสาพูดขึ้นก็เงียบไว้ก่อน

"แล้วมีใครไปบ้างคะ" คุณหมอมาริสาถาม

"เท่าที่ผมรู้ที่ไปก็มีผู้กองรังสรรค์ ผู้กองภานุน่ะครับ"ชายหนุ่มตอบเธอ

"เป็นการเที่ยวก่อนจะออกไปปฏิบัติภารกิจกันน่ะครับ"

ธีรเดชตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาทางต้นธาราอีกครั้ง

"คุณหมอสนใจจะไปไหมครับ?"

คราวนี้ต้นธาราตอบตกลง ธีรเดชแปลกใจ เขาคิดว่าคุณหมอจะปฏิเสธเสียอีก เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปห้ามได้

"แล้วไปวันไหนกันหรือครับ"

ต้นธาราถามขึ้นมาบ้าง พยายามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด

"เอ่อ...รู้สึกว่าผู้พันบอกว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้น่ะครับ"ชายหนุ่มตอบ ภายในใจรู้สึกนึกอิจฉากับคนที่ต้นธาราใฝ่ถึงตลอด...

ฝ่ายต้นธาราที่เขายอมตกลงไปเพราะไม่อยากให้ภานุไปกับคนอื่น...รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านอยู่ข้างในถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกปวดใจมากก็ตามแต่ ลึกๆแล้วเขาก็ไม่อยากให้ผู้กองภานุอยู่กับเขา ทั้งๆที่ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแต่เขาก็ปรารถนาที่จะฝันถึงความสุขที่แสนหวาน

"ถ้าจะไปแล้วผมจะมาบอกคุณหมอนะครับ"

ต้นธาราตื่นจากภวังค์ผงกหัวรับคำ มาริสาก็อวยพรให้

"เที่ยวให้สนุกนะคะ"

ต้นธาราลุกขึ้น เดินไปกับธีรเดชเมื่อออกจากเวร

"ไม่คิดว่าธารจะตัดสินใจไป ทั้งๆที่รู้ว่ามีเขาอยู่"

ผู้กองธีรเดชเอ่ยอย่างเฉยชาเมื่ออยู่กันสองคน ต้นธาราก็ไม่คาดคิดกับการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน เขาเดินเงียบๆเคียงข้างผู้กองธีรเดช

"แล้วคิดว่าจะทนได้หรือเปล่าล่ะหากเจอกับเขาที่เฉยชา"

ชายหนุ่มยังเอ่ยต่อไม่ใส่ใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนแปลง ต้นธาราหันหน้ามารู้สึกเหนื่อยหัวใจกับคำพูดนั่น

"ผมรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมคุณคิดว่าการตัดสินใจเข้าเมืองในครั้งนี้ต้องเป็นเพราะผู้กองภานุด้วยล่ะ?"

ต้นธาราถาม ธีรเดชตกใจกับคำพูดห้วนๆ

"ผมเข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา ผมรู้ตัวเองดีว่าตัวผมกำลังทำอะไรอยู่และผมรู้สึกอย่างไรกับการกระทำนั่น เข้าใจในความห่วงใยของคุณแต่ขอให้ผมตัดสินใจเองได้ไหมว่าชีวิตผมจะเป็นเช่นไร"

ดวงตาของผู้กองธีรเดชอ่อนลง จ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เจ็บช้ำ

"ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี"

ชายหนุ่มพูดอย่างเสียใจ ต้นธารากัดปากพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากด้วยความเสียใจเหมือนกันที่เอ่ยเช่นนั้นออกไป

"คุณไม่ผิดหรอกธี...ผมต่างหากที่ใช้อารมณ์มากไป ทั้งๆที่คุณเป็นห่วงเป็นใยผมถึงขนาดนี้แท้ๆ"

ต้นธาราเอื้อมมือไปแตะแขนของธีรเดชแล้วกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น ธีรเดชยื่นมือแตะใบหน้าที่ทุกข์ใจของต้นธาราไว้

"ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจในความรู้สึกนั่นดี ผมก็ผิด ทั้งๆที่รู้ว่าน่าจะให้คุณตัดสินเองว่าควรจะทำเช่นไรแต่มันก็อดไม่ได้เพราะกลัวผู้กองภานุทำให้คุณเจ็บอีก ผมไม่อยากเห็นคุณเสียใจ"

เส้นผมสีอ่อนปลิวไปตามลม แม้ว่าจะโดนปฏิเสธ แม้ว่าจะถูกพูดไม่ดีใส่ แต่ความห่วงใยของผู้กองธีรเดชก็ไม่แปรเปลี่ยน

"ผมอยากให้คุณยิ้มอีกครั้ง ยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคยจะได้ไหม?"

ผู้กองหนุ่มขอ ต้นธาราพยายามที่จะสร้างรอยยิ้ม แต่ก็ไม่อาจทำได้

"สิ่งที่สดใสที่สุดในตัวคุณคือรอยยิ้มนะครับได้โปรดยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมได้เห็นเถอะ"

ธีรเดชขอร้อง คุณหมอพยายามที่จะทำให้ เขาปั้นรอยยิ้มขึ้น ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่รอยยิ้มที่แท้จริง เขาไม่อยากฝืนเพราะหวนระลึกถึงคำพูดของชายผู้นั้น...รอยยิ้มที่เสแสร้งเขาก็สร้างได้แค่นั้น

"สักวัน...คุณจะยิ้มได้นะธาร ถ้าคุณบรรเทาความเจ็บปวดอยู่ในใจลงบ้าง"

แม้จะไม่ได้รับรอยยิ้ม ชายหนุ่มก็คอยปลอบประโลม คอยให้ความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับฉวยเอาความสุขของผู้กองธีรเดชมาทั้งหมด

"ทำไมคุณต้องยึดติดกับผมนัก ทั้งๆที่รู้ว่าผมนั้นไม่มีคุณในหัวใจเลย คุณควรจะพบกับคนที่ดีกว่าผม หัวใจของคุณมีค่าที่จะมอบให้แก่คนอื่นมากกว่าผม"

ต้นธาราถาม ธีรเดชถอนหายใจยาวๆ

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมผมถึงยึดติดกับคุณนัก มันเป็นความต้องการของผมเอง ธารรำคาญหรือที่ผมเข้ามาป้วนเปี้ยน กับสิ่งที่คุณถามนั้นผมไม่ได้ทำตามคำสั่งท่านนายพลพิภพเลย ผมบอกแล้วไงว่าจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการก็ตาม"

การอยู่เคียงข้างแม้หัวใจตัวเองจะเจ็บอย่างนั่นหรือ? เขาไม่อาจเห็นแก่ตัวได้เลย

"ธี...คุณวางมือจากผมเถอะ ผมเข้าใจดีแล้วว่าคุณทำตามความรู้สึกคุณจริงๆไม่ใช่คำสั่งท่านนายพล ผมไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัว กรุณาเข้าใจผมด้วยเถอะครับ ขอบคุณที่คอยปกป้องเสมอยามที่เจ็บปวดแต่มันหมดเวลาแล้วสำหรับการยืมมือคุณคอยโอบอุ้มความเจ็บปวดทั้งหมด"

ต้นธาราจับมือผู้กองธีรเดชลงแต่ชายหนุ่มกลับจับมือเขาไว้แทน

"อย่าได้เอ่ยเช่นนี้ คำพูดนั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดใจยิ่งนัก ให้ผมทำเถอะเพื่อความสุขของตัวผมเอง"

ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตา ต้นธาราตัดสินใจไม่ถูกเลย....หัวใจและความสิ้นหวังอันเลือนรางหนึ่งคำปลอบโยนที่เขาใช้อย่างเห็นแก่ตัว มันช่วยเขาได้ เขาควรจะยอมรับมันตามตรงหรือว่าควรจะปฏิเสธกัน

"นะครับ...ให้ผมอยู่เคียงข้างคุณเถอะ ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นไร แม้ผมจะอิจฉา แม้ความเจ็บปวดนั้นทำให้หัวใจผมด้านชาไป แต่ผมก็ยังอยากอยู่เคียงข้างคุณเสมอ"

พูดจบก็ลดมือลง ต้นธารานิ่งเงียบ

"พักเถอะครับ วันพรุ่งนี้ผมจะมาปลุกตั้งแต่เช้าเอง"

ชายหนุ่มหันหลังเดินไปจากเขา ดูเงียบเหงาเหลือเกิน ต้นธารามองจนกระทั่งแผ่นหลังของผู้กองหนุ่มหายไปจากสายตา เขาก็เดินกลับที่พัก รู้สึกหนาวเหน็บ สายลม...แสงแดดอันสวยงามไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย เขาเดินกลับที่พักของตัวเอง ถอดเสื้อกาวน์สีขาววางพาดเก้าอี้ นั่งมองไดอารี่ของตัวเอง หยิบปากกาออกมาจรดมันลงบนหน้ากระดาษสีขาว

....เหตุผลของคนๆหนึ่งขึ้นอยู่กับอะไร ความสิ้นหวังเกิดเพราะความรู้สึกของตัวเองหรือ การตัดสินใจล่ะควรจะไปยังทิศทางไหน ถึงจะรู้ว่าเจ็บปวดก็ยังกระทำ ช่างน่าแปลกใจนักทำไมกล้าทำให้หัวใจของตัวเองเจ็บปวด....บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจในเหตุผลนั่น ผมโง่เกินไปหรือเปล่าล่ะ สิ่งที่คุณบอกว่าจะลบเลือนความเจ็บทั้งหมดคือการลืม ผมน่ะไม่กล้าถึงขนาดนั้น ไม่ได้มีความสามารถพอที่จะลบทุกอย่างออกจากใจหรอก ถึงจะพูดแบบนั้น ผมก็รู้ว่ายังจะรักเขาต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าสักเศษเสี้ยวหัวใจของเขาจะไม่มีผมเลยก็ตามแต่...

คุณหมอนั่งมองรูปภาพ แสงแดดยามเย็น ก้อนเมฆสีขาวก่อตัวเป็นรูปต่างๆตามจินตนาการไม่มีสิ้นสุดลอยดูเอื่อยๆไปตามสายลมอยู่บนท้องฟ้า ถ้าบินได้ก็คงดี....ล่องลอยไปกับปุยเมฆขาวสะอาด ท้องฟ้าสีน้ำเงิน...เขาก็แค่อยู่กับจิตนาการของตัวเองเท่านั้นเพราะบางครั้งความเป็นจริงก็ดูโหดร้ายเกินไป

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-05-2008 19:55:31
ฟ้าใกล้จะสาง...เสียงไก่ป่าขันตั้งแต่เช้ามืด ต้นธาราสะดุ้งตื่น เขาถอนใจลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา ผู้กองธีรเดชยังคงนอนหลับอยู่กระมัง สายตาของคุณหมอหนุ่มมองไปยังห้องหน้าต่าง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ดาวประกายพรึกและดวงดาวอื่นๆยังส่องสว่าง ข้างนอกอากาศหนาวเย็น คุณหมอล้างหน้าเสร็จรู้สึกถึงความด้านชาของผิวเพราะแช่ในน้ำเย็นๆนานเกินไป ชายหนุ่มนวดมือเตรียมเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยน รอจนกระทั่งแสงอาทิตย์จับขอบฟ้า ไล่เมฆหมอกที่โอบล้อมให้จางหาย ต้นธาราก็ลงมาจากเรือน ออกกำลังกายด้วยท่ากายบริหารพื้นฐาน ลมหายใจเป็นควันขาว รู้สึกปลอดโปร่งจนกระทั่งเห็นร่างของผู้กองภานุที่เดินตรงมา ต้นธาราหันหน้าหนีไปทางอื่น เขารู้ว่าผู้กองหนุ่มแค่ผ่านมาเพื่อไปยังบ้านพักของผู้กองรังสรรค์ที่อยู่ถัดจากเขาไปเท่านั่น แต่เขาก็อดเหลือบมองไม่ได้ เห็นใบหน้าที่คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ามีแต่ความบูดบึ้ง ดวงตาแข็งกร้าวก็รู้สึกถึงลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ

ต้นธารากลับเข้าบ้านพัก คุณหมอรีบเดินขึ้นเรือน ผู้กองภานุเห็นร่างบางแต่ไกลแล้ว เขาทำเป็นไม่สนใจกับการที่คุณหมอหลบขึ้นไปยังบ้านพัก...ไม่จำเป็นแท้ๆ ทำเป็นไม่เห็นเขามันก็แล้วเรื่อง ชายหนุ่มคิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้วแต่พอคิดเช่นนี้ ภานุก็รู้สึกว่าตัวเองนี่ช่างโง่งมนัก ชายหนุ่มพยายามปัดมันออก เดินอย่างรวดเร็วผ่านบ้านคุณหมอต้นธารา ฝ่ายคุณหมอหนุ่มแอบมองร่างใหญ่โตผ่านประตู ทรุดฮวบอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างประตู...อยากจะทักทาย แต่เขาก็ไม่กล้า เขายังกลัว...กลัวกับการเผชิญหน้านั่งพักใจหัวใจหายเต้นไม่เป็นจังหวะสักพัก ธีรเดชก็มาหาร้องเรียกเขาให้ออกมาต้อนรับ ต้นธาราจึงเดินลงจากบ้านมาอย่างเริงร่า

"เมื่อกี้ผมเห็นผู้กองภานุมายังที่นี่ด้วย ธารเห็นเขาไหมครับ?"

ต้นธาราทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะส่ายหัว

"เขาผ่านมาทางนี้เหรอครับแล้วไปทำไมล่ะ?"

ธีรเดชผงกหัวและไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆบนสีหน้าของต้นธารา เขาจึงพาเดินไปยังที่พักของผู้กองรังสรรค์

"ไปบ้านผู้กองรังสรรค์ซึ่งที่นั่นเป็นที่นัดรวมน่ะครับ"

ชายหนุ่มอธิบาย คุณหมอผงกหัว ซึ่งเมื่อไปถึงก็ได้เห็นเหล่าทหารที่จะเข้าเมืองมีอยู่แปดนายซึ่งก็คือผู้กองธีรเดช ผู้กองรังสรรค์ ผู้กองภานุและจ่าแม้นและอีกสี่นายซึ่งต้นธาราไม่คุ้นหน้า

"ผู้กองธีพาคุณหมอมาได้ไงครับ"จ่าแม้นแปลกใจ ธีรเดชยิ้มให้

"ฝีมือน่ะครับ"

ชายหนุ่มว่า ต้นธาราก้มหน้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ

"แบบนี้การเข้าเมืองก็คึกคักสิครับ แหม...เดี๋ยวผมจะอาสาคุณหมอไปเที่ยวหลีหญิงเอง"

ผู้กองรังสรรค์เอ่ยอย่างคึกคะนองเมื่อเห็นคุณหมอที่ดูบริสุทธิ์ติดตามคณะเดินทางไปด้วย คุณหมอหน้าแดงขึ้นทันใด

"ไม่เป็นไรแน่เหรอ"

ผู้กองภานุเอ่ยอย่างขวานผ่าซาก ทุกคนที่ดูเฮฮาเงียบกริบทันที ต้นธาราเงยหน้าสบตา

"จะไหวหรือไม่ไหวก็ลองดูกันครับ"

คำพูดที่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มหวานเฉียบ เล่นเอาแทบหัวใจจะวาย

"แหม...คุณหมอพูดแบบนี้ผมชักอยากจะพาไปในเมืองเร็วๆเสียแล้วสิ"

รังสรรค์เดินมาโอบบ่าพาขึ้นรถจิ๊ปท่ามกลางสายตาที่มองอย่างเขม็งของภานุ รังสรรค์พยายามไม่ใส่ใจ เพราะเขาก็อยากเข้าใกล้คุณหมอที่ดูอ่อนโยนเหมือนกัน ธีรเดชเดินรั้งท้าย เขาพยายามที่ไม่แสดงอะไรออกนอกหน้าเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าเขาและคุณหมอสนิทสนมกันกับฐานะที่แท้จริงด้วย จ่าแม้นให้คุณหมอนั่งข้างหน้าทุกๆคนไปนั่งท้ายรถ แต่ก็ถูกนิ้วดุจคีบเหล็กลากให้ขึ้นมานั่งข้างกาย

"โอ้ย...ผู้กองภานุให้คุณหมอต้นธารานั่งตรงนั้นเดี๋ยวก็ช้ำกันพอดี"

จ่าแม้นว่า แต่ก็ถูกสายตาที่น่ากลัวสะกด ต้นธารายิ้มให้

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมนั่งที่ตรงนี้ได้"

ธีรเดชเข้ามาใกล้ แม้ใบหน้าเขาจะยิ้มแต่แววตาไม่พอใจปรากฏอยู่เต็มเปี่ยม

"ทางไปในเมืองขรุขระพอควร ผู้กองภานุก็รู้นี่ครับขืนคุณหมอไปนั่งตรงนั้นได้หัวโยกหัวคลอนเจ็บตัวกันพอดี มันไม่สบายเหมือนตอนที่คุณหมอนั่งเฮลิคอปเตอร์มาหรอกนะ"

ผู้กองรังสรรค์เตือน แต่ภานุทำหูทวนลม

"ใช่ๆคุณหมอออกเดินทางไปกับถนนนี้ครั้งแรกด้วย ให้ไปนั่งข้างเถอะสบายกว่าเยอะ"

จ่าแม้นสนับสนุน ธีรเดชโล่งอกที่เขาไม่ต้องพูดอะไรมากนัก

"อีกสักหน่อยเดี๋ยวคุณหมอก็ต้องใช้เส้นทางนั่นอยู่แล้ว ฝึกให้ชินดีกว่าไหม?"

ไม่มีใครกล้าค้านคำพูดอีก ต้นธาราลำบากใจที่เรื่องของเขากลายเป็นปัญหา สายตาของภานุที่มองมาบ่งบอกเช่นนั้น ดังนั้นเขาได้แต่นั่งเงียบๆ มองจ่าแม้นและธีรเดชนั่งตอนหน้าของรถ ส่วนเขาก็นั่งอย่างอึดอัดเบียดเสียดอยู่ตอนหลัง ถนนที่รถแล่นผ่านสมดั่งที่ผู้กองรังสรรค์เอ่ยจริงๆ บางตอนเป็นหลุมบ่อ แถมฝุ่นลูกรังก็ฟุ้งกระจายขณะที่รถแล่นผ่าน คุณหมอไอเบาๆ พยายามจะทรงตัวไม่ให้ส่ายไปมา เขานึกโล่งใจที่ไม่ได้เป็นฤดูฝน เพราะเขาทราบมาว่าถนนลูกรังก็จะกลายเป็นทะเลโคลนดูน่ากลัวหากรถติดหล่ม บ่าของเขากระแทกโครงเหล็ก ใบหน้างามนิ่วผู้กองภานุที่คอยมองอยู่ตลอดโอบบ่า ต้นธาราตกใจแต่เขาก็ถูกรั้งให้เข้ามาชิดใกล้

"นั่งนิ่งๆเถอะ"

เสียงกระซิบพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆก้องอยู่ในภายในหู เขาพยายามนั่งนิ่งๆตัวไม่โยกคลอนแล้วเพราะได้ร่างใหญ่นี้คอยจับไว้ จนกระทั่งใกล้ถึงในเมืองเจอถนนลาดยาง ผู้กองหนุ่มจึงค่อยๆชักแขนออก ต้นธาราเสียดายกับวงแขนนั่น แต่เขาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับการเข้ามาในเมืองครั้งแรก ผู้กองรังสรรค์จอดรถไว้ในตลาด ทุกๆคนลงจากรถ บิดตัวไล่ความเมื่อยขบ

"เป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอต้นธารา"จ่าแม้นถาม "นั่งข้างหลังรู้สึกสุดยอดไหมครับ"

ต้นธาราผงกหัว

"แทบตายครับแต่ก็สนุกดี"

ดวงตาสีอ่อนดูอ่อนโยน ธีรเดชเดินเข้ามาใกล้

"ไม่เป็นไรแน่นะครับ"

ธีรเดชถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย ต้นธาราผงกหัว

"ครับ...ไม่เป็นไร"

เขาพยายามจะลืมความเจ็บปวดจากการถูกกระแทก ภานุถอดอกมองดูเขาที่คุยกับธีรเดช

"คุณหมอกับผู้กองธีอยากไปไหนครับ เดี๋ยวผมจะนำทางให้"

รังสรรค์อาสา แต่ภานุกลับกีดกัน

"เรื่องของผู้กองเดี๋ยวผมจัดการเอง ผู้กองสรรค์จะไปเที่ยวหญิงไม่ใช่หรือครับ"

รอยยิ้มที่เป็นต่อปรากฏบนใบหน้า ผู้กองรังสรรค์ยักไหล่ ไม่มีวันชนะชายที่ดูเหมือนกับจะเลือดเย็นได้เลย

"ครับ งั้นเชิญผู้กองกับคุณหมอตามสบายนะครับ เจอกันตรงนี้ตอนเย็นนะครับ เอ้า...แยกย้าย"

ทุกๆคนสลายตัว ทิ้งให้ผู้กองภานุ ผู้กองธีรเดชและคุณหมอหนุ่มยืนรากงอกอยู่ในตลาด บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันทีทันใด

"คุณให้ธารนั่งข้างหลังรถทำไม ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่สบาย"

ธีรเดชเล่นงาน ภานุทำหน้าเฉย ต้นธารารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้จนได้เมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกัน เขาจะเอ่ยปากห้ามแต่ผู้กองภานุสวนขึ้นด้วยความไวกว่า

"เขาก็ยังไม่บุบสลายเสียหน่อย"

พูดจบก็ปล่อยให้ธีรเดชหน้าบึ้ง ต้นธาราปลอบให้ใจเย็น

"อย่าไปถือสาเขาเถอะธี ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ"

มือบางตบบ่า ก่อนจะพากันเดินตามคนนำทางที่ไร้อารมณ์ไปยังร้านกาแฟที่สร้างเป็นเพิงหมาแหงน ทั้งสามทรุดนั่ง อารมณ์ของผู้กองทั้งสองดูฉุนเฉียว

"แล้วคุณไม่ได้นอนกับหญิงที่นัดไว้หรือครับ"

ธีรเดชว่า ภานุชายตามอง เขาไม่ตอบคำถามนั้น คุณหมอหนุ่มก้มหน้าซ่อนมือที่กุมชายเสื้อแน่น

"จะดื่มอะไร?"

ภานุหันมาถามต้นธาราก่อน ธีรเดชจึงเงียบ เขาจะยอมสงบศึกสักพัก คุณหมอเงยหน้าขึ้น

"เอ่อ...มีอะไรบ้างล่ะครับ"

เขามองหม้ออะลูมิเนียมที่ตั้งบนเตาถ่าน พร้อมเห็นถุงกาแฟแช่อยู่ในหม้อชงกาแฟ เสียงเฉื่อยชาตอบคำถามนั่น

"ก็มีปาท่องโก๋ กาแฟโบราณ นมเย็น โอวัลตินแล้วอยากจะดื่มอะไรล่ะ"

อธิบายเสร็จก็ย้อนมาคำถามเดิม

"ผมขอกาแฟที่หนึ่ง"

ธีรเดชบอก ภานุหันไปสั่งกับแม่ค้า ต้นธารายังลังเลว่าจะดื่มอะไรดี เขาก็ดื่มได้แต่นม กาแฟก็ดื่มได้นิดหน่อย ธีรเดชเห็นดังนั้นก็สั่งเครื่องดื่มให้แทน

"ของคุณหมอเป็นโอวัลติลเย็นครับ"

สั่งจบก็หันมายิ้มให้ ภานุถอนใจ ต้นธาราสบตาอย่างขอบคุณ คอยไม่นานนักเครื่องดื่มก็ถูกยกมาให้ เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบเพียงชั่วครู่ เพราะชายหนุ่มทั้งสองต่างนั่งดื่มกาแฟร้อนๆเงียบๆ สายตามองไปยังตลาดที่ผู้คนเริ่มบางตาลง

"ที่นี่ก็ถือว่าคึกคักดีนะครับ"ธีรเดชออกความเห็น ภานุผงกหัว

"อืม...แถวนี้เป็นตลาดที่เรียกได้ว่าคนสองเขตแดนจะเข้ามาซื้อของและของหาขายของป่ากัน"

ผู้กองหน้าเย็นอธิบายให้ฟัง ต้นธารานั่งเป็นฝ่ายฟังเงียบๆแทน สายตาของผู้กองธีรเดชมองดูสภาพผู้คน เขาดื่มกาแฟจนหมด สั่งอีกแก้ว ก่อนร่างๆหนึ่งจะปรากฏแก่สายตา กลิ่นของเอื้องแซะกรุ่นจมูก เรือนผมที่ปลิวไหวตามแรงลม นิ้วเรียวจับสายกระบุงที่บรรจุของป่า ผิวเหลืองเนียนสวย...ผู้หญิงคนนั้น...ผู้กองธีรเดชเห็นเธอเดินผ่านหน้าจึงมองอย่างอึ้งๆจนภานุและคุณหมอที่นั่งมองดูอยู่ถามอย่างแปลกใจ

"มีอะไรหรือเปล่าครับ?"

ต้นธาราถาม ธีรเดชคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปจึงสั่นหัวไล่ภาพลวงตา คงไม่ใช่หญิงสาวคนนั้นแน่เพราะเธอผู้นี้มีเด็กหนุ่มติดตามมาด้วย

"ไม่มีอะไรครับ "

ธีรเดชยังติดใจอยู่ไม่หาย ชายหนุ่มเหลียวหา แล้วก็เจอเธอคนนั้นวางกระบุงในตลาดและนั่งจัดเรียงของ โดยมีเด็กหนุ่มช่วยจัดวางของที่อยู่ในกระบุง

"ชาวบ้านแถวนี้จะเก็บของป่ามาขายน่ะ"

ภานุว่า ก่อนจะคนกาแฟร้อนๆยกขึ้นดื่ม ธีรเดชพยายามจะไม่สนใจและคิดว่าตนอาจจะสับสนก็ได้ เพราะเธอดูเหมือนจะไม่รู้จักเขาเลย

"คนขายก็สวยซะด้วย"

ผู้กองภานุออกความเห็น ต้นธารามองแล้วบีบแก้วแน่น ธีรเดชจ้องเธอไม่วางตา กิริยาของเธองดงามจริงๆ ดวงตากลมโต เรือนผมที่แซมดอกเอื้องแซะไว้ ส่งกลิ่นหอมรื่น เจ้าเด็กหนุ่มนั่งอยู่ข้างๆยิ้มแย้มแจ่มใส เธอไม่ได้มองมาทางนี้เลย

"ดื่มเสร็จยังครับ"

ผู้กองภานุสอบถาม ทั้งผู้กองธีรเดชและคุณหมอต้นธาราต่างผงกหัว ชายร่างยักษ์จ่ายเงินค่าเครื่องดื่มให้ ก่อนจะพาลุกขึ้น

"ขอบคุณนะครับสำหรับค่าเครื่องดื่ม"

ต้นธาราหยุดอยู่ใกล้ๆกับหญิงกลิ่นดอกเอื้อง เขาล้วงเงินคืนภานุแต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธ ต้นธาราลำบากใจจริงๆ

"ปาลาว แล ? "(ราคาเท่าไร)

เสียงถามราคาดังเป็นภาษาพม่า ธีรเดชหันมองอย่างสนใจ เห็นแม่หญิงกลิ่นเอื้องยิ้มให้แก่ชายที่ดูดุดันชี้มายังเปลือกไม้ที่กองไว้

"พวกนี้ได้รับการข้ามเขตอยู่หรือครับ"

ภานุเหลือบมองบ้าง ต้นธารามองราวกับว่าผู้กองภานุจะสนใจเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นแววตาที่บ่งบอกความพึงพอใจเลย

"เป็นปกติของที่นี่ อย่างที่บอกจะเข้ามาทำการซื้อขายกันอยู่ที่นี่ได้ ถ้าไม่ใช่พวกโจรเราก็ไม่ห้ามหรอก"

พูดจบจะพาคุณหมอออกเดิน แต่ธีรเดชก็ถ่วงเวลาไว้ คอยมองดูว่าเธอผู้นั้นจะตอบว่าอะไร ยิ่งพิจเขาก็ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นเคย

"เต๊ะแซ "(30)

พอได้รับคำตอบชายหน้าดุดันก็ล้วงเงินให้ หญิงสาวเอื้อมรับแล้วซุกเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว

"เจ้ สุเตน แต"(ขอบคุณค่ะ)

ชายผู้นั้นเดินจากไปได้ยินอย่างนั้นผู้กองธีรเดชก็ก้าวไปหาเธอราวกับมีแรงดึงดูด ภานุมองก่อนจะกระซิบบอก

"ถ้าคิดจะถามชื่อให้ถามว่าจามา นาแม ม่า นะครับ ถ้าจะทักทายเธอให้พูดว่า มิงกะละบา เพราะดูเหมือนเธอจะมีเชื้อสายพม่าด้วย"

ชายหนุ่มเดาเพราะเห็นว่ามีผิวสีเหลืองที่เกิดเพราะทาขมิ้น นัยน์ตาก็กระจ่าง ธีรเดชขอบคุณก้าวไปหยุดตรงหน้าเธอ กิ่งไผ่ก้มหน้า เจ้าขิ่นยิ้มให้แก่ลูกค้า ต้นธารามอง ผู้กองภานุดูจะเยาะเขากรายๆ

"ดูท่าผู้กองของคุณจะติดใจเธอผู้นั้นเสียแล้วนะครับ"

ต้นธารากอดอก เขาดีใจถ้าผู้กองธีรเดชจะมองดูเธอแทนที่จะเป็นเขา แต่ต้นธาราก็นึกอิจฉาหญิงสาวแสนงามผู้นั้น...เธอผู้มีกลิ่นกายหอมกรุ่น เพราะผู้กองภานุมีเธออยู่ในสายตา ทั้งสองมองดูธีรเดชเข้าไปจีบ

"มิงกะละบา นาแม ม่า?"(สวัสดี น้องสาวชื่ออะไร?)

กิ่งไผ่เงยหน้าขึ้นแล้วนิ่งงัน เพราะคนตรงหน้านั้นเป็นคนที่เคยปะทะด้วย...คนที่คล้ายกับผู้กองนาคี เจ้าขิ่นจะด่า เพราะคิดว่ามาเกาะแกะเจ้านาย แต่กิ่งไผ่ห้ามไว้ ธีรเดชแน่ใจว่าหญิงผู้นี้เขาเคยพบเจอเพราะกลิ่นเอื้อง ดวงตาดำกลับดุจสีรัตติกาลพยายามจะหลบสายตา

"เธอ..."

พอพูดถึงช่วงนี้ กิ่งไผ่ก็รวบผ้าขึ้นโยนใส่กระบุงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วคว้ามือเจ้าขิ่นให้ลุกขึ้น

"เตปิ" (ฉิบหาย)

กิ่งไผ่หลุดอุทาน เจ้าขิ่นงุนงง มันไม่เข้าใจนัก อยากจะถามแต่เจ้านายก็พาวิ่ง ท่ามกลางความงุนของธีรเดชและผู้กองภานุกับคุณหมอที่มองอยู่

"เดี๋ยว..."

ธีรเดชเผลอวิ่งตามเธอ ต้นธาราจะร้องเรียกแต่ก็ถูกรั้งตัวไว้ สายตาอ่อนโยนได้แต่มองดูผู้กองธีรเดชด้วยความเป็นห่วง ธีรเดชวิ่งตามหญิงสาวที่วิ่งว่องไว คล่องแคล่ว พลันคลาดกัน สายตาของผู้กองหนุ่มสอดส่ายหา พอจะตามเหมือนมีอะไรมาขวางกั้น...หรือว่าเธอจะเป็นผีกัน เขาหมดแรง ชายแก่ที่มองดูเขาที่สอดสายตาหาหญิงสาวผู้นั้นก็เอ่ยขึ้น


"พ่อหนุ่มตามหาลูกสาวตาสาเรอะ อย่าไปตามเลย อีเอื้องคำน่ะเป็นลูกของผี ไม่สนใจใครหรอก"

ชายหนุ่มหอบหายใจแรงฟังกล่าวนั้น ถึงจะงงๆและก็ไม่เชื่อแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้

"เธอคนนั้นชื่อเอื้องคำหรือ? เธอพักอยู่ที่ไหนกันครับ?"

ชายหนุ่มถามเพราะต้องการรู้จริงๆว่าเธอเป็นใคร...หญิงที่มีนามว่าเอื้องคำ....

"อีเอื้องอาศัยอยู่บนเขาโน้น อย่าไปตามมันเลย มีผู้ชายเหมือนพ่อหนุ่มตามไปไม่เคยเจอบ้านมันสักคน"

บอกเสร็จก็หันไปเคี้ยวหมากต่อ ปล่อยให้ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง...บ้านที่ไม่เคยเจองั้นรึ...ชักจะประหลาดเสียแล้วสิ ชายหนุ่มคิดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าทิ้งคุณหมอเอาไว้ แต่พอกลับไปก็ไม่เห็นทั้งสองเสียแล้ว พอกลับไปยังจุดนัดพบ ทุกคนก็เดินกลับมาหน้าตามีความสุขสม ธีรเดชก็ถามถึงคุณหมอต้นธาราและผู้กองภานุทันที

"เอ้...ผมก็ไม่เห็นเขานะ เดี๋ยวเราลองไปถามคนแถวนั้นดีกว่า บางทีผู้กองภานุอาจจะพาคุณหมอกลับไปก่อนก็ได้"

จ่าแม้นว่าก่อนจะไปถามชาวบ้านแถวนั้น พอได้ข้อมูลว่า คนที่ผู้กองพามาด้วยนั้นเริ่มหน้าซีด จึงพาไปไหนแล้วไม่รู้ ธีรเดชร้อนใจแต่ผู้กองรังสรรค์ก็คอยปลอบ

"ไว้ใจผู้กองภานุได้ครับ อาจจะพาคุณหมอกลับค่ายไปก่อนก็ได้ เพราะเขาชำนาญพื้นที่แถวนี้ดี เราก็กลับไปดูที่ค่ายกันเถอะ "

ทุกคนต่างพากันขึ้นรถเพราะใกล้ค่ำแล้ว ธีรเดชที่ไม่สบายใจ เขาห่วงว่าอาการโรคลูคีเมียของคุณหมออาจจะกำเริบ กลัวที่จะเป็นแบบนั้น เขาพยายามที่จะคิดไปในทางที่ดี และขอให้ภานุพากลับถึงฐานโดยปลอดภัย ชายหนุ่มลืมเรื่องแม่สาวดอกเอื้องไปชั่วครู่ ใจจดจ่อกับทางไปค่ายโดยไม่สนใจกับคำพูดหรือคำถามของเพื่อนร่วมค่ายแม้แต่นิดเดียว

------------------------------------------------

คุณหมอต้นธาราหลังจากที่แยกจากผู้กองธีรเดช เขาก็ถูกพามายังบ้านหลังหนึ่ง สายตาของคุณหมอมองไปรอบๆ ก่อนจะถาม

"พามาที่นี่ทำไม?"

เขาถามอย่างไม่เข้าใจนักกังวลว่าจะไปไม่ทันที่นัดรวมพล

"คุณมีสีหน้าไม่ดีควรพักผ่อนบ้าง"

ต้นธาราขมวดคิ้ว

"ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย"

ต้นธาราขยับตัวอย่างอึดอัด สายตากังวลใจ

"ป่านนี้พวกนั้นคงกลับค่ายไปแล้ว"

ชายหนุ่มบอก ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง ภานุแสยะยิ้มเมื่อเห็นคุณหมอดูกระสับกระส่าย

"กลัวผมหรือไง"

ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนลงบนที่นอน มองดูตัวที่สั่นเทาของคุณหมอ ต้นธาราส่ายหัว

"มีหรือที่ผมจะกลัวคุณ"

ต้นธาราตอบกลับอย่างเย็นชา ภานุหัวเราะนั่งลงริมเตียงเคียงข้างคุณหมอ

"งั้นหรือครับ ถ้าคุณไม่กลัวผมก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆสิ"

ชายหนุ่มสั่ง คุณหมอหนุ่มนั่งนิ่ง ไม่สนใจในคำกล่าวนั่น

"แสดงว่าคุณก็ยังคงกลัวผมอยู่ดี"

ภานุกล่าวโน้มกายเข้าหา จ้องเข้าไปในสายตาของต้นธารา ที่พยายามหลบ

"อย่าทำแบบนี้เลยครับ"

ต้นธาราเอ่ยห้ามพร้อมเบือนหน้าหนี แต่นิ้วแกร่งก็จับมันมาเผชิญหน้ากันจนได้

"อย่าเบือนหน้าจากผมอีก"

สั่งด้วยความเย็นชา คุณหมอขบริมฝีปากตัวเองแน่น แต่ก็ถูกนิ้วแกร่งเกลี่ยให้เผยออกน้อยๆ ต้นธารากำมือแน่น ยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจบีบคั้นมากเท่านั้น

"จะร้องไห้อีกรึ?"

จากคำพูดที่เย็นชากลับกลายเป็นอ่อนโยน อุ้งมือหนาประคับประคองดวงหน้าสวยไว้ บังคับให้มันเงยหน้าสบตา ภายในดวงตานั่นพยายามจะเข้มแข็ง แต่เขาก็อยู่กับหนทางที่สิ้นหวัง ทั้งๆที่พยายามจะเข็มแข็ง แต่ก็ไม่อาจทำได้เลย ชายหนุ่มเกลี่ยใบหน้า ปัดแก้มนวลเบาๆ ใบหน้าผู้กองหนุ่มก็โน้มเข้าใกล้ ประทับจูบเบาๆบนริมฝีปาก ราวกับปลอบใจ ใบหน้าขาวซีดของคุณหมอหนุ่มซับสีเลือด กลายเป็นสีแดงเข้ม สายตาแกร่งกร้าวของผู้กองหนุ่มมองดูด้วยความหลงใหล

"ป่านนี้แล้วคุณยังจะอายอยู่หรือ?"

คำถามช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ที่เป็นเช่นนี้ เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าเพราะอะไร ดวงตาสีอ่อนสบกับดวงตาแกร่ง คุณหมอยกมือมากุมมือที่จับใบหน้าตัวเองไว้

"เพราะคุณอ่อนโยนไงล่ะ แตกต่างกว่าทุกครั้งที่เราพบเจอกัน"

ภานุลุกขึ้น กอดร่างบาง ก่อความรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ มันช่างเลือนรางจริงๆ คุณหมอกอดตอบแน่น เขาดึงเสื้อเชิ้ตไว้ สูดดมกลิ่นโคโลญจ์ของนายทหารหนุ่ม ต้นธาราผละออก เขาส่ายหน้ากับความรู้สึกของตัวเองไม่อยากจะหลงเข้าไปในความรู้สึกนั่นเลย ผู้กองภานุมองดูร่างที่ดูเหน็ดเหนื่อย ปลอบใจโดยการกุมมือไว้นิ่งๆ....
ความเห็นใจ สิ่งต้องการ นี่มันเป็นความฝันหรือเรื่องจริงกัน เขาอยากสัมผัสกับความอบอุ่นและความรักที่งดงาม เขาจะเลือกได้สักทางไหม หลับตาลงอีกครั้งเมื่อถูกจุมพิตเบาๆที่แก้ม หยดหยาดน้ำตาอยู่ๆก็ไหลลง ชายหนุ่มก็จูบซับไล้เลียให้มันแห้ง ต้นธาราก็ยิ่งดึงร่างของผู้กองมากอดแน่น

"อ่อนโยนกับผมสักครั้งได้ไหม ขอให้ได้รับความรู้สึกนั่นได้หรือเปล่า"

คำตอบได้รับการตอบรับโดยริมฝีปากที่จูบไปทั่ววงหน้าได้ครอบครองริมฝีปากบาง สัมผัสด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนที่สุด

"ขอแค่ตอนนี้ให้มองแค่ผมได้ไหม?"

ต้นธารากระซิบข้างหูผู้กองหนุ่ม ภานุหัวเราะ

"ที่พูดแบบนี้หึงหวงจากแม่หญิงกลิ่นเอื้องรึ"

ต้นธาราไม่ตอบ เขาหลับตาแน่นยามที่ริมฝีปากประทับบนบ่าเปลือยเปล่าที่ชายหนุ่มไล้เสื้อผ้าออก รสจูบร้อนๆนาบลงบนผิวสะอาด

"กลิ่นกายคุณยิ่งกว่ากลิ่นเอื้องนั้นเสียอีก มันหอมหวานและเย้ายวน ขาวสะอาด นุ่มนวลน่าทะนุถนอมยิ่งนัก"

ชายหนุ่มไล้ลิ้นไปบนผิวสวย ต้นธาราที่ได้ฟังสั่นสะท้านราวกับเป็นไข้ หูเขาคงไม่ฝาดไปนะกับคำชมดั่งครีมที่หอมหวาน นิ้วมือที่สัมผัสผิวเนียน พาร่างให้สั่นระริก ภายใต้ค่ำคืนนี้เขาใต้อยู่ภายใต้อ้อมแขนแข็งแรง เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกจนหมด ผิวกระจ่างปรากฏแก่สายตา ทั่วทั้งตัวของต้นธาราราวกับจะมีสีสัน ใบหน้าแดงจัดเมื่อถูกสายตาแกร่งโลมไล้ไปทั่วราวกับจะจดจำประทับตราตรึงไว้ ชายหนุ่มจับมือเรียวขึ้นมา จูบที่ฝ่ามือ ก่อนจะใช้ลิ้นเลียทีละนิ้ว ดูดกลืนจนมันเปียกชุ่ม คุณหมอเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้กองจะเริ่มต้นบทรักด้วยความอ่อนโยน ทั่วทั้งร่างยิ่งสั่นระริก เพราะกำลังถูกฆ่าทางอ้อมด้วยอารมณ์ที่จุดให้คลุ้มคลั่งไปกับความรู้สึกแสนหวาน

พอทั่วทั้งฝ่ามือถูกดูดกลืนราวกับจะกินเข้าไป ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า ก้มหน้ากับส่วนท้องน้อย สัมผัสกับสะดือ ลากไล้มาเรื่อยๆผ่านหน้าขาจนร่างบางสะท้านเฮือก นิ้วเรียวจิกเข้าไปในเส้นผมยามที่ริมฝีปากกลืนกินส่วนต้องห้าม เสียงกรีดร้องเบาๆ ลำตัวบิดเร่าๆ ทุกสัมผัสสร้างความเสียวซ่าน และยิ่งทำให้หลงเข้าไปในห้วงที่ลึกล้ำ ยิ่งกรีดร้องมากขึ้นเท่า สัมผัสก็จะแรงขึ้นมากเท่านั้น ผู้กองหนุ่มถอนริมฝีปากออกเมื่อส่วนที่สัมผัสเริ่มเปียกชื้น ชายหนุ่มใช้นิ้วมือสัมผัสกับตุ่มไตเล็กๆที่อยู่บนแผ่นอกขาว มันแข็งขึงขึ้นยามที่นิ้วแกร่งสัมผัสและลูบไล้มัน ส่วนนิ้วที่วาง แหวกเรียวขาเรียวแยกออกกว้าง แตะไประหว่างขา สอดนิ้วเข้าไปยังช่องทางอันคับแคบ อุ่นชื้น ยิ่งทำให้ร่างของต้นธารากระตุก ใจก็จะขาดรอนๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ ดวงตาสีอ่อนเหมือนกับจะเข้มขึ้นยามที่นิ้วที่สอดแทรกเข้าไปขยับเขยื้อน

"อย่าฆ่ากันแบบนี้เลย"

กระซิบเสียงแหบพร่า จิกฟูกแน่น ร่างกายเคลื่อนไหวไปอย่างอัตโนมัติตามนิ้วที่แทรกสอด ภานุไม่ยอมทำตามที่พูด หลังที่นิ้วมือได้สัมผัสตุ่มไตที่แข็งขึ้น เขาก็ใช้ริมฝีปากดูดกลืนมันทั้งหมด ยิ่งทำให้เสียงครางดังขึ้น พอดูดกลืนจนพอใจแล้ว ก็ไล้ตามคอจนกระทั่งบรรจบกับเรียวปากอิ่มที่เผยอรออยู่แล้ว จูบอย่างดูดดื่ม ฝ่ายต้นธาราก็ตอบสนองดีเสียด้วย ลิ้นที่เกี่ยวพันอยู่ไม่ห่าง เขาเริ่มปรนนิบัติผู้กองบ้าง โดยการใช้มืออุ่นๆปลดกางเกงสอดเข้าไปข้างในสัมผัสส่วนที่แข็งขึง ขยับให้อย่างแผ่วเบา ยิ่งทำให้การจูบเพิ่มระดับความรุนแรง พอริมฝีปากแยกออก ดวงตาสีอ่อนฉ่ำเยิ้มไปตามอารมณ์พิศวาส ชายหนุ่มก็ดึงรั้งมืออก อยากปลดส่วนที่คับตุงออกสู่อิสรภาพ

"คิดจะสัมผัสมันอีกรอบไหม?"

ชายหนุ่มถาม คุณหมอมองส่วนที่พองโตและมีขนาดใหญ่ก็กลืนน้ำลาย แต่ก็ยอมก้มหน้าลง นึกถึงครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเรือนร่างแกร่ง ริมฝีปากบางดูดกลืนอย่างไม่เชี่ยวชาญ ชายหนุ่มส่งเสียงครางอย่างพึ่งพอใจ ดวงหน้าที่ดูอ่อนโยนถอนออกเมื่อสัมผัสถึงรสชาติขื่นของน้ำสีขุ่น ชายหนุ่มผลักร่างของคุณหมอลง ต้นธารายอมอย่างว่าง่าย เขากอดแน่นเมื่อชายหนุ่มสอดแทรกชิ้นส่วนที่แข็งขึงเข้ามาและขยับอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สร้างฝันแสนสวยงามให้ แล้วแล้วมันก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มยังกอดเข้าไว้ ยังทาบทับร่างกายและยังไม่ถอนชิ้นส่วนที่แข็งแรงออกจากช่องทางที่คับแคบ มันสร้างความรู้สึกดีให้อยู่ไม่น้อย

"หวานไปทุกส่วนเลย"

ชายหนุ่มกระซิบ ต้นธาราดันอกไว้ เขาเกรงว่าถ้าอีกรอบ เขากลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหว แต่พอมาเจอคำหวานๆ ดูเหมือนว่าเขาจะยอมทุกอย่างได้ ชายหนุ่มจับพลิกกายรั้งสะโพกให้สูงขึ้น นำหมอนมารองไว้หน้าท้องก่อนจะเริ่มบทรักอีกรอบ จนเวลาผ่านไปนานเท่าไรต้นธาราไม่รับรู้แล้ว เขารู้แต่เพียงว่าเวลานี้เขามีความสุข จนกระทั่งความเหนื่อยอ่อนเข้าถาโถม ชายหนุ่มก็นอนซ้อนและกอดเขาไว้ กายที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อตระกองกอดซึ่งกันและกันไว้ ความเปียกชื้นไม่ทำให้ต้นธารารำคาญนักเพราะเขามีความสุข หัวใจเต็มเปี่ยม ลืมเลือนความเจ็บปวดที่จะตามมาไปชั่วครู่ แม้ว่าจะผูกพันทางกาย แค่ได้รับกายและอ้อมกอดอันอบอุ่น เขาก็พอใจแล้ว....สัมผัสที่พาใจล่องละลอยอีกครั้ง....ภานุหลับสนิท คุณหมอซุกกายเข้าหานำวงแขนกอดเขาไว้ แม้ว่าพรุ่งนี้เช้ามันจะลงเอยด้วยอารมณ์อันแปรปรวนก็ตาม....
------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Simply Blue ที่ 19-05-2008 20:46:00
ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า และกดดัน
เฮ้อ เมื่อไรผู้กองภาณุจะรู้ความจริงแล้วเข้าใจคุณหมอสักที  :เฮ้อ:
ความไม่ชัดเจนอาจทำให้คนเดินหลงทางได้เหมือนกัน เป็นห่วงความรู้สึกและร่างกายคุณหมอจริงๆๆ  :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 19-05-2008 21:43:57
หวานก็หว้าน หวาน
โหด ก็โคตร โหด

ตอนนี้เชียร์คู่ ผู้กองธี กะ กิ่งไผ่ ดีก่า เฮอๆๆๆ
ท่าจะไม่รันทด
รึเปล่า...
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 19-05-2008 22:55:39
เข้ามาบวกให้เพือนสาวคนขยัน o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 19-05-2008 22:58:22
สงสารคุณหมอต้นนนนนนนนนนนนนนนน  :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-05-2008 23:21:40
ผู้กองภาณุ แกล้งตลอดเลยนะ แต่ไปพักในเมืองด้วยกัน  :o8:  :o8: 

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 19-05-2008 23:25:43
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับสงสารคุณหมอจังครับผม

แต่ผู้กองภานุก็เริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว

อีกหน่อยก็รักกันดีกันเองครับผมว่านะ

:impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-05-2008 20:19:41
เนอะ  สงสารคุณหมอ 
++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:8 Task/ภารกิจ(Part)1

หลังจากกิ่งไผ่หลบหนีมาได้ ร่างบางกุมหน้าอกด้วยความโล่งใจ ทรุดนั่งกับพื้นซ่อนตัวเองอยู่กระต๊อบร้าง เจ้าขิ่นเหนื่อยหอบไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มสูดลมเข้าปอดลึกๆเพราะเจ้านายพามันวิ่งด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง จนมาถึงที่ซ่อนตัวชั่วคราว

"พี่ไผ่ทำไมต้องวิ่งหนีไอ้หนุ่มคนนั้นด้วยล่ะ เดี๋ยวพวกเราก็ถูกสงสัยหรอก"

อันที่จริงกิ่งไผ่ก็ผิดเอง เขาเพียงตื่นเต้นมากไปหน่อยจนลืมตัว ร่างสูงโปร่งทรุดนั่ง นิ้วแตะใบหน้าที่ดูซีดขาว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง หัวใจในตอนนั้นดูเหมือนกับจะหยุดไป ดวงตาแกร่งที่สบมอง...ไม่อาจจ้องได้นานนัก ชายผู้นั้นจำได้ เด็กหนุ่มมองอาการมองเหม่อลอยของเจ้านาย ก่อนจะโบกไม้โบกมือใส่หน้าเป็นการเรียกสติ

"พี่ไผ่ครับเป็นอะไรหรือเปล่า? แล้วไอ้หนุ่มคนนั้นเป็นใครครับ"

กิ่งไผ่ลุกขึ้น เขาปัดเศษดินออกจากผ้าซิ่น หยิบกระบุงขึ้น

"จะเป็นใครเอ็งก็อย่าสนเถอะ เอาเป็นว่าเราเสร็จสิ้นงานของเราแล้วก็รีบกลับเถอะ"

เจ้าขิ่นมันไม่เข้าใจนักว่าเจ้านายของมันคิดอะไรอยู่ในใจ เด็กหนุ่มได้แต่เดินตามต้อยๆ มองแผ่นหลังที่ซ่อนเรื่องบางอย่างไว้ กิ่งไผ่ไม่หยุดฝีเท้าเลย เขารีบกลับไปยังที่ซ่อนตัวลับๆอีกที พอไปถึงก็รีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อเชิ้ตเก่าๆขาดๆกับกางเกงยีนส์ปะขา ทรุดนั่งมองเงินแบงค์ยี่สิบ เจ้าขิ่นสงสัยว่าธนบัตรใบนั้นมันมีอะไรน่าสนใจหนักหนา มันจึงเอ่ยปากถาม

"นายดูเงินแบงค์ทำไมครับ หรือว่าเป็นแบงค์ปลอม?"

กิ่งไผ่หัวเราะเล็กน้อย เขาไม่ตอบของเด็กหนุ่ม หยิบหมอนสีเหลืองมอๆมารองแผ่นหลัง

"ในนี้บรรจุข้อมูลทางฝั่งไทยไว้"

เจ้าขิ่นตาโต มันไม่อยากจะเชื่อว่าเงินแบงค์ยี่สิบจะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลได้ เจ้านายโยนมันลงในเก๊ะเก็บของ

"มันเก็บอย่างไรครับ"

เด็กหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ แต่เจ้านายก็ไม่ตอบ กลับล้มตัวนอน กลุ่มผมยาวสลวยคลุมซีกหน้าสวยไว้ครึ่งหนึ่ง

"อยากรู้ตื่นขึ้นมาจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ฉันง่วงเหลือเกิน"

ริมฝีปากอิ่มเรียวหาว ร่างบอบบางขดบนเตียงแคบๆ เจ้าขิ่นจดๆจ้องๆนายของมันที่หลับลงอย่างง่ายดาย เปลือกตาปิดสนิท แขนกอดอกเข้าหากันดุจจะเหน็บหนาว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงนำผ้าห่มมาคลุมกายเจ้านาย ก่อนจะไปนั่งเฝ้าที่ประตู มองเก๊ะที่ใช้เก็บเงินแล้วยังสงสัยไม่หาย จึงเดินไปเปิดดูก่อนที่จะได้รับอนุญาต

"คิดจะทำอะไรน่ะขิ่น บอกแล้วไงว่าจะบอกเอง ไปนอนเสีย อากาศดีๆ วันว่างๆแบบนี้หาได้ไม่บ่อยหรอกนะ"

เจ้าขิ่นสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเจ้านายงึมงำทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา มันจึงรีบวางเก๊ะลง แปลกใจทั้งๆที่เจ้านายน่าจะหลับสนิทไปแล้วและมันก็เดินอย่างแผ่วเบาแล้ว เพราะอะไรเจ้านายถึงหูดีนัก

"ขอโทษครับที่ทำแบบนั้น...เอ่อ...อ่า...เห็นว่าพี่ไผ่จบจากโรงเรียนทหาร จบจากที่ไหนเหรอครับ"

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นการรบกวนเวลานอนไหม แต่ปากมันก็พลั้งไปแล้ว รอดูเจ้านายจะต่อว่าอะไรตัวเอง ผลที่ได้คือความเงียบงัน คล้ายกับกิ่งไผ่จะหลับไปเสียดื้อๆ เจ้าขิ่นเงียบงันไปทันที

"เอ็งถามฉันเรอะขิ่น...ฉันจบจากนายร้อยเวสพอยท์ (Westpoint)มา นายพลอินคานเป็นคนส่งฉันไปเอง"

น้ำเสียงเจือความง่วงงุน เจ้าขิ่นตาโต

"โอ้โห...พี่ไผ่จบจากเวสพอยท์เชียวรึครับ"

คนอยู่บนเตียงเงียบไป ระลึกถึงตราอินทรีผงาดเหนือตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน คิดถึงวันที่ได้ฝึกฝนในโรงเรียนนายร้อยอันเกรียงไกร

"อืม รู้แล้วยังเซ้าซี้อีกนะ"

กิ่งไผ่ลืมตาขึ้นมา เจ้าขิ่นทำหน้าเจื่อนไป มันขอโทษผู้เป็นนาย กิ่งไผ่หัวเราะ

"เอาเถอะจะเล่าให้ฟังก็ได้ เพราะถ้าขืนไปบอกไม่เล่าเดี๋ยวเอ็งก็กวนฉันอีก"

นิ้วเรียวหยิบเก๊ะออกมา ก่อนจะชูธนบัตรขึ้น ชี้ไปบนเงินแบงค์

"นี่เป็นธนบัตรปลอม ข้างในจะซ่อนฟิล์มเล็กๆไว้ ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพิเศษในการลอกออกมาตัวฟิล์มที่ซ่อนไว้จะได้ไม่เสียหาย มันยากมากกว่าจะได้ข้อมูลแต่ละหน่วย เราต้องเสียเงินไปเยอะและเสี่ยงอันตรายมากแต่มันก็จำเป็นสำหรับเรา "

พูดจบกิ่งไผ่หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา โกยธนบัตรทั้งหมดลงในซอง

"มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ"

ดวงตาที่มองเข้าไปในความงุนงง อ้าปากหาวอีกรอบ ก่อนจะบิดตัวคลายความเกียจคร้าน กิ่งไผ่เสยผมดำสนิทจนมันยุ่งเหยิง นั่งชั่นเข่ากอดแน่น

"อยากรู้ชีวประวัติส่วนไหนของฉันบ้างล่ะ?"

เขาถามเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลงทันที กิ่งไผ่จึงหัวเราะร่วน

"เห็นถามฉันซอกแซกจนไม่ได้หลับ แล้วตอนนี้ไม่ถามแล้วรึ?"

เจ้าขิ่นเงยหน้าขึ้น ทำหน้าเหมือนอยากจะถามแต่ก็เกรงๆ

"พี่ไผ่อยู่ที่เวสพอยท์เป็นอย่างไรบ้างครับ?"

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจถาม กิ่งไผ่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย

"ที่เวสพอยท์ก็เปรียบดังโรงเรียนแห่งการรบที่ใครๆต่างเฝ้าฝันอยากจะเข้า ที่นั่นสอนหลายๆอย่างไม่ใช่เป็นแค่โรงเรียนทหารเพียงอย่างเดียวแต่เป็นทั้งมหาวิทยาลัย เป็นทั้งศูนย์กลางต้นแบบวิชาผู้นำทางทหารในสาขาต่างๆ และศูนย์กลางเทคโนโลยีทางเบสิคในการทหาร ที่เวสพอยท์มีทั้งนายร้อยหลายๆสัญชาติเข้ามาเรียนถ้าได้ทำสนธิสัญญากัน"

เจ้าขิ่นพยักหน้า มันยิ่งนึกชื่นชมในความสามารถของเจ้านาย

"แล้วโรงเรียนนายร้อยเวสพอยท์ตั้งอยู่ที่ไหนครับ"

" เวสพอยท์ตั้งอยู่ที่อเมริกา มีสถาบันทางการทหารยอดนิยมอยู่สามแห่งคือ เวสพอยท์ ดันทรูน และแซนเฮิร์ทเป็นสถานที่ๆเน้นพรสวรรค์น่าดู เหนื่อยเหมือนกันที่ไปเรียนอยู่ที่นั่น "

กิ่งไผ่นวดต้นคอ เจ้าขิ่นพูดไม่ออกเลย มันรู้ว่าเจ้านายของมันเก่ง แต่พอได้ฟังประวัติแล้วก็ยิ่งชื่นชม

"พี่ไผ่เก่งจังเลย ผมอยากเป็นอย่างพี่ไผ่บ้าง"

พูดถึงช่วงนี้กิ่งไผ่หัวเราะคล้ายกับจะหยามหยันตนเอง

"อยากเป็นแบบฉันรึขิ่น มันไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอก"

ชายหนุ่มย้อนถึงอดีตอันขื่นขมของตัวเอง นิ้วเรียวกุมเส้นผมยาวสลวย ท่าทีปวดใจจนเจ้าขิ่นตกใจ

"ขอโทษครับนายที่ทำให้นายนึกถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา"

นิ้วเรียวโบกไล่ให้เจ้าขิ่นออกไปข้างนอก เจ้าขิ่นเห็นจึงทำตามแล้วก็ตบปากตัวเองที่ไม่น่าซอกแซกจนเจ้านายนึกถึงเรื่องที่น่าเจ็บปวดขึ้นมาเลย

กิ่งไผ่ซบหน้ากับเตียง พยายามจะลบเลือนภาพอดีตสมัยเด็ก นายพลอินคาน เจ้าเมืองคนปัจจุบันแห่งเวียงนวรัฐะเวียงที่ติดติดลุ่มน้ำอิรวดี อาณาจักรในป่าที่ล่มสลายไป ภาพบ้านเมืองอันแสนสุขต้องล่มจมเพราะสงคราม มารดาของเขา เจ้าหญิงแห่งสิเรียมแต่งงานกับนายพลอินคานซึ่งมีเชื้อสายเป็นลูกหลานเจ้าเมืองพม่า ย้ายไปปกครองเวียงนวรัฐะแทนเจ้าองค์เดิมที่สิ้นพระชนน์ไป ช่วงเวลาที่อยู่เวียงนวรัฐะสำหรับกิ่งไผ่แล้วเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก จนกระทั่งเขาอายุสิบเก้าปี ถูกส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยเวสพอยท์โดยผ่านนายทหารอเมริกาที่เข้ามาสำรวจเทือกเขาปัตไกซึ่งเป็นพรมแดนกั้นระหว่างพม่าและอินเดีย นายทหารสัญชาติอเมริกันก็รับเขาไปอยู่ที่อเมริกาด้วย ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่เหินห่างจากบ้านมา ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ณ เมืองบ้านเกิดไม่เหลือเค้าแห่งความสุขเพราะเกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างเมือง แม่ของเขาถูกวางยาพิษ ส่วนพ่อก็ถูกขับออกจากเวียงนวรัฐะ เมื่อกิ่งไผ่อายุครบยี่สิบปี่ทุกอย่างก็ถึงจุดจบ พ่อที่เคยใจดีกลับแปรเปลี่ยนเคี่ยวเข็ญและทำให้เขาจบจากเวสพอยท์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการกู้บ้านเมือง เขาที่เศร้าใจกับการตายของแม่ไม่เข้าใจนัก...รู้ว่าสงครามมักมีแต่ความสูญเสีย ถึงแม้จะได้ชัยชนะและอำนาจมาก็ตาม พ่อเขากลายมาเป็นนายพลไร้อำนาจต้องรวบรวมผู้คนเพื่อเป็นกำลังในการต่อสู้ กิ่งไผ่ก็จะถูกเสี้ยมสอนให้รักบ้านเมือง ทำเพื่ออุดมคติ เขาเคยเยาะชีวิตกับพ่อว่า บัดนี้ชีวิตก็เป็นได้แต่กองโจรที่รอฝันไปวันๆว่าสักวันอาณาจักรจะฟื้นคืน สุดท้ายเขาก็ถูกท่านนายพลอินคานตบหน้า กิ่งไผ่ในตอนนั้นมีแต่ความโกรธ ชิงชังอยู่เต็ม เขาคิดว่าพ่อไม่ไยดีต่อแม่เลย สุดท้ายท่านนายพลก็กอดเขาไว้และเอ่ยว่า

'ทั้งลูกและทั้งมนัสหยาต่างเป็นสิ่งสำคัญ พ่อเสียใจที่ไม่อาจจะปกป้องแม่ของเจ้าได้ ในตอนนี้ความสุขของพ่อคือเจ้า เจ้าคือสิ่งที่พ่อไม่เจ็บปวดและทรมานยามที่นึกถึงแม่ของเจ้า พ่อเป็นพ่อที่แย่ที่ทำให้เจ้าไม่มีความสุขเลย...ตอนนี้พ่อขอโทษที่ทำให้เจ็บปวด'

อ้อมกอดของบิดาอบอุ่นและอ่อนโยน กิ่งไผ่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะกู้เมืองและนำทุกสิ่งทุกอย่างคืน น้ำตาจึงไหลอาบแก้ม ท่านพ่อที่อยากเห็นบ้านเมืองฟื้นดังเดิม จนแล้วจนรอดก็มีแต่เพียงภาพอากาศ เขานึกถึงมารดาที่ตายจากไปเพราะสงคราม เขาเกลียดการฆ่าฟัน...เกลียดแต่ต้องมากระทำดุจไร้หัวใจ แต่พอบิดาเอ่ยเช่นนี้ หัวใจที่เคยด้านชาก็อบอุ่นและเต็มตื้น บิดาที่เข้มแข็งกลับมาร้องไห้เสียใจ ทุกอย่างมันเลือกไม่ได้เลย มีแต่ความเจ็บปวดอยู่เต็ม...ภาพแห่งความหลัง เวียงนวรัฐะ อากาศค่อนข้างหนาว บิดาที่อ่อนโยนมักจะนำผ้าห่มมาให้เสมอๆยามที่เขากับมารดาออกไปนั่งริมระเบียง มารดาที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจะยิ้มอย่างอ่อนโยน ผมยาวสลวยของมารดาพัดปลิวตามสายลมหนาว ท่านนายพลจะนั่งอยู่เคียงข้าง เฝ้ามองดูป่าเขียวขจีอย่างมีความสุขด้วยกัน ที่เวียงนวรัฐะส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำเหมืองแร่ พ่อของเขาก็เคยมีเหมืองแต่ตอนนี้มันถูกยึดไปแล้ว พอโตขึ้นจวบจนสิบเก้าปีเขาก็ถูกส่งไปยังอเมริกาเพื่อเรียนวิชาทหาร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พ่อบังคับให้กลับไปเรียนต่อทั้งๆที่ไม่เหลืออะไรแล้ว กิ่งไผ่ก็กลับไปโดยที่หัวใจแตกสลาย เพราะเขาไร้ทั้งชาติ บ้านเมืองและสังคม เขามีสองสัญชาติ บิดาให้นายทหารอเมริกันโอนสัญชาติให้

กิ่งไผ่เกลียด เขาไม่อยากมีสัญชาติอื่นใดนอกจากสัญชาติบ้านเกิดตัวเอง เหมือนกับความภาคภูมิใจทั้งหมดทั้งมวลหายไป สิ่งนี้ช่วยระลึกสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่กิ่งไผ่มาทราบเอาทีหลังจากบิดาบุญธรรมว่ามันเป็นการลี้ภัยทางการเมืองทางหนึ่ง พ่อของเขาต้องการให้เขาปลอดภัย ด้ายที่ผูกไม่ให้เห็นด้านอื่นๆจึงคลี่ออกช้าๆ เขาจึงหันมาพยายามเพื่อพ่อทั้งๆที่ในใจมีอคติกับการสู้รบเสมอ...ไม่อาจจะหาสิ่งอื่นใดมาลบเลือนได้จนกระทั่งได้พบกับ 'เขา' คนนั้น เพียงแค่มองครู่เดียว ทุกอย่างก็ดูไร้เหตุผล สายตาของ 'เขา'ดูคับข้องใจ แววตาอ่อนโยน เขามีใครอยู่ในหัวใจหรือยังนะ ร่างโปร่งพลิกกายบนเตียง สายตาแสนเลื่อนลอยคอยๆหลับลงอย่างอ่อนเพลีย...ฝันว่าเขาได้สัมผัสริมฝีปากอุ่นหนาอีกครั้งหนึ่ง สัมผัสอ่อนหวานยามที่นิ้วแกร่งแทรกเข้าไปในเรือนผม พร้อมกับเชยหน้าพิจมอง เหมือนกับเป็นเรื่องจริง แท้จริงแล้วก็แค่ภาพฝันลวงตา

------------------------------------------------

ผู้กองภานุโอบกระชับร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขนแน่น กอดรัดราวกับจะให้หายใจไม่ออก ผิวขาวกระจ่างปรากฏรอยแดงเป็นย่อมๆ ชายหนุ่มจับมันขึ้นมาดูว่าเป็นรอยห้อเลือดหรือรอยอะไรกันแน่ แล้วก็ถอนใจ ใบหน้าแกร่งปรากฏรอยยิ้ม สายตานุ่มนวลจับจ้องร่องรอยเหล่านั้น มองท้องฟ้าที่ใกล้สาง อากาศยามเช้าหนาวเย็น แต่เมื่อรับความอบอุ่นจากร่างบางแล้วก็หายหนาว กลับรู้สึกร้อนรุ่ม เปลือกตาปิดสนิท ซ่อนดวงตาสวยไว้ภายใน ภานุจุมพิตประทับริมฝีปากเบาๆกับริมปากแดงอิ่ม ลืมเสียสนิทว่าวันนี้เขาต้องเข้าประชุมตั้งแต่เช้ากับเรื่องภารกิจ อาจเพราะเขาลุ่มหลงอยู่ในเรือนร่างนี้อยู่ก็ได้ ทำให้เขา 'ลืม' ตัวตนการเป็นภานุคนเก่า ฝ่ามือบีบมือเล็กที่ประกบกับฝ่ามือใหญ่แน่น ผิวสะอาดแนบเบียดชิดแทบชวนคลุ้มคลั่งใจ ภานุลืมความรู้สึกนี่ไปนับตั้งแต่เลิกกับมธุรสคนรักเก่า ภายในใจของเขาก็มีแต่ความเยียบเย็น เขาไม่เคยมองใครเป็นคนรักอีกเลย ไม่มีแม้แต่คำว่าหัวใจเต้นถี่ ดุจจะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่เอาแต่มุมานะทำงาน เมื่อพิจารณาอีกครั้ง เขาก็ผิด...ผิดที่ไม่เคยใส่ใจในคนรักคนเก่า แต่ละวันอยู่กับตัวเอง ดวงตาไม่เคยปรากฏแววอ่อนหวาน คำพูดที่ทำให้ดีใจก็ไม่ได้เอ่ยให้ฟังสักครั้ง จนกระทั่ง เขาตัดสัมพันธ์ เพราะรู้ว่าสักวัน การจากลาต้องมาถึงในเร็ววัน

"ผมน่ะมันเป็นคนไร้ใจ รู้ไหม?"

ชายหนุ่มกระซิบริมหู รั้งสะโพกให้เบียดชิดกับความแข็งแกร่ง อยากจะรู้ว่าตรงส่วนไหนกันที่คุณหมอคนนี้รักเขา น่าประหลาดทั้งๆที่เขามีความเกลียดอยู่เต็มไปหมดหัวใจ ทำไมยังรัก ทำไมยังคิดถึง นิ้วเกลี่ยแก้มที่มีคราบน้ำตาหยาดหยด อยากกอดจนกระทั่งรุ่งสาง แต่คนในอ้อมแขนกระดุกกระดิกพลิกกายหันมาทางภานุเต็มๆ ต้นธาราไม่รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใคร หากลืมตาตื่นเขาต้องดีใจเป็นแน่แท้ เพราะว่ามันเป็นอ้อมแขนของคนที่รักมากที่สุดและเขาก็คิดถึงมากที่สุด แต่ภานุก็ปลดวงแขนออก ห่มผ้าให้แก่ร่างโปร่งที่นอนหลับใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ภานุแต่งตัวช้าๆปรายตาเพ่งพิจใบหน้าที่ชวนรักใคร่ที่สุดแล้วพลันฉุกคิดได้ว่า เขาลืมการประชุมก่อนออกทำภารกิจ ชายหนุ่มหน้าเครียด เพราะเขาเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนในครั้งนี้เสียด้วย แต่เขาก็เลือกที่จะอยู่กับร่างบอบบางนี้ จนกระทั่งดวงตาใสกระจ่างลืมตื่น

"ขอโทษครับ"

ต้นธาราลุกพรวดพราดเมื่อเห็นภานุแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พร้อมโยนเสื้อผ้าให้

"เป็นอะไรล่ะรีบใส่เสื้อผ้าเสียสิ"

สายตาของคุณหมอมองร่างที่เหนียวเหนอะหนะของตัวเอง อยากจะอาบน้ำก่อนสิ่งอื่นใด

"ทำตัวชักช้าอยู่ได้"

เมื่อผู้กองภานุเร่ง ต้นธาราก็มิอาจเอ่ยร้องขออะไรได้อีก เขารีบสวมใส่เสื้อผ้า ท่าทางเงอะๆงะๆจนภานุเห็นแล้วหงุดหงิด

"ผมเสียเวลาแล้วเห็นไหม"

ชายหนุ่มว่า ต้นธาราเงยหน้า นึกฉุนที่พูดแบบนี้ใส่หน้าหลังจากมีอะไรกัน มันเหมือนกับว่าเขาคอยเป็นที่รองรับอารมณ์เท่านั้น คุณหมอเหมือนอยากจะว่ากล่าว แต่ก็พูดไม่ออก พอดีที่ภานุเข้ามาชิดใกล้และสวมใส่เสื้อผ้าให้ เขานิ่งนั่งตัวแข็ง ในสายตาของคุณหมอสังเกตได้ว่าต้องหัวเราะเยาะเขาอยู่เป็นแน่แท้ ดังนั้นแก้มที่ขาวซีดยิ่งแดงเหมือนตอนสัมผัส จูบประทับ

"ขำอะไรครับ"

ต้นธาราว่า เขาเกาะบ่าภานุเป็นหลักให้ตัวเองลุกขึ้น แต่ก็เซเล็กน้อยและรู้สึกว่าตัวเองวูบไป แม้เพียงนิดเดียวภานุก็จับสังเกตได้

"เป็นอะไรหรือเปล่า?"

ต้นธาราส่ายหน้าปฏิเสธ กลบเกลื่อนด้วยการยิ้มซึ่งภานุเกลียดมันที่สุด คุณหมอหนุ่มเดินโซเซเล็กน้อย ดุจฝีเท้าจะไม่มั่นคงตามภานุซึ่งเดินดุ่มๆด้วยความเร็วออกไปนอกบ้าน ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนเลยเหมือนกับมันจะเป็นลมพัด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เขาหยุดแทบไม่ทันเมื่อร่างสูงชะงัก

"คอยอยู่ที่นี่นะ"

ต้นธารามองชายหนุ่มที่เขาไปคุยกับชาวเขาคนหนึ่งที่มีรถเป็นของตัวเอง เจราจาเพียงชั่วครู่ก่อนจะลากต้นธาราให้ติดตามไป คุณหมอหยุดอยู่ตรงหน้าครอบครัวชาวเขาซึ่งภานุส่งภาษาแปลกๆด้วย

"นี่คือครอบครัวจะนะ ชาวเขาเผ่าอาข่า"

สายตาของต้นธารามองเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้ม ศีรษะสวมหมวกแหลมประดับด้วยเหรียญตรา กระดุมเงินลูกเดือย พู่แดงที่ได้จาก ขนไก่ย้อมสี ใบหน้าของผู้สวมก็งดงาม จนรู้สึกน่าอิจฉาที่เธอแย้มยิ้มให้แก่ภานุ หากเป็นเขายิ้มให้ล่ะ มันจะเป็นอย่างไร

"นี่คือลูกสาวของจะนะ คุณสนใจเครื่องประดับเธอเหรอ?"

ภานุหันมาคุยด้วย ต้นธารายิ้มคล้ายกับฝืน

"ก็สนใจครับ เสื้อเธอสวยดี เครื่องประดับก็สวย"

ผู้กองหนุ่มยิ้มอย่างเลือดเย็น

"สาวอาข่าตอนแต่งตัวเต็มยศ ครบเครื่องนั้นจะสวยเพริศแพรวเชียวล่ะ ชุดที่เธอแต่งนี้เรียกว่าชุดอู่โล้อาข่า แถมเธอยังปั่นด้ายเก่งเชียวล่ะ"

ต้นธารารู้ว่าภานุพูดกระทบกระเทียบแต่เขาไม่เขาใจว่าทำไมต้องบอกว่าหญิงคนนี้ปั่นด้ายเก่งด้วย

"แปลกใจสินะสำหรับคุณ...การปั่นด้ายเป็นงานของสาวอาข่าทุกคน เมื่อพวกเธอวางจากงานเธอจะต้องปั่นด้ายไว้เพื่อใช้ทอผ้าให้กับครอบครัวถึงกับมีการจัดแข่งขันว่าใครจะปั่นด้ายเร็วกว่า น่าแต่งเป็นภรรยานะว่าไหม?"

ต้นธาราไม่ตอบคำ เขานิ่งไปกับข้อมูลที่ได้รับรู้ เพราะนับตั้งแต่มาถึงก็ติดอยู่กับโรงพยาบาลเล็กๆตลอด และไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งใดมากนัก

"ผมสนใจเหมือนกัน เธอออกจะสวยขนาดนี้"

เสียงกระซิบดุจซาตาน แผ่ซ่านเข้าไปถึงจิตใจ กัดกร่อนความรู้สึก...ก็แค่คู่นอนชั่วคราวสินะ...ต้นธารายืนทื่อก่อนจะถูกภานุลากขึ้นรถ เขาเป็นฝ่ายนั่งเงียบกริบฟังคำสนทนาที่แปลไม่ออก เหมือนเขาเป็นคนนอก การพูดคุยดูท่าจะสนุกสนาน รื่นเริง ภานุหัวเราะบ่อยครั้ง สีหน้าเคร่งเครียดอยู่เสมอพลันคลายลง ชายชราที่แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตกแต่งด้วยผ้าหลากสีหันมาถาม

"น้อจ้อซะโดเมี๊ยหล่า" (คุณสบายดีหรือเปล่า)

ต้นธาราเงยหน้าขึ้น งุนงงสงสัย ภานุหันมาจากการคุยแม่สาวอย่างเสียมิได้

"เขาถามคุณว่าคุณสบายดีไหม?"

จะนะถามเพราะเห็นต้นธารานั่งเงียบกริบ ไม่พูดไม่คุย จะนะรู้จากผู้กองหนุ่มว่าเป็นคุณหมอคนใหม่ แต่หน้าตาซีดเซียวดุจคนป่วย คุณหมอทำหน้าไม่ถูก ภานุตอบแทนไปว่าสบายดี จะนะจึงผงกหัว ต้นธาราเอ่ยขอบคุณ กลับไปนั่งเงียบๆเฝ้ามองชายหนุ่มแปลคำขอบคุณให้แก่จะนะ ชายหนุ่มก็ทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตนอยู่เช่นเคย จนกระทั่งถึงค่าย ต้นธารารีบลงจากรถ ภานุร่ำลาแม่สาวชาวอาข่า

"หว่อม๊ะเด"(ลาก่อน)

ภานุกล่าวลาก่อนมาสบทบกับต้นธาราที่ทำหน้าตูม

"ครั้งหน้าเธอชวนไปงานขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่วด้วย"

แรกๆคุณหมอทำเหมือนกับไม่ได้สนใจ ภานุก็พูดไปเรื่อยโดยไม่สนใจในอารมณ์ของต้นธาราเช่นกัน

"ประเพณีขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว เกิดขึ้นหลังการอยู่กรรมเผาไฟในไร่ช่วงกลางเดือนเมษายนซึ่งตรงกับเดือนอ่าข่า ขึ่มสึ บาลา" อ่าข่าจะประกอบพิธี "ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว" ขึ่มสึแปลว่า ปีใหม่ ขึ่มมี่แปลว่า คืนของปีเก่า อาเผ่วแปลว่า บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือมีความหมายว่าประเพณีการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่คุณจะไปไหมหลังจากกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจผมจะพาไป เป็นพิธีที่น่าสนใจและสนุกทีเดียว"

ต้นธาราที่ไม่ได้ฟังตั้งแต่ครั้งแรกสะดุดคำพูดประโยคสุดท้าย ภานุนิ่งระหว่างที่กำลังเดินเข้าประตูค่าย

"มีอะไร? ตกลงว่าคุณจะไปงานประเพณีขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว กับผมไหม?"

ดวงตากระพริบปริบๆใส่ใบหน้าของนายทหารหนุ่มที่เลิกคิ้วกับอาการแปลกใจ

"วันนี้...คุณไปปฏิบัติภารกิจไม่ใช่หรือ?"

ภานุทำท่าคิดก่อนจะหัวเราะ

"จริงสินะ ผมก็ลืมเสียนี่"

ชายหนุ่มมีทีท่าสบายๆ เขาจ้องต้นธาราเขม็งสำหรับเรื่องที่เขาพูดให้ฟังแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมฟัง

"แล้วมันจะเป็นอะไรไหม"

น้ำเสียงถามอย่างห่วงใย ต้นธาราหน้าซีดเซียวเดินตาม นายทหารร่างยักษ์เข้าค่ายให้ทัน อีกฝ่ายไม่สนใจในคำห่วงใย ยิ่งทำให้นิ่งงัน

"มันก็เรื่องของผม"

ภานุเอ่ยแค่นั้นก่อนจะทิ้งต้นธาราห่าง คนที่รู้สึกว่าตัวเองไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันเกือบจะล้ม หากปลุกใจให้เข้มแข็งติดตามภานุไป

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-05-2008 20:25:47
ภายในฐานบังคับบัญชา ทั้งธีรเดช ผู้กองรังสรรค์ จ่าแม้นต่างนั่งหน้าเครียด เหตุผล คุณหมอหน้าสวยกับผู้กองภานุไปได้กลับมาค่ายตามกำหนด ผู้กองธีดูหัวเสียยิ่งนัก ทุกคนก็รู้สึกไม่แตกต่างกันและรู้สึกแย่มากขึ้นเมื่อผู้พันมีทรัพย์ด่ามาว่าไร้ความรับผิดชอบ ทั้งๆที่ภานุเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนแท้ๆ

"ขออภัยครับท่าน"ผู้กองรังสรรค์ได้แต่กล่าวขอโทษ แต่ผู้พันก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว

"อธิบายมาสิ ทำไมผู้กองภานุถึงมาไม่ทันประชุมครั้งสำคัญ ผมก็ให้เวลาเที่ยวกับพวกคุณพอแล้วนะ"

ผู้พันมีทรัพย์ยกมือไขว่หลัง หันมารับคำอธิบาย

"ผมควรจะยกหน้าที่นี้ให้แก่ร้อยตรีอานุภาพดีไหม?"

ท่านว่า หันมาทางรุ่นน้องของผู้กองรังสรรค์ซึ่งนั่งหน้าเคร่ง รังสรรค์รู้สึกไม่ชอบใจร้อยตรีอานุภาพมากนักกับบุคลิคที่ดูเจ้าเล่ห์

"ทางผู้กองเห็นว่าจะมาส่งคุณหมอกลับฐานเพราะป่วย แต่มันอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะครับถึงทำให้กลับค่ายไม่ได้ตอนนี้และไม่ทันการประชุม"

จ่าแม้นว่า ผู้พันมีทรัพย์ถอนใจ

"ถึงจะเร่งด่วนอย่างไรก็ไม่น่าจะทิ้งการประชุมลับเลยนี่ครับ"

ร้อยตรีอานุภาพว่า

"มันเป็นเรื่องฉุกเฉิน คุณหมอไม่สบายและอาจจะคลาดกับพวกเราก็ได้จึงทำให้ต้องอยู่ในเมืองกลับมาไม่ทัน"

ผู้กองรังสรรค์สวน ทำเอาธีรเดชแปลกใจเป็นอย่างมาก จ่าแม้นจึงกระซิบให้ฟัง

"แย่เลยครับการประชุมครั้งนี้เพราะนำคู่กัดสองคนมารวมเข้าด้วยกัน ร้อยตรีอานุภาพไม่ถูกกับผู้กองรังสรรค์ครับ เห็นกันทีไรต้องทำตัวเป็นพังพอนกับงูเห่าทุกที นี่ยังไม่นับผู้กองภานุหัวหน้าหน่วยอีกนะครับ เพราะรายนั้นคงต้องทำตัวเหยียบตาปลาของสองคนนี้แน่ๆ รับรองภารกิจนี้สยอง"

ธีรเดชขมวดคิ้ว

"แล้วอย่างนี้จะรอดหรือครับ"

จ่าแม้นนิ่งก่อนจะตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

"รอดแน่ครับ เพราะนับตั้งแต่ผู้กองนำหน่วยลาดตะเวนมาไม่เคยพลาดสักครั้งยกเว้นแต่ตอนที่...."

จ่าแม้นว่าแล้วหยุดไป ธีรเดชผงกหัวเข้าใจว่าหมายถึงอะไร เพราะหมายถึงเรื่องผู้กองนาคี

"เอาล่ะ ถ้าผมยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ผมก็จะลงโทษพวกคุณที่สะเพร่าไม่ตามเพื่อน"

ใบหน้าของคนในห้องประชุมมีสีหน้าไม่พอใจ แผนที่ทางทหารปลิวตามพัดลมที่หมุนเอื่อยๆ แต่ละคนเริ่มบึ้ง บรรยากาศไม่ดีเลย ผู้กองภานุก็โผล่เข้ามาพร้อมคุณหมอ แต่ละคนจับจ้องยังคนทั้งสอง สายตาดุจเหยี่ยวจ้องมองคุณหมอเป็นพิเศษ เพราะเรือนผมที่ยุ่งเหยิง ริมฝีปากแดงเผยอเพราะหอบ

"คุณไปไหนมาผู้กองภานุ"

ท่านผู้พันถามช้าๆ ภานุโค้งหัวขอโทษผู้พัน ก่อนจะแจงโดยไม่สนใจคนในค่าย พอเขาจะอ้าปากคุณหมอก็สอด

"ผมเกิดเป็นลมขึ้นมากะทันหันครับท่านผู้พัน แล้วเอ่อ...จู่ๆมันก็หน้ามืดรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว ผู้กองที่อยู่ด้วยเลยช่วยนะครับ ผมต้องขอโทษแทนผู้กองด้วยนะครับที่ทำให้เข้าประชุมสาย"

ต้นธาราอธิบายด้วยใบหน้าเสียใจ ผู้พันพิจใบหน้านั่น ดวงตาแหลมคมคล้ายกับจะจ้องให้ทะลุ ทุกคนเงียบกริบ ธีรเดชนึกโทษตัวเองหากเขาไม่สนใจแม่สาวกลิ่นเอื้องเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าเจ้าหัวหมอภานุจะทำอะไรคุณหมอธารผู้น่าสงสารบ้าง แต่พอได้ยินเช่นนี้ ใจเขาก็เหี่ยวแต่...ทำไมเขายังจำดวงตาดำขลับได้นะ

"ครับ ผมเข้าใจดีกับเรื่องที่คุณหมอต้นธาราอธิบาย เรื่องนี้พอลดหย่อนผ่อนโทษกันได้ แต่หากมีคราวหน้าผู้กองภานุต้องถูกสอบวินัยโทษฐานเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่เร่งด่วนช้า เชิญผู้กองไปฟังแผนคร่าวๆจากร้อยเอกรังสรรค์"

ท่านผู้พันว่า ร้อยตรีภานุภาพจ้องอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ก็ไม่พูดอะไร จับจ้องยังร่างโปร่งของคุณหมอรูปงามที่งามสมกับคำลือ...รอยยิ้มอันแสนพิมพ์ใจ...รังสรรค์ที่จ้องภานุภาพนานแล้วก็กัดฟันกรอดเพราะเห็นว่าสานตาของคู่อรินั้นจับจ้องใคร

"ว่าแต่หน้าคุณซีดเหลือเกินมีโรคประจำตัวไหมครับ"

สายตาของรังสรรค์ จ่าแม้น และภานุภาพมองมาที่คุณหมอทันที

"เอ่อ...ผมแค่เหนื่อยน่ะครับ ขอบคุณครับ"

ต้นธาราก้มหน้า หลบสายตาคมของผู้พัน แต่ร่างกายเริ่มเอนไหว ธีรเดชเข้ามาจับ ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

"ผมว่าคุณหมอนั่งก่อนดีกว่าครับวิ่งมาเหนื่อยๆคงแย่"

ต้นธาราทำตามทรุดนั่งยังเก้าอี้ไม้ ธีรเดชนำน้ำดื่มมาให้ ภานุยังฟังผู้กองรังสรรค์อธิบายถึงแผนการ

"เราจะเข้าทางทิศเหนือ แบ่งกำลังเป็นสองส่วน หากเกิดเหตุการณ์คับขันจะตั้งรับ ณ จุดตรงนี้"

น้ำเสียงทุ้มต่ำของรังสรรค์ และท่าทีเคร่งเครียด ต้นธาราจับจ้อง ก่อนจะรู้ว่าไม่ควรสนใจมาก

"คงไม่มีใครทำอะไรคุณนะ คุณหนูธาร?"

ธีรเดชถามทั้งๆที่ยิ้ม ต้นธาราผงกหัว แต่เขาก็เผลอไอออกมา แล้วต้องตกใจเพราะรู้ว่ามีเลือดติดมือแต่เขาก็ยังทำเฉยแอบเช็ดข้างกางเกง

"ผมว่าคุณหมอน่าจะกลับไปค่ายใหญ่นะครับ ดูสิหน้าตาซีดเชียว พักรักษาที่ค่ายใหญ่สักครั้งเถอะ"

ผู้พันว่ายามที่เห็นสีหน้าเหนื่อยๆพร้อมกับดวงตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่

"ผมไปเป็นไรจริงๆครับ"

ต้นธาราตอบด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล ผู้พันมีทรัพย์ขัดไม่ได้เลย

"เฮ้อ...เอ้าเตรียมตัวเสร็จหรือยังอีกครึ่งชั่วโมงไปพร้อมที่จุดนัดพบ"

ทุกคนต่างต้องแยกย้ายไปเก็บสัมภาระ คงเหลือแต่ภานุ คุณหมอหนุ่มและผู้พันมีทรัพย์ ธีรเดชมองตามหลัง ต้นธาราส่งสายตาบอกว่าไม่ต้องห่วงตนแล้วถอนใจ

"คุณหมอนี่ก็ดื้อดึงเอาการนะครับ ไม่สบายแท้ๆยังปากแข็งบอกว่าสบายดี"

ผู้พันมีทรัพย์เอ่ยสัพยอก ต้นธาราหัวเราะไปกับคำสัพยอกนั้น

"ก็ผมไม่เป็นอะไรมากนี่ครับ"

สายตาของผู้พันมีทรัพย์เห็นรอยเลือดแล้ว ท่านจึงอมยิ้ม

"งั้นหรือครับ แล้วเลือดนั่นล่ะ ผมก็ห่วงคุณหมอเหมือนกันนะ ผมว่าคุณหมอควรกลับค่ายใหญ่ดีกว่า เดี๋ยวผมจะเรียกเฮลิคอปเตอร์ของแพทย์ให้"

คุณหมอต้นธารานิ่ง มือกำแน่น สายตาของผู้พันอ่อนโยน

"ผมไม่เป็นไรจริงๆท่านอย่าห่วงเลย"

คำตอบแผ่วเบา ท่านผู้พันส่ายหน้ากับความดื้อดึง ท่านหันมาเห็นหัวหน้าหน่วยไม่เตรียมตัวเสียทีจึงเอ่ยปากไล่

"เมื่อรู้แผนคร่าวๆก็รีบไปเตรียมตัวสิ โอ้เอ้อยู่นั้นแหละ"

ผู้กองภานุค้อมศีรษะให้ เขาเดินออกจากฐาน สายตามองตามร่างของคุณหมอที่นั่งราวกับทำตัวไม่ถูก...อะไรที่อยู่ในใจ คิดจะกลับไปยังค่ายใหญ่แล้วไม่กลับมาอีกอย่างนั้นรึ...ชายหนุ่มคิดก่อนจะหันหลังไปคว้ามือคุณหมอหนุ่มให้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตามองอย่างตกใจของผู้พัน

"เฮ้ย...เอ็งจะพาคุณหมอไปไหนล่ะนั้น"

ภานุหันมาตะโกน พร้อมๆกับเอ่ยโต้

"ผมต้องการคนช่วยเก็บของครับ ต้องขอตัวสักครู่"

ต้นธาราวิ่งตาม ความเหนื่อยหอบปรากฏเต็มสีหน้าที่เริ่มขาวซีด ทั้งคู่วิ่งมาถึงบ้านไม้ ภานุพาคุณหมอขึ้นบ้าน ต้นธาราคล้ายกับจะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นห้องที่ภานุเคยกอดครั้งแรกและครั้งที่สองด้วยอารมณ์โกรธ

"ยืนบื้ออะไรช่วยผมเก็บของสิ"

ต้นธาราตื่นจากอาการเหม่อ เขามองดูเป้ใบใหญ่สีเขียวลายพราง ชุดฝึกรองเท้าคอมแบท ปืนพก.86(ปืน11มม.)และหมวกเหล็กวางทับบนเสื้อ ภานุเปลี่ยนเครื่องแต่งกายต่อหน้าต่อตาคุณหมอ สายตาสีดำสนิมมองแผ่นหลังที่มีรอยข่วนจากฝีมือเขาเองแล้วใจเต้นแรง

"ช่วยหน่อยสิ"

ต้นธาราลุกขึ้น แต่งตัวช่วย ทุกอย่างดูเร่งรีบ ต้นธาราที่ก้มหยิบหมวกเหล็ก กระติกน้ำสีเขียวรู้สึกว่าฝีเท้าจะไม่มั่นคง ซวนเซ

"อีกยี่สิบหน้าที่ผมต้องไปแล้ว"

ภานุว่าขณะมองนาฬิกา เมื่อแต่งตัวเสร็จ รองเท้าแสนหนักถูกนำมาสวมใส่ให้ ต้นธาราจัดปกเสื้อ ตรวจดูความเรียบร้อยทุกส่วนตามที่ภานุสั่ง บัดนี้ผู้กองหนุ่มดูสง่า หล่อเหล่าและเคร่งขรึม ปืนพกใส่ในซองปืนยัดเข้าในอก ต้นธาราหยิบเป้แสนหนักที่ชายหนุ่มจัดไว้ให้เมื่อสะพายขึ้นบ่า ผู้กองหนุ่มจับจ้องใบหน้าที่มองอย่างอบอุ่น

"กลับมาจะพาไปเที่ยวงานประเพณีของอาข่านะ"

คำพูดที่ราวกับสัญญา นิ้วแกร่งแตะใบหน้าสวย รอยยิ้มอ่อนโยนที่เขาเกลียดผุดขึ้นบนใบหน้านั้น

"ครับ...."

ต้นธาราตอบรับ ในตอนนี้รอยยิ้มของคุณหมอไม่ใช่รอยยิ้มปีศาจอีกต่อไปในความคิดของผู้กองภานุ ใบหน้าอันสวยงาม ริมฝีปากที่เคยสัมผัส หัวใจไม่อยากห่างไกลเลย

"คุณเองก็ขอให้ปลอดภัยนะครับ"

ต้นธาราเขย่งตัวประทับจูบข้างแก้มสาก แต่เขาก็ถูกจับให้เงยหน้าริมฝีปากแกร่งประทับลงชิมความหอมหวาน ก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย

"ขอบใจ"

ภานุกล่าวแค่นั้น ก่อนจะลงจากเรือน คุณหมอหนุ่มเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆจนร่างแกร่งหายลับ จึงหันหลังกลับ มองสภาพบ้านคิดจะเก็บให้จึงเดินไปในส่วนที่ทำเป็นครัว คุณหมอนั่งล้างจาน หยิบหม้อขึ้นชั้น เห็นขวดเหล้าเถื่อนกองเต็มจึงเรียงไว้เป็นระเบียบ...ลมหายใจเหมือนจะขัด....ร่างบางกุมหน้าอกไว้ ก่อนจะล้มลงเสียงเคร้งของหม้อหล่นกระทบพื้น คุณหมอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

------------------------------------------------


ฝ่ายภานุที่เข้าป่าเพื่อไปปฏิบัติภารกิจลับ รู้สึกว่าใจหาย ชายหนุ่มเดินนำหน้าขบวน ขมวดคิ้วมุ่นอยู่เสมอ ปืนที่สะพายหลัง ทุกอย่างราวกับจะอึดอัด...ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองทิศทางที่ค่ายตั้งไว้ สายตากังวลจนกระทั่งเหยียบกิ่งไม้หักแล้วจึงสะดุ้ง

"ผู้กองเป็นอะไรครับ"

ผู้กองรังสรรค์ที่เดินตามหลังถาม ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือบอกว่าแค่เหยียบกิ่งไม้หักเท่านั้น ก่อนจะออกเดินด้วยใจที่ไม่มั่นคงนัก สายตาหนึ่งจ้องอย่างมุ่งร้าย การเดินทางทั้งๆที่ในใจคิดถึงร่างบาง...จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ ผู้กองคนเก่งปรายตามองทางค่ายอีกรอบหนึ่ง

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Simply Blue ที่ 21-05-2008 21:27:39
เหอ เหอ ข้าพเจ้า งงกะผู้กองภาณุ จริงๆๆๆ  o2

ทำไมมันรู้สึกตะงิดๆๆว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดกับผู้กองคนเก่งหว่า  ขอให้เป็นเรื่องดีๆๆทีเถอะ  สงสารคุณหมอจะแย่แล้ว แล้วยังมีตาร้อยตรีอานุภาพแอบปิ้งคุณหมออีก  อาการคุณหมอก็เริ่มไม่ดีแล้ว ฉานจะบ้า  :serius2: กลุ้ม กลุ้ม
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-05-2008 21:29:40
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับไม่อยากคิดว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไร

บ่อน้ำตาแตกแน่เลย เดาว่า ตอนที่ผู้กองกลับมา

คุณหมอก็ไม่อยู่แล้วมั้งครับ แบบว่ากลับไปรักษาตัวอะ ใช่ปะครับ

 :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 21-05-2008 22:55:35
ภานุอารมณ์สวิงขึ้นลงมากกกกกกกกกกกกกก ตามไม่ทันจิงๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 22-05-2008 10:17:59
ดันแรงๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 23-05-2008 15:28:19


 :เฮ้อ:  ตามอ่านทันตั้งแต่เมื่อคืน  อ่านไปเสียวสันหลังไป ฝนตกฟ้าร้องครืนๆ

ตอนจะเข้ามาเม้น ฟ้าก้อผ่าเปรี้ยง.... แอร๊ยยยย..เครื่องคอมเสียงซ่าส์ๆเลยอ่ะ

อยู่ไม่ไหว ต้องรีบปิดเครื่อง ยังมิทันได้คอมเม้นเลย    :m15:  (กลัววว)

....................


พอจะมาคอมเม้นใหม่ ลืมซะแล้ว...ฮา  :laugh:

ความเศร้าเคล้าน้ำตา อ่าไป ไหลไปเมื่อคืน หายหมด (ทำไมปลาทองอย่างนี้น่อเรา)

แต่ชอบจัง รักระหว่างรบ เนี่ย... แต่ว่า สุดท้ายแล้ว มันเศร้าอิ๊บอ๋าย นี่จิ   :m13:


เคยอ่านเรื่องประมาณว่า...  แค่คืนเดียว  ที่แบบว่า เจอกันระหว่างรบ แต่อยู่คนล่ะฝ่าย

แล้วก้อรักกันภายในเวลาแค่ชั่วคืน พอฟ้าสาง ต่างคนต่างแยกจาก เพราะหน้าที่

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด..................ด

เรื่องนี้มีสองคู่มาให้ลุ้น ..แต่ดุแล้ว มิเห็นจะมีคู่ไหน ที่จะทำให้ดี๊ด๊าเลย เศร้าๆ ทุกคู่เลยอ่ะ เฮ้อๆๆ  :เฮ้อ:

ว่าละก้อ..........    พิมไม่ยอมม่าต่อซ้าที      :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 23-05-2008 16:02:35
มารออ่านต่อ

จะเกิดอะรายขึ้นอีกม่างเนี่ยยยยยยยยยยย


ชักน่าเป็นห่วง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-05-2008 16:20:11
 o7 ยังเศร้าไปอีกนาน



อึ๊บๆๆ ดันๆๆ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 23-05-2008 20:44:21
เหอ เหอ ข้าพเจ้า งงกะผู้กองภาณุ จริงๆๆๆ  o2

ทำไมมันรู้สึกตะงิดๆๆว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดกับผู้กองคนเก่งหว่า  ขอให้เป็นเรื่องดีๆๆทีเถอะ  สงสารคุณหมอจะแย่แล้ว แล้วยังมีตาร้อยตรีอานุภาพแอบปิ้งคุณหมออีก  อาการคุณหมอก็เริ่มไม่ดีแล้ว ฉานจะบ้า  :serius2: กลุ้ม กลุ้ม


ผู้กองแก (มีคนเคยนินทาให้ฟัง ขำกร๊ากหน้าจอคอม)....แกค่อนข้างผีเข้าผีออกเจ้าค่ะ....ใจเย็นไว้เจ้าค่ะ อย่าเพิ่งกลุ้ม  :oni1:


:impress: :impress: :impress:

อ่าครับไม่อยากคิดว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไร

บ่อน้ำตาแตกแน่เลย เดาว่า ตอนที่ผู้กองกลับมา

คุณหมอก็ไม่อยู่แล้วมั้งครับ แบบว่ากลับไปรักษาตัวอะ ใช่ปะครับ

 :impress: :impress: :impress:


เดาถูกได้กึ่งหนึ่งค่ะ หึหึหึ


ภานุอารมณ์สวิงขึ้นลงมากกกกกกกกกกกกกก ตามไม่ทันจิงๆ


อย่างที่บอกไปเจ้าค่ะ...ผู้กองแกค่อนข้างผีเข้าผีออก (นานๆไป อารมณ์แกจะคงที่ขึ้น)

ดันแรงๆๆ

ขอบคุณเจ้าค่าที่มาดันให้เสมอเลย :L2:





 :เฮ้อ:  ตามอ่านทันตั้งแต่เมื่อคืน  อ่านไปเสียวสันหลังไป ฝนตกฟ้าร้องครืนๆ

ตอนจะเข้ามาเม้น ฟ้าก้อผ่าเปรี้ยง.... แอร๊ยยยย..เครื่องคอมเสียงซ่าส์ๆเลยอ่ะ

อยู่ไม่ไหว ต้องรีบปิดเครื่อง ยังมิทันได้คอมเม้นเลย    :m15:  (กลัววว)

....................


พอจะมาคอมเม้นใหม่ ลืมซะแล้ว...ฮา  :laugh:

ความเศร้าเคล้าน้ำตา อ่าไป ไหลไปเมื่อคืน หายหมด (ทำไมปลาทองอย่างนี้น่อเรา)

แต่ชอบจัง รักระหว่างรบ เนี่ย... แต่ว่า สุดท้ายแล้ว มันเศร้าอิ๊บอ๋าย นี่จิ   :m13:


เคยอ่านเรื่องประมาณว่า...  แค่คืนเดียว  ที่แบบว่า เจอกันระหว่างรบ แต่อยู่คนล่ะฝ่าย

แล้วก้อรักกันภายในเวลาแค่ชั่วคืน พอฟ้าสาง ต่างคนต่างแยกจาก เพราะหน้าที่

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด..................ด

เรื่องนี้มีสองคู่มาให้ลุ้น ..แต่ดุแล้ว มิเห็นจะมีคู่ไหน ที่จะทำให้ดี๊ด๊าเลย เศร้าๆ ทุกคู่เลยอ่ะ เฮ้อๆๆ  :เฮ้อ:

ว่าละก้อ..........    พิมไม่ยอมม่าต่อซ้าที      :o12: :o12: :o12:


ยังดีนะคะที่ปิดทัน (แอบกลัวแทน แต่นิสัยเสียอย่าง ฝนตกไม่ชอบปิดคอม แม้มันจะเปรี้ยงแค่ไหน...เพราะนิยายมันไม่เสร็จ ปิดที เสียมู๊ด :a6:)

เรื่องลงเร็วรึช้าเนี่ย ต้องอ้อนพี่พิมเจ้าค่ะ (คอมเมนต์กล่อมพี่แกเยอะๆ :oni3:)

มารออ่านต่อ

จะเกิดอะรายขึ้นอีกม่างเนี่ยยยยยยยยยยย


ชักน่าเป็นห่วง

TO BE CONTINUE


o7 ยังเศร้าไปอีกนาน



อึ๊บๆๆ ดันๆๆ  :laugh: :laugh:


ขอบคุณเจ้าค่ะที่ช่วยดัน (เศร้าไปอีกนานไหม...หึหึหึ)




ปล. หลายคนถามมา...จบเศร้าไหม ....-------> (ตอบตรงนี้ไว้ล่วงหน้าเตรียมยาทำใจ ภาคแรก "ห้วงรักเสน่หา" อาจจะเศร้าเล็กน้อย ไปทำใจต่อในภาค "เกียรติยศ กบฏหัวใจ" (ปลล.ถ้าพี่พิมยังอยากลงให้ เรนเต็มใจเจ้าค่า ^^))  

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณพี่พิมอีกครั้งนะเจ้าคะ :L2: และขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ :L1: (เผ่นกลับก่อน หนีปาป๊ามาเล่น ค่ำแล้ววว กลับหออาจจะได้ฝอยยาวเจ้าค่ะ)

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 23-05-2008 21:56:25
จะจบยังไงหล่ะนี่...
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: HeretiC ที่ 23-05-2008 22:17:36
 :m15: อ่านแล้วมันจี๊ดที่หัวใจจัง



ป.ล.เชียร์ธีรเดชสุดใจขาดดิ้นเลยค่า :m1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-05-2008 13:10:48
มาต่อแล้วจ้าทุกคน  ขอโทษที ช่วงนี้ยุ่งไปหน่อย แฮ่ๆ คราวหลังจะมาลงให้อย่างต่อเนื่องเลยนะ 
น่ารักกันจริงๆ ทั้งคอมเม้นต์  ทั้งดัน  ทั้งน้องเรนคนแต่ง  ลงจนจบแน่นอนจ้า  ไม่ต้องห่วงคนแต่งน่ารักขนาดนี้  อิอิ 

เรื่องนี้มันเศร้าๆ หื่นๆ แต่ก็น่าติดตามนะ  ชอบอะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ห้วงรัก:9 Task/ภารกิจ(PART2)

ในป่ารกทึบภานุพาลูกน้องในหน่วยหาจุดพัก ภายในป่าสงบเงียบเชียบ แสงแดดจัดจ้า ทุกคนต่างหาที่พักของตัว ภานุนั่งลงใต้ต้นไทรต้นใหญ่ ผู้กองธีรเดชเข้ามานั่งด้วย ชายหนุ่มหยิบกระติกน้ำดื่มดับกระหาย มองใบหน้าสงบนิ่งของผู้กองภานุ

"ธารเขาเป็นอย่างไรบ้าง?"

จู่ๆผู้กองธีรเดชก็ถามขึ้นมา ภานุไม่ตอบคำใดๆ ฝ่ายธีรเดชก็ไม่เซ้าซี้ขอคำตอบ เขานั่งราวกับจะทำสงครามประสาทกดดัน หัวหน้าหน่วยลาดตะเวนถอนใจเบาๆหันมองดูลูกน้องในหน่วย

"คุณน่าจะลืมเขาไปสักระยะดีกว่าไหมครับ ขณะนี้คุณออกปฏิบัติภารกิจลับ คุณไม่ควรจะนำเรื่องไร้สาระมาคิด"

ภานุตำหนิ ธีรเดชมองหน้าอย่างอึ้งๆที่โดนว่าเรื่องของต้นธาราเป็นเรื่องไร้สาระ

"ผมห่วงเขาแม้จะมาปฏิบัติภารกิจก็ยังห่วง ผมไม่สนหรอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระหรือไม่ ถ้าไม่ได้รู้ข่าวว่าธารสบายดีและเรื่องของธารสำหรับผมไม่ใช่เรื่อง 'ไร้สาระ' "

ชายหนุ่มตอบกลับเสียงแข็งกร้าว ภานุหรี่ตาที่ลูกน้องในหน่วยไม่เคารพ ท่าทีตึงเครียด ส่งผลให้คนที่เหลือมองดูทั้งสอง

"มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง?"

จ่าแม้นถาม เขานั่งอยู่บนขอนไม้เก่าๆพุพังตั้งปืนไว้บนพื้นดินแข็งๆเกลื่อนไปด้วยใบไม้ทับทม

"ไม่มีอะไรหรอกครับจ่า แค่ผู้กองธีอยากรู้จุดหมายปลายทางของเรา"

ภานุตอบเสียงเย็นชา จ่าแม้นกรอกตา...เฮ้อ...เป็นแบบนี้อีกแล้ว พอเข้าปฏิบัติงานเมื่อไร เมื่อนั้นต้องทำตัวขวางโลกทุกที ผู้กองรังสรรค์ทำหน้าบูดบึ้ง พอๆกับร้อยตรีอานุภาพ จ่าแม้นเกรงเหลือเกินหากถูกฝ่ายศัตรูซุ่มโจมตีจะเป็นเช่นไร ผู้กองภาพุ กับผู้กองรังสรรค์และร้อยตรีอานุภาพไม่เท่าไร เพราะเอาตัวรอดกันได้เนื่องจากชำนาญพื้นที่แต่ผู้กองธีรเดชที่มาใหม่นี่สิ น่าเป็นห่วงจริง คงไม่มีใครช่วยใครแน่ แม้จะอยู่ในหน่วยลาดตะเวนเดียวกันก็เถอะ ผู้พันมีทรัพย์ก็ช่างคิดที่นำเหล่าคน 'ไม่กินเส้นกัน'ร่วมวงไพบูลย์เดียวกัน จ่าแม้มองไปทางอื่นเมื่อภานุจ้องตนเขม็ง

"ผมรู้ว่าคุณห่วงเขา เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากกลับไปหาเขาเร็วๆล่ะก็ผมว่าคุณควรปฏิบัติงานที่ได้รับให้เสร็จดีกว่าครับ คุณอยากรู้อะไร อยากไปหาเขาก็ไปถามเขาเอง"

กล่าวจบผู้กองภานุลุกขึ้น หยิบเข็มทิศออกมา เฝ้าฟังเสียงศัตรูที่เจือในอากาศ ทิ้งให้ธีรเดชนั่งหน้าชา หัวหน้าหน่วยหันมาทางลูกน้องอีกครั้ง

"แล้วทำไมคุณถึงพูดสนิทสนมกับคุณหมอได้ ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร เห็นครั้งแรกไม่ใช่รึ"

ภานุถามอย่างกังขา ผู้กองธีรเดชยิ้มเย็น

"มันก็แค่เรื่อง 'ไร้สาระ'ไม่ใช่หรือครับ ท่านต้องการทราบทำไม?"

พอเจอย้อนแบบนี้ด้วยใบหน้าเฉยชา ผู้กองภานุตอบโต้ไม่ได้เลย ร้อนเอกธีรเดชลุกขึ้นไปนั่งรวมกับทุกคน ภานุไม่พูดอะไร เขาหันมาทางลูกน้อง

"อีกยี่สิบนาทีเราจะออกเดินทาง"

เขาสั่งทุกคนพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน ภานุคิดถึงต้นธารา...คำเรียกสนิทสนม คุณหมองี่เง่านั่นไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไรกัน ความขุ่นมัวก่อขึ้นในใจที่ได้ฟังคำเรียกชื่อเล่นของต้นธาราอย่างสนิทสนมจากปากผู้กองธีรเดช ความสัมพันธ์มันคืออะไร ชายหนุ่มเหม่อจนไม่ได้ยินเสียงของร้อยเอกรังสรรค์เรียก

"ผู้กองครับ...ผู้กอง!"

ภานุสะดุ้งซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก อานุภาพถอนใจหันไปทางหัวหน้าหน่วย

"แค่นี้ก็สะดุ้งเสียแล้ว ผมว่าไปไม่ถึงจุดหมายหรอกครับหน่วยเรา"

ร้อยตรีอานุภาพชายตามองดูผู้กองภานุที่ตีหน้าขรึมทันใด

"จะถึงหรือไม่ถึง จะล้มเหลวหรือสำเร็จร้อยตรีอย่างคุณก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดนะครับ"

ผู้กองรังสรรค์สวนให้ทันที ไม่ได้มีเจตนาปกป้องผู้กองภานุเลย คำพูดที่พลั้งปากออกมา ทุกคนเงียบกริบ ภานุกระแอม

"ผมในฐานะหัวหน้าหน่วยต้องขอโทษร้อยตรีอานุภาพด้วยที่กระทำตนเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนได้ไม่ดีนัก สำหรับคำตำหนิผมจะเก็บมาปรับปรุง ส่วนผู้กองรังสรรค์ คุณกับร้อยตรีอานุภาพร่วมหน่วยเดียวกันแล้ว ต่างมีจุดมุ่งหมายในงานเดียวกันขอให้สามัคคีถึงแม้จะไม่ชอบใจก็ตาม ผมขอพูดกับทุกคน ณ ที่ตรงนี้นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราจะก้าวเข้าสู่ดงข้าศึก สิ่งเดียวที่จะทำให้ทุกคนรอดคือความสามัคคีในหมู่ ผมรู้ว่าทรรศนคติทุกคนต่างแตกต่างกัน ความคิดย่อมขัดแย้ง แต่ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนจงร่วมมือกัน คิดถึงหน้าที่ที่ได้รับเป็นอันดับแรกจงอย่าปล่อยให้ความขัดแย้งเป็นจุดบั่นทอนการปฏิบัติภารกิจ ผมในฐานะหัวหน้าหน่วย เป็นผู้นำของคุณ จากการที่ผู้พันมีทรัพย์แต่งตั้งผมมา ผมรู้ดีว่าอคติของพวกคุณเกี่ยวกับผมเป็นเช่นไร ผม 'ขอร้อง'จงเชื่อฟังคำสั่งของผมหากพวกคุณไม่อยากตาย ร้อยเอกรังสรรค์ในฐานะที่คุณเป็นรองหัวหน้าหน่วยจงอย่าให้อคติหนึ่งมาทำลายหน้าที่ของคุณ ร้อยตรีอานุภาพขณะนี้ฐานะของคุณคือผู้ใต้บังคับบัญชาการถึงแม้คุณจะไม่ชอบใจก็ตามแต่ ผมขอร้องให้ฟังคำสั่งผมและรองหัวหน้าหน่วยด้วย จ่าแม้นคุณจงเป็นตัวห้ามและขอให้พูดเตือนสติทุกคน หากมีการขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะจ่าเข้าใจในลักษณะนิสัยของทุกคนดีที่สุดและคุณ...ร้อยเอกธีรเดช ในฐานะที่เป็นคนใหม่ในหน่วยงานเรา บางครั้งคุณอาจจะไม่เข้าใจในการปฏิบัติงานและข้อขัดแย้งของเราก็ขอให้ปรับตัวและคิดถึงหน้าที่ที่สำคัญให้มาก ส่วนผมจะพยายามไม่ให้เหยียบตาปลาใคร "

เสียงเฉียบขาด ทรงอำนาจ ทุกคนนั่งรับฟังเงียบๆ ภานุมองหน้าทุกๆคน ก่อนน้ำเสียงเป็นปกติจะเอ่ยอีกครั้ง

"ภารกิจครั้งนี้จะใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ในการหาเส้นทางส่งยาเสพติด ซึ่งมีเค้ามูลว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกกองโจรกู้แผ่นดินที่เราปะทะด้วย เราได้ข่าวจากทางการว่ามีการลอบขนส่งยาเสพติดจากพม่าเข้าสู่ไทย หน้าที่ของเราคือการหาเส้นทางที่พวกมันใช้ขนส่งยาข้ามแดนและข่าวเท็จจริงเกี่ยวกับการที่กองโจรกู้แผ่นดินเกี่ยวข้องกับการขนส่งยาเสพติด"

ภานุมองหน้าทุกๆคน หยุดเว้นระยะเผื่อมีใครอยากจะสอบถาม

"มันแหม่งๆน้า...พวกกองโจรกู้แผ่นดินไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้"

จ่าแม้นพึมพำ ธีรเดชตอนนี้คิดถึงแม่หญิงกลิ่นเอื้องทันที...เธอเกี่ยวข้องกันไหม

"ก็ไอ้พวกนี้มันกินอุดมการณ์จะตาย"

จ่าแม้นเสริม ผู้กองรังสรรค์หัวเราะ

"อุดมการณ์ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาหรอก เงินต่างหากที่สามารถบันดาลทุกสิ่ง"

รองผบ.หน่วยกล่าว(ผบ.=ผู้บังคับบัญชาการ)หัวหน้าชุดหน่วยลาดตะเวนชายแดนกระแอม ทั้งจ่าแม้นและร้อยเอกรังสรรค์จึงหันมาสนใจ


"เราจะจัดตั้งชุดสะกดรอยขึ้น จ่าแม้นรับหน้าที่แกะรอย ร้อยเอกธีรเดชรับหน้าที่เป็นคนคุ้มกัน ร้อยตรีอานุภาพรับหน้าที่พลวิทยุ ร้อยเอกรังสรรค์รับหน้าที่เป็นคนระวังหลัง ทุกคนต่างทราบหน้าที่ของตัวเองแล้วก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดและฟังคำสั่งผมซึ่งเป็นผบ.ชุดลาดตะเวนอย่างเคร่งครัด"

เมื่อได้ยินการแจกแจงหน้าที่ ทั้งหมดต่างทำวันทยหัตถ์รับทราบจ่าแม้นหันมายิ้มให้แก่ร้อยเอกธีรเดช

"ผู้กองต้องรับหน้าที่คุ้มกันผมน้า"

การแซวเรียกเสียงหัวเราะเพราะคนคุ้มกันนั้นต้องติดตามคนแกะรอยอยู่ตลอดเวลาและคุ้มกันคนทั้งขบวน

"อาวุธขอให้พร้อมอยู่ตลอดด้วยร้อยเอกธี"

ภานุสั่ง ธีรเดชรับคำเงียบๆ เขาหันไปตรวจดูลูกกระสุนให้พร้อม

"พลวิทยุหากมีกลิ่นผิดปกติและเกิดเหตุการณ์วิกฤตให้ติดต่อกับหน่วยเหนือทันที"

ดวงตาคมจับจ้องยังร้อยตรีอานุภาพซึ่งหยิบวิทยุสนาม*PRC-624ออกจากเป้ ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ครบ ผบ.ชุดสะกดรอยมองร้อยเอกรังสรรค์ซึ่งทำท่ายักไหล่คล้ายบอกว่าหน้าที่เขารับผิดชอบได้ดีอยู่แล้ว


"ร้อยเอกรังสรรค์ ในฐานะที่คุณเป็นรองผบ.หน่วยลาดตะเวนหน้าที่ของคุณสำคัญยิ่งยวด คุณต้องระวังป้องกัน ปฐมพยาบาล กลบเกลื่อนร่องรอยขอให้ทำหน้าที่นี้ให้ดี"

ร้อยเอกรังสรรค์ชูเป้ปฐมพยาบาลขึ้นก่อนจะบอกกับทุกๆคน

"ใครปวดหัว ตัวร้อนมาหาผมนะคร้าบ"

เสียงฮาดังขึ้นทันที ภานุส่ายหัวกับความขี้เล่นของร้อยเอกรังสรรค์

"เอาล่ะเมื่อจัดเตรียมของกันเสร็จแล้ว เราจะออกเดินทางกันต่อ"

ทุกคนลุกขึ้น ดูกระฉับกระเฉงและกลมเกลียวกว่าที่เคย ติดตามภานุไปในป่าลึกเรื่อยๆ

------------------------------------------------

ต้นธาราหลังจากที่สลบอยู่ที่บ้านผู้กองภานุ ตัวเขาน่าจะตายเพราะแรงช๊อกกลับรอดมาได้ เป็นเพราะผู้พันมีทรัพย์ไม่เห็นเขากลับไปเสียทีจึงออกตามหา จนกระทั่งเห็นเขาสลบ ท่านจึงเรียกคุณหมอมาริสามาตรวจ คุณหมอสาวลงความเห็นให้ไปรักษาตัวที่ค่ายใหญ่ ผู้พันจึงเรียกเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยแพทย์มา ผู้พันมีทรัพย์แปลกใจที่เห็นนายพลอรุณผู้บังคับบัญชาสูงสุดในค่ายใหญ่มารับคุณหมอต้นธาราเอง ท่านไม่กล่าวอะไรได้แต่เฝ้ามองร่างต้นธาราถูกนำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ก่อนจะบินออกหายลับจากสายตา

"คุณหมอธารจะเป็นอะไรไหมคะ เพราะชีพจรเต้นอ่อนเหลือเกิน"

คุณหมอมาริสาเป็นกังวล ผู้พันยิ้มปลอบใจ

"คงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ เพราะถ้าไปรักษาตัวทางค่ายใหญ่แล้วก็ไม่น่าเป็นห่วง"

ผู้พันมีทรัพย์ตอบ ในใจเริ่มสงสัย....คุณหมอที่ดูอ่อนโยน ยิ้มแย้มใจดีเป็นใครกัน....กระทั่งผู้บังคับบัญชาการสูงสุดถึงต้องออกโรงสั่งการเอง

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-05-2008 13:15:09
รู้สึกถึงตัวที่เบาหวิว...เขาอยู่ไหนน่ะ? คุณหมอต้นธาราคิด รู้สึกว่าจะหายใจไม่ออก เสียงหนวกหูนี่คืออะไร เขาเป็นอะไรไป ดวงตาอันพร่าเลือนลืมตื่น เห็นภาพต่างๆพร่ามัว เขากำลังนอนอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยแพทย์ทหาร ชุดลายพรางสีเขียวค่อยชัดขึ้น ใบหน้าอวบอูม ใจดี ต้นธารากระพริบตาถี่ๆ ชายชราผู้นั้นก้มหน้ามายามเห็นดวงตาใสกระจ่างลืมตา

"เป็นอย่างไรบ้างล่ะหนูธาร?"

น้ำเสียงอบอุ่น มือเหี่ยวย่นหากแต่หยาบกร้านและแข็งแรงบีบมืออ่อนนุ่ม ต้นธาราอยากจะเอ่ยตอบแต่ก็พูดได้แค่ขมุบขมิบเบาๆในคำคอ

"ถ้าเหนื่อยอยู่ละก็พักก่อนเถอะ"

มือแกร่งลูบผมสีน้ำตาลอ่อน ต้นธาราสบายใจจริงๆ เขาหลับตาลง ชายชราผู้นั้นเปลี่ยนเค้าหน้าอ่อนโยนเป็นความแข็งแกร่งสมชาติทหารทันที หันมาทางชายหนุ่มอายุสามสิบปลายๆอกมีตราแพทย์ประดับ

"อาการของหนูธารเป็นอย่างไรหรือร้อยโทประกิต?"

ชายชราถามเสียงขรึม ร้อยโทประกิตตอบอย่างนอบน้อม

"ไม่เป็นอะไรแล้วครับท่านนายพล เป็นลมเพราะโลหิตจางเท่านั้น"

ท่านนายพลอรุณถอนใจ

"ผมไม่เข้าใจครับทั้งๆที่คุณหมอต้นธาราเป็นลูคีเมียแท้ๆเพราะเหตุใดถึงไม่ยอมรักษา"

สายตาของนายพลอรุณดูว่างเปล่า

"ฉันก็อยากจะรู้"

ท่านตอบเสียงแผ่ว เฝ้ามองคนที่เป็นเหมือนหลานของเขา! ร้อยโทประกิตกล่าวเสริมเกี่ยวกับอาการของคุณหมอต้นธารา

"โรคลูคีเมียที่คุณหมอเป็นเกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดขาวพูดง่ายๆคือไขกระดูกนั่นเอง มันเป็นเนื้อเยื่อแกนกลางของกระดูกมีหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดให้แก่ร่างกายได้แก่เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดซึ่งปกติเม็ดเลือดจะมีอายุของมันอยู่แล้วซึ่งเม็ดเลือดขาวมีอายุ2-3สัปดาห์เท่านั้น หากหมดอายุไป ร่างกายก็จะผลิตใหม่จากเซลล์ต้นกำเนิด ในระยะนี้หากมีความผิดปกติกับการแบ่งตัวของเซลล์จนร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ จำนวนเม็ดเลือดที่ผิดปกติก็จะมากขึ้น ในขณะเดียวกันเม็ดเลือดเหล่านี้ยังเข้าไปรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดปกติทำให้จำนวนเม็ดเลือดดีลดลงส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอจนเกิดภาวะโรคมะเร็งในที่สุด คุณหมอต้นธาราอาจจะอยู่ได้ไม่นานนักถ้าไม่ได้รับการรักษา"

นายพลอรุณลูบใบหน้า

"ฉันรู้ดีว่าหลานฉันเป็นอะไร"

ท่านแตะผิวขาวซีด ร่างกายมองภายนอกอาจจะแข็งแรง มาถึงตอนนี้มันค่อยๆเสื่อมสลาย ร้อยโทประกิตไม่กล่าวต่อ จนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์จอดยังลานบิน ร่างของคุณหมอถูกลำเลียงเข้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว นายพลอรุณตามไป แต่ก็ถูกกั้นออก ท่านรอครึ่งชั่วโมง หมอจึงออกมารายงานผลให้ฟังและบอกว่าเหตุที่เกิดนั้นมาจากอะไร

"ตามที่ได้เช็คประวัติแพทย์ คุณหมอต้นธารามีโรคประจำตัวคือลูคีเมีย มันจึงส่งผลกระทบให้เป็นโรคโลหิตจางหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะถึงแก่ชีวิต"

คุณหมอเจ้าของคนไข้ว่า ท่านนายพลผงกหัว

"ผมทราบครับ ขอให้ผมเข้าไปเยี่ยมได้หรือไม่?"

นายพลขอ คุณหมอไม่ขัด ปล่อยให้ร่างของท่านนายพลเข้าไปยังห้องพักของต้นธารา ท่านนั่งชิดติดริมเตียง สั่งนายทหารคนสนิทโทรตามท่านนายพลพิภพด่วนแต่ก็ได้รับข่าวแจ้งว่านายพลพิภพไปราชการอีกสองวันจึงจะกลับ ท่านนายพลอรุณมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก็ต้องคลายใบหน้านั้น เมื่อเห็นหลานธารตื่นขึ้น

"คุณลุงอรุณ?"

ต้นธาราพึมพำ เขาคิดว่าอยู่ในความฝัน...เขาเห็นเพื่อนของพ่อที่มีฐานะเป็นลุงและพ่อบุญธรรมที่น่าจะอยู่ค่ายใหญ่

"มีอะไรหรือหนูธาร?"

ท่านถามเสียงอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระพริบถี่ๆ

"ผมอยู่ไหน?"

ต้นธาราเค้นเสียงถาม ลำคอแห้งผาก นายพลอรุณเรียกหมอให้เขามาตรวจและขอน้ำ นางพยาบาลป้อนน้ำให้ ต้นธาราถอนใจ เขายังสะลึมสะลือ ตาเลื่อนลอยมองเพดานสีขาว

"ผู้กองล่ะ?...ผู้กองภานุ"

ริมฝีปากอิ่มพึมพำเรียกชื่อผู้กองหนุ่ม ท่านนายพลขบฟันแน่น บีบมือผู้เป็นหลานเบาๆ

"หนูธารไม่ได้อยู่ที่ค่ายแล้ว ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลส่วนผู้กองออกปฏิบัติภารกิจ"

ชายชรากล่าว ต้นธาราเบือนหน้ามา

"ผมอยู่ที่โรงพยาบาลหรือครับ?"

ท่านนายพลผงกหัว แต่แล้วต้นธารากลับปิดเปลือกตาและหลับใหล ลมหายใจสงบ นายท่านพลวางมือบอบบางลง ห่มผ้าให้

...ธาร...เจ้ายังไม่ลืมเขาอีกหรือ....


ท่านนายพลรำลึกถึงครั้งที่ได้รู้ความลับของผู้เป็นหลาน...ต้นธาราหลงรักผู้กองหนุ่ม ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหา ยอมเสี่ยงเพื่อที่จะได้พบเจอ คนที่เป็นคนบอกความลับเป็นนายพลพิภพ บิดาของต้นธารา ท่านทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเด็กๆ เคยจีบแม่ของต้นธาราด้วยกันจนคนที่ชนะใจของแม่ต้นธาราคือนายพลพิภพ นายพลพิภพเอ่ยด้วยความกลุ้มใจที่ลูกชายของตัวยอมทิ้งทุกๆอย่างเพื่อตามหาคนๆหนึ่งกับความรักที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง ตัวเขาที่ได้รับฟังไม่เชื่อจนได้เห็นกับตา ท่านสืบประวัติของร้อยเอกภานุเช่นกัน ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าภานุมีคู่หมั้น เขาก็บอกแก่นายพลพิภพซึ่งเอาคำบอกนี้ไปเอ่ยกับบุตรชาย ต้นธาราก็ยังดื้อดึงไม่ยอมรับ ท่านสงสัยว่าทำไมต้องรักเสียมากมาย ครั้นไม่อาจห้ามได้จึงปล่อยไป เมื่อเรียนจบแพทย์ หลานธารก็ขอบรรจุมาเป็นแพทย์อาสา ณ ค่ายที่ผู้กองภานุทำงานอยู่

'ขอแค่ได้มองเห็นผมก็เป็นสุข แม้ไม่อาจเอื้อม เท่านี้ก็พอใจ'

คำพูดของหลานธาร ในตอนนั้นก้องในความรู้สึก ดวงหน้าประพิมพ์คล้ายมารดา มันช่างสงบและดูสวยงาม มีความรักบริสุทธิ์เปี่ยมล้น จนท่านยอมใจอ่อนช่วยเหลือ เมื่อหลานธารอยู่ในค่ายเล็กๆนั่น ท่านจะเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา...ดูความเปลี่ยนแปลงระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างผู้กองภานุ ท่านได้รับรายงานจากนายทหารในค่ายว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีไม่มีอะไรเปลี่ยน ท่านนายพลอรุณแทบไม่เชื่อคิดว่าเป็นเรื่องโกหกเสียอีกจนกระทั่งถึงวันที่ผู้กองนาคีตายในหน้าที่ ทุกอย่างดูจะเปลี่ยนไปช้าๆ แต่ยังไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้ง นอกจากธีรเดช ท่านคิดจะถามถึงความคืบหน้า แต่ก็ไม่สบช่องเสียที ท่านนายพลลุกขึ้น มองไปนอกประตู...ความสุขที่ได้อยู่ใกล้งั้นรึ นายท่านพลรำพึง หลานชายขยับตัว คราวนี้ตื่นเต็มตา ท่านนายพลจึงหันมาทักทาย

"ตื่นแล้วรึลูก?"

ต้นธาราผงกหัว กระพริบตาสู้แสง ยิ้มเซียวให้แก่คุณลุง

"ผมสลบไปนี่น่า?"

ในดวงตางุนงง ชายชราผงกหัว

"ใช่..."

ท่านว่า ต้นธาราเงียบกริบ สายตาอันเฉียบคมจับจ้องยังหลาน ต้นธาราก้มหน้า

"คิดจะฝืนไปถึงเมื่อไรหรือธาร?"

นายพลอรุณถาม ต้นธาราไม่ตอบคำ

"ทำไมถึงไม่ลืมเขาล่ะ จะปล่อยให้ทันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆหรือ อยู่กับสิ่งลวงตาลวงใจและความเจ็บปวด"

ลมหายใจถอนช้าๆ ต้นธาราหลับตาแน่น

"ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งคุณลุง ทั้งธี ทั้งพ่อถึงพูดแบบนี้ ผมไม่ได้เจ็บปวดเสียหน่อย"

ร่างบางขยับกาย ลืมตาตื่นสบกับดวงตาแกร่ง

"ก็เพราะห่วงเจ้าไง"

ท่านโอบกอดผู้เป็นหลาน ต้นธารานิ่ง

"ผมเข้าใจครับ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกเอง"

นายพลอรุณกระชับวงแขน

"ลุงรู้ แต่ว่า...."ท่านหยุดไป ต้นธารากอดท่านตอบ

"ครับ...ผมรู้ว่าลุงจะเอ่ยอะไร ผมอยากอยู่แบบนี้ ถึงแม้จะตายก็ช่างเถอะ"

ดวงตาสีอ่อนมีรอยหมอง

"ธาร...ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเลยนะที่จะทำเช่นนั้น"

ท่านนายพลขัด ต้นธาราถอนใจ

"ผมก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เวลาผมเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว แม้จะได้รับการรักษาอาจจะไม่หายก็ได้ ผมอยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร แม้ตัวเองจะขมขื่นใจก็ตาม"

รอยยิ้มนุ่มนวลนั้น มีความเข้มแข็งอยู่เต็มเปี่ยม

"ธารอย่าได้พูดไป หลานจะหายแน่ๆถ้าเข้ารับการรักษา"

นายพลอรุณปลอบ ต้นธาราหัวเราะเบาๆ

"นั่นสิครับ...อาจจะหายก็ได้"

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ดวงตาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย

"คนแบบนั้นไม่มีวันเข้าใจในความรู้สึกของหลานหรอก"

ท่านายพลคัดค้าน ผู้เป็นหลานเบือนหน้าหนี

"ผู้กองภานุ...แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็อ่อนโยนนะครับ"

ดวงตาสีอ่อนหลับลง นึกถึงสัมผัสที่ผู้กองภานุได้มอบไว้...สัญญาที่เอ่ยออกมาเขาอยากจะเชื่อเหลือเกินว่าผู้กองภานุไม่ได้เกลียดเขาจริงๆกับเรื่องของผู้กองนาคี

"ยังจะปกป้องมันอีกหรือ คนแบบนั้นน่าจะปลดออก"

ท่านนายพลว่าด้วยแรงอารมณ์ ต้นธาราหันมาแจง

"ผมไม่ได้ปกป้องเขา ผู้กองภานุอ่อนโยนกับผมจริงๆ"

เขาเถียง ตาประสานอย่างไม่ยอมแพ้ ท้ายที่สุดนายพลอรุณใจอ่อนจนได้

"เอาล่ะ ธารเรื่องนี้เราค่อยพูดกัน"นายพลอรุณว่า ท่านลุกขึ้น

"ลุงจะกลับมาใหม่"

ต้นธารารู้ดีว่าคุณลุงไปดับอารมณ์โกรธ ต้นธาราจึงล้มตัวนอน ในใจรู้สึกผิด...สิ่งที่ภานุเป็น ตัวเขาจะมองเห็นเอง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 24-05-2008 13:24:06
อ่าครับผมเริ่มสนุกแล้วละซิครับ

มาต่อยาวๆนะครับ จะรออ่านครับผม

ว่าแล้วก็เดาไม่ผิด อิอิ

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-05-2008 21:05:36
ต่อเลยน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:10 h-hour /แผนการโจมตี

แสงแดดที่สาดลอดเงาไม้ บรรยากาศตึงเครียดสายตาของภานุจ้องจ่าแม้นที่สอดสายตาบนพื้นมองหารอยกิ่งไม้หัก พอเจอจ่าแม้นก็รีบปรี่เข้าไปทันที ทุกคนที่ติดตามอยู่ชะงัก

"เป็นอย่างไรบ้างจ่า"

ร้อยเอกภานุถามหลังจากเห็นสีหน้าของจ่าแม้น นักแกะรอยมือหนึ่งของค่ายหยิบกิ่งไม้ที่หักหล่นบนพื้นขึ้นมา

"ผู้กองครับรอยนี้เกิดขึ้นเมื่อสามวันที่แล้วครับ"

ภานุรับกิ่งไม้ ท่อนขนาดกลางที่จ่าแม้นส่งให้ ใช้สายตามองก่อนฟังคำอธิบาย

"มันตัดเพื่อเบิกทางเท่านั้นเองครับ ดูที่ใบไม้สิครับ สีใบเฉาแล้ว ยิ่งเป็นใบอ่อนยิ่งเฉาเร็วถ้าเป็นใบธรรมดาจะอยู่ไม่เกิน3ชั่วโมง"

มือของชายชราใช้มีดพกอันแหลมคมเฉือนเนื้อในเปรียบด้วย จ่าแม้นบอก ภานุพยักหน้าเป็นการรับทราบ สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดยิ่งนัก

"แสดงว่ามันใช้เส้นทางนี้ขนยาสินะ?"

ชายหนุ่มถามจ่าแม้น ซึ่งจ่าแม้นสังเกตรอบๆภูมิทัศน์ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ๆขึ้นบางตา จ่าแม้นก้มๆเงยมองพื้นดิน สำรวจต้นไม้รอบข้างชั่วขณะก่อนจะวิ่งมาตอบ

"ไม่ใช่ครับผู้กองจากรอยที่สังเกตพบบ่งบอกว่าทางฝ่ายนั้นไม่ได้ใช้เส้นทางนี้ในการขนส่ง น่าจะใช้ในการเดินทางเสียมากกว่า อาจจะใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่เขตแดนไทยก็ได้ครับ"

หัวหน้าหน่วยปาดเหงื่อที่หยดย้อย ถอนใจยาวๆก่อนจะออกคำสั่ง

"วันนี้คงยังไม่ได้อะไรหรอกจ่าแม้นหาจุดพักด้วย"

จ่าแม้นผงกหัวชี้ไปทางเนินเขาที่เห็นได้ลิบๆ ท่ามกลางไอแดดเต้นระยิบระยับก่อเป็นเงาพร่ามัว

"ไปอีกหกกิโลครับก็จะถึงที่พักของเราขอให้อดทนกันหน่อย"

จ่าแม้นว่าเพราะแต่ละคนเริ่มอิดโรย เพราะเดินทางมาตลอดทั้งวันโดยไม่ได้หยุดพักเลย พอไปถึงทุกคนก็ต่างกระจัดกระจายทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จ่าแม้นหาฟืนก่อไฟ หมวดอานุภาพกางเต็นท์ ร้อยเอกธีรเดชเป็นเวรยามประจำค่าย ส่วนผู้กองภานุหายเข้าป่าไปยิงสัตว์ มอบหมายหน้าที่ให้รองหัวหน้าหน่วยเป็นผู้รับหน้าที่หัวหน้าหน่วยชั่วคราว

จ่าแม้นเตรียมเชื้อเพลิงได้มากพอก็โยนไม้ลงบนพื้นโครม ชุดทหารเปื้อนดิน ท่อนแขนผอมแห้งแต่แข็งแรงเช็ดเหงื่อไคลออกจากหน้าแล้วนั่งลงก่อไฟ หมวดอานุภาพหยิบผ้าร่มผืนใหญ่ออกมา ขุดหลุมปักเสายึดตัวผ้าร่มทำเต็นท์แบบง่ายๆขึ้นมาก่อนจะรวบรวมแขนงไม้ กิ่งไม้เล็กๆใบไม้มาปูคลุมพื้นที่ได้แผ้วถางออกเพื่อไว้เป็นฉนวนกันความเย็นและความชื้นจากพื้นดินก่อนจะใช้ผ้าร่มอีกผืนคลุมทับ ไฟถูกจุดอย่างรวดเร็วเป็นการไล่แมลงต่างๆรองหัวหน้าหน่วยช่วยเหลือจ่าแม้นหุงหาอาหารโดยเอาไม้ไผ่มาหลามข้าว ธีรเดชก็ช่วยอีกแรงโดยการไปตักน้ำจากลำธารใกล้ๆมาไว้ใช้ เมื่อเสร็จก็ถือพื้นออกตรวจตราระแวดระวังภัยต่อไป ท้องฟ้าก็มืดสนิทจ่าแม้นจึงเรียกให้ผู้กองธีรเดชมาทานข้าวเย็น ดวงจันทร์ส่องแสง ทุกคนก็นั่งล้อมวงรอทานข้าว เสียงคู้ๆของนกกลางคืนฟังดูน่ากลัวยังไม่มีใครแตะต้องอาหารเลยเพราะรอหัวหน้าใหญ่ก่อน ธีรเดชนั่งตบยุงที่บินตอม ผู้กองรังสรรค์หน้าตาดูงัวเงียและอิดโรย จ่าแม้นชะเง้อชะแง้มองไปนอกค่ายพักแรม ส่วนร้อยตรีอานุภาพนั่งเหลาไม้เล่น

"ผู้กองไปไหนครับ"

ธีรเดชกระซิบถาม จ่าแม้นหันมาหน้าตากังวลเช่นกัน

"เห็นว่าไปล่าสัตว์แต่ป่านนี้แล้ว..."

สีหน้าของชายชรากังวล ร้อยตรีอานุภาพยิ้มในความมืด

"ไม่ใช่ถูกเสือขบหัวตายไปแล้วเรอะ เมื่อหัวค่ำก็ได้ยินเสียงร้องกันอยู่ไม่ใช่หรือ"

อานุภาพเอ่ย แทบทำให้ผู้กองรังสรรค์โกรธจนเกือบโผเข้าไปต่อย ถ้าไม่ถูกแขนของจ่าแม้นกั้นไว้ร้อยตรีอานุภาพก็คงโดนต่อย

"ผู้หมวดอานุภาพพอเถอะครับ"

จ่าแม้นว่าน้ำเสียงเคร่งขรึม ผู้กองรังสรรค์นั่งขบเขี้ยวเข่นฟัน เสียงย่ำสวบสาบดังขึ้นทางเบื้องหลังของจ่าแม้นและผู้กองธีรเดชที่มองอย่างหน่ายๆต่อมวยที่เกือบเริ่มขึ้น ทุกคนต่างคว้าอาวุธ แสงไฟสาดต้องร่างของผู้กองภานุ หน้าตาที่ดุดันดูเหน็ดเหนื่อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงมีเศษไม้ไม้ติด ตามท่อนแขนแกร่งมีรอยขีดข่วนเนื่องจากพับแขนเสื้อขึ้น ผู้กองหนุ่มสาวเท้าเข้ามาในที่พักอย่างแผ่วเบา แสงไฟสาดส่องให้เห็นดวงตาวาวๆไร้ชีวิตที่อยู่ในมืออีกข้างของผู้กอง จ่าแม้นลุกขึ้นมารับ

"โอ้โห! ผู้กองไปยิงมาจากไหนครับเนี่ย?"

เมื่อใกล้แสงไฟ ดวงตาทั้งหมดก็จับจ้องยังร่างของไก่ป่าและงูเหลือมขนาดใหญ่ ทั้งร้อยตรีอานุภาพทั้งผู้กองรังสรรค์ดูเฉยๆกับของพวกนี้ แต่ร้อยเอกธีรเดชมองอย่างทึ่งๆ

"เอาไปจัดการซะ ผมขอตัวไปอาบน้ำเสียหน่อย แล้วพวกคุณจะทานข้าวก่อนก็เชิญ"

น้ำเสียงก็ดูเหนื่อยอย่างไรพิกล จ่าแม้นนำซากร่างของสัตว์ที่ตายไปแล้วไปวางในส่วนที่เป็นครัวก่อนล้อมวงทานข้าว

"ผู้กองไปยิงมาจากไหนหรือสัตว์พวกนั้น?แล้วเอามาทำอะไรครับ?"ธีรเดชถามระหว่างทานข้าว

"คงยิงมาจากแถวนี้แหละครับ"

ผู้กองรังสรรค์ตอบ ธีรเดชขมวดคิ้วเพราะไม่ได้ยินเสียงปืนแม้แต่น้อยแต่เขาไม่กล้าถามอะไรต่อ นั่งทานข้าวเงียบๆ

"ผู้กองแกเก่งเรื่องดักสัตว์ครับ ไม่ต้องใช้ปืนก็ได้แต่เนื้อดีๆมากิน"

จ่าแม้นเสริม พอเอ่ยเสร็จผู้กองภานุก็เดินเข้ามา เนื้อตัวเส้นผมยังเปียกชุ่ม ชายหนุ่มนั่งลงหยิบมีดพกแหลมคมขึ้น กิริยานั่นสร้างความสนใจให้แก่ธีรเดชไม่น้อย ชายหนุ่มผละจากวงข้าวไปนั่งดูผู้กองชำแหละงู ฝ่ายภานุเพียงเงยหน้าก่อนจะจัดการงานของตัวเองต่อ มือจับหัวงูไว้แล้วใช้มีดตัดทิ้ง ก่อนจะผ่าท้องควักพวกเครื่องในอันดับสุดท้ายจึงถลกหนังงูออกเหลือแต่เนื้อขาวเป็นล่อนๆ ภานุใช้มีดสับเป็นท่อนๆโยนใส่หม้อสนามเอาเกลือทา ก่อนจะพักไว้แล้วหันไปจัดการกับไก่ป่าต่อ

"คุณช่างฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเก่งเสียจริง"

ธีรเดชแดกดันเบาๆ ภานุสบตาอยู่ชั่วครู่ ในแววตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

"ที่พูดนี่ต้องการอะไร?"

ชายหนุ่มย้อนกลับด้วยคำพูดระมัดระวัง ธีรเดชกลับเงียบไป ภานุไม่รอคำตอบชายหนุ่มตัดคอสัตว์ก่อนจะผ่าช่องท้องล้วงเครื่องในออก ก่อนจะจุ่มน้ำล้างช่องท้องให้สะอาด กลิ่นสาบและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จ่าแม้นหยิบหม้อมาให้ ภานุรับก่อนจะว่า

"ถ้าคุณมีเวลานักล่ะก็ช่วยผมต้มไอ้นี่หน่อยเถอะ"

ภานุโยนหม้อให้ ธีรเดชรับตั้งไฟไว้

"คำถามที่คุณเอ่ย นั่นหมายถึงเรื่องคุณหมอต้นธาราหรือเปล่า"

ผู้กองหนุ่มพูดแผ่วเบา มือคนไก่กำลังเดือดพล่าน จ่าแม้นเดินเข้ามาธีรเดชจึงยังไม่ตอบ

"วันพรุ่งนี้เราก็มีเสบียงเพราะผู้กองแท้ๆ"

จ่าแม้นว่าเขย่ากระติกน้ำอลูมิเนียม ดูแกจะครึ้มใจเป็นพิเศษ ภานุรู้เพราะเห็นกระติกอะลูมิเนียมมันต้องบรรจุบรั่นดีอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ว่ากล่าว เพราะรู้ว่าทุกคนๆรวมทั้งเขาต้องดื่มอยู่แล้ว มันช่วยคลายความเหน็บหนาวให้ได้อย่างเยี่ยมยอดทีเดียว สายลมพัดอู้มาเป็นระยะๆ คำถามที่ภานุเป็นคนถามนั่นธีรเดชเก็บมันไว้ในใจ นั่งฟังการจัดเวรยามด้วยความเงียบสงบ

"ก่อนที่ทุกคนจะเข้าพักผ่อนตาม อัชฌาศัย ขอให้ฟังคำชี้แจงเรื่องการจัดเวรยามกันก่อน ใครจะรับอาสาเป็นเวรแรกคู่กับผม"

ภานุขอคนอาสา ธีรเดชยกมือขึ้น เขาขออยู่เวรคู่กับภานุ ซึ่งหัวหน้าหน่วยก็ต้องยอมรับ

"เราจะอยู่เวรคนละสองชั่วโมง ยามสุดท้ายใครจะอยู่?"

อานุภาพเป็นฝ่ายอาสา เมื่อลงตัวแล้วต่างคนก็ต่างนอนพักผ่อน ยามแรกภานุกับธีรเดชเป็นคนอยู่ยาม ซึ่งชายหนุ่มยกหม้อที่ต้มชิ้นไก่กับงูเหลือมออกจากกองไฟ แล้วใช้ไม้เขี่ยถ่านติดไฟแดงโร่กระจายไปทั่ว ธีรเดชโยนกิ่งไม้แห้งใส่กองไฟ เปลวเพลิงลุกท่วมทันที

"คำถามที่คุณถาม...ผมขอตอบว่าใช่ คุณไปข้องแวะกับธารทำไม? ทั้งๆที่คุณเกลียดเขา"

เมื่ออยู่ตามลำพัง ธีรเดชก็พูดดังพอควร ภานุมองดูนายทหารที่หลับสนิท เขาก็ถอนใจ

"ผมยุ่งหรือไม่ยุ่งกับเขาคุณ 'เกี่ยว'อะไรด้วยไม่ทราบครับ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับเขา แล้วคุณล่ะ
'เกี่ยว'อะไรกับเขา มายุ่งย่ามอะไรด้วยไม่ทราบ?"

ภานุย้อน ธีรเดชยิ้มราวกับเป็นต่อ ชายหนุ่มเห็นแล้วโมโห มันเยาะเขาโดยเฉพาะ เขาเกลียดรอยยิ้มนั่นเสียจริง รู้...ว่าต้นธาราเป็นอย่างไร...รู้...ว่ารอยยิ้มอ่อนหวานนั่นเป็นเช่นไร

"ถ้าเป็นเรื่องของธาร...ผมรู้เรื่องของธารทุกเรื่อง ผมมีสิทธิ์ยุ่มย่ามกับธาร คุณต่างหากที่มาเกี่ยวอะไรกับธารทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย"

ธีรเดชกล่าว ภานุบีบไม้ในมือแน่น

"ผมขอเถอะครับ หากคุณไม่ได้รักธารเลยก็ขอให้ปล่อยธารไปเถอะครับ ธารน่าสงสารที่ต้องไล่ตามให้คุณหันมอง ธารอาจอยู่ได้ไม่นานนัก....คุณอาจจะไม่รู้อะไรเลยว่าธารรักคุณขนาดไหน"

น้ำเสียงวิงวอน ขอร้องภานุนิ่งอึ้งแต่เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเลย หลังจากนั้นก็มีแต่ความเงียบและเสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ เสียงลมหายใจสงบดังมาจากเต็นท์ คนในนั้นนอนหนาวสั่นขดตัวได้ผ้าห่มประจำตัว สองชายหนุ่มไม่รู้ว่าใครคนหนึ่งกำลังแอบฟังคำสนทนาอยู่ สีหน้ามีชัยแล้วก็หลับตาลงปิดสนิท

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 28-05-2008 21:09:59
เรามาปาดพิมเท่ร๊ากกกก ปะเนี่ย  :laugh: :laugh: ดันๆ อึ๊บๆ หนักวุ้ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-05-2008 21:14:14
^
^
ยังโพสไม่จบ  หนึ่งอ่า 
5555
+++++++++++++++++++++++++++++
ต้นธารายังนอนซมอยู่โรงพยาบาล ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าสุขภาพของตนเริ่มแย่ลงแล้ว วันนี้เขาตื่นมาตอนสิบโมง เพราะหมอปลุกฉีดยา เขามองหน้าของนางพยาบาล ริมฝีปากซีดเซียวพยายามยิ้ม อยากจะพูดก็ได้แต่ขมุบขมิบ เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเข็มฉีดยาแทงเข้าเนื้อ

"เป็นยารักษาโรคโลหิตจางครับ"

หมอประกิตเอ่ยในดวงตาคลายความกังวลใช้สายตางัวเงียมองรอบๆห้องสีขาว

"นี่ไม่ใช่ห้องที่ผมเคยพักนี่ครับ แล้วลุงอรุณล่ะไปไหน"

ชายหนุ่มถามแผ่วละโหย หมอประกิตลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง สบดวงหน้างามของคุณหมอ

"ใจเย็นครับคุณต้นธารา ผมมีนามว่านายแพทย์ประกิต เผ่าพงศ์พันธ์ เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลทหารแห่งนี้และเป็นคนที่ท่านนายพลอรุณส่งมาดูแลคุณ"

หมอประกิตกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล ต้นธารากระพริบตาเป็นเชิงรับรู้แต่เขายังเหลียวหาท่านนายพลอรุณอยู่เช่นเดิมจนหมอประกิตต้องกระแอมเรียกความสนใจ

"ถ้าหาท่านนายพลอรุณละก็ ตอนนี้ท่านออกราชการอยู่ครับตอนบ่ายจึงจะกลับครับ"

ต้นธาราจึงหันมาสนใจนายแพทย์ประกิตทันที เขาดึงผ้าห่มมาคลุมถึงคอ ดูจะไม่ยอมรับในตัวนายแพทย์ประกิต สีหน้านั่นบึ้งตึง

"ผมเข้าว่าคุณต้องการคำตอบ แต่นี่คือคำสั่งของท่านนายพลที่ให้ผมมาดูแลคุณจนกว่าท่านนายพลพิภพจะเดินทางมายังที่นี่และท่านนายพลอรุณก็เป็นคนย้ายห้องให้คุณเอง"

หมอประกิตเริ่มใช้น้ำเสียงเคร่งขรึม ต้นธาราถอนใจยาวๆ ลึกๆ เขาไม่พอใจในการกระทำของลุงเลยแต่ก็ต้องจำยอมรับโดยดุษฎี

"แล้วคุณมีอะไรหรือครับคุณหมอประกิต"

เขาถามดูเบื่อหน่ายนิดๆกับการนอนอยู่บนเตียงราวกับคนใกล้ตาย

"ผมไม่เป็นอะไรมาก ทำไมพวกคุณต้องทำเหมือนผมจะตายด้วย ผมก็เป็นหมอเหมือนกันนะ"

ด้วยความที่ไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลในค่ายใหญ่ ต้นธาราจึงเอ่ยเช่นนั้นออกไป หมอประกิตส่ายหัวกับความดื้อดึงของหลานบุญธรรมของท่านนายพลอรุณ

"หมอทุกคนที่กล่าวแบบนี้ตายมาหลายรายแล้วนะครับ แล้วก็ฟังที่ผมพูดสักครั้งเถอะเพื่อชีวิตของตัวคุณเอง"

หมอประกิตว่า ชายหนุ่มขอแฟ้มประวัติของต้นธาราจากนางพยาบาลสาว ก่อนดึงแฟ้มภายในซองสีน้ำตาลออกมาดูก่อนจะอ่านออกเสียง

"นายแพทย์ต้นธารา สกุลพิทักษ์ อายุยี่สิบเจ็ดปีได้ตรวจเลือดในเดือนมิถุนายนของปีก่อน ผลปรากฏว่าเม็ดเลือดเกิดทำงานผิดปกติจนกลายเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวและอาการก็ค่อยๆปรากฏขึ้น...อีกไม่นานนักก็จะไร้คุณหมอนามว่าต้นธารา"

แฟ้มประวัติยื่นส่งให้ต้นธารา คุณหมอหนุ่มหยิบออกมามือมาถือแนบอกยิ้มเย้ยตัวเอง

"แล้วไงครับ? ผมจะต้องตายคุณหรือใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลยนี่"

ศีรษะของนายแพทย์วัยกลางคนส่ายไปมา

"คุณอาจจะไม่ตายหากเขารับการรักษา คุณเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังเพราะเซลล์ปกติยังพอทำงานได้อยู่และการรบกวนกระบวนการสร้างเซลล์มีไม่มากนัก มันจะทำให้คุณมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ตับหรือม้ามอาจจะโตหรือต่อมน้ำเหลืองโตผมว่าคุณควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่าครับ พบแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เผื่อโอกาสหายมีสูง"

เสียงลมพ่นออกจากจมูกเป็นการบ่งบอกว่าไม่พอใจ หันมองหมอประกิตที่นั่งคุยกับตัวเอง

"นายท่านพลจ้างมารึไง?"

แรกๆคุณหมอประกิตดูจะไม่พอใจในคำกล่าว เมื่อระงับอารมณ์ได้จึงเอ่ยใจเย็นขึ้น

"ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่ที่ผมพูดผมก็ไม่อยากให้หมอดีๆอย่างคุณตาย แล้วทำไมถึงดื้อดึงทำลายชีวิตตัวเองแบบนี้?"

ต้นธาราตอบไม่ถูก เขาจึงเป็นฝ่ายไม่พูดอะไร

"ผมขอให้คุณทบทวนการตัดสินใจดีๆก็แล้วกันครับ"

หมอประกิตลุกขึ้นปล่อยให้ต้นธาราอยู่เงียบๆ เขามองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเบื้องนอกสดใส ภายในดวงตาของต้นธาราครุ่นคิดหนัก

....ขอให้ทบทวนการตัดสินใจดีๆอย่างนั้นรึ...

ภายในจิตใจของคุณหมอครุ่นคิด เขายังจะตัดสินอะไรได้ ดวงตาสีน้ำตาลปิดลง...เหนื่อย....ทั้งๆที่รู้ว่าการทำเช่นนี้เท่ากับฆ่าตัวเองทางอ้อม ปล่อยให้ด้วยเองตายเพราะโรคร้ายแล้วเขาจะได้อะไรกลับคืน เขานั่งทบทวนการกระทำของตัวเอง...เขารู้ว่าเวลาของตัวเองเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว แต่ละวันที่ผ่านพ้นมันช่างทรมานใจ เขาอยากใช้เวลาที่เหลือเพื่อไล่ตามคนๆนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่ได้มาก็มีแค่ศูนย์ แต่เขาคนนั้นก็ได้สัญญา...ได้ให้ความอบอุ่น ยังมีหวังอยู่ใช่ไหม การกระทำที่บางครั้งก็เดาไม่ได้เลยว่าชายผู้นั้นต้องการทำอะไรกันแน่ จากจุดเริ่มต้นที่ทำให้หัวใจเจ็บปวด มันจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมนะ...ก็แค่คาดหวังกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาย้อนไปถึงวันที่ผู้กองนาคีตาย นับจากวันนั้นทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปช้าๆ เขากอดอกตัวเองไว้เมื่อหวนถึงตอนที่ผู้กองนาคีสิ้นชีพ ปกป้องเขาด้วยชีวิต ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งสำนึกผิด ผู้กอง...เขาย้อนเวลาคืนไปไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ แม้ว่ามันเกิดขึ้นบนความเจ็บปวดและวันหนึ่งมันจะจางหาย เขาจะจดจำไว้

ต้นธาราลุกจากเตียง เดินอย่างเชื่องช้าแตะขอบหน้าต่าง ก่อนจะผลักบานหน้าต่างออก สายลมพัดโชย ต้นธารามองไปยังเบื้องล่าง รถราวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล บรรยากาศดูเงียบเหงาอยู่พอควร เขาปิดหน้าต่างมองห้องพิเศษ มันก็ดูกว้างขวางสบายดีอยู่หรอก แต่สำหรับต้นธาราแล้วที่นี่อึดอัดสิ้นดี เขานึกถึงตอนที่อยู่ในค่ายเล็กๆท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ สายลมพัดโชย สายหมอกยามเช้าและ....ใบหน้าของคนๆนั้นๆ สิ่งที่ต้นธาราอยากจะกลับไปหามากที่สุด เขานั่งบนโซฟานุ่มๆ ตอนที่ไม่มีอะไรให้ทำทำไมเวลามันช่างยาวนานนักนะ ชายหนุ่มหยิบนิตยาสารมาอ่านฆ่าเวลา คิดถึงภารกิจที่ภานุได้รับ หวังว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆกับภานุนะ ต้นธาราอธิฐาน เขาไม่อยากเห็นใครสิ้นชีพอีกแล้ว เขารู้ดีว่าสงครามมีแต่ความสูญเสียแต่จำเป็นต้องกระทำเพื่อความสงบสุขของไพร่ฟ้าประชาชน ชายหนุ่มวางนิตยาสารลงเมื่อประตุเปิดออก คนที่มามันทำให้เขาอึ้งแล้วก็ต้องรีบลุกขึ้น

"พ่อ!"

ต้นธาราอุทาน เมื่อเห็นชายวัยหกสิบหนีบหมวกไว้ในซอกแขน บนบ่ามีดาวสี่ดาวประดับเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนบ่งบอกถึงยศ สีหน้าของท่านเคร่งขรึม เฉียบขาด นายพลพิภพวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ ต้นธาราเดินเข้ามาหาทันที เขายกมือไหว้บิดา ก่อนที่ท่านนายพลจะกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขน

"เป็นไงบ้างละเรา?"

นายพลพิภพถามบุตรชาย ชายชรารั้งบุตรชายดูหน้าตาซีดเซียว สายตาดุจเหยี่ยวสำรวจมองอยู่ชั่วครู่ก่อนท่านจะว่า

"ซูบไปนะเรา อยู่ที่นั้นทำงานหนักรึ?"

ท่านจับมือขาวสะอาดของลูกชาย สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม ต้นธาราพยายามจะยิ้ม

"ไหนลุงอรุณบอกว่าพ่อติดราชการไงครับแล้วนี่..."

เขาสงสัย ท่านนายพลยิ้ม

"ธุระพ่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่ออยากมาหาลูกเร็วๆก็เลยรีบทำ"

ท่านกล่าวพลางลูบศีรษะบุตรชายอย่างรักใคร่ ต้นธารานิ่งเงียบ เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปนึกแปลกใจกับท่าทีของบิดา

"แล้วลูกล่ะ อาการเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้"

ท่านกุมมือบุตรชายไว้แน่น ต้นธาราถอนใจก่อนจะตอบ

"ผมก็ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับแค่เป็นลมไปเท่านั้นเอง ลุงอรุณและใครๆก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต"ท่านนายพลยิ้มกับคำพูดบุตรชาย

"เขาทำไปก็เพราะห่วงลูกทั้งนั้น แล้วอยู่ที่นี่สบายดีไหม ไม่เห็นส่งข่าวคราวให้พ่อรู้สักที"

ต้นธาราจ้องบิดา ก่อนจะว่า

"ผมไม่ส่งไป คนอื่นก็ส่งข่าวไปอยู่ดี มันมีค่าเท่ากันไม่ใช่รึครับ"

คำพูดออกจะห้วน ท่านเงียบไป

"มันก็ใช่ แต่พ่อก็อยากจะรู้ข่าวออกมาจากลูกเหมือนกันนะ ลูกเล่นเงียบหายมันทำให้พ่อห่วงลูกนะ"

นายพลพิภพเอ่ย ท่านจ้องไปรอบๆห้องพักของลูก

"อยู่ที่นี่สบายดีไหม?"

ต้นธาราผงกหัว ก่อนจะเสริม

"ก็สบายดีอยู่หรอกครับ แต่สำหรับผมแล้วอยู่ที่นี่อึดอัด ผมอยากจะกลับไปที่ค่ายมากกว่า"

ใบหน้านั้นบ่งบอกว่าอึดอัดไม่น้อย

"อยู่ที่นี่ก็ดีแล้วใกล้มดใกล้หมอเวลาลูกเป็นอะไรจะได้ดูแลทัน"

ท่านพยายามปลอบ รู้ว่าลูกชายกำลังคิดอะไรอยู่

"แต่ผมก็เป็นหมอเหมือนกัน"เขาว่าอย่างไม่ยอมแพ้

"ใช่...ลูกเป็นหมอ แต่เพราะเป็นหมอนี่แหละทำให้เป็นแบบนี้ อย่าหัวแข็งเลยธาร"

ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ธารยิ้มเจื่อนๆ ท่านนายพลจึงรีบพูด

"ธาร...พ่อรู้ดีว่าลูกคิดอะไรอยู่ แล้วเรื่องของนายภานุเป็นอย่างไรบ้าง?"

ต้นธารายิ่งเงียบขรึม ท่านก็ถอนใจ

"พ่อไม่ชอบใจเลยว่าลูกทำไมถึงต้องทำแบบนี้"

ต้นธารามองอย่างเคืองๆทันที

"สุดท้ายพ่อแค่มาเทศนาผมเท่านั้นหรือครับ?"

ยิ่งพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดเรื่องทะเลาะกัน

"มันไม่ใช่แบบนั้นนะลูก เพียงแต่พ่อเป็นห่วงเรื่องของลูกก็เท่านั้นเอง"

ท่านพยายามจะเกลี่ยกล่อมให้ใจเย็น ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆ เขาพยายามใจเย็นให้ได้

"พ่ออยากฟังเรื่องของลูกกับเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ธารพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหม?"

ท่านวิงวอน ต้นธาราเงียบกริบ

"พ่อน่าจะรู้เรื่องมาจากธีแล้วไม่ใช่หรือครับ"

เขายังเล่นลิ้น บิดาผงกหัว

"แต่ก็ไม่ละเอียดนักหรอก พ่ออยากจะรู้เรื่องจากปากของลูกมากกว่า"

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลง อ่อนแรงไปเมื่อบิดายอมอ่อนให้

"เขาเป็นคนอย่างไรหรือธาร"

บิดาถามเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของภานุอย่างนุ่มนวล ผู้เป็นบุตรยังปิดปากเงียบ

"พ่ออยากรู้เรื่องตั้งแต่ร้อยเอกนาคีตายและความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับร้อยเอกภานุ"

ต้นธารายังไม่ตอบคำ

"เขาอยู่ไหม ถ้าอยู่พ่ออยากพบเขาหน่อย"

ท่านนายพลขอ แต่ก็ได้คำตอบแผ่วเบากลับคืน

"เขาไม่อยู่หรอกครับ ไปปฏิบัติภารกิจอยู่"

ท่านนายพลเงียบ ก่อนจะผงกหัว

"อืม...พ่อก็ลืมไป..."ท่านกล่าวแล้วหลับตาลงชั่วครู่

"ลุงอรุณคงจะบอกอีกสิ"

นายพลพิภพผงกหัวอีกครั้ง ภายในห้องดูอึมครึม นางพยาบาลสาวเปิดประตูออก เธอถือถาดน้ำมารับรองท่านนายพลแห่งกองทัพบก

"น้ำค่ะ"

เธอวางแก้วน้ำเย็นเฉียบ ยิ้มหวานให้แก่ท่านนายพล

"อีกสักครู่นายแพทย์ประกิตจะเข้าพบค่ะ"

เธอบอกก่อนค้อมหัวเดินออกจากห้อง

"ช่างรวดเร็วจริงๆเลยนะครับพ่อ"

ต้นธาราเบือนหน้าหนี หงุดหงิดใจกับสิ่งที่พ่อกระทำกับตัวเอง

"พ่อไม่ได้เป็นคนจัดการเลยนะ"ท่านนายพลแก้ แต่ผู้เป็นบุตรก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

"เฮ้อ...อรุณเป็นคนจัดการเอง พ่อแค่โทรบอกลุงอรุณเท่านั้นว่าพ่อจะมาวันนี้"

ท่านตอบ บุตรชายยิ้มดุจจะเชือดเฉือน ท่านนายพลก็อ่อนอกอ่อนใจกับลูกชายคนเดียว

"เอาเป็นว่าที่พ่อมาในวันนี้ก็เพื่อมาดูเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ได้มาจัดการกับเรื่องของใครทั้งนั้น"

ท่านยืนยัน ต้นธารานั่งฟังจนกระทั่งนายแพทย์ประกิตเดินเข้ามา

"สวัสดีครับท่านนายพลพิภพ"

นายแพทย์ประกิตทัก ท่านนายพลพยักหน้ารับ นายแพทย์ประกิตนั่งลง

"สวัสดีนายแพทย์ประกิต"ท่านกล่าวตอบสั้นๆ

"อาการของธารเป็นอย่างไรบ้าง"

ท่านนายพลรีบถาม นายแพทย์ประกิตหยิบแฟ้มประวัติให้นายพลพิภพดูก่อนจะกล่าวอธิบายให้ฟัง

"นี่เป็นผลตรวจของคุณหมอต้นธาราครับ เป็นผลวินิจฉัยจากการตรวจ CBC ทำให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว"

นายแพทย์ประกิตยื่นแผ่นฟิล์ม ที่ถ่ายภาพสไลด์ให้ ก่อนจะอธิบายให้ฟัง ท่านนายพลรับฟังอย่างเงียบงัน

"การเกิดมะเร็งของคุณหมออาจจะเกิดจากการได้รับสารเคมีจำพวกสารระเหย ยา หรือไวรัสบางชนิด จึงทำให้เซลล์เม็ดเลือดทำงานผิดปกติ"

"แล้วมีวิธีรักษาไหมครับ"

ท่านเอ่ยเมื่อฟังคำอธิบายจบ นายแพทย์ประกิตผงกหัว

"ครับ มีการรักษาหลายวิธีแล้วแต่ชนิดของมะเร็งและสภาพของผู้ป่วยแต่ละคนโดยหากเป็นมะเร็งชนิดเรื้อรังก็จะให้ยาแบบเคมีบำบัดแบบรับประทานให้เม็ดเลือดที่ผิดปกติลดลงและขนาดของตับและม้ามลดลงและการให้รับประทานยาอาจมีการปรับขนาดยาบ้างตามจำนวนเม็ดเลือดขาวแต่จะให้ยาไปเรื่อยๆแม้ว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเรื้อรังอาจจะมีอาการไม่มากแต่ก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว"

นายพลพิภพนิ่งมองดูหน้าของบุตร

"แบบที่ธารเป็นคือแบบเรื้อรังใช่ไหมครับแล้วมีวิธีไหนที่รักษาให้หายขาดบ้าง?"

ท่านถามอย่างร้อนใจ แต่ต้นธารากลับนั่งนิ่งเหมือนไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้รับฟัง

"ใช่ครับ แบบที่คุณหมอต้นธาราเป็นคือมะเร็งชนิดเรื้อรัง และการรักษาแบบหายขาดและได้ผลดีก็มีครับคือการปลูกถ่ายกระดูกแต่คุณหมอก็เป็นมะเร็งที่อยู่ในระยะเฉียบพลันด้วยคือการเกิดมะเร็งอย่างรวดเร็วและเป็นมานาน"

คำอธิบายที่น่ากลัว ต้นธารากลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลย เขาจะเป็นอะไรในตอนนี้ก็ไม่สำคัญเลย ฝ่ายที่วิตกกังวลกลับเป็นบิดาของเขาเอง คล้ายกับฝันยาวนาน...ในตอนนี้เขาคิดเพียงอย่างเดียวคืออยากกลับไปยังค่ายเล็กๆ อยากกลับไปหาอ้อมกอดแข็งแรง เพียงตอนนี้เขาได้แค่คิดเท่านั้น

------------------------------------------------

ธีรเดชและภานุลุกขึ้นเมื่อเวรยามต่อไปมาผลัดเปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างไม่พูดไม่เอ่ยอะไร นอนหลับที่ใครที่มันเงียบๆ ยามสองเป็นของจ่าแม้น ซึ่งจ่าแม้นก็ใช้ผ้าพัดโบกไล่ยุง ชายชรามองดูผู้กองธีรเดชค้นหาบางสิ่งบางอย่างจากเป้สนาม ซึ่งเป็นผ้าขาวม้า

"เอามาห่มหรือครับ?"

จ่าแม้นถามพลางสุมไฟให้แรงขึ้นกว่าเดิม ธีรเดชยิ้ม

"ครับ"

เขาเอาผ้าขาวม้าผืนนั้นมาคลุมกาย

"มันทำให้อุ่นน่าดู"

ธีรเดชบอกเป็นปริศนา ก่อนจะล้มตัวนอน หลับสนิททันที จ่าแม้นหมดเพื่อนคุยก็อ้าปากหาว จ่าแม้นเฝ้าเวร
ยามจนกระทั่งถึงยามสุดท้าย ผู้กองรังสรรค์ที่นั่งโงกอยู่หน้ากองไฟลุกขึ้นไปปลุกร้อยตรีอานุภาพ

"หมวดอานุภาพถึงเวรคุณแล้ว"

หมวดอานุภาพสะลึมสะลือเลิกผ้าห่มขึ้น

"ขอบคุณที่ปลุกครับผู้กอง"

ร้อยตรีอานุภาพลุกขึ้นจากที่นอน นั่งเฝ้าเวรยาม สายตาของชายหนุ่มมองไปรอบๆ ร้อยเอกรังสรรค์ที่หลับไปแล้วนั้นเขาก็ลุกขึ้นสังเกตทุกๆคนที่นอนหลับลมหายใจสม่ำเสมอ ผู้หมวดหนุ่มหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา ก่อนจะกดปุ่มติดต่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง รายงานบางอย่างเป็นรหัสลับ พอเสร็จสิ้นก็กดปุ่มปิดสัญญาณ นั่งมองท้องฟ้าเกลื่อนดาว สายลมยังคงพัดอู้ เสียงหวีดหวิว ในดวงตาคู่นั่นกำลังคิดถึงเรื่องบางอย่าง...

------------------------------------------------
Ps.
* h-hour เป็นศัพท์ทางทหารแปลว่าเวลาโจมตี

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 28-05-2008 21:26:51
ดันด้วยคน

อิอิ

 o13 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 28-05-2008 22:47:51
+1 ให้พิมเท่ร๊ากก ขอโทษ ค๊าบบบบบบบบ  o1 o1
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-05-2008 23:28:07
โอ้ ต่อยาววววว...จุใจ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-05-2008 11:25:01
นับวันยิ่งเข้มข้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-05-2008 21:36:45
เอาไปอีกตอน  จุใจ  อิอิ
++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:11 Tabefaction /โรคที่รักษาไม่หาย

ทันใดที่ท่านนายพลพิภพได้รับฟังคำที่แพทย์บอก ในดวงตาของท่านปรากฏแววแห่งความหวัง ท่านจึงรีบเร่งให้แพทย์ประกิตอธิบายให้ฟังทันที

"ใจเย็นๆครับท่านนายพล"หมอประกิตกล่าว "ผมจะค่อยๆอธิบายเรื่องการรักษาให้เข้าใจก่อนนะครับ"

นายพลพิภพผงกหัว ฝ่ายต้นธาราเอาแต่นั่งซึมกะทือ ไม่รับฟังคำบอกคำกล่าวเลย

"ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันมีเป้าหมายคือต้องการให้โรคอยู่ในระยะสงบ ระยะสงบเป็นระยะที่จำนวนของเซลล์มะเร็งลดลงและเซลล์ปกติมีจำนวนมากขึ้นและทำหน้าที่เหมือนเดิม ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระยะสงบจะอยู่ได้ประมาณ3-9เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จะกลับไปเป็นโรคใหม่ การรักษาเพื่อให้เข้าสู้ระยะสงบนั้นรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดขนาดค่อนข้างสูงเข้าทางเส้นเลือดแต่หลังจากให้ยาแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงคือผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วงและทำให้เม็ดเลือดต่ำลง ทำให้ติดเชื้อง่ายและมีไข้ ในระยะนี้เป็นระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนและเป็นอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาปฏิชีวนะและให้เลือดประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังจากนั้นหากผู้ป่วยไม่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ก็จะฟื้นตัวเข้าสู่ระยะสงบ ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วยจะมีอาการปกติเหมือนตอนก่อนจะป่วย แต่เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะกลับเป็นโรคใหม่ จึงต้องให้การรักษาเพื่อที่จะป้องกันการกลับเป็นโรคใหม่ โดยการให้ยาเคมีบำบัดซ้ำในขนาดสูง "

ยิ่งรับฟัง ท่านนายพลยิ่งทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าลูกชายของตนอาจจะได้รับทุกข์ทรมาน นายแพทย์ประกิตมองอย่างเห็นอกเห็นใจในชะตากรรม

"แล้วมีการรักษาอีกวิธีไหมครับที่ไม่ทำให้ธารทรมานนัก?"

นายแพทย์ประกิตผงกหัว ต้นธาราที่นั่งเงียบกริบมานานสอดขึ้น

"พอเถอะครับพ่อ ยังไงซะผมก็ไม่เข้ารับการรักษาอย่างเด็ดขาด"

ต้นธาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด นายพลพิภพหันขวับ มองลูกชายด้วยความไม่เข้าใจนัก

"ธาร...ทำไมลูกไม่เข้ารับการรักษาล่ะ พ่ออยากให้ลูกหายป่วยนะ ทำไมเจ้าไม่เข้าใจในความห่วงใยของใครๆเลยล่ะ"

บิดาตำหนิ ต้นธาราพยายามจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ได้เพราะบิดาทำเป็นไม่สนใจ

"คุณหมอต้นธาราครับ ผมคิดว่าคุณควรเข้ารับการรักษาตั้งแต่ตอนนี้เสียดีกว่า อายุคุณก็ยังน้อย อนาคตก็ไกล"

แพทย์ประกิตสนับสนุนแต่ก็ไม่เกิดผลหรอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรต้นธาราก็ไม่รับฟังอยู่ดี

"เดี๋ยวผมพูดเรื่องนี้กับเขาเอง คุณช่วยอธิบายต่อเถอะครับ"

ท่านนายพลพิภพว่า นายแพทย์ประกิตจึงอธิบายต่ออย่างกังวลเล็กๆ

"จะมีการรักษาอีกวิธีคือการรักษาโดยปลูกถ่ายไขกระดูกหรือการทำBMTดังนั้นผู้ป่วยต้องได้รับเคมีบำบัดหลายรอบและหลายครั้งโดยทั่วไปประมาณ3-6ครั้งแต่ละครั้ง2-3เดือน แต่ต้องมีความพร้อมของคนป่วยด้วยและอาจจะต้องใช้เวลาถึง1ปีกว่าไขกระดูกที่ได้มาจากการบริจาคจะทำงานเป็นปกติ"

ท่านนายพลเห็นแสงสว่าง

"ครับ ถ้าผมจะให้ธารเข้ารับการรักษาแบบนี้ต้องทำอะไรบ้างครับ?"

นายแพทย์ประกิตกระแอมเล็กน้อยก่อนจะบอกกล่าวต่อ

"การรักษาแบบนี้เราต้องหาไขกระดูกที่ตรงกับคุณหมอต้นธาราครับ และค่าใช้จ่ายมันก็สูงมาก"

ท่านนายพลนิ่งงัน

"ผมช่วยท่านได้เท่านี้จริงๆ ท่านควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีกว่าครับ"

นายแพทย์ประกิตกล่าว ก่อนจะเก็บเอกสารทั้งหมดที่ค้นหามาลงในซอง ปล่อยให้ท่านนายพลได้นั่งคิด

"ครับ...ผมจะให้ลูกชายผมเข้ารับการรักษาเสียเท่าไรก็ยอม ช่วยด้วยนะครับหมอประกิต"

นายแพทย์ประกิตผงกหัวรับก่อนจะว่า

"เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับ ถึงท่านไม่ขอร้องผมก็ยินดีช่วยเต็มที่ กับเรื่องนี้ท่านนายพลอรุณก็สั่งผมไว้เหมือนกันครับ"

นายแพทย์ประกิตอำลาท่านนายพล ชายชราจ้องหน้าบุตรในดวงตาแกร่งมีคำถามมากมาย

"จะเอายังไงธาร เห็นยืนกรานเหลือเกินว่าจะไม่เข้ารับการรักษา เพราะอะไรล่ะธาร?ลองหาเหตุผลมาให้พ่อได้เชื่อถือเจ้าหน่อยสิ"

ท่านตั้งคำถามรุกลูกชาย ต้นธาราเม้มปากสีแดงออกซีด บ่งบอกว่าขึ้งโกรธ

"เป็นเพราะใครกัน"

ฝ่ายผู้เป็นบุตรกลับเบือนหน้าหนี ลุกขึ้นยืนริมหน้าต่าง

"ไม่ใช่เพราะใครหรอกครับพ่อ แต่เป็นเพราะผมเลือกเองต่างหาก...เลือกที่จะตายมากกว่าอยู่ ผมอยากรู้จริงๆ
ว่าการที่อีกคนหนึ่งหายไปจากโลกใบนี้มันจะเป็นเช่นไร"

ท่านนายพลพิภพลุกขึ้นทันที

"ธาร! เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงลูก คิดอะไรอยู่ เจ้าไม่รู้เลยว่าพ่อจะเสียใจแค่ไหนกับการที่เจ้าเลือกแบบนี้ เจ้า...เจ้า...ทำไปเพราะอะไรกันแน่ อยากให้เจ้าผู้กองนั้นสนใจอย่างนั้นรึ"

ต้นธาราหันมาเผชิญกับบิดา สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใดเลย

"...ผมก็ไม่รู้สิครับ ถึงผมจะเป็นใคร เป็นอะไร ทำอย่างไรเขาก็ไม่มีวันมาสนใจหรอก ผม..."

ต้นธาราทรุดนั่งลงกับพื้นเย็นเฉียบ ปิดหน้าตาของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปรากฏหยดหยาดน้ำตา ท่านนายพลถอดใจยาวก่อนจะทรุดนั่งกอดบุตร

"เป็นเพราะอะไรละธาร เล่าให้พ่อฟังสิ ตั้งแต่เด็กจนโตเจ้าก็ไม่เคยมีเรื่องปิดบังพ่อไม่ใช่รึ"

ท่านลูบเส้นผมนุ่มๆของลูกชาย คนที่แข็งแกร่ง มีมาดผู้นำมาตลอดจนได้ชื่อว่าเป็นคนไร้ใจ ปัญหาทุกอย่างท่านจัดการได้อย่างเฉียบขาดแต่มาบัดนี้ ท่านอ่อนโยนเหตุผลเพราะเป็นบุตรชายที่ท่านรักมากที่สุด

"มาตอนนี้เจ้าทำปั่นปึ่งใส่พ่อ พ่อยอมรับว่าผิดที่ในตอนที่เจ้าโตก็ไม่ยอมฟังเจ้าสักเรื่องเลย ขอให้ปัดเรื่องกินแหนงแคลงใจออกไปได้ไหม"

นับตั้งแต่ภรรยาตาย ท่านก็รู้ตัวเองดีว่าได้ทำผิดอะไรลงไปบ้าง ผิดที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของบุตรชายเกี่ยวกับเรื่องของภานุ ท่านรู้เรื่องนี้ในครั้งแรกถึงกับช๊อกและรู้สึกอับอายต่อการกระทำของบุตร...ธารไม่ผิดเพราะบอกท่านตามตรงว่าพึงพอใจใคร ในตอนนั้นท่านจึงนำเรื่องไปปรึกษานายพลอรุณซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมานานและช่วยหาทางออกที่ประนีประนอม ผลสุดท้ายก็เกิดการทะเลาะกันขึ้นและผู้เป็นบุตรทิ้งทุกอย่าง ทั้งยศศักดิ์ เงินทองเพื่อตามหาคนที่ตัวเองรักเพียงคนเดียว ท่านไม่รู้ในเหตุผลนัก...ความรักหนึ่งสามารถสร้างให้เป็นแบบนี้ได้เชียวหรือ?

"ทำไมล่ะธาร ลูกตอบพ่อมาสิทำไมต้องรักคนๆนั้นมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้อะไรเลย"

ท่านแปลกใจที่ลูกชายไม่ตอบคำถามสักคำ กลับปิดปากเงียบ

"ธาร...ลูกรู้ไหมสิ่งที่พ่อภาคภูมิใจที่สุดก็คือเจ้า สิ่งที่พ่อรักมากที่สุดก็คือเจ้า ลูกเป็นลูกชายของพ่อ ขอให้เชื่อใจกันบ้างได้ไหม สิ่งที่ลูกเอ่ยพ่อจะไม่ถือโกรธเลย"

ต้นธาราเอนออกจากอกของบิดา เขามองทั้งๆที่ยังมีหยาดหยดน้ำตาพร่าพราย

"พ่อ..."

น้ำเสียงสั่นเครือ ท่านตบหลังมือให้กำลังใจ

"ผมควรทำอย่างไรดี ในเมื่อผมทำให้คนๆหนึ่งตายไป ถึงแม้ไม่มีใครว่ากล่าวอะไรแต่...แต่ผมก็รู้สึกผิดอยู่ดี มันก่อให้เกิดข้อบาดหมางกับผู้กองภานุ"

ท่านบีบมือพลางปลอบ

"ใจเย็นๆลูก เรื่องของร้อยเอกนาคีใช่ไหม พ่อก็ได้รับรายงานมาเหมือนกัน ไหนบอกสิว่าร้อยเอกนาคีสิ้นชีพเพราะอะไร"

นายพลพิภพส่งผ้าเช็ดหน้าให้ผู้บุตร ต้นธาราซับน้ำตา ก่อนจะกล่าวเสียงสั่นๆ

"เรื่องที่ผู้กองนาคีตาย เป็นเพราะความผิดที่ผมไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้กองเอง วันหนึ่งผมไปเป็นแพทย์สนามในหน่วยลาดตะเวน เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างเหล่ากองโจรกู้แผ่นดินกับฝ่ายขบวนลาดตะเวน ผู้กองนาคีเป็นคนคุ้มกันผม เขาได้กันผมออกจากวงล้อมศัตรูแต่ผมเห็นฝ่ายศัตรูคนหนึ่งบาดเจ็บ ผมก็เลยขอช่วย ครั้งแรกๆผู้กองนาคีก็ค้านบอกให้หนีไปเร็วๆแต่ผมทำไม่ได้ ผมเป็นหมอและเขาก็น่าสงสารเกินไป อายุก็น้อย ผมขอร้องจนกระทั่งผู้กองนาคีใจอ่อน ผมเลยช่วยเขา ผู้กองเห็นว่าฝ่ายศัตรูได้ร่นถอยมาทางผม เขาจึงรีบฉุดผมให้ลุกขึ้น แต่มันก็สายไป ในที่สุดผู้กองก็ถูกยิง เป็นเพราะความดื้อดึงของผมแท้ๆ"

ผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มน้ำตาถูกกำไว้ในมือแน่น ท่านนายพลผงกหัว ก่อนจะฟังลูกชายเล่าต่อ

"พอหน่วยลาดตะเวนเข้ามาช่วยมันก็สายไปแล้ว ผู้กองนาคีเขาผลักให้ผมมีชีวิตรอดโดยการเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก มันไม่คู่ควรเลยสักนิดที่ผู้กองนาคีจะมาตาย แล้ว...พอผมบอกเรื่องนี้กับร้อยเอกภานุเขาก็โกรธผมเพราะผมเป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักของเขาตาย เขา...ถากถางผมต่างๆนานา"

พูดไปพร้อมความสินหวัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสง ดูริบหรี่ ท่านนายพลจับหน้าของลูกชายขึ้นมา ท่านกำลังหาคำเอ่ยที่เหมาะสม เรื่องนี้หากพูดไม่ดีก็จะเป็นการทำลายจิตใจไปทันที

"ธารเรื่องความเป็นตายไม่สามารถกำหนดได้หรอกนะ การที่ร้อยเอกนาคีเสียชีวิตก็เป็นการเสียชีวิตในหน้าที่ ตายเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองห่วงใย ลูกไม่ได้ผลักไสให้ผู้กองนาคีตายเลย...มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายเกินไป เราเลือกไม่ได้หรอกนะ"

ต้นธาราดูเหมือนไม่ยอมรับฟัง ท่านจึงพยายามกล่าวให้เข้าใจ

"แล้วผู้กองนาคีก็ไม่อยากให้ลูกโศกเศร้าเกี่ยวกับการไปของเขาหรอกนะ พ่อเชื่อเช่นนั้น"

ลูกชายพยักหน้าตามคำพูด

"แล้วเรื่องที่ร้อยเอกภานุโกรธขึ้งเจ้าเป็นอย่างไรรึ?"

ท่านเอ่ยถาม ต้นธาราเบือนหน้าหนี บิดารู้ดีว่าลูกชายต้องไม่ยอมตอบคำถามอย่างแน่นอน

"ธารในเมื่อเจ้าพูดออกมาแล้วเจ้าคงต้องพูดให้หมดเถอะ พ่ออยากรู้จริงๆว่าลูกคนนี้ถูกชายคนนั้นทำอะไรบ้าง?"

บิดาบังคับ ต้นธาราปิดปากเงียบ คล้ายกับตัดสินใจว่าสมควรจะเอ่ยหรือเปล่า เขายังกลัวความจริง อ้อมแขนของภานุช่างแข็งแกร่ง บางครั้งก็นุ่มนวล บางครั้งก็น่ากลัว เขากอดอกคล้ายหนาวสั่น กอดแน่นเสียจนบิดามองอย่างสงสัย

"ธาร...เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมลูก"

ต้นธาราส่ายหัว คลายอ้อมแขนเล็กน้อย มองใบหน้าบิดาแล้วสูดลมหายใจลึกๆ

"แรกๆเขาก็ด่าทอ ทำอัปยศแต่ผมก็ไม่ถือหรอกเพราะความจริงแล้วมันก็คือความผิดผมเองแต่พอนานไป...รู้สึกถึงว่าเขาอ่อนโยนขึ้นแม้ว่ามีความเกลียดชังอยู่มากก็ตามแต่"

สายตาของบุตรดูเคลิ้มไป บิดานั่งนิ่งไม่รู้เลยว่าทั้งลูกทั้งร้อยเอกภานุมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ มันไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ท่านทำใจไม่ให้ความดันขึ้นเพราะเครียด

"แต่เขาก็สัญญาแล้วว่าจะพาไปเที่ยว"

ชายหนุ่มนั่งชันเข่าบอกแก่บิดาซึ่งจ้องหน้าบุตรชายอย่างเพ่งพิศ

"เฮ้อ เรื่องของเจ้าระหว่างร้อยเอกภานุเราควรพับไว้ก่อน ที่พ่อมาก็เพราะเรื่องการป่วยของลูก เอาล่ะธาร เจ้าจะเข้ารับการรักษาไหม?"

ท่านกล่าว ต้นธารามองหน้า นายพลพิภพกลั้นใจ เขารู้อยู่แล้วว่าลูกชายจะปฏิเสธแต่ทว่า...

"ผมจะเข้ารับการรักษาครับ"

ท่านยิ้มออกมาได้ สีหน้าของลูกชายมีแววบางอย่าง

"แต่ผมจะไม่เข้ารักษาในช่วงนี้ ผมจะรอให้ 'เขา'กลับมาก่อนครับ ผมจะตัดสินใจอีกครั้ง"

"แต่ธาร จะช้าไม่ได้นะ เรายังต้องจัดการหลายๆอย่างนะธาร"

บิดาพูดให้เหตุผล แต่ต้นธารายังยืนยันคำเดิม จนบิดาต้องจำยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"เจ้าแน่ใจนะ หากถึงเวลานั่นเมื่อไรพ่อไม่ให้เจ้าบิดเบือนอีกแล้วเพราะพ่อกลัวว่าโรคเจ้าจะกำเริบ"

นิ้วหยาบกร้านสัมผัสแก้มอันนุ่มนวล ต้นธาราซึมซับความอบอุ่นที่บิดาถ่ายถอดให้

"ครับ ผมจะรักษาสัญญา"

ชายหนุ่มกล่าว จับมือบิดาไว้ ความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ เขารักบิดายิ่งนัก ความบาดหมางที่มีอยู่ละลายหายไปช้าๆ

"พ่อสัญญากับแม่ของเจ้าแล้วว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เข้าใจไหมลูก"

"อ้าว พิภพมานานแล้วเรอะ"เสียงลุงอรุณทักมาแต่ไกล

คุณลุงอรุณก้าวเข้ามา ชุดทหารรีดจนเรียบ ลงแป้งแข็งสมกับเป็นทหารชั้นสูง ดวงดาวบนอินธนูบ่งบอกยศเทียบเท่าบิดาของต้นธารา ท่านถอดหมวกหนีบออก ยิ้มร่ามาแต่ใกล้ นายพลพิภพลุกขึ้นจับบ่าเพื่อนทักทายอย่างยินดี ต้นธาราเช็ดหน้าเช็ดตาทำหน้าตาให้สดใส ยิ้มแย้มดุจดังดอกไม้อันสวยสด ต้นธารายกมือไหว้ ท่านนายพลอรุณรับไหว้กอดจะกอดด้วยความคิดถึง

"สวัสดีลูก เมื่อกี้สองพ่อลูกทำไมไปนั่งที่พื้นเสียเล่า?"

ท่านถามอย่างอย่างอบอุ่น พลางพาทั้งสองไปนั่งบนโซฟา

"แค่ปรับความเข้าใจกัน"

ต้นธาราตอบ ยิ้มด้วยไมตรีจิต ท่านนายพลอรุณมองหน้าท่านนายพลพิภพ

"แล้วเรื่องอะไรล่ะ เออ ว่าแต่ประกิตมาหาหรือยัง"

นายพลพิภพผงกหัว

"มาแล้ว...อธิบายเรื่องต่างๆให้ฟังหลายๆอย่างเลย "

ท่านนายพลอรุณยิ้มอย่างโล่งอก

"ผมไปนอนก่อนนะครับ"

ต้นธาราลุกขึ้นเมื่อรู้ว่าบิดาและลุงต้องการพูดคุยตามลำพัง นายพลอรุณเข้ามาพยุงหลาน ประคองไปยังเตียง ชายหนุ่มปีนขึ้นเตียงยิ้มให้ลุง

"ขอบคุณครับ"

ผ้าห่มถูกคลุมร่างบาง ต้นธาราหลับตาในไม่ช้า ท่านนายพลจึงไปคุยกับบิดาของหลานบุญธรรม

"เมื่อกี้ปรับความเข้าใจเรื่องอะไรล่ะ? หรือว่าเป็นเรื่องของผู้กองภานุกัน"

พิภพผงกศีรษะ ตอบด้วยความเหนื่อยอ่อน

"ใช่ มันหนักหนากว่าที่คิดนักเรื่องของธารกับเจ้าภานุนั่น"

ท่านว่าอย่างไม่สบอารมณ์นัก นายพลอรุณนิ่งเงียบ

"ทำไมล่ะ หรือว่าไม่พอใจเกี่ยวกับนิสัยของร้อยเอกภานุ?"

ชายชราส่ายหัว ก่อนจะตอบ

"มันก็ไม่ใช่หรอก เราก็ยังไม่รู้จักนิสัยลึกๆของเขาสักเท่าไร"

ท่านนายพลพึมพำ นายพลอรุณยิ้มนิดๆ

"ไม่ได้อ่านรายงานที่ส่งไปให้เรื่อยๆเลยรึ ร้อยเอกภานุ อินทรจันทร์ เป็นคนที่ไว้วางใจได้อยู่ ได้ตำแหน่งร้อยเอกตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตอาจมีสิทธิ์ก้าวถึงขั้นนายพลเลยก็ได้หากไม่หมกตัวอยู่ในป่าเสียก่อน"

"แล้วเหตุใดร้อยเอกภานุถึงไม่เลือกที่จะอยู่ในเมืองเล่า? เพราะเลิกกับคู่หมั้นหรือว่าอะไร"

ท่านนายพลพิภพสอบถาม นายพลอรุณสั่นหัว

"ก็ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงสักเท่าไรหรอก นับตั้งแต่พ่อแม่เขาตาย เขาก็เลือกผันตัวเองมาอยู่ที่นี่แล้ว"

นายพลทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนใจอย่างหนักอกต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

"แล้วเรื่องโรคที่หนูธารเป็นอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง เขายอมเข้ารับการรักษาไหม"

ท่านนายพลพิภพส่ายหัว

"จะบอกว่ายอมก็ยอมแหละนะ จะบอกว่าไม่ยอมก็ไม่ยอม"

ดวงตาของพลเอกอรุณมีรอยสงสัย ก่อนที่จะได้รับการขยายความ

"ธารรอให้ร้อยเอกภานุกลับมาก่อน เขาอยากจะจัดการบางสิ่งบางอย่าง เมื่อสำเร็จแล้วก็จะรับเข้ารักษา"

พลเอกอรุณนิ่วหน้า

"มันจะไม่นานไปหน่อยรึ นายเเพทย์ประกิตบอกผมแล้วนะเกี่ยวกับโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวว่ามันเป็นอย่างไร"

พลเอกพิภพทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ

"ผมก็กลุ้มอยู่เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้ธารเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเข้ารับการรักษาช้าธารอาจมีสิทธิ์...."

ท่านนายพลทั้งสองรู้สึกกลัว แม้จะผ่านสมรภูมิมาเยอะ เห็นความสูญเสียมากมายแต่ท่านก็ยังกลัว...กลัวว่าสิ่งสำคัญจะสูญหาย ทั้งสองท่านหันไปมองร่างที่หลับสนิทอยู่พร้อมกัน

"เราต้องบังคับเขาให้ได้"

ท่านนายพลพิภพว่า พลเอกอรุณพยักหน้าเห็นด้วย

"จุดศูนย์การของธารตอนนี้อยู่ที่ร้อยเอกภานุ เราต้องจัดการกับจุดศูนย์กลางนั่นก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายไป!"

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-05-2008 21:37:52
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง ภายในค่ายพักเล็กๆต่างก็ขมีขมันเก็บอุปกรณ์ต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จ่าแม้นถมกองไฟที่ก่อไว้ เพื่อกลบร่องรอย นายทหารทุกคนต่างเก็บกระเป๋า ร้อยตรีอานุภาพเก็บเต็นท์ ผู้กองภานุกำลังกำหนดทิศทางกับผู้กองรังสรรค์ ทั้งสองจับแผนที่ไว้คนละด้านชี้ให้ดูจุดต่างๆก่อนจะตัดสินใจ ส่วนธีรเดชออกไปสำรวจรอบๆนอกค่ายพักก่อนจะกลับมา

"ทุกคนเตรียมตัวเสร็จหรือยัง"

ภานุมองนาฬิกาซึ่งเข็มชี้เป็นเวลาหกโมงสี่สิบนาที แสงแดดทอประกายอ่อนๆ อากาศยามเช้ายังเย็นเฉียบ

"วันนี้เราจะเดินทางต่อ หากถึงจุดหมายปลายทางที่เรากำหนดเมื่อไร และไม่พบอะไรเราจะกลับค่ายทันที"

ทหารทุกคนต่างรับฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด ก่อนภานุจะสั่งให้ออกเดินทางต่อ

"วันนี้กับเมื่อวานไม่แตกต่างกันเลย"

จ่าแม้นบ่นอุบ ธีรเดชที่เดินตามหลังเลิกคิ้ว

"ทำไมล่ะจ่า?"

จ่าแม้นหันมองแล้วทำหน้ายุ่งยากใจ

"ก็ร่องรอยน่ะสิครับ หายากขึ้นเรื่อยๆเหลือเกิน น่าแปลกก็มันผ่านมาทางนี้ รอยน่าจะยังคงเหลือ หาที่มันพรางก็ไม่เจอเลย"

จ่าแม้นบ่นเป็นหมีกินผึ้ง สายตาก็สอดส่ายหาร่องรอยผิดปกติ

"ยังกับมันมีตาเทวดา เหมือนรู้ว่าเรามาตามมัน"

ชายชราร่างเล็กบอกกล่าว ธีรเดชมองรอบๆกายของตัวเองบ้าง มีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด มองไปทางไหนมีแต่ความเขียวขจี

"แล้วไม่มีหวังเลยรึครับ"ธีรเดชกระซิบกระซาบ

"โอ้ย ไม่สิ้นหวังหรอกครับ จ่าแม้นซะอย่าง ผมเดินแถวนี้มาจนปรุแล้ว"

ชายชราอวด ธีรเดชหัวเราะอย่างรื่นเริง

"ผมขอให้คุณสงบเสียงลงหน่อยเถอะ"

ผู้กองภานุเอ่ย ธีรเดชเงียบกริบไปทันที นับแต่นั้นก็ไม่มีการพูดคุยกับเลยนอกจากบอกร่องรอยหรือพบเห็นสิ่งที่น่าสงสัย จนกระทั่งพักทานข้าวกลางวันริมกอเฟิร์นใบยาวเขียวชะอุ่ม ผู้กองแจกเนื้อไก่และเนื้องูให้แก่ทุกๆคน ไม่มีใครบ่น กินเข้าไปอย่างหน้าตาเฉย ยกเว้นแต่ธีรเดชซึ่งไม่แตะอะไรเลย

"อ้าว...ผู้กองธีไม่ทานหรือครับ เนื้ออร่อยนะครับ ลองทานดู"

จ่าแม้นเงยหน้าขึ้น แล้วคะยั้นคะยอ

"ใช่ครับ อร่อยมากเลยฝีมือของผู้กองภานุ"

ร้อยเอกรังสรรค์ชม ภานุโน้มหัวรับคำชมอย่างเงียบๆก่อนจะจิ้มเนื้อเข้าปาก

"มาอยู่นี่ต้องกินง่ายอยู่ง่ายครับ"

ขนาดร้อยตรีอานุภาพยังว่า ธีรเดชรีๆรอๆเข้าจิ้มส้อมลงไปในเนื้อนุ่มๆ ไม่ได้กลิ่นสาบเลยสักนิด อันที่จริงเขาก็ไม่เรื่องมากเลย ชายหนุ่มมองผู้กองภานุเคี้ยวเนื้อลงท้องอย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงลองชิมดู คำแรกคิดว่าจะมีกลิ่นสาบแต่ไม่ยักจะได้กลิ่นอะไรเลย ธีรเดชจึงกินอย่างไม่รู้สึกอะไรนัก

"จะรับอีกสักชิ้นไหมครับ ในส่วนของคุณไม่มีชิ้นส่วนของเจ้างูหลามหรอก"

ผู้กองภานุลุกขึ้นมา หยิบกระติกน้ำขึ้นดื่มแล้วยื่นให้ธีรเดชที่มองอย่างแปลกๆ

"ไม่ครับ แค่นี้ก็พอแล้ว"

ธีรเดชปฏิเสธอย่างสุภาพ เขารับกระติกน้ำมาตั้งไว้ข้างตัว ผู้กองภานุเช็ดปากด้วยหลังมือ ใบหน้าหล่อเหลาดุดันมีหนวดเคราขึ้นเขียว

"ผมอยากรู้เรื่องของคุณหมอต้นธาราบ้าง"

ผู้กองภานุกระซิบ ร้อยเอกธีรเดชคิดว่าตัวเองจะหูเฝื่อนไปหรือเปล่าพอซ้ำอีกรอบก็ทำหน้างงๆไม่คิดว่าผู้กองภานุจะเอ่ยแบบนี้

"ที่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานมันคืออะไร "ภานุถามซ้ำ

ธีรเดชวางจานลง ยกกระติกน้ำกลั้วคอก่อนจะตอบ

"ทำไม ผู้กองคิดสนใจขึ้นมาหรือไงครับ"

คำพูดที่ต้องทำให้สะกดกลั้นอารมณ์ ผู้กองภานุนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ

"ผมก็อยากรู้เรื่องของเขาบ้าง"ชายหนุ่มตอบอย่างมั่นคง

"แล้วทำไมคุณไม่ถามต้นธาราเองล่ะครับก็ในเมื่อผม 'ไม่มีสิทธิ์' "

คำตอบยอกย้อน ภานุยิ่งกำหมัดแน่น บีบอัดราวกับจะให้กระดูกแตกสลาย

"หากคุณต้องการรู้อะไร คุณก็ลองถามสิ่งที่คุณทำลงไปกับธารสิแล้วคำตอบทุกอย่างจะปรากฏเอง"

ธีรเดชเอ่ย ก่อนจะลุกขึ้น ทำทีไปนั่งกับจ่าแม้น ฝ่ายผู้กองรังสรรค์ยักไหล่ แล้วบุ้ยให้ภานุมองอานุภาพ ชายผู้
นั้นดูราวกับจะมีอะไรซ่อนไว้ในใจ ภานุที่มีเรื่องว้าวุ่นใจ สั่นหัวไม่ให้พูดเอ่ยอะไร...ภานุจับจ้องใบหน้านั้นก่อนจะถอนใจ...สังหรณ์บางอย่างที่จะต้องเกิดขึ้น บนเส้นทางสายอันตรายแห่งนี้

----------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 30-05-2008 23:24:33
โดนทรมานยังไม่พอยังมีโรครุมเร้าอีก  o7 o7 รอลุ้นต่อคุงหมอจะตายป่าว  :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nooww ที่ 31-05-2008 12:55:57
 o7 มาต่อเร็วนะ รออ่านอยู่ :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 31-05-2008 15:28:43
โดนทรมานยังไม่พอยังมีโรครุมเร้าอีก  o7 o7 รอลุ้นต่อคุงหมอจะตายป่าว  :sad2: :sad2:

คุงหมอตาย เรื่องก็จบสิครับ

เอิ๊กๆๆ

 :m14:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 31-05-2008 15:57:05
เรื่องนี้ไม่ได้มีคู่คุงหมอคู่เดียวนิพี่พูห์   :m14: อาจจะมีพลิกล๊อคก็ได้นะ ว่ามั้ยพิมเท่ร๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Simply Blue ที่ 31-05-2008 16:00:27
ฮื่อ ฮื่อ เสียใจ เป็นถึงคุณหมอที่ต้องเป็นคนที่เป็นคุณค่าของชีวิต คอยช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง โคตะระเศร้าใจ  :sad2:

คุณหมอยังไม่รู้วิธีรักตัวเองเลย แล้วความรักที่มีให้ผู้กองภาณุ มันใช่ความรักแน่เหรอเนี่ย  :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 31-05-2008 16:34:45
สงสารคุณหมอง่ะ   :m13: 

เหมือนเจอทุกข์หนักสองด้านเลยเนอะ    :เฮ้อ:

คุณหมอกำลังต่อสู้กับโรคร้าย    :m15:

ฝ่ายผู้กอง ก้อกำลัง ต่อสู้ กับภารกิจ ที่ได้รับมอบหมาย

แต่เอ.. หรือจะต่อสู้กับหัวใจตัวเองหว่า? หุหุ   :a3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 31-05-2008 19:08:03
เข้ามารอ คุณหมอ

คุณหมอสู้ๆๆนะ

 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: life_fracture ที่ 31-05-2008 20:45:03
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
มาสมัครเป็นแฟนเรื่องนี้ค่า

เหอ เหอ เหอ
ยอมตีกะน้องเลย
เพื่อที่จะได้อ่านรวดเดียว
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Ferfa ที่ 31-05-2008 22:12:46
^
^
^
จิ้มเบ็ต อิอิ :laugh:

 :a12:นอนรอดีก๋า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 31-05-2008 22:19:04
หลายคู่นี้คือคู่ธีรเดชกับพม่าใช่ป่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-06-2008 19:39:42
อิอิ  ฟะกับเบตตี้มาอ่านเพิ่มด้วย
เรื่องนี้คู่หลัก คือ คุณหมอกับภานุ  ส่วนอีกคู่ซึ่งจะมาในภาคสอง คือ ธีกับกิ่งไผ่นั่นเอง 

ต่อเลยน้า  เอาไปอีกจุใจๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:12 hack/แผนปะทะ

ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าป่าลึกเรื่อยๆ ขบวนเดินต่างมองแสงแดดที่แผดจ้า อากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลเต็มใบหน้า ทั่วทั้งกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ จ่าแม้นพึมพำไม่หยุดปาก สุดท้ายภานุต้องสั่งให้หยุดและตั้งแค้มป์ขึ้น ทุกคนอ่อนล้าต่างหาน้ำท่าดื่มกันทันทีที่ได้พัก

"ไอ้พวกฉิบหายนั่น ดูท่ามันจะทำรอยลวงเสียแล้ว"จ่าแม้นว่า สายตาของจ่าชรามีรอยโมโห

"ทำไมรึจ่า มีอะไรที่จ่าพลาดไป"

ภานุถาม มองจ่าแม้นที่นั่งเหม่อ สายตาของชายหนุ่มสอดส่ายไปรอบๆ

"ดูท่าจะเหลวเสียแล้วครับผู้กอง เพราะร่องรอยของไอ้พวกห้าร้อยจู่ๆก็หายไปเสียเฉยๆ"

ภานุรับฟังอย่างใจเย็น ชายหนุ่มยังไม่เอ่ยหรือแสดงความเห็นอะไรทั้งนั้น ได้แต่ฟังลูกน้องใต้บังคับบัญชาบ่นพึม

"ฮึ่ม มันน่าเจ็บใจนักจ่าแม้นที่มีชื่อในการสะกดรอยต้องมาดับเพราะอ้ายพวกห้าร้อยนั้น"

คราวนี้ภานุหันกลับมาลูกน้องอย่างจริงจัง

"แล้วจ่ามองดูทั่วแล้วเรอะ?"

จ่าแม้นผงกหัว มองหารอยทั่วแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆมันก็หายไปเหมือนกับฝ่ายนั้นเป็นนกรู้ทราบความเคลื่อนไหวทางฝ่ายลาดตะเวน ชายหนุ่มครุ่นคิดพยายามจะหาทางออกในเรื่องนี้

"เรารีบเร่งไปก็มีแต่จะเสียเปรียบ เอาเป็นว่าถึงเราจะถึงจุดหมายช้าแต่เราก็มั่นใจว่าเราจะสามารถเข้าถึงจุดหมายได้แม่นยำ จ่าแม้นอย่าได้กังวลไปเลย"ผู้กองหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"แล้วก็พักผ่อนตามสบายเถอะนะ"

ชายหนุ่มกล่าวต่อ แต่ละคนก็ทำตามที่บอก ร้อยเอกรังสรรค์หาที่นอนกลางวัน ร้อยตรีอานุภาพก็หลับตาอย่างเหน็ดเหนื่อยพิงขอนไม้ ธีรเดชมองทุกๆคน เขามองขุนเขาไกลลิบ เค้าเมฆฝนดูอึมครึ้ม สายตากังวลกับสภาพอากาศ ไม่พ้นจากการจับจ้องของภานุได้

"คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าฝนมันจะตก ยังคงอีกนานนัก อาจอาทิตย์สองอาทิตย์นี่แหละที่ฤดูฝนจะมาเยี่ยมกราย"

คำบอกเล่าไม่อาจทำลายความกังวลใจของธีรเดชได้ เพราะหากหน้าฝนเข้ามานั้นก็หมายถึงลางร้ายของคุณหมอต้นธารา ผู้กองหนุ่มกระสับกระส่ายจนภานุต้องเอ่ยปากถาม

"คุณมีอะไรอยู่ในใจรึ"

สายตาของธีรเดชจับจ้องยังร้อยเอกภานุ เขาดูเครียด สายตาก็แฝงรอยหวั่นใจ ภานุเดินเข้ามานั่งเคียงข้างรู้ว่าสิ่งที่ร้อยเอกธีรเดชคิดก็คงไม่พ้นเรื่องของต้นธารา

"ถ้าผมเดาก็คงจะเป็นเรื่องของคุณหมอต้นธารารึเปล่า"

ธีรเดชเหลือบมองอย่างเย็นชาแต่ก็ฉุกคิดได้ว่าถ้าเขาทำกิริยาไม่ดีใส่ มันก็ไม่เกิดผลดีอะไร สิ่งที่เขาจะทำได้คือทำให้ต้นธารามีความสุข

"เดี๋ยวนี้หันมาใส่ใจเรื่องของธารแล้วหรือครับ"

ธีรเดชอดแดกดันไม่ได้ ทั้งๆที่เขาคิดว่าจะเป็นคนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างต้นธาราและภานุแท้ๆ ร้อยเอกภานุมองไปบนท้องฟ้าแทนที่จะตอบ

"เอาเถอะครับ สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดผมจะขออโหสิกรรมแล้วกัน ผู้กองรู้รึเปล่าว่าธารน่ะรักคุณขนาดไหน"

ภานุสั่นหัว เขาไม่รู้หรอกว่าต้นธารามีความรู้สึกใดกับเขาบ้าง ทำไมต้องให้คนอื่นบอกด้วยนะ...ชายหนุ่มหลับตาแน่น คิดถึงการกระทำของตัวเอง

"สิ่งที่ธารรู้สึก คุณรู้สึกแบบเดียวกับเขาหรือเปล่าล่ะ"

ธีรเดชถาม ภานุยิ่งปิดปากแน่น

"ธารยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งครอบครัวเพื่อไล่ตามคุณ ยอมทิ้งชีวิตของตัวเอง พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกใช่ไหม? สำหรับคุณ ธารก็เป็นดั่งสายลมที่พัดผ่าน เป็นคนที่คุณไม่อยากนึกถึงแต่ทำไมถึงทำแบบนั้นกับเขา การกระทำของคุณมันทำให้ธารเจ็บที่ต้องฝืนอย่าไปตั้งความหวังให้เขาหากคุณไม่มีความรู้สึกรักอยู่เลย เกลียดก็บอกเกลียดอย่าใช้เขาเป็นที่ระบายอารมณ์ ผมก็รักเขาเช่นกันและไม่อยากให้เขาต้องเป็นฝ่ายที่ต้องไล่ตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์ หมดฤดูฝนแล้ว ธารอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ ขอให้คุณคิดดีๆเพราะผมไม่อาจบังคับใครได้เลย "

ธีรเดชก้มหน้า สายลมอ่อนๆพัดผ่าน ภานุเงียบไป เขาผงกหัวเป็นการบอกจะเก็บไปคิด ก่อนจะลุกขึ้นกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในขณะนี้ เขายังจะสามารถเอ่ยแก้ตัวอะไรได้บ้าง สิ่งที่ได้รับรู้ ก็เป็นความเศร้าสร้อย ภานุกลืนน้ำลาย มองนายทหารทุกคน เขาไม่อาจนำเรื่องไร้สาระมาคิดในขณะปฏิบัติงาน แต่เรื่องนี้มันทำให้จิตใจของเขาพลุกพล่าน ลืมความเป็นภานุคนเก่าที่ดุดัน เข็มแข็ง ภาพของต้นธาราผุดเข้ามาในหัว ร่างโปร่งบางกำลังรอเขาอยู่ เขากำลังคิดถึงสัญญาที่ได้พูดออกไปก่อนจะมาปฏิบัติภารกิจ แล้วชั่ววูบหนึ่งที่เขารู้สึกผิด ทำไมเขาต้องนึกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ได้กระทำร้ายๆต่อต้นธาราด้วย ในเมื่อทุกอย่างที่เขาทำมันถูกต้องเสมอ ชายหนุ่มพยายามไม่คิดอะไรมากเพราะมันทำให้เขาทำงานด้อยประสิทธิภาพลง อีกอย่างที่เขาฝืนใจไม่อาจยอมรับได้เลยก็คือการที่เพื่อนรักต้องตาย มันอาจจะไม่ใช่ความผิดของคุณหมอก็ได้หรือเป็นเพียงแค่ความโชคร้ายของเจ้านาคีกัน ชายหนุ่มพยายามที่จะขบคิดเพื่อหาเหตุผลมาตอบ ครั้นแล้วมันก็ยิ่งทำให้เขาหัวเสียและหวั่นไหว ธีรเดชจ้องมองท่าทีที่ภานุเป็น ภานุจึงเก็บงำอาการไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้แม้แต่หัวใจของเขาเอง !

------------------------------------------------

บ่ายคล้อยแล้ว ทุกคนต่างเดินทางต่อไป คราวนี้ดูร่าเริงขึ้นเยอะจึงได้ยินเสียงร้อยเอกรังสรรค์ รองหัวหน้าหน่วยพูดเล่นหัวท่ามกลางความครื้นเครง ภานุซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไร ชายหนุ่มเดินด้วยท่าทีเงียบขรึมกว่าที่เคย ภานุขบคิดสิ่งที่ธีรเดชได้เอ่ย มันหมายความว่าเขาจะเสียสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไปหรือ โรคที่ต้นธาราเป็น เขาก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอกว่าได้เข้ารักษาหรือเปล่า แล้วเขาคงไม่อาจช่วยอะไรได้ แม้ว่าจะถูกทำร้ายจิตใจ โดนมองข้ามผ่านก็ยังรักอยู่หรือ? เพียงชั่ววูบที่หัวใจลังเล แต่คนใจแข็งอย่างเขาก็เก็บงำไว้ในใจส่วนลึก ถึงคนๆหนึ่งจะตายไปมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเสียหน่อย อยากจะโง่เอง โง่ที่มารักคนอย่างเขาทั้งๆที่รู้ว่าเกลียด อยากทำให้ย่อยยับคามือ...ทำไมเขายังนึกห่วง? นึกเสียใจ เบื้องลึกก็ยังปวดรวดร้าว...แลกความรักกับสิ่งที่คุณอยากทำมันดีแล้วรึ?

ชายหนุ่มนึกถึงวันที่แยกห่างจากคู่หมั้น เธอถามเขาแบบนั้นก่อนที่เขาจะมาประจำยังค่ายแห่งนี้ มันเป็นวันที่ไม่น่าจดจำนัก เขาเป็นคนพาเธอไปทานข้าวเพื่อที่จะบอกเลิก...เธอไม่ได้ผิดอะไรเลย เป็นเขาหากต่างที่ผิด เธอก็รักเขาและเขาก็รักเธอ สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกห่าง ผู้กองหนุ่มยกหลังมือเช็ดหน้าเช็ดตา ความเศร้าคลุมอยู่รอบกายจนคนรอบข้างสังเกตได้

"ผู้กองเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"

จ่าแม้นถาม ภานุหันมา สายตาอันอ่อนแรงหันมา ชั่วครู่หนึ่งที่จ่าแม้นคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือมองผิด จึงมองเข้าไปในดวงตานั้นอีกครั้ง ร่องรอยเมื่อครู่เลือนหายไป

"เรียกฉันทำไม?"

ภานุถามเสียงเอื่อย จ่าแม้นสั่นหัว คิดว่าการที่เขามองนั้นพลาดไป จ่าแม้นทรุดตัวลงชี้ให้ดูรอยที่ถูกซ่อนไว้

"นี่มันพยายามกลบเกลื่อนรอยแต่ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่ามันจะใช้พวกลูกหาบขนของเยอะทีเดียว"

จ่าแม้นรายงาน ภานุเรียกสติตัวเองให้กลับมาก่อนจะถาม

"รอยนี่กี่วันแล้ว มันมีกี่คนแล้วทิศทางที่มันจะไปล่ะ"

ทหารชราลุกขึ้น ตอบคำถามของภานุ

"รอยนี่สี่วันที่แล้วครับ จากรอยเท้ามันก็คงราวๆยี่สิบคน ส่วนมากน่าจะเป็นพวกลูกหาบเสียมากกว่าเพราะดูจากรอยตีนที่ไม่สวมรองเท้าแล้วกะเศษผ้าที่เกี่ยวหนามขาดแล้วทิศทางที่มันไปก็นู่น"

จ่าแม้นชี้ไปทางขุนเขาภานุกำลังคิดว่าจะพาพรรคพวกเดินต่อไปหรือหยุดเพียงแค่นี้ ผู้กองรังสรรค์จึงท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยกำลังตัดสินใจ

"ไปทางเขาลูกนั้น มันไกลจากฐานเรามากนะ แถมเราก็ไม่มีอาวุธครบมือ นอกจากปืนประจำกาย กำลังเราน้อย เสบียงที่ตระเตรียมมาอาจจะไม่พออีกคิดจะไปหรือ"

ร้อยตรีอานุภาพก็กล่าวขึ้นมาด้วยว่า

"ใช่ครับ ถึงเราจะรู้แหล่งกบดานมัน แต่เราก็ไม่อาจลงมือโดยพลการได้หากไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ อีก
อย่างวิทยุที่ผมมีก็ติดต่อสื่อสารไม่ได้ไกลซะด้วยถ้าเราข้ามไปหุบเขานั้นจริงๆ"

ภานุผงกหัว รับฟังไว้ก่อนจะถามจ่าแม้นเกี่ยวกับหุบเขาที่จะไป

"หากผู้กองจะไปที่นั่นจริงๆ อย่างที่ผู้กองรังสรรค์กับหมวดอานุภาพว่าล่ะครับมันไกลมาก อยู่ในเขตแดนพม่า แถมอาหารที่เรามีก็ไม่พอประทังชีพ เกิดเหตุร้ายหรือขอกำลังฉุกเฉินวิทยุก็ลืมไปได้เลย เพราะเราขอความช่วยเหลือใครไม่ได้แล้ว"

"ถ้าเรื่องอาหาร เรายังพอยิงเก้งกวางมาประทังชีวิตได้ หากเกิดเหตุร้ายจริงๆผมจะหาแก้ไขเอง เราต้องไปที่จุดหมายปลายทางให้ได้"

ผู้กองหนุ่มเอ่ยอย่างมุ่งมั่น เพราะเขาอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเสียที คนในหน่วยลาดตะเวนตีหน้าพึลึกกับความคิดของภานุ

"แล้วเรื่องอาวุธล่ะครับ กระสุนเรามีจำกัดนะครับ"

ธีรเดชที่นั่งฟังเงียบๆท้วงขึ้น ภานุกวาดสายตามองทุกๆคน

"หากผู้กองยิงสัตว์เสียงปืนก็จะเป็นตัวบอกตำแหน่งเราโดยไม่รู้ตัว"

ชายหนุ่มทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบ นายทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจึงเงียบกริบ สายตาคมตวัดมองทุกๆคน

"ผมรู้ว่าทุกคนต่างเป็นกังวลกับสิ่งที่ผมคิดและตัดสินใจ หากเราช้าเราอาจจะพลาดเป้าหมาย และอีกอย่างเรื่องที่เรามาเป็นความลับ หากกังวลเรื่องอาหารผมจะบอกว่า เราจะยิงสัตว์แถวนี้ แล่ย่างรมควันเก็บไว้ พอสืบตำแหน่งที่เป้าหมายตั้งอยู่สำเร็จเราก็จะกลับไปรายงานทางค่ายใหญ่เพื่อจะได้ส่งหน่วยสนับสนุนมา สิ่งที่ผมเอ่ยมีใครจะค้านบ้าง?"

สายตาของภานุกวาดไปยังร่างของลูกน้อง ทุกคนต่างเงียบกริบคล้ายกับจะยอมรับความคิดแต่ร้อยเอกธีรเดชก็ยกมือขึ้น

"คุณมีปัญหาข้อใดอยากจะสอบถามหรือผู้กองธี"

ภานุถาม เพราะอย่างไรเสียเขาก็รู้ว่าความคิดของเขาก็ไม่อาจเป็นใหญ่ได้

"ระยะการเดินทางจะรวมเป็นกี่วัน ตามรายทางนั้นไม่คิดบ้างหรือว่าทางฝ่ายตรงข้ามจะไม่สอดแนมเรา?และจ่าแม้นก็คุ้นทางดีพอด้วย"

สิ่งที่ร้อยเอกธีรเดชพูดนั้นน่าคิดทีเดียว ผู้กองภานุพยักพยักเพยิดเรียกจ่าแม้นให้ลุกขึ้น ก่อนจะถาม

"จ่ามั่นใจไหมว่าจะพาพวกเราไปยังหุบเขานั่นได้?"

จ่าแม้นกวาดสายตาไปรอบๆก่อนจะยิ้มแฉ่ง

"สำหรับจ่าแม้นแล้วสบายๆ เพราะผมก็เคยเดินสำรวจทางเทือกเขาแทบนั้นมาแล้วในสมัยหนุ่มๆ"

จ่าแม้นให้ความมั่นใจ คนที่ได้รับฟังพยักหน้ารับทราบ จ่าแม้นกลับไปนั่งที่เดิมภานุจึงเอ่ยต่อ

"เรื่องที่พวกมันรู้ว่าเรามานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ภารกิจนี้ลับที่สุดยกเว้นแต่มีคนไปปูดมันซึ่งผมไว้ใจพวกคุณและอีกอย่างเราได้คนลบรอยชั้นยอดมา อย่าหวั่นใจไป"

ชายหนุ่มเน้นตอนท้าย สบสายตาของทุกๆคนซึ่งมันจ้องตอบกลับ ไร้ความระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน ร้อยเอกรังสรรค์โค้งศีรษะเนิบๆรับคำชม

"จ่าแม้นเราจะเดินทางไปถึงหุบเขานั่นกี่วันกัน"

ชายชรานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ

"ถ้าจะเดินทางไปโดยไม่หยุดก็ราวๆสองอาทิตย์ครับ"

ชายหนุ่มเท้าเอว นำกล้องส่องทางไกลส่องสำรวจ พร้อมกับหยิบแผนที่ที่พับมาคลี่ประกอบ

"สามารถกำหนดได้ไหมว่าถิ่นพวกมันน่าจะอยู่ตรงไหน?"

จ่าแม้นลุกขึ้นมา ช่วยหัวหน้าหน่วยกำหนดระยะทาง ทั้งสองสนทนากันคราวๆก่อนภานุจะบอกแก่ทุกๆคน

"จ่าแม้นกำหนดให้เราแล้วว่าพวกมันน่าจะอยู่แทบนี้ในเขตพม่า เราจะเข้าไปลอบดูสถานที่ ที่มันซ่องสุม ห้ามลงมือถ้าไม่จำเป็นเพราะอาจจะเป็นการขัดแย้งกับรัฐบาลฝ่ายพม่า หากเกิดเหตุร้ายจริงๆต้องฟังคำสั่งผมอย่างเดียวเท่านั้น"

เสียงตอบรับเข้มแข็ง ธีรเดชที่นั่งฟังมาตลอดก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เพียงแค่สองอาทิตย์นี้ สิ่งที่ทำให้เขาทุรนทุรายใจได้ ก็คือเรื่องคุณหมอต้นธารา จากที่ได้ฟังจากปากภานุแล้ว ธีรเดชรู้สึกว่าภานุไม่สนใจต้นธาราเลยแม้แต่น้อย

"เอาล่ะ เราจะเดินไปอีกสักสิบกิโลแล้วเราก็จะตั้งค่ายกัน"

พอเสร็จสิ้นการวางแผน ธีรเดชที่เดินตามหลังจ่าแม้นก็เดินตีคู่กับภานุจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

"มีเรื่องอะไรรึ?"

ภานุถามระหว่างแหวกกอหญ้าคาเพื่อเดินผ่าน

"คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างรึ ธารรอคุณอยู่นะ หากเสียเวลาไปอาจจะ..."

สายตาอันเยียบเย็นจับจ้อง ก่อนภานุจะบอกอย่างไร้ใจว่า

"ผมมาที่นี่เพื่อมาปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง ไม่ใช่มานั่งคิดเรื่องไร้สาระเช่นคุณ"

ธีรเดชสะอึกกับคำต่อว่า ก่อนที่เขาจะโต้

"ผมบอกแล้วว่าเรื่องของธารไม่ใช่เรื่องไร้สาระ!"

ชายหนุ่มตอบโต้กลับด้วยความโกรธสุดขีด ภานุยกมือจุ๊ปาก สายตาบอกให้มองทุกๆคนที่มองพวกเขากระซิบกระซาบกันเพียงสองคน

"ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แล้วผมจะเก็บไปคิดเอง ขอให้คุณกลับไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเคยเถอะ"

ธีรเดชจำต้องกลับไป ผู้กองรังสรรค์สอบถามว่าคุยอะไรกัน แต่ผู้กองธีรเดชกลับบ่ายเบี่ยง

"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่สอบถามเรื่องการเดินทางในครั้งนี้ก็เท่านั้น เพราะผมยังคงหวั่นๆอยู่"

ร้อยตรีอานุภาพยิ้มอยู่ทางเบื้องหลัง

"หวั่นอะไรครับ"

ธีรเดชยิ้ม เขามองสีหน้าผู้กองรังสรรค์ที่ได้ข่าวว่าไม่ถูกกับร้อยตรีอานุภาพ เกรงว่าหากเขาคุยกับร้อยตรี
อานุภาพจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน เนื่องจากเขาอยู่เป็นกลาง แต่ผู้กองรังสรรค์ก็ไม่ว่ากระทบกระเทียบหรือส่งสายตาไม่พอใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังคุยด้วยราวกับสนิทสนมมาเป็นปี

"ผมก็หวั่นว่าจะหลงป่ามั่ง หวั่นอดตายมั่งล่ะครับ"ธีรเดชโต้กลับ อานุภาพหัวเราะ

"จะหวั่นไปทำไมครับ อยู่ในนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องกลัวอดตาย สัตว์ป่าออกจะมีถมไป หลงป่าเราก็มีพรานนำทางแม่นๆอย่างจ่าแม้นอยู่ด้วยจะเกรงอะไรครับ"

ผู้กองธีรเดชได้แต่ยิ้มแหย

"ผู้กองไม่เชื่อมั่นในฝีมือผมหรือครับ"

จ่าแม้นหันมาร่วมวง การพูดคุยกันระหว่างเดินทางไม่ถูกขัดโดยภานุเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ ทั้งผู้กองรังสรรค์และหมวดอานุภาพกับจ่าแม้นก็ไม่ได้ท้วงอะไร ทำตัวตามปกติ มีแต่ธีรเดชเท่านั้นที่รู้สึกถึง เขามองแผ่นหลังและฝีเท้าที่ย้ำสวบสาบภายในป่า ร้อยเอกรังสรรค์ก็ถามขึ้นมา

"ถ้าเกิดหลงป่าผู้กองจะทำไง?"

ภานุเหลียวมอง ดูเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์จนผู้กองรังสรรค์ต้องถามย้ำ

"ทำอย่างไงน่ะรึ..."

ภานุคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบอย่างจืดชืด

"ก็คงไม่ทำอะไร รอให้คนมาช่วยล่ะมั้ง"

พูดจบ ผู้กองก็หันไปตกอยู่ในภวังค์ ทุกๆคนเงียบกริบ จนกระทั่งถึงที่ค้างแรมอีกแห่ง ทุกคนก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับเหมือนเช่นเคย วันนี้อากาศก็ยังเย็น เสียงนกระวังไพรดังคู้ๆ สิงสาราสัตว์ในป่าก็ออกหากิน มีเพียงห้าชีวิตที่นั่งล้อมรอบแสงไฟ เต็นท์ที่กางอย่างง่ายๆโยกไม้ตามสายลมหนาวของขุนเขา หลังจากที่กินข้าวอิ่มทุกคนก็นั่งล้อมวงหาความอบอุ่นใส่ตัว ธีรเดชยังคงเอาผ้าขาวม้ามาพันกายกลิ่นของมันก็ยังคงฟุ้งอยู่ในจมูก หอมหวานบริสุทธิ์ เขาคิดถึงดวงตาคล้ายดาว สีหน้างดงาม แล้วทำสีหน้าดุจเด็กหนุ่มกำลังมีความรัก จนภานุต้องเย้า

"คิดถึงใครหรือครับ เห็นมองผ้าขาวม้าผืนนั้นเสียจริง"

บทสนทนาที่ไร้ท่าทีตึงเครียดที่ภานุเป็นฝ่ายเริ่มส่งผลให้คนอื่นๆสนอกสนใจ

"เห็นเอามานอนกอดตั้งแต่อยู่ค่ายพักนู้นแล้ว แสดงว่ามันเป็นของสาวจริงๆสิครับ"

จ่าแม้นเฮฮากว่าเพื่อน ยื่นฝาบรรจุบรั่นดีให้แก่ทุกๆคนดื่มแก้หนาวธีรเดชยิ้มน้อยๆ

"เห็นผู้กองธีจะจีบลูกสาวตาสาบ้าไม่ใช่รึ"

ภานุว่า ทุกๆคนยิ้มหัว

"ลูกสาวของตาสาที่ใครๆลือว่าเป็นภูตผีน่ะรึครับ"

ภานุผงกหัวเมื่อจ่าแม้นว่า ธีรเดชก้มหน้าคล้ายกับอาย

"ผมก็ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าตาสาอะไรนั่นมีลูกสาวสวยชอบทำตัวลึกลับ นานๆทีจะโผล่มาให้เห็น แต่
ความสวยของลูกสาวแกเหมือนเอื้องป่าหายากเลยนี่ครับ"

รังสรรค์เอ่ยและทำท่าว่าอยากจะเห็นสาวลึกลับที่ชาวบ้านพูดถึงโดยเฉพาะเป็นผู้ชายเล่าลือกัน

"เห็นว่าใครเข้าใกล้เธอ ตามหาเธอแต่ก็ไม่เคยพบเลยนี่ครับ"

ร้อยตรีอานุภาพเติมกาแฟในแก้วของตัวเองเอ่ยบ้าง

"มันก็น่าแปลกอยู่น่า เธอจะเป็นผีรึเปล่า แต่ถ้าผีสวยขนาดนั้นผมก็ยอมตามหา ยอมให้มันหลอกล่ะครับ"

จ่าแม้นหัวเราะ แล้วถามธีรเดชเกี่ยวกับความงาม ชายหนุ่มก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เขาสงสัยว่าเธอผู้มีปริศนาเป็นใคร เธอสามารถลอบเข้าเขตค่ายเพื่อจะเคารพศพของผู้กองนาคีแล้วจู่ๆก็โผล่มาขายของในเมือง ยิ่งมองก็ยิ่งสับสน

"อย่างงี้ไม่มีหวังแล้ว ถ้าผู้กองธีจะมองลูกสาวตาสาบ้าจริงๆ"

เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นเมื่อผู้กองรังสรรค์แซว ธีรเดชได้แต่กำผ้าขาวม้าผืนนั้นแน่น...เธอคือใครกัน...เอื้องคำ....ชื่อที่เขาได้รู้จักและอยากจะพบอีกครั้งหนึ่ง

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-06-2008 19:42:10
กิ่งไผ่เดินไปทั่วลานกว้างของค่ายกองโจรกู้แผ่นดิน เขาพยายามจะหาบิดาคือท่านนายพลอินคาน และแล้วดวงตากลมโตก็เห็นท่านกำลังยืนพูดคุยกับชายหนุ่มอายุอานามสามสิบปี ใบหน้าและลักษณะท่าทางไม่ให้ความรู้สึกไว้วางใจ ท่านยืนคุยหน้าตาเคร่งเครียด กิ่งไผ่หยุดยิ้มให้แก่แขก แขกที่มาเยี่ยมเยือนบิดามองกิ่งไผ่ทันที

"อ้าว...ไผ่ นี่ กฤษดารู้จักกันเสีย"

กิ่งไผ่มองชายนามว่ากฤษดายื่นมืออกไปให้จับ นายกฤษดาก็บีบมือของกิ่งไผ่แน่น จนเขาต้องเป็นฝ่ายถอนออกอย่างสุภาพ เขาสงสัยว่าหนุ่มชาวไทยมาเกี่ยวอะไรด้วย แต่ไม่เอ่ยถามอะไร

"คุณกฤษดาครับ นี่ลูกชายผม "

ท่านนายพลมองรอยยิ้มที่นายกฤษดามองลูกของตน ท่านก็ไม่ชอบใจเช่นกัน ก่อนที่ท่านจะมาอธิบายเป็นภาษาพม่าให้ลูกชายฟัง

"เขามาเป็นแรงหนุนให้กับเรา เห็นว่าทำธุรกิจในพม่า อินโดนีเซียและสเปน เขาสนใจในอุดมการณ์จึงขอเข้าร่วม"

กิ่งไผ่ทำหน้าประหลาดใจ

"ทั้งๆที่เป็นคนไทยน่ะหรือครับ"

กิ่งไผ่ตั้งข้อสังเกต เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาก็ไม่ใช่เป็นสีดำ มันออกสีเขียวเข้มมากกว่า เรือนผมสีดำสนิทเหมือนขนกา ท่านนายพลก็กระซิบบอก

"เขาไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกลูก เขามีเลือดผสมไทยกับสเปนน่ะ"

กิ่งไผ่ยิ้มให้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนึกสงสัย

"แล้วทำไมเขาถึงยอมช่วยเราล่ะครับ"ลูกชายระแวงสงสัย บิดายิ้มกว้าง

"ไผ่ลูกอย่าระแวงสงสัยเขาเลย พ่อสืบประวัติเขามาแล้วเขาเป็นคนสนับสนุนเงินให้แก่เรา และเขายังมาบอกข่าวเราอีกด้วยว่ามีหน่วยลาดตะเวนจะเข้ามาสอดแนมหาทางทำลายที่นี่"

กิ่งไผ่ไม่เข้าใจนัก เขายังคงแปลกใจอยู่ดี

"แล้วข่าวเชื่อได้หรือครับ?"เขาย้อน บิดาผงกหัว

"เชื่อได้สิก็เขามีสายในค่ายคอยบอกความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา"

ดวงตากลมเบิกกว้าง เขาอยากจะรู้ข้อมูลอีกสักนิดแต่บิดาก็พานายกฤษดาเข้าไปในบ้านหาน้ำท่ามาต้อนรับอย่างดี

"เห็นว่านายกฤษดาจะเข้าตีหน่วยลาดตะเวนเมื่อมันเข้ามาในเขตเรา"

ท่านบอกอย่างสบายอกสบายใจ กิ่งไผ่ผงกหัว เขากำลังนึกถึงผู้กองที่เขาพบถึงสองครั้งสองครา

"ไผ่เป็นอะไรหรือเปล่า"

บิดาเห็นผู้เป็นบุตรดูเหม่อลอยไป กิ่งไผ่ สั่นหัวเป็นการบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เขาก็ขอตัวลงไปข้างล่างรู้สึกกังวล เจ้าขิ่นเห็นนายของมันเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาก็ถาม

"พี่ไผ่เป็นอะไรครับ ทำไมเดินหน้าตูมมาอย่างนั้นล่ะครับ?"

เด็กหนุ่มกำลังนอนใต้ร่มเงาไม้ต้นใหญ่ แล้วจึงผุดลุกขึ้น เจ้านายของมันหยุดตรงหน้า ก่อนจะพูด

"ได้ยินข่าวไม่ดีมานิดหน่อยน่ะขิ่น"

กิ่งไผ่นั่งลง ด้วยความทรมานในอก เขาสังหรณ์บางสิ่งบางอย่าง มันจึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้

"ข่าวอะไรครับพี่ไผ่?"

เจ้าขิ่นถาม มันสนใจฟังเต็มที่

"วันนี้มีคนมาหาพ่อ แล้วก็บอกว่ามีหน่วยลาดตะเวนเข้ามาในเขตเราแถมยังจะส่งคนไปกำจัด"

เจ้าขิ่นทำหน้าฉงน

"ก็ดีแล้วนี่ครับ แล้วคนที่มาหาท่านนายพลเป็นใครครับ?"

"เห็นว่ามาจากพม่า ทำธุรกิจอะไรก็ไม่รู้แต่เขาก็เข้ามาสนับสนุนเราทั้งๆที่เป็นคนไทยแท้ๆ"

สายตาของเจ้านายของเด็กหนุ่มดูไม่ชอบใจเลย

"ขิ่นช่วยสืบเรื่องนี้ให้ทีนะ ขอร้องล่ะไปในป่าไปสืบทีสิว่าหน่วยไหนมา"

เจ้าขิ่นยิ่งตีหน้าประหลาดใจต่ออาการของนายน้อย มันจำต้องผงกหัว

"ครับ นายน้อยจะให้เจ้าขิ่นคนนี้ทำอะไรครับ"

กิ่งไผ่ คลายความกังวลลง เขาเหลียวมองรอบๆเมื่อไม่มีใครมาอยู่ใกล้จึงเอ่ยแผนการให้ฟัง

"ขิ่น เอ็งไปจากค่ายเงียบๆนะ อย่าให้ใครรู้ไปสืบว่าหน่วยลาดตะเวนไหนมาแล้วรีบกลับมารายงานฉัน"

เจ้าขิ่นรับคำ มันปฏิบัติตามโดยเร็ว ในวันนั้นกิ่งไผ่มองเจ้าลูกน้องที่จงรักภักดีหายลับเข้าไปในป่า ตื่นเต้นยิ่งนักต่อการรอรับข่าว นายกฤษดายังอยู่กับพ่อของเขา ดูเหมือนว่าจะพักอยู่ที่นี่ กิ่งไผ่จึงเลี่ยงไปนั่งกับพวกลูกน้องจนดึกดื่นและเห็นว่านายกฤษดาหลับไปแล้ว เขาจึงแอบย่องเข้าห้องนอน เดินต่อได้ไม่ทันไร ขาของเขาก็ถูกคว้าหมับ กิ่งไผ่สะดุ้งโหยง

"คุณกฤษดาต้องการอะไร?"

กิ่งไผ่ถามเสียงเย็นชา ขณะชักเท้าออก แต่นิ้วของนายกฤษดาก็ลูบไล้ตรงข้อขา กิ่งไผ่ตัวแข็ง

"ปล่อย! คุณเสียมารยาทมากนะ"

ในที่สุดกิ่งไผ่ก็สลัดแข้งขาออก เดินอย่างรวดเร็วเข้าห้องนึกชิงชังชายชื่อว่ากฤษดาโดยไม่รู้ตัว มันบังอาจทำตัวหยามเหยียดเขา สักวันเขาจะหาโอกาสบอกพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้

------------------------------------------------

ก่อนที่จะเข้าเขตแดนพม่า ภานุกับพรรคพวกก็ออกไปยิงกวางมาหนึ่งตัวเพื่อใช้เป็นอาหารในมื้อต่อๆไป เพราะอาหารกระป๋องที่นำติดตัวมาเริ่มหร่อยหรอทุกที ทุกคนต่างเร่งทำเวลาเพื่อจะได้ไปถึงยังที่พักจุดต่อไปก่อนค่ำ เดินโดยไม่ผ่อนฝีเท้าเลย ไปถึงจุดหมายปลายทางอีกแห่งก็จวนเจียนพลบค่ำ แสงแดดลำสุดท้ายลับหาย ต่างก็ช่วยกันกางเต็นท์ สร้างที่พักกันอย่างรวดเร็ว จ่าแม้นก็รีบก่อไฟหุงข้าว ทุกคนดูเครียดขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาสู่พรมแดนศัตรู เนื้อกวางย่างส่งกลิ่นยั่วยวน ในป่านี้ หูทุกคู่ก็ยังได้ยินเสียงสัตว์ที่หากินยามกลางคืน เสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ ตาทุกคู่ก็สว่างจ้า ไม่มีใครกล้าหลับ ต่างกำอาวุธประจำกายแน่น ราวกับมีสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น ความรื่นเริงเมื่อคืนก่อนจางหายไป คงเหลือแต่ความเงียบสงัด ลมพัดยอดไม้ไหวซู่ซ่ายิ่งประกอบสถานการณ์ให้ตรึงเครียดขึ้น

"ฟังสิผู้กองดูเหมือนเสียงสัตว์จะหยุดไปกระทันหัน ฟัง..."

จ่าแม้นว่าเสียงของแกไม่เกินเสียงกระซิบ ผู้กองรังสรรค์ตรวจสอบลูกกระสุนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ร้อยตรีอานุภาพมีสีหน้าเฉยเมยราวรูปปั้นสลัก ผู้กองภานุขบฟันกรอด ส่วนธีรเดชนั้นรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

"ลงเป็นอีหรอบนี้แสดงว่าทางฝ่ายนั้นรู้ตัวแล้ว!"

จ่าแม้นตีหน้าตายบอกแก่ทุกๆคน ธีรเดชฉงนใจ

"จ่ารู้ได้ไง ในเมื่อภารกิจนี้เป็นความลับ?"

เขาตั้งคำถาม ภานุเป็นฝ่ายตอบเอง

"ต่อไปนี้มันไม่เป็นความลับอีกต่อไป เราต้องระวังเพราะมันยังไม่ลงมือกับเราในตอนนี้ ทางที่อยู่เราได้เปรียบ

อย่าให้มันรู้ตัวได้ว่าฝ่ายเราไหวตัวทันแล้ว"

ชายหนุ่มสั่งอย่างรวดเร็ว ประสาทที่อัดทับทมหลายเรื่องอยู่ในหัว มันแทบระเบิด ภานุตั้งปืนไว้บนพื้น แสงไฟสะท้อนตัวปืนสีดำมะเมื่อมมันปลาบ สายตาแกร่งครุ่นคิดอยู่ทุกวินาที เขาสำรวจชัยภูมิรอบๆแล้ว เหมาะเป็นที่ตั้งรับและเป็นที่รุกได้เป็นอย่างดี เขาก็วางแผนร่วมกับผู้กองรังสรรค์ ในการตั้งรับ ร่นถอยและรุก ซ้อมท่าสัญญาณ จุดนัดพบหากร่นถอย

"วันนี้มันอาจจะยังไม่ลงมือ เพราะมันไม่อยากเสี่ยงแต่ในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ไม่แน่ชีวิตเราอาจจะไม่เหลือ"

จ่าแม้นพึมพำ แกไม่มีท่าทีว่าจะกลัวกลับเอ่ยเหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิต

"ระวังอย่าเป็นเป้านิ่งก็แล้วกัน!"ผู้กองภานุเตือนด้วยเสียงน่ากลัว

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 02-06-2008 00:02:30
อ่ะคิดถึงสว...หนุ่มกลิ่นเอื้องอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 02-06-2008 02:26:52
แว๊บเข้ามาขอบคุณพี่พิมและทุกท่านที่ช่วยดันกระทู้เจ้าค่ะ ^_^

 :pig4:   :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-06-2008 10:24:19
งานนี้ใครเป็นสายให้ศัตรูกันแน่
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 02-06-2008 20:43:33
แวะมาให้ จขกท.  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 03-06-2008 05:03:04
แวะมาให้กำลังใจ คนโพส คนเขียนจ้า  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 03-06-2008 13:43:04
เกลือเป็นหนองเจงๆ

 :seng2ped:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-06-2008 20:23:09
ขั้นจังหวะด้วยตอนพิเศษกันดีกว่า  ว่าคุณหมอกับผู้กองของเรา  เป็นไงมาไง  ถึงมา.... กันเช่นนี้
น้องเรนผู้น่ารัก แต่งตอนพิเศษมาฝากกัน อิอิ

ตอนพิเศษมีสามตอนด้วยกันนะ  จบตอนพิเศษแล้วจะมาต่อว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อไป 
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน  เม้นต์ แล้วก็ดันค้าบบบ
+++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรักเสน่หา ตอนพิเศษ 1

First Sight:.: Once Day Once Dream

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CAGGFBPA0&Autoplay=1


------------------------------------------------

มันเป็นวันธรรมดาที่ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ การที่ต้องนั่งเท้าคาง เฝ้ามองดูบรรยากาศที่แสนสบาย ท้องฟ้าสีสวย เมฆขาวสะอาดลอยฟุ้ง ได้แต่ปล่อยจิตใจให้ล่องละลอยไป ฟังเสียงอาจารย์นั่งแลคเชอร์ไปเรื่อยๆไม่ใส่อะไรมากนัก บางครั้งก็จะเอนหัวซบกับพื้นโต๊ะจนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นข้างกาย

"ต้นธารา เธอไม่อยากเรียนวิชาของฉันรึ?"

อาจารย์สาวทำตาน่ากลัวใส่ เธอยืนอยู่ข้างโต๊ะของชายหนุ่มที่นั่งตีหน้าแหยๆ เพื่อนๆในห้องต่างหัวเราะคิกคักและรีบหลบหน้าในหนังสือทันทีเมื่อสายตาอันแหลมคมจ้องขวับ

"หลังเลิกเรียนมาพบฉันด้วย"

เสียงเฉียบขาดสั่ง ชายหนุ่มผงกหัวอย่างเนือยๆ ก่อนจะนั่งลงทันทีที่อาจารย์สาวเริ่มสอนต่อ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังสะกิดหลังแอบกระซิบถาม

"เฮ้ย ไอ้ธาร เอ็งกล้าเหม่อคาบของยัย อัญธิมาได้ไงวะ"

ต้นธาราได้แต่ยิ้มที่ดูเหนื่อยหน่าย พอถึงเวลาเลิก ชายหนุ่มต้องเดินคอตกไปพบอาจารย์สาวตามที่นัดไว้ ต้นธาราขึ้นบันไดรู้สึกว่าแต่ละขั้นมันช่างหนักอึ้งหนัก ชายหนุ่มหยุดยกมือเคาะประตูห้องอาจารย์ช้าๆ พอได้ยินเสียงอนุญาตก็เดินเข้าไป ไหว้อาจารย์แล้วนั่งลง ดวงตาของอาจารย์สาวจับจ้องใบหน้านั่นอย่างเพ่งพิศ

"เธอเป็นคนที่ตั้งใจเรียนนะต้นธารา"

อาจารย์สาวเริ่มบทสวด ต้นธาราได้แต่ยิ้มฝืนๆให้เธอ

"เป็นอะไรหรือเปล่า? ดูท่าทางเธอจะไม่ค่อยสบายใจเลยนะ"

ต้นธาราสั่นหัวเป็นการปฏิเสธ บอกเธอว่าไม่เป็นอะไรมากนักด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนอาจารย์สาวต้องขมวดคิ้ว

"นี่เธอแน่ใจนะ? เอาล่ะ อาจารย์จะไม่ว่าอะไรเธอมากนัก ขอให้เธอตั้งใจเรียนเหมือนเคยก็แล้วกัน"

ชายหนุ่มยกมือไหว้ เดินออกจากห้องพักอาจารย์ หลังพิงผนัง ใบหน้ายังคงอ่อนล้าเช่นเคย

"ธาร มีคนมารับแน่ะ"

หญิงสาวซึ่งสวมใส่เสื้อกาวน์ทับเสื้อนิสิตสะกิดชี้ไปทางถนน ต้นธาราหันมองตามที่เธอกล่าว ยิ้มขอบใจ รอยยิ้มสามารถทำให้รุ่นน้องชี้ไม้ชี้มือมาทางเขา

"แหม ยังดังไม่หายเลยนะนับตั้งแต่เป็นเฟรชชี่ก็มีแค่คนกรี๊ด"

ชายหนุ่มยักไหล่ ไอ้เรื่องที่เป็นเฟรชชี่ มันนานนมจนเขาเองก็แทบลืมไปแล้ว ส่วนเรื่องที่สาวๆกรี๊ดหรือว่ามีคนตามจีบนั้น ต้นธาราไม่เคยสนใจเลย เรื่องนั้นไม่อยู่ในหัวสักนิด เขาลงบันได เดินไปหาคนที่มารับซึ่งอยู่ในชุดทหาร ใครๆที่เดินผ่านต้องมองจนเหลียวหลัง ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปลายๆมือไพล่หลัง ยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินมาหาพร้อมกับเพื่อนสาว

"นั่นใครน่ะ?"

หญิงสาวที่เดินมาด้วยกระซิบถามอย่างสนใจทันที ชายหนุ่มแต่งเครื่องแบบค้อมศีรษะให้

"นั่นธีรเดช เขาเป็นคนสนิทของพ่อน่ะ"

คำตอบเรียบเฉย ก่อนชายหนุ่มว่าธีรเดชเปิดประตูให้ มือเรียวบางโบกมืออำลา

"อย่าลืมงานทัศนศึกษาล่ะธาร"

ชายหนุ่มผงกหัวผ่านกระจก รถสีดำคันหรูเคลื่อนออก คนที่นั่งจมเบาะหันมองนอกหน้าต่างพูดขึ้นเมื่อเห็นว่ารถเงียบจนเกินไป

"เปิดเพลงหน่อยสิอยู่เงียบๆน่าเบื่อออก"

ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นพลขับทำตามคำสั่ง ดวงตางามหลับพริ้ม มือประสานหน้าท้อง กระเป๋าเรียนวางไว้ข้างกาย ดูสบายอกสบายใจเมื่อมานั่งรถที่ขับด้วยความระมัดระวัง

"เหนื่อยหรือครับ"

เสียงนุ่มหูถาม ดวงตานั้นลืมนิดหนึ่งก่อนจะส่งเสียงตอบเบาๆ

"อืม ก็นิดหน่อยน่ะ พักสักครู่ก็คงหาย"

เสียงเพลงสบายๆคลอ ริมฝีปากอิ่มตามธรรมชาติร้องคลอเบาๆ

"แล้วเรื่องเรียนละครับ หนักหรือเปล่าผมเห็นคุณนอนดึกทุกวันเลย"

ร่างที่ขยับให้นั่งสบายทอดถอนใจ

"เงียบหน่อยเถอะ ตอนนี้เหนื่อยจริงๆ"

คำขอร้องส่งผลให้ชายหนุ่มนั่งเงียบกริบ มองผ่านกระจกหลังเห็นดวงหน้านั่นนอนหลับสนิท จึงไม่เอ่ยอะไรมาก จนกระทั่งรถเคลื่อนมาถึงบ้านอันร่มรื่น ประตูเปิดอัตโนมัติ รถคันหรูเลื่อนเข้าไปจอด ดับเครื่องรอสักพักจึงค่อยปลุกคนที่นอนหลับใหล

"ตื่นเถอะครับถึงบ้านแล้ว"

ร่างที่นอนหลับสะดุ้งโหยง ลืมตาตื่นงัวเงีย หันมองรอบข้างอย่างงุนงงก่อนจะลูบใบหน้าที่เหนื่อยล้า

"ถึงแล้วรึ..."

ปากอิ่มพึมพำ บิดตัวอย่างเกียจคร้านเก็บกระเป๋าลงจากรถ ประตูเปิดออกกว้างโดยชายหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา

"มีคนสนใจนายด้วยแหละธี"

ต้นธาราว่า ดูสดใสขึ้นมานิดๆ ธีรเดชเลิกคิ้ว

"ใครกันครับ"

คำตอบสุภาพ กระเป๋าสะพายข้างยื่นให้แก่ชายหนุ่ม หัวที่เดินโคลงไปมายิ้มกว้าง

"ก็คนที่มหา'ลัยไงล่ะ มองดูนายเยอะเชียว...แล้วพ่อไปไหนล่ะ"

ต้นธาราโน้มกายถอดรองเท้าเข้าบ้านที่ดูเงียบเหงา ธีรเดชเอ่ย น้ำเสียงจริงจังขึ้น

"ท่านเพิ่งเดินทางไปที่ยุโรปเมื่อเช้านี่เองครับ"

เสียงถอนใจเฮือกดังชัดจนชายหนุ่มแตะบ่าอย่างสุภาพ

"มันเป็นหน้าที่ของท่าน ธารต้องเข้าใจนะ"

ต้นธาราผงกหัว นั่งยังโซฟา กางแขนเหยียดยาว

"แล้วมีอะไรไม่เข้าใจบ้างล่ะ? ผมเข้าใจดีน่า"

คำพูดที่ไม่ได้แฝงความประชดประชันเลย เขาหยิบน้ำดื่มเย็นเฉียบชูขึ้น ก่อนจะจิบ

"นั่งก่อนสิ อยู่เป็นเพื่อนหน่อย"

ธีรเดชรีๆรอๆก่อนจะนั่งลงตามคำชวน ต้นธารารินน้ำเย็นๆใส่แก้วให้

"อยู่เฉยๆก็น่าเบื่อเหมือนกันนะว่าไหม?"

ชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งตัวตรงทำหน้าแปลกใจนิดๆก่อนจะคล้อยตาม

"ครับ ธารเบื่อรึ อยากไปเที่ยวไหมล่ะ? ผมจะได้พาไป"

ร่างบางส่ายหัวดิกๆ

"ม่ายอาวอ่ะ นอนอยู่บ้านนี่แหละ ธีจะไปไหนก็ไปเถอะ"

ต้นธาราเอ่ยเสียงยานคางพร้อมลุกขึ้นอย่างไร้เยื่อใยต่อชายหนุ่มนั่งหน้าหงอยทันที สั่งให้คนรับใช้เก็บแก้วออก

"เย็นๆผมจะเข้ามารับไปทานข้าวนะ"

ร่างบางหันมายิ้มรับ ก่อนจะวิ่งขึ้นห้องของตัวเอง สายตามองบ้านอย่างเศร้าๆ เปิดประตูห้องนั่งลงขอบเตียง หยิบไดอารี่สีฟ้าขึ้นมามองอยู่ชั่วครู่อย่างลังเล ก่อนจะลุกขึ้นหยิบปากกาออกมาจรดลงบนหน้ากระดาษ

....วันนี้ช่างโดดเดี่ยวจริง ท้องฟ้าข้างนอกก็สดสวย เป็นสีฟ้าใสคล้ายกับสีไดอารี่นี่เลย อยากจะโบยบินแต่เราก็ไม่มีปีกนี่นะ ก็ได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ...

เขียนไปได้สักพักก็หยุด ทำหน้าคิด ก่อนจรดปลายปากกาลงอีก ลายมือเป็นระเบียบ สายตาสีอ่อนมองตัวอักษรอย่างเหม่อลอย

...วันที่ไปทัศนศึกษาจะได้เจออะไรบ้างนะ สิ่งที่หัวใจรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในหัวใจลึกๆ มันคืออะไรนะ? คำตอบล่ะ เขาควรหาที่ใด?

นั่นสินะ...คำตอบเขาควรหาที่ใด ต้นธาราถามตัวเอง ปากการ่วงจากมือ ตกอยู่ในห้วงนิทรารมณ์
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-06-2008 20:25:48
ตกดึก ธีรเดชมารับตามคำบอกกล่าว คราวนี้ต้นธาราก็ได้นั่งเบื่อจริงๆ ร่างโปร่งเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในจานเล่น ดูไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างเลยสักนิด

"คิดถึงท่านนายพลรึ?"

ชายหนุ่มกระเซ้า ดวงตานั่นเหลือบมอง หัวเราะน้อยๆไปกับมุขตลก

"คิดว่าเป็นอย่างนั้นรึ น้ำได้ท่วมโลกพอดีน่ะสิ"

คำพูดและน้ำเสียงโกรธเคือง ไม่พอใจ

"ท่านติดงานจริงๆ ไม่อย่างนั้นท่านก็มาทานข้าวกับคุณได้ตามปกติแล้ว"

ปากต้นธาราเอ่ยล้อเลียนตาม ธีรเดชอ่อนอกอ่อนใจ

"ธารก็น่าจะเห็นใจท่านหน่อยนะครับ คราวหน้าเดี๋ยวผมจะเรียนท่านเองว่าธารอยากให้ท่านมาทานข้าวด้วย"

ช้อนวางเคร้งลงบนขอบจาน ใบหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆ

"ใครขอแบบนั้นไม่ได้พูดสักหน่อย"

แขนเรียนกอดอกแน่น ใบหน้าบูดบึ้ง ธีรเดชนิ่งทันที

"ผมขอโทษครับ"

ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา อิ่มข้าวไปชั่วขณะ

"ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจอยู่เสมอ"

ต้นธาราอุบอิบในลำคอ ธีรเดชยิ้มกว้าง

"ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดี"

ชายหนุ่มว่า ตักกับข้าวใส่จานให้อย่างเอาใจ

"คุณก็กินข้าวหน่อยเถอะ ผอมยิ่งกว่ากุ้งแล้ว"

คนถูกว่าตักข้าวเข้าปาก ชายหนุ่มยิ้มใจดีอยู่เช่นเคย

"วันพรุ่งนี้ไปทัศนศึกษาที่ค่ายทหารด้วยล่ะ รู้สึกว่าที่พ่อจะเข้าประจำอยู่ด้วยมั้ง"

ต้นธาราว่า ไม่ตื่นเต้นสักเท่าไร

"ก็แน่ล่ะ เห็นมันตั้งแต่ยังเด็กแล้วนี่"

ต้นธาราพูดต่อ ธีรเดชหัวเราะ

"ครับ งั้นผมจะไปส่งตั้งแต่เช้า"

การทานอาหารมื้อนั้นไม่น่าเบื่อย่างที่คิดไว้ ถึงธีรเดชจะพูดน้อยและออกทึ่มๆแต่ก็ดูแลเขาด้วยดีมาตลอดขณะที่บิดาไม่อยู่ มองๆไปคล้ายกับพี่เลี้ยงเด็กเสียมากกว่า พอเสร็จก็มาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย รุ่งเช้าก็มารับเช่นเคย

"ลำบากแย่เลย"

รอยยิ้ม สดใส นุ่มนวลผิดจากเมื่อคืนวานผุดเต็มใบหน้า

"หน้าที่ที่เต็มใจรับน่ะครับ"

ธีรเดชกล่าวเล่นๆ ก่อนจะไปส่งต้นธาราขึ้นรถ

"จะเจอลุงอรุณไหมธี?"

ต้นธาราสอบถาม ชายหนุ่มตอบโดยไม่เหลียวหลังขณะขับรถ

"เห็นว่าท่านนายพลอรุณจะย้ายไปประจำชายแดนน่ะครับ"

ต้นธาราขมวดคิ้ว

"อะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย พ่อไม่เห็นบอก"ต้นธาราโวย

"ก็ธารสนซะทีไหนล่ะ ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ธารจะให้ผมมารับตอนไหน?"

คนที่กำลังโกรธเพราะคำกล่าว เดินกระแทกเท้าขึ้นรถพร้อมเสียงโห่แซวเล่นๆ

"เจ้าชายมาแล้วโว้ย หลีกทางให้พระองค์เสด็จหน่อยพะย่ะค่ะ"

ต้นธาราถอนใจอย่างเบื่อๆ นั่งข้างกระจก

"คงไม่ถือสานะธาร"

หญิงสาวที่อยู่ด้วยเมื่อวานว่า ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เสียงแซวจึงเงียบหาย รถบัสเคลื่อนตัว ต้นธาราเลือกที่จะหลับตามากกว่าสนทนา

"ธารนี่เงียบเนอะ ไม่รู้เป็นอะไร สมัยก่อนฉันว่าเขาน่ะดูดีจะตาย ยิ้มก็ยิ้มได้น่ารัก"

เสียงกลุ่มผู้หญิงเอ่ยซุบซิบ

"นั่นสิ ระยะนี้ไม่รู้เขาเป็นอะไร พูดน้อยลง ยิ้มก็ไม่ค่อยยิ้มเธอว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?"

อีกคนว่า สามสาวต่างส่ายหัวอย่างท้อแท้ จนหญิงสาวที่นั่งข้างเคียงสะกิดแขนคนที่หลับสนิท

"นี่...เขานินทาเธอใหญ่แล้ว"

ดวงตาสีอ่อนเลิกขึ้น กระพริบปริบๆ

"นินทาอะไรล่ะ"

ต้นธาราถามแล้วอ้าปากหาว ถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

"ก็ว่านายเปลี่ยนไปสิ เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันก็ว่านายแปลกไปนะ"

"อยากรู้นักเรอะ ไปบอกพวกเขาไปว่าฉันแค่อยาก หา 'คู่ชีวิต' "

ต้นธารากล่าวเล่นๆเรียกเสียงหัวเราะคิกๆคักๆจากเพื่อนสาวได้พอควร

"จริงเหรอ"

ก่อนที่จะได้รับคำตอบ รถก็แล่นจอดกลางสนามโล่งๆ แดดร้อนเปรี้ยง สาวๆต่างบ่นอุบ ต้นธารามองนอกกระจก เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังซ้อมเดินสวนสนาม

"ว้า...มาทำไมก็ไม่รู้ แต่ก็ดีหนุ่มๆเยอะ"

เสียงสาวๆว่าแล้วก็กรี๊ดกร๊าด ชี้ให้ดูเหล่าทหารที่กำลังซ้อมเดินสวนสนาม ร่างโปร่งสะพายเป้แน่น ไม่ตื่นเต้นเพราะเคยเห็นจนชินตา ทุกๆคนต่างรวมตัวกัน รอให้ไกด์ทัวร์มารับไปชมส่วนต่างๆของค่าย ระหว่างนั้นต้นธาราก็เงยหน้าขึ้น มองฝ่าไอแดด จนกระทั่งขบวนสวนสนามเข้ามาใกล้ เขาก็ได้เห็นชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึม สั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ใบหน้าดูไม่ค่อยพอใจกับบางสิ่งบางอย่าง มองโดยรวมแล้วไม่มีลักษณะที่เป็นมิตรเอาเสียเลย สายตาสีน้ำตาลอ่อนมองจนกระทั่งต้องเดินตามกลุ่มคณะ เข้าเยี่ยมชมส่วนต่างๆ คนที่ชินแล้วกับเรื่องพวกนี้ได้แต่มองอย่างเบื่อหน่าย พยายามสอดส่ายสายตาหาคนรู้จักเพื่อที่จะได้พ้นจากสภาพทัวร์ที่น่าเบื่อ เพียงแค่หนึ่งวินาที เขาก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้ที่ชอบทำหน้าไม่รับแขก ซับหน้าเดินมาทางกลุ่มนักศึกษาขบวนใหญ่ ต้นธารารีบเดินเบียดกลุ่มเพื่อนออกมา อีกนิดเดียวแท้ๆ จะออกจากฝูงชนที่ยืนเบียดเสียดได้และจะได้ชิดใกล้คนๆนั้น บางอย่างบันดาลให้เขาทำเช่นนั้น จนกระทั่งไดอารี่ที่เขาพกเป็นประจำหล่นไปนอกวง จนชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ชะงัก หยิบไดอารี่มองหน้าปกอย่างงุนงง ในมือถือปากกา มันไม่มีอะไรแท้ๆ ทำไมถึงรู้สึกแปลกไปได้ถึงขนาดนั้นนะ

"เอ่อ อันนั้นของธารนี่"

เพื่อนสาวอุทาน แล้วก็ขอคืน ชายผู้นั้นยิ้มให้ ก่อนจะยื่นคืนแก่หญิงสาว ต้นธาราที่ยืนท่ามกลางฝูงชน ทั้งๆที่อยู่ไม่ไกลเท่าไร แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย ใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุเมื่อเอื้อมหยิบไดอารี่คืนจากเพื่อนสาว สายตาของต้นธาราพยายามมองชื่อที่ติดบนหน้าอก เขามองเห็นแค่ชื่อกับยศเท่านั้น...ภานุ...ชื่อนั้นจดจำซึมซับเข้าไปในใจอย่างรวดเร็ว

"คนเมื่อกี้หน้าตาดีเนอะ"

เพื่อนสาวว่า แล้วก็พูดเล่นกับคนที่ได้พูดคุยแม้เพียงเล็กน้อย สายตาที่มองไล่หลังจนไกลลิบ จู่ๆรอยยิ้มก็ผุดบนริมฝีปากของต้นธารา

"ยิ้มอะไรน่ะธาร"

ต้นธาราสั่นหัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับความคิดทั้งหมดหยุดลง หัวใจที่เต้นแรงนี่อีก...อยากพบอีกสักครั้ง...เขาอยากพบจริงๆ ความมุ่งมั่นหนึ่งบอก เมื่อกลับจากทัศนศึกษา ต้นธาราก็พยายามถามหาคนที่ชื่อภานุและบอกยศแก่ธีรเดชซึ่งแปลกใจต่อคำถามนั่นพอควร

"จะเอาไปทำอะไรรึ?"

ต้นธาราพยายามจะไม่แสดงอะไรมากนักแต่ก็ไม่พ้นสายตาของธีรเดชจนได้

"เขาเป็นครูฝึกผมเองครับ มีชื่อว่าร้อยเอกภานุ อินทรจันทร์ เขานะมีคู่หมั้นแล้ว อีกไม่นานก็คงแต่งงานกัน"

คำพูดที่เป็นดั่งสายฟ้าฟาด ต้นธารานิ่งงัน รู้สึกทั่วร่างเย็นเฉียบ

"แต่เขาจะย้ายไปที่ค่ายในชายแดนประมาณปีหน้า มีอะไรอยากจะทราบไหมครับ"

ศีรษะได้รูปส่ายไปมา ก่อนจะขอตัว รู้สึกปวดหัวใจ....ขอแลกอะไรก็ได้ที่จะได้พบ ขอแค่อยู่ใกล้ก็พอแล้ว มันจะเป็นได้ไหม ได้ยินอย่างนั้นหัวใจมันช่างห่อเหี่ยวนัก ทำไมถึงได้รู้สึกรุนแรงแบบนี้นะ ต้นธาราพยายามคิดหาคำตอบ นอนอยู่ในห้องเงียบๆครุ่นคิดทั้งคืนในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร เพียงแค่การพบเจอกันครั้งเดียว เหมือนบางอย่างผูกพัน


สิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ เป็นแค่ความฝัน หรือว่าคงอยู่ในโลกแห่งความจริงกัน เป็นเพราะอะไรถึงได้มีความผูกพัน เพราะโชคชะตาอย่างนั้นหรือ หรือเพราะจังหวะหัวใจที่เต้นถี่กัน...เราถึงพบกัน

คำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง


------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-06-2008 21:25:28
แล้วก็มาดันๆ อึบๆ  :oni2: :oni2: รอฉากหวานๆของคุณหมอกะผู้กอง คงอีกไม่นานนะ  :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: hasuzz ที่ 05-06-2008 00:03:20

ทัน


แล้ว



เย้~!
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 05-06-2008 00:36:38
กรี๊ดดดดดดดๆๆๆ พิมมาต่อแย้ว 

มีย้อนหลัง สมัยคุณหมอเรียนด้วย ... ที่แท้ หลงรักผู้กองมาตั้งแต่ ตอนนั้นเลย
อย่างนี้เขาเรียก "รักแรกพบ" หรือเปล่า    :o8:

เพลงเพราะ  รักไม่ได้ เกลียดไม่ลง  อึมๆๆ นั่นสินะ  


 :กอด1:  กอดพิม
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-06-2008 08:26:30
เพลงเข้ากับตอนนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: kana ที่ 05-06-2008 09:19:47
เห็นอดีตแล้วนึกมาถึงปัจจุบัน
เกิดอาการหดหู่เล็กๆน้อยๆถึงปานกลาง :sad2:

เหอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 05-06-2008 11:30:08
เหงา เปล่า เปลี่ยว เดียวดาย

หมอธารนี้คุณหนูตัวจิงนี้หวา

เอิ๊กๆๆ

 :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 05-06-2008 22:00:19
อ่าน แล้ว มัน เศร้า ยังไงม่ารุ

แต่ ก็

 
รอตอนต่อ ไปนะ


 :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-06-2008 22:08:09
อย่าเศร้ากันน้า  แบบว่าน้องเรนคนแต่งซาดิสม์อ่า  แต่งให้มันเศร้าซึมลึก 5555
แต่ฟ้าหลังฝนย่อมมีใช่มะ  อิอิ

ต่อเลยจ้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ห้วงรักเสน่หา ตอนพิเศษ

หนึ่งหน้าในสมุดบันทึก หน้าที่1 : Douceur memoire (sweet memory)

------------------------------------------------


ทรมานทุกครั้งที่ต้องเก็บความรู้สึกนี้ในอก สายตาสีน้ำตาลมองหน้ากระดาษว่างเปล่า...แค่ได้หลอกตัวเองว่ารัก...แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด...

“ผู้กองภานุมีคู่หมั้นแล้ว คิดจะรักเขามันก็เป็นไปไม่ได้หรอก”

ลุงอรุณบอกขณะขึ้นมาเยี่ยมผู้เป็นหลานชายในวันหนึ่ง ต้นธาราถามถึงเรื่องของผู้กองภานุ ท่านก็ใช้คนสืบประวัติให้ ต้นธาราได้ฟังแล้วรู้สึกใจห่อเหี่ยว ดวงหน้าเหม่อลอยนั่นสะดุ้งโหยงเมื่อหน้ากระดาษว่างเปล่าปลิวปะทะมือที่วางทาบทับ

“อยู่ในช่วงสอบยังเหม่ออีก ใช้ไม่ได้เลยเรา”

ต้นธาราบ่นตัวเอง หยิบหนังสือเคมีเล่มโตเข้ามาใกล้ตัว มองมันไม่มีกะจิตกะใจอ่าน ดวงตามองท้องฟ้าสีใส แดดจ้าจนต้องกระพริบเปลือกตาถี่ๆ ภายในลำคอรู้สึกสากระคาย เตรียมลุกขึ้นไปซื้อน้ำที่ซุ้ม มือคล้ำแดดตั้งไว้ให้ก่อน ต้นธาราไล้ตามองกระป๋องน้ำอัดลมเย็นเฉียบจนกระทั่งเห็นรอยยิ้มของธีรเดช

“คุณหนูธารฟิตอ่านหนังสือแบบนี้คงเหนื่อยแย่ พักสักหน่อยนะครับ?”

ว่าที่คุณหมอทรุดนั่ง ยิ้มให้แก่ธีรเดช ทหารในสังกัดของพ่อ

“ธีมารับกลับบ้านหรือ”

รอยยิ้มนุ่มนวลคลี่ออกเป็นคำตอบ มองเสี้ยวหน้าขาวซีดกับเส้นผมนุ่มสลวยตกระเคลียแก้มด้วยความหลงใหล

“คุณหนูธารอยากลับเลยไหมล่ะ”

ต้นธาราส่ายหน้า ตอนนี้ยังไม่อยากกลับหรอกบ้าน เพราะกลับไปก็พบแต่ความว่างเปล่าชวนให้ใจหนาวยะเยือก

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกลับเองก็ได้ ไม่อยากรบกวนธี...อยากอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย ปีสุดท้ายแล้วอยากฟิตให้ได้เกียรตินิยม”

ดวงตาคู่สวยหรี่ลง ธีรเดชเลื่อนมือมากุมมือบุตรชายคนเดียวของนายพลพิภพ

“คุณหนู...เดี๋ยวได้ล้มป่วยไปอีก”

ต้นธารามองมือของธีรเดชก่อนเป็นฝ่ายชักมืออก

“รู้อยู่หรอกน่า”

ดวงตาของธีรเดชหมองลงเมื่อเห็นต้นธาราทำแบบนั้น ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความรู้สึกนั้นออกจากใจ เหลียวมองไดอารี่ เห็นรูปถ่ายบางส่วนโผล่ออกมา ตั้งใจจะเก็บสอดไว้ในไดอารี่ให้เหมือนเดิม หากต้นธาราตะครุบไว้ทัน มองธีรเดชอย่างไม่พอใจนัก การกระทำของต้นธาราทำให้รูปข้างในหล่นออกมา ธีรเดชเห็นคนในรูปถ่ายถนัดชัดตาก็นิ่งอึ้ง เพราะคนๆนั้นเป็นครูฝึกของเขาเอง ต้นธาราใช้ฝ่ามือปกปิดรูปถ่ายเอาไว้ ขุ่นใจที่ธีรเดชเข้ามายุ่ง

“คุณชอบเขา?”

ร่างสูงหลุดปากถาม ต้นธาราไม่ยอมตอบหากใบหน้าก็แดงระเรื่อยืนยันคำพูดได้ดี

“ธาร...เขามีคู่หมั้นแล้วนะและจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้แล้ว”

ธีรเดชเตือน ต้นธาราผงกหัว...เรื่องนั้นก็รู้อยู่หรอก รู้ด้วยว่าคนรักของภานุคือใคร....แต่เขาไม่อาจห้ามความรู้สึกนี้ได้เลย

“คุณก็ยังคิดที่จะรักเขา?”

ต้นธาราไม่ได้ตอบในตอนนั้น ธีรเดชก็ไม่เซ้าซี้...ปล่อยให้ต้นธาราหล่อเลี้ยงความรักของตัวเองที่มีต่อผู้กองหนุ่ม และธีรเดชก็ได้รู้ในตอนที่สายเกินไปว่าความรู้สึกของต้นธารานั่นลึกซึ้งกว่าที่คาด

------------------------------------------------

ต้นธาราวางกระเป๋าลงบนพื้นสีแดง ศีรษะเปื้อนฝุ่น เหนียวหนึบไปทั่วตัวเพราะอากาศร้อนระอุ เหงื่อไหลท่วมหน้า ทั้งๆที่มีเฮลิคอปเตอร์มาส่งแล้วแท้ๆ แต่ต้นธาราก็ยังรู้สึกปวดมวนในช่องท้อง...ความพยายามของเขาประสบผลแล้ว พอเรียนจบ ก็มีคำสั่งด่วนให้ภานุย้ายตำแหน่งไปช่วยที่ชายแดน ต้นธารารู้ข่าวรีบทำเรื่องขอเป็นแพทย์อาสาทันที เขารอข่าวด้วยใจจดใจจ่อ ตื่นเต้นกลัวความผิดหวัง กลัวทุกๆอย่าง ต้นธาราปาดเหงื่อออกจากหน้า มองนาฬิกาเป็นเวลาบ่ายสองแล้ว เขาถือกระเป๋าเดินเข้าไปในค่ายเงียบสงบ ทหารเฝ้าประตูค่ายเข้ามาถาม ต้นธารายื่นจดหมายให้ ยามรักษาการณ์ผู้นั้นทำความเคารพ ต้นธารายิ้มตอบ ก่อนขอร้องให้นำทางไปพบกับหัวหน้าค่ายเล็กๆแห่งนี้ ธงโบกสะบัด ตัวโรงพยาบาลเล็กๆแทรกตัวกลางขุนเขา ต้นธาราเข้าไปภายในอาคารสร้างจากไม้ทั้งหลัง ภายในนั้นสงบเงียบ เขาทรุดนั่งรอคอยให้ผู้พันมีทรัพย์ทำธุระของท่านให้เสร็จก่อน มองไปรอบๆค่าย ลมพัดเย็นสบาย โต๊ะทำงานก็ไร้ผู้คน ระหว่างนั่งเหม่อว่าจะได้จอผู้กองภานุหรือไม่ เสียงฝีเท้าหนักๆย้ำพื้นไม้ ต้นธาราช้อนสายมอง ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าแย้มยิ้มเป็นมิตรชะงักเมื่อต้นธาราสบสายตาด้วย

“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

ต้นธารามองชายแปลกหน้าแต่งชุดครึ่งท่อน ก่อนยิ้มตอบ

“ผมเป็นหมอคนใหม่ครับที่จะมาประจำที่นี่”

ชายคนนั้นนิ่งไปชั่วขณะเมื่อได้ฟังน้ำเสียงรื่นหู ชายผู้นั้นผงกหัว ดูเก้อเขินขึ้นมาทันใด

“คงรอผู้พันสินะครับ”

ต้นธาราผงกหัว ชายผู้นั้นเดินไปยังเคาน์เตอร์ ก่อนออกมาพร้อมกับแก้วน้ำดื่ม

“เอ่อ...ขอบคุณ แค่นี้เองคงไม่ต้องก็ได้”

ต้นธารารู้สึกเกรงใจที่ให้คนแปลกหน้ามาต้อนรับเช่นนี้

“ดูท่าทางคุณคงเดินทางมาเหนื่อย ดื่มสักนิดเถอะ”

เมื่อถูกคะยั้นคะยอ มือขาวซีดหยิบแก้วน้ำดื่มรวดเดียวจนหมด ชายผู้นั้นยิ้มน้อยๆ

“ผม...ร้อยเอกนาคีครับคุณหมอ...”

ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง ต้นธาราจึงแนะนำตัวเองบ้าง

“ต้นธาราครับ มาเป็นหมอที่ค่ายนี้ คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัว”

ดูเหมือนร้อยเอกนาคีเต็มอกเต็มใจ ยิ้มกว้างมากขึ้น

“คนภายในค่ายนี้ใจดี คุณหมอไม่ต้องห่วง”

“แล้วคุณหมอย้ายมาจากที่ไหนครับ”นาคีชวนคุย

“ก็มาจากกรุงเทพแหละครับแล้ว เอ่อ...ผู้กองล่ะครับ?”ต้นธาราย้อนถามบ้าง

“ผมมาจากเชียงรายครับ มาประจำการอยู่ที่นี่ก็หกเดือนแล้ว”

ระหว่างพูดคุยด้วยความสนุกสนาน เสียงกระแอมดังขึ้น

“เฮ้ย...ไอ้นาคีมันหายหัวไปไหนวะ”

ต้นธาราหันมองน้ำเสียงหงุดหงิดหากต้องตื่นตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ในความทรงจำเสมอมา เท้าเอว ดูท่าทางโมโห นาคีลุกขึ้นทันที

“แกเรียกอะไรอีกวะไอ้ภานุ เห็นไหมว่าข้ากำลังต้อนรับแขกอยู่นะเว้ย”

ภานุหันมอง ‘แขก’ที่นาคีเอ่ย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ต้นธาราใจเต้นแรง รู้สึกเก้อเขินโดยไม่มีสาเหตุ ไม่รู้จะเเสดงสีหน้าเช่นไรออกไปดี สายตาจริงจังตวัดมองเพื่อนสนิท

“แกอู้ล่ะสิ...หน็อย บอกให้ช่วยขนอาวุธเข้าคลังแสงดันหนีมาเฉย”

ภานุตวาด ใบหน้าดุๆเหน็ดเหนื่อย นาคียิ้มระรื่น

“ก็เอ็งดันโง่เองนี่หว่าถูกข้าตุ๋นจนเปื่อย”

ภานุกำมือแน่น ก่อนจะสงบอารมณ์ขุ่นมัว

“เออ...ถึงเวรแกเมื่อไรก็อย่าเรียกกันแล้วกัน”

นาคีหัวเราะ ลืมสนิทว่ามีใครอีกคนอยู่ภายในห้องนี้ด้วย ต้นธารามองความสัมพันธ์ระหว่าคนทั้งคู่แล้วนึกอิจฉา

“แล้วนั่นใครวะ ญาติข้างไหนของเอ็ง”

ภานุไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย คนที่พยายามฝืนยิ้มทำหน้าจืดๆ

“ผมต้นธาราครับ เป็นหมอที่จะมาประจำอยู่ที่นี่”

นายทหารหนุ่มร้องอ้อ

“ที่ลือๆกันน่ะรึ...คุณเนี่ยนะเป็นหมออาสา”

ภานุถามมองใบหน้าอ่อนวัยอย่างไม่เชื่อถือสักเท่าไร ต้นธารายิ้มเพราะรู้ดีว่าใครๆต้องเข้าใจผิดเรื่องอายุแน่ๆ

“เพิ่งจบใหม่รึ”

ต้นธาราได้แต่สั่นหัว ไม่ยอมชี้แจงอะไร

“เฮ้ย เซ้าซี้อยู่ได้ ปล่อยให้เขาไปพบผู้พันได้แล้ว”

นาคีเตือนเมื่อเห็นผู้พันอ้วนพุงพลุ้ยเดินออกมา

“ผู้พันครับ คุณหมอที่มาประจำค่ายเรามารายงานตัวแล้ว”

นาคีเอ่ยด้วยความเริงร่า ผู้พันมีทรัพย์มองต้นธารา นิ่งไปสักพัก

“คุณน่ะหรือคุณหมอต้นธารา?”น้ำเสียงท่านไม่แน่ใจนัก จนต้นธาราต้องสำทับ

“ครับ...ผมนี่แหละต้นธารา”

ดวงตาของผู้พันมองประวัติสลับกับใบหน้าอ่อนกว่าอายุอย่างอึ้งๆ

“เอ่อ..งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”

ท่าทีของผู้พันเรียกความสนใจของสองหนุ่ม ต้นธาราเดินตามผู้พันไป เมื่ออยู่ตามลำพังผู้พันเอ่ยอย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก

“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นศัลยแพทย์มือดี”

ต้นธารายิ้ม ไม่เสริมอะไรทั้งนั้น

“คุณไม่น่าย้ายตัวเองออกจากงานดีๆมายังค่ายทุรกันดารแห่งนี้เลย”ผู้พันบ่น ไม่เข้าใจกับความคิดและการตัดสินใจ

“ผมไม่ชอบอยู่ในเมือง อีกอย่างทำงานที่นี่สบายใจกว่า”เขาตอบสั้นๆ

ผู้พันก้มเซนต์เอกสารรับทราบการมาถึงของต้นธารา

“น่าเสียดาย...อนาคตของคุณหมอน่าจะไปได้ไกลกว่านี้แท้ๆ”

ถึงไม่บอกต้นธารารู้... แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้วก็คงต้องเดินหน้าต่อไป

“บ้านพักของคุณหมออยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร แล้วที่ทำงานก็อยู่ตรงโน้น”

ผู้พันชี้ไปทางธงวาดกากบาทลงบนพื้นสีขาว ต้นธารามองตาม

“คุณหมอคงเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวให้คนช่วยยกกระเป๋าไปเก็บ”

ผู้พันออกไปเรียกนาคีและภานุช่วยขนของของคุณหมอ ผู้กองแสนร่าเริงยินดีช่วยเต็มที่ ส่วนภานุนั้นติดจะบึ้งๆที่มารับใช้คนอายุดูอ่อนกว่าต้นธาราเดินตามร่างสูงใหญ่ สายตาจับจ้องแผ่นหลังของภานุไม่วางตา

...แผ่นหลังที่เขาคิดถึงเสมอ...

“คุณหมอหน้าตาอ๊อน อ่อน”นาคีเอ่ย ต้นธารายิ้มแหยๆกับคำทักนั้น “คุณหมอเพิ่งจบใช่ไหมครับ”

“เอ่อ...ก็จบได้ปีหนึ่งแล้ว”ต้นธาราตอบคำถามแล้วก็นิ่งเงียบ

“งั้นคุณหมอก็เก่งน่าดูสิ”นาคีชวนคุย ต้นธาราก็ตอบไปด้วยรอยยิ้ม

“ผมก็ฝีมือธรรมดาๆแหละครับ”

ขณะพูดดวงตาคมก็จับจ้องเสมอ

“คุณหมอก็ถ่อมตัวไป”

ทั้งสามเดินไปยังกระท่อมหลังน้อย ฝ่ายนาคีก็จ้อไม่หยุดปาก

“บ้านพักของผู้กองอยู่ที่ไหนครับ”

ต้นธาราถือโอกาสแทรกขึ้น นึกน้อยใจที่ภานุไม่เอื้อยเอ่ยกับเขาเลย

“อ้อ...ผมพักภายในค่ายนี่ล่ะ แต่บ้านก็เจ้าภานุอยู่ตรงชายป่าโน้น”

มองมือของนาคี ต้นธารามองเห็นแต่แมกไม้กับหลังคามุงด้วยสังกะสีปรากฏออกมา

“ตรงนั้นเป็นคลังแสงเอาไว้เก็บอาวุธ บ้านของผมอยู่ถัดไปจากนั้น”

ภานุตอบห้วนๆ ต้นธาราผงกหัวตอบรับคำพูด แอบดีใจเล็กๆที่ชายหนุ่มยอมพูดด้วย

“วางของไว้ไหนดีครับ”

นาคีเข้ามาขัด ต้นธารามองดูห้องของตัวเอง สร้างจากไม้ไผ่ล้วนๆ ชี้ไปบนเตียง เอ่ยขอบคุณ ชายหนุ่มทั้งสองคน

“ไม่เป็นไรคร้าบ ผมเต็มใจช่วยเสมอ”

ต้นธารายิ้มน้อยๆ นาคีมองถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อเจอรอยยิ้มของต้นธารา

“เฮ้ย...เสร็จแล้วก็ลงไป เกะกะคุณหมอเขา”

ภานุไล่เมื่อเห็นเจ้าเพื่อนรักชักจะเล่นหัวกับคุณหมอผู้เพิ่งรู้จักกันไม่นาน

“งั้นก็ขอตัวนะครับ”

นาคีรีบเผ่นลงจากกระท่อม ต้นธาราอยากรั้งไว้หากต้องนิ่ง เก็บอาการเอาไว้

“มีอะไรอีกหรือ?”น้ำสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรครับ”ต้นธารานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ย “ผมคิดว่าผู้กองไม่ชอบใจผมเสียอีก”เล่นถามตรงๆ

ผู้กองหนุ่มอึ้งไป

“ทำไมคุณถึงคิดอย่างงั้นล่ะ”ภานุถามเรียบๆ

“ก็เห็นท่าทางคุณดูไม่พอใจแถมหงุดหงิด”ต้นธาราอธิบาย รู้สึกขัดเขินเมื่ออยู่กันเเค่สองคน

รอยยิ้มตรงมุมปากผุดขึ้น“มันต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือครับ สำหรับคนรู้จักกันครั้งแรก?”ภานุย้อน

ฝ่ายต้นธารานิ่งเงียบ

“จริงสิ...งั้นผมก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ผู้กองเสียเวลา”ต้นธาราเอ่ยแก้ขวย

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยนี่ คุณหมอไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย”

ภานุตอบเรียบเฉย ดวงตาคมๆ ดุๆ จ้องมองมา ต้นธาราพยายามหักห้ามตัวเองไม่ให้เเสดงความรู้สึกออกไปจนเกินงาม

“หากไม่มีอะไรขอให้คุณหมอพักตามสบาย เรื่องกับข้าวกับปลาถ้าไม่มีใครเรียกไปกินมากินบ้านผมก็ได้”

พูดจบก็หันหลังก้าวฉับๆลงจากที่พักของต้นธาราไปอีกคน ดวงตาสีน้ำตาลได้แต่มอง

...ตามไปแล้ว ลูกจะได้อะไร พ่อถามหน่อย มันจำลูกได้หรือ แน่ใจแล้วใช่ไหมที่ลูกกล้าทิ้งอนาคตของตัวเองเพื่อความรักที่ไม่เกิดประโยชน์นั่น?...

ต้นธารายกมือกุมหน้าอก...มันคงจะเป็นเหมือนอย่างที่พ่อพูดจริงๆหรือ...เขาคงทำเรื่องโง่เง่ามากสินะ แต่เขาก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกนี้ได้อีกแล้ว ทุกเศษเสี้ยวหัวใจมันบรรจุชายที่ชื่อภานุไว้จนเต็มเปี่ยม....ผูกพันด้วยคำว่ารักแรกพบ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-06-2008 22:11:38
ตกเย็นคนมาเรียกไปทานข้าวคือผู้กองนาคี ต้นธาราลุกจากเตียงด้วยอาการงัวเงีย รู้สึกถึงมือหนาเกลี่ยเส้นผมสีอ่อน เบามือ...ต้นธาราเพิ่งตื่นจากความฝันละเมอเบาๆ

“อื้ม...ผู้กองภานุ”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลงเมื่อสัมผัสจากมือหนาชะงักไป ลุกขึ้นมองใบหน้าของผู้กองนาคี อึกอักในลำคอ

“เอ่อ...มีธุระอะไรหรือเปล่า ผมนี่ก็แย่หลับเพลินเลย”

พูดไปก็หัวเราะแห้งๆ ผู้กองนาคีเงียบไปก่อนจะยิ้มเหมือนเดิม

“ผมมาเรียกคุณหมอไปทานข้าว”

ท่าทีนาคีดูหงอยๆ ต้นธาราไม่เข้าใจอาการนั่น ลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนเดินตาม แผ่นหลังดูอ้างว้าง ยิ่งสร้างความงุนงงให้แก่ต้นธารา เดินไปยังวงเหล้าตั้งด้วยเหล้าป่าพร้อมอาหารพื้นบ้าน ผู้พันมีทรัพย์บอกว่าเป็นการจัดเลี้ยงต้อนรับคุณหมอคนใหม่ ต้นธารามองทหารทุกคนดื่มเหล้าราวกับน้ำเปล่า เสียงอ้อแอ้สรวลเฮฮาดังจากปากเหล่าขี้เมา

ต้นธารานั่งใกล้ผู้กองนาคีที่ทำหน้านิ่งอยู่ตลอด เหล้าเทใส่จอกจนล้นปรี่ ใสเป็นตาตั๊กแตน ต้นธาราพอรู้มาบ้างว่าเหล้าป่ารสร้อนแรง เขาก็พยายามปฏิเสธก็ถูกคะยั้นคะยอ เมื่อไม่อาจต้านทานได้จึงดื่มจนหมดจอกรวดเดียว เสียงปรบมือดังขึ้น พร้อมเสียงเชียร์ ต้นธารารู้สึกร้อนวูบวาบในท้อง ใบหน้าขาวแดงก่ำ

“ผม...พอแล้วครับ ดื่มได้แค่แก้วเดียวเท่านั้น”เสียงเริ่มจะอ้อแอ้ พยายามดันจอกเหล้าห่างจากตัว แทบทนใจอ่อนไม่ได้ รับมาอีกแก้วมือหนายิ้มออกเสียก่อน คนช่วยคือผู้กองนาคี ต้นธารายิ้มหวาน ดวงตาฉ่ำเยิ้ม

“คุณหมอแกทน...”

ยังไม่ทันพูดจบต้นธาราก็ฝุ่บไป สายตาของผู้กองภานุมองอย่างเฉยชา นั่งดื่มต่อ ไม่สนใจคนคออ่อน นาคีถอนใจ

“เดี๋ยวผมพาคุณหมอไปส่งก่อนนะครับ”

พยุงคนเมาลุกขึ้น ต้นธาราครางในลำคอ รู้สึกพะอืดพะอมชอบกล ออกมาพ้นวงสังสรรค์ ต้นธาราล้มแผละ เดินต่อไปไม่ไหว

“อยากอ้วก...”

เสียงแผ่วๆกล่าว มือหนาลูบหลัง

“ใจเย็นครับ รอไปถึงบ้านพักก่อนดีไหม?”

คนเมาผงกหัว รู้สึกว่าโลกทั้งโลกหมุนคว้าง มือหนาสอดเข้าไปใต้เเขนก่อนอุ้มขึ้น

“อา...ไร”

พยายามจะถามแต่รู้สึกอยากจะอ้วกจึงปิดปากแน่น นาคีกระชับร่างต้นธาราแน่น เอามืออ่อนปวกเปียกคล้องคอ ดวงหน้าขาวซุกแผ่นอก กลิ่นเหงื่ออวลจางๆ นาคียิ้มอ่อนๆ ค่อยๆวางร่างของคุณหมอลงบนเตียงแผ่วเบา ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ลุกขึ้นเตรียมผ้าเช็ดตัว เสียงกุกๆกักๆส่งผลให้ต้นธาราลืมตาขึ้น นาคีหันมองยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาพร่ามัว รู้สึกถึงน้ำตาคลอหน่วย

“ผมจะเช็ดตัวให้ คุณหมอจะได้นอนสบาย”

ต้นธาราไม่ตอบ สัมผัสเย็นชืดแตะผิวแก้ม คุณหมอหลับตาพริ้ม ในหัวเบาโหวง

“รู้สึกอยากอาเจียนไหม?”

คุณหมอสั่นหัวไม่ยอมตอบ นาคีแนบริมฝีปากลงบนหน้าผาก สัมผัสแผ่วเบาดุจขนนก ดวงตาหลับพริ้ม รู้สึกเจ็บที่อก...ผู้ที่ขึ้นมาตามหลังมองเห็นทุกๆฉาก ถอยไปเงียบๆ...ซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดขึ้นในใจ

------------------------------------------------

...ฝันหวานเพียงครั้งเดียว หัวใจต้องแลกกับการสูญเสีย...หากย้อนไปได้...ต้นธาราคงเลือกผู้กองนาคี...แทนที่จะเจ็บปวดใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!...


------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 05-06-2008 22:50:50
 :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

รักแรกพบเจอ  :o8:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-06-2008 08:42:34
สงสารผู้กองนาคี
กาซิก กาซิก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 06-06-2008 09:29:48
ดันนนนนนน สุดแรงเกิด  คึคึ o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: hasuzz ที่ 06-06-2008 23:14:58
คนที่ตามมาเห็นคือผู้กองภาณุสินะ
เพราะอย่างนี้ถึงเย็นชากับคุณหมอใช่ใหม่

ฮือออออ  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-06-2008 21:12:47
ห้วงรักเสน่หา ตอนพิเศษ

หนึ่งหน้าในสมุดบันทึก(จบตอนพิเศษ)

L'amour,Le chagrin,La passion

(Love,Sorrowful,Passion)


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2B04GGAPD&Autoplay=1

------------------------------------------------


เพราะได้แต่มอง...เก็บความคำนึงเอาไว้ในใจอยู่เงียบๆ แม้จะเศร้าสักเพียงไหนก็ต้องยิ้ม สำหรับเขาก็คงได้แค่นี้ละมั้ง


ต้นธาราลืมตาตื่นหยาดน้ำตาคลอ ภายในหัวปวดหนึบราวกับมีมีอะไรอยู่ภายใน ได้แต่นอนนิ่งๆ มองเพดานห้องพักด้วยสายตาพร่าพราย กระพริบตาถี่ๆเอี้ยวคอมองเห็นร่างของใครบางคนพิงประตูบ้าน นอนคอพับคออ่อน คุณหมอใหม่หมาดๆรีบลุกทันใด

“ผู้กอง!”

ต้นธาราอุทานเสียงแผ่ว กุมขมับเอาไว้เพราะเวียนศีรษะ ปรับร่างกายสักระยะ ยันกายเพื่อเหวี่ยงตัวเองลงจากเตียง มือข้างหนึ่งลากผ้าห่มกองบนพื้นไม้ คุณหมอไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกขึ้น เสียงดังปลุกให้ผู้กองนาคีลืมตาตื่น ตกใจที่เห็นคุณหมอกองอยู่บนพื้นเสียแล้ว

“คุณหมอนอนดีกว่าครับอย่าเพิ่งลุกเลย”

น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าว ต้นธารายิ้มแห้งๆ มือสั่นระริกยามจับลำแขนชายหนุ่มเป็นตัวพยุงให้ลุกขึ้น

“เมื่อคืนคุณหมอซัดเหล้าแรง ทั้งๆที่คออ่อนแท้ๆ”นาคีบอก

คุณหมอเริ่มจำได้เลาๆแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“ผู้กองพาผมมาหรือครับ”

น้ำเสียงหลุดลอดจากลำคอช่างแหบแห้ง ผู้กองนาคียิ้ม ค่อยๆประคองร่างบอบบางทรุดนั่งขอบเตียง นาคียื่นแก้วน้ำให้คุณหมอ ต้นธาราดื่มจนหมด

“ขอบคุณ ผมทำให้ผู้กองเดือดร้อนจริงๆ”ต้นธาราพึมพำขอโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

รอยยิ้มชวนให้อุ่นใจ ต้นธาราแม้อึดอัดและเกรงใจรู้สึกดีที่ผู้กองอ่อนโยนต่อเขาซึ่งเป็นแพทย์อาสาคนใหม่

“อ่า...ยังไงก็นอนพักนะครับ รุ่งเช้าผมจะเอายาสร่างเมามาให้รับรองกรึ๊บเดียวได้ผล”นาคีบอก

ต้นธาราขอบคุณสำหรับยา ผู้กองมองใบหน้าขาวซีดชั่วครู่อย่างนึกห่วงก่อนตัดใจลงจากเรือนพัก ทิ้งให้ต้นธารากุมหน้าอกแน่น ทุกข์ทรมานอยู่กับอาการเมา คุณหมอผะอืดผะอมทรุดอยู่กับเตียงทันที สิ้นสติไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

------------------------------------------------

รุ่งเช้าต้นธาราตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อย หน้าผากมีผ้าประคบไว้ แถมเสื้อผ้ายังเป็นตัวใหม่ คุณหมอไม่เข้าใจ พยายามระลึกถึงเหตุการณ์ หลังจากที่สลบไปก็นึกอะไรไม่ออก อยากรู้ว่าใครจัดการกันแน่ ตัวเขาเองช่างอ่อนแอเหลือเกิน

“โชคดีจังที่คุณไม่เป็นอะไรมาก”

ต้นธารามองตามเสียง เห็นร่างกายสูงใหญ่ของภานุยืนค้ำร่างเหนือเตียง คุณหมอเบิกตากว้างพยายามฝืนยิ้ม

“เจ้านาคีมันฝากผมดูแลหมอ ตอนนี้มันกำลังเข้าเวรอยู่ เมื่อคืนเจ้านาคีสังหรณ์ใจว่าคุณหมอคงอาการแย่แน่ๆจึงย้อนกลับมาดูอีกครั้ง เห็นคุณสลบอยู่ก็เลย...”ภานุเงียบไป

ต้นธาราทำหน้าเป็นการบอกเข้าใจ ผู้กองหนุ่มก้มมองพิศอยู่นาน ไม่ยอมพูดอะไรจนผู้มองหัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด

“เจ้านาคีคงมาแล้วมั้ง”

ภานุมองนาฬิกา ท่าทางอยากออกไปเสียเต็มประดา ต้นธาราเสียดาย พอภานุพูดจบร่างสูงใหญ่ของนาคีโผล่ขึ้นมาทันใดพร้อมกับถุงกับข้าว

“ขอบใจโว้ยไอ้เพื่อนรักที่อยู่ดูแลคุณหมอให้ชั่วคราว”

นาคีตะโกน ภานุเพียงโคลงศรีษะไปแกนๆ ลงไปข้างล่างเมื่อมีคนมาเปลี่ยนเวรเฝ้า นาคีเข้ามาภายในบ้านพักของต้นธาราราวกับเป็นเจ้าของ รอยยิ้มอ่อนโยนระบายเต็มสีหน้าผิดกับภานุที่บึ้งตึงคล้ายถูกบังคับให้รับผิดชอบงานที่ไม่ต้องการ

“สงสารคุณหมอ แกมาอยู่นี่ไม่รู้อะไรเลย”

ภานุได้แต่รับฟังแล้วเออออด้วย เจ้านาคีชวนกินข้าวด้วยหากชายหนุ่มปฏิเสธไป ร้อยเอกภานุไม่รู้เลยว่าสายตาคู่หนึ่งไล่ตาม นาคีสังเกตเห็นกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากยากเย็น เพราะสายตาที่มองแผ่นหลังแกร่งเป็นสายตา ล้ำลึกและอาลัย!

“คุณหมอ....”

นาคีเรียกเสียงแผ่ว ต้นธาราช้อนสายตามอง ร่างสูงใหญ่ขยับกายเข้าใกล้ทรุดลงข้างๆแตะศีรษะร้อนรุ่มๆด้วยพิษไข้

“แย่เลย....”คุณหมอหมาดๆพูดอุบอิบ วันแรกก็ปฏิบัติงานไม่ได้เสียแล้ว

“ผมแจ้งไปทางโรงพยาบาลแล้วครับ ไม่ต้องห่วง คุณหมอดูแลสุขภาพตัวเองก่อนเถอะครับ”นาคีบอก แกะถุงกับข้าวเทใส่จานที่เตรียมมาให้คุณหมอโดยเฉพาะ

“ทานข้าวเถอะครับ แล้วค่อยทานยา”

ต้นธาราส่ายหน้าบอกว่าไม่อยากทานอะไรทั้งนั้นหากผู้กองนาคีขู่บังคับ คุณหมอคนใหม่จำต้องลุกขึ้นรับถ้วยข้าว หากชายหนุ่มไม่ยอมส่งให้กลับป้อนถึงปาก

“อย่าเลยครับ ผมทานเองดีกว่า แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่”ต้นธาราบอกเสียงอ่อนเบา

นาคีส่งสายตาดุๆ ส่งช้อนตักข้าวป้อนเข้าปากคนป่วย ต้นธาราจำต้องกลืนเพราะสีหน้าของผู้กองฉายถึงความสุข ซึ่งมันสร้างความหนักหน่วงในหัวใจ!

------------------------------------------------

การที่ต้นธาราคุ้นกับค่ายได้ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้กองนาคีช่วยเหลือ คุณหมอตั้งใจทำงานด้วยความขยัน วันเวลาที่ผ่านไปเชื่องช้า...เขาก็ไม่อาจสร้างความสนิทสนมกับคนที่ใจฝันใฝ่ถึงได้...คนนั้นมองเขาเหมือนไม่มีตัวตน...ไม่เห็นค่ารึความสำคัญใดๆ...แม้เขาจะเป็นฝ่ายไล่ตามมาตลอดเวลา

“คุณหมอทำงานเสร็จยังครับ”

ผู้กองนาคีที่มักโผล่หน้ามาให้เห็นบ่อยครั้ง แม้ต้นธารายินดี แต่ลึกๆแล้วอดคะนึงหาร่างสูงใหญ่ของภานุไม่ได้ รอยยิ้มมอบให้อ่อนโยน นาคีมองเพลิน

“แหม...โผล่มาได้เกือบทุกวันเลยนะคะ”

คุณหมอมาริสากล่าวแซวซึ่งผู้กองนาคีมักหัวเราะแก้เขินทุกครั้งไป

“ผมมาเฝ้าอารักขาเดี๋ยวเกิดเหตุร้ายกับโรงพยาบาลของชุมชนครับ”ชายหนุ่มมักพูดเล่นซึ่งเรียกรอยยิ้มได้เสมอๆ

“ผู้กองมาที่นี่บ่อยๆไม่กระทบถึงงานเหรอครับ”ต้นธาราถาม รวบรวมเอกสารงานลงซองสีน้ำตาล

“ผมทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ อันไหนพอจะฝากเจ้าภานุได้ก็โบ้ยเสีย”

พอพูดถึงชื่อที่ทำให้ใจไหวหวั่น ต้นธาราหรุบตาลงทันใด

“แล้วผู้กองภานุไม่บ่นหรือครับ”

เรียกขานชื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้น้ำเสียงเรียกขานมันเจือความคะนึงหาปานใด ต้นธารารอฟัง นาคีจ้องตาของคุณหมอเนิ่นนาน

“รายนั้นบ้างานยังกับอะไรดี”นาคีบอก ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทมานานจึงทำให้รู้นิสัยกันดี

คุณหมอได้ฟังยิ้มกับตัวตนของภานุ นาคีปวดแปลบเหลือเกิน เหมือนมองภาพบาดตาบาดใจ

“คุณหมอมาริสากับคุณหมอต้นธาราจะกลับเลยไหมครับ ผมจะไปส่ง”

ต้นธารายกมือปฏิเสธบอกว่าตัวเองติดเวรต้องอยู่โยงที่โรงพยาบาล นาคีจึงไปส่งคุณหมอมาริสา คงเหลือแต่ต้นธารานั่งในห้องทำงาน ดึกแล้วทั่วทั้งตึกเล็กๆเงียบสงบจนได้ยินเสียงลานนาฬิกา คุณหมอก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับงานที่ค้างไว้ นานๆทีจะเงยหน้าขึ้นมาสักครั้ง แสงไฟตรงหัวโต๊ะสะท้อนใบหน้าจนดูละมุนตา ต้นธาราทำปากกาตกก้มลงเก็บเงยหน้าขึ้นแล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะร่างของผู้กองภานุเป็นเงาทะมึนกลืนในความมืด

“เดี๋ยวก็ได้สายตาเสีย”ผู้กองหนุ่มว่า

ต้นธารามือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกเลย เมื่อเผชิญหน้า “รักแรกพบ”โดยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ

“เป็นปกติครับ อยู่คนเดียวไม่รู้จะเปิดไฟให้เปลืองงบรัฐบาลทำไม”

คุณหมอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ภานุกอดอก ยกเก้าอี้มานั่งใกล้ๆต้นธารา

“ยังไม่กลับอีกหรือ? ดึกแล้วนะ”ภานุเตือนด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น

ต้นธารารับฟังเงียบๆจดจ่ออยู่กับงานให้มากที่สุด หากความจริง หัวใจมันกลับเต้นผิดจังหวะ

“งานผมเสร็จ ผมก็กลับ”

ไม่รู้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกจะสั่นเครือขนาดไหน ภานุกอดอก มองแผ่นหลังบอบบางตั้งใจทำงาน

“ถึงจะติดเวรขนาดไหนก็ไม่น่าอยู่ดึกป่านนี้ ตอนนี้กำลังมีเรื่องกองโจร ไม่รู้ว่ามันจะบุกมาตอนไหน ทางที่ดีคุณหมอรีบกลับดีกว่า งานเอาไปทำที่บ้านพักก็ได้ ที่นั่นปลอดภัยเพราะใกล้กับค่าย”ภานุเตือน แววตาจริงจัง

ต้นธาราวางปากกาลง ถอดแว่นออกจ้องภานุเขม็ง

“ครับ...แต่คนป่วยก็อาจมาตอนไหนก็ได้ หมอไม่อยู่จะทำอย่างไร?”ย้อนถาม

ภานุไม่ตอบ มองจมูกรั้นๆ แก้มขาวสะท้อนแสงไฟทำให้ดูซีดเผือดกว่าที่เห็น

“ดูเป็นคนดื้อเหลือเกิน”ภานุพึมพำ

คุณหมอขมวดคิ้ว

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรหรือเปล่า?”

ภานุปฏิเสธเสียงสูง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองแผ่นหลังบอบบางทำงานเพลิดเพลิน

“ไม่ต้องรอก็ได้กระมัง”

ต้นธาราหันมาเพราะอึดอัดต่อสายตาคมจับจ้อง หากภานุยังนิ่งเฉย

“ผมไปส่งดีกว่า”

คนดึงดันรั้งจะอยู่ต่อ ต้นธาราวางแฟ้มงานลง เตรียมจัดเก็บ หากขณะเอาแฟ้มเข้าตู้ เสียงร่าเริงของผู้กองนาคีดังแว่วมาก่อนเจ้าตัวจะโผล่หน้ามา

“คุณหมอเสร็จงานยังครับ ผมมารับแล้...”

ชายหนุ่มชะงักเมื่อพบว่าใครอีกคนอยู่ในห้อง ภานุทักทายเพื่อนสนิทโดยการพยักหน้า

“เฮ้ย....ลาดตะเวนเสร็จไม่กลับไปนอนวะไอ้เสือ”

“เห็นไฟในโรงพยาบาลเปิดอยู่เลยมาดู คิดว่าเป็นคุณหมอมาริสาเสียอีก”

คำตอบของภานุส่งผลให้ต้นธารากลืนน้ำลาย มือกำปากกาแน่น

“ไปส่งเธอแล้ว”

นาคีเดินเข้ามาใกล้โต๊ะของคุณหมอหนุ่ม

“ปกติถ้าหมอมาริสาอยู่เวรดึกพวกผมจะผลัดกันมารับเธอไปส่งที่บ้านพักน่ะครับ เป็นคำสั่งของผู้พัน”

ต้นธาราเข้าใจเพราะคุณหมอมาริสาเป็นแพทย์หญิงเพียงคนเดียวของที่นี่ อีกอย่างการอยู่เวรแต่ละครั้งต้องอยู่ดึกดื่น หากกลับบ้านพักในยามราตรีคงอันตรายน่าดู

“แล้วเอ็งมารับคุณหมอต้นธารารึไอ้เสือ”นาคีหันมาทางภานุ หากเพื่อเกลอลุกขึ้นหนี

“มีคนมารับแล้วกันก็กลับซีวะ บ้านอยู่ไกลกว่าบ้านแกโว้ย”

ภานุตอบ พลางลุกขึ้นมอบหมายหน้าที่ดูแลคุณหมอให้เจ้านาคี พอภานุออกไป ต้นธาราพรูลมหายใจ...ความรู้สึกเหมือนถูกกดดันทางสายตาหายไปเมื่อคนจับจ้องไม่อยู่

“กลัวเจ้าภานุมันเหรอครับ?...” นาคีถามลอยเมื่อเห็นกิริยานั้น ต้นธาราส่ายหัวปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้บอกไปว่าเพราะอะไรถึงมีท่าทีเหมือนอึดอัดต่อการปรากฏตัวของผู้กองภานุ


“งั้นเหรอครับ เจ้าภานุทำอะไรก็จริงจัง ดุดัน ทำหน้าตายังกับโจรแบบนั้น แถมยังเป็นไอ้เสือยิ้มยากอีก ใครเจอมันครั้งแรกก็หวาดๆไปเหมือนกัน”

ต้นธาราหัวเราะเบาๆ

“ทั้งๆที่เป็นเพื่อนสนิทกันแท้ๆ”

ดวงตาของนาคีจับจ้องร่างคุณหมอเนิ่นนาน จนคนมองสะท้านในหัวใจ

“ผมเสร็จงานแล้ว...”

ต้นธาราหันมองงานแทนที่จะสบดวงตาคู่นั้น นาคีช่วยเก็บข้าวของชิดใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ

“คุณหมอจะทำงานที่นี่ตลอดไปไหมครับ?”

ต้นธาราเงยหน้ามองผู้ที่เอ่ยถาม นิ่งไปพักใหญ่ก่อนตอบไป

“ก็อาจจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะถูกเรียกตัวกลับ”

ดวงตาสีน้ำตาลซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้...เหมือนอาวรณ์เมื่อคิดว่าตัวเองจะได้จากไปโดยไม่มี “เงา” ตัวเองประทับในหัวใจของ “คนๆนั้น” มือหนาถือวิสาสะยกแตะแก้มซีดขาวดันขึ้นเล็กน้อย แรกๆคุณหมอขัดขืนทว่านิ่งไปเมื่อสายตาอีกฝ่ายตัดพ้อ

“หน้าคุณหมอซีดตลอดเวลาเลย พักผ่อนบ้างหรือเปล่าครับ”

ต้นธาราเบี่ยงใบหน้าออกจากการเกาะกุม ตอบโดยการหันหน้าไปทางอื่นซ่อนรอยแดงฉานเอาไว้

“ครับ...”

นาคีรู้สึกผิดเมื่อทำให้คุณหมอกลัว ชายหนุ่มจึงเอ่ยขอโทษ ซึ่งต้นธาราไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ผู้กองหนุ่มช่วยเก็บของเดินคู่กันเงียบๆ

“ไม่คาดคิดเลยว่าคนอย่างคุณหมอจะอยู่ที่นี่”นาคีว่า


“ทำไมล่ะครับ”

ต้นธาราย้อน มองท้องฟ้ามืดสนิท แสงดาวพราวระยับ สายลมหนาวพัดโชยจนคุณหมอผู้ไม่คุ้นชินสั่นสะท้าน นาคีปลดเสื้อนอกให้ ต้นธาราตกใจกับการกระทำที่แสนอ่อนโยน เตรียมส่งคืน อีกฝ่ายไม่รับคืน ซ้ำมองด้วยสายตากึ่งบังคับ ต้นธาราจึงยอมรับน้ำใจ

“ก็ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าคุณหมอเหมาะที่จะอยู่ในเมืองมากกว่า”

ต้นธารายิ้มกับคำบอกกล่าว ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเงียบๆ จนคุณหมอเดินสะดุด มืออุ่นๆเกี่ยวกุมมือบางทันทีจนไม่อาจปฏิเสธรึสะบัดออกได้

“ผู้กอง!”ต้นธาราอุทธรณ์

นาคียิ้มเผล่

“เดี๋ยวคุณหมอล้มไป ไม่ดีหรอกครับ”

ต้นธาราพยายามบิดมืออก หากมืออุ่นชวนให้สบายใจ

“มันอาจจะดูแปลกไปบ้าง และคุณหมอได้ฟังอาจตกใจแต่ผมก็อยากคุ้มครองคุณหมอจริงๆ หากคุณหมอทุกข์ใจปรึกษาผมได้เสมอ...”

รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนทอดให้ ต้นธารามอง หากเขาตอบสนองได้ก็คงดี

“บ้านของเจ้าภานุอยู่ฟากนู้น บ้านของไอ้เสือยิ้มยากอันตรายหน่อยนะครับเพราะอยู่นอกเขตเสียด้วย”

ต้นธารามองตาม นาคีเฝ้ามองดวงตาคู่นั้นจึงแสร้งโอบกอดร่างบอบบาง ต้นธาราตัวแข็งกับสัมผัสนุ่มนวล ไออุ่นจากร่างสูงอ่อนโยน สำหรับนาคีแม้รู้สึกพิเศษกับเขาสักเท่าไร ต้นธาราก็ไม่อาจสนองได้

“กลับบ้านเถอะครับ”

อ้อมแขนโอบกอดปล่อยอย่างง่ายดาย ต้นธารามองตามร่างสูง ถึงแม้จะคล้ายคลึงกับผู้กองภานุ หากผู้กองนาคีอ่อนโยนเสมอ เขาน่าจะรู้และเข้าใจ...ต้นธารานิ่งเงียบตลอดเวลา นาคีส่งคุณหมอกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศทางไปบ้านของเพื่อเกลอ ระหว่างทางมืดสนิทแถมยังเงียบเชียบ ชายหนุ่มคุ้นชินทางดีจึงไม่หวาดกลัว ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของคุณหมอและคำละเมอเพ้อพกในตอนที่ดูแล นาคีสังหรณ์ใจว่าคุณหมอต้องแพ้เหล้าหนักจึงกลับมาดูอีกครั้งและเป็นดั่งที่คาด ต้นธาราครางชื่อที่ไม่คาดคิดออกมาซ้ำซาก...เรียกขานราวกับคิดถึง เป็นชื่อเดียวที่สลักลงในห้วงใจ

------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-06-2008 21:26:30
ต้นธารากลับมาถึงบ้านพัก วางงานทั้งหมดลงบนโต๊ะไม้ไผ่ ทรุดนั่งลงข้างเตียงสะทกสะท้อน กับสิ่งที่ผู้กองนาคีทำลง ความฝันที่ฝันตลอดมาเหมือนพังทลายลงเฉกเช่นปราสาททรายถูกน้ำทะเลถล่มลงเรื่อยๆจนราบเรียบไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ ดึงดันที่จะมาเพียงพบกับคนที่หัวใจใฝ่ฝัน ต้นธาราไม่ได้บูชาความรัก หากเป็นเพราะเขาคนนั้น...ความรักเพียงครั้งเดียวที่อยากทุ่มเทสักครั้ง รู้ดีว่าเวลาตัวเองมีไม่มากนัก พอมาเผชิญกับความจริง สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปโดยไม่คาดคิดคือคนที่ตัวเองใฝ่ฝันไม่เหลือบแลสักนิด แม้จะรู้ผลมาก่อนยังอดขื่นขมไม่ได้ ผู้ที่ให้ความสำคัญกลับเป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย...ผู้กองนาคี....ใจดี...อ่อนโยน แม้ช่วงเวลาสั้นๆก็รับรู้ได้ว่า ผู้ชายตัวโตมีจิตใจอ่อนโยนเพียงใด คอยเป็นห่วงแม้ว่าไม่ได้ร้องขอ ยิ่งมาทำเช่นนี้ด้วย ยิ่งหวั่นกับตัวเอง...ตัวเขาสมควรทำเช่นไรดี ต้องหนักแน่นและไม่ทำร้ายหัวใจของผู้กองผู้แสนอ่อนโยนต้องเจ็บปวด บางทีกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก...มันก็ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบรักคนที่ “รัก” เขาไปซะ ทำไมเขาถึง “รัก” คนที่แข็งกระด้าง ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวอ่อนโยนใดๆให้เลย ต้นธาราอึดอัดและกลัวทุกอย่าง...ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้มแข็งแม้แต่น้อย เพียงได้ชิดใกล้ ก็ดีแล้วแท้ๆ เสียงหัวใจครวญคร่ำถึงผู้กองภานุตลอดเวลาแม้ว่าหักห้ามใจไว้แล้วก็ตาม

------------------------------------------------

สิ่งที่นาคีทำเมื่อไม่ถึงบ้านของเพื่อเกลอคือถามถึงความรู้สึกที่ภานุมีต่อคุณหมอคนใหม่ เจ้าภานุทำหน้าสงสัยขณะรินเหล้าให้

“เอ็งมาถามทำไม ข้าจะรู้สึกยังไง มันเกี่ยวกับเอ็งด้วยรึ”

นาคียกเหล้าขาวซดจนเกลี้ยง

“มันไม่เกี่ยวหรอก กันอยากรู้ อยากรู้เลยมาถาม”นาคีพึมพำ

เพื่อนสนิทถอนใจ

“ก็เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแหละ จะให้รู้สึกอะไรไปมากกว่านั้นรึ?”

นาคีมองหาความจริงที่ปรากฏในแววตา ภานุทำหน้าเฉยๆ นาคีอ่อนใจที่จะเซ้าซี้ในเมื่อเพื่อนเกลอพูดมั่นว่าไม่ได้รู้สึกอะไร...คือเรื่องจริง!

“เออ งั้นคิดว่ากันมารบกวนยามวิกาลแล้วกัน”

ภานุผงกหัว นาคีลุกขึ้นโซเซเล็กน้อยอำลาเพื่อนลงจากเรือน หลังจากที่เพื่อนลงไปแล้ว ชายหนุ่มเกาศีรษะ ความรู้สึกเหมือนถูกสายฝนกระหน่ำ ภานุเอนศีรษะพิงผนังบ้าน บางทีถ้าเขาปิดปากเงียบแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคงจะดีต่อเจ้านาคีมันแล้วล่ะ ภานุตัดความรู้สึกทั้งมวลออกจากใจ เมื่อจะหยุดความรู้สึกก็ควรหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าเจ็บปวดจนร้าวราน

------------------------------------------------

นาคีกลับบ้านพักของตัวเอง ชายหนุ่มผิวปาก แต่แล้วต้องชะงักเมื่อประสาทสัมผัสถึงอันตรายได้ ชายหนุ่มก้าวอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งคว้าปืนพกมาถือไว ในความมืดเห็นเงาวูบไหว

“ใคร!?”

เสียงของผู้กองเคร่งเครียด อาจจะรู้สึกไปเอง นาคีบอดตัวเอง ชายหนุ่มกุมปืนไว้แม่นมั่น เตรียมปล่อยกระสุนออกไปได้ทุกเมื่อ รอบกายเงียบกริบ ขณะลดปืนลงถอนใจกับความกังวลของตัวเอง ชายหนุ่มรู้สึกปลายกระบอกปืนจ่อแผ่นหลัง นาคีเกร็ง คำสั่งเป็นภาษาพม่าบอกให้ยอมจำนน ผู้กองหนุ่มไม่กล้าบุ่มบ่าม และอีกคำสั่งก็ตามมาสั่งให้วางปืน มีหรือที่นาคีจะยอม ชายหนุ่มใช้ศอกกระทุ้ง ดันปลายปืนขึ้น ยอมลองเสี่ยงดูสักตั้ง กระทบคางของผู้ลอบทำร้ายเข้าอย่างจัง

“แกเป็นใคร”

นาคีกระชาก พยายามปลดผ้าคลุม คนที่ไม่คาดคิดว่าจะรอดจากปลายกระบอกปืนนิ่งงัน นาคีจ่อปืนที่ขมับของมัน ล๊อคคอเอาไว้แน่น

“พูดมา ใครส่งแกมา!”

คุกเข่าลง มันหอบหายใจแรง นาคีพยายามกระชากผ้าขาวม้าพันใบหน้าเอาไว้ หากถูกต่อต้าน

“แกอยากตายนักรึไง”

ดวงตาอ่อนโยนพลันแข็งกร้าว ร้อยเอกหนุ่มเอะใจกับการลอบเข้ามาของฝ่ายตรงข้าม ว่าเข้ามาถึงเขตทหารได้เช่นไร อีกฝ่ายไม่ยอมพูดยังดิ้นรนหาทางรอด ชายหนุ่มกระชากคอขึ้น

“แสดงว่าอยากตายนักใช่ไหม”

ปืนจ่อขมับแรงขึ้น ดวงตาแจ่มกระจ่างไร้ซึ่งความกริ่งเกรง นาคีจับเตรียมกระชาก อีกฝ่ายดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต ดวงตาแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดฆ่ากันจริงๆ ผ้าขาวม้าเผยให้เห็นดวงตาสุกใส ชั่วครู่หนึ่งทำให้นึกถึงต้นธาราขึ้นมาทันที

“ถ้าบอกดีๆก็จะไม่ฆ่าทิ้ง เพราะอะไรถึงมาที่นี่”

นาคีอ่อนเสียงลง อีกฝ่ายก็ยังขัดขืนอยู่ดี

“เอ้า ดิ้นกันเข้าไป”

ผู้กองจับตัวพวกกองโจรที่ลักลอบขึ้น จังหวะนั้นเอง ร่างนั้นฉวยโอกาสต่อยผู้กองกลับ ถอยหนีอย่างรวดเร็ว

“เราต้องได้เจอกันแน่”

นาคีกำลังจุกจากหมัดหนักหน่วง ลุกไม่ขึ้นไปชั่วครู่ เงาร่างนั้นกลืนหายไปกับความมืดมิด พอหายจุกลุกขึ้นเดินได้ เจ็บใจที่เสียท่า ชายหนุ่มรีบไปรายงานผู้บังคับบัญชาการทันทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ รุ่งเช้าต่างประชุมหารือกันอย่างเคร่งเครียดกับแนวเขตป้องกันละหลวม ท้ายที่สุดแล้วต้องออกลาดตะเวนจนได้พบกับฐานกองกำลังของพวกกองโจรกู้แผ่นดินซึ่งเข้ามารุกรานในอาณาเขต

“เราต้องสืบหาฐานที่มั่นของเจ้าพวกกองโจร แล้วทำลายเสียให้สิ้นซาก”

แผนที่ผู้บังคับบัญชาวางไว้ นาคีและภานุเข้าร่วมประชุมต่างถอนใจยาวกับแผนที่วาดเอาไว้

“งานนี้ท่าจะหนัก ยังกับสนามรบย่อมๆ”

นาคีบอกกับเพื่อนสนิทหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม

“เออ ว่าแต่แกเถอะไปทำอีท่าให้ให้ศัตรูหนีรอดวะ”

ภานุจุดบุหรี่ ไฟแดงวาบพร้อมกับพ่นควันปุ๋ย

“เห็นดวงตาแล้ว...เหมือนคุณหมอน่ะสิ เลยเผลอใจอ่อนไปนิดหน่อย”

นาคีบอกตามตรง ภานุอัดควันเข้าปอดลึกๆเพราะเพื่อนดูท่าว่าจะรักคุณหมอมากมาย

“แกนี่....ตายไปเพราะคนที่แกนึกถึงจะเป็นไงวะ คงน่าสมเพชน่าดู”

นาคีหัวเราะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็ยอมสละชีวิตให้ได้

“เซ็งจริงๆโว้ย ออกไปลาดตะเวนพักได้ไม่เท่าไรต้องกลับมาอีก”

ชายหนุ่มบ่นพึม เจ้าเพื่อนเกลอตบบ่า

“หน้าที่โว้ย หน้าที่”

ภานุทำเสียงขึ้นจมูก

“ชิ....ว่าแต่แกเหอะ ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่คิดถึงคนที่อยู่ในใจเองได้ก่อนเถอะ เดี๋ยวพาลใจอ่อนอีก”

ภานุเลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อตรงๆ นาคีผงกศีรษะ บางทีภานุก็อดอิจฉาเพื่อนไม่ได้ที่แสดงความรู้สึกก็แสดงออกมาได้ตรงๆ เพราะเขาไม่อาจเป็นเช่นได้ กลับจากประชุม ผู้กองภานุเหม่อลอย ชายหนุ่มเห็นคุณหมอยิ้มให้แก่คนไข้ซึ่งเป็นเด็กมากับพ่อและแม่ ความอ่อนโยนประดุจพ่อพระ อ่อนหวานราวกับกลีบดอกไม้ สมแล้วที่มาถึงค่ายใครๆก็ต้อนรับอย่างดีไม่มีนึกชัง ชายหนุ่มได้แต่มองอยู่ห่างๆ ดูเหมือนว่าคุณหมอจะรู้สึกตัว เงยหน้ามองผู้กอง ซึ่งภานุเบือนหน้าหนีคล้ายรังเกียจ ท่าทีของผู้กองหนุ่มได้แต่เป็นตะกอนตกผลึกอยู่ในใจของต้นธารา ทุกๆครั้งที่เห็นภานุต้องฝืน...จนกลายเป็นนึกชังโดยไม่รู้ตัว

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-06-2008 21:29:26
“น่ารำคาญ”

กลับจากลาดตะเวนรอบแรก ผู้กองภานุก็เอาแต่หงุดหงิดถึงแม้ผลลัพธ์งานจะออกมาดี สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หงุดหงิดคงเพราะ “คุณหมอ” ของเจ้าเพื่อนสนิท ต้นธาราเข้ามาทักทายเหมือนไม่รู้ตัวว่าเขาไม่ชอบขี้หน้า พร้อมกับลากไปทำแผลที่บ้านโดยที่ภานุขัดขืนไม่ได้ โชคดีที่เจ้านาคีไม่รู้เรื่องนี้ด้วย ไม่อย่างงั้นคงได้พูดกันยาว ร่างโปร่งทำแผลให้ด้วยความนุ่มนวล ภานุพิศใบหน้าที่ชวนให้หลงใหล คุณหมอเป็นที่รักใคร่ เเต่เขาไม่เข้าใจในเสน่ห์ที่ต้นธารามี มันเหมือนกับสิ่งหลอกลวง แค่สร้างสรรค์ขึ้น สร้างความชิงชังจนในหัวใจกระด้าง คุณหมอทำแผลจนเสร็จยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงาน สุดท้ายคนที่ไม่อยากให้มาก็มาจนได้ เจ้านาคียิ้มเผล่เมื่อเห็นคุณหมอ ภานุถือโอกาสนั้นหลีกหนีหน้าจากคุณหมอเสีย คุยกับเจ้านาคีแทน เจ้าเพื่อนรักดูจะห่วงใยคุณหมอเหลือเกิน ชายหนุ่มถอนใจ สุดท้ายก็รีบเปลี่ยนเรื่อง

“ผู้พันมีทรัพย์เรียกประชุมด่วนบอกว่าข้าศึกเริ่มเคลื่อนไหวแล้วน่ะสิ"

ผู้กองนาคีกล่าวเมื่อเพื่อเลิกสนใจเรื่องของคุณหมอ บอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

"อื้อ..แล้วมีรายงานอะไรอีกไหม?"ภานุถามด้วยความเฉื่อยชา

"ต้องไปประชุมว่ะถึงรู้"

นายทหารทั้งสองต่างเดินไปยังฐานบังคับบัญชาการและแล้วอีกภารกิจหนึ่งที่ได้รับคือการลาดตะเวน ในแผนการเจาะจงขอแพทย์สนามไปประจำด้วย ร้อยเอกภานุรับคำสั่งในการเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวน ส่วนร้อยเอกนาคีรับคำสั่งเป็นคนคุ้มกันแพทย์สนาม....ต้นธาราถูกคัดชื่อเข้ามาแทนแพทย์ทหารที่ป่วยกะทันหัน... ไม่รู้ว่ามันเป็นความโชคดีรึโชคร้ายที่ในค่ายที่ขาดแคลนและห่างไกลความเจริญนั้นมีแพทย์เปี่ยมศักยภาพแค่สองคนคือ ต้นธาราและมาริสา ซึ่งหญิงสาวถูกคัดชื่ออกโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นผู้หญิง ต้นธาราจึงเป็นแค่ตัวเลือกเดียวในตอนนั้น....ทันทีที่ได้รับคำสั่ง...โศกนาฏกรรมมันก็เริ่มต้นขึ้น หัวใจแต่ละดวงต่างปวดร้าว...ความรักต่างเต็มไปด้วยน้ำตา

------------------------------------------------

“กระจายกองกำลังโอบล้อมไว้ คุ้มกันคุณหมอเร็ว!”

ภานุสั่งในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า ในสภาวะตรึงเครียดเช่นนี้ ชายหนุ่มสั่งงานอย่างรอบคอบ เสียงปืนปะทะดังเป็นตับ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตามสายลม คนที่กลัวมากที่สุดเป็นต้นธารา
เพราะเผชิญกับการสู้รบแลกชีวิตจริงๆด้วยตาตัวเองในฐานะแพทย์สนาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหมอ เราอยู่แนวหลัง” นาคีปลอบอ่อนโยน

มือเกี่ยวเกาะกุมสร้างความอุ่นใจให้เหมือนเช่นเคย ไม่มีอะไรที่น่าหวาดหวั่น ต้นธาราทำตามที่สั่ง มองแผ่นหลังราวกับเป็นที่กำบังภัย ต้นธาราคลายความหวั่นใจไว้ได้

“อย่าเงยหน้าขึ้นมานะครับ”

นาคีสั่งกุมมือเย็นเฉียบเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย คอยปลอบประโลม ต้นธาราตั้งสติได้ เขากุมเป้เวชภัณฑ์ไว้แน่น คำนึงถึงหน้าที่และความปลอดภัย

“ตีทางซ้าย!”

เสียงตะโกนโหวกเหวก ต้นธาราลืมตาข้างหนึ่ง เหงื่อไหลท่วมกาย ทั้งๆที่กลัวก็ยังอยากเห็น ภาพการต่อสู้อันดุเดือด การกระจายกำลังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ช่างรวดเร็วยิ่งนัก เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว

“มาทางนี้”

นาคีฉุดร่างที่เหม่อลอยปลิวติดมือ ต้นธาราจำต้องลุกขึ้นตาม ยังทันที่จะเห็นคนล้มเพราะอาวุธร้ายเจาะเข้าร่างกาย พร้อมกับชีวิตที่ปลิดปลิว ต้นธาราถูกกระชากลากถู ในหัวสมองของคุณหมอขาวโพลนเมื่อเห็นความตายอันโหดร้ายยิ่งกว่าในห้องผ่าตัด

“คุณหมอ!”

เสียงเรียกให้ตื่นจากภวังค์ ต้นธารามองหน้านาคี เหงื่อใสๆผุดจากปลายจมูก มือหนาซับออกให้

“อย่ากลัว...”

คำปลอบประโลมพร้อมกับมือกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ มือหนาจะไม่มีวันปล่อยแม้จะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม!

ต้นธาราหยุดเคลื่อนไหว รั้งให้ผู้กองหยุดด้วย สายตาของคุณหมอสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิต กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดท่ามกล่างห่ากระสุน นาคีฉุดรั้งไว้ ทันทีที่เสียงครางดังหลุดรอดจากปาก

“ผมต้องช่วยเขา”

คุณหมอออกปากทันทีด้วยเมตตาธรรม หากนาคีมองสถานการณ์รอบกาย ไม่อนุญาต อีกอย่างคนตรงหน้ามีสิทธิ์ตายมากกว่าจากที่เห็นบาดแผล ต้นธาราสงสารเพราะเห็นเป็นแค่เด็กหนุ่ม...สะเทือนใจลึกๆเมื่อเห็นว่าต้องเกณฑ์กระทั่งเด็กหนุ่มมาออกรบ ถือปืน เข่นฆ่า ทั้งคู่ทุ่มเถียงกันท้ายที่สุดแล้วนาคีต้องจำยอมด้วยความไม่เต็มใจ

“ก็ได้ครับ...ช่วยได้เท่าที่คุณหมอจะช่วยได้เท่านั้นนะครับ”

ชายหนุ่มคุ้มกันคุณหมอ ต้นธาราเปลี่ยนท่าทีจากกลัวสถาณการณ์รอบกาย ใส่จิตวิญญาณแพทย์อาสา ทำแผลให้ หากคนป่วยไม่ยินดีสักเท่า ต้นธารายิ้มอ่อนโยนปลอบประโลม ต้นธาราพยายามช่วยเท่าที่จะช่วยได้ เสียงปืนกระหน่ำไม่ขาดสาย ผู้กองรั้งร่างของต้นธาราขึ้น

"เร็วเถอะครับคุณหมอ"

ต้นธารามองใบหน้าผู้ที่เขาช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งไปกับผู้กอง หากสายไป....เสียงปืนดังกระหน่ำ รัวจนไม่รู้ทิศทาง ต้นธาราถูกผลักจนกระเด็น กระเป๋าเวชภัณฑ์กระจาย ผู้กองนาคีล้มลงทับเขา คุณหมอรู้สึกจุกสัมผัสถึงเลือดที่ไหลรินซึมเข้าไปในเนื้อผ้า หมวกเหล็กกระเด็นไปไกล ภาษาแปลกๆไม่คุ้นเคยดังเข้าหู ความหวาดกลัวแผ่ซ่าน...ไปจนถึงขั้วหัวใจ

"อยู่นิ่งๆครับ"

ต้นธาราดีใจที่ผู้กองนาคียังไม่ตาย น้ำตาจึงไหลออกมา

"อย่าให้มันรู้นะครับว่าคุณหมอไม่เป็นอะไร"

ลำแขนโอบเอวรอบขยับไม่ให้ผิดสังเกตซับน้ำตาให้

"ผู้กองบาดเจ็บ"

ต้นธารากระซิบ ชายหนุ่มยิ้มให้

"เรื่องเล็กครับ ชูว์...พวกมันเข้ามาแล้ว"

เสียงกระซิบแผ่วเบาดังเป็นครั้งสุดท้าย ต้นธาราไม่รู้อะไรทั้งนั้น เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นเพราะเสียงตะโกนของคนที่ถูกเขาช่วยพูดราวกับจะห้าม อยู่บนความลังเล ภานุพากำลังพลกระหน่ำยิงฝ่าวงล้อม ภานุสังหารเจ้าคนที่ยึดปืนพกของผู้กองนาคี ปืนกระเด็นเข้ามาใกล้ ผู้กองนาคีลุกขึ้นฉุดเข้าลุกตาม กระสุนปืนยิงกราดใส่ รัวจนเหมือนข้าวตอกแตก

"ไปหาไอ้ภานุ...มันจะปกป้องคุณด้วยชีวิต!"

ผู้กองนาคีผลักร่างต้นธาราไปสู่อ้อมแขนของภานุ เขาเซล้มเสียก่อน เสียงปืนดังซ้อนๆกัน นึกว่าตัวเองจะตายไปเสียแล้ว แต่ก็เปล่า เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมา ร่างของผู้กองนาคีนอนเคียงข้างเขา ตามลำตัวมีเลือดไหลไม่หยุด คุณหมอช๊อกไปชั่วขณะ ฝ่ายตรงข้ามรีบถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็วเพราะชำนาญพื้นที่กว่า ภานุโผล่ออกมาวิ่งเข้ามาหาคุณหมอที่พยายามช่วยเหลือร่างที่ตายไปแล้วของผู้กองนาคี นายทหารที่ติดตามไปดึงออก แต่คุณหมอก็ดิ้นเร่าๆ

“ผู้กอง...ผู้กองนาคี!”

ผ้าก๊อซและมือชุ่มไปด้วยเลือด ภานุหลับตา เขาไม่คิดฝันว่าเจ้าเพื่อนที่เคยเฮฮาหยอกล้อเมื่อเช้าไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว...ความเสียใจแผ่ทั่วกาย...เศร้าเสียใจ...ไม่อาจเรียกชีวิตเพื่อนกลับคืนได้ ต้นธาราพยายามดิ้นรนจากการกอดรัด ภานุมองอาการนั้น...มองเนิ่นนาน...เวลาที่ไม่อาจหวนกลับได้ผูกมัดคนทั้งสองเอา จนไม่อาจดิ้นหลุด

------------------------------------------------

ร่างของคุณหมอถูกผลักลงบนเตียงเก่าๆมอๆ หลังจากที่ผู้กองหนุ่มกรอกแอลกอฮอล์จนสำลัก ภาพต่างๆที่ผ่านมาไหลผ่านกายราวกับความฝัน เมื่อครู่เขาก็ฝัน...ฝันถึงผู้กองผู้แสนอ่อนโยนตาย หากมันเป็นความฝันก็ดี บางทีคงไม่เจ็บปวดกายไปมากกว่านี้ คนที่สิ้นเรี่ยวแรงขัดขืนมองข้อมือถูกพันธนาการบนเตียง กี่ครั้งกี่คราที่เขาถูกพันธนาการจากชายผู้นี้ เมื่อไรจะได้หลุดพ้นจากวังวนกัน เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากไม่มีสิ้นดี กองอยู่ข้างเตียง คุณหมอที่หมดแรงขัดขืนนอนนิ่งปล่อยให้ภานุจัดกายร่างกายตามอำเภอใจ แก่นกายแกร่งหายไปในช่องทางคับแคบทั้งๆที่ไม่มีความเตรียมพร้อม นิ้วกร้านบีบบี้ยอกอกประทับบนแผ่นอกขาวอย่างเมามัน ไม่ได้เจือความรัก ไม่ได้เจือด้วยตัณหา...

เสียงร้องครางกระเส่าดังจากกระท่อมหลังน้อยซึ่งเป็นที่พักอาศัยของภานุ ร่างที่อยู่ภายใต้การควบคุม ครวญครางร้องไห้อย่างเจ็บปวด ความฝันต่างๆกัดกินจิตใจ จนคิดว่าตัวเองไร้ตัวตน น้ำตาที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายลดความดุดันหลั่งรินเรื่อยๆ

“ร้องทำไม คนอย่างแกไม่สมควรร้องด้วยซ้ำ”

ดวงตาไร้แวว มองผู้ที่รุกรานจนอย่างสิ้นหวัง เรือนผมจิกจนใบหน้าแหงนหงาย เจ็บปวดไปทั่วกายทันทีแก่นกายแข็งขึงขยับเขยื้อน มองใบหน้ากร้าวเปี่ยมด้วยกลิ่นอายความแค้น

“ไอ้นาคีมันพยายามปกป้องคุณเพราะอะไร เพื่อให้คุณฆ่ามันตายไปแบบนั้นหรือ?”

ชายหนุ่มตะคอก วางศีรษะลงอย่างแรง คนที่เหมือนกับตุ๊กตาดิ้นรนขัดขืน สุดท้ายไร้ประโยชน์ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ต้นธาราพยายามบิดมืออกจากเชือกผูกมัด มันเป็นรอยช้ำ แรงกระแทกทำให้ใบหน้าเหยเก สิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการกลับรุกรานเรื่อยๆ ยิ่งลึกยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนระทวย ความกระสันบังคับร่างงอเข้าหากัน

“พอเถอะ...ผมขอโทษ”

เสียงของต้นธาราแผ่ว หากคนหน้ามืดตามัวไม่ได้ยิน กลับรุนแรง ขาเรียวยกขึ้นสูง แรงกระแทกหนักหน่วง ร่างกายอ่อนระทวย มองดูยั่วยวน ดวงตาแกร่งลุกโพลงราวกับมีไฟลุกท่วม สะกดให้หวาดกลัว ยิ่งร่างแกร่งทาบทับมากเท่าไร ยิ่งถูกกดขี่ให้เป็นเบี้ยล่าง ต้นธารายิ่งล่องละลอย หัวใจเหมือนถูกกรีดเฉือนเมื่อถูกกระทำดูถูกราวกับไร้ยางอายเช่นนี้

“ผ..ผม...”

ต้นธาราตั้งตนพูดกลับถูกปิดปากเอาไว้ ภานุเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ต้นธาราเจ็บจนทนไม่ไหว เขากัดมือที่อุดปากทันที กัดเต็มแรงจนชายหนุ่มร้อง มือเป็นรอยฟัน

“ฮึ่ม....”

ชายหนุ่มคำราม ยกมือฟาดใบหน้าสวย คุณหมอหน้าหันแม้เป็นแรงตบเบาะๆมันก็ทำให้ใบหน้าขาวนวลแดงช้ำ ปวดใจจนอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลริน ความเจ็บปวดกระหน่ำในหัวใจจนไม่รู้จะระบายเช่นไรแล้ว....


“ขัดขืนทำไม น่าจะชินแล้วนี้”

คำพูดหยาบโลนกระซิบริมหูจนคนฟังสะท้านด้วยความโกรธ คุณหมอขัดขืนอีกครั้งๆทั้งๆที่สะโพกปวดปร่า แก่นกายอุ่นๆเสียดสีภายใน เหงื่อท่วมกายทั้งคู่ คุณหมอลิ้มรสเลือด มันไหลหลังรินเรื่อยๆ ภานุหยุดการกระทำของตัวเอง มองเห็นดวงตาคู่สวยวาวโรจน์

“คุณมันทุเรศ”

ต้นธาราด่าโดยไม่หวั่นเกรงว่าจะโดนกระทำรุนแรงอีก สำหรับเขา แค่นี้ยากจะเหลือรับ! ภานุเอี้ยวกายหยิบมีดคมกริบตัดเชือดผูกมัดออก รั้งร่างของคุณหมอขึ้น มองแววตาโกรธเคือง สิ้นหวังเคล้าคละกันไป สำหรับเขามีค่าเท่าไรนอกจากเป็นเครื่องมือระบายความชิงชังและอยากทำลายคามือ

“อยากฆ่ากันนักก็ฆ่าเลย ไหนคุณก็ว่าผมทรยศอยู่แล้วนี่”

คุณหมอเอ่ยทั้งๆเจ็บแผลในปาก เขามันงมงายเกินไป ความฝันแตกสลายไม่มีแต่ความรัก มือหนาเอื้อมกุมต้นคอระหงเอาไว้ ออกแรงบีบเพียงนิด ต้นธาราต้องคอหัก! หากภานุไม่ทำ....ยิ่งทำให้ต้นธาราคลั่งแค้น เขาอัปยศมากพอแล้ว อัปยศเกินกว่าที่จะทน เตรียมกัดลิ้น ชายหนุ่มสังเกตได้สอดนิ้วเข้าไปในปาก

“เร็วไปมั้งที่จะตาย!”

เสียงกระซิบเหี้ยมเกรียม บ่าบางถูกขบกัดเป็นรอย ภานุเหมือนอยากฉีกกระชาก ย่ำยี ประทับให้เรือนร่างที่ดูบริสุทธิ์แปดเปื้อน ต้นธาราดิ้น ร่างใหญ่ทาบทับ กดร่างกายท่อนร่างของอีกฝ่ายไว้ จมูกซุกไซ้ลำคอ แก้มขาวซีดถูกไล้เลีย ลิ้นสัมผัสหยาดหยดน้ำตาอุ่นๆ ริมฝีปากแนบประกบ ดูดกลืนด้วยความอ่อนโยนชั่วขณะ ถ้ามันเจือความรักในหัวใจของชายคนนี้สักเศษเสี้ยวก็ดีสิ...บางทีเขาไม่ต้องทุกข์ทนทรมาน ต้นธาราค่อยๆปิดตาลง...บางทีไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงดี หัวใจด้านชาดวงนั้น มีเพียงแค่ความใคร่เพียงเท่านั้นหรือ... ภานุเห็นคุณหมอแน่นิ่ง แม้จิตใจส่วนหนึ่งตกใจ หากสุดท้ายแล้วกลับปล่อยให้นอนทั้งๆสภาพเช่นนั้น ยามถอนแก่นกายออกเห็นเลือดเปรอะปนกับคราบขาวขุ่นติดบนที่นอน ภานุก็คร้านที่จะเอามาใส่ใจ ชายหนุ่มจุดบุหรี่คาบไว้ตรงมุมปาก ดวงตามองเห็นต้นธาราเป็นแค่เศษซากไร้ค่า.....ต้นธารากระพริบตาถี่ๆ น้ำตาเขาเองเหือดแห้งไปนานแล้ว...เพราะหัวใจเขาเองแตกสลาย แหลกยับไปทั้งดวง คล้ายกับกระเบื้องเคลือบแตกร้าว เก็บงำความรู้สึก "รัก"เอาไว้ในมุมหนึ่งหัวใจร้าวราน...บางที....บางที...ในความคาดหวังจากส่วนลึกหัวใจ...ชายคนนี้จะหันกลับมามอง

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 09-06-2008 22:24:53

ผู้กองนาคี เป็นคนดีมากมาย.. แต่ไม่น่า มาด่วน ตาย เลย แง๊ๆๆๆ 

ตายในหน้าที่ ตายเพื่อนปกป้องคนที่ตัวเองรัก ถึงแม้ คนที่ถูกปกป้อง จะรักอีกคนหมดหัวใจไปแล้วก้อเหอะ

อ๊ากกกกกกกกกส์    :serius2:   

เส้าอ่ะ อ่านตอนนี้อ่ะพิม แง๊ๆๆ คนเขียนใจร้าย  :a6:


ผู้กองภานุ  อารมณ์ เย็นชา  ไม่ชอบแสดงความรู้สึก ..แต่ลึกๆ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่ ชิมิ

แต่ทำไมโหดร้าย ก่าคุนหมอจังเล้ยยยยยยยยย...ย    :m13:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-06-2008 05:08:24
ซินก็ ถ้าผู้กองนาคีไม่ตาย ถึงเค้ามีชีวิตอยู่ก็คงไม่มีความสุข เพราะคุณหมอไม่ได้รัก

แถมจะกลายเป็นรักสี่เส้า  :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 10-06-2008 06:48:45
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม สงสารผู้กองนาคีนะครับ

ทำให้คิดถึงผู้กองนาคีขึ้นมาเลย

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 10-06-2008 16:12:20
ใครไม่รักผู้กองนาคีก็ช่าง

ผมรักผู้กองนาคีครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 10-06-2008 20:45:58
ใครไม่รักผู้กองนาคีก็ช่าง

ผมรักผู้กองนาคีครับ


ผู้กองนาคีได้ยินคงซึ้ง ในที่สุดก็มีคนมองแกแล้ว
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม สงสารผู้กองนาคีนะครับ

ทำให้คิดถึงผู้กองนาคีขึ้นมาเลย

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ผู้กองนาคีจะโผล่มาในตอนพิเศษอีกเจ้าค่ะ


ซินก็ ถ้าผู้กองนาคีไม่ตาย ถึงเค้ามีชีวิตอยู่ก็คงไม่มีความสุข เพราะคุณหมอไม่ได้รัก

แถมจะกลายเป็นรักสี่เส้า  :m31: :m31:


ผู้กองนาคี เป็นคนดีมากมาย.. แต่ไม่น่า มาด่วน ตาย เลย แง๊ๆๆๆ 

ตายในหน้าที่ ตายเพื่อนปกป้องคนที่ตัวเองรัก ถึงแม้ คนที่ถูกปกป้อง จะรักอีกคนหมดหัวใจไปแล้วก้อเหอะ

อ๊ากกกกกกกกกส์    :serius2:  

เส้าอ่ะ อ่านตอนนี้อ่ะพิม แง๊ๆๆ คนเขียนใจร้าย  :a6:


ผู้กองภานุ  อารมณ์ เย็นชา  ไม่ชอบแสดงความรู้สึก ..แต่ลึกๆ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่ ชิมิ

แต่ทำไมโหดร้าย ก่าคุนหมอจังเล้ยยยยยยยยย...ย    :m13:

เหอๆๆผู้กองนาคีเป็นม้านอกสายตา อีตาภานุตามสไตล์เฮียแก ปากหนักก็รักจริงน้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-06-2008 14:56:09
ห้วงรัก:13 Harmful/เผชิญหน้า


กองไฟมอดลงแล้ว ช้าๆนานๆจะมีใครสักคนผ่อนลมหายใจออกมา แหงนหน้ามองท้องฟ้าราวกับมองดูวันสุดท้ายของชีวิต แสงดาวค่อยๆเลือนหาย ทุกๆคนต่างนอนกอดปืนไว้ไม่ห่างจากตัว ประสาทที่อ่อนล้าตึงเครียด แต่จ่าแม้นยังทำตัวเฉย จ่าชราหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะลืมขึ้นมองกระติกน้ำของตัว แกเขย่ากระติกน้ำสีเขียวหนาหนัก แล้วจ้องมองยังหันหน้าชุดหน่วยลาดตะเวนชายแดน

"ผู้กองครับ ดูเหมือนน้ำท่าเราจะไม่พอกินพอใช้เสียแล้วครับ แล้วพวกมันน่าจะล้อมพวกเราให้อดตายกันเสีย
มากกว่าปะทะ"

เสียงของจ่าแม้นราบเรียบเป็นโทนเดียวกัน ภานุที่ได้รับฟังถึงกับกุมขมับ ลูกน้องภายใต้บังคับบัญชามองหน้ากันเลิกลั่ก ดวงตาแกร่งหันไปทางหมวดอานุภาพ แววตาครุ่นคิดหาวิธีการตั้งรับที่เหมาะสมกว่านี้

"หมวดอานุภาพ วิทยุสามารถใช้งานได้หรือไม่ หากได้ขอให้ติดต่อไปที่ฐานส่งกำลังพลมาช่วยเราด่วน แล้วมีใครในที่นี้พอจะแทรกซึม ฝ่าวงล้อมออกไปได้บ้าง?"

ร้อยตรีอานุภาพรีบทำตามคำสั่ง ภานุกวาดตามองทุกๆคน ไม่มีใครรับ ต่างเงียบกริบ จ่าแม้นเอ่ยเสียงเนิบๆ

"ผู้กองครับ เรายังสืบทราบไม่ได้ว่ากองกำลังมันมีเท่าไร แล้วตั้งโอบเราไว้ตรงไหน พวกมันลึกลับกันเหลือเกิน เกรงว่าหากตีฝ่า ทางเรามีแต่จะเสียเปรียบ"

ผู้กองภานุกัดปากตัวเอง แววตาขุ่นเคืองต่อฝ่ายตรงข้าม

"แล้วน้ำ อาหารมีพอกินกี่วัน พอให้ทุกๆคนกินไหม?"

ชายหนุ่มถามถึงเสบียงกรัง ร้อยเอกรังสรรค์จึงเป็นคนบอก

"น้ำกับอาหารเรามีพอกินกันไปแค่สี่วัน ผมไม่รู้ว่ามันจะล้อมกี่วัน ลงมือวันไหน ผมเกรงว่า มันจะเฝ้าดูเงียบๆแล้วรอให้เราอ่อนล้า ก่อนจะตีกระหน่ำซ้ำ"

ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ย พยายามพูดกันให้เบาที่สุด ธีรเดชมองใบหน้าของทุกๆคน มันสะท้อนแสงไฟวอมแวม
เผยให้เห็นใบหน้าปราศจากความรู้สึกแต่ดวงตาฉายแววหนักใจ

"อย่างงั้นหรือ งั้นสถานการณ์เราก็เข้าขั้นวิกฤต เอาล่ะ ขอผมคิดสักครู่ ก่อนผมจะบอกแผนแก่พวกคุณ วันนี้นอนเอาแรงเถอะ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะลอบยิง เพราะมันคงไม่อยากบอกตำแหน่งให้เรารู้หรอก ผมจะเฝ้ายาม
เองและขอให้ทุกคนทำตัวเป็นปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้แล้วว่าเรารู้ว่ามันล้อมเรา"

ใบหน้าของทุกคนค่อยผ่อนคลายลง จ่าแม้นยกมือขึ้นอาสาอยู่เฝ้า แต่ธีรเดชชิงก่อนเสียแล้ว

"เดี๋ยวจ่าไปนอนเถอะ ผมจะอยู่กับผู้กองเอง"

ครั้นแรกภานุจะทักท้วง แต่ว่าเห็นความตั้งใจจริงจึงไม่เอ่ยอะไร ได้แต่จุดยาสูบไฟแดงวาบ เฝ้ามองลูกน้องหาที่หลับที่นอนแต่ยังไม่คลายจากการกอดปืน เพราะมันเป็นอาวุธที่จะทำให้รอดหากถูกโจมตีกะทันหัน ธีรเดชมานั่งข้างผู้กองภานุอย่างเงียบๆ กลิ่นไม้พุพังอับชื้น น้ำค้างตอนกลางคืนตกเปาะแปะ ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว ลมพัดกรรโชก เสียงใบไม้เอนไหวผสมกับเสียงแห่งพงไพร

"คุณว่าเราจะรอดไหม?"

ธีรเดชถามด้วยความเงียบสงบ เขากระชับผ้าขาวม้า เขี่ยไฟให้กระจาย ภานุมองเสี้ยวใบหน้าที่ซ่อนในความสลัว

"อาจจะ..."

บุหรี่ส่งควันลอยอ้อยอิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร นิ้วแกร่งลูบตัวปืนอย่างใจลอย ธีรเดชจึงไม่ถามต่อ มองไปรอบๆตัวแทน

"หากครั้งสุดท้ายที่คุณตายจาก คุณจะนึกถึงใคร"

ในที่สุดธีรเดชก็ชวนคุยกันต่อ ในคืนเงียบสงบ ดวงดาราเปล่งประกาย ในสายตาคู่แกร่งจะตอบเช่นไร

"สำหรับผมผมคงจะนึกถึงคนที่รักมากที่สุด คือพ่อ แม่ ท่านนายพลที่ผมเคยรับใช้แล้วก็...ธาร"

ปลายไม้ที่ใช้เขี่ยไฟเล่นถูกเผาเป็นสีดำ ธีรเดชหันมาขอคำตอบ ภานุจำต้องตอบขณะที่มือยังไม่หยุดลูบไล้ตัวปืน

"ผมคงจะไม่นึกถึงใครเลยนอกจากตัวเอง เพราะผมก็ไม่มีใครให้นึกถึง คนที่รักก็ตายจากไปแล้ว อีกอย่างคำ
ถามที่คุณถามผม แสดงว่าในตอนนี้ใจคุณกำลังหวั่นไหวกับสิ่งรอบๆตัว เกิดความกลัวจนอยากรอด"

ธีรเดชหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสั่นหัว

"มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ผมไม่ได้กลัว ถูก...ที่ผมจะขลาดเขลาบ้างเพราะผมยังคงเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจ อยากอยู่รอดในสถานการณ์อันตราย แต่สิ่งที่ผมถามผู้กองนั้นก็เพราะว่ามันเป็นบทพิสูจน์ใจของผู้กองไงล่ะ ผู้กองครับ...คุณมีเลือดเนื้อเฉกเช่นเดียวกับผม หากคุณมิพอใจ ผมก็ออกตัวก่อนว่า มิใช่ผมสู่รู้อยากสอนคุณแต่ว่าเวลามันสั้นลงทุกทีๆ สั้นจนน่ากลัว...เขาจะอยู่ในสายตาของผู้กองไหม"

'เขา' คนที่ธีรเดชเอ่ยถึง ภานุรู้ดีว่าหมายถึงใคร ดวงดาวเปล่งแสงวูบ ก่อนชายหนุ่มจะเห็นดาวตกไปทางทิศที่ค่ายตั้งอยู่ ในใจของภานุจะอธิษฐานอะไร?

------------------------------------------------

ต้นธารามองเบื้องนอกที่มืดสนิท ใจของเขาห่วงหาอาวรณ์ต่อผู้กองหนุ่ม จนบิดาตื่นขึ้นมาเห็นเขาพิงหัวเตียงเอาแต่จับจ้องไปข้างนอกแสนนาน ท่านจึงลุกขึ้นจากเตียงที่ทางโรงพยาบาลจัดให้มาเกาะกุมมือลูกชาย

"ธาร เป็นอะไรรึ นัยน์ตาของเจ้าทอแววเศร้า ทุกข์ตรมอะไร"

เขามองมืออันเหี่ยวย่นของบิดา สัมผัสหยาบกร้านยังคงอุบอุ่นเสมอ วันนี้ท่านแต่งตัวด้วยเสื้อโปโลมาเฝ้าบุตรชาย ท่านกลุ้มใจเพราะบุตรทานอาหารน้อย ดูเซื่องซึม ท่านนายพลได้แต่บีบมือแน่น กุมกระชับให้รู้สึกอุ่นใจ
ในที่สุดผู้เป็นบุตรก็เอ่ยขึ้นมา

"ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกหวั่นใจ เกรงว่า..."

ต้นธาราเงียบไป ท่านนายพลพิภพรู้ดีว่ามันหมายถึงใคร ท่านสบดวงตาของบุตรอย่างพินิจ

"พ่อรู้ว่าเจ้าห่วงใยใคร แต่ว่าร้อยเอกภานุนั้นต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน"

ท่านเอ่ย รอยยิ้มผุดจากใบหน้าของบุตรชาย

"ธี ด้วยใช่ไหมครับ ผมห่วงคนที่ไปทั้งหมดแหละ ไม่ได้เจาะจงใครเลย"

คำพูดเอ่ยแผ่วเบา บิดายิ้มตาม

"พ่อก็ห่วง อีกไม่นานภารกิจของพวกเขาก็จะจบ ลูกก็ทำตัวว่าง่ายซะ ทานข้าวเยอะๆบ้าง เจ้ายิ่งไม่สบายอยู่ด้วย"

ต้นธารารู้ดีเขาทำให้บิดาเป็นห่วงมากขนาดไหน ทั้งๆที่หาแต่ความทุกข์ใส่ท่านแท้ๆ ในห้องที่สว่างจ้า เขาอยากลงไปกราบเท้าท่าน เขารู้ว่าทำผิดอะไรไว้บ้าง ดวงตาจึงพร่าเลือน ท่านนายพลลูบศีรษะบุตร

"เจ้ากลัวหรือธาร อายุยังน้อยช่างน่าสงสารนัก หากพ่อช่วยเจ้าได้มันคงดีไม่น้อย"

ท่านว่า เพราะท่านไปตรวจไขกระดูกแล้ว แต่ไม่ตรงกับบุตร หมอบอกท่านว่าถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจใช้ไขกระดูกทดแทนกันได้ก็มี มันทำให้ท่านเคร่งเครียด เกรงว่าจะไร้ความหวัง ต้นธารากล้ำกลืนความเศร้า ข่มน้ำตาไม่ให้รินไหล

"พ่อครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอให้พ่อไปพักเถอะครับ"

บิดาส่ายหัว บอกว่าหากเขาไม่ยอมนอน ท่านก็ไม่ได้ ต้นธาราจึงถอนใจ

"ผมจะนอนแน่ครับ ผมสัญญา แต่ผมขอมองไปนอกหน้าต่างชั่วครู่ชั่วยามเถิด"

เขาก้าวลงจากเตียง บิดาประคับประคอง สายน้ำเกลือถูกห้อยระโยงระยางมาด้วย ต้นธารายกมือแนบผิวกระจกเย็นเฉียบ ไฟนีออนส่องสว่าง ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ซึ่งแสงดาว ต้นธาราหลับตาลง เขาคิดถึงสิ่งที่ได้กระทำลงไปทั้งหมดกับผู้กองภานุ หัวใจมันก็พลันว่างเปล่า นายพลพิภพมองใบหน้าของลูกซึ่งสะท้อนผ่านกระจก แววตาฉายคล้ายกับสัตว์ป่าถูกล่ามให้อยู่ในกรง ไร้ซึ่งความสุข มีแต่ความทุกข์ และแล้ว ต้นธาราก็มองเห็นแสงดาวส่องประกายวาบ หายไปในฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่ท่านนายพลเป็นอย่างมาก ท่านอยากรู้ว่าบุตรของตนคิดอะไรอยู่ ไฉนถึงได้มีสีหน้าเป็นสุขอย่างรวดเร็ว แต่ท่านก็มิซักถาม เพราะบุตรชายทำตามสัญญาของท่านโดยการยอมขึ้นเตียงนอนอย่างว่าง่าย ท่านจึงนั่งอยู่บนเตียงตัวเอง ขัดสมาธิในความเงียบสงบ ท่านอยากรู้ว่าการที่ลูกของท่านมีความรักสิเน่หาให้แก่ผู้กองหนุ่มซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากยศศักดิ์จะตอบแทนอะไรคืนบ้าง ความหงุดหงิดเกิดขึ้นมาโดยใช่เหตุ หากชายผู้นั้นเพียงคิดว่าลูกชายเขาไร้ค่า เขาคงกระอักเลือด โกรธคลั่งแค้นและคงใช้วิธีที่เหี้ยมโหดทำร้ายมันจนตาย ท่านลูบใบหน้าของตนเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แต่หากว่ารักตอบท่านจะทำเช่นไร ให้มันตายเสียดีกว่าที่จะเป็นแบบนั้น ท่านนึกอย่างขุ่นใจ พยายามหาเหตุผลมาหักล้างให้คลายจากความขุนเคือง ความสุขของบุตรคือความสุขของท่าน ท่านมักพึ่งระลึกข้อนี้ไว้ แล้วคลายจากความโกรธที่ทับทม ท่านล้มตัวนอนหลับสนิท จนกระทั่งเช้า เขาเห็นบุตรชายนั่งมองถ้วยเซรามิกสีขาว ข้างเตียงมีท่านนายพลอรุณ คอยส่งน้ำส่งท่าให้หลานชายบุญธรรม พร้อมด้วยนายแพทย์ประกิต

"อรุณสวัสดิ์ครับท่าน"

นายแพทย์ประกิตทัก เขาถือหูฟังไว้ ยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อระบบการเต้นหัวใจของต้นธาราเป็นปกติ ขณะที่ต้นธารานั่งทานซุปเห็ดรสชาติจืดชืดอย่างหงอยเหงา นายพลอรุณทักทายเพื่อนเก่าขณะที่ท่านนายพลพิภพไปล้างหน้า

"ว่าไง ไอ้เสือเฒ่า วันนี้มาแต่ไก่โห่เชียว"

ท่านนายพลทั้งสองทักทายกันอย่างสนิทสนม

"เอ็งนั้นแหละตื่นสาย ข้าพาหนูธารไปเดินเล่นได้สองรอบแล้วโว้ย"

พูดจบท่านนายพลอรุณก็หัวเราะเสียงดัง หันกลับไปดูผู้เป็นหลาน

"อ้าว ลูกตื่นกี่โมงเนี่ย?"

ท่านนายพลพิภพมองนาฬิกาเรือนแพงซึ่งบ่งบอกว่าเกือบแปดโมงแล้ว ต้นธาราพูดอุบอิบในลำคอ

"หกโมงครับ ลุงอรุณพาผมไปเดินเล่นชั่วโมงครึ่ง แล้วขึ้นมาตรวจร่างกายกับนายแพทย์ประกิต"

ท่านนายพลพิภพหันไปทางนายแพทย์ประกิต

"อาการของธารเป็นอย่างไรบ้างครับ?"

นายพลอรุณหันไปทางนายพลพิภพก่อนจะเอ่ยอย่างสบายใจ

"อาการของหนูธารแข็งแรงนี่น่า จริงไหมประกิต"

ท่านให้กำลังใจ นายแพทย์ประกิตยิ้มรับ

"ครับ...อาการของคุณต้นธาราดีขึ้นมากเลยครับ หากทานอาหารให้หมดแล้วละก็จะดีมากเลย"

ถ้วยซุปเห็ดเลื่อนออกห่างจากตัว สายตาที่เฝ้ามองต่างประหลาดใจ เพราะเห็นมันเหลืออยู่เต็ม

"ทำไมไม่ทานเยอะๆล่ะลูก"ลุงอรุณลุกขึ้น ดวงตาทอแววห่วงใย ผู้เป็นบิดาบีบบังคับอีกคน

"เจ้าผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้วรู้ไหม ทานเสียหน่อยเถอะธาร ถ้าธารหายป่วยพ่อจะพาไปเลี้ยงใหญ่เลย"

นายพลพิภพปลอบเขาราวกับเป็นเด็กๆ สายตาของต้นธาราก็ยังคงมองถาดอาหารอย่างซึมกะทือ นายแพทย์ประกิตสบทบอีกคน

"คุณต้นธาราทานเสียหน่อยเถอะ เพื่อร่างกายคุณก็ยังดี ร่างกายคุณจะอ่อนล้ามากเลยนะครับหากไม่ได้ทานอะไร"

ต้นธาราหยิบช้อนขึ้นมา เขาเฝ้ามองช้อนเงินกระทบแสงไฟวับวาวแล้วถามถึงผู้กองนาคี

"อัฐิของผู้กองนาคีตั้งอยู่ที่ไหนหรือครับ? บ้านเกิดเขาอยู่ที่ไหน"

คำถามที่โพล่งขึ้นมากระทันหัน ท่านนายพลทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนท่านนายพลอรุณจะบอกกล่าวความจริงแก่ต้นธารา

"บ้านของนาคีอยู่เชียงราย อ.แม่สายเหนือสุดของประเทศไทย มีอะไรล่ะ"

ต้นธารายังไม่ทานอาหาร

"ผมอยากรู้ว่าหลังจากที่ผู้กองนาคีตายมันจะเป็นอย่างไรบ้างน่ะครับ"

ต้นธารายังไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง นายพลอรุณรับรู้จึงถามอย่างนุ่มนวล

"อยากไปเยี่ยมครอบครัวของผู้กองหรือลูก เฮ้อ...ว่าไงพิภพ?"

ท่านหันไปทางนายพลพิภพ ซึ่งสีหน้าของเขาขรึม

"หากจะไปคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับหมอ?"

นายแพทย์ประกิต มองดูชาร์จรายงานประวัติคนไข้ ก่อนจะบอก

"ไม่เป็นไรครับ ถ้าไปค้างคืนนี้คงได้ไม่เกินสักสองสามคืน เพราะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดผมมีข่าวดีมาบอกครับ ผมได้ติดต่อแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางให้แล้วครับ"

สีหน้าของท่านนายพลอรุณดีขึ้น ก่อนจะตัดสินใจ

"งั้นเราจะไปเยี่ยมครอบครัวของผู้กองนาคีกัน"

สีหน้าของต้นธาราดีขึ้น เขาจึงทานซุปจนเกือบหมด นายพลทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนท่านนายพลอรุณจะเดินออกไปกับนายแพทย์ประกิต ต้นธาราทานยา เขาอ่อนเพลียจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว ท่านนายพลมองใบหน้าสงบแล้วมองท้องฟ้าสว่างสดใส ก่อนจะสั่งให้ทหารรับใช้ที่นายพลอรุณให้มารับใช้เขาระหว่างที่อยู่ ณ ที่ค่ายใหญ่ไปเก็บเสื้อผ้าและเตรียมตัวไปยังอำเภอแม่สายโดยเร็ว

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-06-2008 15:00:15
เจ้าขิ่นหอบหายใจแฮ่กๆ มันปาดเหงื่ออกจากใบหน้า ขณะที่มันมองไปรอบๆกาย ความมืดปกคลุม เงาตะคุ่มของต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นมายาปีศาจ เจ้าขิ่นล้วงเข้าไปในย่ามที่มันตระเตรียมมา เอาผ้าห่มมาคลุมกาย มันไม่สามารถก่อไฟได้ มันพัดวี่ไล่ยุงที่บินตอมหึ่งๆ คันคะเย่อไปทั้งเนื้อทั้งตัว เสียงตบยุงเปาะแปะดังเบาๆในความมืดมืด เจ้าขิ่นนอนหลับๆตื่นๆ จนกระทั่งมันทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นหาที่นอนใหม่ แต่จู่ๆมันก็ชะงัก จมูกเชิดไปในอากาศ มันได้กลิ่นควันไฟลอยมาตามลม ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก มันจึงรีบเก็บข้าวของขึ้น แล้วเดินอย่างแผ่วเบาไปยังต้นตอของกลิ่น มันก็ได้เห็นกองโจรกระเหรี่ยงกลุ่มใหญ่นั่งซุบซิบ พูดคุยกันอย่างแผ่วเบา เจ้าขิ่นเงี่ยหูฟัง มันแอบลอบมองสำรวจได้ว่าเจ้ากองโจรกลุ่มนี้มีประมาณสี่ยิบคน บ้างก็เป็นเวรยามเดินตรวจตรา มันนึกใจใจและสงสัยว่าเป็นกลุ่มเดียวที่เจ้านายใช้มันมาสำรวจหรือไม่ มันจึงเงี่ยหูฟังต่อไป จับความได้เล่าๆว่าจะล้อมจนฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรง แล้วบุกไปเชือดอย่างง่ายๆสบายๆ มันฟังจนรู้แผนการ แล้วรีบถอยออกมาเพื่อกันไม่ให้ทางฝ่ายนั้นจับได้ แล้วเปลี่ยนทิศทางไปอีกทิศหนึ่งซึ่งเป็นทิศทางที่ไอ้พวกโจรหมู่นั้นเอ่ยถึง

เจ้าขิ่นลอบเข้าไปอย่างเงียบกริบ ใจมันเต้นตุ๊มๆต่อมๆ มันโผล่หน้าออกไปหลังพุ่มหวาย แล้วก็เห็นพวกทหารไทยนอนกันเกลื่อน มีเวรยามเฝ้าสองคน มันนับจำนวนและเห็นได้ว่ามีแค่ห้าคนเท่านั้น เจ้าขิ่นจึงนึกดูถูกแกมสงสารที่พวกนี้รนหาที่ตายกันแท้ๆ แสงไฟสาดส่อง มันมองนายทหารที่เฝ้ายามว่ามียศสูงไม่เบา น่าจะเป็นลูกพี่ แต่อีกคนล่ะ มันมองชายที่มีหน้าตาใจดีกำลังโต้เถียงกับชายที่นั่งหน้าตายอยู่เงียบๆ แต่แล้วมันตกใจเมื่อเห็นผ้าขาวม้าของเจ้านาย มันจำผ้าผืนนั้นได้ เจ้านายมักจะใช้มันพันหน้าพันตาไม่ก็คลุมผมยามออกรบ ไอ้เจ้าคนนั้นมันได้มาได้อย่างไร เจ้าขิ่นกำหมัดแน่น ก่อนจะสำรวจต่อไป ชายที่นั่งหน้าตายจ่อบุหรี่กับกองไฟ ดูดจนแก้มบุ๋ม ดูไม่เหมือนคนสูบจัดเลย แต่นับก้นบุหรี่แล้วนับว่าเยอะพอควร แล้วมันก็รีบถอยออกเมื่อหนึ่งในสมาชิกตื่นขึ้น เป็นทหารอายุอานามห้าสิบกว่า ท่าทางฉลาดเฉลียว เจ้าขิ่นไม่รอช้ารีบบุกป่าฝ่าดงไปรายงานให้นายกิ่งไผ่ฟัง โชคร้ายนักที่มันเหยียบกิ่งไม้หักเปาะ มันตัวแข็งทื่อ นิ่งไม่กระดุกกระดิก หูก็ได้ยินเสียงหยิบปืนและเสียงฝีเท้า เจ้าขิ่นหาทางรอด ก่อนเสียงแก่ๆจะยั้งไว้

"ผู้กองครับ...อย่า...ข้างนอกมันมืด เราไม่รู้ว่ามันเป็นใคร เราไม่ควรเสี่ยง"

เจ้าขิ่นถอนใจ มันรีบจรลีจากก่อนที่จะพรุนเป็นรังผึ้งเพราะกระสุนอาก้า หลบหลีกจากพวกกองโจร จดจำทิศทางเพื่อที่จะรายงานต่อเจ้านายให้ได้

------------------------------------------------

กิ่งไผ่เอาแต่เฝ้ามองผืนป่าเขียวขจี เขาเดินไปมาอย่างกลุ้มใจอยู่เนื่องๆ เจ้าขิ่นออกไปคืนหนึ่งแล้ว วันพรุ่งนี้มันน่าจะเข้ามารายงายงานได้ หรืออีกจะหลายวัน เขาไม่ชอบใจเลยกับการอยู่ใกล้ชิดกับนายกฤษดา คนที่พ่อให้ความไว้วางใจในตอนนี้ เจ้ากฤษดานอนหลับอุตุอยู่บนเรือน กิ่งไผ่นอนไม่หลับจึงลงมานั่งคลายจิตใจให้สงบ เขามองท้องฟ้าสีดำดุจกำมะหยี่ แล้วนึกถึงใบหน้าของชายที่คล้ายกับผู้กองนาคี ยังคิดถึง ยังอาลัย การพบกันตอนสุดท้ายก็ไม่ดีนัก ลมหายใจยาวๆระบายออก กิ่งไผ่ห่อไหล่ ความสุขอยู่ที่ใจ แต่เขาไม่ควรได้รับเลย ตอนนี้ในหัวเขาไร้ซึ่งอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง ดวงตาเหม่อเลื่อนลอย จนนายพลอินคานที่นอนไม่หลับเช่นกันลงจากเรือนพักเงียบๆ เฝ้ามองร่างของผู้เป็นบุตรกลืนไปกับความมืดมิด เส้นผมยาวงดงามปลิวตามลม ดุจเทพีนางไพรแห่งดินแดนอันลี้ลับ แว่วเสียงจักจั่นร้องคลอดุจท่วงทำนองดนตรีขานรับนางแห่งไพรนั้น

...ในตอนนี้เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ลูก...

เสียงท่านนายพลก้องอยู่ในใจ สิ่งใดที่เจ้าคิดอยู่แล้วเจ้าปกปิด ความอ่อนไหวของเจ้ากลืนกินความเข้มแข็งแล้วหรือ วีถีชีวิตเยี่ยงทหาร เจ้ามิพอใจเลยใช่ไหมดวงตาของท่านปิดลง ดวงหน้าแก่ชราขึ้นอีกหลายปี แม้ไร้ซึ่งจิตใจแห่งการต่อสู้แล้วไซร้ ก็ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาไร้ประโยชน์ ความหอมหวานของชีวิต มันช่างสั้นนัก สิ่งที่ลูกต้องการ เขากลับช่วงชิงมาเสีย ทั้งชีวิตมนัสหยาเมียรัก สุดท้ายเขาจะสูญเสียสิ่งใดไปอีก?

------------------------------------------------

รถแล่นไปตามเส้นทางราบเรียบ ต้นธารอยู่ตอนหลังของรถแวน เขานั่งครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านนายพลพิภพกุมมือไว้ตลอด ใบหน้าแม้อ่อนล้า แต่มีแววเสียใจอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อใกล้เขาตัวเมืองเชียงราย ความรู้สึกผิดในใจยิ่งเอ่อล้น เป็นความเจ็บปวดและภาพแห่งอดีตย้อนคืน

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 13-06-2008 15:36:39
ทหารกะเหรี่ยงรุมล้อมแบบนี้ จะรอดมั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 13-06-2008 16:34:48
เหอเหอ

พระเอกตายเรื่องก็จบ

ขอเดาเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ชิมิคับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 14-06-2008 05:42:18
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

จากตอนนี้ทำให้ได้รู้ว่าผู้กองธี

พยายามถามผู้กองภานุ ว่ามีใจให้กับธารหรือป่าว

แต่พระเอกของเราก็ไม่ยอมตอบนะครับเนี้ย

ปากแข็งอยู่ได้ อิอิ สงสารผู้กองธีนะครับ

เป็นกำลังใจให้ผ่านเหตุการณ์ไปได้ด้วยดีนะครับ

หวังว่ากิ่งไผ่จะช่วยผู้กองธี นะครับ คิดว่าแบบนั้นนะคับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-06-2008 16:16:25
เหอเหอ

พระเอกตายเรื่องก็จบ

ขอเดาเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ชิมิคับ

อีกยาวเลยพี่พูห์ เรื่องยาว คึคึ เศร้าอีกยาว  o7


ดันๆอึบๆ  :a1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-06-2008 21:45:41
อิอิ  พระเอกตายแล้วนายเอกของเราจะไปรันทดกับผู้ใด   เพราะฉะนั้น  พระเอกจงอยู่ต่อไป  55
แต่ตอนนี้ก็กำลังจะทำให้ใครคนนึงไปพบใครคนนึงได้นะ (งงมะ เอิ๊กๆ)

ต่อจ้า 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:14 Absolve/สำนึกแห่งความรู้สึกผิด


รถของท่านนายพลพิภพไปถึงอำเภอแม่สาย ก่อนจะเลี้ยวเข้าตำบลโป่งงาม ต้นธารามองธรรมชาติอันสดสวยผ่านกระจกรถ ท่านนายพลอรุณก็แนะนำแต่ละส่วนแต่ละพื้นที่ให้แก่หลานบุญธรรมของตัวเองฟัง

"รู้ไหมว่าทิศไหนของตำบลโป่งงามติดเขตแดนพม่า?"

ท่านเริ่มตั้งคำถาม ต้นธาราหันมาเอียงคออย่างฉงน พลางคิด นายพลพิภพยิ้ม เพราะนี่เป็นวิธีที่ท่านนายพลอรุณชอบใช้ เวลาจัดการความเครียดของต้นธารา ผู้เป็นหลานพยายามนึกถึงวิชาภูมิศาสตร์ที่ตัวเองเคยเรียน แต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก ดังนั้นนายพลพิภพจึงเข้าช่วยเหลือ

"ทิศตะวันตกไงล่ะ โดยมีแนวถนนแม่ฟ้าหลวง-แม่สายเป็นแนวแบ่งเขต"

ท่านนายพลอรุณตีสีหน้า เรียกเสียงหัวเราะ เสียงครื้นเครงพอควร

"ท่านครับจะให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านถ้ำปลาเลยไหมครับ"

พลทหารที่ทำหน้าที่เป็นพลขับหันมาถาม ขัดความสุขชั่วครู่ชั่วยาม ต้นธารารู้สึกหวาดกลัวทันทีทันใด จนท่านนายพลทั้งสองทำหน้าเคร่งเครียด ร่างของต้นธารากอดอก รู้สึกหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ หลับตาลงราวกับได้ยินเสียงปืนดังกึกก้อง และภาพของผู้กองนาคีล้มทับตัวเขา มันช่างน่าหวาดผวายิ่งนัก นายพลพิภพส่งมือให้ลูกเกาะกุม ท่านไม่เอ่ยอะไรเลย แต่ท่านนายพลอรุณสั่งให้หยุดรถเสียก่อน พลขับทำตาม

"เฮ้ย ไอ้เหลิมลงมากับข้าก่อน"

ท่านเปิดประตูรถตู้ พลทหารเฉลิมปลดเข็มขัดนิรภัยลงจากรถ คงเหลือแต่ต้นธารากับนายพลพิภพ

"ไม่เป็นไรนะลูก?"

ต้นธาราผงกหัว เขายิ้มเซียวๆ บนใบหน้าซีดขาว

"เราจะพักอยู่ที่บ้านของผู้กองนาคีหรือครับ"

ลูกชายถามเสียงแผ่ว สายตามองหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายเป็นย่อมๆ ท่านนายพลพิภพตบหลังมือปลอบใจ ก่อนจะเปิดประตูเรียกให้ท่านนายพลอรุณขึ้นรถ

"เสร็จธุระแล้ว"

ท่านนายพลอรุณก็เรียกเจ้าเหลิมขึ้นรถ มันงุนงงยิ่งนักว่าเพราะเหตุใดท่านนายพลต้องเรียกมันลงจากรถด้วย มันไม่กล้าถามเพราะกลัวโดนท่านนายพลถีบเอา

"เอ้า รีบขับไปไอ้เหลิม "

ท่านเร่ง เจ้าเหลิมรีบออกรถทันที รถแวนสีครีมเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้าน คนในพื้นที่ต่างมองอย่างประหลาดใจ เมื่อมันไปหยุดอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่เอี่ยม แล้วคนที่ลงจากรถที่ประทับตรากองทัพ แต่งชุดเต็มยศก็ยืนอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้น เสียงหมาเห่าขรม ต้นธารายืนเคียงข้างบิดา เกาะขอบรั้วที่มีต้นตำลึงพันเต็ม ชายแก่คนหนึ่งลงจากเรือนทั้งๆที่ไม่สวมใสเสื้อ ผ้าขาวม้าพาดบ่า หลังโก่ง สายตาสีน้ำตาลจับจ้อง ก่อนชายคนนั้นจะยกมือไหว้ ส่งเสียงไล่หมาซึ่งเห่าเสียงดังเมื่อเห็นได้ว่าผู้มาเยือนคือใคร

"เฮ้ย...อีด่าง มึงไปไกลๆ เชิญครับนาย เชิญ"

ชายผู้นั้นร้องเรียก เปิดประตูไม้ให้ ท่านนายพลทั้งสอง และต้นธาราซึ่งเดินเคียงคู่กับพลทหารเฉลิมนั่งตรงแคร่ หญิงอายุสี่สิบปลายๆยกน้ำมาให้ นายพลอรุณยิ้มก่อนจะบอกให้ต้นธาราไหว้ทั้งสองคน

"นี่คือผู้ใหญ่เอี่ยม กับนางมา บิดา มารดาของผู้กองนาคี"

ผู้ใหญ่เอี่ยม และนางมาภรรยารับไหว้ชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียว ในดวงตามีแววประหลาดใจ

"ท่านนายพลมีธุระปะปังอะไรหรือครับ ถึงได้อุตส่าห์มาที่นี่?"

ผู้ใหญ่เอี่ยมถาม

"มีคนอยากเคารพศพของนาคีหน่อยน่ะ นี่คือท่านนายพลพิภพ แล้วนั่นต้นธารา...ลูกชายของนายพลพิภพและหลานฉันเอง"

นายพลพิภพเพียงผงกหัวให้ ผู้ใหญ่เอี่ยมมองใบหน้าของต้นธารา นึกประหลาดใจในรูปลักษณ์ นางมาซึมไปทันทีเมื่อเอ่ยถึงบุตรชาย

"อ้อ ได้ครับได้"

ผู้ใหญ่เอี่ยมบอก แม้จะเศร้าขนาดไหนแต่จำต้องข่มไว้ ดวงตาของร่างโปร่งบางมีแววเศร้า จนน่าแปลกใจ

"ธาร...เป็นแพทย์อาสา คนที่ผู้กองนาคีปกป้องจนถึงแก่ความตายในการลาดตะเวน"

นายพลอรุณบอก ผู้ใหญ่ชะงัก หันมามองดูต้นธาราที่ก้มหน้างุด ร่างโปร่งก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก ถูกความเศร้าค่อยๆกลืนกิน สายตาของผู้ใหญ่เอี่ยมเลื่อนลอยไป นางมาก็เช่นกัน

"ผม...รู้สึกผิดที่ต้องทำให้ผู้กองนาคีสิ้นชีพ"

เสียงสั่นๆเอ่ยออกมา นายพลพิภพมองผู้เป็นบุตรกล่าว น้ำเสียงราวกับมาจากดินแดนแสนไกล

"พ่อหนุ่มเอ้ย พ่อหนุ่มจะมาขอโทษทำไม พ่อหนุ่มไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ลุงกับป้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง รู้ตั้งแต่ที่นาคีขอย้ายไปที่ค่ายนั่น"

ผู้ใหญ่เอี่ยมกุมมือไว้ นางมาเช็ดน้ำตาที่ไหลริน เมื่อผละจากผู้ใหญ่เอี่ยม หันไปทางนางมาที่กอดกระชับ

"ถ้าพ่อหนุ่มกลัวว่าป้าจะต่อว่าก็อย่าได้กังวลไป สิ่งที่ผิดพลาดไม่ได้เริ่มที่ใครเลย มันเป็นชะตาเสียมากกว่า พ่อหนุ่มนี่ใช่ไหมที่เจ้านาคีมันเอ่ยถึงบ่อยๆ?"

นางหันไปถามสามี ระหว่างที่ลูบใบหน้าของต้นธารา ผู้ใหญ่มาผงกหัว

"คงเป็นคนนี้ละมั้งที่เจ้านาคีเอ่ยถึง ตอนกลับมาบ้านว่าเป็นคุณหมอที่ใจดีนัก"

คนที่ได้รับฟังกล้ำกลืนน้ำตา ผู้กองนาคีคิดถึงเขาเพียงนี้เชียวรึ แม้จะอยู่ด้วยกันไม่นานนัก นายพลพิภพมองหน้าของนายพลอรุณซึ่งนั่งเฉย ใบหน้าไม่สื่อถึงอะไรเลย

"ผู้กองนาคีเขา..."

ต้นธาราพูดไม่ออก นางมาและผู้ใหญ่เอี่ยมฉุดให้ต้นธาราลุกขึ้นด้วยกิริยาอันอ่อนโยน

"เขาพูดถึงพ่อหนุ่มประจำแหละ บางทีก็พูดถึงเพื่อนรักของเขาบ้าง นาคีน่ะถ้าไม่ใช่คนที่เคารพ ชอบพอเป็นส่วนตัวล่ะก็ เขาจะไม่พูดถึงหรอกจ้ะ"

"แต่ว่าคุณป้าครับ คุณป้าจะไม่..."

ต้นธาราขืนตัวไว้ นางมารู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้จะกล่าวอะไร มารดาของผู้กองนาคีมองท้องฟ้า

"ป้าจะโกรธไปทำไม ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว ลูกของป้าไม่ได้ตายเสียเปล่า หากแต่เขาตายในหน้าที่ ที่ได้รับ หน้าที่ที่ปกป้องคนสำคัญ ประเทศชาติ"

แล้วชายหนุ่มก็ถูกฉุดขึ้นบ้านจนได้ คงเหลือแต่ผู้ใหญ่เอี่ยม และท่านนายพลอรุณและนายพลพิภพคอยอยู่ข้างล่าง

"ท่านนายพลจะพักอยู่ที่นี่สักคืนไหมครับ ผมจะใช้นางมาเก็บกวาดเช็ดถูหาที่หลับที่นอนให้"

นายพลอรุณบอกขอบใจ นายพลพิภพจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

"นับตั้งแต่ร้อยเอกนาคีตาย ครอบครัวของผู้ใหญ่เป็นไงบ้าง"

ผู้ใหญ่เอี่ยมยิ้มกับนายพลพิภพ

"ผมก็ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญของนาคีเอาไว้กินเอาไว้ใช้แหละครับ"

นายพลอรุณหันมาขยายความ

"ร้อยเอกนาคีได้เลื่อนขั้นถึงยศนายพันนับตั้งแต่เขาได้สิ้นชีพในหน้าที่ ตอนนี้อยู่ในระหว่างทำเรื่องอยู่ครับ"

นายพลพิภพผงกหัวรับรู้ ท่านหยิบกระเป๋าเป้ของลูกชายแล้วหยิบซองสีขาวหนาเป็นปึกขึ้นมาส่งให้แก่ผู้ใหญ่เอี่ยมแต่แกก็ปฏิเสธทันทีที่เห็น

"โอ้ย ผมรับไม่ได้หรอกครับ ผมก็มีเงินบำเหน็จบำนาญให้แล้ว นี่มันเยอะเกินไปอีกอย่างผมก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร มีกันแค่สองตายาย เงินทองก็ไม่ได้ใช้อะไรมากนัก"

ตาเอี่ยมผลักห่อเงินออกห่างจากตัว ท่านนายพลพิภพก็กล่าวคะยั้นคะยอ

"เงินส่วนนี้ อย่าได้คิดว่ามันเป็นเงินช่วยสบทบหรือบริจาคให้เลยครับและไม่ใช่ค่าชีวิตของร้อยเอกนาคีด้วย ขอให้ผมมอบให้ด้วยความจริงใจเถิด"

นายพลพิภพพูดด้วยสายตาจริงจัง ห่อเงินถูกเลื่อนคืน ผู้ใหญ่เอี่ยมมองเงินก้อนนั้นด้วยสีหน้าสงบ

"กระผมขอขอบคุณที่ท่านนายพลได้กรุณา"

"อย่าได้ขอบคุณกันเลย ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณผู้ใหญ่"

รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้า ท้องฟ้าเบื้องนอกเริ่มมืดครึ้ม แสงสว่างค่อยๆเลือนหาย เหลือแต่แสงทองจับขอบฟ้า ช่างงามตระการตาอย่างยิ่ง ความอึดอัดใจค่อยๆมลายหาย กลายเป็นละอองเบาบาง

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-06-2008 21:49:15
ต้นธาราขึ้นเรือนไปกับป้ามา เขานั่งอยู่บนพื้นไม้เย็นเฉียบภายในห้อง สายตาเฝ้ามองดูแสงเทียนและช่อดอกไม้ประดับในแจกันบนหิ้งพระก่อนจะเลื่อนสายมาจับจ้องยังรูปภาพของผู้กองนาคี ที่แต่งชุดทหาร รอยยิ้มยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล โกศที่บรรจุอัฐิของผู้ตายตั้งบนหิ้งไม้ ต้นธาราไหว้ ก่อนจะขอป้ามานั่งเงียบๆภายในห้อง เขาไม่รู้จักผู้กองนาคีลึกซึ้งสักเท่าไร แต่ที่แน่ใจคือผู้กองเป็นคนดี เขาเป็นคนที่ทำให้ผู้กองสิ้นชีพ เป็นคนเริ่มต้นสัมพันธ์แห่งความโกรธแค้น ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆ หากสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป มันจะเป็นเช่นไร? ป้ามาเข้ามาชิดใกล้ ต้นธาราเงยหน้ามองเธอ แววตาดุจอ่อนล้าและหวาดกลัว

"ผมขอดูรูปถ่ายของผู้กองนาคีตอนเด็กๆได้ไหมครับ แล้วช่วยเล่าให้ฟังทีว่าผู้กองทำอะไรบ้างได้ไหมครับ"

ป้ามาทำตามที่ต้นธาราขอ เธอค้นหาของในลิ้นชักห้องนอนของลูก หยิบอัลบั้มเก่าๆ สีมอๆมาให้ ต้นธาราพลิกดูแต่ละรูป เขาหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา แล้วนำไดอารี่สีฟ้ามาตั้งเคียงข้างอัลบั้มภาพ

"ผมขอรูปของผู้กองสักใบได้ไหมครับ จะเก็บไปให้ผู้กองภานุ....เพื่อสนิทของผู้กองนาคี"

ร่างโปร่งโกหก

"เอาเลยลูก อยากได้ภาพไหนนำกลับไปเลย ว่าแต่พ่อภานุสบายดีรึ พ่อหนุ่มรู้จักไหม"

ต้นธาราผงกหัว เขาเก็บภาพในวันติดยศของผู้กองนาคีไว้ในไดอารี่อย่างทะนุถนอม

"รายนั้นเขาสนิทกันมากนัก"

ป้ามานึกราวกับจะย้อนไปสู่อดีต ต้นธารานั่งฟัง เขามองภาพตอนเป็นเด็กของผู้กองนาคี

"เจ้านาคีน่ะ ตอนเล็กๆซนนัก อยู่ไม่สุข ความฝันของเขาคือการเป็นทหาร ป้าก็เลยส่งเสียเขาไปเรียนจนจบ
ทหาร ป้าภูมิใจนักล่ะที่ลูกชายได้รับราชการ ได้รับใช้บ้านเมือง"

ระหว่างที่เล่า ป้ามามีสายตาเป็นประกายเปี่ยมสุข ต้นธารายิ้มตามเธอ แล้วเขาก็ชักถามต่อระหว่างที่มองดูภาพของผู้กองนาคีถ่ายกับผู้กองภานุที่ถ่ายหน้าพระธาตุดอยเวาวัดที่ตั้งอยู่เหนือสุดแดนสยาม

"ผู้กองภานุกับผู้กองนาคีสนิทกันมาตั้งแต่ตอนไหนครับ?"

ต้นธาราวางรูปถ่ายใบนั้นลงบนพื้น ป้ามามอง นางก็ตอบทันทีทันใด

"ตั้งแต่นาคีเขาเรียนที่โรงเรียนทหารแหละจ้ะ สองคนนี้เป็นเพื่อนตายกันเชียวแหละ"

ต้นธาราไล้รูปภาพนั้นอย่างเบามือ รอยยิ้มของผู้กองภานุกับเพื่อนสนิท มันช่างปวดร้าวอะไรเช่นนี้

"เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ"

ป้ามาถาม เมื่อเห็นเขาจับจ้องรูปนั้นเกินปกติ

"ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...แล้วภาพนั้นละครับ"

เขาเห็นภาพการเดินสวนสนามที่ถ่ายไกลๆ ป้ามาหยิบขึ้นมาดูอย่างภูมิใจยิ่ง

"นั่นตอนนาคีเข้าอยู่ในขบวนสวนสนามจ้ะ ถ่ายไกลๆ เห็นไม่ชัดหรอก"

นางหัวเราะ ต้นธารายิ้ม นึกถึงวันที่ได้พบกับผู้กองภานุครั้งแรก เขาเผลอกำไดอารี่แน่น จนกระทั่งลุงเอี่ยมขึ้นมาเรียก

"แม่มาเอ้ย หาห้องหับให้นายเขานอนหน่อย"

ป้ามาเก็บอัลบั้มรูปภาพโดยมีต้นธาราช่วย เขาเห็นบิดาและคุณลุงส่งยิ้มมาแต่ไกล

"วันนี้เราจะพักอยู่ที่นี่คืนหนึ่ง"

นายพลพิภพ เข้ามาในห้องของผู้กองนาคี เขามองดูรูปของผู้ที่ตายจาก

"คนนี้น่ะหรือผู้กองนาคี"

นายพลพิภพถามผู้เป็นบุตร และมองภาพที่ปรากฏแววตากร้าวแกร่งปนด้วยความขี้เล่นและอ่อนโยนของผู้กองนาคี

"ครับ นี่แหละผู้กองนาคี"

คำตอบของผู้เป็นบุตรหนักแน่นและมั่นคง ท่านนายพลนั่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะฉุดให้ลูกชายลุกขึ้น

"มาเถอะ จะได้ทานข้าวกัน"

เสียงทำกับข้าวในครัว หอมกลิ่นแกง ต้นธาราเข้าไปช่วย เขาทรุดนั่งยังพื้นครัวสกปรกอย่างไม่นึกรังเกียจ ช่วยป้ามาทำกับข้าว

"พ่อหนุ่มท่าทางบอบบางนักจะทำงานหนักไหวหรือ?"

นางกล่าวหยอก ระหว่างตำน้ำพริกเพื่อจะแกงฮังเลให้กิน ต้นธาราเพียงยิ้ม เขาหันเนื้อล้างน้ำสะอาด เสียงหัวเราะจากวงเหล้าดังเคล้าสายลมเย็น ป้ามาหันไปมอง ท่านนายพลทั้งสอง รวมทั้งพลทหารนั่งล้อมไฟที่ก่อขึ้น แสงสีส้มลุกเป็นประกายสวยงาม นางหันกลับมาอีกครั้งเห็นต้นธาราเช็ดเหงื่อที่พราวเต็มใบหน้า

"เป็นอะไรไหม?"

ป้ามาถาม ร่างโปร่งรู้สึกตัว ก่อนจะสั่นหัวดิกๆ เลื่อนจานเนื้อให้ ป้ามาส่งผักให้ไปล้าง ต้นธาราลุกขึ้นเซเล็กน้อย เมื่อมาถึงโอ่ง เขากำลังโน้มกายตักน้ำจู่ๆก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน จนกระทั่งเข่าอ่อนทรุดลงบนพื้น ป้ามาร้องเสียงดัง ส่งผลให้ท่านนายพลและลุงเอี่ยมวิ่งขึ้นมาดู

"เป็นอะไรหรือเปล่าลูก เจ็บตรงไหนไหม?"

หญิงวัยกลางคนประคองร่างโปร่งให้ลุกขึ้น ต้นธาราบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ผู้ที่ขึ้นมาดูจึงคลายใจลง

"ผมแค่ลื่นเท่านั้นเองครับ ไม่เป็นไรจริงๆ"

ต้นธาราพยายามลุกขึ้น จิกนิ้วเข้าที่เนื้อเพื่อข่มความเจ็บ ทุกคนจึงกลับลงไปข้างตาต่อ แล้วชายหนุ่มก็กลับไปช่วยป้ามาทำกับข้าวจนกระทั่งเสร็จสิ้น

------------------------------------------------

ดึกแล้ว สายตาของต้นธารากระพริบด้วยความง่วงหง่าวหาวนอน เขาซบหน้ากับท่อนแขน ร่างโปร่งขอตัวไปนอน ซึ่งป้ามาเป็นคนนำขึ้นไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ ฟูกกับผ้าห่มวางปลายเตียง ต้นธาราเลิกมุ้งสั่งให้เฉลิมวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ปลายฟูก

"จะไปทำอะไรก็ทำเลยนะเหลิม ขอบใจมาก"

ต้นธาราไล่ทหารรับใช้ เฉลิมลงไปสบทบวงน้ำเมาเช่นเคย ต้นธาราถอดเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ อากาศทารุณยิ่ง จนแทบเรียกได้ว่าวิ่งผ่านน้ำมาเลยทีเดียว พอมาถึงต้องหาเสื้ออุ่นๆใส่หลายๆชั้น ป้องกันความเหน็บหนาวแล้วก็หลับสนิท เขาไม่รู้เลยว่าผู้เป็นพ่อและผู้เป็นลุงเข้ามานอนตั้งแต่เมื่อไร ทันทีที่ตื่นขึ้นก็เห็นท่านทั้งสองพับผ้าห่มวางไว้ปลายเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สร่าง ต้นธาราก็นอนต่ออีกสักหน่อย ก่อนจะลุกตาม

"พ่อทำอะไรครับตั้งแต่เช้า?"ต้นธาราถามเสียงงัวเงีย นายพลพิภพหันมายิ้มให้

"อรุณสวัสดิ์ลูก พ่อไม่ได้ทำอะไรกันหรอก คนแก่ก็แบบนี้แหละนอนดึกตื่นเช้า ธารจะหลับต่ออีกสักหน่อยก็ได้"

บิดาตอบ ต้นธาราจึงล้มตัวนอนตามที่บอกแต่หูยังฟังคำที่พ่อเอ่ยกับลุงอรุณ

"วันนี้พาธารเที่ยวก่อนเถอะ ดึกๆค่อยตีรถกลับก็ได้ ผมบอกประกิตไว้แล้ว"

ลุงอรุณเอ่ยเบาๆ แต่พ่อของเขาดูกังวลใจเหลือเกิน

"จะให้ธารอยู่ที่นี่ต่ออีกหรือ? อาการของเขาล่ะ มิแย่รึ"

คนที่ถูกกล่าวถึงพลิกกายเงียบๆ ดึงผ้าห่มคลุมร่าง ในที่สุดฝ่ายที่ทุ่มเถียงจนแพ้คือบิดาของต้นธาราเอง ท่านถอนใจจำยอมคำที่นายพลอรุณแนะ

"หากอยากให้ธารตัดความกังวลใจได้ก็จำเป็นต้องทำล่ะ"

ร่างโปร่งหลับไปจริงๆ เขาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อบิดาปลุกให้ไปอาบน้ำอาบท่า สั่งให้แต่งเนื้อแต่งตัว ต้นธาราก็ไม่ปริถามอะไร เขาแต่งตัวเงียบๆเฝ้ามองบิดาและลุงเอี่ยมขนของขึ้นรถแวน

"เสร็จแล้วครับ"

ต้นธาราลงจากเรือน ลุงอรุณเปิดประตูรถให้ เขามองดูบิดามารดาของผู้กองนาคีผ่านกระจก

"เราไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วหรือครับ"เขาถามลอยๆ บิดาผงกหัว

"ใช่ ก่อนกลับพ่อจะพาเจ้าขึ้นไปไหว้พระที่พระธาตุดอยเวาหน่อย"

พูดถึงชื่อนี้ ต้นธาราสะดุ้งเล็กน้อยนึกถึงภาพถ่ายคู่ของผู้กองภานุและผู้กองนาคี

"ล่ำลาลุงกับป้าเสีย"

ต้นธาราเลื่อนประตูออก ไหว้ลุงเอี่ยมกับป้ามา ท่านทั้งสองให้พร ก่อนรถจะเคลื่อนออกจากหมู่บ้านถ้ำปลา

"ไอ้เหลิมเอ็งขับรถกลับไปแม่สายแล้วแวะเข้าเวียงพางคำด้วยนะ"

พลขับเฉลิมทำตามสั่ง ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจ

"ท่านจะไปชมพระธาตุดอยเวาหรือครับ เป็นพระธาตุที่ตั้งเหนือสุดประเทศไทย สวยงามมากเลยครับ"

เฉลิมเอ่ย ต้นธาราผงกหัวอย่างแกนๆ เขามองข้างนอกกระจก เห็นขุนเขา

"เหม่ออะไรลูก? ที่ๆเราจะไปนะสามารถดูวิวทิวทัศน์ของอีกฝั่งได้ เราจะมองเห็นรัฐฉานของพม่าสวยงามเชียวแหละลูก"

ท่านนายพลกระตุ้นความสนใจ ต้นธารากระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง พอไปถึงยังสถานที่ที่คุณลุงกล่าว เขาก็รีบมองไปทางฝั่งขวาทันที อาณาเขตประเทศพม่า...ผู้กองภานุจะอยู่ ณ ที่หนใดกัน พลทหารเฉลิมพยายามขับรถอย่างระมัดระวังเพราะทางชันและคับแคบจนกระทั่งถึงพระธาตุดอยเวา ขบวนเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยว สีทองของพระธาตุต้องแสงอาทิตย์ระยิบงามจับตานัก ต้นธารายกมือไหว้องค์พระธาตุ ในใจก็ตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้คุ้มครอง ผู้กองภานุ ธีรเดช จ่าแม้น ผู้กองรังสรรค์และหมวดอานุภาพให้ปลอดภัย เขายังขออีกว่า ขอให้ผู้กองภานุกลับมาโดยไว หากนานไป ดูเหมือนว่าก็ยิ่งห่างไกล ...ไปเสียทุกๆที

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 14-06-2008 22:23:50
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับที่บอกว่าใครคนหนึ่งจะเจอกับอีกคนหนึ่ง

คนที่ว่านี้คือ ธี กับ กิ่งไผ่ เจอกันใช่ป่าวครับ อิอ รู้นะ

เป็นกำลังใจให้เสมอครับ แล้วเมื่อไร ภานุกับ คุรหมอ จะได้เจอกันอะครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 14-06-2008 22:38:15
มะเหงครายเจอกะครายเลย

มีแต่หมอธารเจอ พ่อแม่ของผู้กองนาคี

พี่พิมขี้จุ๊

เอิ๊กๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 15-06-2008 06:39:46
พิมเท่ร๊ากก ลงไวจัง ตามเก็บมะทันแล้ว  :laugh: ดันๆอึบๆ

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-06-2008 12:01:07
พ่อแม่ของผู้กองนาคีไม่โกรธอะไร ต้นธาราก็คงเบาใจไปเยอะแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-06-2008 19:59:56
ใครเจอใครหว่า  555  มะบอก แบร่ๆ
เราลงเร็วไปป่าวเอ่ย  อิอิ  เร็วไปช้าไปบอกได้น้า  จะได้ลงให้ช้าลง  

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:15 combat/เสียที

ฝ่ายกิ่งไผ่นั่งเหลาไม้เล่นอย่างใจลอย ได้เวลาที่เจ้าขิ่นควรจะกลับมารายงาน ทำไมมันยังไม่โผล่มานะ กิ่งไผ่ก้มหน้าทำเป็นไม่เห็นเจ้ากฤษดาที่เดินเข้ามาใกล้ นายกฤษดาหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ก้มหน้าซ่อนดวงตาไว้ในเส้นผมยาวสลวย

"ทำอะไรอยู่ครับ"

นายลูกครึ่งทัก กิ่งไผ่แสร้งไม่ได้ยิน กฤษดาจึงเอ่ยเสียงดังขึ้นมาอีก คราวนี้ใบหน้าได้รูปเงยขึ้น กิ่งไผ่ถกแขนเสื้อตัวยาว ทำท่ารำคาญ

"ไม่เห็นรึ"

กิ่งไผ่ย้อนเรียบๆ สีหน้านายลูกครึ่งเสียไปนิดก่อนจะหัวเราะแก้เก้อ

"ครับ...ผมเห็น เอ่อ...ไม่ทราบว่าผมขอนั่งข้างคุณได้หรือไม่?"

กิ่งไผ่ไม่ขยับ คันปากยิบๆอยากจะด่าคนที่ไม่ถูกชะตา และก็ไม่อยากให้มันอยู่เคียงข้างด้วย

"ก็นั่งสิ ไม่ได้ห้าม จะถามทำไมว่าให้นั่งหรือไม่ให้นั่ง"

กิ่งไผ่ตีรวน นายกฤษดายิ้ม พลางนั่งชิดใกล้จนกิ่งไผ่ต้องถอยห่าง

"แถวนี้อากาศดีจริงๆ มองเห็นแมกไม้สวยตระการตายิ่ง"

พอมานั่งก็เอาแต่บ่นพล่ามน่ารำคาญ กิ่งไผ่ก็ไล่ไม่ได้เสียด้วยสิ ดังนั้นจึงนั่งฟังคำพล่ามน่าเบื่อหน่าย จนเจ้าขิ่นมีสีหน้าอ่อนเพลียเดินเข้ามาอย่างหมดแรงก็ได้โอกาสที่กิ่งไผ่จะลุกขึ้น

"ขอตัวก่อนนะครับ"

นายกฤษดาที่เอาแต่พูดทำหน้าเหวอที่จู่ๆกิ่งไผ่ก็ลุกขึ้น ชายหนุ่มจะพูดรั้งแต่ทว่าร่างโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีเก่ามอๆกับกางเกงยีนส์สีซีดจาง เรือนผมยาวปลิวไสวตามแรงลมภูเขา หยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีสีหน้าอิดโรย สายตาของกิ่งไผ่มองนายกฤษดาที่ทำตาละห้อยใต้ร่มไม้ ก่อนกิ่งไผ่จะรั้งเจ้าขิ่นให้เดินห่างหายจากสายตาคนอื่น พอมาถึงสถานที่เงียบสงบ กิ่งไผ่ไม่รอช้าเอ่ยถามทันที

"เป็นไงบ้าง ใครกันแน่ที่มาสืบที่อยู่เรา?"

เจ้าขิ่นหอบหายใจอย่างเหนื่อย มันนั่งลงปาดเหงื่อ

"ใจเย็นสิลูกพี่ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง"

เมื่อลูกพี่ได้ยินประโยคนี้จึงสงบปากสงบคำ เจ้าขิ่นพักจนหายเหนื่อยแล้วจึงเอ่ยสิ่งที่ตัวเองสืบมาได้

"ไอ้หน่วยลาดตะเวนนั้นมาจากไทยจริงครับพี่ไผ่ น่าขันแท้มาแค่ห้าคนคิดจะสู้กับพวกโจรกระเหรี่ยงนับสิบ แต่ดูเหมือนพวกมันจะรู้ว่าถูกล้อมแล้ว"

เจ้าขิ่นหยุดไป เมื่อนายของมันทำหน้าราวกับมีคำถาม

"ถูกล้อมงั้นรึ แล้วมีการปะทะไหม พอจะบอกรูปพรรณสัณฐานของคนในหน่วยได้หรือเปล่า?"

เด็กหนุ่มอ้าปากค้างกับคำถามสายฟ้าแลบของเจ้านาย

"ได้ครับลูกพี่...ถ้าปะทะกันล่ะก็เจ้าขิ่นคนนี้ก็ไม่อาจกลับมาได้ร้อยเปอเซ็นต์หรอกครับ พวกโจรกระเหรี่ยงนั้นกะว่าจะล้อมนายทหารเคราะห์ร้ายให้อดตายมากกว่าครับ"

กิ่งไผ่เงียบกริบ เขานั่งฟังคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มอย่างเงียบงันต่อไป

"แล้วรูปพรรณสัญฐาน ผมจำได้ไม่ละเอียดหรอกครับ แต่ถ้าให้บรรยายลักษณะน่ะพอได้ ตำแหน่งยศจำได้รางๆครับแต่คนที่ผมจำแม่นที่สุดคือตัวหัวหน้าหน่วยเป็นชายที่ดึงดัน ดื้อรั้นและเย็นชาพอควร ส่วนอีกคนก็ยศเท่ากัน แต่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ตามมากกว่า น่าแปลกนักที่คนๆนี้มีผ้าขาวม้าของพี่ไผ่ด้วย"

เจ้าขิ่นว่า กิ่งไผ่เบิกตากว้าง

"และก็เป็นคนที่พี่ไผ่วิ่งหนีด้วย"

คำตอบเพียงแค่นี้ กิ่งไผ่ก็หมดความสนใจกับเรื่องของคนอื่นๆทันที เขาเอื้อมมือแตะแขนของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว

"เอ็งแน่ใจนะ เจ้าขิ่น ว่าจำไม่ผิดคน?"

เด็กหนุ่มผงกหัว ครุ่นคิดราวระลึกย้อน

"แน่ใจสิครับ ทีแรกก็ลืมๆแต่มาคิดดูอีกที ใช่จริงๆแหละถึงผมจะเคยเห็นหน้ามันแค่ผาดๆก็เถอะ"

เจ้าขิ่นออกปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพียงเท่านั้นสีหน้าของกิ่งไผ่ก็ซีดเซียวลง...เรื่องใหญ่เสียแล้วสิ

"ขิ่นถ้านายของแกจะขอร้องให้แกร่วมมืออีก แกจะยินดีหรือไม่?"

เจ้าขิ่นทำหน้างุนงง แต่ก็ผงกหัว

"พี่ไผ่มีอะไรให้เจ้าขิ่นคนนี้ช่วย เจ้าขิ่นยินดีทำ บุกป่าฝ่าดงลุยน้ำลุยไฟ ดั้นด้นไปเจ็ดชั่วโครตก็ยอม"

เด็กหนุ่มให้คำมั่น กิ่งไผ่ก้มมองพื้นก่อนจะสั่งการ

"ขิ่นเอ็งไปช่วยทางทหารฝ่ายไทยได้ไหม"

เจ้าขิ่นทำตาโตอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้านายของมันเอ่ยออกมา

"ห๊า เจ้านายเอาจริงหรือครับ"

กิ่งไผ่มีสายตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เป็นการบอกว่า "พูดจริง" มิได้กล่าวเล่นๆ เจ้าขิ่นจึงไม่มีสิทธิ์แย้งอะไรเมื่อเห็นแววตาที่ฉายมา

"สิ่งที่ข้าจะบอกเอ็ง และสิ่งที่เอ็งจะทำอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด"

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-06-2008 20:03:40
แววหน้าครุ่นคิดถึงแผนการ เจ้าขิ่นรับปาก

"แล้วเอ็งอย่าให้มีพิรุธล่ะ"

กิ่งไผ่บอกเจ้าขิ่นให้เข้ามาใกล้ๆ กระซิบใส่หู มันทำหน้าหนักใจก่อนจะยอมรับกับแผนที่นายของมันคิดจะทำ

"อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะขิ่น"

เมื่อกล่าวจบนายของมันก็ผละออกไป เจ้าขิ่นคิดหนัก

"แต่นายครับ แล้วทางท่านนายพลอินคานกับ..."

มันยังพูดไม่จบ กิ่งไผ่ตอบด้วยความเรียบเฉย

"เรื่องนี้แกไม่ต้องไปสนใจ ทำธุระที่ฉันสั่งให้เสร็จก็พอ"

นายของมันว่าอย่างขรึมๆแล้วหันหลังกลับไปหากฤษดา

"ขออภัยครับที่ปล่อยให้คุณกฤษดารอ บังเอิญว่าคนของผมมารายงานข่าวก็เลยต้องไปจัดการเสียหน่อย"

กิ่งไผ่ว่าด้วยสีหน้าเรียบๆ กฤษดาก็ไม่ซักไซ้ไล่เรียงอะไร

"อยู่ที่นี่ไม่เบื่อบ้างรึ" คำถามที่ถามขึ้นอย่างกะทันหัน กิ่งไผ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่

"เบื่อรึ? ก็ไม่หรอก บ้านผมอยู่ที่นี่ ผมจะเบื่อได้ไง"

คำตอบเฉื่อยชา กฤษดารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

"งั้นหรือครับ เห็นว่าคุณไปเรียนที่เวทพอยท์มาเป็นอย่างไรบ้างครับ"

คนถูกถามยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบด้วยใบหน้าเฉยสนิท

"ผมว่าบิดาของผมคงจะเล่าให้คุณฟังแล้วกระมัง?"

กฤษดาหัวเราะ

"โอ้ย ยังหรอกครับ ท่านนายพลอินคานยังไม่เล่าอะไรที่เกี่ยวกับคุณให้ฟังเลย ผมก็อยากรู้จักกับคุณให้
มากกว่านี้ถ้ายังไง..."

กิ่งไผ่ที่นำมีดมาเหลาไม้เล่นอีกรอบยัดลงกระเป๋าเสื้อ เขาตัดบททันที

"เรื่องของผมใช่ว่าจะสนุกหรอกครับ ฟังไปน่าเบื่อเปล่าๆ"

เมื่อไม่เปิดช่องทางให้ กฤษดาก็ไม่รุกต่อ ดวงตาสีเขียวเข้ม รอคอยอย่างอดทน

"อ่า...ครับ...แล้วคุณจะไปไหนหรือเปล่านี่"

กิ่งไผ่เลิกคิ้ว

"คืออยากจะให้แนะนำพื้นที่หน่อยจะได้ไหม?"

กฤษดารอคำตอบ เห็นอีกฝ่ายคิดอยู่นานจนนึกว่าจะปฏิเสธ แต่กิ่งไผ่ตอบตกลง

"ได้ คุณอยากสำรวจพื้นทีไหนล่ะ หรือจะออกไปล่าสัตว์ก็ได้ แถวนี้ถมไป"

ทั้งสองลุกขึ้น เดินคุยกันไปถึงบ้านพัก นายพลอินคานมองแล้วโล่งใจที่กฤษดาและลูกชายเขาเข้ากันได้ดี เพราะมันหมายความว่าต้องร่วมมือกันทำงานในหนทางอันยาวไกลนี้

"ขิ่นล่ะลูก?"

ท่านนายพลเงยหน้าจากหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ กิ่งไผ่ตอบทันใด

"มันคงออกเถลไถลเข้าป่าหาอะไรทำตามประสาเด็กละมั้งครับพ่อ"

กิ่งไผ่รินน้ำใส่แก้ว ดวงตาไม่ปรากฏร่องรอยใดๆให้เป็นที่พิรุธเลย บิดาก็ไม่ซักถามอะไรอีก

"พ่อ วันนี้ผมจะพาคุณกฤษดาออกป่านะครับ"

ท่านนายพลอนุญาตโดยไม่ต้องขบคิด เมื่อกิ่งไผ่ดื่มน้ำเสร็จ เขาก็เตรียมปืน กระสุนแล้วก็ย่ามสัมภาระ

"เดี๋ยวของคุณกฤษดาผมจะให้คนจัดเตรียมให้นะครับ"

กฤษดามองไปรอบๆค่าย เขายิ้มนิดๆ ก่อนจะผงกหัวนั่งรอด้วยความเยือกเย็น

"ท่านประกาศกู้อิสรภาพของบ้านเมืองได้ยังครับ"

ท่านนานพลวางหนังสือลง จ้องมองกฤษดาด้วยแววตาครุ่นคิด

"ก็เห็นอยู่ไม่ใช่รึ"

ในน้ำเสียงของท่านไม่ปรากฏความรู้สึกใด มันเป็นคำพูดที่ชืดชาน่าดู ดวงตาและสีหน้าชราภาพจับจ้องเพดานก่อนจะเอ่ยถึงความรู้สึกออกมา

"ผมน่ะอยู่ที่เวียงนวรัฐะมาทั้งชีวิต มองเห็นความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งของเวียงที่ผมปกครองจนมันล่ม
สลาย ตัวผมเองอาจจะโง่เขลาเกินไปก็ได้ที่ไม่อาจปกป้องเมือง ปกป้องคนที่รักและก็ไม่อาจกู้เอกราชกลับคืน หรือว่าสังขารที่ค่อยๆร่วงโรยกันถึงทำให้เป็นแบบนี้"

ท่านหัวเราะเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง

"แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ผมก็ได้สืบทอดให้แก่จ้าไผ่มันแล้ว หวังว่าเขาจะทำมันได้ดีกว่าที่ผมทำ"

กฤษดาทำหน้าเสียใจตาม ก่อนจะกล่าว

"ผมก็เห็นใจที่เมืองท่านเป็นแบบนี้และผมก็นับถืออุดมการณ์ของท่านนัก ท่านเป็นคนที่แกร่งและก็เก่ง สักวันอำนาจนั้นต้องคืนสู่มือท่านแน่"

คำตอบที่ดูเหมือนจะเอาใจท่านนายพล กิ่งไผ่รู้มันอาจเป็นคำเท็จ แต่เขาเห็นความสุขบนใบหน้าของบิดาก็ไม่อาจจะขัดอะไรได้ เขาออกจากห้องส่งถุงย่ามบรรจุของจำเป็นให้แก่กฤษดา

"ขอบคุณครับ แล้วเราจะไปเลยไหม?"

กฤษดาเงียบไปทันทีหลังหลังกิ่งไผ่เดินออกมา

"พ่อ...เดี๋ยวค่ำๆผมจะกลับ"

กิ่งไผ่เอ่ยเป็นสัญญาณให้กฤษดาเดินตาม ท่านนายพลจับจ้องแผ่นหลังของคนทั้งสอง

...ลูกรักบางครั้งพ่อก็เอาแต่ใจไป พ่อขอโทษ...

ท่านมองด้วยแววตาอ่อนล้า ก่อจะไอออกมาชุดใหญ่...สังขารชราภาพ สักวันมันจะเหลือแต่ซากที่ไร้ค่า เงาอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ผ่านขึ้นมาเป็นเงาเลื่อมพรายแห่งความทรงจำ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-06-2008 20:08:39
เจ้าขิ่นเมื่อได้รับคำบัญชา มันรีบจัดการเรื่องต่างๆให้เสร็จแล้วลงไปปฏิบัติตามแผนที่นายของมันได้วางเอาไว้ เด็กหนุ่มนั่งหง่าว เฝ้ามองไอ้พวกโจรกระเหรี่ยงที่ล้อมเหล่าทหารผู้โชคร้ายไว้อย่างเงียบๆ มันเห็นว่าสองสามวันที่วันหายไปนั้น นายทหารแต่ละคนอ่อนเพลียตึงเครียด เพราะน้ำท่าไม่มีใช้ ข้าวของก็หร่อยหรอลงเรื่อยๆ มันรอโอกาสที่จะเข้าช่วยเหลือ แต่ไม่มีโอกาสใดปล่อยให้เข้าทำตามแผนได้เลย ขิ่นได้ยินเจ้าพวกโจรกระเหรี่ยงคุยกันถ้าล้อมไม่สำเร็จจะจุดไฟเผาป่า ได้ฟังอย่างนี้เจ้าขิ่นใจหายวาบ เพราะถ้าเจ้าพวกห้าร้อยทำแบบนี้จริงๆล่ะก็ เจ้าพวกทหารที่มาจากไทยมีแต่ตายและก็ตายเพียงอย่างเดียว มันรีบคลานหนี แต่ก็ก่อให้เกิดเสียงดัง เจ้าโจรกระเหรี่ยงเอะอะโวยวาย สาดกระสุนไปส่งเดช เจ้าขิ่นแนบศีรษะกับพื้นแทบไม่ทัน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงด่าเอะอะล้งเล้งระหว่างหมู่โจร มันไม่รอช้าปล่อยให้ไอ้พวกห้าร้อยลงโทษเพื่อนของมันรีบเผ่นไปแจ้งข่าวต่อนายของมันโดยเร็ว เพื่อหาทางแก้ไข

------------------------------------------------

ทางฝ่ายภานุที่ได้ยินเสียงปืนต่างก็พากันตื่นตัว ตั้งรบตามที่ได้วางแผนไว้ รออยู่นานไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องกลับมายังจุดเดิม

"โธ่!เล่นเอาหัวใจแทบวาย"

จ่าแม้นว่า ผู้กองรังสรรค์หัวเราะสียงแห้งๆ

"แต่ถ้ามันล้อเล่นแบบนี้อีกก็ไม่ไหว ผมก็ประสาทเสียเหมือนกัน"

ภานุผู้เป็นหัวหน้าไม่กล่าวอะไรเลย ร้อยเอกธีรเดชกระซิบกับหมวดอานุภาพเบาๆ

"ดูท่ามันจะเอาพวกเราถึงตาย อยากรู้นักว่าใครส่งมันมา"

ธีรเดชซึ่งสงบอยู่เสมอเอ่ยขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะความเครียดที่สั่งสม ทำให้เขาดูร้ายกาจไป

"ผมก็ตอบคุณไม่ได้แต่ว่า..."

ผู้หมวดหนุ่มหันมองเมื่อร้อยเอกภานุเรียก

"ผมสั่งให้คุณติดต่อไปยังค่ายใหญ่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง บอกพิกัดไปหรือยัง"

อานุภาพผงกหัวให้คำตอบ ไม่มีใครเห็นว่าหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนนั้นกำคอปืนแน่นถึงเพียงใด เขากำลังเคร่งเครียดต่อการถูกล้อม หวาดกลัวว่าเหตุการณ์นี้มันซ้ำรอยเหมือนกับเจ้านาคีอีก แต่ไม่มีทางไหนเลยที่จะหาหนทางรอดให้แก่หน่วย

"ผู้กองให้ผมฝ่าไปดูไหมครับว่า ทางฝ่ายนั้นมีกี่คน"

จ่าแม้นอาสา ภานุสั่นศีรษะ

"ไม่ต้อง รออยู่กันที่นี่แหละ ถ้าพวกคุณออกไปก็มีแต่ตายกับตาย หน้าที่นั้นผมจะรับผิดชอบเองในฐานะที่เป็น
หัวหน้าหน่วย"

ทุกคนต่างทำหน้าตกใจ

"แต่..."

จ่าแม้นจะค้าน สายเย็นเฉียบฉายชัด

"พวกคุณฟังคำสั่งของผม หากไม่กลับมา ผมขอให้ร้อยเอกรังสรรค์ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการแทน บางทีการที่
ผมไปลาดตะเวนตรวจดูข้าศึกอาจจะสร้างทางที่ดีให้แก่เราได้ เดี๋ยวผมกลับมา"

ชายหนุ่มฉวยกระติกน้ำ หมวกเหล็ก กระเป๋ายามบรรจุกระสุนและยารักษาโรค ก่อนจะเดินออก ธีรเดชก็ลุกขึ้นขวาง

"ผู้กอง หน้าที่นี้ให้คนอื่นทำแทนเถอะ ผมจะอาสาไปแทนคุณ"

ธีรเดชยังพูดอธิบายไม่จบ ก็ถูกผลักออก

"คุณยังใหม่กับหน่วยเรา แล้วก็ไม่ชำนาญเส้นทาง ปล่อยให้คนที่ชำนาญทำเถอะ"

จ่าแม้นก็ลุกขึ้นอีกคน

"ก็ผมไงผู้กอง"

จ่าอาสา แต่ก็โดนคำปฏิเสธ

"จ่าแม้นไว้นำทางตอนกลับไปยังเขตแดนไทย อย่าห่วงผม เสียส่วนน้อยไปก็ยังดีกว่าเสียส่วนมาก"

เมื่อไม่มีใครทัดทานได้ ผู้กองหนุ่มก็ค่อยๆกลืนหายไปกับพงไพร เสียงฝีเท้าค่อยๆห่างเรื่อยๆ สีหน้าของนายทหารทั้งสี่มีความไม่สบายใจเลยโดยเฉพาะธีรเดช เขาจะทำไงดีล่ะ ถ้าหากผู้กองภานุตายแล้วธารจะรู้สึกอย่างไร เขาจะบอกอย่างไรดี แม้จะหวั่นใจ แต่ในความหวาดหวั่นและสิ้นหวังมักจะแฝงแสงแห่งความหวังหริบหรี่ไว้อยู่เสมอ เพียงแต่ว่าแสงนั้นจะส่องมาเมื่อไร ไม่มีใครรู้ได้เลย

------------------------------------------------

ภานุออกมาลาดตะเวนเพียงลำพัง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเพราะทุกอย่างก้าว หากพลาดคือความตาย ชายหนุ่มสอดนิ้วในไกปืนเตรียมพร้อมเสมอหากเกิดเหตุร้าย สายตาก็สอดส่ายหาความผิดปกติ แต่ทั่วป่าช่างเงียบเชียบนัก เปรียบดั่งหลุมฝั่งศพที่มีแต่ความวังเวง ในที่สุดเขาก็ทรุดนั่ง หยิบกระติกน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะออกเดินต่อเกรงว่าจะคว้าน้ำเหลว ในที่สุดก็ได้กลิ่นกองไฟโชยในอากาศ ชายหนุ่มดีใจยิ่งนัก ค่อยๆเดินย่องไปหาที่หมาย โดยหารู้ไม่ว่ามีคนตามเขามาเช่นกัน ฝีเท้าเงียบแผ่ว มีดปลายแหลมค่อยๆเงื้อขึ้น เงาคมวับวาดลงในอากาศ ก่อนจะแทงข้างหลังของภานุ ชายหนุ่มรู้สึกตัวถึงประกายคมแว๊บ จึงเบี่ยงตัวหลบ ยกแขนขึ้นกั้น มีดปลายแหลมแทงฉึกเข้าไปยังต้นแขนภานุ เขาใช้เท้าถีบท้องไอ้โจรที่เล่นสกปรก

"มึงคิดว่าพวกมึงจะฝ่าวงล้อมของพวกข้าได้รึ มีแต่ห้าคนยังสะเร่อสู้คนเป็นสิบ บอกมาว่าพวกเอ็งอยู่ไหนพวกข้าจะได้ย่างสดเอ็ง"

มีหรือว่าภานุจะบอกให้โง่ เขายอมตายเสียดีกว่าทรยศพวกพ้องและลูกน้องของตนเองเพราะรักชีวิต เสียงสบถสำรากอย่างหยาบคายเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ภานุกำแผลที่ถูกแทงแน่น เขาข่มความอดทน เลือดไหลโชกจนชุดสีเขียวเป็นด่างดวง

"มึงไม่ตอบ อยากตายนักรึ"

มีดคมยาวจะแทงเข้ามาอีกครั้ง แต่มันต้องชะงัก ร่างของไอ้โจรห้าร้อยหงายหลังล้ม เลือดของภานุเริ่มนองพื้น ภานุงุนงง ใครกันที่ยื่นมือเข้าช่วย แต่เขาก็อ่อนเพลียเพราะเสียเลือดมากเกินไป จึงล้มลง ดวงตาพร่าพราย คิดถึงหน้าในความทรงจำ...ธาร...ดวงตาแกร่งค่อยๆปิด ปืนที่อยู่ในมือร่วงหล่นบ่นพื้น เสียงถอนใจอย่างโล่งอกลอดออกมาจากต้นไม้ใหญ่พุ่มดกหนาแห่งหนึ่ง

"ลูกดอกยางน่องใช้ได้ผลดีนี่หว่า"

เจ้าขิ่นโผล่ออกมาดู เห็นแผลฉีกขาดเป็นทางยาว และก็ลึกพอควร มันถอนใจอีกครั้ง เมื่อจำเป็นต้องช่วย ดังนั้นมันจึงล้วงเข้าไปในยามปฐมพยาบาลอย่างว่องไว เพราะกลัวว่าไอ้พวกห้าร้อยมันจะเอะใจเมื่อไม่เห็นเพื่อนมัน พอปฐมพยาบาลตามมีตามเกิดเสร็จมันก็รีบยกร่างใหญ่อย่างทุลักทุเลพาไปส่งฐานที่มั่น ปากยังบ่นพึมไม่หยุด

"ไอ้โง่เอ้ย รนหาที่ตายชัดๆ ยังดีนะที่ข้าเปลี่ยนใจกลับมาก่อน ส่วนไอ้โชคร้ายนั้น มันคงเห็นเจ้านี่เลยคิดจะฆ่า แต่มันก็โชคร้ายเหมือนกัน แต่ถ้านายกิ่งไผ่ไม่บอกให้ช่วย ข้าก็ปล่อยให้เอ็งตายไปนานแล้ว"

เด็กหนุ่มลากเจ้ายักษ์มาด้วยกำลังทั้งหมด ภานุที่เสียเลือดไปมากลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ

...ใคร...ใครเนี่ย...

แต่ไม่มีวันที่จะได้ยิน เจ้าขิ่นรีบวางร่างของภานุลง แล้วเขาก็หาทางส่งข่าวให้คนข้างในรู้ ทหารที่ชราที่สุดในกลุ่มผุดลุกขึ้น

"ผู้กองภานุกลับมาแล้วกระมัง"

จ่าแม้นหยิบปืนรีบวิ่งไปดู แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้กองบาดเจ็บ จ่าแม้นจึงเรียกคนมาช่วย ธีรเดชวิ่งมาอย่างว่องไวแล้วตกใจที่เห็นภานุบาดเจ็บ

"ถูกลอบกัดรึ ผู้กองก็เก่งนักที่ฝ่ามาถึงนี้ได้"

รังสรรค์ว่า แต่อานุภาพก็ชี้ให้ดูผ้าพันแผลเก่าๆมอๆ

"ผู้กองไม่มีวันมาถึงนี่ได้เอง ต้องมีคนพามา มันเป็นศัตรูหรือมิตรกัน"

สายตาทุกคู่ต่างก็แลไปรอบๆ เจ้าขิ่นที่แอบซ่อนตัว อยากตบหัวตัวเอง

...เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่อยากญาติดีกะพวกเอ็งหรอก แต่มันจำเป็น เสียงเอ่ยที่ไม่มีใครได้ยิน และไม่มีวันรู้ว่าจะเป็นเช่นไรต่อ

พอภานุเปิดเปลือกตาขึ้น เขาก็รู้สึกอ่อนเพลียและร่างกายป่วยเป็นไข้จากพิษบาดแผล ผู้ที่เฝ้าพยาบาลทำสีหน้าเครียด ทางเดียวเท่านั้นที่พาภานุไปรักษาตัวได้ นั่นก็คือต้องตีฝ่าออกไป แต่ถ้าทำแบบนี้ ก็จะไม่มีใครเหลือเลย ท้ายที่สุดภานุก็เอ่ยมาได้

"ผมเสียทีมัน แต่พวกคุณไม่ต้องฝ่าวงล้อมเพื่อเอาผมออกไปนะ รอก่อน...รอ"

อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้เขาเอ่ยแบบนั้น แม้จะบาดเจ็บ แม้จะป่วย ภานุก็ยังเป็นภานุคนเดิม ทุกคำสั่งคือความเฉียบขาด เจ้าตัวยิ้มอย่างกล้าหาญ แม้รู้แน่แก่ใจที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อข่มความหวาดกลัวแต่เขาต้องรอด ต้องกลับไปหาใครบางคน... เพราะในช่วงนาทีมรณะเขารู้แล้วว่าใครสำคัญต่อเขา...สายแม่น้ำชโลมใจที่มีนามว่า...ต้นธารา...

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: momo_2007 ที่ 16-06-2008 23:18:34
โอย เครียดครับ เครียด รออ่านต่อไปๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 17-06-2008 03:32:43
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับแล้วเมื่อไร่กิ่งไผ่กับผู้กองธีจะได้เจอกันอะครับ

ลุ้นๆๆ อยากให้เจอกัน แล้วอยากให้ภานุรอดออกไป

ไปเจอกับคุณหมอเร็วๆๆ ดีจังตอนนี้ผู้กองภานุนึกถึงคุณหมอมาบ้างแล้ว อิอิ


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 18-06-2008 18:09:32
เย่ๆๆๆ

ตามอ่านทันแล้ว

ขอนับถือคุณหมอธารคนแรกเลย

ผู้กอง  อย่าเพิ่งเป็นไรน้า

แอบลุ้นคู่กิ่งไผ่อ่ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-06-2008 22:47:28
อิอิ  ต่อเลยน้า  ตามให้ทันเน้อ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:16/risk/ฝ่าวงล้อม


การที่หัวหน้าหน่วยบาดเจ็บสร้างความหวั่นใจให้แก่ทุกคนในหน่วยเป็นอันมาก เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมา ธีรเดชที่คอยปฐมพยาบาลผู้กองภานุทำหน้ากังวล เพราะบาดแผลของผู้กองเริ่มอักเสบ ส่วนผู้กองรังสรรค์ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาการแทนนั้น ย่นหน้าเมื่อเห็นน้ำกับอาหารไม่เพียงพอต่อการประทังชีพ

“จะเอาไงดีครับผู้กอง จะให้จ่าแม้นออกไปหาอาหารไหมครับ”

จ่าแม้นที่นั่งเงียบกริบมานานเสนอ แต่ผู้กองรังสรรค์ส่ายหน้า

“มันเสี่ยงเกินไป ผมไม่อยากให้ทางฝ่ายเราเสียทีทางฝ่ายนั้นอีกแล้ว”

หมวดอานุภาพคว้าปืนทำหน้าจริงจัง

“แล้วจะปล่อยให้เราทั้งหมดอดหรือครับ หากอ่อนแรงเราจะเอาอะไรไปสู้อีกฝ่าย เป็นอย่างนี้ก็ตายหมู่สิครับ ให้ผมกับจ่าออกไปเถอะ”

ชายหนุ่มบ่นพึม สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏเต็มสีหน้า ก่อนที่จะตัดสินใจลงไป ผู้กองรังสรรค์ขอเวลาขบคิดสักเล็กน้อย เจ้าขิ่นที่คอยแอบเฝ้ามอง มันบ่นพึมพำว่าทางฝ่ายทหารไทยโง่ เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิ เฝ้ามองทิวไม้เขียวชอุ่มบนคาคบไม้มะค่า มันเอนหลังนอนอย่างสบายใจเฉิบ วางกล้องส่องทางไกลลงบนอก รอเวลาเข้าไปช่วยเหลือ เด็กหนุ่มคิดถึงพี่ไผ่ ปานนี้จะเป็นไงบ้างนะ คิดพลางหลับตา จนกระทั่งยามเย็นเข้ามาเยี่ยมกราย เจ้าขิ่นลงจากคาคบไม้ด้วยความว่องไวดุจลิง มันซุ่มอยู่รอบนอกฐานของพวกโจรกะเรี่ยง ศพของเจ้าเคราะห์ร้ายยังอืด อีกฝ่ายยังไม่สงสัยโชคดีไปสำหรับเจ้าขิ่น เด็กหนุ่มหอบกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำมาสามกระบอก รักษาฝีเท้าไม่ให้ลำไผ่กระทบกัน มันค่อยๆเลาะตามแนวที่เจ้าพวกโจรไม่ค่อยรักษาความปลอดภัยแอบหลังพุ่มไม้เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

“ทำไมคนของเราหายไปหนึ่งคน มึงไปตามมันสิ”

เสียงค้านอย่างเบื่อหน่ายก็ดังขึ้น

“ช่างหัวมันประไรเล่า มันคงถูกเสือขบหัวตายแล้วมั้ง เห็นมันออกไปหาของป่า เออ หรือไม่ก็ทะเลอทะร่าถูกไอ้ทหารไทยฆ่าตายแล้วมั้ง”

เสียงหัวเราะร่วน เห็นเป็นเรื่องตลก หูของเด็กหนุ่มได้ยินเสียงดังผลัวะชัดเจน ไอ้คนที่ปากหมาคงถูกต่อยแน่ๆ

“กูไม่ได้ใช้ให้พวกมึงมาพูดเล่น ไอ้ห่ะ มึงออกไปตามมันมา มึงรู้ไหมถ้าหากมึงทำงานไม่เสร็จ พวกมึงจะถูกฆ่าทิ้ง”

เจ้าคนที่พูดเล่นเงียบกริบ รีบลนลานออกมา เจ้าขิ่นเห็นท่าไม่ดี เด็กหนุ่มจึงรีบออกจากที่ซ่อน แล้วมาทางค่ายของเหล่าทหารไทยที่นั่งหมดอาลัยตายอยากเพราะทางหัวหน้ารองไม่อนุมัติคำสั่ง จ่าแม้นเขี่ยไฟที่เริ่มราเชื้อ ผู้กองธีรเดชนำผ้าเปื้อนเลือดแช่น้ำ สีหน้าของผู้กองหนุ่มอิดโรย หมวดอานุภาพนั่งเคี้ยวต้นหญ้าหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ผู้กองรังสรรค์ลุกขึ้น

“เรื่องนี้ขอให้ผู้กองตัดสินใจดีๆเถิดครับ”

จ่าแม้นกล่าวอีกครั้ง แต่ผู้กองรังสรรค์ก็ปฏิเสธเช่นเคย

“บอกแล้วผมไม่อยากเสี่ยง”

เสียงพูดคุยลอยไปถึงหูเจ้าขิ่น เด็กหนุ่มรู้สึกเห็นใจอยู่หรอก แต่ทำไงได้ล่ะ มันวางกระบอกน้ำไว้ตรงคาคบไม้ พอให้เจ้าพวกทหารไทยมองเห็นได้ แล้วรอฟังสถานการณ์ต่อไป เสียงก็จ่าชราก็ดังขึ้นอีก เจ้าขิ่นสนใจฟัง มันลืมไปว่า ทางเจ้าโจรกะเรี่ยงส่งคนให้มาดูเพื่อนของมัน ขณะนี้มันเดินมาทางเด็กหนุ่ม เจ้าขิ่นมัวแต่ฟังทางเหล่าทหารไทยคุยกัน จนกระทั่งเสียงย่ำใบไม้ดังกรอบแกรบ เจ้าขิ่นหันไปมอง แล้วหน้าเสีย

...ชิ เข้ามาขัดจนได้....

เสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบสะท้อนในความเงียบ เหล่าทหารไทยหันมองล่อกแลก เจ้าขิ่นถอนใจฮึดฮัด เป็นมันที่ต้องจัดการเจ้าตัวยุ่งยากอีกแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มก็หลบหายไปเงียบๆ

“ผู้กองครับ เสียงนั้นอาจจะเป็น...”

หมวดอานุภาพว่า รังสรรค์กางแขนกั้น ชายหนุ่มหยิบปืนพกขึ้นมา ตรวจดูลูกกระสุน

“อย่าเพิ่งกะโตกกะตากไป...เงียบ...ผมจะออกไปดูเอง”

ชายหนุ่ม เดินช้าๆ สายตาเหลือบมองทั่วทิศ ค้นหาตนตอ แล้วต้องประหลาดใจเมื่อเห็นกระบอกน้ำ เขานั่งลงมองรอยเท้าที่ลบเลือนหาย จ่าแม้นอดทนไม่ไหวลุกขึ้นมาดู

“นี่มันน้ำนี่ครับ”

จ่าชรากล่าวอย่างดีอกดีใจ กำลังจะหยิบขึ้นมาดูด้วยความลืมตัว แต่รังสรรค์ก็ห้ามไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งแตะต้องครับจ่า อาจจะมียาพิษเจือปน”

จ่าแม้นชะงักมือ แล้วถอนใจอย่างเสียดาย

“โธ่เอ้ย อุตส่าห์มีน้ำต่อชีวิตแท้ๆ แล้วใครนำมาให้ล่ะ”

จ่าชราตั้งคำถาม ผู้กองหนุ่มส่ายหน้า

“ผมก็ตอบไม่ได้ เดี๋ยวผู้กองได้ยินเสียงอะไรไหม?”

ทั้งสองเงี่ยหูฟัง ดวงตาอ่อนล้าของจ่าแม้นมองใบหน้าของผู้กองหนุ่ม

“ได้ยินครับ มันดังจากทางนั้น เดี๋ยวผมไปดูเองครับ”

จ่าแม้นไม่รั้งรอ ชายชราวิ่งเหยาะๆไปทางที่เกิดเสียงแล้วต้องผงะ เมื่อเห็นซากศพสองร่าง อีกร่างหนึ่งเริ่มเน่าเฟะส่งกลิ่นอวล ส่วนอีกร่างดูเหมือนเพิ่งตายหมาดๆ ลำคอถูกมีดปาดเหวอะหวะ เสียงของชายชราทำให้ผู้กองหนุ่มวิ่งไปดู แล้วงงเป็นไก่ตาแตก เหลียวมองรอบๆตัว

“นี่มันคืออะไร ใครเป็นคนจัดการพวกนี้ จ่ารึ”

จ่าแม้นส่ายหน้านิ้วแกร่งชี้มาทางศพที่เริ่มเน่า

“อันนี้ยังพอให้คำตอบได้ แต่ศพนี่สิ ประหลาดจริงๆ”

คนที่ฆ่าเจ้าโจรกะเรี่ยงเคราะห์ร้ายซุ่มเงียบๆ มือของเจ้าขิ่นชุ่มไปด้วยเลือด มันปาดเหงื่อ เกือบไปแล้วเชียว เด็กหนุ่มซุ่มดูบุคคลทั้งสองสนทนากัน

“นั่นสิครับ ไอ้เจ้าเคราะห์ร้ายนี้คงถูกผู้กองภานุฆ่าทิ้ง แต่ว่าเจ้านี่ มันยังไงกัน จ่าว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องน้ำนั้นไหมครับ ”

จ่าแม้นส่ายหน้า ดวงตาปรากฏความไม่เข้าใจอยู่เต็ม

“ผมก็ไม่ทราบ ผมว่าเรากลับไปคุยที่ค่ายเถอะครับ ปล่อยไอ้โชคร้ายสองตัวนี้ไว้เถอะครับ”

ทั้งสองต่างรีบเร่งกลับฐาน จมูกยังได้กลิ่นซากศพอยู่ไม่คลาย พอทหารไทยกลับไป เจ้าขิ่นก็ออกจากที่ซ่อน รู้ดีว่าหากอยู่นานไป อาจจะซวยแทนได้ ดังนั้นมันจึงหลบไปยังที่ซ่อนเดิม ภารกิจหนึ่งมันทำสำเร็จแล้ว มันจึงค่อยมั่นใจขึ้นมาบ้าง


---------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-06-2008 22:49:37
ทางฝ่ายผู้กองรังสรรค์และจ่าแม้น เมื่อกลับถึงฐานก็เล่าเรื่องที่ประสบพบเจอให้ฟัง ธีรเดชนั่งเงียบกริบ เขาสงสัยเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับสายลมแห่งความโชคดีได้พัดผ่านเข้ามา

“มีเรื่องอะไรกันรึ”

ภานุตื่นจากการหลับใหลเพราะเสียงกระซิบกระซาบ

“เห็นผู้กองรังสรรค์กับจ่าแม้รายงานว่าเจอศพของฝ่ายตรงข้ามที่ชายป่าครับ แล้วอีกอย่างมีใครบางคนที่คอยช่วยเรา”

หมวดอานุภาพรายงาน ภานุยันกายลุกขึ้นข่มความเจ็บปวดทั้งหมด ฟังคำรายงานจากปากรองผู้บังคับบัญชา พอฟังเรื่องเล่าทั้งหมดจบก็นิ่วหน้า

“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ผมออกไปลาดตะเวนตรวจดูข้าศึกแล้วเสียทีพลาดพลั้งมัน เหมือนกับมีคนมาช่วยจริงๆ เสียดายที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร”

ภานุพึมพำ ธีรเดชโพลงออกมา

“จะเป็นไปได้อย่างไรครับก็ในเมื่อแทบนี้เป็นเขตแดนของ...”

ธีรเดชยังพูดไม่จบก็เงียบไปเพราะฉุกคิดได้ว่าอาจจะเป็นหญิงคนนั้นก็ได้ หญิงสาวปริศนา แต่มันจะเกี่ยวข้องกันหรือ แล้วเธอรู้ได้อย่างไรกัน คิ้วของธีรเดชขมวดมุ่นจนจ่าแม้นต้องถาม

“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กองธี เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหลือเกิน”

ธีรเดชเงยหน้าขึ้นรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

ชายหนุ่มเก็บงำเรื่องที่เป็นปมเงื่อนไว้ในใจเงียบๆ ไม่มีใครขบคิดได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร กับการช่วยเหลือที่ไม่ได้คาดหมาย ส่วนอานุภาพกัดปากแน่น

“รอดูไปเรื่อยๆก่อน ไม่แน่เราอาจจะกลับเข้าเขตไทยได้ หมวดอานุภาพคุณติดต่อทางค่ายหรือยัง”

ผู้หมวดหนุ่มที่เหม่อไปอีกคนผงกหัวเมื่อหัวหน้าหน่วยถาม

“งั้นก็ดี...ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาดเราจะพากันตีฝ่าวงล้อมหลบหนีไป”

ภานุเอ่ย สายตาของทุกคนแจ่มใสขึ้นมาทันที

------------------------------------------------

กิ่งไผ่พาเจ้ากฤษดามาเดินป่า เขาเหลียวมองทิศทางที่ผู้กองหนุ่มชาวไทยถูกล้อมไว้ ในใจของกิ่งไผ่ภาวนาขอให้เจ้าขิ่นจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยไวเถอะ ขณะก้มตามรอยเท้ากวางด้วยใจที่เหม่อลอยนั้น กิ่งไผ่ไม่ได้ระวังเจ้ากฤษดาเลย ชายหนุ่มเข้าใกล้ จนกระทั่งปลุกตื่นจากภวังค์

“เหม่ออะไรครับ ระวังจะเกิดอุบัติเหตุนะครับ”

ลมหายใจของอีกฝ่ายแทบปะทะแก้ม กิ่งไผ่เบือนหน้าไปทางอื่น จนกฤษดาต้องยื่นมือจับคางให้หันมาสบตาสีประหลาด

“ทำไมคุณต้องหลบหน้าผมทุกทีเนี่ย”

ชายหนุ่มถามอย่างข้องใจ กิ่งไผ่เชิดหน้าขึ้นปัดมือของอีกฝ่ายออก

“ผมไม่ให้หลบหน้าเสียหน่อย ขอเถิดเถอะครับช่วยมีมารยาทหน่อย”

กิ่งไผ่กล่าวอย่างเหลืออดเหลือทน มีหรือที่นายกฤษดาจะยอมทำตาม เหมือนอีกฝ่ายจะรุกเร้า กิ่งไผ่หยิบปืนพกขึ้นมาจ่ออก

“ผมไม่ใช่ผู้หญิง อย่ามาดูถูกกันแบบนี้ ผมเริ่มหมดความอดทนแล้วนะครับ คุณเป็นแขกของพ่อผม ผมจึงให้เกียรติคุณหาไม่แล้ว...”

แทนคำพูดทั้งหมด กิ่งไผ่เหนี่ยวไกปืนยิงลูกมะม่วงป่ากระเด็นหล่นแบบไม่ต้องเล็ง นายกฤษดาชะงัก แก้มสัมผัสความร้อนที่เฉียดผิวเนื้อไป

“ผมก็แค่ล้อเล่น เห็นคุณกิ่งไผ่ดูเครียดเท่านั้นเอง”

ชายหนุ่มผละออกจากตัว กิ่งไผ่ยิ้มเย็นตอบกลับ

“ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องล้อเล่นเสียด้วยสิ”

รอยยิ้มของชายหนุ่มลูกครึ่งผุดขึ้น

“ผมก็ไม่ชอบเรื่องล้อเล่นเช่นกัน สักวันคุณจะมากองแบบเท้าผมโดยที่ปืนกระบอกนี้ไม่ช่วยอะไรคุณได้เลย”

กฤษดาพูดใส่หน้า มันทำให้กิ่งไผ่กำหมัดแน่น สายตาสีประหลาดไม่มีร่องรอยว่าจะกลัวเขาสักนิดเดียว

“เอาล่ะ...ผมว่าเราเดินทางกันต่อดีกว่า”

กฤษดาเดินนำหน้าลิ่วๆ ปล่อยคนทระนงในตัวเองอย่างกิ่งไผ่ต้องกัดฟันกรอด จำต้องเดินตามกลับค่าย พอไปถึงสีหน้ากิริยาของกฤษดาก็เปลี่ยนไป พูดคุยกับท่านนายพลอินคานอย่างสนิทสนม ร่างโปร่งมองด้วยหางตาอย่างอาฆาตมาดร้าย

“เป็นอะไรละลูกไผ่?”

บิดาถาม กิ่งไผ่สะดุ้งขึ้น ก่อนยิ้มตอบ

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

กิ่งไผ่วางปืน ปลดกระดุมข้อมือ นายกฤษดาส่งสายตาอย่างมีความหมายมาให้ ร่างโปร่งรู้สึกเบื่อหน่าย จึงเดินหนีแทน

...ไม่ยักรู้ว่าคนๆนี้จะคิดกับเขาในเชิงชู้สาว...

นิ้วเรียวแตะหน้าของตน ใบหน้านี้มันทำให้เขาปฏิบัติงานสำเร็จมากนักต่อนัก ถึงจะชิงชังมัน แต่มันก็เป็นเค้าโครงหน้าของมารดา เขานั่งเหม่อจนไม่รู้ว่าท่านอินคานโผล่มาทางเบื้องหลังอย่างเงียบกริบ

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสียงอ่อนๆถาม กิ่งไผ่เหลียวมองก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่เป็นอะไรครับพ่อ ผมแค่เหนื่อยเท่านั้น”

นายพลอินคานนั่งข้างบุตรชาย ท่านมองดูสีหน้าอิดโรย หนักใจก่อนชายชราจะนำหลังมืออังหน้าผากผู้เป็นบุตร

“เจ้าเหนื่อยก็พักเสียเถอะ เดี๋ยวให้คนอื่นจัดการงานแทนเจ้าก็ได้”

กิ่งไผ่ส่ายหน้า เขายิ้มเข้มแข็ง

“ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อต่างหากที่ควรพัก ดูสีหน้าของพ่อไม่ดียิ่งกว่าผมอีก”

สายตาของบุตรชายจ้องเขม็ง

“ผมโตแล้วนะครับ อีกอย่างงานที่พ่อให้ทำผมทำได้ทุกอย่างแล้วด้วย ไม่ต้องห่วงผม”

นายพลอินคานยิ้ม

“พ่อไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น พ่อเกรงว่าเจ้าไม่สบายต่างหากถึงพูดแบบนี้ ไหนเจ้าขิ่นล่ะ มันชอบมาอยู่ข้างๆลูกไม่ใช่รึ”

สายตาของท่านสอดส่ายหาสหายของบุตรชาย กิ่งไผ่หลบตา

“ผมใช้มันไปทำงานอื่นอยู่ครับ ผมว่าพ่อไปพักก่อนเถอะ”

กิ่งไผ่ประคองชายชรา เข้าไปยังห้องนอน สายตามองนายกฤษดาที่ทำตัวสบายอกสบายใจยามที่สองพ่อลูกเดินผ่าน พอประคองบิดาให้พักผ่อน กิ่งไผ่ก็ลงมาข้างล่าง เขาพบคนของเขาและพบว่าดูแปลกไป

“มีอะไรหรือเปล่า”

กิ่งไผ่ถามลูกน้องของพ่อ ซึ่งเอาแต่หลบตา ชายหนุ่มถอนใจ ไม่ได้คำตอบเขาก็ไม่เซ้าซี้ เดินตรวจค่ายสักพักจึงกลับไปดูบิดา แล้วเห็นท่านนายพลกุมอก กิ่งไผ่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ร่างโปร่งก้มลงมองบิดาแล้วถามละล่ำละลัก

“เป็นอะไรครับ”

สายตากลมโตเหลือบมองยาลดความดัน เขารีบคว้ายามาเทให้ท่านนายพล รีบให้ท่านดื่มน้ำ นายกฤษดาเห็นเอะอะจึงเข้ามาดู ท่านนายพลยิ้มสมกับเป็นทหาร

“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ความดันขึ้นเท่านั้นเอง”

กฤษดามองอย่างเป็นห่วง หากแต่ดวงตาเบื้องลึกซ่อนแววบางอย่างไว้

“ท่านไม่เป็นอะไรแน่หรือครับ”

นายพลอินคานพยักหน้า

“แน่สิ คุณกฤษดาอย่าห่วงเลย”

นายกฤษดารั้งรออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปิดประตูให้ กิ่งไผ่มองหน้าบิดา

“พ่อครับ พ่อไม่เป็นอะไรจริงนะเหรอครับ ผมรู้สึกว่า...”

ท่านนายพลจุ๊ปาก

“ฮึ่ม เจ้าไม่รู้รึว่าพ่อของเจ้าแข็งแรงจะตาย แค่โรคของคนแก่ พ่อทนได้”

ชายหนุ่มยังไม่คลายแววตาเป็นห่วงเป็นใย

“เจ้าออกไปดูหุ้นส่วนสำคัญเถอะ อย่าให้เขาว่ากล่าวติเตียนเราได้”

กิ่งไผ่ไม่ยอม เขานั่งอยู่บนพื้นเคียงบิดาจนท่านนายพลต้องกล่าวด้วยความเฉียบขาดนั้นแหละ จึงทำให้กิ่งไผ่ลุกขึ้น ก่อนจะออกจากห้อง เขามองบิดาแล้วพูดเสียงแผ่ว

“พ่อครับ ผมไม่ถูกชะตากับแขกที่พ่อเชิญมารวมอุดมการณ์เลย ชายคนนั้นดูเหมือน...”

กิ่งไผ่หยุดไป นายพลยิ้มคานยิ้มนิดๆ

“พ่อเข้าใจ เอาล่ะเจ้าออกไปดูแขกเสียที”

พูดจบ ประตูห้องก็ปิดลง ท่านนายพลกุมหน้าอกแล้วนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ท่านรู้สึกว่าหัวใจของตนจะย่ำแย่ แต่ท่านมิอาจจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ชายชราล้มตัวนอน คิดถึงมนัสหยา คิดถึงอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ เมฆมืดมัวราวกับจะพัดผ่าน รอยยิ้มของภรรยารัก เหตุไฉนช่างห่างไกลนัก น้ำตาไหลหยดจากหางตา...ความว่างเปล่า...สิ่งที่ท่านจะได้รับก็คือสิ่งนี้ ท่านนอนคิดอย่างเดียวดาย ห่วงแต่ลูกกิ่งไผ่ หากอยู่ตัวคนเดียวจะเป็นเช่นไร ใครจะดูแลได้ ดวงตาอ่อนล้าก็ปิดลง

------------------------------------------------

กิ่งไผ่ออกจากห้อง เขาพิงประตูแล้วตีสีหน้าเมื่อเห็นสายตาของคนที่เขาไม่ชอบใจจ้องมา

“หวังว่าคงไม่ต้องส่งท่านนายพลกลับไปในเมืองนะครับ ถ้าหากส่งไปล่ะก็ โทษทัณฑ์ทั้งหมดทั้งมวลจะมีผลลงโทษทันที”

กิ่งไผ่รับฟังเงียบๆ แล้วย้อนถามเรียบๆ

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ ในเมื่อผมกับทางของคุณก็เป็นหุ้นส่วนกัน”

คำถามที่ตรงไปตรงมา กฤษดาหัวเราะเบาๆ

“ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ ปากร้าย แต่ผมก็เป็นคนใจดีนะ”

พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ แม้กิ่งไผ่จะไม่ชอบใจ เขาก็ต้องสงบเอาไว้

“งั้นหรือครับ ผมว่าถ้าคุณเก็บปากเก็บคำมากกว่านี้ก็คงดี”

ร่างโปร่งทิ้งท้ายก่อนลงจากเรือน สายตาดั่งพญาเสือเข้มขึ้น รอยยิ้มแสยะออกดูชั่วช้า

“อีกไม่ช้า คุณก็ต้องตกเป็นของผมอยู่ดี”

นายกฤษดาจุดบุหรี่สูบอย่างอารมณ์ดี ร่างโปร่งที่ถูกกวนโทสะหงุดหงิดยิ่งนัก ทั้งความเครียดที่ต้องรอคอยผลจากเจ้าขิ่นว่าจะช่วยทางทหารไทยสำเร็จไหม ทั้งเรื่องบิดาล้มป่วย มันปะดังปะเดเข้ามาพร้อมๆกันจนแทบรับไม่ไหว หากต้องอดทน เขาต้องเข็มแข็ง เหมือนตอนอยู่โรงเรียนทหาร เขาต้องรอ ชีวิตเขาคือการรอคอย กิ่งไผ่สงบอารมณ์ได้แล้วขึ้นไปบนเรือน แต่ต้องชะงักเมื่อนายกฤษดาขวางประตูไว้ ดูเหมือนจะเย้าหยอกมากกว่า เขาเดินผ่านช่องที่เบี่ยงไว้ เส้นผมยาวสลวยปลิวใส่หน้า อีกฝ่ายสูดดมกลิ่นหอมสะอาดอย่างฉกฉวย ประตูห้องปิดโครม เสียงถอนใจดังจากปากนายกฤษดา เมื่อรู้ว่าต้องชนะ จึงนั่งลงอย่างสบายใจ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่กิ่งไผ่ทำแค่การลวงเท่านั้นเอง ร่างโปร่งกำลังวางเบี้ย ปล่อยให้เหยื่อติดกับแล้วจัดการเชือดทีหลัง วิธีที่แสนง่ายดายแต่ใช้ได้ผลนัก!

------------------------------------------------

หลังจากกลับมาจากแม่สาย ต้นธาราดูเหมือนจะคลายความพยศลงมาครึ่งหนึ่ง ยอมทำทุกอย่างตามที่แพทย์บอก ท่านนายพลพิภพใจชื้นขึ้นเมื่อต้นธารายอมพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคมะเร็งโดยไม่รอภานุกลับมา

“พ่อดีใจที่ลูกรักชีวิตตัวเอง”

ต้นธารายิ้ม

“ผมอยากมีชีวิตอยู่ครับ ผู้กองนาคีคงคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

ผู้เป็นบุตรตอบกลับ บิดากุมมือบอบบางไว้

“ธาร ลูกรับการเข้ารักษาแบบคีโมได้ใช่ไหม? พ่อคุยกับแพทย์ไว้ก่อนแล้ว ถ้าลูกจะเข้ารับการรักษา ลูกต้องเข้ารับคีโมเพราะวิธีนั้นก็เป็นการรักษาที่ดีที่สุด”

ท่านเจ็บปวดใจที่จะเห็นผู้เป็นบุตรทุกข์ทรมาน ท่านกล่าว่าตัวเองอยู่เสมอที่ไม่อาจมอบความสุขให้แก่บุตรแทนภรรยาได้

“ผมรู้ครับพ่อ”

ต้นธาราบีบมือท่านเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นว่าจะรับเข้ารักษา

“พ่อก็อยากให้เจ้าหายขาดโดยไม่ต้องทรมานจริงๆ รู้ไหมธารหากเจ้ารับการคีโมมันจะเป็นอย่างไร พ่อไร้ความสามารถจริงๆที่ไม่อาจหาไขกระดูกที่ตรงกับเจ้ามาให้ได้”

ต้นธารายิ้มเซียวๆ

“โธ่!พ่อครับผมก็เป็นหมอนะ รู้ดีน่าว่าการคีโมเป็นอย่างไรแล้วอีกอย่างไม่ต้องหาคนที่มีไขกระดูกตรงกับผมก็ได้ ”

ต้นธาราว่า ท่านนายพลมองหน้าบุตร

“แล้วทำไมลูกถึงตัดสินใจแบบนั้นล่ะ”

ท่านถาม ลูกชายตอบทันใด

“ผมไม่อยากให้พ่อเสียใจ เพราะผมทำให้พ่อเสียใจมากพอแล้วครับ”

ท่านนายพลยิ้ม

“พ่อรักเจ้านะธาร”

นายพลพิภพกอดลูกชายเอาไว้แน่น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

“ลุงก็เหมือนกัน”

นายพลอรุณก้าวเข้ามาในห้อง ท่านวางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะ

“เฮ้อ กว่าจะเสร็จงานแล้วมาเยี่ยมหนูธารได้นี่ มันเหนื่อยจริงๆ ดั๊นมาเห็นภาพพ่อลูกรักกันเสียจนน่าอิจฉา”

ท่านนายพลหัวเราะยามที่เอ่ย ต้นธารายิ้ม

“คุณลุงก็พูดไป ผมก็รักคุณลุงเหมือนกันนะครับ ลุงเหมือนเป็นพ่อคนที่สองของผม คอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งยังรับฟังความเอาแต่ใจของผมด้วย”

ดวงตาสีน้ำตาลมั่นคง นายพลอรุนนิ่งไป

“ธารพูดแบบนี้ลุงก็ใจเสียสิ เหมือนกับว่า...”

บรรยากาศที่เคยอบอุ่นมลายไป ต้นธาราสบตาชายชราทั้งสอง

“ผมจะหายครับ”

ต้นธาราเอ่ยแบบนั้น จนท่านนายพลอรุณและนายพลพิภพงุนงง

“ดีแล้ว...”

ท่านนายพลอรุณอรุณกล่าวแค่นั้น ก่อนจะลากเพื่อนสนิทตั้งแต่ยังหนุ่มมาคุยด้วย โดยชำเลืองมองต้นธาราหลานสุดที่รักอยู่ตลอดเวลา

“ทำไมหนูธารถึงเปลี่ยนใจเข้ารักษาก่อนภานุจะกลับมาล่ะ?”

นายพลพิภพก็ตอบไม่ได้ ท่านหันมอง ดวงตาแสนมั่นคง สมัยก่อนมันดูเลื่อนลอยกว่านี้

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจเพราะลบล้างสำนึกที่คิดว่าฆ่าร้อยเอกนาคีตายไปได้แล้วกระมัง”

ท่านตอบ เหตุผลที่แท้จริง ที่ปิดเงียบไว้

...ผู้กองนาคีครับ ครั้งหนึ่งที่ผมคิดจะตาย เป็นเพราะคุณผมจึงอยู่ ผมมันเห็นแก่ตัวไปไหม ที่ได้มองดูโลกที่สวยงาม...

สายตาของต้นธารามองดูรูปภาพที่ขอมาจากบิดามารดาของผู้กองนาคี ภาพในเครื่องแบบที่เก็บถนอมไว้ ผู้กองช่วยตอบทีได้ไหมครับ ทำอย่างไรที่จะลบเลือนความเกลียดชัง ขอแค่ยืดเวลาไปอีกสักนิด ขอแก้ไขความเข้าใจผิดแล้วผมก็จะตามผู้กองไป....ทำอย่างไรที่จะเรียกความเชื่อใจของผู้กองภานุคืนมา....

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-06-2008 00:07:39
ดันๆ อึ๊บๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-06-2008 07:14:35
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ดันๆๆให้อีกคน ชอบมากครับผม

ยังเป็นกำลังใจให้อยู่ครับผม

แล้วเมื่อไรครับที่ผู้กองธี กับ กิ่งไผ่จะได้เจอกันอะ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 20-06-2008 10:01:55
ขอให้ผู้กองและคณะปลอดภัย :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 20-06-2008 13:51:59
เศร้าเป็นที่สุด

ฮืออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-06-2008 21:00:18
ต่อค้าบบบ  อิอิ
ขอโทษทีหายนานไปหน่อย
+++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก17 lacerated/หัวใจที่แสนทรมาน

ฝ่ายกองโจรกระเหรี่ยงเอะใจที่ลูกน้องในค่ายหายไปสองคน มันก็คือไอ้คนที่หัวหน้ากลุ่มใช้ไปตามเพื่อน พวกมันจึงตื่นตัวมากยิ่งขึ้น

“ทำไมมันยังไม่กลับอีกล่ะลูกพี่”

ลูกน้องเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มโจร มันทำหน้าสงสัย

“หรือว่าจะโดนไอ้พวกทหารไทยปาดคอเอาแล้ว”

เสียงหนึ่งเอ่ยโพลงอย่างหวาดหวั่น แต่มันก็โดนตบกะโหลกทันที

“มึงพูดหมาๆแบบนี้กูจะฆ่ามึงทิ้ง มันจะเป็นไปได้ยังไง ไอ้ฝ่ายทหารไทยมีแค่ห้าคนเท่านั้นเอง แล้วพวกมึงก็มีเป็นฝูงแถมล้อมมันไว้แบบนี้ มันจะทำอะไรมึงได้”

ผู้ที่ถูกด่าสั่นแล้วรีบคลานหลบตีนที่ประเคนลงมาเต็มๆ

“เฮ้ย มึงไปหามัน หาไม่เจอมึงไม่ต้องกลับมา”

เจ้าคนเคราะห์ร้ายหน้าซีดกับหน้าที่ที่ยัดเยียดมาให้

“แต่ว่าลูกพี่....”

มันพยายามอุทธรณ์เพราะหวาดกลัวว่าถ้าหากออกไป มันคงไม่ได้กลับมาอีกเหมือนกับเพื่อนมันแน่

“มึงจะไปหรือไม่ไป?”

คำถามที่ตั้งขึ้นมา ทำให้แววตาของมันสั่นเล็กน้อย แล้วมันก็รีบยกมือไหว้ปะหลกๆ

“ผมไม่อยากไปครับ...ลูกพี่ผมกลัวว่า...”

มันไม่ทันพูดจบ ลูกพี่ของมันชักปืนออกมา จ่อตรงหน้าผากของมัน แล้วสอดมือเข้าไปในโกร่งไกปืน ก่อนจะขู่ด้วยความเย็นชา

“มึงอยากจะให้ไอ้ทหารไทยฆ่า หรือมึงอยากให้กูยิงมึงสมองไหล มึงเลือกเอา”

เจ้าลูกน้องตัวสั่นริกๆ เหงื่อไหลเต็มใบหน้าด้วยความขลาดกลัวอย่างรุนแรง

“ผ...ผม ป...ไปก็ ได้ครับ”

มันพูดตะกุกตะกัก เพราะไม่มีทางเลือกแล้ว ลูกพี่ของมันยิ้มอย่างพออกพอใจ กับคำตอบที่ได้รับ

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว มึงก็ไปเก็บปืนเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางเสีย ถ้ามึงไม่กลับมา กูก็จะสวดมนตร์ส่งถึงสวรรค์ไปให้ โชคดีนะ”

ลูกพี่ของมันเดินหันหลัง เจ้าคนเคราะห์ร้ายกำมือแน่น มันเดินคอตกหมดหวังหยิบย่าม บรรจุของตามที่เจ้านายสั่ง ก่อนจะเดินออกจากนอกค่าย เหล่าเพื่อนพ้องได้แต่มองอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ขอให้มึงตามหาไอ้สองตัวนั้นเจอล่ะ”

------------------------------------------------

เหล่าทหารไทยที่ได้รับน้ำดื่มเพิ่มขึ้นพร้อมกับอาหารจากผู้ไม่ประสงค์ปรากฏตัว รู้สึกมีขวัญกำลังใจขึ้น และการที่ผู้กองภานุฟื้นจากอาการเจ็บก็เป็นนิมิตหมายดีที่จะให้เหล่าผู้กล้าวางแผนหาทางออก

“จ่าแม้นว่าเปอร์เซ็นต์ที่เราจะรอดมีเท่าไร?”

ผู้กองรังสรรค์ถาม ระหว่างที่กางแผนที่ออกกว้าง จ่าชราเกาคาง ทำหน้าตอบไม่ถูก

“...ก็ห้าสิบ-ห้าสิบล่ะครับ”

จ่าแม้นเอ่ย ผู้หมวดอานุภาพเหมือนกับจะมีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ในหัวใจ ธีรเดชที่เพิ่งผละจากการรักษาผู้กองภานุก็มานั่งใกล้ๆแล้วก็ยิ้ม

“เป็นอะไรไหมครับ เห็นหมวดดูไม่สดชื่นเลย”

หมวดอานุภาพสะดุ้งโหยง หันมาเอ่ยผู้กองคนใหม่

“เอ่อ...ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แล้วอาการของผู้กองภานุเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ร้อยตรีอานุภาพพยายามปฏิเสธ ธีรเดชหันไปดูผู้กองภานุซึ่งนอนหลับไปเพราะพิษไข้

“ก็อาการดีขึ้นแล้วน่ะครับ ค่อยยังชั่วที่แผลไม่อักเสบ เพราะหากติดเชื้อแล้วล่ะก็....ผู้กองภานุอาจจะไม่มีสิทธิ์รอดเลย”

ผู้กองธีรเดชตอบเสียงแผ่ว แหงนหน้ามองเงาสีเขียวที่แซมกับขอบฟ้าสีฟ้าคราม

“แล้วเราก็ตายตามผู้กองไปด้วย...”

ผู้หมวดอานุภาพว่า ร้อยเอกธีรเดชหัวเราะ

“ผมว่าเราจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก หากว่าเราร่วมมือร่วมใจกันเราต้องฝ่าวิกฤตนี้ไปได้แน่”

คนทั้งคู่ชะงักการสนทนาเพราะร้อยเอกรังสรรค์ที่รั้งตำแหน่งหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแทนผู้กองภานุกวักมือเรียกคนทั้งสอง

“เรากำหนดแผนคร่าวๆได้แล้วว่า เราทั้งสี่คนจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มนั้นจะนำผู้กองภานุที่บาดเจ็บรออยู่ข้างหลัง แล้วอีกสองคนที่เหลือจะเป็นคนฝ่าวงล้อมไป หากเกิดการผิดพลาด เราก็ยังมีคนเหลือ แต่ขัดตรงที่ว่า ใครจะรับอาสาทำหน้าที่นี้”

สายตาของผู้รักษาการแทนหัวหน้าหน่วยจับจ้องทุกๆคน

“ผมจะอาสาเป็นคนตีฝ่าคนหนึ่ง ขออาสาสมัคร แต่เราจะเก็บจ่าแม้นไว้ พวกคุณสองคนใครจะทำ”

ผู้หมวดอานุภาพมองหน้าธีรเดช

“ผมรู้ว่าหน้าที่นี้อันตรายยิ่ง และเปอร์เซ็นต์ในการรอดนั้นแทบเป็นศูนย์ แต่ถ้าเราไม่ทำ คนทั้งหมดก็ต้องตาย”

ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ยแค่นั้น ผู้หมวดอานุภาพเตรียมจะยกมือแต่ร้อยเอกธีรเดชก็ยกมือขัดก่อน

“ผมจะอาสาเองครับ ให้หมวดอานุภาพไปกับจ่าแม้นดีกว่า เพราะเขาเก่งการใช้วิทยุสื่อสารซึ่งต่างจากผม ถ้าหากทางค่ายใหญ่ติดต่อมาก็จะง่ายยิ่งขึ้นแล้วอีกอย่างถึงผมจะไม่ชำนาญพื้นที่ แต่ผมก็ถนัดรบนะครับ”

ผู้กองธีรเดชลงท้ายด้วยการเอ่ยเล่นหัว เมื่อไม่มีใครขัด และหน้าที่ทุกอย่างลงตัว ต่างก็นั่งฟังแผนการซึ่งจะปฏิบัติภายในคืนวันพรุ่งนี้ หากตีฝ่าออกไปได้เร็วเท่าไร ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แม้ทุกคนจะฟังอย่างหวั่นๆและรักตัวกลัวตาย แต่ก็ยังเข้มแข็ง ไม่ปรากฏสีหน้าอันหวาดผวาเลย ทันทีที่ประชุมเสร็จ ทุกคนก็แยกพักผ่อนตามปกติ ผู้กองธีรเดชหันไปมองร่างที่กำลังนอนหลับสนิท มีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบ แล้วก็นั่งนึกถึงเรื่องของต้นธารา

...ธาร ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้ผมจะได้กลับไปไหม หากผมตายคุณจะเศร้าใจเท่าๆกับการที่คุณสูญเสียผู้กองที่คุณรักไปไหม?...ผมคาดหวังอะไรได้หรือเปล่า...ชายหนุ่มจับจ้องสมาชิกในทีม ในเมื่อเลือกแล้ว เขาก็ไม่ควรหันกลับไป สิ่งที่เขาให้ต้นธาราได้ก็มีแต่ชีวิตของภานุเท่านั้น ความขมขื่นพลันเกาะกุมจิตใจ เขาเพียงแต่หวังให้ผู้กองที่อยู่ในใจต้นธาราได้กลับคืนโดยปลอดภัย เพื่อหนึ่งความสุขที่ยังหลงเหลืออยู่กับชายหนุ่มเอง

------------------------------------------------


หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-06-2008 21:56:37
นายกองโจรทหารกระเหรี่ยง เดินผ่านต้นมะค่า จมูกของมันก็ได้กลิ่นสาบสางลอยอวลมาตามกระแสลม มันรีบกระชับปืนในมือแน่น วิ่งไปตรงต้นตอของกลิ่นแล้วชะงักเพราะเห็นซากศพสองศพขึ้นอืด ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ยิ่งอีกศพ ยิ่งเกิดอาการสะอิดสะเอียน หนอนสีขาวชอนไชซากร่างไร้วิญญาน ใบหน้าเละ เน่าเฟะ มันจึงใช้ผ้าปิดจมูกเดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ ตกใจจนขวัญหาย เพราะจากลักษณะเสื้อผ้า เป็นทหารฝ่ายมันชัดๆ มันมองรอบๆตัวแล้วกำมือแน่น ดวงตาเหลียวมองล่อกแล่ก บรรยากาศรอบกายสงบ มันก็ไม่อยากจะอยู่นานนักเพราะรักตัวกลัวตาย เจ้ากองโจรกะเหรี่ยงจึงรีบกลับไปยังฐานเพื่อแจ้งข่าวร้ายให้แก่พรรคพวกของมัน พอไปถึง มันก็เข่าอ่อน ล้มลงอย่างอ่อนแรง

“อะไร มึงกลับมาเร็วจังวะ ไปยังไม่ถึงสามชั่วโมงเลย”

เพื่อนในทีมถาม เจ้าคนสอดแนมหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เรียก...ลูกพี่มาที”

มันละลักละล่ำ พูดจาหายใจหายคอแทบไม่ทัน เพื่อนของมันแปลกใจ

“เอ็งมีอะไรวะ”

ลูกพี่ของมันมาตามคำเรียก นิ้วของเจ้าคนสอดแนมชี้ไปทางป่าที่มันจากมา แล้วก็ตะกุกตะกัก

“พวกของเราตายไปสองแล้วครับ ไม่รู้ใครฆ่ามัน”

พอได้ฟังคำตอบจากลูกน้องมันก็หน้าเคร่งเครียดขึ้น

“เอ็งแน่ใจนะว่าดูไม่ผิด?”

มันผงกหัว ยืนยันชัด

“แน่ครับลูกพี่ เครื่องแต่งกายเป็นฝ่ายเราจริงๆ”

เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเป็นฝ่ายของมันที่สูญเสีย เจ้าหัวหน้ากองตาลุกวาว

“ระยำ ไอ้โง่สองตัวนั่นมันพลาดท่ายังไง”

ท่าทีร้อนรนฉายชัด ลูกน้องทั้งหมดต่างมองดูลูกพี่เป็นตาเดียวกัน

“ไม่ได้การล่ะ มันเล่นเราแบบนี้ เราต้องชิงทำลายมันก่อน ”

เจ้าหัวหน้าร้อนรนใจเกินเหตุ ใจมันขลาดเขลา เพราะว่าพวกมันมีเป็นสิบอีกฝ่ายแค่ห้าคนเท่านั้น พวกนั้นยังดิ้นกระเสือกกระสนรอดได้จนทุกวันนี้ ทางเดียวที่จะทำได้คือตัดไฟแต่ต้นลมให้เร็วที่สุด!

“แล้วลูกพี่จะทำยังไงต่อไปครับ”เจ้าลูกน้องถาม

“จะทำยังไง...บอกว่าจะทำยังไงงั้นรึ?”ตัวหัวหน้าเกาคาง

“กูก็บอกพวกมึงตั้งแต่แรกนี่น่าว่าจะเผามัน มึงเตรียมตัวไว้ได้เลย”

สีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือปรากฏ แผนการที่จะทำลายล้างอีกฝ่ายให้สิ้นซากแล้วพวกมันจะได้กลับไปรับรางวัลเสียที

------------------------------------------------

เจ้าลูกป่านั่งๆนอนๆ จนเบื่อก็แอบมาสำรวจทั้งทหารฝ่ายไทยและเจ้ากองโจรกระเรี่ยง มันยิ้มเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว และนึกพนันอยู่ในใจว่าฝ่ายไหนจะชนะศึกในครั้งนี้ แต่สำหรับมันแล้ว ใครแพ้ชนะไม่สำคัญ มันขอแค่งานของมันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็พอแล้ว เจ้าขิ่นกระทำตนดุจดั่งเทวดาพิทักษ์คนยาก มันรอ...รอคอย บางสิ่งต้องใช้เวลาเพื่อให้กระทำบางสิ่ง สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มันจึงใจเย็นนั่งเฝ้าพวกโจรโง่ว่าจะทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มชาวพม่าหลับตาลง ค่อยๆคิดถึงแผนการต่อไป เด็กหนุ่มกังวลใจเหลือเกินกับแผนที่เจ้าพวกโจรกระเหรี่ยงคิดขึ้นมา มันอาจจะทำให้ทหารไทยไม่รอดชีวิตเลยสักคนเดียว มันคิดถึงพี่ไผ่ ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ช่วงนี้พี่ไผ่ตอนนี้ก็เลื่อนๆลอยๆเหลือเกิน...เลื่อนลอยจนน่านึกห่วง มันลุกจากที่พิงหลัง จะไปหาก็ไม่ได้ จะกลับคืนก็ไม่ได้อีก มีเพียงทางเดียวที่จะทำคือการเดินหน้า ในเมื่อสิ่งที่พี่ไผ่เลือกไว้ เขาก็ควรปฏิบัติตาม เจ้าขิ่นลุกขึ้น มันไม่มีเวลามาพักผ่อนแล้ว เด็กหนุ่มเก็บข้าวของยัดลงย่าม กระโดดลงจากคาคบไม้ ลัดเลาะตามสบทบพุ่มไม้ หลบหลีกซอกซอนอย่างรู้ทางเป็นอย่างดี หลังจากนั้นคอยให้ยามค่ำคืนเข้ามาเยือน เพื่อจะได้อาศัยความมืดแฝงกายซ่อนตัวเพื่อเข้าปิดเกมส์นี้

------------------------------------------------

ค่ำแล้ว ทางฝ่ายทหารไทยต่างนั่งตาสว่าง สีหน้าเคร่งเครียดปรากฏให้เห็นชัดจากทุกๆฝ่ายที่นั่งล้อมวงประชุมเป็นครั้งสุดท้าย

“ในเมื่อทุกคนทราบแผนการคร่าวๆแล้วก็ขอให้ปฏิบัติตามนี้นะครับ”

ร้อยเอกรังสรรค์กล่าว ทุกคนพยักหน้าตอบ ก่อนรักษาการหัวหน้าจะเอ่ยเสริมอีกเป็นการปิดท้าย

“การจับคู่ก็ครบสมบูรณ์แล้ว ขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่กันให้ดีที่สุด เข้าใจนะ”

แทนคำตอบ ลูกทีมต่างแยกย้ายเก็บข้าวของ จ่าแม้นและร้อยตรีอานุภาพนั่งลงเคียงข้างผู้กองภานุ

------------------------------------------------

ผู้กองภานุมองลูกทีมทั้งสอง หน้าตาซีดเซียว นึกสงสัยว่าทำไมลูกทีมของตัวเองถึงมานั่งอยู่ข้างตน แล้วรองหัวหน้าหน่วยกับผู้กองธีรเดชก็หายไป ยิ่งนึกก็ยิ่งแปลกใจ

“รังสรรค์กับธีรเดชหายไปไหน”

ภานุที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้รุ่มเร้า ถามด้วยความเหนื่อยอ่อน จ่าแม้นและร้อยตรีอานุภาพก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครอยากจะตอบคำถามหัวหน้าทีมซักเท่าไร จนภานุโมโหที่ลูกน้องนิ่งงันราวกับไม่อยากตอบ

“ผมสั่งในพวกคุณพูด ว่าสองคนนั้นหายไปไหน”

นายทหารหนุ่มมองหน้าบุคคลทั้งสอง คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ บุคคลทั้งสองจ้องหน้ากัน จ่าแม้นพยักเพยิดให้ร้อยตรีอานุภาพเป็นคนเอ่ย ร้อยตรีหนุ่มจำต้องเป็นคนตอบคำถามของหัวหน้าทีม

“ผู้กองธีรเดชกับผู้กองรังสรรค์ เอ่อ...พวกเขา เอ่อ...”

ยิ่งอึกๆอักๆตอบชักช้ายืดยาด ร่างสูงที่นอนซมยิ่งตีสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกเขาเป็นอะไร”

ชายหนุ่มใส่อารมณ์ลงไปในน้ำเสียง ยันกายขึ้นจากที่นอน ไหล่ปวดแปลบจนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด

“ผู้กองรังสรรค์กับผู้กองธีรเดช ทั้งคู่ออกไปอาสาลอบโจมตีเพื่อเปิดทางให้เราครับ”

ผู้กองหนุ่มเบิกตากว้าง ร้อยตรีอานุภาพก้มหน้า มือแกร่งทุบพื้นดิน โมโหที่ลูกน้องไม่เชื่อฟัง

“ผมสั่งให้พวกคุณทำอะไร...ทำไมถึงขัดคำสั่ง ฟังคำสั่งผมไม่ออกรึไง”

ชายหนุ่มพูดอย่างเหลืออด จ่าแม้นและผู้หมวดหนุ่มต่างนิ่งเป็นตอไม้

“ออกไปอาสาลอบโจมตีรึ พวกคุณคิดว่ามีกำลังเท่าไรกัน ผมบอกให้พวกคุณรอ ทำไมไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง”

จ่าแม้นเงยหน้าขึ้นมาโต้ผู้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าเรียบๆ

“เรารอคำสั่งจากผู้กองไม่ได้ครับ พวกเราต้องรีบอพยพออกจากพื้นที่นี้ ให้เร็วเท่ายิ่งดี อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผู้กองกำลังบาดเจ็บอยู่ บาดแผลอักเสบของผู้กอง อาจทำให้ผู้กองเสียชีวิตได้ เราจึงต้องลงมือกันครับ ขออภัยด้วยครับ”

ภานุเบือนหน้าหนีราวกับตัวเองเป็นต้นเหตุของความคิด

“แต่พวกคุณก็ไม่ควรทำเช่นนี้”

จ่าแม้นก้มหน้าตอบเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกจากน้ำเสียงพลิ้วเบา

“พวกผมตัดสินใจกันดีแล้วครับ”

หมวดอานุภาพกล่าวบ้าง ภานุพูดอะไรไม่ออกเลยเมื่อเห็นสีหน้าประดับรอยยิ้มของลูกน้อง

“แล้วพวกคุณวางแผนอะไรกัน”

ภานุตัดความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจออกถามอย่างเฉียบขาด

“ผู้กองรังสรรค์วางแผนว่าจะอาสาตีฝ่าข้าศึก แล้วให้พวกเราตามไปทีหลังครับ”

จ่าแม้นอธิบายให้ฟัง ผู้กองภานุมองเข้าไปในป่าแล้วหันมามองหน้าชายชรา

“ทั้งคู่ออกไปนานหรือยัง”

จ่าแม้นมองนาฬิกาข้อมือคำนวณเวลาสักพักก่อนจะตอบ

“ก็ประมาณสองชั่วโมงแล้วครับ ผู้กองรังสรรค์บอกว่าถ้าตีสองแล้ว แผนการยังไม่ลุล่วงก็ขอให้อยู่ ณ จุดเดิม รอจนกระทั่งรุ่งสางพอเห็นทางก็ให้ฝ่าออกไปทางทิศตะวันออกครับ”

ผู้กองหนุ่มหรี่ตากับแผนการคร่าวๆ การบุกฝ่าในครั้งนี้หนักหนาสาหัสจริงๆ หากพลาดทั้งหน่วยอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปเลย

“มีสิทธิ์จะตามสองคนนั้นกลับมาทันไหม”

ไม่มีใครเสนอความคิดเห็น สายตากร้าวจึงกวาดมอง เพียงแค่นั้นคำตอบที่น่าหวั่นใจก็หลุดออกจากปากของจ่าแม้น

“ไม่มีสิทธิ์แล้วครับ ถ้าหากตาม อาจหมายถึงภารกิจที่วางในครั้งนี้ล้มเหลว”

ร่างสูงได้แต่ยอมรับ ฟันขบกรอดๆ การตัดสินใจในครั้งนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ล้มเหลวเป็นครั้งที่สอง ไม่นับเรื่องที่เพื่อนรักของเขาสิ้นชีพไปต่อหน้าต่อตา นาคี...แกอยู่บนสวรรค์แกเห็นความโง่เขลาของฉันไหม ในวันที่เสียแกไปฉันก็ทำผิดพลาดแบบนี้ มันเป็นเพราะอะไรล่ะ แกไม่น่าตายจากฉันไปเลยนาคี ทุกอย่างเหมือนกับหาทางออกไม่เจอ แกตายไม่นานนัก ฉันรู้...แต่พอมองความจริง ทำไมมันช่างดูแสนนานนักล่ะ ร้อยเอกหนุ่มแตะแผลฉกรรจ์ จนจ่าแม้นขมวดคิ้ว

“เจ็บหรือครับ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า ดวงตามั่นคงขึ้นกว่าเดิม

“เปล่า...แผลน่ะพอทนได้ แต่ความรู้สึกที่อัดแน่น มันก็ยากที่จะทานทน”

คำพูดเป็นปริศนา คนทั้งสองมองอย่างข้องใจ

“แน่ใจนะครับ”

ภานุหันมายิ้ม น้อยครั้งนักที่เขาจะยิ้มแบบนี้ ยิ้มอย่างอ่อนโยน...ไร้ซึ่งความเลือดเย็น

------------------------------------------------

ร้อยเอกรังสรรค์และร้อยเอกธีรเดชแฝงกายอยู่ในความมืดมิด นัยน์ตาเป็นจุดเดียวที่เห็นชัดบนใบหน้าเปื้อนไปด้วยผงถ่าน ภายในแววตาที่ฉายชัดในความมืด สื่อความหวั่นใจออกมา อากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลย้อยเต็มแผ่นหลังและใบหน้า มันไหลซึมตามเส้นผมที่ซ่อนเบื้องหลังหมวกเหล็ก ธีรเดชรอคอยให้รองหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนส่งสัญญาณมือ ดวงตาเขม่นมองในที่อับแสง แขนข้างขวาของรองหัวหน้าหน่วยชูขึ้นออกไปทางข้างเหนือระดับไหล่เล็กน้อย หันฝ่ามือไปด้านหน้า ก่อนจะโบกมือไปมา เป็นสัญญาณว่าเตรียมพร้อม เพราะการลาดตระเวนซุ่มโจมตีต้องงดใช้เสียง หรือทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ธีรเดชกลั้นลมหายใจ ชายหนุ่มกระชับปืนตัวกระสุนในรังเพลิง มือข้างที่ว่างคว้านหาของในกระเป๋ากางเกง หยิบกล้องปลย11.มาติดเพื่อใช้ส่องในความมืดมัว ห้ามไกปืน ปรับศูนย์ วางอาวุธคู่กายไว้บนตัก ก่อนจะเขยิบกายแนบชิดหลังต้นไม้ รอฟังสัญญาณมือชุดต่อไปของผู้บังคับบัญชาการ

ผู้กองรังสรรค์เห็นลูกทีมของตนเตรียมตัวพร้อมก็เหยียดแขนไปข้างหลังระดับไหล่ หันหน้าไปทางทิศที่ต้องการแล้วก็เหวี่ยงแขนขึ้นเหนือศีรษะโบกไปทางทิศหน้า คว่ำฝ่ามือเป็นการบอกให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ผู้กองธีรเดชวิ่งสลับฟันปลา ก้มหน้าต่ำไปยังจุดที่หัวหน้าชี้สั่งแล้วจึงหยุดตามสัญญาณที่ส่งมา พร้อมลดความเร็วลง ดวงตาเห็นแสงไฟวิบวับตัดกับความมืด เสียงคุยเบาๆท่าทางเคร่งเครียดดังมาจากอีกฝั่ง ธีรเดชซ่อนกายแนบชิดพุ่มไม้ ชูปืนขึ้นชี้ปลายกระบอกปืนไปทางข้างศึก ร้อยเอกรังสรรค์ที่รออยู่แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลมาประเมินกำลังของข้าศึก แล้วเริ่มคิดคำนวณถึงความเสี่ยง ประเมินความเสียหายในใจเสร็จสรรพจึงสั่งให้ธีรเดชหยุดและเฝ้ารอ ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องนาฬิกาพราย มันเรืองแสงสีเขียวในความมืดมิดประหนึ่งตาปีศาจที่เฝ้ามองเหยื่ออันโอชะ...หนึ่งสัญญาณที่ต่างฝ่ายต่างเฝ้าคอย เพื่อพร้อมปฏิบัติการภารกิจครั้งสำคัญ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 23-06-2008 22:25:34
จิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม อิอิ

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 24-06-2008 18:29:41
โอ้ย  :serius2:  ตื่นเต้น
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 24-06-2008 18:51:08
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับ มาส่งกำลังใจครับผม ชอบๆๆ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 24-06-2008 18:55:59
อึดอัดจัง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 25-06-2008 17:47:32

ต้องขอบคุณท่านนักอ่านทุกท่านด้วยค่ะที่มาเป็นกำลังใจและเฝ้าติดตาม ขอบคุณพี่พิมพ์สักหมื่นรอบก็ยังไม่พอ...ได้แต่กล่าวคำว่าขอบคุณค้าที่เป็นกำลังให้อีกครั้งหนึ่ง :m1:


อึดอัดจัง

บรรยากาศของเรื่องนี้คืออึดอัด!ต้องขออภัยสำหรับบางท่านไม่ชอบทำเรื่องเศร้า(แต่เจ้าของเรื่องชอบ???)

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับ มาส่งกำลังใจครับผม ชอบๆๆ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีมาตลอดค้า>_<

โอ้ย  :serius2:  ตื่นเต้น

ขอบคุณที่ติดตามค้า :L1:

จิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม อิอิ



ขอบคุณที่ช่วยจิ้มน้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-06-2008 23:05:08
อิอิ  ท่านน้องเรนมาเอง 
ต่ออีกตอนเลยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:18 sabotage/หลีกหนี

รองหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนเริ่มสั่งการ โดยบอกให้ลูกน้องภายใต้สังกัดเดินหน้า ธีรเดชทำตาม เขยิบกายเข้าสู่แสงสว่างอีกนิดแล้วหยุด ขอสัญญาณเตรียมยิง แต่รังสรรค์กลับหามไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงลดปืนลง เสียงพูดคุยแว่วๆมาตามลม คนที่ฟังไม่ออกพยายามจะจับสำเนียง การรอช่างทรมานเหลือเกิน อยู่ใกล้ศัตรูแค่ปลายจมูกยื่นกลับต้องนั่งทื่อ ธีรเดชอยากบ้าระห่ำลุกขึ้นกราดปืนเสียจริง เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเปื้อนถ่าน ดวงตาที่มองเห็นแต่ตาขาวสบผู้บังคับบัญชา

“สิบแปดคน จะให้จัดวางกลยุทธ์อย่างไร?”

ชายหนุ่มขยับปากโดยไม่มีเสียง รังสรรค์อ่านสัญญาณปากก่อนจะสั่งให้ลอบโจมตีให้มันกระจายกำลังให้ได้ ธีรเดชจึงผงกหัว โผหาตำแหน่งตั้งรับใหม่โดยกะจากตำแหน่งวิถีกระสุนและความปลอดภัย หัวใจหวาดหวั่นว่าอาจจะตายในการสู้รบครั้งนี้ก็ได้ หลังมือปาดเหงื่อที่ซึมตามใบหน้า ค่อยๆคลานเงียบๆอาศัยเงาของต้นไม้เป็นที่บังกาย สายตากวาดไปรอบๆ เห็นหัวของเจ้ากองโจรกะเหรี่ยงโผล่พ้นพุ่มไม้ ธีรเดชจึงเริ่มเปิดฉาก โดยยกปืนเล็งอย่างประณีต จุดเป้าหมายอยู่ที่ขมับ รังสรรค์คอยมองลูกน้องก่อนจะยกมือเริ่มยิง กระสุนจึงพุ่งไปหาเป้าหมาย เสียงดังปังแล้วร่างเจ้าทหารโจรเคราะห์ร้ายล้มตึง เลือดไหลปนสมองส่งกลิ่นคละคลุ้ง ดวงตาเหลือกค้า ปิดไม่สนิททำเอาพวกที่รวมอยู่เป็นกลุ่มวอกแวก ส่งเสียงเอะอะไม่เป็นภาษา ก่อนค่อยๆแตกกระจายออก

"ไอ้ห่- ตั้งสติกันสิวะ ยิงไปทางเสียงปืนซิ !”

เจ้าหัวหน้าตะโกนเมื่อลูกน้องแตกร่นไม่เป็นขบวน ไม่มีใครเชื่อฟังเพราะว่าพวกมันกำลังตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก ธีรเดชส่งลูกตะกั่วให้เจ้าโจรชั่วกินอีกลูก เจ้าคนดวงชะตาขาดล้มคว่ำเข้าหากองไฟ ดิ้นพราดๆ ก่อนแสงไฟสีส้มจะไล่เลียร่างของมันอย่างเริงร่า เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับผีเปรตอรุกาย แม้แต่ธีรเดชเองยังสยองขวัญ รังสรรค์สั่งตะโกนให้ถอย ก่อนจะช่วยยิงกราด ร่างของเจ้าพวกโจรล้มราวกับใบไม้ร่วง คนที่ถอยร่นไปได้ต่างหลบซ่อนหาโอกาสตอบโต้

“ผู้กองว่าเรามีโอกาสเต็มร้อยไหม?”

ธีรเดชหันไปถาม หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ดวงตาของผู้กองรังสรรค์ยังคงจ้องเขม็งไปยังสนามรบตรงหน้า

“ผมไม่แน่ใจ แต่มันยังเหลือกันอีกเยอะ ที่ล้มตายไปก็แค่ห้า มันชำนาญพื้นที่ดีกว่าเรา เราต้องระวัง”

ใบหน้าของธีรเดชซีดลง เมื่อเห็นดวงตาวิตกกังวลและความเงียบที่ราวกับป้าช้า ไฟที่ไหม้ร่างของเจ้าทหารกะเหรี่ยงค่อยๆมอดลง คงเหลือแต่กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง สภาพศพม้วนหงิกงอ

“แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ก็ยังดี...เอาล่ะ เราต้องร่นถอยไปเงียบๆแล้ว คราวนี้พวกมันเอาคืนเราแน่”

สองร่างค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในป่าลึก หาที่หลบกายตั้งรับต่อ

------------------------------------------------
เสียงปืนดังก้อง เล่นเอาไอ้ขิ่นสะดุ้งโหยง มันรีบเผ่นลงจากยอดมะค่า

“เอาแล้วไหมล่ะ ไอ้ทหารไทยเอ๋ย...”

เด็กหนุ่มสบถด่า ก่อนค่อยๆหาทางลัดเลาะหลบ หาทางไปยังที่ซ่องสุมของพวกโจรกะเหรี่ยง แต่มันได้กลิ่นไหม้เสียก่อนจึงไม่คิดเสี่ยง มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางที่เหล่าทหารไทยใช้พักพิงแทน

------------------------------------------------

ภานุแทบจะลุกขึ้น หยิบปืนถลาตามเสียง ถ้าไม่ถูกกดบ่าไว้และการขอร้องยกมือไหว้ของจ่าแม้น ป่านนี้ชายหนุ่มคงลุกไปอย่างขาดสติแน่

“อย่าเลยครับ ผู้กอง อย่าเพิ่งเสี่ยงไปดูเลยเสียงปืนนัดแรกเป็นของผู้กองธีกับผู้กองรังสรรค์แน่แล้วเสียงปืนที่เงียบไปแบบนี้อาจเป็นสัญญาณดีก็ได้ครับว่าผู้กองรังสรรค์อาจจะฝ่าวงล้อมศัตรู คอยดูสถานการณ์สักพักก่อนเถอะครับ”

จ่าแม้นร้องขอ ภานุต้องนั่งจิกเล็บเข้าที่มือ แค้นใจที่ได้แต่นั่งรอเวลาเฉยๆ

“ผู้หมวด ช่วยหน่อยเถอะ”

จ่าแม้นหันไปกล่าวกับผู้หมวดอานุภาพซึ่งนั่งระวังหลังให้ อานุภาพหันมาทางผู้กองหนุ่มไม่พูดอะไรทั้งนั้น จ่าแม้นยิ่งรับศึกหนัก

“เป็นแบบนี้ทางกองโจรกะเหรี่ยงอาจจะแตกพ่ายมา ผู้กองคิดจะรบกับพวกที่หลงมาอย่างไรครับ?”

อานุภาพกลับย้อนถาม ภานุสงบนิ่งทันทีที่ได้ยินคำถาม

“ก็ไม่ต้องทำอะไร มันดาหน้าเข้ามาก็ฆ่ามัน ล้างโคตรมันทิ้งให้หมด”

ผู้กองตอบเสียงกร้าว พยายามจะยกปืนแต่ก็ต้องปล่อยเพราะเจ็บที่แขน

“โธ่...ให้ผมไหว้ก็ได้ล่ะ ผู้กองอย่าเพิ่งใช้กำลังแขนเลย แผลมันจะยิ่งอักเสบ”

สายตาของจ่าชรามองตรงแผลที่มีเลือดซึมปนกับน้ำหนอง ภานุแม้จะเจ็บแต่เขาก็ไม่ทำตัวให้อ่อนแอเด็ดขาด

“ผมขอโทษครับจ่าที่ทำให้ผู้กองเดือด”

ร้อยตรีอานุภาพว่า จ่าแม้นนั่งลงแปะอย่างอ่อนแรง เหนื่อยกับผู้กองหนุ่มที่บ้าดีเดือดได้ดีเหลือเกิน จ่าแม้นที่ทำหน้าเหนือชันตัวขึ้นเมื่อหูได้ยินเสียงแซ่กๆคล้ายกับมีอะไรย่ำผ่าน จ่าแม้นหยิบปืน แล้วบอกให้ทุกคนระวังตัว อาการเครียดขมึงจึงเคลือบคลุม

“ผมจะออกไปดูเองครับ”

ผู้หมวดหนุ่มลุกขึ้น ปลดห้ามไกปืน ค่อยๆเดินย่ำเบาๆ ระมัดระวัง ต้นกำเนิดเสียงพลันโผล่ออกมา ผู้หมวดอานุภาพยกปืนประทับ แต่ต้องยั้งมือไว้เพราะคนที่โผล่ออกเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด แถมสีหน้าของมันก็ร้อนใจ การที่เขาชะงักทำให้เด็กหนุ่มแปลกหน้าพ่นภาษาพม่ามาเป็นชุดๆ แถมยังโบกมือไล่ให้ชายหนุ่มกลับไปยังฐานที่มั่นพร้อม ผู้หมวดหนุ่มละล้าละหลังปนกับงงๆ จนจ่าแม้นที่ตามมาที่หลังชะงัก

“นี่มันใครครับ”

จ่าชราเตรียมยกปืนขึ้นเล็งทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มชาวพม่ายิ้มแฉ่ง แต่อานุภาพกลับกันไว้

“เอ้า อะไรอีกล่ะเนี่ย”

จ่าชราเกาหัว เพราะผู้หมวดกลับห้ามเสียนี่

“ผมว่าเด็กคนนี้แปลกๆนะครับ ไม่ใช่ทั้งพวกโจร อาจจะเป็นคนที่นำน้ำมาให้พวกเราก็ได้”

ชายหนุ่มสรุป จ่าแม้ทำหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ต้องนำเจ้าเด็กหนุ่มแปลกหน้า เข้าไปหาผู้กองภานุ ทันทีที่เข้าไปหา เด็กหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อเห็นแววตาจับจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นั่นมัน...”

ผู้กองภานุถามตวัดสายตามองเด็กหนุ่มแปลกหน้า อานุภาพจึงอธิบายให้ฟัง

“ผมพบเด็กคนนี้โผล่พรวดออกมา แรกๆตั้งใจจะยิงแล้ว แต่ผมว่าเด็กคนนี้มีอะไรแปลกๆนะครับ เสียดายที่ผมพูดภาษาพม่าไม่คล่องนัก”

จ่าแม้นนั่งลง ตรงหน้าเจ้าเด็กหนุ่มหน้าซื่อ

“มาจากไหนล่ะเรา”

จ่าแม้นลองถาม เด็กหนุ่มก็ตอบตรงๆ

“ฉันชื่อขิ่น มาจากป่านู้น นายส่งให้มาช่วยพวกท่าน ฉันก็เลยทำตามที่สั่ง”

ขิ่นตอบ สีหน้าจ่าแม้นและผู้กองมีร่องรอยประหลาดใจ

“ใครกันนายของเอ็ง”

เจ้าเด็กหนุ่มกลับปิดปากเงียบ ภานุลุกขึ้นนั่งตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ไม่ได้พันธนาการไว้

“เอ็งโกหกรึเปล่า จ่าค้นตัวมันสิ มีอะไรซุกซ่อนไว้ไหม”

ผู้กองหนุ่มไม่เชื่อสั่งให้คนค้นตามร่างกาย เจ้าขิ่นก็ยอมง่ายๆ ย่ามของมันถูกปลดออกเทของทั้งหมดออกมา ลูกดอกอาบยาพิษกระจายเกลื่อน พร้อมกับปืนพกด้ามหนึ่ง ภานุเห็นลูกดอกอาบยาพิษแล้วนิ่งไป

“หวังว่าแผลของคุณคงไม่ถึงชีวิตนะครับ เรื่องของนายผม ผมไม่อยากพูด คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไมนายต้องทำแบบนี้”

สีหน้าของเจ้าขิ่นเรียบเฉย ผู้กองหนุ่มวางลูกดอกอาบยาพิษลง จ่าแม้นหยิบมาดูอย่างสนใจกับพิษสีดำอาบไว้บนปลาย

“โดนเข้าไปดอกเดียวรับรองจอดไม่มีแจว”

จ่าแม้นเอ่ยแค่นั้น น้ำเสียงปนสยองขวัญ

“เฮ้ย...ไอ้หนุ่มยังไงๆเอ็งก็น่าสงสัยอยู่นา”

เจ้าขิ่นกอดอก ถอนใจอย่างเหนื่อยๆ

“ตาสงสัยอะไรฉันอีกเนี่ย ถ้าฉันจะฆ่าพวกตาล่ะก็ ป่านนี้นอนกองเป็นศพเหมือนกับไอ้โจรห้าร้อยนั้นแล้ว จริงไหมครับท่าน”

เด็กหนุ่มมองใบหน้าขมึงถึงของภานุ

“แล้วฉันคงไม่ใจดีหาน้ำหาท่ามาให้ดื่มร๊อก”

ได้ทีเด็กหนุ่มก็ขี่แพะไล่เสีย จนผู้ใหญ่ที่ได้ฟังอยากเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้

“เออ...เอ็งน่าไว้ใจ...แล้วผู้ก็จะเอายังไงกับมันดีล่ะครับ”

จ่าแม้นหันมาถามหลังจากสืบสวนเจ้าหนุ่มน้อยเสร็จ เมื่อไม่พบรอยพิรุธ คนที่ตัดสินใจก็คือภานุว่าจะจัดการกับเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เช่นไรดี ภานุมองใบหน้าและดวงตา ไม่ปรากฏร่องรอยของความอาฆาตพยาบาทจึงคิดว่า หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก บางทีเด็กคนนี้อาจจะช่วยลูกทีมของเขาให้รอดก็เป็นได้

“ปล่อยไป เอ็งบอกว่าเอ็งมาช่วยรึ แล้วจะช่วยยังไงล่ะ?”

ภานุตั้งคำถาม เจ้าขิ่นสบดวงตากร้าวแล้วถอนใจเฮือก

“ช่วยได้แล้วกันน่า ผมชำนาญพื้นที่นี้ จะพาฝ่าออกไปเอง แล้วการที่ลูกน้องของท่านนั้นไปแหย่พวกโจรกะเหรี่ยง ระวังจะถูกเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า”

เด็กหนุ่มว่า ภานุรู้สึกสนใจเจ้าเด็กหนุ่มแปลกประหลาดคนนี้ไม่น้อย

“งั้นเรอะ ถ้ามันเอาคืนฉันก็จะสนองให้มันเจ็บๆเหมือนกัน”

น้ำเสียงกร้าว ดวงตาลุกวาว แม้คนสนิทชิดเชื้อยังกลัว เจ้าขิ่นเห็นสายตานั่นแล้วก็กลัว เหมือนกับเป็นหมาบ้า หากไร้คนควบคุมก็เที่ยวกระโดดกัดไปทั่ว

“เอ่อ...ก่อนจะเอาคืน ผมว่าพวกท่านไปตามลูกน้องสองคนกลับมาดีกว่า เอ้อ...หรือว่าไม่ต้องตามดีล่ะเพราะเจ้าพวกโจรกระเหรี่ยงอาจจะจัดการฆ่าทิ้งไปแล้ว”

เด็กหนุ่มพูดเยาะ แอบกัดเล็กๆ ภานุพยายามจะไม่ถือโทษ สั่งให้อานุภาพตามติดผู้กองรังสรรค์กับธีรเดช จ่าแม้นอาสาไปด้วย ดังนั้นคงเหลือแต่เจ้าเด็กหนุ่มพม่ากับผู้กองหนุ่มเท่านั้น

"คิดไงถึงมาที่นี่”

เจ้าขิ่นถาม หยิบมีดคมกริบออกมาเหล่าไม้ให้เรียวแหลม ภานุระวังตัว เตรียมยิงทุกเมื่อหากเห็นท่าทีผิดปกติ

“แล้วเด็กอย่างเอ็งคิดว่ามาเดินเล่นหรือไง”

ภานุย้อน เจ้าขิ่นเกาหัวอย่างเซ็งๆ

“รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก...เอาเป็นว่าผมถามไปงั้นแหละ ก็รู้ดีอยู่แล้วนะมาทำอะไรกันพวกน้ำน้อยแพ้ไฟ”

คำพูดแฝงนัย ชายร่างสูงเข้าใจทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มาจากที่ไหน

“เอ็งเป็นพวกกองโจรกู้แผ่นดินรึ ที่เข้ามาปล้นในไทย”

คำว่าปล้นทำให้เด็กหนุ่มย่นหน้า

“ลุงรู้อยู่แล้วยังจะถามอีกทำไม”

เจ้าขิ่นตอบกวนๆบ้าง ภานุอดใจไม่ไหวต้องเขกมะเหงกประทานให้แก่ศีรษะทุยๆ

“ตอบมา เดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก”

ชายหนุ่มขู่เล่นๆ จับจ้องสีหน้าท้าทาย

“ปู้โธ่!ลุงจะให้ตอบอะไรเล่า”

เจ้าขิ่นรู้ว่า ชายผู้นี้คงไม่ทำอย่างที่พูดจึงกล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย

“แล้วนายเอ็งเป็นใคร ทำไมนายเอ็งต้องมาช่วยพวกฉัน”

ชายหนุ่มยิงคำถาม เจ้าขิ่นพยายามเก็บปากเก็บคำ แต่มันก็ถูกบังคับให้พูดจนได้

“นายของผมคือนายกิ่งไผ่ ท่านเป็นลูกของนายพลอินคาน ท่านสั่งให้มาช่วยพวกท่าน ก็ไม่รู้เหตุผลอะไรมากหรอกนะ รู้แต่ว่าท่านสั่งก็ต้องทำ”

มันตอบเท่าที่มันจะตอบได้ ภานุที่ได้ฟังต้องหลับตาลง เพราะก็ไม่ได้อะไรเพิ่มมากขึ้นแม้แต่น้อย

“พอนายน้อยได้ยินว่าทหารไทยรุกเข้ามาในพื้นที่นี้ นายน้อยก็ร้อนใจ เพราะท่านรู้ว่ามีคนลอบทำลาย”

คำพูดนั้นสะกิดใจภานุ

“ทางเอ็งรู้เบาะแสของพวกเราได้อย่างไรก็ในเมื่อภารกิจนี้มันเป็นความลับ...”

ร้อยเอกภานุกำลังนิ่งอึ้ง เพราะคำตอบมันก็ประมวลออกมาให้หมดแล้ว

“หรือว่ามีคนทรยศจริงๆรึนี่”

ชายหนุ่มพึมพำ เจ้าขิ่นมองอย่างเป็นห่วง เพราะแววตาแกร่งปิดลงอย่างเจ็บปวด

“ลุง...ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของภานุไม่ดีนัก

“ไม่ ขอบใจเอ็งมาก”

ฝ่ามือแกร่งบีบบ่า เจ้าขิ่นนึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างปุบปับ สิ้นคำพูดเสียงปืนก็คำรามอีกระลอก คราวนี้มายังทิศทางที่ร้อยตรีอานุภาพกับจ่าแม้นออกตามร้อยเอกธีรเดชกับร้อยเอกรังสรรค์ เจ้าขิ่นผุดลุกขึ้น

“ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะงานนี้”

มันทรุดนั่งกลับตามเดิมยังใจเย็นอยู่ได้ ภานุรู้อยู่แล้วว่าเหตุที่มันไม่ตกใจมากนักคงเพราะออกร่วมรบบ่อย

“คิดว่าลูกน้องของลุงยังไม่ตายหรอกนะ”

เจ้าขิ่นบอกเมื่อเห็นสายตาแกร่งจ้องเขม็ง

“เสียงปืนนั่นไม่ใช่ของทางฝั่งพวกกองโจรอยู่แล้ว”

ภานุเอ่ยขึ้นมาบ้าง เด็กหนุ่มเลิกคิ้วนิดๆ...ก็รู้นี่ ทำไมยังทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นนะ

“แล้วถ้ารอดไป ลุงจะทำอะไรต่อ”

เจ้าขิ่นลองเปลี่ยนคำถามไปเป็นเรื่องอื่นบ้าง สายตาของชายหนุ่มอ่อนลงอย่างน่าแปลกใจ

“คิดว่าจะรอดออกไปได้ด้วยรึ”

คำถามนั่น ทำให้เจ้าขิ่นเงียบ

“รอดสิ ต้องรอดแน่ๆ แล้วถ้ารอดจะทำอะไรละเป็นสิ่งแรก”

เด็กหนุ่มถามซ้ำ คนที่แก่วัยกว่ากลับยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนผิดกับท่าทางเมื่อครู่ดีเหลือเกิน

“ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร”

เจ้าขิ่นไม่อยากเซ้าซี้ให้มากความ มันจึงตัดบทแทน ภานุเห็นจึงตอบด้วยน้ำเสียงทอดเบาราวกับโหยหา

“กลับไปคงไปกอดคนที่รักมั้ง”

สายตาของเจ้าขิ่นเหลือบมอง พลางนึกในใจว่าลุงดุๆทำตัวราวกับหมาบ้านี้มีคนรักด้วยรึ

“ใครล่ะ”

เด็กหนุ่มอดใจถามไม่ได้ ก่อนจะต่อให้...ที่รักคนที่ดูไร้หัวใจอย่างลุง...ภานุอ่านสายตาออก ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มซ่อนความนัย

“อยากจะรู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”

กับคำพูดที่เอ่ยออกมา ดวงตาวาดฝันพลันหม่นลง เจ้าขิ่นนิ่งเงียบ...บางทีเรื่องที่ถาม ควรจะพอเสียดีกว่า หากละลาบละล้วงไป ท้ายสุดเขาอาจจะซวยเอาได้กับสายตาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-06-2008 23:06:19
ผู้กองรังสรรค์วิ่งข้ามท่อนไม้พุๆ ก่อนจะยิงเงาคนไวๆ เมื่อสำเร็จก็เดินไปดูผลงาน ธีรเดชที่รั้งท้ายยิ้มให้ชู้นิ้วโป้งขึ้น

“ดูท่าจะมีความหวังแล้วล่ะ”

ผู้กองธีรเดชเอ่ย พลางปาดเหงื่อชุ่มหน้า หลังจากที่หลอกล่อกันมานานจึงเอ่ยอย่างดีใจ เสียงปืนที่ดังเป็นตับอยู่ทางซ้ายทำให้ทั้งสองหลบฉากแทบไม่ทัน

“คิดว่าเป็นเสียงปืนใครครับ ”

ธีรเดชสงสัยต่อเสียงปืนปริศนา รังสรรค์ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้

“ชักยังไงๆแล้วสิ หรือว่าทางค่ายของเราถูกโจมตี”

คำสัญนิฐานที่เอ่ยอย่างหวั่นๆ ผู้กองรังสรรค์บอกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะทิศนั้นไม่ใช่ที่ค่าย

“แล้ว...”

ธีรเดชจะเอ่ยต่อ แต่แล้วต้องตื่นตะลึง เพราะเสียงไฟป่าดังคุขึ้น แสงสีส้มลุกโชนจับขอบฟ้า ใบไม้สีเขียวม้วนตัวหงิกหงอกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วค่อยๆกลายเป็นเศษผุยผง

“มันเล่นเราจนได้ มันฆ่าเราไม่ได้ก็เลยจะให้ตายไปพร้อมกับมัน”

ไอร้อนของไฟแรงจนต้องอังหน้าไว้ เห็นท่าไม่ดีนัก ทั้งคู่จึงวิ่งหนีเพลิงป่าอย่างไม่คิดชีวิต เสียงไฟลามใบไม้เเห้งลั่นเปรี๊ยะปร๊ะ ลมพัดโหมกระหน่ำยิ่งทำให้มันคุโชน จนกระทั่งทรุดลงอย่างเหน็บเหนื่อย

“นั่นมันใครครับ”ธีรเดชชี้มือไปทางกลุ่มควัน เงาที่ซ่อนอยู่ดูคุ้นตายิ่งนัก

“เอ๊ะ นั่นมันผู้หมวดอานุภาพกับจ่าแม้นไม่ใช่รึ ทำไมถึง...”

รังสรรค์กู่ปากร้องเรียก นายทหารต่างยศสองนายที่หนีตายจากไฟป่าหันควับแล้วเผยสีหน้าดีอกดีใจทันที

“มาทำไมครับแล้วผู้กองภานุล่ะ?”

รังสรรค์ละลักละล่ำถาม จ่าแม้นบอกให้เย็นไว้ เสียงไอแค่กๆปะปนมาด้วย

“โอ้ย เย็นไว้ครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง หนีออกไปจากป่านรกนี้ก่อนเถอะ”

ทุกคนต่างวิ่งกลับไปทางค่ายโดยที่ไม่สนใจแล้วว่า ฝ่ายพวกโจรกะเหรี่ยงจะเป็นเช่นไร

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 25-06-2008 23:21:15
เมามัน

หุหุ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 26-06-2008 00:17:09
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับถ้าจำไม่ผิด..คุณหมอธารได้ช่วย กิ่งไผ่ไว้ จากการรบครั้งแรก จนทำให้ผู้กองนาคีตายใช่ป่าวครับ

เร็วๆครับ ความจริงจะได้ถูกเปิดเผยซะที ผู้กองภานุจะได้เลิกโทษคุณหมอซะทีว่า ทำให้เพื่อนเค้าตาย อิอิ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 26-06-2008 10:55:47
ลุ้นระทึกอีกแล้ววววววววววววว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 26-06-2008 12:03:58
ลุ้นกันตัวโก่งเลยเรา
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 26-06-2008 14:07:31
โอยยยย ลุ้น! :o
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 26-06-2008 17:42:33
โอยๆๆๆ

ตื่นเต้นๆๆ

ลุ้นๆๆ

ขอให้รอดๆๆ

อยากให้ธีได้เจอกะกิ่งไผ่ง่ะ :oni2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 26-06-2008 18:06:45
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 27-06-2008 15:14:17
  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ดันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆดันๆๆๆๆ

แล้วจะรุ่งเอง มาส่งกำลังใจครับผม  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :oni2: :L2: :L2: :L2: :L1: :L1: :L1:

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 28-06-2008 05:29:26
 :serius2: นู๋เรน พี่เข้าไปเม้นท์เวปโน้นไม่ได้ เข้าไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้ว  :o12:  :o12: เศร้าและเซ็งจิต
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-06-2008 17:06:44
อิอิ  กำลังลุ้น  ต่อเลยๆๆๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก:19 Fabian /สิ้นสุด

พระเพลิงที่โหมกระหน่ำ รอบกายร้อนอบอ้าว ผิวเนื้อแสบร้อน สี่นายทหารหนุ่มพยายามฝ่าควันไฟสีเทาปนดำออกไปจากเพลิงนรกพิโรธให้ได้ กลิ่นเนื้อไหม้ ฝูงนกบินว่อนทั่วท้องฟ้า

“ไม่ไหวแฮะ...”

ร้อยตรีอานุภาพว่า ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลหยดย้อน จ่าแม้นฉุดกระชากผู้หมวดหนุ่มที่ชะงักงันให้วิ่งตาม ร้อยเอกรังสรรค์ยิ่งไอโขลกๆ ยังดีที่ได้ผ้าปิดจมูกเอาไว้

“เมื่อไรจะพ้นไอ้ไฟนรกสักทีครับ”

ธีรเดชว่า เขาจะทนไม่ไหวแล้ว หากไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์ เขาคงต้องตายแน่ๆ ไฟยิ่งโหมแรงเพราะลมพัดกระหน่ำให้มันคุ

“เราวิ่งสะเปะสะปะนอกทางแล้ว ป่านนี้ผู้กองภานุจะเป็นอย่างไรบ้างนะ”

มือหน้านำผ้าชุบน้ำปิดจมูกออก พยายามจะสูดเอาออกซิเจนเข้าไป แต่ได้เพียงมลพิษเท่านั้น

“ตอนนี้อย่าเพิ่งห่วงใครเลย ผมว่าเรา ต้องออกไปจากไอ้ไฟป่าที่พวกโจรบ้าจุดขึ้นมาเสียดีกว่าครับ”

อานุภาพว่า เกิดความตึงเครียดขึ้น

“แบบนี้ก็เห็นแก่ตัวสิครับ”

ธีรเดชโพลง เขาทำหน้าไม่พอใจกับคำพูดที่เห็นแก่ตัว

“จะมาบ้าทะเลาะอะไรกันตอนนี้”

ผู้กองรังสรรค์ลุกขึ้นขวางคนที่จ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นั่นสิครับ จ่าว่าทุกคนหลบก่อนดีกว่า ผู้กองธีไม่ต้องห่วงผู้กองภานุหรอกครับรับรองสองคนนั้นต้องปลอดภัยแน่ๆ”

บุคคลทั้งสามเงียบกริบ ธีรเดชจะเอ่ยบางอย่างแต่ถูกรองหัวหน้าสั่งให้เงียบ ชายหนุ่มจึงเงียบ

“อย่างที่จ่าแม้นบอกผู้กองอาจจะปลอดภัยก็ได้”

ธีรเดชสงสัยว่าผู้กองภานุจะปลอดภัยได้อย่างไรก็ในเมื่อบาดเจ็บอยู่แถมยังอยู่เพียงคนเดียวในวงล้อมข้าศึก

“จะเอาอะไรเป็นประกันล่ะครับว่าผู้กองปลอดภัย”

ธีรเดชถาม เขาจ้องหน้าทุกๆคน

“มีคนช่วยผู้กองภานุอยู่แล้ว...”

จ่าแม้นตอบ แล้วพยักเพยิดให้ดูพระเพลิงที่ลามเลียกินไปทั่ว

“ผมว่าเราต้องเอาชีวิตรอดแล้วละ ที่นี่ร้อนอย่างกับนรก แล้วอีกอย่างปืนอาจจะระเบิดได้ จะเอาอย่างไง ข้างหน้ามีป่าเขียวขจีที่ไฟป่าไม่อาจลามไปถึง”

ธีรเดชละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามสมัครพรรคพวก ใจยังห่วงผู้กองภานุไม่คลาย หากผู้กองตายก็ถือว่าเป็นความผิดเขาเอง เขาอุตส่าห์สัญญากับตัวเองแล้วจะทำให้ต้นธารามีความสุข ชายหนุ่มชะงักเพราะเสียงปืนกราดใส่ ทุกคนก้มหมอบราบกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน

“ไอ้บัดซบเอ้ย”

เสียงคำรามดังมาจากปากผู้กองรังสรรค์ จ่าแม้นโงหัวขึ้นไปดูแล้วทำหน้าเคียดแค้น

“มันเล่นเราอีกแล้วครับผู้กองจะให้ทำอย่างไรดีครับ”

จ่าแม้นหันมาถาม มือก็สาละวนบรรจุลูกกระสุน

“จ่าแม้นโอบปีกซ้าย ผมให้เวลาจ่าห้านาทีในการจัดการสังหารพวกมัน ส่วนหมวดคอยระวังแนวหลัง ผมกับผู้กองธีจะดูปีกขวาเอง”

จ่าแม้นรับคำสั่ง ห้านาทีกับการแข่งกับเวลา บรรยากาศเครียดขึ้น จ่าแม้นที่หมอบราบไปกับพื้นค่อยๆคลาน
สอดสายตาหาศัตรูท่ามกลางควันไฟ...นั่น...เงาที่กำลังผลุ่บๆโผล่ อยู่ลัดๆ ท่ามกลางพุ่มไม้ จ่าชรายกปืนเล็งประณีตลั่นกระสุนใส่ร่างเป้าหมาย มันล้มคว่ำหน้า หมดโอกาสหายใจ จ่าแม้นยกมือเป็นสัญญาว่าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้หมวดที่ตามหลังมาส่งสัญญาว่าทางด้านหลังปลอดภัย มองไปทางผู้กองรังสรรค์และผู้กองธีก็ไม่พบความผิดปกติ ทหารทั้งสี่นายก็รีบลุกขึ้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังจุดนัดหมาย พอออกห่างจากเปลวไฟนรกได้ เรี่ยวแรงก็หดหายลงเสียดื้อๆ

“ผู้กองรังสรรค์คิดว่าพวกโจรจะเหลืออยู่กี่คนครับ”

จ่าแม้นปาดเหงื่อ กลิ่นฉุดจากตัวลอยอวลอยู่ในอากาศ ไม่มีใครบ่นว่าเพราะคุ้นชินกับมันดี เสื้อผ้าสกปรกมอม
แมมจนแยกสีไม่ออก

“ผมไม่รู้”

ผู้กองรังสรรค์ตอบ หยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลขึ้นมา จัดการกับแผลพุพอง

“หากมันมาก็ยิงเสียให้หมด”ธีรเดชคำราม ดวงตาขวาง

“แล้วผู้กองภานุล่ะครับ”ชายหนุ่มกลับสติมาเป็นผู้กองหนุ่มคนเดิม ถามถึงผู้กองภานุ

“อีกไม่ช้าก็คงได้พบ”

จ่าแม้นตอบลึกลับ ธีรเดชมองนาฬิกา เกือบเที่ยงแล้วที่พวกเขาเผชิญกับเหตุการณ์อันแสนตึงเครียด

“ทุกคนหาที่พัก”

พอได้ยินคำว่าที่พัก ความเหนื่อยอ่อนก็เข้าจู่โจม แข้งขาอ่อนล้าก็ลุกขึ้น เมื่อไม่มีแรงก็ใช้ปืนยันกาย

“หวังว่าที่หมายข้างหน้าคงช่วยเราได้”

ผู้กองธีเอ่ย การบุกป่าฝ่าดงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ทุกคนเดินเรียงเดี่ยวผ่านดงเฟิร์น รองเท้าคอมแบตย่ำไปบนพื้นเฉอะแฉะ ต่างคนต่างก้มหน้าเดินเงียบๆ ดูเซื่องซึมกันเหลือเกิน

“ข้างริมธารนั้นคงใช้ได้”

ผู้กองรังสรรค์ชี้นำ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้า พอไปถึงข้างลำธารใสแจ๋ว ทุกคนต่างกวักน้ำเย็นๆลูบไล้ล้างหน้าล้างตา หยดน้ำแสนเย็นช่วยชำระคราบสกปรก บางก็กวักน้ำดื่มอย่างกระหาย พอได้พักก็พักตามอัธยาศัย ไร้การป้องกันตัว

“สวรรค์ขอให้ได้เอนหลังอย่างนี้สักพักเถอะ...”

จ่าแม้นรำพึง ผู้กองรังสรรค์ยิ้มเจื่อนๆ

“ผมว่าคงยังไม่มีใครมาในตอนนี้หรอกครับ”

คำตอบนั่นทำให้ใบหน้าของทุกคนคลายความกังวลลง

“พักอีกสักหน่อยเดี๋ยวเราจะออกตามหาผู้กองภานุกัน”

รังสรรค์มองนาฬิกา อีกครั้ง เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง พวกเขามีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่จะพักผ่อน

“แล้วผู้กองจะหนีไปยังทิศไหนล่ะครับ”

ธีรเดชที่คับข้องใจเอ่ยถาม จ้องจ่าแม้น จ่าชราถอนใจ เกาหัว

“ผู้กองมีคนช่วยอยู่แล้วครับ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเห็นบอกว่าได้รับคำสั่งให้มาช่วยเราจากนายของมันให้มาช่วยเรา”

ธีรเดชได้รับฟังก็สงสัยใคร่รู้

“นาย??? ให้คนมาช่วยเรา ใครล่ะจะใจดีขนาดนี้”

ผู้กองรังสรรค์กังขา จ่าแม้นหันไปทางผู้หมวดอานุภาพ ส่งให้เป็นคนเล่า

“ก็ไม่ทราบครับ เจ้าเด็กหนุ่มที่มาช่วยเราก็เป็นคนๆเดียวกับคนที่นำน้ำดื่มมาให้ จู่ๆมันก็เข้ามา บอกว่ามาช่วยเรา ท่าทีก็ไม่มีพิษมีภัย นายที่ว่าอาจจะเป็นทหารกองโจรกู้แผ่นดินก็ได้ ผมแค่สัณนิฐานเท่านั้น”

ผู้กองรังสรรค์ไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามขบคิดหลายๆแง่

“หากเป็นฝ่ายตรงข้ามจริงแล้วมาช่วยเราทำไม”

“หรือว่าเป็นกับดักครับ?”

จ่าแม้นโพล่ง ธีรเดชที่ได้ฟังฉุกใจคิด เด็กหนุ่ม น้ำ...อะไรจะประจวบเหมาะเช่นนี้ สิ่งที่เขาข้องใจมาตลอดเป็นจริงรึ ไม่น่าเชื่อ....ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าเรามา...ความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาในหัวใจ ชายหนุ่มนิ่งไว้ก่อน

“ไม่น่าจะใช้ หากเป็นแผนลวงจริงก็ไม่น่าจะทำแบบนี้”

ธีรเดชอดปากไม่ได้ สายตาของทุกคนจับจ้องเขาเป็นทางเดียว

“อะไรทำให้ผู้กองมั่นใจถึงขนาดนั้น?”

ร้อยเอกอานุภาพว่า ธีรเดชอึกอัก

“ลองคิดดูสิครับ เด็กนั่นไม่ได้เกี่ยวกับพวกกองโจรนั้นเลย หากเกี่ยวข้องกันจริงก็น่าจะช่วยกันทำลายเรา ไม่น่าปล่อยไว้แบบนี้”

กับความคิดของธีรเดช ทุกคนต่างเห็นด้วย

“อีกฝ่ายมีเจตนาใด จะดีหรือร้ายก็ต้องตามผู้กองภานุก่อน”

รังสรรค์รั้งกลับมาสู่เรื่องเดิม ทุกคนเก็บสัมภาระตัวเอง ลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเป่า ร้อยเอกธีรเดชหันไปทางผู้กองรังสรรค์

“จะเริ่มตามผู้กองภานุจากตรงไหนครับ เราพลัดถิ่นมาแบบนี้แถมยังหลงทางกันด้วย”

ทุกคนเริ่มสนใจ ธีรเดชล่วงแผนที่ที่เก็บพับไว้ในกระเป๋าออกมา ลองเทียบทิศทางดู

“เราจะย้อนกลับขึ้นไปหรือว่ายังไงครับ?”ร้อยเอกรังสรรค์ตัดสินใจ

“เราจะเดินหน้า หากสิ่งที่คุณเล่ามาเป็นจริง เด็กหนุ่มนั่นต้องนำผู้กองฝ่ามาแถวนี้แน่ เพราะไม่มีทางที่จะข้ามกลับไปฝั่งไทยได้”

ร้อยตรีอานุภาพมองรอบๆป่าก็ค้านขึ้น

“แล้วเรื่องของพวกกองโจรล่ะครับ เรายังไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดเลยว่า มันมีกองกำลังอยู่เท่าไรและตายไปกี่ศพ พวกมันอาจรุกฆาตเราก็ได้”

คำพูดน่ากลัว รองหัวหน้าหน่วยหนักใจ

“เราเลือกไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป!”

เหล่าขณะนักรบถึงแม้จะหนักใจ หากก็ไม่อาจทิ้งหัวหน้าไปได้ พวกเขาจึงออกเดินทาง...โดยมีจุดหมายลมๆแล้งๆ

------------------------------------------------



หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-06-2008 17:07:49
ภายในที่ซ่องสุมของกองโจรกู้แผ่นดินเงียบผิดปรกติ นายกฤษดาเดินออกมาดูรอบค่ายอันแสนเงียบสงบ รอยยิ้มเป็นต่อผุดขึ้น...อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นานเลย ที่กองโจรพวกนี้จะแตกพ่าย กิ่งไผ่โผล่หน้าออกมาจากประตู เขาหงุดหงิดใจเพราะเจ้าขิ่นไม่มาส่งข่าวเสียที แล้วก็นึกหวั่นเพราะเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งโขมงจับขอบฟ้า สายตาหรี่ลงเพราะเห็นคนที่ไม่ชอบใจอย่างรุนแรง จึงหลบเข้าห้องเสีย พ่อของเขาก็อาการดูไม่ดีเลย ชายหนุ่มจึงเปิดประตูห้อง

“พ่อแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร พ่อนอนแบบนี้มาสองวันแล้วนะครับ”

ลูกชายถามเสียงอ่อน อดีตผู้นำแห่งเวียงนวรัฐะยิ้ม

“พ่อแค่เหนื่อยเองลูก มาว่าพ่อเอาแต่นอนก็ไม่ได้น่า คุณกฤษดาเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้คุยอะไรกับลูกหรือเปล่า”

กิ่งไผ่กอดอก ทำท่าอ่อนใจ

“คุย?...จะให้เขาคุยเรื่องไหนล่ะครับ”

ลูกชายย้อนทำหน้าเบื่อหน่าย

“ไผ่ เขาเป็นคนสนับสนุนเงินให้เราซื้ออาวุธนะ”

เรื่องอาวุธ กิ่งไผ่ยอมรับว่ามันต้องใช้เงินเยอะเหมือนกัน แถมยังต้องหาซื้อในตลาดมืดซึ่งราคามันสูงจนเกินกำลัง

“ผมรู้ครับพ่อ ว่าเขาให้เงินสนับสนุนเรา เรื่องนี้พ่อคุยกับเขาเองแล้วกันครับ ผมไม่อยากยุ่ง”

กิ่งไผ่บอกปัด ท่านนายพลทำหน้าสงสัย

“มีอะไรล่ะลูก ถึงไม่อยากคุยกับคุณกฤษดา”

กิ่งไผ่ไม่พูด เขากอดอกแทน ท่านนายพลเตรียมสั่งสอนแต่เจ้าลูกชายตัวดีเหมือนจะรู้แกว จึงเสหยิบแก้วน้ำขึ้นมา

“พ่อทานยาเถอะครับ”

ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างเตียงยื่นยาให้

“พ่อทานยาดีกว่าครับ”

ท่านนายพลเอื้อมมือลูบหัวบุตรชาย สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยน รอยยิ้มของบุตรชายเผยออก

“พ่อครับ ผมก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ”

อดีตท่านนายพลลุกขึ้นพิงหมอนใบโต

“ลูกไม่ใช่เด็ก ลูกก็ควรไปคุยกับคุณกฤษดาให้เรียบร้อยเสีย มันคือผลประโยชน์เราทั้งนั้น ถึงเราไม่ชอบเราก็ต้องพึ่งเงินของเขา”

กิ่งไผ่จับแก้วแน่น ทำหน้าไม่ชอบใจชัดเจน

“ไผ่...กองทัพเดินด้วยท้อง เราน่าจะรู้ดีไม่ใช่รึ ทุกอย่างภายในนี้ต้องใช้เงินทั้งนั้น”

แก้วน้ำในมือของกิ่งไผ่หล่นลงพื้นแตกละเอียด สีหน้าโกรธเคือง

“ผมรู้ดีทุกอย่างแหละครับพ่อ นับแต่เวียงนวรัฐะล่ม นับตั้งแต่แม่ถูกฆ่าตายแล้วผมต้องไปที่เวสพอยท์ ผมอยู่เพื่ออะไร เพื่ออุดมการณ์ที่จะกู้บ้านกู้เมืองคืน ต้องปล้นเงินทองเขาต้องขอคนอื่นใช้เพื่อความฝันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง....ผมรู้สึกขมขื่นกับมันมาตลอดเลยนะครับ”

บิดาที่ได้รับฟังไม่กล่าวโต้ตอบอะไรทั้งนั้น เพราะรู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“พ่อเข้าใจไผ่ เอาเถอะหากเจ้าไม่คิดจะคุยกับคุณกฤษดาพ่อก็ไม่ว่าอะไร”

บิดาเลี่ยงที่จะโต้เถียง กิ่งไผ่ระงับความรู้สึก

“ผมขอโทษครับพ่อที่เอาอารมณ์ใส่อีก ผมรู้ว่าพ่อคาดหวังกับผม...คาดหวังมาตลอด แต่ผมกลับเหลวไหลเสียได้”

ผู้เป็นบุตรว่า กุมหน้าผากเกลี้ยงเกลาของตัวเองไว้

“อย่าโทษตัวเองเลยไผ่ พ่อต่างหากที่กดดันเจ้ามาตลอด พ่อเองที่สมควรจะขอโทษเจ้า”

กิ่งไผ่ร้องไห้...คิดถึงอดีต... มันโหดร้ายเกินไปกับความจริงที่ได้รับรู้ เจ้าหญิงมนัสหยาแห่งสิเรียม มารดาผู้แสนอ่อนโยนกลับต้องตายต่อหน้าต่อตาสามีตนเพียงเพราะคนๆหนึ่งบ้าอำนาจ ท่านนายพลเกลียดมัน...เกลียดเข้ากระดูกดำ ไอ้นกสองหัว ใจมันคิดไม่ซื่อ อดีตท่านนายพลยังไม่บอกกล่าว่าศัตรูของท่านเป็นใคร กิ่งไผ่มีความเจ็บปวดเต็มบ่า แม้ท่านอยากจะบอกกล่าวแต่ท่านต้องข่มไว้ สายตาของท่านเฝ้าสังเกตบุตรชายทุกครั้ง...กิ่งไผ่ผู้รักสงบ นิสัยอ่อนโยนที่ได้รับถ่ายทอดจากภรรยาจนไม่น่าเชื่อกลับกลายมาเป็นเครื่องจักรสังหารคนได้อย่างเลือดเย็น ท่านหวั่นใจอยู่เสมอยามที่เห็นบุตรชายเหม่อ เพราะท่านไม่อาจเข้าใจได้ว่า ลูกชายตัวเองคิดสิ่งใด

“พ่อครับ...ผมจะแสดงความอ่อนแอเป็นครั้งสุดท้าย...แล้วผมจะเข้มแข็งเพื่อนำเวียงนวรัฐะกลับคืน”

นายพลอินคานลุกจากเตียงรั้งร่างสูงของลูกชายมากอด

“พ่อขอบใจลูกที่ลูกทำเพื่อพ่อ ทำเพื่อชาติบ้านเกิดโดยสละความสุขของลูกทั้งหมด”

นายพลอินคานบีบบ่าของบุตรชายแน่น...ไอ้สารเลวนั้นต้องได้รับผลกรรม!...เจ้าคะฉิ่น....น้องชายแท้ๆของท่านนายพลเอง

------------------------------------------------

เจ้าขิ่นร้องลั่นทันทีที่เห็นควันไฟ มันรีบบอกให้นายทหารบาดเจ็บลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มยังนิ่ง

“เฮ้ยยยย เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

เด็กหนุ่มละล้าละหลัง สีหน้าของภานุยังสงบ จนกระทั่งเจ้าเด็กหนุ่มอดทนไม่ไหวนั่นแหละจึงเข้ามาฉุดมาดึง เก็บข้าวของให้อย่างรวดเร็ว จึงรอดพ้นมหันตภัยได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ทั้งคู่เดินโซเซเพราะความสูงไม่เท่ากัน ไฟป่าที่เจ้าพวกกองโจรจุดก็ได้ลุกลามอย่างรวดเร็ว เจ้าขิ่นมองเสี้ยวหน้าที่ทรหดอดทน ภานุสะบัดวงแขนที่ประคองออก

“เอ็งเก็บของไปก็พอ”

ภานุสั่ง ให้เก็บสัมภาระจำเป็นหนีไฟป่าที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เแรกๆเจ้าขิ่นก็ไม่ยอม พอภานุมองตาดุๆเท่านั้นแหละจึงทำให้ยอมจนได้ ทั้งสองกระเสือกกระสนหนีไฟป่ามาจนถึงที่ปลอดภัย นายทหารหนุ่มจึงล้มลง

“ป่านนี้พวกนั้นจะเป็นอย่างไรนะ”

ชายหนุ่มเฝ้ามองควันไฟ ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย ภาพของพองเพื่อนถูกย่างสด ชายหนุ่มขนลุก

“โฮ้ย...แค่ไฟป่า พวกของคุณน่าจะหนีได้หรอกน่า”

เจ้าขิ่นปลอบเมื่อเห็นแววตาของคนขลาดหวาดหวั่น ไม่ยักจะรู้ว่าคนๆนี้แสดงอารมณ์และสีหน้าแบบนี้ได้ด้วย

“นี่เรายังต้องเดินทางอีกไกล ลุงลุกขึ้นดีกว่า”

เด็กหนุ่มว่า รอให้ภานุลุกขึ้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ขยับเขยื้อน สายตามองกองเพลิงแล้วนึกถึงวันที่เพื่อนรักตายต่อหน้าต่อหน้า ร่างของนาคีทอดเหยียดยาว หลังเต็มไปด้วยเลือดไหลหยดซึมออกมาจากเสื้อลายพรางกลายเป็นสีคล้ำ ใบหน้าของเจ้าเพื่อนรักมีความกังวลใจเหลืออยู่ มันซ่อนทับภาพของคุณหมอต้นธาราร้องไห้ตอนที่เห็นเพื่อนรักของเขาตาย เหมือนความรู้สึกโศกลึกซึ้งเจือลงในใจ เจ้าขิ่นเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงอย่างสนใจ แววตาแกร่งสั่นระริก แม้จะไม่คิดเสียใจ สุดท้ายความรู้สึกนั่นก็เข้าครอบคลุมจิตใจ ชายหนุ่มพยายามข่มความเสียใจไว้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจทำได้ เจ้าขิ่นเห็นสภาพของภานุถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เมื่อเห็นใบหน้าแกร่งมีหยาดหยดน้ำตาไหลอาบ อยากจะถามถึงเหตุผลที่มาของสายน้ำตาไหลรินแต่รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควร เด็กหนุ่มรอให้หยาดหยดน้ำตานั้นหมดไป ภานุจึงลุกขึ้นได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ไปเถอะ”

ชายหนุ่มสั่ง เจ้าขิ่นมองตามแผ่นหลังแกร่ง เหมือนกับจะกักเก็บสะสมความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลไว้

“ผมไม่รู้ว่าลุงเสียใจเรื่องอะไร แต่ว่าความหวังยังไม่สิ้นสุดหรอกนะ สิ่งที่เราคาดหวัง เราจะประสบความสำเร็จ เพราะแรงใจของเราเอง”

เจ้าขิ่นว่า ภานุหันมามอง

“นั่นใครสอน”

ชายหนุ่มเอ่ยปากถามอย่างขรึมๆ

“ไม่มีใครสอนหรอก ผมคิดเองน่ะ...เพราะต้องคอยอยู่ท่ามกลางสภาพที่สิ้นหวังมาตลอด มีเพียงสิ่งเดียวที่จะปกป้องเจ้านายและความขลาดกลัวได้ก็คือการให้กำลังใจเอง”

ภานุยิ้มให้ เจ้าขิ่นก็ยิ่งประหลาดใจอีก

“มีเพียงคนสองคนที่ทำให้ผมประหลาดใจได้กับอารมณ์...นั่นก็คือนายของผมกับลุง....นายผู้ซึ่งกักเก็บความอ่อนแอเอาไว้ ส่วนลุงจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า”

ภานุใช้คำถามนั้นถามตัวเอง...สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร...ความรู้สึกจริงๆของตัวเอง

“ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอ”

ภานุตอบ เจ้าขิ่นเบ้ปาก

“คนที่พูดแบบนี้ก็อ่อนแอทุกคนล่ะครับ”

นายทหารจากไทยยิ้มให้

“นั่นสินะ...อาจจะอ่อนแอกว่าที่คาดก็ได้”

ชายหนุ่มทิ้งปมไว้ เดินห่างจากเด็กหนุ่ม ทิ้งความรู้สึกเดียวดายอ้างว้างเอาไว้เบื้องหลังไฟป่าที่โหมกระหน่ำ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 28-06-2008 19:03:58
:serius2: นู๋เรน พี่เข้าไปเม้นท์เวปโน้นไม่ได้ เข้าไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้ว  :o12:  :o12: เศร้าและเซ็งจิต

 :o มันเป็นอะไรล่ะนั่น เด็กดี??? ปกติเราก็เข้าได้นี่น่า??? รึมันเอ๋อเป็นช่วงๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-06-2008 23:41:24
อิอิ มาต่อแล้วววววววววววววววววววววววววววววว

ขอสารภาพว่ายังจำชื่อทหารสลับไปมาอยู่เลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 29-06-2008 14:54:55
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 29-06-2008 15:39:44
นี่รอดกันแล้วใช่มั้ย

เมื่อไหร่จะได้เจอกะคนรักสักที

 :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-06-2008 21:12:33
55 จำชื่อทหารสลับกันไม่แปลก เราก็ลืมๆ เหมือนกัน
ส่วนจะได้เจอกับคนรักอะป่าว  รออ่านต่อไปค้าบบ  ขอบคุณที่มาให้กำลังใจน้า

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก20 lachrymal/ความจริง

คุณหมอธารมองโรงพยาบาลในกรุงเทพ หลังจาที่ตัดสินใจเข้ามารักษา ท่านนายพลพิภพรีบจัดการเรื่องต่างๆจนเสร็จ คุณหมอหนุ่มหลับตาลงเมื่อคำนึงถึงผู้กองหนุ่ม

“ธารวันนี้พ่อซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยที่ลูกชอบมาด้วย”

ท่านนายพลชูถุงพลาสติกขึ้น หลังจากที่ต้นธารายอมเข้ารับการรักษาจริงๆจังๆในกรุงเทพฯ ผู้เป็นบิดาก็มาเฝ้าไข้ทุกๆวัน วันละสองสามชั่วโมงก่อนจะไปทำงาน ต้นธาราเอ่ยขอบคุณบิดา เขาลงจากเตียงหยิบถ้วยมาเทโจ๊กร้อนๆ ชายหนุ่มนั่งลงตรงกันข้ามบิดา ท่านแต่งชุดทหารมาเยี่ยมไข้เช่นเคย

“ทานซะนะ วันนี้หน้าลูกดูซีดๆจัง จะให้พ่อเรียกหมอมาตรวจไหม?”

ต้นธาราส่ายหน้า เขาตักโจ๊กจรดริมฝีปาก สีหน้าครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ

“พรุ่งนี้หมอก็นัดตรวจแล้วครับ พ่อว่างไหม”

ชายหนุ่มวางช้อน เอนหลังพิงโซฟา มองจานโจ๊กครึ่งค่อนชาม แล้วเงยหน้า สบตาเข้มกร้าว

“ว่างสิ วันนี้พ่ออยู่ไม่ได้นานหรอกนะเดี๋ยวต้องไปประชุมกับกรมฯอีก เย็นๆพ่อจะมาหาลูกนะ”

ท่านนายพลลุกขึ้น ต้นธาราส่งบิดา ก่อนจะกลับมานั่งยังโซฟาตามเดิม ความรู้สึกกระอักกระอ่วนกินลึกในอก พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯเหมือนกับตัวจะลูกบีบจนเล็กเท่ามดตัวจ้อย คิดจะทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกสิ่งต้องถือฐานะหน้าตาเป็นหลัก คุณหมอกวาดสายตามองทั่วห้อง วันเวลาช่างเชื่องช้านัก นิ้วเรียวหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน พลิกหน้ากระดาษอย่างไม่ใส่ใจจนเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางพยาบาลสาวยิ้มหวานถือถาดยามาให้

“ยาค่ะ ท่านนายพลสั่งให้นำมาให้”

ต้นธารามองยาเม็ดกลมคละกับแคปซูล เอ่ยขอบคุณเธอหยิบยาพร้อมกับน้ำดื่มจนหมด

“ทานเสร็จแล้วก็นอนพักนะคะ วันพรุ่งนี้คุณหมอนัดเก้าโมงเช้า ขอให้หลับสบายนะคะ”

เธอว่า ต้นธารายิ้ม เขาส่งถ้วยโจ๊กคืน ก่อนจะลุกไปยังเตียง ยังไม่ค่ำเลยด้วยซ้ำแต่ต้นธาราก็เข้านอนพักผ่อนแล้ว ต้นธาราปฏิบัติแบบนี้นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาพักรักษาตัว เมื่อไม่มีอะไรทำต้นธาราก็จะเอาแต่นอน เขาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็มิอาจทำได้จึงลุกขึ้นมานั่งเล่น...เพื่อรอผลการตรวจที่จะชี้ชะตาชีวิต

------------------------------------------------

วันรุ่งขึ้นต้นธาราตื่นมา รีบจัดการล้างหน้าล้างตา นั่งรอให้นางพยาบาลเข้ามาวัดความดันแล้วก็รอบิดาบังเกิดเกล้าไปพลางๆ สายตาไล่มองนาฬิกาอย่างกังวลใจ

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะนำอาหารเช้ามาให้นะคะ”

นางพยาบาลเก็บสายวัดความดัน ต้นธารารออาหารเช้าซึ่งประกอบด้วยส้มเขียวหวานสองผล โอวัลตินร้อนแล้วก็ข้าวต้ม ต้นธารานั่งทานไปเรื่อยๆจนท่านนายพลพิภพกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง

“ทานข้าวอยู่รึลูก โทษทีๆพ่อมาช้า...เฮ้อ รถมันติดเหลือเกิน”ท่านบ่น ต้นธาราละมือจากการทานอาหาร รินน้ำจากเหยือกอลูมิเนียมให้แก่คุณพ่อ

“ขอบใจลูก เมื่อคืนนอนหลับดีใช่ไหม”

ศีรษะได้รูปผงกตอบรับ ท่านนายพลโล่งใจ

“พ่อคิดว่าธารจะกลุ้มใจเสียอีก”

เสียงหัวเราะร่วนดังจากปากต้นธารา

“ผมจะกลัวอะไรครับพ่อ เอ่อ พ่อทานข้าวมายังครับ”

ชายหนุ่มถาม ท่านนายพลโบกมือ

“โฮ้ย...พ่อไม่หิวหรอก แล้วคุณหมอมารึยัง”

บุตรชายส่ายหน้า

“ยังไม่นึกเวลาเลยครับ”

ชายหนุ่มทานข้าวต่อ นายนายพลมองนาฬิกาก่อนจะพึมพำ

“ยังไม่ถึงเวลาจริงๆด้วย เฮ้อ...ธารรินน้ำให้พ่ออีกสักแก้วสินั่งนานๆชักคอแห้ง”

ท่านนายพลสั่ง ต้นธารารินน้ำเย็นจากเหยือกให้บิดาอีกแก้ว ท่านยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย หลังจากที่วางแก้วลงบนโต๊ะ นางพยาบาลก็เข้ามาตาม

“อีกสิบนาทีคุณหมอจะมาถึงนะคะ”

นิ้วเรียวที่แกะเปลือกส้มชะงักไป นายนายพลสอบถามเรื่องเล็กๆน้อยๆจากนางพยาบาลที่ดูแลบุตรชายจึงทำให้ต้นธาราทานส้มที่อยากกินจนเกือบหมด ชายหนุ่มแกะอีกผลยื่นให้บิดา

“ธารทานเถอะ พ่อไม่หิว”

ท่านว่าด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม เขาจึงทานคนเดียวจนหมดแล้วส่งถาดอาหารคืน คุณหมออายุอานามแก่กว่าต้นธาราหลายปียกมือไหว้แขกผู้ใหญ่ ใบหน้าติดออกจีนยิ้มจนตาหยี

“สวัสดีครับท่านนายพลพิภพ”

คุณหมออดิเรกทัก นายพลพิภพยกมือรับไหว้

“เป็นเกีรยติอย่างยิ่งครับที่ได้รับใช้ท่านนายพล เห็นหมอประกิตติดต่อมาก็ตกใจแทบแย่”

คุณหมออดิเรกว่า รอยยิ้มไม่จางหายไปจากใบหน้าและดวงตา

“ต้องรบกวนคุณหมอหน่อยแล้วละครับ”

ท่านนายพลกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน คุณหมออดิเรกหันมาทางต้นธารา

“นี่คือคุณหมอต้นธาราบุตรชายของท่านนายพลสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมนายแพทย์อดิเรกครับ”

ต้นธารายกมือไหว้ผู้แก่วัยกว่า เสร็จสิ้นการแนะนำตัว คุณหมออดิเรกก็เริ่มเข้าเรื่อง

“ตามที่ผมได้อ่านแฟ้มประวัติของคุณหมอต้นธาราแล้วช่างน่าเป็นห่วงเสียจริงนะครับ”

คำพูดเกริ่นของนายแพทย์ดิเรกส่งผลให้ผู้ฟังตีสีหน้าทุกข์ใจ

“อันตรายขนาดนั้นเลยรึครับ”

“ครับ แต่ก็มีโอกาสหายครึ่งต่อครึ่งครับ ใจเย็นๆไว้”

นายพลพิภพทำหน้าโล่งอก

“ผมเคยได้ยินหมอประกิตบอกว่าถ้าจะหายก็ต้องปลูกถ่ายไขกระดูกกับทำเคมีบำบัดแล้วสองอย่างนี้ โอกาสหายมีกี่เปอร์เซ็นต์ครับ?”

นายพลแห่งกองทัพบกถาม นายแพทย์อดิเรกหยิบแฟ้มให้ดูประกอบกับอธิบาย

“การคีโมนั้นค่าใช้จ่ายถูกกว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่การทำเคมีบำบัดจะได้รับผลกระทบเยอะอาทิเช่นผมร่วง อาเจียนแต่ก็สามารถรักษาหายเช่นกันแต่ถ้าจะให้ขายขาดจากโรคอีกวิธีหนึ่งก็คือการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งเป็นวิธีที่แพงมากค่าใช้จ่ายในการรักษาก็ราคา1-3แสนบาทเป็นอย่างต่ำ มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่คุณหมอต้นธาราเป็น คือมะเร็งชนิดเรื้อรังแล้วอาการค่อยๆปรากฏเป็นชนิดแบบเฉียบพลันผมถึงบอกว่าอาการของคุณหมอธารน่าห่วงมากๆ”

นายแพทย์อดิเรกแตะแขนขาวซีด

“จากรายงานที่อ่าน คุณหมอต้นธาราได้ทานยาอยู่สม่ำเสมอ อื้ม...มันช่วยลดความผิดปกติของตับและม้ามได้พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้เพราะคุณหมอไม่ได้เข้ารับรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ”

คิ้วของท่านนายพลเลิกขึ้น

“ยังไงครับ?”

อดิเรกจึงขยายความให้ท่านนายพลฟัง

“ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นจะมีอัตราการรอดชีวิตตามภูมิต้านทาน อาการที่จะเกิดขึ้นก็จะแสดงตามโรค เช่นกรณีของคุณหมอต้นธารานั้นจะมีอาการซีดเหลือง เลือดออกง่ายโดยเฉพาะเลือดออกตามใต้ผิวหนังจะปรากฏให้เห็นเป็นรอยจ้ำๆตามแขน ขา และยังพบอาการ ตับ ม้ามและต่อมน้ำเหลืองโตซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการทำงานของไขกระดูกผิดปกติจึงทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น”

สายตาอ่อนโยนจับจ้องบุคคลทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยต่อ

“ส่วนการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นเป็นวิธีที่ยุ่งยาก ซับซ้อนเนื่องจากต้องอาศัยเนื้อเยื่อไขกระดูกที่เข้ากันได้กับคนที่เป็นโรคนี้เท่านั้นจึงจะปลูกถ่ายได้ ประกอบกับขั้นตอนต่างๆตั้งแต่การเก็บไขกระดูก การปลูกถ่ายไปจนถึงการดูแลผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็มีปัญหายุ่งยากมากเป็นพิเศษ”

นายแพทย์อดิเรกเว้นไป รอให้คนฟังทำความเข้าใจกับคำพูดก่อน

“ครับ...แล้วการปลูกถ่ายกระดูกนี้มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง”

พอมาถึงจุดนี้ นายแพทย์อดิเรกหยิบแผ่นผับขึ้นมาส่งให้แก่บุคคลทั้งสอง

“อันดับแรกคือต้องหาไขกระดูกที่เข้ากันได้กับคุณหมอต้นธารามาก่อนครับ ซึ่งโอกาสมันหายากมาก”

ท่านนายพลทำสีหน้าว่าเข้าใจเพราะตนก็ตรวจดูไขกระดูกแล้ว ไม่อาจเข้ากับลูกได้

“เราไม่รู้ว่าใครจะมีไขกระดูกตรงกับคุณหมอบ้าง เลยต้องใช้วิธีรักษาแบบเคมีบำบัดไปพลางๆก่อน”

นายแพทย์แนะนำ ท่านนายพลวางเอกสารลง

“แล้วผมต้องทำอย่างไรดีครับ รู้สึกว่าเจอทางตันเสียเหลือเกิน”

น้ำเสียงแฝงความกลุ้มใจ ต้นธาราที่นั่งนิ่งมานานมองดวงตาแกร่งที่วูบไป

“พ่อครับ...”ชายหนุ่มเรียกเสียงอ่อน ใบหน้านั้นดูจริงจัง

“ให้ผมรักษาแบบเคมีบำบัดเถอะครับ”ท่านนายพลจ้องหน้าบุตร

“ธารพ่ออยากจะให้เจ้าหายขาดนะ...”

ท่านว่า ต้นธาราเข้าใจดีถึงความหวังดีและความปรารถนาของบิดา

“ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อนะ หากเจ้าจากไปอีกคนพ่อก็คงใจสลาย”

ท่านว่า ต้นธาราเงียบกริบ นายแพทย์อดิเรกมองสองพ่อลูกก่อนจะเอ่ยแทรก

“ยังมีความหวังห้าสิบ-ห้าสิบครับท่านนายพล”

แม้จะรู้ว่ามีความหวังครึ่งต่อครึ่ง หากในใจลึกๆของผู้เป็นบิดาย่อมทุกข์เป็นธรรมดา

“หากสงสัยอะไรก็ปรึกษาผมได้ตลอดนะครับ”

ท่านนายพลหันมองนายแพทย์อดิเรกก่อนจะเอ่ยความทุกข์ในอก

“ผมกลุ้มอยู่ว่าจะหาไขกระดูกที่ตรงกับของธารได้จากที่ไหน หากหาก็นาน”

ท่านบ่นด้วยความเศร้าสร้อย คุณหมออดิเรกมองแฟ้มประวัติ

“คุณหมอต้นธารากรุ๊ปเลือดBหากต้องการปลูกถ่ายไขกระดูกใหม่ก็ต้องหาที่ตรงกับผู้ป่วยมากที่สุดโดยตรวจจากองค์ประกอบของเลือดหรือHLAไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิต วิธีที่ง่ายสุดก็น่าจะประกาศหาผู้บริจาคน่ะครับถึงมันจะนานไปก็เถอะ แต่ก็ทำให้มีโอกาสสูงที่จะหาย หากมีผู้รับบริจาค การบริจาคอันดับแรกก็ต้องตรวจองค์ประกอบของเลือดก่อนโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะเจาะเลือดประมาณ20ซีซีเพื่อนำไปตรวจ หากมีองค์ประกอบเข้ากันได้แพทย์ก็นะนัดพบอีกครั้ง การบริจาคจะมีอยู่2ขั้นตอนนั้นก็คือการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดทางกระแสเลือด วิธีนี้จะคล้ายกับการบริจาคเลือด หากวิธีนี้ใช้เวลานานคือประมาณสามชั่วโมงโดยทั่วไปจะเก็บ2-4ครั้งเพื่อให้ได้จำนวนเซลล์ที่มากพอแต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้บริจาค”

นายแพทย์อดิเรกหยุดไป แล้วก็กล่าวบอกแก่ท่านนายพลเมื่อเห็นสีหน้าของท่าน

“ในการบริจาคผู้บริจาคจะได้รับการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวก่อนบริจาคทุกวันวันละหนึ่งครั้งเป็นระยะเวลา4-5วัน เราจะเก็บเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อนำไปปลูกถ่ายแล้วส่งเลือดที่เหลือกลับคืนสู่ผู้บริจาค แต่ในการบริจาคจะทำให้ผู้บริจาคเกิดอาการชาก็ไม่ต้องห่วงอีกเหมือนกันครับเพราะทางผู้บริจาคจะได้แคลเซียมไปรับประทาน อาการผลข้างเคียงของการบริจาคเซลล์ก็คือจะชารอบปาก ปลายมือปลายเท้าเราจะฉีด calcium gluconateให้ในรายที่มีอาการมากๆ”

นายแพทย์อดิเรกเงียบเมื่อนางพยาบาลสาวมาเสิร์ฟน้ำ ต้นธาราจึงมีโอกาสเอ่ยแทรก

“พ่อครับผมอยากจะ...”

ท่านนายพลพิภพรู้ดีว่าลูกชายคิดอะไรอยู่จึงส่งสายตาบอกให้เงียบ ต้นธาราจะอ้าปากค้านอีกสุดท้ายก็แพ้ นายแพทย์รอให้สองพ่อลูกคุยกันจนเสร็จจึงเอ่ยต่อ

“เรามาต่อวิธีที่สองกันเลยนะครับ วิธีที่สองก็คือการเก็บไขกระดูกจากโพรงกระดูก โดยวิธีนี้จะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กโดยแพทย์จะวางยาสลบแล้วทำการเจาะเอากระดูกจากบริเวณสะโพกของผู้บริจาคโดยสองอาทิตย์ก่อนบริจาคผู้บริจาคต้องมาบริจาคเลือดเก็บไว้ที่ธนาคารเลือด เพื่อใช้หลังบริจาค อาการหรือผลกระทบของการบริจาคในครั้งนี้ก็คือ เมื่อฟื้นจากยาสลบผู้บริจาคอาจรู้สึกเจ็บคอ คอแห้ง คลื่นไส้อาเจียนโดยอาการต่างๆจะหายไปในไม่ช้า หากผู้บริจาคเกิดปวดแผลซึ่งจะมีอาการ2-3วันทางแพทย์จะสั่งยาแก้ปวดให้แล้วผู้บริจาคจะได้รับเลือดที่ตัวเองบริจาคไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากทำแผลโดยที่ผู้บริจาคต้องทายยาบำรุงเลือดสักระยะหนึ่ง นี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับการบริจาคครับ”

นายแพทย์หนุ่มสรุป ท่านนายพลถอนใจเฮือก

“หากได้ผู้รับบริจาคแล้วต้องทำแบบนี้ใช่ไหมครับ ผมอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมอีก คุณสมบัติของผู้บริจาคต้องเป็นอย่างไรครับ”

นายแพทย์อดิเรกรื้อเอกสารจากในแฟ้มขึ้นมา ท่านนายพลรับมากวาดสายตาดูคร่าวๆก่อนจะรับฟังคุณสมบัติของผู้บริจาค

“เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของผู้บริจาคมีดังนี้ครับ เป็นผู้ที่มีอายุระหว่างถึง20-55ปี น้ำหนักไม่ต่ำกว่า45กิโลกรัม เพราะหากน้ำหนักน้อยจะไม่สามารถเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดได้เพียงพอต่อการปลูกถ่ายไขกระดูก ข้อสองต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีประวัติการติดเชื้อต่างๆเช่นตับอักเสบ เอดส์ สามเป็นผู้ที่มีเชื้อสายเอเชียตะวันออกหรือเอเชียใต้เพราะถ้าเป็นเชื้อชาติอื่นจะมีเซลล์ต้นกำเนิดที่เหมือนผู้ป่วยน้อยมากแต่ในการบริจาคนี้จะต้องได้รับการยินยอมจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัวก่อนเพราะมันเคยมีกรณีที่ไขกระดูกตรงกันแต่คู่สมรสหรือว่าทางครอบครัวไม่ยอมให้บริจาคเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก”

นายพลพิภพเคาะแผ่นกระดาษกับตัว

“แล้วสองวีธีนี้วิธีไหนดีกว่ากันครับ”

“โดยทั่วไปแล้วส่วนมากจะเลือกวิธีที่สองครับ แต่ละวิธีก็มีข้อเสียต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพของโรคด้วย”

แพทย์หนุ่มตอบคำถามของท่านนายพล ต้นธาราสบสายตาบิดาอีกครั้ง ท่านนายพลพิภพเอ่ยอย่างมุ่งมั่น

“พ่อจะหาคนบริจาคให้ลูกให้ ธารอดทนหน่อยนะ”

สายตาแรงกล้าของผู้เป็นบิดาทำให้ลูกชายซึ้งใจ ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะตายมันกลับสั่นคลอนแคลน เขาทำตัวแบบนี้พ่อก็ยังรัก เฝ้าทนุถนอมดูแล

“ผมขอบคุณครับ”ชายหนุ่มยกมือไหว้บิดา ท่านนายพลใช้ดวงตาอ่อนโยนมองดูบุตร

“พ่อทำให้เจ้ามีความสุข พ่อก็ดีใจแล้ว...”

สิ่งที่พ่อเคยบอกมาตลอด หลังมือขาวสะอาดเช็ดน้ำตาที่ไหลซึม

“ต้องขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ”

คำขอบคุณทำให้ดวงตาคุณหมอยิ้มตาหยีอีกครั้ง อดิเรกลุกขึ้น

“เสร็จแล้วครับ เชิญท่านนายพลและคุณหมอต้นธาราพักตามสบายนะครับ หากมีสิ่งใดเรียกใช้ก็เรียกใช้ได้ตามสะดวกนะครับ”

ต้นธาราอยู่กับบิดาตามลำพัง ท่านใช้สายตาจับจ้องเสี้ยวหน้าซีดขาว

“ธารแม้มันจะลำบากแต่รู้ไว้นะว่าพ่อทำเพื่อลูกเสมอ เรื่องบางเรื่องเจ้าอาจจะไม่เข้าใจพ่อดีนักพ่อก็ขอโทษ”

ชายหนุ่มก้มหน้าสำนึกผิด

“ผมเข้าใจครับ บางครั้งผมก็ดื้อแพ่งกับพ่อมากเหมือนกัน”

คุณหมอหนุ่มว่า ท่านจับแขนเย็นๆ

“เจ้ายังคิดถึงเรื่องผู้กองนาคีอยู่รึ”

ต้นธาราผงกหัว

“...มันลืมยากเหลือเกิน คิดจะลืมก็กลัวทุกที”

ต้นแขนรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ

“แล้วเรื่องของผู้กองภานุล่ะเจ้าคิดอย่างไร พ่อไม่เข้าใจเจ้าเลยนะธาร”
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-06-2008 21:14:11
พอเอ่ยชื่อผู้กองหนุ่ม ต้นธาราก็อึกอักตอบไม่ถูก

“เจ้ายังคิดพิเศษกับเขาอยู่สินะ...ธาร...คนเราสมควรจะตื่นจากความฝันสักที จำไว้ว่า ความฝันหนึ่งพอหลับตาเจ้าจะมีความสุขแต่พอเจ้าลืมตาก็จะพบกับความทุกข์....ความรักของเจ้ามันหนักหนาสาหัสนัก บางคราพ่อก็ไม่ชอบใจเหมือนกันที่เจ้าทำตัวราวกับโหยหาเขา ธาร คุณค่าของหัวใจลูกอยู่ที่ใด ลูกคิดดีแล้วรึที่จะอยู่กับคนๆนั้นทั้งๆที่เขาไม่มีใจ สุดท้ายคงเหลือแต่เจ้าที่เจ็บปวดเดียวดาย พ่อไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นเลย แต่หากเจ้าเลือกเส้นทางเจ้าแล้ว พ่อก็ไม่อาจห้ามได้แต่เฝ้ามองดูห่างๆ ขอบเขตและขอบข่ายเรื่องนี้เจ้ารู้ดีใช่ไหม?”

ต้นธาราผงกหัว...เขารู้ดีว่าพ่อหมายถึงศักดิ์ศรี เกรียติยศ หน้าที่การงานของเขาและของภานุเอง อีกทั้งการรักษาหน้าของนายพลผู้เป็นใหญ่ ต้นธาราทำให้ตระกูลอัปยศแต่ก็ได้รับอภัยและให้ความรักความช่วยเหลืออย่างท่วมท้น ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงเสียงกระซิบแผ่วตอบรับ

“ครับ....ผมรู้ดี”

หากดวงตาคู่นั้นตื่นขึ้นจะมองเห็นสิ่งใดกัน ภาพของผู้กองภานุ...สลักลงในใจที่ไม่อาจตัดขาดแม้จะได้รับการเตือนสติก็ตาม...ขอแค่เคียงข้างมอบ หัวใจให้ แม้จะยอมถูกว่าโง่เขลา เขาก็อยากรักตลอดกาล

....สัญญาว่าจะพาไปดูประเพณีชนชาวเขา...ต้นธาราระลึกได้เสมอ สิ่งนี้บ่งบอกว่าแม้จะไม่ชอบใจหากก็เปิดรับแม้จะเสี้ยวใจ....ขอแค่สักครั้ง.... รอก่อนเถอะ....รอ....จนถึงวันที่หัวใจสองดวงเชื่อมโยงถึงกัน

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 30-06-2008 21:52:28
รอวันนั้นมาถึงคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 01-07-2008 04:04:46
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

เจ้าขิ่นเรียกพระเอกของเราว่าลุง อิอิ

ครับผม ขอให้เป็นการรอคอยที่คุ้มค่านะครับ คุณหมอธาร

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 01-07-2008 13:28:53
ทางโน้นก้น่าห่วง ทางนี้ก็เป็นกังวล

สู้ๆ ต่อไป เรนน้อย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-07-2008 14:53:23
มาดันให้พิมเท่ร๊ากก กะ น้องนู๋เรน  :m1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 01-07-2008 15:43:59
เข้ามาเป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียน กะ คนโพส
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 02-07-2008 07:09:27
ทามมายตอนนี้ มันเศร้า จังเรยอ่า


รอตอนต่อ ไปนะค่ะ

 :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-07-2008 20:46:58
ต่อเลยน้า  เศร้าเหรอ  เรื่องนี้มันเศร้าฝังลึก อิอิ 
แต่หนูขิ่นเรียกพระเอกเราว่าลุงนี่ก็นะ 555 

+++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก21 dream/ ความฝันหนึ่งและความเป็นจริงของหัวใจ

ความเจ็บปวดเป็นยารักษาที่ดี ภานุรำลึกไว้เสมอ ชายหนุ่มแตะที่แผลของตัวเอง ตอนนี้เขากำลังตามหาพรรคพวก เจ้าเด็กหนุ่มชาวพม่าตามรอยเก่งนัก ไม่กี่วันก็ตามหารอยของสมัครพรรคพวกของเขาจนเจอ ทุกคนต่างดีใจที่ได้ประสบพบหน้ากัน

“คิดว่าผู้กองจะ...เสียแล้ว”

จ่าแม้นว่าพลางหัวเราะอย่างโล่งใจ ภานุแค่ยิ้มเจื่อนๆ

“ต้องขอบคุณเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ที่ทำให้ผมรอด”

ชายหนุ่มพยักหน้าไปทางเจ้าขิ่น เด็กหนุ่มชาวพม่าสอดส่องสายตาไปรอบๆ

“คราวนี้จะเอากันครับ ในเมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว”

รังสรรค์เอ่ยขึ้น ทุกคนมองใบหน้าหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเดนตาย

“จะอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เสียด้วย...ผมว่าเรากลับไปที่ฝั่งไทยก่อนเถอะครับ”

อานุภาพเสนอ ทุกคนเห็นด้วยจึงหันมามองเด็กหนุ่ม

“เอ็งจะว่าอะไรไหมถ้าเอ็งนำทางให้พวกข้า จะเรียกเอาเงินเท่าไรก็ได้”

ภานุหันมาสื่อสารกับเด็กหนุ่ม เจ้าขิ่นหยุดเคี้ยวต้นหญ้า มองใบหน้าของภานุอย่างเมินเฉย

“ฉันจะช่วยลุงแต่เงินไม่ต้อง เพราะนายสั่งไว้”

เด็กหนุ่มว่า ภานุหันมาอธิบายให้แก่ทุกๆคนฟัง ธีรเดชจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มแล้วนิ่งเสียใบหน้าของเด็กหนุ่มดูคุ้นตา เจ้าเด็กหนุ่มอาจจะลืมเลือนใบหน้าเขาแต่ธีรเดชจำแม่น...เจ้าหนุ่มที่อยู่กับแม่หญิงกลิ่นเอื้อง!

ความคิดของเขาเป็นจริงรึนี่ ธีรเดชกลืนน้ำลาย เพราะไม่อยากเชื่อที่ข้อสงสัยของตัวเองเป็นจริง...แต่เธอจะรู้ได้ไงว่าเขามายังที่นี่ ธีรเดชสบตาเจ้าเด็กหนุ่มนามว่าขิ่น อยากจะถามแต่ก็คงไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยอะไรออกไปเสียด้วยสิ

“จะออกเดินทางไปยังเขตแดนไทย จากนี้ไปก็อีกสองวันอดทนกันไหวไหมลุง”

เจ้าเด็กหนุ่มว่า ทุกคนผงกหัว เมื่อตกลงได้สำเร็จต่างหาที่พักกัน

“เมื่อกี้เห็นคุณมองเจ้าขิ่นมีอะไรหรือเปล่า?”

ภานุถามเพราะเห็นสังเกตมานาน

“ผมหรือครับ”

ธีรเดชแกล้งทำเป็นไก๋ ไม่รู้เรื่อง ภานุเงียบไปสบดวงตาแกร่งหาความจริง

“ใช่ว่าผมจะลืมเจ้าเด็กหนุ่มนั่น...เขาเป็นคนที่อยู่กับแม่สาวที่คุณตามจีบอยู่....”

ภานุว่าพลางล้มตัวนอน ธีรเดชกลืนน้ำลาย

“คุณรู้...”

ผู้กองหนุ่มคราง ภานุยิ้มน้อยๆก่อนผงกหัว

“ใช่...ที่แรกก็นึกไม่ออก พอนึกไปนึกว่าก็ถึงบางอ้อ....รู้สึกเด็กหนุ่มคนนี้จะถูกสงมาจากนายที่ชื่อกิ่งไผ่นะ”

ภานุเอ่ยอย่างรำพึงเพราะชื่อนี้สะกิดหูเขา พอเจอช่วงวุ่นๆก็เลยลืม

“กิ่งไผ่รึครับ...”

ธีรเดชรำพึงบ้าง สองหนุ่มมองหน้ากันราวกับความคิดถูกเปิดออก

“เอ๋...เหมือนกับที่ธารเคยพูดไวเลยว่ารู้จักกับคนที่ชื่อว่ากิ่งไผ่”

คำพูดสะกิดใจของชายหนุ่ม มันทำให้เขานึกถึงตอนที่เพื่อนรักตาย ภานุซ่อนใบหน้านั้นไว้

“ชักมีเงื่อนงำเยอะเสียแล้วสิ มันจะเกี่ยวเนื่องกันไหมนะกับเรื่องภารกิจของเราถูกเปิดเผย”

ภานุเอ่ย มองไปยังลูกน้องใต้บังคับบัญชาและมองไปยังเด็กหนุ่มแหงนหน้ามองพระจันทร์

“ยังไงครับ”

ธีรเดชไม่เข้าใจ กระซิบถามเสียงต่ำในลำคอ

“ผมก็ยังไม่แน่ใจนัก เลยยังไม่กล้าด่วนสรุปอะไร”

ชายหนุ่มตอบ ธีรเดชทิ้งตัวอ่อนแรง

“อีกสักหน่อยเราก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเองแหละ ตอนนี้ผมคิดอย่างเดียวว่าอยากกลับบ้านแล้ว”

ภานุว่าก่อนจะลุกขึ้น ธีรเดชมองบาดแผลอักเสบ

“คิดอยากกลับแล้วรึครับ เพราะอะไรกัน”

คนถามขมวดคิ้ว มองเห็นรอยยิ้มประดับบนสีหน้าแกร่ง ร้อยเอกธีรเดชสงสัยในรอยยิ้มนั้น คิดอยากจะถามแต่เขารู้ว่าควรเงียบไปเสียดีกว่า เมื่อภานุล้มตัวนอน เขาก็ลุกขึ้นเดินไปหาเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มผูกมิตร เจ้าขิ่นหันมองนายทหารไทย มันระแวดระวังตัวยิ่งนัก เด็กหนุ่มเขยิบกายถอยห่าง ธีรเดชจึงชะงักงัน

“ฉันมีเรื่องจะถามสักหน่อยจะได้ไหม”

ชายหนุ่มพูดพลางใช้ภาษามือกำกับ เจ้าขิ่นปิดปากเงียบมันทำหน้างงๆกับกิริยาอาการนั้น ธีรเดชลองพยายามใหม่อีกครั้ง

“ฉันอยากจะถามเกี่ยวกับเอ่อ... ชื่อของนายของเธอ...นายของเธอน่ะ”

เด็กหนุ่มยังคงนิ่ง ทำหน้าไม่เข้าใจอยู่เช่นเคย จนกระทั่งชายหนุ่มยอมแพ้เอง

“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร”

ธีรเดชลุกขึ้น สายตาของเจ้าขิ่นมองท่าทีร้อนใจ กระวนกระวายของชายหนุ่ม เขาก็อยากจะพูดแต่ไม่รู้ว่าถ้าพูดไปนายของเขาจะโกรธหรือเปล่า มันจึงได้แต่เงียบ ค่ำคืนนี้เงียบสงบ ทุกคนจึงรู้สึกไว้วางใจ เจ้าขิ่นรู้สึกทนง่วงไม่ไหวจึงล้มตัวนอนบ้าง มันหลับสนิทท่ามกลางพวกทหารที่ตัวเองช่วยออกมา

------------------------------------------------

เจ้าโจรกระเหรี่ยงหลังจากที่ปะทะกับทหารไทยจนบาดเจ็บล้มตายจนเกือบหมดนั้น มันรีบไปบอกข่าวแก่หัวหน้าใหญ่ที่สั่งมันมา มันเดินโซซัดโซเซไปยังค่ายกองโจรกู้แผ่นดิน นายใหญ่ทราบข่าวว่ามีสายมารายงานผลก็รีบไปดูทันที

“ทำไมเป็นแบบนี้”

เสียงนายของมันคำรามก้อง ดุดันและเกรี้ยวกราด

“นาย อีกนิดเดียวผมจะจัดการกับพวกมันได้แล้วแท้ๆแต่ไอ้ทหารไทยดันมีคนมาช่วย”

เจ้าคนบาดเจ็บรายงาน มันกุมแผลไฟลวกไว้ หน้าตาบูดๆเบี้ยวๆเพราะถูกตีนหนักๆเตะเข้าอย่างจัง

“มันเป็นใคร”

ท่าทีของ ‘นาย’ น่ากลัว ดวงตาวาวเป็นเพลิงพิโรธ

“เห็นว่าเป็นคนของคุณกิ่งไผ่ครับ มันเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ด สิบแปดปี”

เจ้าโจรกระเรี่ยงรายงานพลางก้มหน้าลงต่ำ ด้วยความกลัวว่า ‘นาย’จะลงโทษมันอีก

“คนของคุณไผ่งั้นรึ?....เอาตัวมันไปรักษา”

นายสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบเย็น คนเจ็บถูกพาไปรักษา ชายหนุ่มหันหลังขึ้นเรือน กิ่งไผ่โผล่หน้าออกมาดูเพราะเห็นกฤษดาทำหน้าบึ้งเดินขึ้นมา

“ไปไหนเหรอครับ หายไปนานเชียว”

กิ่งไผ่อดทักไม่ได้ ดวงตาของกฤษดาสบกับดวงตาสีนิล เหมือนกับเห็นดวงตาแค้นเคืองวาววับเพียงครู่เดียวมันก็มลายหาย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

กิ่งไผ่ถามระหว่างจัดเตรียมอาหารไปให้นายพลอินคานผู้เป็นบิดา

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

ท่าทีของชายหนุ่มดูมีลับลมคมนัย กิ่งไผ่ขมวดคิ้ว เขาเดินไปยังห้องบิดาโดยหารู้ไม่ว่าสายตาคมจับจ้องแผ่นหลังบอบบางอยู่ตลอดเวลา ร่างโปร่งเดินจวนจะถึงห้องของท่านนายพลอินคานอยู่แล้ว กฤษดาจึงเดินเข้าหา กอดเอวบางไว้หมับ คนถูกกอดสะดุ้งตกใจจนกระทั่งของในถาดหล่นแตกเพล้ง เศษแก้วน้ำกระจายเกลื่อนปนกับเศษถ้วยข้าวต้มร้อนๆ กิ่งไผ่ดิ้นขลุกๆให้หลุดพ้นจากการกอดรัด

“ทำอะไรน่ะ!?”

กิ่งไผ่ว่าอย่างโมโหไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะกล้าทำแบบนี้กับตน ท่านนายพลอยู่ในห้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงจานแตก ท่านลุกจากเตียงถามอย่างเป็นห่วง

“ไผ่...ลูกทำอะไรรึ”

กิ่งไผ่ที่ยืนอยู่ด้านนอกตะโกนตอบ

“ไม่มีอะไรหรอกครับผมแค่ทำถาดหลุดมือเท่านั้น”

กิ่งไผ่เหลือบมองมีดที่จ่อหลัง ใบหน้านั้นเชิดขึ้น เรือนผมยาวสลวยถูกมือแกร่งดึงไว้

“คิดจะทำอะไรกัน”

กิ่งไผ่ถามเสียงเย็น ร่างบางกว่าตั้งสติให้มั่นคง คอยมองท่าทีของเจ้าลูกครึ่ง

“เห็นแล้วมันทนไม่ได้น่ะ”

เสียงของกฤษดากระซิบริมหู กิ่งไผ่หลับตาลงด้วยความขยะแขยง

“พูดบ้าๆผมไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย”

กิ่งไผ่ตอบกลับพลางเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่คอยซุกไซร้เรือนผม ช่างน่าอับปยศเสียจริง เขาทำอะไรไม่ได้เสียด้วยสิเพราะอยู่ในท่าที่เสียเปรียบแถมยังอยู่หน้าห้องบิดาที่กำลังป่วยด้วย ชายหนุ่มจึงเก็บงำความแค้นไว้ในใจ

“อย่างไรคุณก็ดีกว่าพวกผู้หญิงอีก มีมันสมอง...ฉลาด...และอีกอยางคุณน่าจะรู้นี่ว่าผมมองคุณมานานแล้ว”

คำพูดที่ชวนขนลุก วงแขนแกร่งโอบรอบเอวบาง ใบหน้าของคนถูกกอดดวงหน้าร้อนฉ่า เพราะนิ้วของชายหนุ่มลูบไล้ผ่านหน้าท้องเพรียว

“ไอ้บ้าเอ้ย”

เมื่อทนไม่ได้ กิ่งไผ่จึงสะบัดอีกฝ่ายจนหลุด ดวงตากระจ่างวาวโรจน์ รอยยิ้มของอีกฝ่ายแสยะเมื่อเห็นร่างโปร่งกุมเท้าที่ถูกเศษแก้วบาดเอาไว้แน่น คราบเลือดสีแดงไหลย้อมพื้นไม้ ข้นเหนอะหนะ ดวงหน้างามพยายามข่มความเจ็บ

“คิดขัดขืนหรือ”

เสียงโครมครามดังก้อง ท่านนายพลลุกขึ้นไปดูด้วยความเป็นห่วงบุตร ประตูเปิดออก ดวงตาหวาดหวั่นมองประตูที่เปิดกว้าง

“พ่อ...อย่าออกมา”

สายไปเสียแล้วเมื่อท่านนายพลเปิดประตูออกมา เห็นบุตรชายนั่งลงกุมเท้าไว้ ส่วนนายกฤษดายืนกอดอกด้วยสีหน้าชั่วช้า ใบหน้าของท่านงุนงงแกมสงสัย

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ท่านนายพลอินคานถาม กฤษดาเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีดุจมัจจุราชปลิดชีพ

“อย่าทำอะไรพ่อฉันนะไอ้เลว”

กิ่งไผ่ตวาด เขากัดฟันลุกขึ้นมาขวางไว้ หากแต่ถูกผลักออกจนร่างเซถลาไปชนกับบิดากลิ้งไปกับพื้น นายพลแก่ชราหอบหายใจไอแค่กๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

ท่านเริ่มสำเหนียกถึงอันตรายที่จะเกิดกับตัวเองและบุตรชาย

“คุณจะทำอะไรรึคุณกฤษ”

สายตาของท่านขุ่นมัวลุกขึ้นไปหากฤษดาหากแต่ถูกผลักล้ม

“ถอยไปไอ้แก่ แกจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งอยู่แล้วอย่ามายุ่ง ถ้าอยากมีชีวิต”

คำพูดรุนแรง ท่านนายพลดวงตาวาวโรจน์

“เอ็งพูดอะไรว่ะไอ้ชาติหมา”

นายพลอินคานด่า ทำให้กฤษดาหันมาต่อยท่านล้มคว่ำ ร่างแก่ชราเซตามแรงหมัดล้มแน่นิ่ง กิ่งไผ่เห็นจึงร้องลั่น

“พ่อ! ไอ้ชั่ว...แกมันเป็นไอ้ชั่วจริงๆ”

กิ่งไผ่ลุกขึ้นเดินเขยกไปดูท่าน เลือดจากบาดแผลไหลเป็นทาง ดวงตาคู่งามวาวโรจน์

“ในที่สุดก็เผยก็โฉมหน้าออกมาจริงๆสินะ”

กิ่งไผ่เอ่ย โล่งใจเพราะพ่อของตนแค่สลบไป เจ้ากฤตดาหัวเราะ เสียงของมันช่างระคายหูนัก กิ่งไผ่ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มโดยตรง

“คิดจะทำอะไรได้...”

คำถามนั้นทำเอากิ่งไผ่ใจหายวาบ ดวงตาของเขาเริ่มมีรอยหวาดหวั่นปรากฏ

“หมายความว่า...”

กิ่งไผ่เอ่ยอย่างรู้ดี เขาจะเรียกให้ลูกน้องของตัวเองเข้ามาช่วยทว่าอำนาจของเขากลับถูกยึดไปเสียแล้ว

“หมายความว่านับแต่นี่ผมคือนายของที่นี่น่ะสิ ไอ้กองโจรกระจอกๆวันๆยึดติดอุดมการณ์ไร้แก่นสารมีรึจะรอด ใครเขาอยากสวามิภักดิ์ต่อไอ้แก่ใกล้ตายกัน รบไปก็มีแต่เสียกับเสีย ทางดีๆมันมีอยู่ทุกคนเลยต้องไขว่คว้าไว้สิ”

กิ่งไผ่หน้าเผือดไปกับคำพูดดูถูก เขากำหมัดแน่น ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก่อเกิดเพราะเขาหน้ามืดด้วยแรงโกรธ

“จะบอกเอาบุญให้นะ...ผมถูกส่งมายังค่ายนี้เพื่อแทรกซึมและขยายกองกำลังค้ายาเสพย์ติด ท่านนายพลคือหมากชั้นดี หากไม่อยากโดนฆ่าทิ้งก็ทำตัวดีๆซะ”

สำนึกสุดท้ายหลุดลอยเมื่อถูกตบอย่างจัง

“เฮ้ย พวกแกจับมันไปขังไว้ก่อน”

ลูกน้องที่รอเตรียมพร้อมขึ้นมา จับสองร่างมัดไว้นำไปขังยังโกดัง กฤษดามองใบหน้างามเผือดอย่างหมาดหมาย

“ตอนมันตื่น เอามาที่ห้องฉัน”

ลูกน้องใต้อาณัติรับคำ ก่อนชายหนุ่มจะหัวเราะก้องสื่อถึงอำนาจที่มีอยู่ในมือเต็มเปี่ยม

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-07-2008 20:48:29
ดวงตากระพริบถี่ๆเพราะรับรู้ถึงความเย็นเฉียบแตะแก้ม กิ่งไผ่ลืมตาขึ้น เห็นท่านนายพลใช้ชายเสื้อที่ฉีกมาซับหน้าให้ เขาลุกขึ้นด้วยความรวดร้าวตามร่างกาย

“พ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ”

เมื่อสติกลับคืนเขาก็ถามถึงบิดาอย่างเป็นห่วง ท่านนายพลอินคานถอนใจ

“พ่อไม่เป็นอะไรหรอก ลูกนั่นแหละเจ็บแผลที่เท้าไหม?”

กิ่งไผ่มองดูเท้าของตัวเอง เศษผ้าของบิดาพันห้ามเลือดไว้แน่น

“เจ็บแค่นี้ผมทนได้ครับ แต่ไอ้นรกนั่นมัน...”

กิ่งไผ่เอ่ยอย่างแค้นเคือง ท่านนายพลถอนใจกับความสะเพร่าและการไว้เนื้อเชื่อใจของตนเอง

“พ่อมองคนผิดไปจริงๆ”

ท่านเอ่ยอย่างขมขื่น มองรอบกาย ท่านและบุตรชายถูกขังในห้องมืดๆ กิ่งไผ่พ่นลมออกจากจมูกราวกับระบายความชิงชัง เขาแอบมองผ่านรอยรั่วของสังกะสีและเห็นยามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนของเขามาก่อนยืนถือปืนเฝ้าเต็มหน้าห้อง

“พ่ออย่าพูดเลยครับ ไอ้ชาติหมานั้นมันชั่วโดยสันดานของมันอยู่แล้ว ถ้าผมออกไปได้ มันตายแน่”

คำอาฆาตกล่าวทิ้งท้าย ท่านนายพลลุกขึ้นเคียงนั่งข้างบุตร

“ตอนนี้ทางเราถูกยึดกำลังไว้ และยังไม่รู้ว่าคนที่หันไปสวาภักดีฝ่ายนายกฤษดามีมากเท่าไร...อืม...”

กิ่งไผ่ครุ่นคิด ท่านมองบุตรชายด้วยความปลาบปลื้ม แม้จะถูกจับเป็นเชลยแต่ก็ยังไม่สิ้นหวังที่จะเอาชนะ

“เราต้องคอยมองหาโอกาส อย่างน้อยๆคนพวกนี้ก็เคยเป็นพวกเรา ถ้าเราขอร้อง เขาอาจจะช่วยเราก็ได้”

ท่านนายพลเสริมให้ บุตรชายมองสีหน้าของบิดา

“พ่อแน่ใจหรือครับว่าไอ้พวกนกสองหัวนี่จะไม่หักหลังเราภายหลัง”

บุตรชายถามอย่างข้องใจ เพราะเห็นๆอยู่แล้วว่าคนที่เคยเป็นลูกน้องแปรพักตร์ไปอยู่กับอีกฝ่ายหมด

“กิ่งไผ่...เราทำการสงครามใช่ว่าเราจะมองผิวเผิน ครั้งหนึ่งเราอาจจะพลาดแต่ครั้งหน้าเราจะเป็นต่อ การเชื่อใจข้าเก่าเต่าเลี้ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างน้อยๆพ่อก็ไว้ใจพวกเขากึ่งหนึ่ง”

ท่านปลอบ

“เชื่อใจเหรอครับ”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ ท่านนายพลผงกหัว บุตรชายยอมจำนนต่อคำของบิดา

“ครับ...ผมจะลองดู แต่ถ้ามันแว้งกัดเมื่อไร เมื่อนั้นผมไม่ไว้หน้าพวกมันแน่”

เล็บของชายหนุ่มจิกเจ้าไปในเนื้อเพราะกำหมัดแน่น

“พ่อครับ...งานนี้ผมขอจัดการเองได้ไหมครับ ถึงมันจะอันตราย ถึงแม้ว่าผมจะตาย แต่ผมขอสักครั้งเถอะ...ผมอยากฆ่าไอ้คนที่มันดูถูกพ่อ ดูถูกศักดิ์ศรีอุดมการณ์ของพ่อ มันดูถูกผมด้วย...”

นายพลอินคานมองดวงตาจรัสแสง ท่านผงกหัวอนุญาต นานๆครั้งที่จะเห็นกิ่งไผ่เป็นเช่นนี้...ศักดิ์ศรี เกียรติยศ เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนนั้น...แม้ชีวิตและเลือดเนื้อก็สละได้ ท่านกุมหลังมือบุตรไว้

“พ่อไว้ใจเจ้านะไผ่...ระวังตัวด้วย”

กิ่งไผ่ผงกหัว ในสมองครุ่นคิดถึงแผนหลบหนี

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 04-07-2008 21:39:39
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-07-2008 04:21:27
มารให้กำลังใจเหมือนกัน ดันด้วย คึคึ  :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา $
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 05-07-2008 13:04:48
กรี้ดดดดดดดด

สงสารน้องไผ่

ผู้กองธีร์จ้าาาาา มาช่วยด่วน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-07-2008 17:10:58
เริ่มจะพอเข้าใจแล้ววววววววววววววววววววว แต่คุณหมอหายไปเลยน่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 06-07-2008 03:49:07
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ครับผม สู้ๆครับผม

พระเอกกับนายเอกของเราจะได้เจอกันแล้วครับ

เป็นกำลังใจให้เสมอครับ สนุกมากครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 07-07-2008 15:26:51
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ตื่นเต้น


กิ่งไผ่สู้ๆ

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 07-07-2008 18:42:11
เข้ามาดันเพือนสาวแรงๆๆ   :laugh: :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-07-2008 22:58:37
ขอโทษทีน้า  มาต่อช้าไปหน่อย  แบบว่าป่วยในรอบสี่ปี แงแง 

ต่อเลยเน้อ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก22 Back To home/กลับสู่ฐาน

ฝ่ายผู้กองหลังจากที่ดั้นด้นเพื่อจะออกไปจากเขตแดนพม่าก็หยุดพัก เจ้าขิ่นหันมองสีหน้าของผู้กองหนุ่ม ซีดเผือดแฝงความอ่อนล้าโรยรา

“อีกไม่กี่กิโลก็จะเข้าเขตฐาน หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะติดต่อหน่วยทหารลาดตะเวนได้”

ร้อยโทอานุภาพว่า ดื่มน้ำจากกระติก เจ้าเด็กหนุ่มชาวพม่าพิงต้นไม้กวาดตามองเหล่าทหารไทยที่เหนื่อยอ่อน

“นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะมีชีวิตรอดมาจนป่านนี้”

รังสรรค์กล่าว มองท้องฟ้าที่สดใส จ่าแม้นหัวเราะหึๆท่ามกลางเสียงลมพัด

“ยังดีใจไม่ได้หรอกลุง หากไม่พ้นเขตชายแดนพม่าก็ยังวางใจไม่ได้”

เจ้าขิ่นเอ่ยสายตาทุกคู่จับจ้องเป็นตาเดียว

“หมายความว่า...”

ธีรเดชถามเมื่อได้รับคำแปลจากจ่าแม้น เจ้าขิ่นแสยะยิ้ม

“ก็หมายความว่าถ้าลุงรอดไอ้พวกโจรกระเรี่ยงมันก็อยู่ไม่สุขเหมือนกัน มันจะตามล้างตามล่าผลาญชีวิตของพวกลุงให้ได้ เพื่อปิดเป็นความลับไงล่ะ”

เด็กหนุ่มเอ่ย ท่าทางไม่ยี่หระเลยสักนิด ธีรเดชมองสีหน้าซีดเผือดของทุกๆคน อยากจะรู้ที่เจ้าเด็กหนุ่มพูดนั้นหมายความว่าอะไร เพราะมีอุปสรรคทางด้านภาษา

“เอ็งหุบปากไปเถอะ...”

ภานุเอ่ย ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น เจ้าเด็กหนุ่มที่ถูกว่าหันหน้าหนี

“...อย่างลุงจะทำอะไรได้ บาดเจ็บเจียนตายแบบนั้น จะหนียังเอาตัวไม่รอดเลย”

ภานุจ้องเขม็ง เจ้าขิ่นกลับทำตัวสบายๆ ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ข่มอารมณ์ไว้ได้ ไม่ถือความกับคำพูดนั้น

“เอ็งจะให้ออกเดินทางต่อรึ”

เจ้าขิ่นผงกหัว ในใจไม่สบายใจเลย

“ใช่...ผมก็อยากกลับไปหานายของผมเหมือนกัน ผมส่งพวกลุงได้แค่ชายแดนเท่านั้นแหละ ไม่อาจข้ามไปได้”

ภานุพยักหน้า เขาก็อยากกลับไปที่ประเทศไทยเหมือนกัน

“ลุงหายเหนื่อยกันยังล่ะ ถ้าหายแล้วก็รีบๆลุก”

ขิ่นสั่งอย่างมีอำนาจ ภานุหันไปบอกแก่ลูกน้อง ทุกคนต่างเก็บสัมภาระออกเดินทางต่อ

------------------------------------------------

กิ่งไผ่เดินพล่านรอบๆห้องขัง ร่างโปร่งกัดฟันเพราะยังไม่รู้เลยว่าจะหาทางออกไปจากที่คุมขังเช่นไรดี ท่านนายพลอินคานมองบุตรชายอย่างเป็นห่วง สายตาของกิ่งไผ่มองประตูที่ปิดสนิทด้วยความเคร่งเครียด เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่รีบนั่งลงเคียงข้างบิดา ประตูเปิดออกแสงสว่างลอดเข้ามา ผู้คุมซึ่งเคยเป็นนายทหารของท่านนายพลวางถาดอาหารให้โดยไม่มองหน้า ทางเบื้องหลังยังมีผู้คุมอีกคนถือปืนอาก้า ใบหน้าของมันเหมือนลืมนายไปเสีย ชายหนุ่มมองถาดอาหารจะใช้ขาเตะ ส่งผลให้ท่านนายพลต้องจับแขนไว้เรียกสติ ลูกชายจำต้องเก็บงำอารมณ์อย่างเสียไม่ได้

“อย่าอาละวาดนะไผ่...เจ้าทำแบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก คิดจะทำให้ตัวเองอดตายหรือไง”

กิ่งไผ่ไม่ฟัง เขาอยากทุ่มถาดอาหารทิ้ง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะชายหนุ่มยังเป็นห่วงบิดาที่ยังป่วยอยู่

“พ่อทานเถอะครับ...”

กิ่งไผ่เอ่ยด้วยเสียงอ่อนๆ นายพลชราหยิบถาดอาหารขึ้นมา ท่านเหลือบเห็นยาวางไว้ในถาดจึงยิ้ม

“ไผ่เอ้ย ลูกทานอาหารเสียเถอะ อย่าอดเลย การอดอาหารจะทำให้เจ้าหมดแรงแล้วไม่มีปัญญาทำอะไร...”

ท่านเตือนสติ ชายหนุ่มจึงหยิบถาดอาหารขึ้นมา กินอย่างฝืนๆ ระหว่างนั้นก็เฝ้ามองบิดาที่ทานอาหารช้าๆ ท่านส่ายหน้าเมื่อบุตรชายตักข้าวยัดใส่ปากอย่างประชดประชัน

“ไผ่ ทานดีๆสิลูก ถึงเจ้าไม่อยากก็อย่าประชดแบบนั้น คิดจะสำลักข้าวตายหรือไง”

กิ่งไผ่กลืนอาการคำโตลงคอแล้วสำลักไอแค่กๆ ผู้เป็นบิดาหยิบแก้วน้ำส่งให้

“เจ้าอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้าย ในพวกที่ทรยศก็มีพวกที่ภักดีปนอยู่ ลูกต้องใจเย็น”

กิ่งไผ่ไม่ยอมฟัง เขาหงุดหงิดเสียจนต้องขว้างจานทิ้ง เสียงจานแตกเพล้ง นายพลอินคานถอนใจ ประตูเปิดออก นายท่านพลมองผู้คุมที่กวาดสายตามองเศษข้าวกระจัดกระจายปะปนกับเศษถ้วยชาม

“ไม่มีอะไรหรอก...”

ท่านนายพลตอบลูกน้องที่เคยอยู่ใต้อาณัติ มันผงกหัวก่อนจะปิดประตูลง สายตาของกิ่งไผ่มีแววเดือดดาด

“พ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ พูดว่าให้ไว้ใจไอ้พวกนกสองหัวแบบนั้น ผมไม่เข้าใจจริงๆ”

ท่านนายพลวางถาดข้าวลง ถึงเวลาที่ต้องอธิบายแล้วสินะ

“ไผ่...ความเป็นจริงที่ลูกเห็นอาจไม่ใช่เช่นนั้นก็ได้ ทำไมพ่อถึงเชื่อใจพวกเขา นั่นก็เพราะว่าเขายังมีความจงรักภักดีเราน่ะสิ ความวางใจเพียงน้อยนิดเป็นสิ่งที่ทำให้เรารอดนะไผ่ พ่อทำงานกับพวกเขามานานย่อมรู้จักนิสัยพวกเขาดี”

นายพลชราอธิบาย บุตรชายรับฟังเงียบๆ

“เอาล่ะไผ่ ลูกทานข้าวของพ่อซะ”

กิ่งไผ่ส่ายหน้า

“พ่อทานเถอะครับ ผมไม่อยาก”

สายตากร้าวบังคับ กิ่งไผ่จำต้องหยิบถาดข้าวขึ้นมาถือไว้

“พ่ออดไม่เป็นไรหรอกแต่เจ้าจะอดข้าวจนเหนื่อยล้าไม่ได้”

สายตาของผู้เป็นบิดามองอย่างพึงพอใจที่บุตรชายยอมตักข้าวเข้าปาก

“ดีแล้ว...”

ท่านเอ่ยชม หยิบน้ำที่เหลือขึ้นมาดื่ม

“พ่อจะหลับสักนิดนะ เจ้าจะนอนก็ได้ พวกนั้นมันยังไม่กล้าทำอะไรเราหรอก”

นายพลอินคานหลับตาลง กิ่งไผ่ถอดเสื้อนอกห่มให้บิดา คงเหลือไว้แต่เสื้อกล้ามสีเขียว ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองประตู

...ไว้ใจงั้นรึ เขาไม่รู้ว่าบิดาคิดอะไร...

ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าจากประสาทตรึงเครียด จึงล้มตัวนอนเอาแรง บุ่มบ่ามไปก็คงไม่ได้ความจริงๆ ร่างโปร่งหาที่นอน ข่มใจหลับตา ท้ายที่สุดก็จมอยู่ในห้วงนิททรา

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-07-2008 23:00:18
เสียงกิ่งไม้หักส่งผลให้ขบวนเดินทางชะงัก เจ้าขิ่นซึ่งเป็นฝ่ายนำหน้าเหลียวมองล่อกแล่ก

“คงเป็นลมพัดหัก”

ธีรเดชที่ได้ยินออกความเห็น แต่จ่าแม้นส่ายหน้า

“ไม่ใช่....ผมได้ยินเสียงฝีเท้าตามเรามาตั้งนานแล้ว”

ภานุที่เดินตามเงยมองท้องฟ้า พลางสั่งให้เงียบ

“เดินไปตามปกติ...เฮ้ย...ไอ้หนุ่ม นอกจากแกแล้วยังมีคนอื่นอีกรึที่นายเอ็งส่งมาให้ช่วย”

ขิ่นส่ายหน้า มันก็กังวลเหมือนกัน ภานุได้ฟังคำตอบแล้วกำมือแน่น ทุกคนทำตามปกติตามที่ภานุสั่งไว้ เดินไปได้สักพักก็หยุด

“แยกย้ายอย่ารวมกลุ่มกัน ไปเจอกันที่ต้นไม่ตรงหน้า”

ภานุชี้ไปยังต้นมะค่าสูงเหยียดฟ้า เมื่อได้รับคำสั่งก็วิ่งสลับฟันปลา หาที่หลบ ทันใดนั้นเสียงปืนก็กราดขึ้น ต่างคนต่างหมอบแล้วชักปืนยิงสุ่มไปทางเสียง

“วิ่ง...”

ภานุสั่งแล้วรู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองไปลาดตะเวน เหล่าทหารไทยที่หมอบคู้อยู่นั่นวิ่งตามที่หัวหน้าสั่ง เสียงปืนดังก้องอีกครั้ง ร่างของผู้กองรังสรรค์ล้ม เจ้าขิ่นชี้ให้ดู

“นี่...เขาถูกยิง”

ภานุหันกลับมาดู ผู้กองรังสรรค์โบกมือไล่ ส่วนตัวเองพยายามลุกขึ้น แต่เลือดไหลชุ่มโชกที่ขานั้นไม่อาจขยับได้สะดวก

“ไปซะ ทิ้งผมไว้”

ผู้กองรังสรรค์เอ่ยด้วยเสียงแตกพร่า เจ้าขิ่นเห็นภานุวิ่งกลับมา จ่าแม้นยิงสวนให้ ก็ล้มไปอีกราย

“จ่า...”

ภานุหน้าซีดเผือด ธรีเดชทิ้งปืนเข้ามาดูอาการของจ่าชรา

“อีกไม่กี่เมตรจะถึงเขตแดนไทยไปเสีย”

จ่าแม้นว่า ธีรเดชส่ายหน้า

“ผมไม่ทิ้งใครไว้ที่นี่จะตายก็ต้องตายด้วยกัน หมวดครับช่วยผู้กองด้วย”

อานุภาพที่ยิงสกัดวิ่งมาร่างร่างของผู้บาดเจ็บหลบหลังต้นไม้ใหญ่ เจ้าขิ่นหอบหายใจแฮ่กๆ เพราะลากร่างอันหนาหนักของผู้กองรังสรรค์เข้ามา

“มันคงไม่กล้าบุ่มบ่าม ธีรเดชคุณหยิบผ้ามาที”

ภานุชี้ยังผ้าขาวม้า แรกๆชายหนุ่มอิดๆเอื้อนๆ สุดท้ายก็ส่งให้ ภานุจัดการปฐมพยาบาลให้แก่ร้อยเอกรังสรรค์

“อานุภาพ คุณติดต่อทางไทยด่วน ธีรเดช คุณเป็นคนระวังหลังให้เราได้หรือไม่ เจ้าขิ่นนำเราไปยังชายแดนด่วน หากไปถึงที่นั่นเราจะรอด”

ภานุแบกผู้กองรังสรรค์ที่สิ้นสติเพราะเสียเลือดขึ้น อานุภาพติดต่อกับทางฝ่ายประเทศไทยจนสำเร็จ เจ้าขิ่นกลืนน้ำลายเพราะเริ่มกลัวที่ถูกตามล่า

“แน่ใจหรือว่าเราจะรอด”

มันถามเสียงสั่นๆ ภานุตอบเสียงหนักแน่น

“เราต้องรอด”

เขาไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว อานุภาพแบกจ่าแม้นขึ้น ต่างกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดกันสุดฤทธิ์

“เร็วๆเข้า”

เจ้าขิ่นเร่ง ภานุกัดฟันแบกเพื่อนร่วมงานที่บาดเจ็บมาด้วยแรงทีเหลือเชื่อ ธีรเดชที่วิ่งตามหลังคอยมองระวังหลังอยู่เสมอ จ่าแม้นกุมแผลที่บ่าไว้

“ปล่อยผมเถอะหมวด ผมจะไปช่วยผู้กองธี”

หมวดอานุภาพส่ายหน้า

“แบบนั้นคงไม่ดีแน่ผู้กองภานุคงไม่ยอม”

เจ้าขิ่นได้ยิน จึงหันมายังสองคน

“ต่อจากนี้ลุงคงนำทางได้ใช่ไหม ฉันจะไปหลอกมันให้ โชคดีละลุง”

เจ้าเด็กหนุ่มวิ่งไปทางธีรเดชที่ตามหลังมา เสียงปืนก้องเป็นระยะๆ ภานุได้ยินนึกโล่งใจที่ธีรเดชยังรอด ชายหนุ่มหันมองรอยยิ้มของเจ้าขิ่น

“อย่างห่วงไปเลยน่า...”

รอยยิ้มของมันราวกับจะบ่งบอกเช่นนั้น ภานุจึงแบกผู้กองรังสรรค์จนถึงเขตแดนไทย

“แบบนั้นผู้กองธีคงจะ...”

จ่าแม้นเอ่ย ทุกคนมองชายป่าที่เกิดการต่อสู่ ภานุวางร่างของผู้กองรังสรรค์อย่างระมัดระวัง

“อย่าคิดในแง่ร้าย ผู้กองธีต้องรอดผมเชื่อเช่นนั้น”

เสียงปืนเงียบหาย ทุกคนต่างรอแล้วหวั่นใจเพราะผู้กองธีรเดชยังไม่ออกมาเสียที

“ผมว่าเราควรตามไหมครับ”

หมวดอานุภาพถาม คว้าปืนลุกขึ้น ภานุกลับรั้งไว้

“อย่า...เราควรรอ”

ผ่านไปนับชั่วโมง เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังมาแต่ไกล ทุกคนแหงนหน้ามอง

“แจ้งไป...บอกให้ส่งแพทย์มาดูผู้กองรังสรรค์กับจ่าแม้นด้วย หมวดอานุภาพ คุณกลับไปซะ บอกหน่วยที่ตามมาทีหลังว่าผมไปตรวจพื้นที่หน่อย”

ผู้กองภานุวิ่งหายลับไปยังเขตแดนพม่า หมวดอานุภาพมองผู้บาดเจ็บ จนกระทั่งทหารลาดตะเวนชายแดนมาถึง พาทุกคนกลับสู่ฐาน ส่วนหนึ่งก็คอยตรวจตามชายแดน และตามภานุไป

ผู้กองภานุมองต้นไม้ที่ถูกยิงจนพรุน รอบๆมีศพของฝ่ายตรงข้ามนอนแน่นิ่งสนิทอยู่ประปราย รอยเท้าก็สับสนจนแยกไม่ออก ชายหนุ่มกวาดสายตาหาผู้กองธีรเดชแต่ก็ไม่พบเห็นแม้แต่ศพ ชายหนุ่มนึกหวั่น กลัวว่าจะถูกจับไปด้วย แต่มีเจ้าขิ่น เขาคงวางใจได้หรือเปล่านะ สายตาแกร่งมองเพื่อนๆในค่าย

“ผู้กองบาดเจ็บกลับไปก่อนเถอะครับ ทางนี้เราจะจัดการเอง ผู้พันท่านอยากทราบข่าวคราวด้วย”

ภานุถูกกันออกจากเหตุการณ์ เขาก้าวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ด้วยใจที่อ่อนล้า แพทย์ต่างเข้ามารุมตัวชายหนุ่มไว้และคอยตรวจ

“ผู้กองทราบหรือเปล่าครับว่าคุณหมอต้นธารานั้นออกจากค่ายไปแล้ว”

ภานุลืมตาตื่นขึ้น เขาส่ายหน้า

“แล้วย้ายไปทำไมครับ”

ชายหนุ่มถามแต่ความง่วงงุนเกาะกุม บวกกับฤทธิ์ยาสลบจึงทำให้ชายหนุ่มหลับไป ในความฝัน...เขารู้สึกว่าสูญเสียคนที่รักที่สุดไป...

------------------------------------------------

หลังจากที่ปะทะกับฝ่ายตรงข้าม กระสุนของธีรเดชก็หมด ครั้นจะบรรจุใหม่ก็ช้า ชายหนุ่มตกใจที่เจ้าขิ่นกลับมาหา

“กลับมาทำไม”

ชายหนุ่มตะโกนถาม เจ้าเด็กหนุ่มกลับยิ้มแฉ่ง ธีรเดชหัวเสียยิ่งนัก เขาต้องวิ่งมากระชากเจ้าหนุ่มพม่าหลบจากวิถีกระสุน

“คิดจะมาตายด้วยกันหรือไง”

ชายหนุ่มตะคอก เจ้าเด็กหนุ่มกลับยิ้มเพียงอย่างเดียว

“ถ้าทิ้งลุงไว้ นายก็เสียใจสิ”

ขิ่นเอ่ย อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจหรอก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว ในสองครุ่นคิดหาทางรอด กระทั่งเจ้าเด็กหนุ่มลากเขาให้ออกวิ่ง

“ลุงไปทางนั้น มันไม่รู้หรอกว่าตามใครบ้าง”

แรกๆธีรเดชไม่ยอม ชายหนุ่มมองรอบป่ากว้าง หันกลับมาอีกครั้ง เจ้าเด็กหนุ่มก็หายไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่วิ่งไปทางที่เจ้าเด็กหนุ่มไปเท่านั้น

------------------------------------------------

กิ่งไผ่ขยับกาย เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ถาดอาหารยังคงวางให้เช่นเคย กิ่งไผ่มองมันอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะปลุกให้บิดาตื่นขึ้นมา

“พ่อครับ ตื่นขึ้นมาทานข้าวเถอะครับ”

นายพลอินคานสะดุ้งตื่น ท่านหยิบถาดอาหารขึ้นมา เห็นจดหมายจึงนำขึ้นมาอ่าน แต่ก็ต้องซุกไว้อย่างรวดเร็วเมื่อประตูห้องขังเปิดออกอีกครั้ง

“นายเรียก”

เจ้าผู้คุมเข้ามาฉุดกระชากกิ่งไผ่ขึ้น ชายหนุ่มดิ้น

“อะไรอีกวะ อ้ายชาติหมานั่นต้องการอะไร”

นายนายพลเข้ามายื้อยุดฉุดกระชาก บุตรชายจากการดึงตัวไป

“พ่อปล่อยเถอะครับ”

กิ่งไผ่เอ่ยยามที่บิดาถูกฟาด ท่านนายพลจำยอมปล่อย กิ่งไผ่ถูกลากหายลับไปจากสายตา คนเป็นพ่อร้องเรียกดังลั่นห้องขัง

“มึงจะเอาลูกชายกูไปไหน มึงเอาเขาคืนมา”

นายพลอินคานรู้ว่าการที่เจ้ากฤษดานำบุตรชายไปนั้นต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ ท่านกุมบ่าที่ถูกฟาดด้วยปืนไว้ ข่มความเจ็บปวด ล้วงจดหมายที่ซุกไว้มาอ่าน อาศัยเพียงแสงน้อยนิด ท่านก็เข้าในใจรหัสที่บอกไว้ ท่านฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสยะยิ้มขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

------------------------------------------------

กิ่งไผ่ถูกลากเข้าห้องของกฤษดา เจ้าชาติชั่วนอนยิ้มกริ่มอยู่บนเตียง สายตาของร่างสูงโปร่งมองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เจ้าลูกสมุนของกฤษดาออกไปข้างนอก ปิดประตูให้สนิทอย่างรู้งาน ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงเดินมาหากิ่งไผ่ช้าๆ

“ผมให้เวลาคุณอาละวาด”

กฤษดาเอ่ยอย่างเย็นชา คนที่ถูกยั่วกลับนิ่ง อีกฝ่ายนั่งลง เชยคางใบหน้างดงามขึ้น หากถูกถ่มน้ำลายไล่ กฤษดาแตะใบหน้าของตัวเอง มือหนาฟาดเข้าไปที่ใบหน้านั้นจังๆ คนถูกตบสะบัดหน้า แก้มขาวสะอาดปรากฏเป็นรอยมือ มุมปากมีเลือดไหลซึม

“คิดพยศไปถึงเมื่อไร...ยอมกันดีๆก็แล้วเรื่องแล้วราว อันที่จริงผมก็ไม่อยากทำร้ายพ่อคุณกับคุณหรอกนะ แต่เพราะคุณมันโง่...โง่ๆมากๆ”

น้ำเสียงมันเหี้ยมเกรียม กิ่งไผ่เยาะ

“โง่แล้วมีปัญหาอะไร ไอ้โรคจิต ไอ้หมาขี้เรื้อน”

กิ่งไผ่ด่ากลับ กฤษดาที่ไม่คิดจะทำร้ายแต่กระชากกิ่งไผ่ขึ้น

“มึงจะฆ่าก็ฆ่า ที่แน่ๆกูจะไม่ยอมให้มึงมาดูถูกกันแน่ๆ”

ศอกของกิ่งไผ่ประเคนเข้าที่ท้อง กฤษดาจุกไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโต้ตอบกลับ ใบหน้าของกิ่งไผ่เชิดขึ้น ผมที่ยาวสลวยนั้นคลุมแผ่นหลังและซีกหน้าเอาไว้ มองดูน่ากลัว

“แก...”

หมัดหนักๆประเคนเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลา ตามด้วยเท้า เสียงโครมครามข้างในส่งผลให้เจ้าลูกน้องที่นั่งเฝ้าข้างนอกมอง มันคิดจะเข้าไปดูแต่ก็ถูกเพื่อนรั้งไว้

“อย่าเลย เดี๋ยวมึงก็ถูกเป่าขมองดับ...เจ้านายนี่ก็ร้อนเร่าไม่เบานะ”

“ก็แหงสิวะ นายกิ่งไผ่ออกจะสวย สวยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกว่ะ”

ว่าแล้วพวกมันก็ส่งเสียงหัวเราะ นั่งเล่นไพ่ กินเหล้าฮาเฮตามประสา ภายในห้องร่างสูงที่ถูกเตะกลิ้งชิดเตียงลุกขึ้น โทสะจริตเข้าครอบงำ จึงเดินเข้าหากิ่งไผ่ช้าๆ

“เมื่อกี้ยอมให้เฉยๆ”

กฤษดาด้วยสีหน้าแสยะยิ้มก่อนยกเท้าเตะร่างโปร่ง กิ่งไผ่หลบได้หวุดหวิด แต่หลังกลับติดกำแพง เขารู้ดีว่าเจ้ากฤษดาเอาจริงแล้ว หากเผลอสติ เขาคงโดนฆ่าทิ้งเสียเอง แขนเรียวยกกั้นขณะที่อีกฝ่ายเตะสูง กิ่งไผ่เซปะทะกำแพง กฤษดาไม่ปล่อยเอาไว้ ต่อยเข้าที่ท้อง กิ่งไผ่เซปะทะโต๊ะที่ตั้งแจกันไว้ล้มลงมาแตก คนถูกต่อยทรุดฮวบลงกับพื้น หาทางรอดด้วยการปัดขาของอีกฝ่ายล้มโครม จะลุกขึ้นหากกฤษดาไวกว่าลุกขึ้นเข้ามาจิกผมไว้ ดวงตาดุจปีศาจมองตรงมายังคนที่อยู่ใต้ร่างหนาหนัก

“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

ฝ่ามือหนักๆตบเข้าที่แก้ม กิ่งไผ่สะบัดตามแรง เจ็บจนร้องไห้ ยังไม่ทันไรแก้มอีกข้างก็ถูกฝ่ามือหนักๆฟาดอีกครั้งคราวนี้มองเห็นดาวเลยทีเดียว เลือดไหลกลบปากและจมูก เจ้าปีศาจละจากการตบใบหน้าเปลี่ยนเป็นบีบลำคอขาวๆ ร่างโปร่งดิ้น ใบหน้าที่แตกยับเยินพยายามไขว่คว้าหาอากาศ เหมือนทุกอย่างลบเลือนราง เขาไม่อยากตายเพราะเจ้าคนชั่ว กิ่งไผ่รวบรวมเรี่ยวแรง มือคว้านหาอาวุธก่อนกระทบถูกเศษกระเบื้อง กิ่งไผ่กำมันไว้แน่น แทงสุดแรงเกิดเข้ายังแผ่นหลังของกฤษดา มันส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างโปร่งฉวยโอกาสนั้นผลักอีกฝ่ายออก ไอแค่กๆ สูดหาอากาศเข้าปอด เขาแทงพลาดเป้าไป มือหนาแตะบ่าเลือดชุ่ม เหล่าลูกน้องที่เห็นข้างในเอะอะผิดปกติจึงลุกขึ้น จะเปิดประตูเข้ามา แต่แล้วเสียงระเบิดตูมก็ดังขึ้น

“เฮ้ย...อะไรวะ”

พวกมันต่างแตกตื่นเมื่อเสียงปืนดังก้องแต่แล้วมันก็ส่งเสียงร้องลั่นยามที่เสียงปืนดังสะนั่น กิ่งไผ่และกฤษดาที่อยู่ในห้องต่างสงสัย ร่างโปร่งกำลังงุนงงๆและลังเลต่อเสียงปืนที่ได้ยิน กฤษดาก็หยิบปืนที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาง้างไก กิ่งไผ่หันมองสายตาถูกตรึงเอาไว้ด้วยปลายกระบอกปืน ดวงตากร้าวของทั้งคู่จ้องกันไม่กระพริบ

“ยิงสิ ลังเลแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

กิ่งไผ่เชิดหน้าขึ้นเอ่ยท้าทาย เขาเตรียมพร้อมที่จะรับคมกระสุนเพราะรู้ดีว่าไม่อาจรอดพ้น นิ้วแกร่งเหนี่ยวไกปืนก่อนจะยิง

..แชะ...

ไม่มีกระสุน กิ่งไผ่ที่เดิมพันโชคชะตาเอาไว้รู้สึกใจชื้น เช้าชาร์จเข้าหาอีกฝ่าย ต่อยจนสลบ รีบคว้าปืน ตรวจดูกระสุน มันยังเต็มแม็ก กระสุนคงด้าน ร่างโปร่งนึก ก่อนจัดการไม่ให้ลำกล้องขัด เสียงปืนยังคงดังเป็นตับ กิ่งไผ่เปิดประตูไม่ออกจึงใช้ปืนยิ่งทำลายสลัก ถลาออกไปด้านนอก ขวดเหล้าแตกกระจาย ยามที่นั่งเฝ้าข้างนอกล้มตายเกลื่อน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ร่างโปร่งไม่เข้าใจว่าคืออะไรกันแน่ เขาจึงรีบวิ่งออกไปดูด้านนอกแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นศพนอนตายตาเหลือกค้างพาดอยู่บนบันได มองลงไปยังพื้นข้างล่าง บางศพถูกระเบิดจนเละ บางศพถูกยิงสมองไหลเยิ้ม ภาพตรงหน้าเป็นความฝันงั้นรึ กิ่งไผ่ไม่อยากจะเชื่อเมื่อไฟไหม้ทั่วค่าย เสียงปืนยังคงดังก้องในความมืดมิด แสงสว่างตัดกับขอบฟ้าสีดำ สีส้มอมแดงของเปลวเพลิงมันช่างงามและน่าหวาดกลัว

นายกฤษดาที่กิ่งไผ่ทำลายจนสลบลุกขึ้นอีกครั้งและเดินโซเซเข้ามาหา ร่างโปร่งรู้ว่าอยู่นี่นานไปคงได้เสร็จมันแน่ ดังนั้นจึงนำร่างที่สะบักสะบอมจากการถูกซ้อมลงจากเรือน สอดส่ายตาหาบิดา กฤษดาฟื้นจากการสลบไสลคว้าปืนจากคนตายก็ตามมาติดๆในใจของกิ่งไผ่ร้อนรน เขาพยายามมองหาบิดาในความมืดมิดและพบว่าท่านกำลังเกาะต้นไม้ ประคองสติเอาไว้ กิ่งไผ่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดโผเข้าหาท่าน นายพลอินคานกอดบุตรแน่น

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

ลูกชายถาม ท่านนายพลลูบศีรษะ

“พวกที่ยังจงรักภักดีเราอยู่เสี่ยงช่วยเราเอาไว้ แล้วบอกให้รีบหนีไป”

บุตรชายมองหน้าของบิดาอย่างไม่เชื่อ

“เราจะทิ้งเขาไว้ได้ไงครับ อีกฝ่ายมีกำลังมากกว่าเรานะครับ”

สายตาของท่านมองบุตรชายอย่างอ่อนโยนที่เห็นบุตรชายห่วงใยลูกน้องที่เคยว่าทรยศ

“ไผ่...พวกเขาจะตามเราไปทีหลัง...”

กิ่งไผ่พาบิดาลุกขึ้น เขารีบพาร่างอันอ่อนล้าหนีตาย ทว่าเจ้ากฤษดาก็ตามมาทันจนได้ ไอ้ชาติชั่วกลับชักปืนออกมาและเตรียมยิง เป้าหมายคือกิ่งไผ่ ร่างโปร่งบังบิดาไว้ หากมันยิงมาเขาเท่านั้นที่ต้องเป็นฝ่ายตาย!

ร่างโปร่งที่ไม่อาจหลบได้หลับตาแน่น ร่างกายไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดและของเหลวข้นไหลจากต้นแขนของท่านนายพลอินคาน

“พ่อ”

ท่านนายพลอินคานดึงลูกชายออกเอาตัวเองบังกระสุนแทน กฤษดาที่ยิงพลาดเป้าหมายก็ขัดใจจะซ้ำอีกรอบ

“หนีไป...ลูก”

เสียงของท่านนายพลแผ่วละโหย กิ่งไผ่นิ่งอึ้ง สติเกือบดับวูบไป เขาบีบมือแน่นเมื่อเห็นบิดาถูกยิง ไม่ฟังคำสั่ง กลับดึงบิดาขึ้น มือข้างหนึ่งคว้านหาปืน แล้วยิงสกัด อีกฝ่ายหลบกระสุนที่ยิงมาส่งๆ เมื่อจะตามมาอีกก็ยิงซ้ำอีกรอบ คราวนี้เจาะถูกแขน เจ้ากฤษดาร้องลั่นทรุดลงกับพื้น กิ่งไผ่กับบิดาก็อาศัยจังหวะนั้นเดินกะโผลกกระเผลกหลบหนีไปในป่าข้างเขาติดชายแดนไทยแทนที่จะเข้าไปในป่าพม่า

กิ่งไผ่ภาวนาขออย่าให้เจ้าขิ่นมาในตอนนี้เลย ใจสังหรณ์โดไม่รู้ตัวเกรงว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่เป็นเหมือนน้องเพียงคนเดียวจะโผล่มากะทันหัน น้ำตาไหลลงจากดวงตาวาว บิดาของเขาเริ่มอ่อนกำลัง ดวงตาชรามองทุกอย่างพร่าเลือน รับรู้เพียงว่าลูกชายกำลังแบกท่านไปลัดเลาะตามพุ่มไม้ แม้หนามจะเกี่ยวหน้าเกี่ยวตาก็ไม่สน แม้จะเจ็บปวดตามร่างกายและรับรู้ถึงเลือดติดหนึบ กิ่งไผ่สนแค่เพียงบิดาและเขาต้องรอด ท่านนายพลรับรู้ถึงเสียงสะอื้นเงียบๆของบุตร ท่านทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในที่สุดคนที่วิ่งมาตลอดต้องสะดุดรากไม้ล้ม ร่างของท่านนายพลเซไปอีกทาง ส่วนร่างกิ่งไผ่นอนหน้าคว่ำ ปวดแปลบข้อเท้า

“ปล่อยพ่อไว้เสียแล้วเจ้าก็หนีไป เสียงปืนหยุดลงแล้ว พวกที่ภักดีต่อเราคงหนีไปได้ อีกฝ่ายมันคงตามหาเจ้ากับพ่อ”

กิ่งไผ่ส่ายหน้าไม่ยอมปล่อยไว้

“ไม่...คำสั่งนั้นผมไม่รับฟัง”

เขาประคองบิดาอีกครั้งหากถูกปัดออก

“ไผ่ เจ้าก็รู้ว่าพ่อเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ไม่อาจไปไหนไกลได้อีกแล้ว”

บิดาตะคอก มองใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของกิ่งไผ่

“ยังไงผมก็จะตายกับพ่อ ผมทิ้งพ่อไม่ได้ ผมไม่ทำ”

นิ้วเรียวปาดน้ำตาที่ไหลริน ดึงร่างชราลุกขึ้น หากแต่ท่านนายพลก็อ่อนล้าโรยแรง

“ไผ่...เชื่อฟังพ่อ”

ศีรษะได้รูปปฏิเสธ เรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิง ท่านนายพลมองแล้วก็ร้องไห้เมื่อมองเห็นภาพซ้อนของภรรยา

“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่พ่อไม่อยากให้ตายไป มนัสหยาแม่เจ้า พ่อก็ไม่อาจปกป้องได้ พ่อไม่อยากให้สิ่งสำคัญสูญเสียไปอีกแล้ว เจ้าไปซะก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป!”

คนทั้งสองทะเลาะกัน กิ่งไผ่ดื้อ ไม่ยอมจากไป เสียงย่ำใบไม้แห้งดังขึ้น สองพ่อลูกตัวแข็งทื่อ คิดว่าเป็นเสือ กลิ่นสาบของมันชัดขึ้น ร่างโปร่งสำรวจกระสุนในมือ หมดทางที่จะหลบหนี หากว่ามันกลับเปลี่ยนทิศกะทันหัน กลิ่นสาบสางจางไปกับสายลม พร้อมกับร่างที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏ

“ขิ่น”

กิ่งไผ่อุทาน แล้วหน้าเผือดไป เพราะกลัวว่ามันคงเป็นความฝัน แต่เจ้าขิ่นกลับวิ่งหน้าตื่นลงมาหา

“เอ็ง....เอ็ง...”

กิ่งไผ่ละลักละล่ำ พูดไม่ออก เจ้าขิ่นเข้ามาดุอาการเจ้านายและท่านนายพลก่อนจะว่า

“ขิ่นได้กลิ่นเลือด ไอ้ขิ่นคนนี้ช่วยทหารไทยสำเร็จคนพวกนั้นกำลังกลับไปยังฟังไทย แล้ว ขิ่นคนนี้กำลังกลับแต่ได้ยินเสียงปืนคิดว่าเกิดเหตุร้ายจึงหลบมาก่อน แล้วได้กลิ่นสาบเสือจนกระทั่งมาเจอกับนายท่าน”

เจ้าขิ่นว่า อย่างรวดเร็ว ท่านนายพลจ้องหน้าบุตร หูของท่านได้ยินรางเลือน...ทหารไทยงั้นรึ นี่มันเรื่องอะไรกัน

“เอ่อ หยุดพูดเถอะขิ่น พาพ่อฉันหนี ฉันจะเป็นตัวล่อพวกมัน พาท่านหนีไป”

เจ้าขิ่นงุนงงๆ แต่กิ่งไผ่ส่งร่างของท่านนายพลให้

“รีบไป”

ดวงตาของทั้งสามเห็นแสงคบเพลิง เจ้าขิ่นรู้ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายจึงพาท่านนายพลหลบไปก่อน

“แล้วพี่ไผ่ล่ะ...”

เจ้าเด็กหนุ่มถาม กิ่งไผ่ยิ้ม

“ถ้าฉันไม่กลับไป เอ็งต้องดูแลพ่อแทนฉันนะ”

นั่นเป็นคำสั่งเสีย กิ่งไผ่วิ่งไปอีกทางเจ้าขิ่นอึ้ง

“นายครับ...ยังมีนายทหารไทยอีกคนที่ยัง...”

มันรีบตะโกนบอก แต่สุดท้ายก็เงียบเพราะคิดว่าทหารไทยที่เขาช่วยไว้คนสุดท้ายนั้นคงปลอดภัยแล้ว กิ่งไผ่ยิ้มกับตัวเองที่ได้ยินว่าเหล่าทหารไทยปลอดภัย เขาก็หมดข้อกังวลแล้ว ร่างโปร่งวิ่งสุดแรงเกิดตัดไปอีกทาง คราวนี้เขาต้องล่อให้ไอ้พวกทรยศไปให้ไกลจากบิดาให้ได้ สายตากระจ่างมองดวงดาว...แล้วคิดว่านี้อาจเป็นดวงดาวสุดท้ายที่จะได้เห็น

------------------------------------------------

เสียงปืนแว่วตามสายลม กลุ่มควันไฟตัดขอบฟ้า ธีรเดชหวั่นใจ เขาดันหลงติดอยู่ในป่าจนได้ ชายหนุ่มอยากจะฆ่าตัวเองทิ้งที่เดินหลงจนกระทั่งค่ำ เสียงปืนดังแว่วๆ แสงไฟตัดกับขอบฟ้าสีดำ มันเกิดอะไรขึ้นกัน ชายหนุ่มเดินลุยตามลำธาร ในความเงียบเสียงแมลงดังระงม ชายหนุ่มที่อยู่ในป่าคนเดียวนั้นกลัวต่อความมืด ข่มใจเอาไว้ เดินสอดส่ายถือปืนอย่างระมัดระวัง น้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ ดวงจันทร์โผล่ออกจากก้อนเมฆทำให้มองเห็นทางรางเลือนและแล้วสายตาของนายทหารหนุ่มมองเห็นเงาตะคุ่มๆ มือที่ยกปืนสั่นระริก เงานั้นไม่ไหวติง นอนอยู่บนโขดหิน แสงจันทร์ส่องให้เห็นเรือนผมยาวสลวยคลุมใบหน้า แขนข้างหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ เสื้อกล้ามสีเขียวขาดวิ่นเผยให้เห็นผิวขาวสะอาดสะท้อนแสงจันทร์เป็นยองใย นายทหารหนุ่มเกือบช๊อกและร้องดังลั่น คิดว่าเป็นนางไม้ผีสาง ลมพัดปลิวเส้นผมที่ปกคลุมขึ้น ยิ่งทำให้ตื่นตะลึง ร่างที่นอนอยู่บนโขดหินนั้น...ไม่อยากจะเชื่อ แม่หญิงกลิ่นเอื้อง!

ธีรเดชขยี้ตา รีบวิ่งเข้าไปหา เขากำลังมองเห็นภาพลวงตาอยู่หรือ ชายหนุ่มประคองร่างที่ยังหลงเหลือไออุ่นเพียงเล็กน้อยขึ้นมาแนบอก เห็นเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง ตามเนื้อตัวถลอกปอกเปิก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้างามเขียวช้ำริมฝีปากแดงกลับซีด ด้วยความสังหรณ์ใจและหวาดกลัวจึงยกมือเกลี่ยเส้นผมออกและอังจมูก ลมหายใจแผ่วๆแต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มยิ่งตกใจมากยิ่งกว่านั้น...เธอกลับเป็น...

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 09-07-2008 23:40:34


ผู้กองธี ได้เจอกั กิ่งไผ่แล้ว  :m1:
หรือ...นี่คือ ชะตากรรม ของสองคนนี้หรือเปล่าหนอ   :m13:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-07-2008 01:04:28
 :m4: เจอกันแล้วผู้กองธีกะนู๋ไผ่ รอวันผู้กองหม่ำนู๋ไผ่  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 10-07-2008 12:52:28
ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีน่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 10-07-2008 18:46:00
อ้างถึง
ขอโทษทีน้า  มาต่อช้าไปหน่อย  แบบว่าป่วยในรอบสี่ปี แงแง 


พี่พิมพ์ป่วยหายยังค่ะ...รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ น้องเป็นห่วง   :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-07-2008 19:43:39
รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 10-07-2008 20:45:40
ในที่สุดก็เจอกันซะที

ลุ้นคู่นี้อยู่นะเนี่ย

เอามาอยู่เมืองไทยเลย :a2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 11-07-2008 01:30:30
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ค้างอย่างแรงตอนท้ายอะครับ

เธอกลับเป็นอะไรอะ เธอกลับเป็นผู้ชาย ป่าวครับ

เดาถูกป่าวครับผม อิอิ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 13-07-2008 16:15:31
อ้างถึง
ขอโทษทีน้า  มาต่อช้าไปหน่อย  แบบว่าป่วยในรอบสี่ปี แงแง 


พี่พิมพ์ป่วยหายยังค่ะ...รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ น้องเป็นห่วง   :L1: :L1: :L1:

นู๋เรนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พิมอะถึกจะตายไป  :laugh: แล้วนี่หายรึยังอะมีใครป้อนยาให้รึยัง คึคึ คนป้อนมาถึงยังจ๊ะ  :จุ๊บๆ: ดูแลตัวเองด้วย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-07-2008 23:28:13
อิอิ ขอบคุณที่เป็นห่วงน้า  ดูแลสุขภาพด้วยทุกคน

ต่อเลยคับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก23 keepsake/สถานที่แห่งความทรงจำ

ต้นธาราถอนใจเบาๆเมื่ออยู่ตามลำพัง เขาก้มหน้ามองผ้าห่มผืนบางของทางโรงพยาบาล ความเหงาในหัวใจเริ่มถาโถม...ป่านนี้ผู้กองคงกลับมาแล้วมั้ง ข้อสันนิฐานในใจที่เป็นเพียงความเงียบงัน

...อยากกลับไปอีกสักครั้ง...

คุณหมอหนุ่มคิดถึงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เขากลับมารักษาตัวในกรุงเทพฯแล้ว เขาเลือกที่จะจากลามาเอง ต้นธาราลงจากเตียง มองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเคย ในสายตายังคงเฝ้าหาคนในห้วงแห่งความฝัน เปลือกตาบางหลับลง วันและคืนที่ผันผ่าน กับชีวิตที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล มันช่างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมา มองหน้าปกสีฟ้า มันเป็นไดอารี่ที่เขาหวงมากที่สุด ชายหนุ่มเปิดดูทีละหน้าๆคิดถึงวันที่ได้พบผู้กองภานุขึ้นมาจับใจ...มันนานแสนนาน...หมึกซึมที่ใช้เขียนบนเนื้อกระดาษก็รางเลือนไปตามกาลเวลา

“ผมอยากเจอคุณ...”

ชายหนุ่มกระซิบกับไดอารี่ของตนเอง มือบางหยุดอยู่ที่หน้าความรู้สึกที่เขียนไว้...สิ่งที่ไม่เคยได้ตอบรับคืนนอกจากความเกลียดชัง ภาพของผู้กองภานุกับผู้กองนาคีหลุดออกมาจากไดอารี่ ต้นธารามองมันด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง เขาเก็บภาพนั้นสอดในไดอารี่ ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมคืนวันที่ผู้กองนาคีตายไปสักที ชายหนุ่มวางสมุดบันทึกไว้บนโต๊ะ เฝ้ามองมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งนางพยาบาลนำยามาให้ ต้นธาราจึงหยุดคิดเรื่องอื่นที่ทำให้ไม่สบายใจ

“จะดูหนังสือพิมพ์ไหมคะ ดิฉันจะเอามาให้ วันนี้มีข่าวน่าสนใจเชียว หน่วยลาดตะเวนชายแดนปะทะกับกองโจรกะเหรี่ยงเห็นว่ามีผู้บาดเจ็บเยอะเชียว”

หัวใจของต้นธาราเต้นแรง เขาจับแขนนางพยาบาลสาวอย่างลืมตัว

“จ...จริงหรือครับ เกิดเหตุอยู่ที่ไหนครับ”

นางพยาบาลสาวตื่นตกใจกับท่าทางของคนไข้ เธอแกะมือของชายหนุ่มออก หยิบหนังสือพิมพ์มาให้

“นี่ค่ะ ลองอ่านรายละเอียดดู”

เธอว่าก่อนจะยกถาดเงินออกจากห้องพัก ต้นธาราอ่านข่าวหน้าหนึ่งแล้วก็หน้าซีดเผือด เขารีบพลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างในอย่างรวดเร็ว หนังสือพิมพ์ร่วงหล่นจากมือ

...ผู้กองบาดเจ็บ!...ต้นธาราใจเต้นแผ่วๆมือเย็น ท่านนายพลพิภพเข้ามาในห้องอย่างอารมณ์ดี ท่านถือกล่องบรรจุขนมเค้กยิ้มร่ามาแต่ไกล

“ธารพ่อซื้อเค้กมาให้ลูกด้วย”

ท่านวางกล่องขนมอย่างระมัดระวังไว้บนโต๊ะ ซึ่งมองไดอารี่ของลูกชายสุดที่รักอย่างฉงน

“เป็นอะไรหรือเปล่าธาร”

นายพลชราเอ่ยถามยามที่เห็นใบหน้าลูกชายไม่สู้ดีนัก และแล้วท่านก็ได้รับคำตอบ นายพลพิภพเอื้อมมือเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมาพับไว้ให้เรียบร้อย เพียงแค่อ่านข่าวหน้าหนึ่งท่านก็เข้าใจ

“เขาไม่เป็นอะไรมากหรอก”

ผู้เป็นบิดาว่า โยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะรับรองอย่างฉุนๆ ต้นธาราหันมองบิดาราวกับอยากจะถามว่าสิ่งที่บิดาเอ่ยนั่นเป็นจริงหรือ

“พ่อซื้อเค้กอร่อยๆมากินกันดีกว่า”

ชายหนุ่มลงจากเตียงอย่างว่าง่าย เขารู้ว่าบิดานั้นพยายามเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องของผู้กองแห่งค่ายห่างไกลความเจริญ ต้นธาราก็ไม่พยายามเซ้าซี้ให้มากความเพราะรู้ว่าทำไปก็หมดหวัง

“เดี๋ยวพ่อจะลงไปขอจานกับมีดนะ ธารรออยู่นี่แหละ”

ท่านนายพลลุกขึ้น บุตรชายมองด้วยสายตาว่างเปล่า ท่านเห็นแล้วรู้สึกเสียใจ

“แน่ใจนะครับว่าผู้กองภานุเขาไม่เป็นอะไร”

คำพูดของลูกชาย ทำให้ผู้เป็นบิดาชะงัก

“มันยังไม่ตายหรอก!”

ท่านตอบอย่างกระแทก ต้นธาราถอนใจ...เขาไม่น่าเปิดปากถามเลย มาสำนึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว ท่านนายพลพิภพปิดประตู ต้นธารามองกล่องเค้กจากร้านดัง ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าบิดานั่นไม่อยากให้ยึดติดกับภานุมากนัก สำหรับต้นธาราแล้วมันเป็นเรื่องยาก เขาแกะกล่องขนมเค้กออกมองมันอย่างสับสน ท่านนายพลไปไม่นานนักก็กลับมาพร้อมมีดและจานขนมแล้วท่านก็ลงมือแบ่งขนมเค้กส่งให้บุตรชาย

“ทำไมกินน้อยจัง”

ท่านนายพลเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นลูกชายวางช้อนลงข้างจาน

“ผมทานไปเยอะแล้วครับ ขืนทานอีกมีหวังโดนหมอฆ่าทิ้ง”

ผู้เป็นบุตรว่า วางจานขนมเค้กที่หวานเฉียบลง ท่าทางไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

“จริงสิ ลูกกินหวานๆไม่ดีต่อสุขภาพ...”

ท่านรำพึง สายตาสีอ่อนมองหนังสือพิมพ์แล้วหยิบมันขึ้นมา

“พ่อครับ ผมอยากกลับไปที่ค่าย...”

ต้นธาราลองเสี่ยงเอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในใจออกมา ท่านนายพลชักสีหน้าทันที

“ธาร...แกจะคิดอะไรแบบเด็กๆได้ไหม แกมายังกรุงเทพแล้วจะกลับไปที่นั่นอีกทำไม”

จานขนมในมือกร้านวางกระแทกลงกับโต๊ะ สายตาสีอ่อนจ้องบิดาไม่กระพริบ

“ผมอยากกลับไปครับ”

บุตรชายยังยืนกรานตามเดิม บิดาก็ยังคัดค้าน

“ธาร ที่แกตัดสินใจมาที่นี่โดยไม่รอเจ้าผู้กองนั่นก็เพื่อเข้ามารับการรักษาโรคที่แกเป็นอยู่ไม่ใช่รึ”

ท่านนายพลกล่าว บุตรชายสลด

“ครับพ่อ”

น้ำเสียงของบุตรชายอ่อนลง ยอมรับแต่โดยดี

“แต่ว่าผมนั้นอยากกลับไปอยู่ดี ขอแค่สักครั้งที่ไปเยี่ยมเขา”

“แล้วมันจำเป็นด้วยรึกับการไปเยี่ยม เขาเกี่ยวอะไรกับเจ้า...มันสำคัญไหมธารที่เจ้าละทิ้งการรักษาเพื่อกลับไปยังที่นั่น”

ต้นธาราได้ฟังก็เงียบกริบ

“ลูกโตแล้ว พ่อย้ำอยู่เสมอว่า...สิ่งที่เจ้าทำมันจะทำร้ายตัวเจ้าเองกับเขามากแค่ไหน ปล่อยทิ้งไปเถอะกับความรัก ลมๆแล้งๆ ธาร...ลูกมีอนาคต เขาก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานอันทรงเกรียติ เจ้ายิ่งฝืนสิ่งที่เจ้าและเขามี ท้ายที่สุดมันก็จบลง ไม่ใช่เพราะใคร มันเกิดขึ้นกับการกระทำของเจ้าเอง”

ต้นธารานั่งฟังเงียบๆ แม้จะเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไป สำหรับท่านนายพล ท่านก็คิดว่ามันเป็นการดีแล้วสำหรับบุตรชายของตน

“สิ่งที่พ่อพูด ผมรู้ครับ ผมเข้าใจดี....แต่...ผมก็ยังอยากไปพบเขาอีกสักครั้ง มันเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ!”

บุตรชายขึ้นเสียง ท่าทางโมโห ท่านนายพลพยายามระงับอารมณ์

“ลูกทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจเสียที”

มองแล้วก็อ่อนอกอ่อนใจ ท่านพยายามที่จะดึงดัน

“พ่อบอกว่า หากผมเลือกทางของตัวเองแล้วพ่อก็ไม่อาจห้าม ตอนนี้ผมเลือกแล้ว พ่อจะว่าอย่างไรครับ”

ผู้เป็นลูกยืนคำขาดกับความต้องการของตัวเอง ท่านนายพลอึ้งกับคำที่ลูกย้อน

“ธาร...ลูก...”

นายพลพิภพพูดไม่ออก ทำอย่างไรก็ไม่อาจล้มล้างความคิดของบุตรชายได้เลย

-----------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-07-2008 23:30:10
คุณหมอมาริสาแทบกลั้นใจเพราะสภาพของผู้กองภานุนั้นสาหัสกว่าที่คิดไว้ เธอแตะแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเบาๆ สำรวจบาดแผลที่อักเสบจนกลายเป็นหนอง

“จ่าแม้นแล้วก็ผู้กองรังสรรค์ล่ะ”

ชายหนุ่มถามหลังจากที่ถูกนำมายังโรงพยาบาลเล็กๆประจำค่าย ภานุนั่งไม่ติดที่ห่วงในสวัสดิภาพของผู้ร่วมงาน

“ผู้กองรังสรรค์กับจ่าแม้นถูกนำส่งโรงพยาบาลในเมืองค่ะ ผู้กองภานุนั่งนิ่งๆนะคะ ดิฉันจะได้ทำแผลได้ถนัดๆ”

หญิงสาวกดร่างผู้กองหนุ่มลง นำแอลกอฮอลล์เทใส่สำลี ผู้กองภานุได้ยินคำพูดของมาริสาจึงสงบลง

“แผลอักเสบมากเลยนะคะเนี่ย หากไม่คว้านเนื้อที่เน่าออกล่ะก็ มีหวังต้องตัดแขน”

หญิงสาวเอ่ยอย่างกังวลใจ ภานุกัดฟันเมื่อสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดเข้าที่แผล

“เดี๋ยวดิฉันจะฉีดยาระงับปวดให้นะคะ ผู้กองต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลในเมือง เพราะที่นี่อุปกรณ์ไม่พร้อม”

หญิงสาวสาละวนกับตู้ยา ดึงขวดยาระงับปวดออกมาพร้อมกับเข็มฉีดยาหลอดเล็ก ภานุกวาดตามองทั่วโรงพยาบาลเล็กๆ เขาก็พบว่าขาดใครบางคนไป

“คุณหมอธารล่ะครับ”

ชายหนุ่มถามแล้วนิ่งสงบ...เขาน่าจะเห็นต้นธาราเข้ามาป้วนเปี้ยนแท้ๆ ทำไมกลับหายไปล่ะ....ในใจของชายหนุ่มร้อนรนโหยหา

“คุณหมอธารหรือคะ เอ่อ...”

มาริสาพูดไม่ออก หญิงสาวถือเข็มฉีดยาแทงเข้าไปในเนื้อของชายหนุ่ม

“ครับ....เขาไปไหน”

ภานุนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ รอคำตอบจากคุณหมอสาว

“หมอธารอกจากค่ายนี้ไปแล้วค่ะ”

คำพูดนั่นทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง

“ออกไป...ตอนไหนครับ ออกไปเพราะอะไร”

ความเจ็บปวดที่เกิดจากแผลค่อยๆจางหาย มาริสาก็ส่ายหน้าทำนองว่าไม่ทราบ

“ก็ตอนที่ผู้กองออกลาดตะเวนแหละค่ะ วันนั้นหมอธารล้มป่วยทางค่ายใหญ่เลยส่งคนมารับไปรักษาในโรงพยาบาลในเมือง ป่านนี้ไม่ส่งข่าวอะไรมาให้เลยค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าหมอธารเป็นอย่างไรบ้าง”

หญิงสาวตอบเท่าที่ตัวเองจะตอบได้ ภานุรับฟังแล้วเจ็บลึกๆ

“เห็นว่าผู้กองธีหายไปหรือคะแล้วผู้กองธีจะเป็นอะไรไหมคะ?”

หญิงสาวเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงห่วงใย ภานุก็มืดแปดด้าน

“ผมก็ไม่ทราบครับ คงต้องรอข่าวจากทางหน่วยฯอีกที”

ร่างอันใหญ่โตของผู้กองหนุ่มเอนลงบนเตียง รอให้เฮลิคอบเตอร์มารับเข้าโรงพยาบาล

“น่าสงสารผู้กองธีนะคะ เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่มีใครรู้”

หญิงสาวเอ่ยด้วยความเสียใจ ไม่นานนักเฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอด เตียงของชายหนุ่มถูกหามขึ้นฮ. เขานอนนิ่งๆจนกระทั่งเครื่องบินลอยขึ้นมาชายหนุ่มจึงหลับตาลง

“แย่จังเลยนะครับที่ถูกโจมตี...”

แพทย์ที่ประจำเฮลิคอปเตอร์กล่าวระหว่างตรวจดูบาดแผลของผู้กองหนุ่ม ภานุลืมตาขึ้นหลังจากถูกทัก

“ผมชื่อนายแพทย์ประกิตครับ”

นายแพทย์ทักพร้อมรอยยิ้ม ผู้กองหนุ่มคนเก่งนึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายทักราวรู้จักตนเป็นอย่างดี

“คงแปลกใจสินะครับ ทางนายพลอรุณเป็นคนบอกผมเรื่องของคุณครับ”

สายตาระแวงเคลือบแคลง ภานุนอนฟังอีกฝ่ายพูดเงียบๆ

“ท่านนายพลชมว่าพฤติกรรมของคุณนั่นเยี่ยมยอดเลยครับ เป็นทหารหนุ่มที่กล้าหาญ...”

คำชมนั่นภานุไม่นึกยินดีเลยสักนิดเดียว เครื่องบินลดระดับ นายแพทย์ประกิตเงียบไป จนกระทั่งจอดลงสู่พื้นดินโดยปลอดภัย ร่างของภานุถ่ายลงเตียงที่มีผู้ช่วยพยาบาลพร้อมเข็นเข้าไปด้านใน ภานุมองรอบๆโรงพยาบาลในเมืองซึ่งน้อยครั้งนักที่ชายหนุ่มจะได้เข้ามา เสียงพูดคุยข้ามเตียง เขาถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดระหว่างนั้นเขาเห็นท่านนายพลอรุณมองดูแต่ไกล

“ท่านนายพลมาเยี่ยมดูอาการของจ่าแม้นกับผู้กองรังสรรค์น่ะครับ”

นายแพทย์ประกิตตอบข้อสงสัย ภานุเห็นสายตานั่น มันมองอย่างพิจารณามาทางเขาชัดๆ เขาทำเป็นไม่เก็บมาใส่ใจหากสุดท้ายต้องมองกลับ

“ตอนนี้ทำใจให้สบายๆนะครับ”

คำพูดราวกับปลอบของแพทย์ทำให้ภานุหันมาสนใจกับไฟผ่าตัดสว่างวาบ เสื้อสีเขียวด้านรายรอบ เขาได้เพ่งมองแสงสว่างเป็นครั้งสุดท้ายจนกระทั่งไม่รู้สึกตัวอีกเลย

------------------------------------------------

ลืมตาตื่นอีกครั้งชายหนุ่มก็นอนอยู่ที่เตียงพักฟื้นแล้ว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ มีผู้ป่วยนอนเรียงรายในห้องเต็มไปหมด ภานุกระพริบตาไล่ความมึนงง บาดแผลได้รับการผ่าตัดพันผ้าพันแผลสีขาวพร้อมกับเข้าเฝือกไว้อย่างเรียบร้อย เขาอยู่ตรงนี้...เพียงลำพัง...ดวงตาแกร่งมองเพดาน เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นายแพทย์ประกิตนั่นเอง คุณหมอหยุดข้างเตียงมองด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา

“รู้สึกอย่างไรบ้างครับ”

ผู้กองหนุ่มถอนใจก่อนจะตอบ

“ตอนนี้รู้สึกสบายดีครับ แล้วผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนครับ”

ภานุถาม ซึ่งทำให้คุณหมอหัวเราะ

“อีกสองสามวันนี่ล่ะครับ ทนๆเอาหน่อยนะผู้กอง”

ผู้กองหนุ่มได้ฟังแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

“ผมไม่อยากนอนเฉยๆ อาการของผมก็ดีขึ้นแล้ว ถอดสายน้ำเกลืออกเถอะครับ”

ภานุร้องขอ คุณหมอส่ายหน้า

“คุณไม่ใช่หมอย่อมไม่รู้อาการของตัวเอง....นอนพักอยู่ที่นี่สักระยะเถอะครับ”

หมอประกิตเอ่ยเสียงนุ่ม ภานุอ่อนใจ เขาล้มตัวนอนอย่างเซ็งๆ ชายหนุ่มไม่ชอบเลยกับกลิ่นของโรงพยาบาล...มันทำให้ชวนคิดถึงร่างระหง ฉายรอยยิ้มอันสดใส ดวงตาและเรือนผมสีน้ำตาลดึงดูด ยิ่งคิดยิ่งทำให้ใจไม่สงบ ชายหนุ่มเฝ้าภาวนาให้คืนและวันผ่านพ้นไปโดยไว ญาติของผู้ป่วยมาเยี่ยมคนไข้รายอื่นๆทำให้ภานุมองด้วยสายตาว่างเปล่า....พ่อกับแม่ของเขาก็ตายไปแล้ว ซ้ำคู่หมั้นก็ยังร้างลาห่างไกลมาเสียนาน ชายหนุ่มลดดวงตาลงยามที่คู่สามีและภรรยาซึ่งตั้งท้องมาเยี่ยมหญิงชรา เขาหวนคิดถึงตัวเอง หากไม่เลือกมายังสถานที่แห่งนี้ ป่านนี้เขาคงแต่งงานกับคู่หมั้น...มีลูกมีความครัวแสนสุข ความคิดนี้ก็ถูกขัดโดยใบหน้าขาวซีด ภานุไม่อยากให้เงานั้นหลอกหลอนใจ เพราะมันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่าเขากำลังคิดพิเศษกับอีกฝ่าย ประตูห้องเปิดออก เสียงฝีเท้าดังกระทบพื้นปูนเป็นเสียงของเท้าหนักๆ ภานุเงยหน้ามองแล้วต้องนิ่งไป เพราะคนที่เดินมากลับเป็นนายพลอรุณและต้นธารา...ชายหนุ่มคิดไปว่ามันคือภาพลวงตา ทว่าภาพตรงหน้ากลับเป็นความจริงเมื่อคนทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้

“สวัสดีทหารกล้า”

ท่านนายพลอรุณทัก ภานุชันตัวขึ้นโค้มหัวทำความเคารพผู้บังคับบัญชาการแห่งค่ายใหญ่ ต้นธาราที่ยืนอยู่เคียงข้างกลับไม่พูดอะไรเลย ดวงตาสีน้ำตาลเฝ้ามองผู้กองอย่างเป็นห่วง

“สวัสดีครับท่าน เป็นเกรียติเหลือเกินที่ท่านมาเยี่ยม”

ขณะที่เอ่ย ดวงตาแกร่งประสานกับดวงตาสีอ่อน อยากจะพูดกับต้นธาราหากการอยู่ตรงหน้าผู้บังคับบัญชาการจำต้องน้อบน้อม

“อื้ม...อาการคงดีขึ้นแล้วสินะ”

ภานุตอบด้วยเสียงหนักแน่น

“ครับ”

ท่านนายพลหันมองคนข้างกายก่อนจะเอ่ยธุระ

“ต้นธารา เขาอยากมาเยี่ยม...”

ท่านพูดแค่นั้น ก่อนจะปล่อยให้ทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง ก่อนจากคุณหมอธารก็เอ่ยขอบคุณลุงที่ช่วยเหลือ

“ขอบคุณครับคุณลุง..ช่วยบอกพ่อหน่อยนะครับว่าอีก10นาทีผมจะออกไป”

นายพลอรุณผงกหัวเนิบๆ เมื่อท่านนายพลจากไป ต้นธาราก็คลายความอึดอัดลง

“แผลคุณ...”

ต้นธาราเริ่มเอ่ยหลังจากที่เงียบไปนาน

“แผลผมมันไม่เป็นอะไรหรอก”

ภานุตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยจนคนที่ได้รับฟังเงียบไป

“แล้วอาการคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง เห็นว่าล้มหมอนนอนเสื่อนี่”

ด้วยคำถามนั้นเรียกรอยยิ้มอ่อนๆของต้นธารา

“ตอนนี้เข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพครับ”

ต้นธาราเอ่ย ภานุทำเหมือนไม่อยากรับฟัง

“ผมมาเยี่ยมคุณ อีกสักพักก็จะกลับแล้ว”

ต้นธาราเอ่ยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรำคาญ เขาเตรียมลุกขึ้นหากถูกดึงมือไว้

“มีอะไรหรือเปล่า”

ต้นธาราถามอย่างสงสัย ภานุมองดูมือของตัวเองที่คว้าแขนบอบบางเอาไว้

“เปล่า...คุณจะกลับก็กลับเถอะ ขอบใจที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”

ชายหนุ่มเก็บงำความเสียดายเอาไว้ในส่วนลึก

“ครับ...”

ต้นธาราตอบแค่นั้น เขามองมือแกร่งที่ปล่อยข้อแขน แล้วเดินจากไป ภานุแทบอยากซัดหมอน...เขาอยากจะพบไม่ใช่หรือ...เขามันเป็นคนโง่จริงๆที่ปฏิเสธ ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่าต้นธารายอมกลับมาที่นี่เพราะเหตุผลอะไร แผ่นหลังบอบบางดูเศร้า....เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 14-07-2008 01:10:56
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ตอนนี้ผู้อ่านก็เศร้ามากๆๆเลย

ท้ำตาไหลเลยครับ

สงสารคนที่มีความรักต่อกันต้องมาเจอแบบนี้

เป็นกำลังใจให้เสมอครับผม สู้ๆๆต่อไปครับ

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 14-07-2008 12:41:41
โอ้ย  :serius2:  เศร้า 

 :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-07-2008 13:14:48
อ้าววววววววววววววววววววววววววววว ผู้กองภานุ ไหงทำแบบนั้นล่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 14-07-2008 15:05:13
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 14-07-2008 15:27:32
เศร้าเป็นที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 14-07-2008 17:04:16
พี่พิมพ์หายป่วยแล้ว>< :m4: ดีใจจังเลย

รักษาสุขภาพด้วยน้าค่ะทุกๆคน..... :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-07-2008 21:45:36
 o7 ยังเศร้าอีกนาน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-07-2008 17:04:32
อิอิ  จะเศร้ากันไปไหน   
น้องเรนอะ  แต่งเศร้าซึมลึกไปละ

ต่อจ้า

++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรัก24/loveless/ หัวใจที่ว่างเปล่า

ต้นธาราทรุดนั่งลงบนโซฟา เขามองอกไปนอกห้องพัก ท่านนายพลนั่นจ้องภาพบุตรชายที่เหม่ออยู่นาน ท่านเข้าใจดีว่าการที่ลูกชายตนเป็นแบบนั้นเพราะใคร นายพลพิภพจึงเดินเข้าไปลูบหัว

“ธารเอ้ย พ่อว่าวันพรุ่งนี้ เรากลับกันเถอะลูก”

ต้นธาราเงยหน้าบอกบิดา ยอมรับข้อเสนออย่างง่ายดาย

“ครับ...วันพรุ่งนี้ผมจะกลับ”

ท่านนายพลดีใจที่ลูกชายยอมกลับอย่างง่ายดาย ท่านนำมือออกจากศีรษะบุตร ดวงตาคู่นั้นวาววับยามสะท้อนแสงอาทิตย์ตกดิน ท่านนายพลไม่อาจเห็นหยาดน้ำตาไหลออกจากดวงตาสีน้ำตาล มีแต่ความผิดหวัง เป็นเรื่องที่ผิดพลาดไปจริงๆกับการที่เขามายังที่นี่

“ธาร ลูกจะออกไปเดินเล่นกับพ่อไหม แถวนี้มีที่เที่ยวเยอะทีเดียว”

ต้นธารารีบเช็ดน้ำตาส่ายหน้า

“ไม่...พ่อจะไปก็ไปเถอะครับ ผมเหนื่อย อันที่จริงพ่อจะหาเรื่องสังสรรค์กับลุงอรุณล่ะสิ”

ชายหนุ่มว่า ท่านนายพลหัวเราะเสียงดัง

“พ่ออุตส่าห์ได้พบกับลุงของลูกก็ต้องฉลองเสียหน่อย แน่ใจนะว่าเจ้าไม่อยากไปกับพ่อ”

ต้นธาราส่ายหัว ท่านนายพลจึงหยิบเสื้อนอกขึ้น

“ลูกอยู่คนเดียวได้นะ พ่อไปไม่นานหรอก”

ผู้เป็นบุตรซบหน้าลงกับท่อนแขน รับรองว่าพ่อของเขาจะกลับมาก็คงปาไปสามสี่ทุ่มนั่นแหละ ต้นธาราส่งบิดาหน้าประตู แล้วเขากลับมานั่งมองแสงอาทิตย์สุดท้ายที่ลับหายไปในก้อนเมฆ ภายในห้องมืดสนิท เขาจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นก็เปิดโทรทัศน์ไว้เป็นเพื่อน ต้นธาราถอดเสื้อออก หยิบผ้าเช็ดตัวของทางโรงแรมพร้อมเสื้อคลุมก้าวเข้าไปในห้องน้ำอันกว้างขวาง ขณะที่เปิดฝักบัวล้างตัวพร้อมกับสระผมนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ต้นธารารีบล้างแชมพูออกจากหัว นึกสงสัยว่าบิดาลืมอะไรไว้ ทำไมถึงไม่เปิดประตูเข้ามาทั้งๆที่ไม่ได้ล๊อกไว้ หรือว่าจะเป็นรูมเซอร์วิสกัน เขาก็ไม่ได้สั่งอะไรไปนี่น่า ด้วยความสงสัยจึงออกจากห้องน้ำเปิดประตูโดยไม่มองใบหน้าแขก

“มีอะไร...ครั...”

ต้นธาราชะงัก มือที่เปิดประตูออกกว้างเมื่อเห็นแขกที่ยืนอยู่หน้าประตู ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง

“คุณ...”

หัวใจแทบหยุดเต้น ภาพตรงหน้าคือภาพลวงตาหรือ รอยยิ้มนั่นไม่เป็นจริงใช่ไหม...ขณะที่สับสนเขาก็ถูกดันตัวเข้าไปในห้องเสียแล้ว

“มาที่นี่ได้ไง”

ต้นธาราถอยกรูดมองชายหนุ่มที่ยืนขวางประตูเอาไว้ ใบหน้าคนมองยิ่งขาวเผือด

“ท่านนายพลอรุณเป็นคนบอกผมเอง...”

หลังจากล๊อกประตู ร่างสูงเดินมานั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยๆ ต้นธารากอดอกมองผู้กองภานุ อยากจะถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจแต่ในหัวก็สับสนต่อการปรากฏตัวของชายหนุ้ม

“คุณว่าที่คุณมาที่นี่ได้ก็เพราะลุงอรุณรึ...แล้ว...”

คนถามถามอย่าง งงงวย ภานุแค่นยิ้ม ไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆบนสีหน้าของชายหนุ่ม

“เขาอยากให้ผมมาหาคุณ...เอ่อ...ไม่ใช่ ผมอยากมาหาคุณเองแหละ ท่านเลยช่วย”

คนที่ยังลังเลเดินมานั่งตรงกันข้ามชายหนุ่ม

“มันจำเป็นด้วยหรือ?”

ต้นธาราถาม ภานุไม่ตอบอะไรกลับคืนมาเลย

“แล้วบาดแผลคุณล่ะ ...”

สายตาปรายไปที่ผ้าพัดแผลสีขาวสะอาด ภานุเหลือบมองมันเพียงครู่เดียว

“ไม่เป็นอะไรหรอก คุณอย่าห่วงเลย”

ต้นธารายิ้มเย็นยะเยือก

“ผมไม่ได้ห่วงคุณหรอก แค่ตามตามประสาคนเคยเป็นหมอแล้วก็เพื่อนร่วมงาน”

คำตอกกลับทำให้ภานุรู้สึกเจ็บแปลบ ทว่าเขายังคงท่าทีเป็นปกติ

“ครับ...แล้วอาการของคุณหมอต้นธาราล่ะครับเป็นอย่างไรบ้าง”

ภานุถามกลับบ้าง ด้วยท่าทางที่เป็นทางการมากกว่าคนที่เคยคุ้นเคย

“ผมรึ....ก็คงยังไม่ตาย...เหมือนกับคุณนั่นแหละ”

มันไม่ใช่สิ่งที่ต้นธาราอยากจะกล่าว หากปากมันก็พลั้งไปแล้ว

“แล้วคุณทราบข่าวเรื่องของผู้กองธีรเดชรึยังครับ”

ต้นธาราจ้องอย่างสงสัย

“มีอะไรล่ะ”

ต้นธาราตอบอย่างไว้ท่า เห็นแล้วสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่ภานุเสียยิ่งนัก

“ตอนที่เราปะทะกับกองโจร ผู้กองธีรเดชได้พลัดหลงกับหน่วยลาดตะเวน”

ได้ยินดังนั้นต้นธาราตกใจยิ่งนัก

“ท่านนายพลไม่เห็นบอก...ไหนว่าผู้กองรังสรรค์ จ่าแม้นแล้วก็คนอื่นๆปลอดภัยดีไง”

เขาว่า ดวงตาสั่นเทา ภานุจับจ้องท่าทางนั้นแล้วก็เอ่ยขึ้นมา

“ทางการคงอยากปิดบัง...ผู้กองธีรเดช เขาเป็นอะไรกับคุณกันแน่ครับ”

ภานุถามกับสิ่งที่ข้องใจมานาน เขาก็อยากรู้คำตอบนั้น ชายหนุ่มทราบเรื่องของต้นธารามาพอเลาๆแล้วจากคำบอกเล่าของนายพลอรุณที่กลับไปเยี่ยมเขาอีกครั้ง ต้นธารากัดปากตัวเอง เบือนหน้าหนี

“คุณเป็นใครกันแน่...”

ดวงตาสีน้ำตาลนั่นยิ่งเบือนหลบจากสายตาที่ไล่ถาม

“จะเป็นใคร หรือผู้กองธีเกี่ยวอะไรกับผม คุณก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยถาม”

เขายิ่งปกปิด ภานุยิ่งบังคับให้เอ่ย

“ดูเหมือนคุณจะมีอำนาจมากเหลือเกิน ถึงขนาดใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารลาดตะเวนชายแดนได้ ทั้งยังมีพ่อเป็นผู้ช่วยทูตทหาร”

ต้นธาราสบดวงตาแกร่งเขม็ง เขานั่งตัวตรง เกร็งพร้อมกับกำมือแน่น

“สิ่งที่คุณคิดปกปิดมีอะไรบ้างล่ะ”

ภานุไล่บี้ ชายหนุ่มเงียบไป รอฟังคำอธิบายแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ ดวงตามองอย่างเหินห่าง

“ผมไม่เคยปิดบัง...เรื่องของผมนั้นคุณไม่เคยถามแต่ผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่อธิบาย หากคุณมาที่นี่เพื่อต้องการคำตอบเรื่องที่ผมเป็นใครนั้น...ผมว่าคุณควรกลับไปดีกว่า อยู่นานอาจไม่ดีต่อคุณ”

ต้นธาราเอ่ยไล่ชายหนุ่ม ภานุกลับนั่งนิ่งเฉย

“ผมไม่กลับ...”

ดวงตากร้าวชืดชา สำหรับคุณหมอธารแล้วมันทำให้เสียใจยิ่งนักที่ไม่อาจลบทุกอย่างออกจากใจได้

“คุณยังมีธุระอะไรอีก ดึกๆป่านนี้มารบกวนการพักผ่อนของคนอื่น เขาเรียกว่าคนเสียมารยาทนะครับ”

ผู้กองภานุลุกขึ้น เดินมาใกล้ต้นธารา คุณหมอเห็นร่างสูงเข้าชิดใกล้จึงถอยหนี ร่างบอบบางก็รั้งเข้าหาอ้อมอกอบอุ่น

“ปล่อย...คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้อีก”

ต้นธาราดิ้น ภานุกำรอบข้อมือบางเอาไว้ ซบหน้ากับบ่า

“อะไรกัน...คนเคยๆกันอยู่แท้ๆเดี๋ยวนี้ขัดขืนหรือ”

คำพูดที่ทำเอาใบหน้าร้อนฉ่า คนที่ถูกกอดผลักร่างของภานุออก

“คุณเป็นคนน่ารังเกียจที่สุด....”

ต้นธาราด่า เจ็บที่อกคล้ายกับมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ภานุเดินเข้ามาใกล้ ดวงตานั่นปรากฏรอยประหลาด ทำให้ต้นธาราต้องถอยหลังเพื่อหลีกหนีร่างสูง คนที่เริ่มเหนื่อยเพราะออกแรงมากทรุดลง กุมหน้าอกตัวเองเอาไว้ ส่งผลให้ร่างสูงชะงัก

“หากเข้ามาใกล้ผม รับรองคุณต้องเสียใจแน่ๆ”

ระหว่างขู่นั่น ต้นธาราหน้าซีด แขนข้างที่ยังใช้การได้ของภานุเอื้อมมาหา เชยหน้าขาวซีดนั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย

“ต้องการหมอไหม”

ต้นธาราเกาะบ่าของภานุไว้เลิกขัดขืนเพราะเหนื่อยเหลือเกิน ต้นธาราส่ายหน้า เขานั่งรินเตียงก่อนจะล้มตัวนอน

“ขอบคุณ ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

น้ำเสียงอ่อนลง หลังมือหนาแตะหน้าผาก เหงื่อเล็กๆผุดเต็มดวงหน้างาม ไออุ่นจากผิวหนังถ่ายถอดให้ ต้นธารารับตาซึมซาบไออุ่นนั้น

“คุณเข้ารับการรักษาแล้วหรือ”

ภานุถามเสียงแหบแห้ง ต้นธาราเพียงพยักหน้าแทนคำตอบ นิ้วแข็งเกลี่ยเส้นผมที่ระหน้าผากออก สัมผัสแผ่วเบาจนอยากผ่อนคลาย

“คุณรีบกลับไปเถอะ ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”

คุณหมอร้อนรนใจ ร่างโปร่งดึงมืออกจากหน้าผาก ใบหน้าของผู้กองสลด สายตานั่น...ไม่อยากแยกห่าง ต้นธาราพยายามเก็บความรู้สึกที่ยังรักและห่วงใยของตัวเองที่มีต่อผู้กองหนุ่มเอาไว้ รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามลืมมันให้ได้แต่ไม่เคยสำเร็จเสียที

“เพราะอะไรถึงได้ไล่ผมนัก”

ภานุถามขึ้น ต้นธาราพยายามไม่สบตาอีกฝ่าย

“หากคุณอยู่ที่นี่ พ่อของผมคงไม่พอใจ”

ต้นธาราตอบแล้วก้มหน้างุด นิ้วแกร่งเชยมันขึ้น สายตาที่มองกันและกันนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก ภานุโน้มกายลงมาสัมผัสกับแก้มเย็นชืด จูบเบาๆ ต้นธารารับตาลงเพื่อรับสัมผัสนุ่มนวล ภานุถอนริมฝีปากออก ชายหนุ่มแกะผ้าคล้องแขนออก กอดใช้วงแขนโอบรัดร่างของต้นธาราให้เข้าหา แนบชิด ทั้งสองต่างกอดกันเอาไว้นิ่ง ฟังเสียงหัวใจเต้นแผ่วๆ

“ทำไมคุณเลือกมาทำงานที่ค่ายทุรกันการแห่งนี้ล่ะ”

ภานุเอ่ยถาม ขณะอ้อมแขนนั้นยังกอดรอบเอวบางเอาไว้ ต้นธาราเงียบ แต่เอ่ยขึ้นระหว่างซุกหน้าลงกับอกแกร่ง

“เหตุผลที่เลือกมาทำงานที่นี่ ส่วนหนึ่งอยากมาใกล้ชิดกับ...คุณ”

เขาตอบ ใบหน้าแดงก่ำ “แล้วอีกอย่างผมอยากมาช่วยชาวบ้านที่ห่างไกลหมอด้วย”

คุณหมอเสริมอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่คุณหมอไม่อาจเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าแกร่งได้

“ทำไมล่ะ...ทั้งคุณทั้งผมไม่น่าจะรู้จักกันเลยนี่”

ต้นธาราหัวเราะ

“นั่นสิ....คุณอาจจะลืม...และจำผมไม่ได้หรอก สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ผมไปทัศนศึกษาที่ค่ายทหารของพ่อ อันที่จริงผมก็เห็นเบื่อแล้วล่ะ ครั้งนั้นคุณกำลังซ้อมเดินสวนสนาม คุณเด่นเชียว ท่าทีขึงขังออกคำสั่งจนผมอดมองไม่ได้ แล้วผมกับคุณก็เจอกันอีกครั้งตอนสวนกัน คุณเดินซับเหงื่อผ่านขบวนทัศนศึกษา ผมพยายามเบียดเสียดออกไปหาสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ไดอารี่ผมหล่นออกนอกวง คุณเป็นคนเก็บมันขึ้นมาเองแล้วผมก็เห็นชื่อคุณจากการที่คุณถามหาเจ้าของไดอารี่ ไม่ทันได้ขอบคุณ คุณก็ไปเสียแล้ว”

“ผมไม่ยักจำได้”

ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเหตุการณ์นั่น ในที่สุดก็นึกออกหากยังโกหก

“แล้วคุณเคยสนใจผมด้วยเหรอครับ?”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามันราบเรียบ...นี่มันยิ่งกว่าเสียงที่แสดงอารมณ์ประชดประชันเสียอีก ชายหนุ่มหัวเราะลึกๆในลำคอ ศีรษะของต้นธาราซบอยู่กับบ่าหนา

“น้อยครั้งนะที่คุณจะอ่อนโยนแบบนี้ เพราะอะไรกันล่ะ”

แทนคำพูด กลีบปากอิ่มก็ถูกหยอกเหย้าคลอเคลีย ลมหายใจเบารดใบหน้า สร้างความหวั่นไหว

“ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน”

ภานุเอ่ย เขาสอดมือเข้าไปสาบเสื้อคลุมถอดมันออกช้าๆเผยผิวขาวสะอาด

“ที่ผมกับคุณทำแบบนี้มันดีแล้วหรือ”

ต้นธาราเอ่ย สายตาชำเหลืองมองมือใหญ่ลูบไหล่เบาๆ

“แล้วคิดว่ามันถูกต้องไหมล่ะ”

ใบหน้างามส่ายหน้าเป็นการบอกว่ามันไม่ถูกต้องเลยสำหรับความสัมพันธ์ที่ไม่สำคัญสำหรับอีกฝ่าย

“ที่ผ่านมาล่ะ เป็นเพราะอะไร”

มือที่ลูบไหล่บ่ามนชะงักไว้ ต้นธารากุมมือของภานุวางไว้กลางอกของชายหนุ่มแทน

“หากคิดทำแบบนี้ คุณควรทำกับคนที่รักเสียดีกว่า...คนที่เหมาะสมกับคุณจริงๆ”

ต้นธาราดึงสาบเสื้อคลุมปิดร่างขาวกระจ่าง มือของชายหนุ่มสัมผัสหัวใจที่ว่างเปล่า

“ที่ผ่านมา...เราทั้งคู่อาจจะทำผิด”

คุณหมอกล่าวดึงมือของตัวเองที่เกาะกุมภานุออก สายตาลดลงมือบางไออุ่นยังคงหลงเหลือ

“ผมรู้ว่าคุณแค้นเรื่องผู้กองนาคีถึงได้ทำเรื่องแบบนั้น แล้วผมก็ผิดที่ยอมคุณอย่าง่ายดาย ”

ภานุนั่งฟังอีกฝ่ายเอ่ยเงียบๆ เสี้ยวหน้าที่เศร้าหมอง ดวงตาอ่อนล้า

“ผมไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ ผมอยากเอ่ยขอโทษเรื่องผู้กองนาคี ผมอยากให้คุณอภัยแต่มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ผมคงโง่เกินไปที่คาดหวังว่าความสัมพันธ์ที่อยู่บนความเกลียดชังจะเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน”

ภานุเอื้อมมือไปหา หากค้างเอาไว้ รู้สึกว่าร่างที่อยู่ตรงหน้ามืดมน ต้นธาราไม่อาจรั้งหัวใจของตัวเองให้กลับคืนปกติ เขาพยายามผลักให้ผู้กองหนุ่มออกไปจากชีวิต สายตาของภานุเฝ้ามองความเจ็บปวดที่เจือรอบตัว...เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลบล้างความเจ็บปวดนั่น....บางอย่างที่ลบเลือนความปวดร้าวที่อยู่ในใจเขาด้วย ผู้กองหนุ่มเขยิบกายแนบชิด รั้งร่างตรงหน้าเข้ามาหา น้ำตาพลันไหลริน ใบหน้างามซบอยู่กับบ่า นิ้วแกร่งลูบเบาๆเป็นการปลอบโยน

“อย่าร้องไห้เลย...ผม...”

ชายหนุ่มพูดไม่ออกว่าเจ็บปวดใจ เสียงสะอื้นหลุดจากลำคอขาว นิ้วอันอบอุ่นเกลี่ยออกเบาๆ ดวงตาดำสนิทจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาล ทำอย่างไรที่จะห้ามน้ำตาที่ไหลหลั่งรินออกมาได้กัน ยิ่งคิด ยิ่งสับสน ชายหนุ่มรั้งร่างโปร่งให้เข้ามาหาจนกระทั่งเสียหลักล้มลงบนไปบนเตียง ร่างเบาโหวงคร่อมอยู่บนตัวผู้กองหนุ่ม นิ้วแกร่งเกลี่ยเส้นผมออกเผยดวงหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา ต้นธารามองริมฝีปากหนา ก่อนจะแนบริมฝีปากของตัวเองลงประกบกับอีกฝ่าย จูบนุ่มนวลค่อยเพิ่มระดับร้อนแรง มือหนายึดศีรษะได้รูปเอาไว้ หัวใจเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอก การกระทำทุกอย่างเริ่มเร็วเกินไป จนส่งให้ใจหยุดเต้นไม่ได้ หัวใจสั่นไหว ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ยิ่งแนบชิดมากเพียงใด ความหวังแสนหวานที่เรียกว่าความรักลอยอวล แม้จะห้ามใจไม่ให้แสดงอาการดีใจ ร่างกายกลับไม่ฟัง สติอันรางเลือนระลึกถึงแต่ความรักที่มีต่อชายผู้นี้เท่านั้น

“ไหวนะ...”

เสียงกระซิบเบาๆลมหายใจเป่ารดซอกหู ต้นธาราผงกหัวเมื่อชายหนุ่มแทรกกายเข้ามา เขายึดแขนแกร่งเอาไว้ ลมหายใจขาดห้วง ร่างแกร่งขยับเบาๆและหยุดเป็นพักๆเพื่อเฝ้ามองร่างบอบบางอย่างเป็นห่วง

“ให้ผมหยุดดีไหม”

เสียงแหบพร่าพยายามห้ามตัณหา ร่างภายใต้ขาวซีดขบริมฝีปากของตัวเองแน่น ไม่อยากให้ความอบอุ่นจางหาย ทว่าความเจ็บปวดค่อยแผ่ซ่านไปตามทั่วกายส่งผลให้ชายหนุ่มหยุดมือเอาไว้ ลมหายใจหอบสะท้อน ต้นธาราอ่อนแรงเฝ้ามองอย่างวิงวอน ไม่อาจหลอกตัวเองว่าไม่มีความปรารถนาอยู่ สายตานั่นทำให้ภานุอดใจไม่ไหว

“แน่ใจนะว่าเราจะทำต่อ....ผมห่วงคุณ”

ชายหนุ่มถาม แววตาสีน้ำตาลยังคงเว้าวอนจนชายหนุ่มห้ามใจไม่อยู่...เขารักเหลือเกิน...สิ่งที่เอ่อล้นขึ้นมาภายในอก คือความรู้สึกแอบซ่อนอยู่ลึกๆที่ภานุไม่อาจยอมรับ ร่างหนาทาบทับร่างคุณหมอเอาไว้ สองมือเกี่ยวกุมมือบางเอาไว้ซบหน้าลงบนแผ่นอกราบเรียบ เสียงหัวใจเต้นแผ่วๆ...ทำอย่างไรดี...เฝ้าแต่ถามตัวเองระหว่างที่กายกอดร่างบอบบาง...ที่เขาจะหลอกตัวเองได้ว่าไม่อาจมีใจให้แก่ต้นธารา พลิกร่างให้คว่ำลงสอดแทรกความปรารถนา....

ภายในห้องมีเพียงเสียงหอบกระเส่า ก่อนมันจะเงียบเสียงในที่สุดเมื่อวงแขนแกร่งกอดร่างบางเอาไว้พร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมร่างที่ชื้นไปด้วยเหงื่อและคราบอื่นๆ ดวงตาแกร่งมองเพดานชั่วครู่ก่อนรั้งร่างต้นธาราแนบชิดอก

...เขาควรหลับไปพร้อมกับต้นธาราเสียดีกว่า...ดวงตาแกร่งปิดลง ในความมืดมิด

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-07-2008 17:05:55

ท่านนายพลที่ไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าได้รับฟังเรื่องที่ภานุไปหาลูกชายของตนถึงกับเดือด ชายชราตบโต๊ะเสียงดัง


“ไอ้เวรนั่นมันยังกล้าไปหาธารอีกรึ อรุณเอ็งไปบอกที่อยู่ให้กับไอ้เลวนั่นได้อย่างไร”

ท่านพูดอ้อแอ้ นายพลพิภพกำลังมึนประกอบอาการโมโหทำให้สหายสนิทต้องบอกให้นั่งลง

“แกจะไปคัดค้านอะไรมันหนักหนาว้า...ถ้าหนูธารปฏิเสธ เจ้าผู้กองนั่นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

นายพลอรุณว่าอย่างสุขุม

“แต่...ทั้งชื่อเสียงเกียติยศของลูกข้าล่ะ”

นายพลพิภพนั่งลงอย่างกระแทก

“แล้วที่ห่วงน่ะ...ชื่อเสียงของลูกหรือว่าตัวเองกันแน่ ฉันก็เข้าใจนะ ว่าเราเป็นทหารยศสูง มีหน้าที่ตำแหน่งแต่มันสำคัญอะไรว้าในเมื่ออีกหน่อยเราก็ลงโลงแล้ว เรื่องของหนูธารไม่มีใครรู้หรอกแล้วเจ้าผุ้กองนั่นคงไม่ปากโป้งแน่”

มือเหี่ยวย่นกุมหน้าผาก

“ข้อนั้นก็เข้าใจอยู่...ตัวข้าน่ะไม่ห่วงหรอกสำหรับเรื่องชื่อเสียง แต่ที่ข้าโมโหก็คือมันกล้าไปทำร้ายใจของธารอีก มันน่าจะรู้ว่าธารนั้นเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

น้ำเสียงของท่านนายพลสิ้นหวัง นายพลอรุณมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงจันทร์รูปเคียวลอยเด่นฟ้า

“พิภพ แก่แล้วยังไม่เข้าใจอีกรึว่า เจ้าหนุ่มนั่นรักหนูธารจริงๆ เขาแค่มีทิฐิเท่านั้นแหละ”

นายพลพิภพไม่อาจรับได้เลย สำหรับตัวนายพลเองแม้ปรารถนาให้ลูกมีความสุข แต่ก็ไม่อยากให้คนที่เคยเกลียดชังลูกตัวเองมาก่อนนั่นรักกับลูกชายตัวเอง

“เราต้องหัดไว้ใจเขาบ้าง ตอนนี้อย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย”

“แต่กลัวอย่างเดียว ปมความแค้นและความเกลียดชัง มันจะพังทลายลงหรือ เจ้าผู้กองภานุนั่นจะรักธารได้จริงๆหรือ ตัวฉันก็แก่แล้ว อยากให้ใครสักคนดูแลธาร”

นายพลพิภพถือแก้วเหล้าคิดอย่างหวั่นใจ

“เรื่องนั้นปล่อยให้เขาสองคนเคลียร์กันเอง ความรักมันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ คนเราถ้าจะรักกันจริงๆไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลย สำหรับเรื่องความแค้นนั่น มันไม่เหลืออยู่ในใจของเจ้าหนุ่มแล้วล่ะ”

นายพลอรุณว่าจิบเหล้านอกอย่างดีอึกหนึ่ง นายพลพิภพถอนใจ...กับความรักที่อยากจะเข้าใจได้ถ่องแท้


------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 15-07-2008 19:26:17
อิอิ เหมือนจะกำลังพยามเปิดใจอยู่เลย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-07-2008 05:23:13
ในความเศร้า ก็ยังมีความสุขแอบอยู่นะถึงจะลึกมากก็ตาม  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 16-07-2008 10:46:39
มันหวานปนขม ยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูก  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 16-07-2008 11:18:52
อ่านบทอัศจรรย์แล้วทำไมมันยังเศร้าอยู่หวา

 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-07-2008 11:49:40
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: momo_2007 ที่ 17-07-2008 23:54:20
โอย เศร้าจังคับ VoV
รออ่านต่อคร๊าบ ไม่อยากคิดเลยแหะ ทั้งพ่อทั้งลุง กลับมาเจอสองคนนี้นอนกอดกัน
มันจะเกิดไรขึ้นหว่า อ๊ากก มาต่อไวๆน้าา
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 18-07-2008 10:24:02
ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-07-2008 11:38:34
แล้วหนูธารกับผู้กองจะสมหวังไหมเนี่ย

 o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-07-2008 16:49:26
ความรักคู่นี้มันยังอีกยาว 55
เศร้ากันไปก่อน  รอฟ้าหลังฝนๆ  ยังคงรออยู่  อิอิ

ต่อนะจ๊ะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 ห้วงรัก25 Estimated time of departure/ การจากลาของความรู้สึก

คิดว่าตัวเองอยู่โดดเดี่ยวแต่พอมองก็พบเห็นความอบอุ่น วงแขนที่โอบรัดช่วยคลายความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ตามซอกหลืบหัวใจ เสียงเข็มนาฬิกาดังติ๊กๆท่ามกลางความเงียบสงัด นอนฟังแล้วก็นับตามจังหวะเดิน พอถึงห้าทุ่ม ต้นธาราก็เป็นฝ่ายลุกขึ้น นั่งกุมขมับอยู่บนเตียง คนข้างเคียงนั่นยังหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากำลังหลับสนิท ชายหนุ่มลุกจากเตียงเดินไปชำระกายด้วยความรู้สึกอ่อนล้าเกาะตามร่างกาย เมื่อเสร็จต้นธารานั่งมองห้องนอนด้วยใจที่เฉยชา ไม่หลงเหลือความรู้สึกที่เรียกว่าความรักอยู่เลย เวลาที่ผ่านไปกลับเชื่องช้านัก ลมหายใจคล้ายกับจะหยุดลง ความหวั่นไหวที่เคยมีราวกับละลายหายไปกับละอองแห่งความสุข กลับมานั่งคิดซ้ำๆ สิ่งที่ยังเชื่อมอยู่คือความรู้สึกชิงชัง ตัวเองกลับเป็นฝ่ายหลงไปในความรู้สึก....อยากรู้เหตุผลของความอ่อนโยน...คำตอบมันก็อยู่ตรงหน้า...ก็แค่ความสงสาร...คิดแล้วก็เศร้าใจ เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดเบาๆบ่งบอกว่าคนที่อยู่บนเตียงนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว เพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็พบกับแววตาที่จ้องมองมาด้วยความลึกซึ้ง

“ตอนนี้ยังไม่เช้า....”

แม้จะพูดแบบนั้น คนที่พิงประตูห้องนอนก็รู้อยู่แล้ว ภานุสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทรุดนั่งลงกุมมือบางไว้ ต้นธารามองมือนั่นด้วยสายตาว่างเปล่า

“ลุงอรุณพูดอะไรกับคุณอีกไหนนอกจากเรื่องของผม”

คำพูดแผ่วเบา คล้ายเหน็ดเหนื่อย ภานุดึงศีรษะให้ซบกับอกตัวเองก่อนจะเอ่ย

“ท่านขอให้ผมดูแลคุณ”

ชายหนุ่มตอบ คำพูดดังสะท้อนในอก

“เพราะอะไร คิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบหรือไม่ก็เพราะความสงสารงั้นรึ”

ต้นธาราย้อน ภานุไม่ตอบ เหมือนย้ำว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นเป็นจริง เขากลับเป็นฝ่ายรั้งตัวออกมองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าสำนึกบุญคุณเหลือเกินที่ได้รับความห่วงใยจอมปลอม

“ขอบคุณ...สำหรับสิ่งที่คุณทำ...หากท่านนายพลสั่งให้คุณทำก็เลิกเถอะมันไม่จำเป็นจริงๆ”

คุณหมอลุกขึ้นเดินไปเกาะหน้าต่าง

“ลุงอรุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยแท้ๆทั้งๆที่ยังไม่ตายเสียหน่อย”

ต้นธาราเอ่ยอย่างหยันๆ ภานุมองดวงหน้าซ่อนในความมืด เสี้ยวหน้าหนึ่งสะท้อนแสงไฟจากเบื้องนอกมองเห็นความเศร้าเคลือบคลุม เขาเงียบฟังอีกฝ่ายพูดให้หมดเปลือก

“เอาเถอะ....ตอนนี้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน”

ภานุลุกขึ้น ชายหนุ่มวางมือไว้บนบ่ามองเสี้ยวหน้าอีกเสี้ยวที่ซ่อนภายใต้ความมืดมิด

“ตอนนี้อยากจะลืม...รู้สึกใจมันทรมานเหลือเกิน”

ความรู้สึกที่อยู่ในใจ ภานุรับมันเอาไว้ เขากอดต้นธาราแน่นคิดทำตามใจปรารถนาเสียที จนกระทั่งประตูห้องเคาะเบาๆพร้อมกับเสียงของท่านนายพลอรุณร้องเรียก

“ธาร...หลับหรือยังลูก”

ต้นธาราผละจากร่างของผู้กองหนุ่ม ร้อนรนใจ ภานุบีบมือแน่น พร้อมกับพยักเพยิดให้ไปเปิดประตู ขาแข็งๆจึงก้าวออกจากจุดที่ยื่นอยู่ ภานุเปิดไฟ เขาจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย ท่านนายพลอรุณและท่านนายพลพิภพเข้ามาในห้อง ต้นธาราหลบสายตาสองผู้อาวุโสทันที

“เป็นอย่างไรบ้างลูก”

นายพลรุณถามไถ่ ต้นธาราเงยหน้ายิ้มแบบเก้อๆให้ท่าน

“สบายดีครับ”

คุณหมอหนุ่มพูดจบรีบเลี่ยงนำน้ำดื่มมาให้ ไม่กล้ามองใบหน้าของบิดาแม้แต่น้อย

“สวัสดีครับท่าน”

ภานุก้าวออกจากห้องนอนด้วยสภาพที่เรียบร้อย ใบหน้านั้นเฉยสนิท นายพลทั้งสองสบตากัน สายตาคมกริบมองตรงไปยังร่างของผู้กองภานุ

“แกบังอาจมากที่กล้ามาถึงถ้ำเสือ”

ท่านนายพลพิภพว่า นายพลอรุณส่ายหน้า ต้นธารามองบิดาสลับกับคุณลุงไปมาอย่างขอความช่วยเหลือ

“ขออภัยที่ผมเข้ามาหาคุณต้นธาราโดยพละการ ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขาครับ”

ภานุตอบอย่างไม่เกรงกลัวสายตาแกร่งเผชิญกับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทูตทหารและนักรบ

“แกจะคุยอะไรกับเขาอีก ”

ท่านนายพลว่า ภานุยืนตัวตรง มองท่าทางที่อยู่ในอาการมึนเมา ต้นธาราเขยิบเข้ามาใกล้ภานุ

“เฮ้ย...พอแล้วน่าพิภพ แก่แล้วยังเอะอะโวยวายเหมือนคนหนุ่มๆไปได้”

ท่านนายพลอรุณเอ่ยปราม ส่งผลให้ให้นายพลพิภพต้องฮึ่มฮั่มอยู่ในลำคอ

“ไม่ต้องตกใจไปนะลุงกับพ่อรู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าหนุ่มจะมาหาหนูธาร”

ภานุและต้นธารามองหน้ากันก่อนจะเสไปทางอื่น นายพลอรุณเรียกมานั่งคุย ภานุเดินไปนั่งโซฟาอีกตัว ส่วนต้นธารานั้นเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่คุณลุงกับบิดาเห็นสภาพของตน เสียงพูดคุยก็ดังลอดเข้ามาในประตูที่เปิดแง้มเอาไว้

“เป็นอย่างไรบ้าง หนูธารพูดอะไรบ้างรึเปล่า”

ต้นธาราเดินย่องเงียบกริบแนบหลังพิงประตูฟังบทสนทนา

“คุณหมอต้นธาราไม่พูดอะไรเลยครับ”

ภานุตอบ จ้องใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของท่านนายพลอย่างสงสัย

“อะไรกัน...”

ท่านเอ่ยอย่างแปลกใจ ต้นธารานึกดีใจที่ภานุไม่ตอบอะไรให้มากความนัก

“แล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับธาร?”

นายพลพิภพถามขึ้นหลังจากที่นั่งจ้องเขม็งมานาน

“เกลียดรึเปล่า”

ท่านถามด้วยความจริงจัง ภานุมองผู้ใหญ่ทั้งสอง

“ผมไม่ได้เกลียด...หากท่านอยากจะทราบว่าผมรู้สึกเช่นไรกับคุณหมอต้นธาราล่ะก็ผมรู้สึกเฉยๆครับ”

คำตอบต้นธาราหลับตาลง ความรู้สึกที่เคยได้รับค่อยๆซึมหาย

“แล้วแกเข้ามายุ่งกับธารทำไม แกน่าจะรู้นี่ว่าธารมีเวลาไม่นานนัก”

เหมือนกับตกอยู่ในกรงขัง...ภานุคิด...ที่ต้องมานั่งให้นายพลระดับสูงมาสอบสวนเหมือนเป็นตัวตลก

“ผมทราบครับ”

ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ท่านนายพลอรุณถอนใจ

“สิ่งที่ฉันคิด...มันคงผิดสินะ?”

ท่านถามด้วยความปราณีหากสายตากลับไม่เป็นแบบนั้นเลย ภานุไม่ตอบถ้อยแถลงความใดๆ

“แกมันไอ้ชาติหมาจริงๆ แกมันไม่มีหัวใจแล้วแกมาเหยียบที่นี่อีกทำไม สมเพชธารนักรึ?...”

นายพลพิภพโกรธจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุ้บๆ นายพลอรุณก็เช่นกัน

“การกระทำของคุณทำให้ฉันไม่เข้าใจเลยผู้กอง....คุณอยากรู้ว่าต้นธาราอยู่ที่ไหนพอบอกคิดว่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง ผลสุดท้ายก็...”

ภานุก้มหน้าเล็กน้อยเมื่อท่านนายพลทอดเสียง

“มันเป็นศูนย์ครับ...ในเมื่อคุณหมอไม่ฟัง ผมก็จนปัญญาที่จะพูด”

โต๊ะสะเทือนพร้อมเสียงดังเมื่อท่านนายพลพิภพไม่อาจห้ามความโกรธได้

“ฉันอยากจะฆ่าแกกับมือนัก ....เอาเถอะ เรื่องมันจะเป็นไงก็ช่าง วันพรุ่งนี้ธารก็ต้องกลับไปยังกรุงเทพแล้ว เรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นมันจบตรงนี้ก็ดีแล้วล่ะ”

นายพลพิภพลุกขึ้น ท่านตกอยู่ในอาการโกรธจนไม่อยากฟังความใดๆ นายพลอรุณมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้กองภานุอย่างแคลงใจ

“แน่ใจรึ...ที่พูด แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”

ใจของท่านนายพลเย็นลง ภานุเหลือบมองประตูที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย เพื่อมองเงาร่างบางสะท้อนจากแสงไฟ ชายหนุ่มหันกลับมามองท่านผู้บังคับบัญชาการชั้นสูงของค่าย

“ผมไม่อาจพูดไปได้ครับ เกรงว่าจะเสียหายต่อคุณหมอ”

นายพลอรุณยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไรหรอก สำหรับฉัน”

ท่านว่าเช่นนั้นภานุจึงมองไปที่เงาที่สะท้อนแสงไฟอีกครั้ง คราวนี้มันหายไปแล้ว

“แน่ใจรึที่คุณพูดเรื่องที่ค้างคาใจกับธารเรียบร้อยแล้ว ธารไม่ฟังคุณจริงๆรึ”

ผู้กองหนุ่มเงียบกับคำถามที่ป้อนเข้ามาเรื่อยๆ

“ตามนั้นแหละครับ คุณหมอไม่อยากฟังเหตุผล”

นายพลอรุณเคาะโต๊ะ

“แล้วคิดว่าทำตามหน้าที่รึเปล่าล่ะ กับเรื่องนี้”

ท่านถามต่อ ภานุส่ายหน้าก่อนตอบเสียงหนักแน่น

“ไม่ครับ ผมไม่คิดว่ามันเป็นหน้าที่เลย”

เมื่อไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่แล้วเหตุผลจริงละมันคืออะไร ท่านนายพลคิดอย่างสับสน

“เอ่อ....แล้วรักธารรึเปล่าล่ะ”

ผู้ถูกถามนิ่งอึ้งไป ท่านนายพลรอเอาคำตอบ

“อย่างที่เคยตอบ ตอนนี้ผมรู้สึกเฉยๆครับ ผมไม่อาจรักเขาได้ในตอนนี้”

ท่านพยักหน้าอย่างเข้าใจในคำตอบ

“เป็นเพราะเรื่องของผู้กองนาคีหรือเปล่า”

ภานุจ้องหน้าท่านนายพล เขาไม่อาจตอบได้หรอก เพราะความรู้สึกเกลียดค่อยๆละลายลงเรื่อยๆโดยไม่ทันรู้ตัว

“ส่วนหนึ่งครับ”

ชายหนุ่มตอบกลางๆ เขาไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้นว่าตัวเองมีใจให้แก่ต้นธาราแล้ว ท่านนายพลขยับตัว ดื่มน้ำที่ต้นธารานำมาให้จนหมดแก้วคล้ายกับกระหาย ท่านหลับตาลงอย่างครุ่นคิด

“พรุ่งนี้ธารก็จะกลับแล้ว กลับไปที่กรุงเทพ อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาหาเขา เอ่อ...ส่วนเรื่องทุกอย่างนั้นขอให้ลืมเถอะ...ได้เวลากลับพอดี ฉันคงต้องขอลาเธอตรงนี้แหละ”

ภานุยกมือไหว้อำลา ท่านนายพลออกไปแล้ว ต้นธาราจึงออกจากที่ซ่อน ใบหน้าซีดเซียวมองดวงหน้าแกร่ง

“คุณคงกลับไปได้แล้วสินะ”

ต้นธารายิ้มฝืนๆ ภานุก็ไม่ยอมสบดวงตาสีน้ำตาลเช่นกัน

“พรุ่งนี้คุณคงกลับกรุงเทพฯ รักษาตัวด้วย”

ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้น ต้นธาราลุกขึ้นมาส่งถึงหน้าประตูห้อง มองผู้กองหนุ่มเดินจากไปไกล

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-07-2008 16:53:09
ภานุหยุดอยู่หน้าประตูโรงแรม ขณะที่ท่านนายพลพิภพมาขวางไว้ ดวงตาคมจ้องร่างสูง ท่านไม่พูดอะไร ภานุก็เข้าใจดีเมื่อท่านเดินหันหลังกลับมานั่งในล๊อบบี้ของโรงแรม

“ต่อไปนี้ขอให้คุณเลิกยุ่งกับชีวิตของต้นธาราเสียทีเถอะ เพื่อตัวเขาเองและเพื่อตัวคุณเอง ผมรู้ว่าเมื่อครู่คุณคงโกหก ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วคุณจะมาที่นี่ทำไม”

ภานุพิงเบาะฟังท่านนายพลเอ่ยเงียบๆ

“ครับ...ผมโกหก”

ภานุยอมรับ ท่านนายพลพิภพมองออกไปทางประตูโรงแรม ท่าทีโกรธขึ้งหายไป

“ธารยังมีอนาคต เขาไม่อาจจบแบบนี้...คงเข้าใจสินะ”

ผู้กองหนุ่มเข้าใจดี เขาถึงพยายามห่าง นับตั้งแต่วินาทีที่ได้รู้ว่าต้นธาราเป็นใครและเขาเป็นใครนั้น ชายหนุ่มพยายามที่จะไม่คิดอะไรให้มากนักและพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ให้ลึกที่สุด

“ดีแล้วล่ะ นายพลอรุณปรารถนาดีอยากให้คุณคืนดีและพูดให้เข้าใจกับต้นธาราแต่ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแม้ว่าเขาจะเจ็บปวดก็เถอะ”

ชายหนุ่มมองท่านนายพล ชายหนุ่มรู้อยู่เต็มอกว่าเขาต้องเสียต้นธาราไปหากไม่พูดอะไรเลย ชายหนุ่มเลือกไม่พูด เขามองใบหน้าทุกข์ใจของท่านนายพล

“ธารต้องเข้ารับการรักษามะเร็งในเม็ดเลือดขาว จึงไม่อยากให้เขากังวล หรือห่วงพะวงถ้ามันทำร้ายจิตใจของคุณผมก็ต้องขออภัย“

พูดจบท่านก็ลุกขึ้นโดยที่ไม่กล่าวลา ภานุมองเพดานโรงแรม หากมีตำแหน่งคนที่โง่ที่สุด เขาก็คงได้ตำแหน่งนั่นไป ชายหนุ่มต้องทำเหมือนไม่สนใจ ไม่ได้รักเพื่อหลอกตัวเอง เอาความชิงชังเข้ามาบดบังจิตใจ ปิดปากเงียบแม้จะรู้อยู่ว่าตัวเองก็ต้องการให้จบด้วยดี ท้ายสุดก็พบว่าเขาไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย ชายหนุ่มลุกขึ้น มองตัวโรงแรมเป็นครั้งสุดท้าย เดินคอตกเฝ้าแต่วนเวียนคิดถึงความอบอุ่นในค่ำคืนสุดท้าย

------------------------------------------------

ระหว่างที่รอคนรับใช้ยกกระเป๋าขึ้นบนบ้าน สายตาสีน้ำตาลมองบ้านที่ตัวเองไม่ได้มาเหยียบเสียนาน เขาก้าวเข้าไปในบ้านมองภาพถ่ายรวมของครอบครัว ชายหนุ่มแหงนหน้ามองภาพที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมารดาก่อนพึมพำเบาๆ

“ผมกลับมาแล้วครับ”

คุณหมอหนุ่มเกาะราวบันไดขัดเงาวับ พ่อให้เขากลับบ้านมาคนเดียวเพราะท่านจัดการธุระเรื่องการย้ายออกของต้นธารา ชายหนุ่มต้องกลับมานั่งเงียบๆอยู่ที่บ้านและโรงพยาบาล สำหรับต้นธารานั้น ความชืดชาอาจจะเหมาะกว่าก็ได้ แม่บ้านทำความสะอาดห้องไว้รอพร้อมอยู่แล้ว เขาจึงเข้าไปนอนบนเตียงอันกว้างใหญ่ สภาพบ้านที่ค่ายทุรกันดารแตกต่างจากที่นี่ลิบลับ นอนเกลือกกลิ้งสักพักจนเบื่อ เขาลุกขึ้น ในกระเป๋าเป้มีไดอารี่ที่เขายังพกอยู่ เปิดออกมาแล้วก็ปิดมันจนรูปถ่ายของผู้กองนาคีและผู้กองภานุร่วงหล่น มองภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้วเก็บคืนที่เดิม...มันจบลงแล้วสินะ...ถามตัวเองในใจแต่คำตอบไม่อยากได้รับ

“คุณหนูธารเจ้าคะ ได้เวลาทานอาหารแล้วค่ะ”

แม่บ้านเอ่ยเรียก ต้นธาราลุกขึ้นจากเตียง กองกระเป๋าและไดอารี่เอาไว้ แง้มประตูเปิดเพียงแค่นิดเดียว

“ขอโทษครับป้าสม ผมยังไม่กิน”

ป้าสม แม่บ้านที่อยู่รับใช้มานาน มองหน้าคุณหนูอย่างอ่อนใจ

“คุณหนูอดข้าวอดน้ำไม่ดีนะคะ ออกมาทานนิดๆหน่อยๆเถอะค่ะ ถือว่าป้าสมขอร้องก็ได้”

คุณหมอใจอ่อน เปิดประตูห้องออกไป ป้าสมยิ้มอย่างดีใจยิ่งนักในดวงตาของป้าสมน้ำตาซึม

“คุณหนูไม่อยู่บ้านนานเหลือเกิน วันนี้ป้าสมทำของชอบให้ตั้งหลายอย่างแน่ะ”

ป้าสมเอ่ยระหว่างประคองคุณหนูของเธอเอาไว้

“ขอบคุณครับ”

ต้นธาราว่า รอยยิ้มผุดขึ้นเพียงเล็กน้อย หลังจากทรุดนั่งลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารที่เขาชอบกิน ต้นธาราก็ตาโต

“ผมจะทานหมดหรือครับ”

รอยยิ้มแทบจะปริปรากฏอยู่บนสีหน้าของหญิงวัยกลางคน

“แหม...คุณหนูทานไม่หมดก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ป้าสมดีใจที่รู้ว่าคุณหนูจะกลับมาบ้านก็เลยทำเผื่อให้ทานเยอะๆ”

ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะตักกินนิดๆหน่อยๆ

“ฝีมือป้ายังอร่อยไม่เปลี่ยนเลย”

ชายหนุ่มชม ป้าสมยิ้มกว้างขึ้นอีก

“ถ้าอร่อยคุณหนูก็ทานเยอะๆเดี๋ยวสมจะไปเตรียมยาให้นะเจ้าคะ”

สมเดินอุ้ยอ้ายจากไป ปล่อยให้ต้นธาราอยู่ตามลำพัง ชายหนุ่มวางช้อนกับส้อมลง ทั้งๆที่เป็นของที่เคยชอบแต่ตอนนี้กลับกลืนไม่ลง เหมือนกับบางอย่างไม่อาจสงบได้

“ป้าสมครับ ผมออกไปที่สวนสักแป๊บนะครับ”

ชายหนุ่มตะโกนบอกแม่บ้าน ไม่ทันรอว่าสมจะตอบกลับมาเช่นไร ชายหนุ่มก็เดินปร๋อไปในสวนกว้างเสียแล้ว ต้นธาราเดินผ่านสระปลาคราฟ มีน้ำตกจำลองเล็กๆไหลเอื่อยๆ ใบไผ่เล็กๆปลิดปลิวลงผิวน้ำใสแจ๋ว เหล่าปลาสีสวยฮุบเหยื่อ ต้นธารามองมันอย่างเหม่อลอย สายลมที่พัดต้นไม้เสียดสี ผ่านต้นแก้ว ดอกขาวโพลนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ หลับตาลงแล้วคิดถึงขุนเขาที่เคยอยู่

...ครั้งหนึ่งเขาเคยก้าวออกจากบ้านหลังนี้ด้วยทิฐิ บ้านที่เคยอบอุ่น....

ต้นธาราหลับตาลง นึกถึงหน้าของมารดาที่ตายไป มารดาที่ใจดี แล้วต่อมาเขาก็ทิฐิทำให้พ่อเครียดที่เขาอยากตามหาคนที่เขารัก...การกระทำที่เอาแต่ใจนั่น คงส่งผลให้เขาเจ็บปวดแบบนี้สินะ...เสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน ต้นธารารู้โดยทันทีว่าบิดาคงมาถึงแล้ว เขาจึงรีบลุกออกจากศาลาแล้วนิ่งเพราะคนที่มานั้นกลับไม่ใช่คุณพ่อ หากเป็นชายแปลกหน้าแต่งชุดทหารต่างชาติ ยศเป็นถึงพันเอกเสียด้วย

“ท่านนายพลพิภพอยู่ไหมครับ”

เสียงถามเป็นภาษาอังกฤษสุภาพ

“ไม่...เอ่อ...ยังไม่กลับจากกรมฯครับเชิญเข้ามาข้างในก่อนสิ”

ต้นธาราเดินนำหน้า ชายแปลกหน้าถาม

“คุณคือ....”

ต้นธาราชายตามองเพียงเล็กน้อย

“ผมคือบุตรชายของท่านแล้วคุณ?....”

ชายแปลกหน้าก้มหัวก่อนตอบ

“กระผมพันเอกชาน เนนท่านนายพลสั่งให้ผมมารอพบท่านที่นี่ครับ ผมมีธุระด่วนกับท่าน”

ชาน เนน ตอบ ประตูอีกด้านเปิดออก ชายหนุ่มในชุดทหารยิ้มให้ ต้นธาราชะงักเท้าที่จะพาแขกต่างบ้านต่างเมืองเข้าบ้าน

“นั่น....”

เขามองเส้นผมสีดำหวีเรียบแปล้ จมูกเป็นสัน ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาจ้องต้นธาราเขม็ง ชายสองคนโต้ตอบกันเป็นภาษาพม่า คนที่ยืนฟังชักสับสนเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนไทยชัดๆ

“ทำให้คุณตกใจเสียแล้ว ผม พันโทวันชัย เป็นผู้ช่วยฑูตทหารของพลเอกอดิศักดิ์”

ต้นธารายิ้มให้ เขาเคยได้ยินชื่อของพลเอกอดิศักดิ์เพราะพ่อเคยทำงานร่วมกัน

“ไม่ทราบว่าท่านนาพลพิภพอยู่รึเปล่าครับ?...”

วันชัยกวาดตามองรอบบ้าน

“ยังไม่กลับ”

ต้นธาราเอ่ย ก่อนเชิญแขกนั่งรอในห้องรับรอง เขาเดินไปหาป้าสมและบอกให้นำน้ำไปเสิร์ฟให้แก่แขก ต้นธารามองเห็นรถของบิดาแล่นเข้ามาจอด ท่านนายพลดูรีบร้อน เข้ามาในบ้านต้นธาราก็ออกไปรับและบอกมีแขกมารอ ท่านนายพลพิภพส่งกระเป๋าให้

“มีเรื่องอะไรกันครับ”

เขาถามด้วยความสงสัย บิดาก็ไม่ตอบอะไร ต้นธาราลองชะเง้อคอมองภายในห้องรับรองอย่างรวดเร็ว เขาก็รู้ว่าเสียมารยาท ชายหนุ่มนำกระเป๋าไปเก็บให้บิดาแต่รู้สึกหน้ามืดเสียก่อนจึงทำกระเป๋าหล่น เอกสารกระจายเกลื่อน เขาเห็นรายงานเป็นภาษาอังกฤษล้วนเกี่ยวธีรเดชและข่าวกองโจร ดวงตาพร่าพยายามมองรายละเอียดแต่ท้ายที่สุดต้นธาราก็ล้มลง เสียงกรีดร้องของป้าสมเป็นสิ่งเดียวที่ต้นธาราได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย....

------------------------------------------------

จบภาค ห้วงรักเสน่หา

ไม่ต้องตกใจนะทุกคน  ภาคสองมาต่อแน่นอน  ไม่มีรอนาน 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจของทุกคนที่ให้น้องเรนน้า
น้องเรนรีบส่งภาคสองมาให้อย่างด่วนเลย  ขนาดต้องรีบส่งต้นฉบับนิยายให้สำนักพิมพ์นะเนี่ย
น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-07-2008 03:24:34
 :m4: ภาคแรกจบไปแล้ว รอภาคสอง มันก็ยังหวานปนขม้หมือนเดิม ฟ้าหลังฝนของพิม คงอีกนาน  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 19-07-2008 03:25:10
จบภาคแรกแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

สงสัยภาคสองได้ลุ้นกันน้ำตาท่วมจอแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 19-07-2008 10:42:25
กาซิก กาซิก

สงสารหมอธาร
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 19-07-2008 21:31:17
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสกว่าค่า  :a1: ภาค2 เตรียมฉลองเปิดตัวหนูไผ่กับคุณผู้กองธีเป็นตัวเอกอย่างเป็นทางการ :mc4:





หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-07-2008 22:23:49
จบภาคแรกไปด้วยความเศร้า

ภาคสองจะเป็นยังไงหนอ ?
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 20-07-2008 17:52:57
 :m4:
ตามมาทันซะที...อ่านไปลุ้นไป เดี๋ยวรักเดี๋ยวแค้น ตบจูบๆๆ เครียดๆๆๆ  :serius2:

ขอร่วมแสดงความคิดเห็นซักนิดละกัน...สิ่งที่เห็นเด่นชัดคงเป็นอย่างที่ andreas
ได้แนะนำไปแล้วในเรื่องความสมจริง การใช้ระดับของภาษาให้เหมาะสมกับเหตุการณ์
น้ำหนักของคำ การใช้คำซ้ำ ๆ การเรียกชื่อตัวละครบ่อย ๆ การเรียงโครงสร้างประโยค
ทำให้สงสัยและไม่แน่ใจว่าคนแต่งเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า... :m23:

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงเรื่องหิมพานต์ ลักษณะการเขียนคล้าย ๆ กันที่การใช้ภาษา...
ยังไงก็เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ +1 สำหรับเนื้อเรื่องที่แปลกและน่าสนใจคับ  :a2:

ปล. สำหรับนิยายชายรักชาย...ไม่อยากให้หลาย ๆ เรื่องมุ่งเน้นให้ตัวละครชายทุกคน
ในเรื่องจะต้องรักผู้ชายด้วยกันซะทั้งหมด...น่าจะขึ้นกับความเหมาะสมของเรื่องดีกว่า
 :L1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 20-07-2008 21:25:57
:m4:
ตามมาทันซะที...อ่านไปลุ้นไป เดี๋ยวรักเดี๋ยวแค้น ตบจูบๆๆ เครียดๆๆๆ  :serius2:

ขอบคุณที่เข้ามาติดตามค่ะ ^_^ (เรื่องนี้นี่ เขียนในสไตล์สนองNeed คนเขียนค่ะ)


ขอร่วมแสดงความคิดเห็นซักนิดละกัน...สิ่งที่เห็นเด่นชัดคงเป็นอย่างที่ andreas
ได้แนะนำไปแล้วในเรื่องความสมจริง การใช้ระดับของภาษาให้เหมาะสมกับเหตุการณ์
น้ำหนักของคำ การใช้คำซ้ำ ๆ การเรียกชื่อตัวละครบ่อย ๆ การเรียงโครงสร้างประโยค
ทำให้สงสัยและไม่แน่ใจว่าคนแต่งเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า... :m23: 

ครึ่งดีครึ่งบ้าค่ะ :sad2: ...เปล่าค่ะ ไทยแท้ค่ะ แต่ติดนิสัยเรียงโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษมาจากวิชา English Writing มั้งคะ ในเวอร์ชั่นที่ลงในนี้ จะเป็นเวอร์ชั่นแรกที่เขียนค่ะ ถ้าเป็นเวอร์ชั่นรีไรท์ รูปประโยคมันดีขึ้นกว่านี้ค่ะ  :oni1: ขอบคุณมากนะคะที่แนะนำเรนมาอีกครั้ง :L2:



อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงเรื่องหิมพานต์ ลักษณะการเขียนคล้าย ๆ กันที่การใช้ภาษา...
ยังไงก็เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ +1 สำหรับเนื้อเรื่องที่แปลกและน่าสนใจคับ  :a2:


หิมพานต์ ยังไม่อ่านค่ะ ^^"  (แต่ก็ไม่ใช่ไม่ชอบแนวพีเรียดนะคะ ชอบค่ะ เขียนด้วยเรื่องหนึ่ง พีเรียดดราม่า ที่ไม่ได้อ่านเพราะไม่มีเวลาตะเวนตามบอร์ดเพื่ออ่านเพราะแค่เรียน+ ลงนิยาย+ปั่นต้นฉบับให้ทันเดธไลน์สนพ.ช่วงนี้ก็อ่วมแล้ว :a6: คงต้องไปรอขอแลกนิยายเรนกับพี่นัทในงานสัปดาห์หนังสือเอา )


ปล. สำหรับนิยายชายรักชาย...ไม่อยากให้หลาย ๆ เรื่องมุ่งเน้นให้ตัวละครชายทุกคน
ในเรื่องจะต้องรักผู้ชายด้วยกันซะทั้งหมด...น่าจะขึ้นกับความเหมาะสมของเรื่องดีกว่า
 :L1: :L2: :L1:

ปกตินี่ก็ไม่ได้เน้นเฉพาะชายกับชายล้วนๆนะคะ เป็นเฉพาะเรื่องกับพลอตที่เรนกำหนดมากกว่า ในบางเรื่อง เรนก็มีตัวเอกเป็นหญิงมาเด่นคู่นายเอกนะคะ แต่เฉพาะเรื่องนี้ที่เน้น ชาย+ชายเพราะเรนกำหนดพลอตมาค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็น+โพสต์ให้กำลังใจนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่า :L1:


ปล.ขอบคุณพี่พิมด้วยนะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 21-07-2008 01:04:11
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม จบภาคแรกไปละ

แต่ก็ยังอุ่นใจครับ ที่รู้ว่าผู้กองภานุรักคุณหมอแล้ว

เป็นกำลังใจให้ครับผม จะรออ่านภาคต่อไปนะครับผม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 21-07-2008 10:41:24
เข้ามารอภาค 2 อย่างใจจดใจจ่อนะค่ะ   :a1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 21-07-2008 12:38:51
ยังคงติดตามเป็นกำลังใจให้เสมอครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-07-2008 22:04:32
ขอบคุณสำหรับทุกเม้นต์จ้า  :L2:  :L2:
ต่อภาคสองกันเลยดีกว่า  ไม่ชอบรอนาน  อิอิ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ (Fire of the Desire)
 
สิ่งที่ไม่เคยรู้จักเลยนั่นคือความรัก เพราะชีวิตของตนถูกผูกพันกับสิ่งที่เรียกว่าอุดมการณ์
 เกียรติยศและความภาคภูมิพังทลายลง เมื่อความรักเข้ามาแทรกตรงกลาง และผู้ที่รักนั้นกลับเป็นศัตรูของฝ่ายตน
น้ำใจที่อีกฝ่ายแสดงออกไม่อาจปฏิเสธรับ...แต่ทั้งๆที่รู้ว่าเมื่อเอื้อมมือเข้าหา ตนจะสิ้นความเป็นตัวเองทั้งมวล ทั้งที่รู้แบบนั้นก็ไม่อาจตัดใจ
 
------------------------------------------------
 
ธีรเดช นายทหารหนุ่มผู้อ่อนโยน แตกกลุ่มกับหน่วยลาดตระเวนค้นหาเส้นทางส่งยาเสพย์ติด เมื่อถูกปะทะกับกลุ่มกองโจรกะเหรี่ยง  โชคชะตาหรือพรมลิขิตชักพาให้พบเจอ กิ่งไผ่ บุตรชายเพียงคนเดียวของหัวหน้ากองโจรกู้แผ่นดิน เวียงนวรัฐะ ทั้งยังยึดถือในเกียรติศักดิ์และรักในแผ่นดินยิ่งกว่าสิ่งใด
 
เงื่อนงำที่พบเจอคือ กองกำลังกู้แผ่นดินเวียงนวรัฐะ ถูกใช้เป็นฐานขนส่งยาเสพย์ติด ธีรเดชจึงต้องเข้ามาคุ้มครองกิ่งไผ่กลับฐานเพื่อกันไว้เป็นพยาน
 
ความรักก่อเกิดเมื่อเห็นน้ำใจของอีกฝ่าย แต่ตัวเองรู้ดีว่าไม่อาจรับความรักนั้น...เพราะหากเอื้อมมือเข้าหา ตนจะสิ้นความเป็นตัวเอง...ทั้งที่รู้แบบนั้นก็มิอาจตัดใจ



--------------------------------------------

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V274EBBP0&Autoplay=1
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-07-2008 22:10:14
เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 1 Fate/ พบเจอบนพรหมลิขิต
 
สายตาของธีรเดชจับจ้องยังบาดแผลที่ร่างตรงหน้าได้รับ ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะอุ้มร่างทอดนอนอยู่บนโขดหิน ปลดสัมภาระและปืนวางไว้ใกล้ๆต้นไม้ใหญ่ พยายามตบดวงหน้าขาวซีดเรียกสติ
 
“คุณ...คุณ...”
 
ชายหนุ่มเกลี่ยเส้นผมยุ่งเหยิงออกจากวงหน้า ช้อนร่างขึ้นแนบอก ริมฝีปากเริ่มซีดเปลือกตาบางยังคงปิดสนิทจนหวั่นใจ
 
“อย่าเป็นอะไรไปนะ”
 
ชายหนุ่มรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก ร่างกายเย็นเฉียบพร้อมรอยขีดข่วนตามร่างกายและใบหน้าช้ำเป็นรอยเขียว ธีรเดชสงสัยว่าใครหนอช่างกล้ารุมทำร้ายคนๆนี้ ปลดกระดุมเสื้อเขียวลายพรางออกคลุมกายที่เสื้อขาดวิ่น อยากก่อกองไฟต้านลมหนาวแต่ใจหวั่นว่าฝ่ายข้าศึกอาจจับที่พักได้ ฟังเสียงเงียบสงัด หากไม่ทำอะไรสักอย่างทั้งเขาและร่างนี้คงมีอันเป็นไป ขั้นแรกธีรเดชจัดแจงที่นอนพยายามหาที่สูงให้พ้นจากที่ชื้นอับ พยายามสุมใบไม้เป็นที่รองนอน วางร่างสิ้นสติลง แล้วตรวจดูว่าร่างสิ้นสตินั้นมีอาการที่น่าเป็นห่วงอะไรบ้าง ลมหายใจเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่ายังมีสติอยู่ พยายามบีบนวดเฟ้นไปตามแขนขา จนกระทั่งเปลือกตาสั่นไหว อยู่ในสติอันรางเลือน กิ่งไผ่ไอเบาๆ มือหนาอังหน้าผากและเห็นว่าอุณหภูมิสูงขึ้นก็วิตก
 
“ไม่เป็นอะไรนะ”
 
ดวงตาเบิกกว้างเหลียวลอกแลก ลุกขึ้นพรวดจนธีรเดชตกใจ ภาษาพม่าพ่นออกมาเป็นชุด เต็มไปด้วยความกลัวและระแวดระวัง
 
“ใจเย็นๆ...ผมไม่ได้มาร้าย จำผมได้ไหมที่เราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว”
 
ธีรเดชพยายามพูดเสียงอ่อนๆปลอบประโลมร่างที่แตกตื่น กิ่งไผ่พยายามตั้งสติ ในหัวปวดหนึบ ดวงตาพร่าพราย เขาคิดว่าทางไอ้ทรยศคงจับเขาได้แล้ว น้ำเสียงเป็นภาษาไทยคุ้นหู เปิดตามองให้ดี ใช้สติที่เหลืออยู่เพิ่งมองใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแล้วตื่นตะลึง
 
“....”
 
ร่างตรงหน้าพูดไม่ออกเมื่อเห็นเป็นหนุ่มทหารจากไทยที่เขาเคยพบในคราบที่เป็นผู้หญิง! ใบหน้าแกร่งจ้องราวกับอยากจะถาม
 
 
“ไม่รู้ว่าคุณเข้าใจภาษาไทยไหม ก็น่าจะเข้าใจนะ....ผมพบคุณอยู่ริมธาร ผมจะไม่ถามอะไรทั้งนั้นในตอนนี้เพราะคุณยังป่วยอยู่และผมก็จนปัญญาที่จะสื่อสารกับคุณว่าแต่ว่าคุณสปีกอิงลิชพอได้ไหมผมก็งูๆปลาๆเหมือนกันแหละ”
 
กิ่งไผ่ปิดปากสนิท มองรอยยิ้มเป็นมิตร
 
“เอ่อ...ดูเหมือนจะยังไม่ไว้วางใจสินะ ผมก็หลงป่าถูกไล่ล่าจากคนของคุณละมั้ง....แล้วคุณละ...”
 
พยายามสร้างมิตรภาพทั้งๆที่เขาก็ยังไม่ไว้ใจและระแวง ร่างตรงหน้าเงียบกริบแล้วเอาแต่ไอ
 
“นอนเถอะ...คืนนี้เดี๋ยวผมจะอยู่ดูคุณเอง คุณไข้ขึ้น”
 
ดวงหน้าสวยบึ้งพยายามลุกขึ้นแต่ก็เซล้มจนได้
 
“อย่าดึงดันเลยน่า....นอนพักซะ”
 
น้ำเสียงเข้มดึงแขนบอบบางให้นอนลง จัดแจงร่างกายให้อบอุ่น กิ่งไผ่รู้สึกทรมานเหลือเกินเพราะหายใจไม่ออก ทั้งปวดเมื่อยไปทั่วกาย ทั้งอ่อนล้าจนไร้เรี่ยวแรง กายสั่นเทิ้มขดเข้าหากัน
 
“หนาวหรือ...”
 
ธีรเดชมองแล้วทำตัวไม่ถูก เขาค้นหาของในเป้สนามที่ติดมา หยิบยาแก้ไข้ป้อนเข้าปากซีด หยิบกระติกน้ำกรอกน้ำหยดสุดท้ายตาม กิ่งไผ่กลืนเม็ดยาขมๆลงคออย่างง่ายดาย
 
“หิวไหม เอ่อ...Hungryนะ...”
 
 ชายหนุ่มพยายามพูดสื่อสารโดยใช้ภาษาใบ้ประกอบ กิ่งไผ่ก็ยังคงทำบื้อใบ้ไม่ยอมตอบคำถามของนายทหารหนุ่ม
 
“เอาเถอะ...ยังไงผมก็ออกไปไม่ได้อยู่ดีตอนนี้ ทนถึงวันพรุ่งนี้เช้าก่อนนะแล้วผมจะออกไปหาอะไรให้กิน”
 
มองดวงตาที่ปิดลง ลมยามค่ำพัดเบาๆ ชายหนุ่มห่อไหล่ดึงผ้าขาวม้าที่เคยเป็นของร่างที่นอนหลับออกคลุมกายทับอีกชั้น ส่วนตัวเองก็นั่งขัดสมาธิโดยมีเพียงเสื้อยืดสีเขียวกับกางเกงเท่านั้น สายตามองความมืดรายรอบกาย ยังดีที่แสงจันทร์ส่องสว่างพอมองเห็นเงาตะคุ่มๆอยู่บ้าง ดวงตาคมที่ตรวจตราความปลอดภัยก่อนหยุดลงตรงร่างหลับใหลมันสั่นเทิ้มขึ้นเรื่อยๆฟันก็กระทบกันกึกๆ ธีรเดชพยายามหาเสื้อผ้าที่พอจะให้ความอบอุ่นแก่เพื่อนร่วมชะตา....แต่มันก็หมดไปเสียแล้ว เสื้อนอกลายพรางกลายเป็นผ้าห่มคลุมกายกับผ้าขาวม้าทับให้อีกครั้ง เขาลุกขึ้นพยายามมองหาสิ่งของที่จะพอมอบความอบอุ่นให้แก่ร่างกายที่สั่นเทิ้ม จะโกยใบไม้มาตอนนี้ก็ไม่ได้อีก จะจุดไฟยิ่งแล้วใหญ่...ธีรเดชกลัวว่าฝ่ายกองโจรที่ไล่ล่าเขานั้นจะจับตำแหน่งที่พักได้ ชายหนุ่มหมดปัญญาได้แต่ประคองร่างที่นอนสั่น ใช้วงแขนสอดประคองให้แผ่นหลังพิงอก เป็นการถ่ายทอดความอบอุ่นให้
 
“คงไม่หนาวแล้วสินะ”
 
เอ่ยกระซิบริมหู ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ในวงแขนเริ่มสงบ นอนหลับสนิท ดวงตาแกร่งแหงนมองฟ้า ต้นไม้สูงมืดทะมึนปิดท้องฟ้าเพียงครึ่ง ราตรีรอบกายแฝงกลิ่นอายความน่าหวาดกลัว เสียงนกระวังไพรร้องคู้ แว่วๆไกลๆได้ยินเสียงโขลงช้าง ธีรเดชกลัวว่าเจ้าช้างป่าจะผ่านยังที่พัก เขาไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดีได้แต่ปล่อยเอาไว้และกอดร่างที่พิงแผ่นอนหลับสนิท ความรู้สึกอีกอย่างที่แทรกลงจากใจนั่นคือความเหงา....อยากรู้ว่าทางฝั่งพรรคพวกได้กลับถึงไทยโดยปลอดภัยหรือไม่ ชะตาชีวิตต่อไปจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มอาจไม่รู้จริงๆ
 
------------------------------------------------
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-07-2008 22:11:31
รุ่งอรุณดวงตาของกิ่งไผ่ลืมตา ตอนนี้เขายังลุกไม่ไหวได้แต่นอนนิ่งๆ ชันกายขึ้นเล็กน้อยโดยข่มอาการปวดศีรษะเอาไว้ ตกใจที่ชายหนุ่มหายไป แต่สายตาเหลือบมองปืนและเสื้อนอกคลุมกายก็โล่งอก
 
“จะทำยังไงดี...”
 
กิ่งไผ่ขบคิด เพราะเขาดันโชคร้ายเหลือเกินมาเจอกับ คนที่รู้จักที่เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบพานอีกครั้ง เสียงฝีเท้าดังย่ำใบไม้แห้งที่ปลิดปลิวจากขั้วดังเข้ามาใกล้ ร่างของกิ่งไผ่ล้มนอนอย่างรวดเร็ว เขาต้องสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป...ตอนนี้เขาต้องให้คนๆนี้ช่วย ไม่รู้ว่าจะหวังพึ่งได้มากแค่ไหนแต่เขาจำเป็นต้องทำ ร่างกายยังอ่อนแอเกินไป ธีรเดชกลับมาด้วยท่าทีอิดโรยในมือของชายหนุ่มถือเครือกล้วยป่าและลูกหว้าเต็มกระเป๋า กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำมาเต็มกระบอก ชายหนุ่มมองดูของกินที่เขาออกเดินหาตั้งแต่เช้าได้มาเพียงแค่นี้ แบ่งออกเป็นสองกองแล้วเข้าไปปลุกร่างที่ยังนอนหลับอยู่
 
“กินข้าว...”
 
กิ่งไผ่ยังไม่ตื่น เขายังแสร้งทำเป็นหลับจนกระทั่งมือหนาตบหน้าเบาๆนั่นแหละจึงลืมตาอย่างลำบากยากเย็น  เขาเอนหลังพิงต้นไม้มองดูอาหารอย่างสงสาร...ถ้าเขาออกไปหาคงได้มาเยอะไม่น้อย มือแกร่งปลิดกล้วยออกจาดเครือ แรกๆกิ่งไผ่ก็ทานไม่ลงเพราะอาการเจ็บคอแต่สีหน้าของธีรเดชก็คะยั้นคะยอให้กิน
 
“กินเสียหน่อยนะ จะได้แข็งแรง”
 
เปลือกกล้วยปอกยื่นให้ ธีรเดชจึงจัดการกับปากท้องของตัวเองบ้าง กิ่งไผ่กัดมันกินเล็กน้อย รสชาติหวานแต่เสียดายที่มันมีเมล็ดมาก กินไปได้เพียงเล็กน้อยก็หยุด
 
“กินต่อสิ อิ่มแล้วหรือ”
 
ชายหนุ่มวางผลกล้วยที่กินเข้าไปได้ครึ่งลูกลงแล้วเอามืออังหน้าผาก ส่งน้ำให้ ดวงตาของกิ่งไผ่มองอย่างเต็มไปด้วยคำถามหลากหลาย
 
“จริงสิ เช้านี้คุณต้องเช็ดตัวนะ ทานผลไม้ให้หมดซะ น่าเสียดายที่ผมหาฟ้าทะลายโจรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาการไข้ของคุณคงลดลงมากกว่านี้”
 
หยิบผลกล้วยที่กินค้างจ่อปากแห้งผาก ดวงหน้าซีดเบือนหนี
 
“น่า....”
 
รอยยิ้มอ่อนโยนเผยออก ทำให้กิ่งไผ่หยิบผลกล้วยขึ้นมากินครึ่งลูก ร่างของนายทหารหนุ่มหยิบกระบอกไม้ไผ่มาจ่อปาก
 
“ผมอยากให้คุณกินเนื้อบ้างแต่ผมก็ไม่รู้จักที่ทางป่าแถวนี้ดีเลย”
 
ธีรเดชบ่นอยู่คนเดียว จ้องหน้าสวยที่ซ่อนภายใต้กลุ่มผม
 
“ตอนนี้ยังไม่ไว้วางใจผมก็ไม่เป็นไร ...”
 
ท่าทีหวาดๆเป็นสิ่งที่กิ่งไผ่สร้างขึ้น เขาอยากทดสอบความน่าไว้วางใจของชายผู้นี้
 
“เอ่อ...ไม่รู้ว่าผมเข้าใจอะไรผิดไปไหม คุณเป็นคนช่วยผมกับหน่วยของผมใช่หรือเปล่า”
 
พูดพร่ำเองอยู่ฝ่ายเดียว กิ่งไผ่ดึงเสื้อนอกติดกลิ่นอายของชายหนุ่มปิดหน้าเหมือนกับไม่อยากพูดไม่อยากกล่าวด้วย
 
“นอนพักเถอะครับ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะเกิดอันตราย ผมไปสืบดูที่ทางรอบๆนี้มาแล้ว ปลอดภัยพอควร”
 
ดวงตาหลับลงอย่างเนือยๆ ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆก่อนยกศีรษะพาดกับตักเขา
 
“แบบนี้นอนสบายกว่านะ”
 
พูดอธิบายเมื่อดวงตาสีดำลืมขึ้น มองอย่างมีคำถาม กิ่งไผ่หลับตาลงอีกครั้ง....คราวนี้รู้สึกไว้วางใจจริงๆ สายตาของหนุ่มไทยมองเพื่อนร่วมชะตากรรม กลีบปากแห้งผากนั้นครั้งหนึ่งเคยประทับจูบ...แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหตุผลที่จะกระทำนั่นคือต้องการให้ปล่อย...เพียงพบเจอครั้งแรกก็ติดตาตรึงใจ...อีกครั้งที่พบเจอตอนเป็นหญิงชาวบ้าน ธีรเดชชักสับสนว่าเธอเคยมีพี่น้องหรือญาติสนิทหรือเปล่า ขบคิดไปก็ข้องใจเสียเปล่าได้แต่ทอดตามองดวงหน้าสวยซ่อนความแกร่งเอาไว้
 
------------------------------------------------
 
ตื่นขึ้นมาเมื่อบ่ายคล้อย กิ่งไผ่รู้สึกว่าตัวเบาหวิว มองดวงหน้าแกร่งที่พิงต้นไม้หลับพักผ่อน เสียงแกรกกรากของสายลมพัดใบไม้แห้ง  ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ศีรษะพาดอยู่บนตัก สับสน...กับการช่วยเหลือ
 
“Why do you help me?”
 
กระซิบถามในลำคอ น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับร้องไห้  รู้สึกว่าผิวแก้มร้อนผ่าว
 
“อือ...”
 
ธีรเดชคราง ชายหนุ่มลืมตาตื่นก็พบกับดวงตาใสแจ๋วดุจน้ำค้างยามเช้าจ้องมองไม่กระพริบ
 
“หิว?”
 
เอ่ยถามก่อนจะวางยกศีรษะวางบนเป้สนามอย่างนุ่มนวล กิ่งไผ่ส่ายหน้าชี้ไปที่กระบอกน้ำ
 
“อ้อ อยากดื่มน้ำ”
 
ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายยอมไว้วางใจ เขาหยิบกระติกน้ำดื่มที่ใส่ด่างทับทิมฆ่าเชื้อส่งให้แทน
 
“ดื่มน้ำจากกระติกนี้นะ อันนั่นเอาไว้ใช้”
 
ชายหนุ่มเปิดฝากระติก คนป่วยหยิบไปดื่มอย่างกระหาย ธีรเดชโล่งใจที่อีกฝ่ายนั้นพอจะหยิบจับของหนักๆได้บางแล้ว ยิ้มนิดๆยามที่น้ำล้นออกจากปาก
 
“ค่อยๆดื่มก็ได้ เดี๋ยวได้สำลักตายพอดี”
 
เอื้อมมือเช็ดให้ กิ่งไผ่ส่งกระติกคืนสีหน้าซีดแจ่มใสขึ้นเป็นกองแต่แล้วต้องสะดุ้งยามผิวกายเย็นเฉียบแนบแก้มอุ่นผิดปกติ ดวงตาอ่อนโยนผิดวิสัยท่าทีกร้าวสบดวงตาที่ไม่เคยลงให้ใคร ริมฝีปากแกร่งก็เอื้อยเอ่ย
 
“วันนี้ผมจะลองจุดไฟดู อาจจะเสี่ยงสักหน่อย”
 
นายทหารหนุ่มจากไทยชะงักมือยามที่มือเรียวปัดออกอย่างไม่ชอบใจนัก ดวงหน้าเรียวหันหนี ธีรเดชถอนใจเบาๆ
 
“ผมจะออกไปหาอาหารมาเพิ่ม คุณอยู่คนเดียวได้ไหม?”
 
บอกกล่าวก่อนจัดแจงกระติกน้ำและผลไม้พร้อมลูกหว้าวางไว้ใกล้ๆพอที่ร่างที่ล้มป่วยเอื้อมถึง ร่างชายหนุ่มลุกขึ้น กิ่งไผ่มองแผ่นหลังแกร่งก่อนจะเดินหายไปไกล ใจของกิ่งไผ่หายวาบ ...กลัวทว่าน้ำเสียงอ่อนๆนั่นยังสถิตอยู่ภายในใจ ยันกายลุกขึ้นทานกล้วยป่าไปสามลูกกับลูกหว้าจนทั้งมือและขอบปากกลายเป็นสีม่วง มองเห็นน้ำใจจริงๆที่นายทหารไทยมีให้
 
...ทั้งๆที่จะฆ่าก็ได้ หรือผ่านไปอย่างไม่สนใจ ปล่อยให้ตายก็ดีแล้วแท้ๆ ทำไมยังดึงมาเป็นตัวถ่วงทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะหักหลังหรือเปล่า...ชายหนุ่มมั่นใจเรื่องอะไร หรือเป็นเพราะไว้ใจที่เคยพบกันมาก่อน กิ่งไผ่คิด มองเปลือกกล้วยที่กองรวมกันไว้เป็นระเบียบสายตาก็สะดุดกับผ้าขาวม้า ผู้เป็นเจ้าของจำได้ทันทีว่ามันเป็นของเขา...เพราะอะไรถึงเก็บไว้ ขบคิดอย่างไม่เข้าใจนักยิ่งอยู่ใกล้ เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นเขาไม่อาจหาข้อแก้ตัวได้...เงียบไว้ก่อน เป็นสิ่งเดียวที่คิดขึ้นมาได้ในสถานการณ์เช่นนี้
 
------------------------------------------------
 
ผ่านไปสองชั่วโมงร่างสูงยังไม่กลับ กิ่งไผ่นั้นหวั่นใจและอยากออกตาม เขารู้ตัวเองดี หากออกตามต้อนนี้คงไม่ได้กลับมาที่พักแห้งนี้อีกแน่ได้แต่นั่งรอ...รอจนใกล้ค่ำรอบกายค่อยๆมืดสนิท ชะเง้อชะแง้มองหาชายหนุ่มกลับไม่พบเห็นแม้แต่เงา กิ่งไผ่ปิดปากไอโขลกๆ อาการเจ็บคอกำเริบ มือป่ายเปะหากระติกน้ำ ยกกลั้วคอ ดื่มจนหมดแล้ววางมันลง ยังต้องการอีกแต่ต้องเก็บงำความต้องการเอาไว้ มองหานายทหารจากไทยเสียก่อน หากไม่พบเจอเราควรทำอย่างไรดี....ถามตัวเองแล้วให้คำตอบไม่ได้...หวั่นอยู่ในอก มือกำเสื้อนอกลายพรางแน่น ความรู้สึกอยากจะอาเจียนก่อเกิด ร่างโปร่งได้แต่ล้มตัวนอนอีกครา....นอกเหนือจากความกลัวเป็นความหวั่นวิตกที่รอคอย ‘คน’ ที่คิดว่าไม่ควรไว้วางใจ
 
------------------------------------------------
 
ธีรเดชนั้นดีใจเป็นนักหนาที่สามารถล่าไก่ป่ามาได้ เขาโชคดีจริงๆที่เดินหาของป่าเรื่อยๆแล้วเจอรอยของมัน ตามจนเจอจึงดักมันและจับเชือด มือหนาหิ้วคอไก่แน่นิ่ง เหน็บมีดที่เช็ดเลือดกับใบไม้เข้าเอว อีกมือหอบกล้วยและสะพายน้ำดื่มกับกระบอกใส่ลูกหว้าพะรุงพะรัง ตอนที่ออกหาอาหารเห็นท้องฟ้าค่อยๆหม่นแสงก็ร้อนใจอยากกลับไปหาร่างที่รออยู่ จึงได้เร่งมือ สุดท้ายก็ไม่ทัน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าออกเดินและคิดกังวลไปต่างๆนานาว่าคนที่เอาแต่นอนนิ่งและไร้พละกำลังนั่นจะอยู่อย่างเดียวดายได้เช่นไรท่ามกลางความมืดและความหิวโหย เท้าที่ใส่รองเท้าคอมแบตรีบเร่งฝีเท้าจนใกล้เขตที่พัก ชายหนุ่มไม่ลืมตรวจดูความเรียบร้อยเหมือนทุกๆครั้ง เห็นร่างนอนแน่นิ่งก็ใจหาย ก้าวขายาวๆวางของในมือและบ่าลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ปราดเข้าไปดูร่างที่หลับสนิท เขย่าเบาๆเรียกสติด้วยความกลัวว่าจะเกิดอันตราย ทันทีดวงตากระจ่างลืมตื่นก็ลุกขึ้นพรวดและกอดเขาไว้อย่างรวดเร็ว ธีรเดชได้แต่อึ้งตัวแข็งที่วงแขนบอบบางกอดราวกับกลัว ชายหนุ่มลังเล ทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกกอดแบบนี้ สุดท้ายก็กอดตอบ...แล้วปลอบประโลมท่ามกลางความมืดมืดของพงไพร
 
 
------------------------------------------------

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 21-07-2008 23:05:24
 :serius2:
คู่เก่ายังไม่เคลียร์...ส่งคู่ใหม่มาบีบหัวใจกันอีกแล้ว... :o12:
คู่แรก สุขภาพ ความแค้น กับฐานะ
คู่นี้ อยู่กันคนละฝั่งเลย...เวนกำของคนอ่านนนน
 :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 21-07-2008 23:55:22
มาแล้วภาคสองงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง สงสัยงานนี้น้ำตาท่วมจอแน่ๆ  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 22-07-2008 15:08:00
น้ำตาจะไหล

บีบหัวใจกันเหลือเกินนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 23-07-2008 12:40:27
ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 23-07-2008 13:11:14
ติดขอบจอเหมือนเดิมค่ะ  :a1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 23-07-2008 15:23:52
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

กลับมาแล้วครับผม ไปเที่ยวมาอะครับ

มาเม้นให้ตั้งกะมะวานแล้ว แต่ดันเน็ตหลุดอีก

มาอีกวันดันเว็บล่ม มันเป็นอะไรกันครับ

ผมจะเม้นให้ มีอุปสรรคเยอะจังครับผม

วันนี้ได้เม้นซะทีครับผม เป็นกำลังใจให้เสมอครับ

รออ่านตอนต่อไปครับผม

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-07-2008 20:03:06
ยังบีบหัวใจอีกนาน  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-07-2008 15:11:08
ต่อให้ก่อนน้า  จะไม่ได้มาต่ออีกประมาณ 1 อาทิตย์  ติดธุระค้าบบ  ขออภัย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 2 Trust/ ไว้วางใจ
 
แสงดาวฉายบนโค้งขอบฟ้า ธีรเดชมองด้วยความง่วงงุน วงแขนสัมผัสเรือนผมยาวคลุมแผ่นหลังฟังเสียงลมหายใจสงบปนกับเสียงไอเบาๆ หลังจากที่เขากลับมาช้าก็เจอการต้อนรับแบบนี้ ชายหนุ่มตกใจไปช่วยขณะได้แต่กอดร่างที่อยู่ในวงแขนเอาไว้แน่น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ร่างของคนที่เขาช่วยเหลือไว้ก็นอนอยู่แบบนั้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งธีรเดชแน่ใจว่าร่างที่อยู่ในวงแขนหลับสนิทจริงๆจึงกล้าวางร่างลง จัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อย มองไก่ป่าที่จับมาได้ก่อนงมือถอนขน วันนี้เขาต้องก่อกองไฟถึงจะเสี่ยงก็ต้องยอมล่ะ นายทหารหนุ่มค้นหาของในเป้สนาม นำไฟแช็คขึ้นมาเตรียมก่อกองไฟเล็กๆขึ้นมากองหนึ่ง กวาดใบไม้แห้งสุมกับกิ่งไม้จุดไฟสว่างวาบ ควันเล็กๆลอยอ้อยอิ่งสู่ท้องฟ้า เปลวไฟสีส้มขับไล่ความมืดสนิท ไอร้อนทำให้ร่างกายอุ่นวาบ ชายหนุ่มประคองร่างของคนป่วยให้เข้ามาใกล้แสงไฟ  ดวงหน้าขาวซีดสะท้อนมันเลื่อม ธีรเดชยิ้ม...อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มือวางแตะดวงหน้าขาวซีดเบาๆก่อนคลายออก ลุกขึ้นหยิบตัวไก่ล้างน้ำเพื่อปิ้งเก็บเอาไว้ ท่าทีวุ่นวายประกอบกับกลิ่นคาวเลือดทำให้กิ่งไผ่ลืมตาขึ้นมา มองแผ่นหลังของทหารไทย ซึ่งชายหนุ่มกำลังใช้มีดหั่นตัวไก่ป่าเป็นชิ้นๆยัดใส่กระบอกไม้ไผ่โรยเกลือที่ติดมาตั้งกระบอกขึ้นผิงไฟจนได้ยินเสียงฉี่ๆปนกับกลิ่นหอม กิ่งไผ่กระพริบตาถี่ๆ ชายหนุ่มหันมายิ้มให้
 
“ตื่นแล้วรึ หิวหรือเปล่าล่ะ”
 
ธีรเดชล้างมือ เช็ดมือเปียกๆกับกางเกงลายพรางเดินเข้ามาดูร่างที่ลืมตาขึ้น
 
“ตอนนี้ไก่ยังไม่สุข กินกล้วยไปก่อนนะ”
 
ดึงเครือกล้วยเข้ามาหาตัว ใบหน้ากิ่งไผ่บอกปฏิเสธ
 
“ไม่หิวหรือ”
 
ดวงตามองไปทางกระบอกน้ำ ชายหนุ่มก็เข้าใจ หยิบกระติกน้ำสีเขียวขึ้นมาประคองศีรษะเอาไว้ ปากอิ่มแนบกับกระติกน้ำ
 
“อีกไหม”
 
มือเขย่าน้ำค่อนกระติก คนดื่มส่ายหน้า ล้มตัวนอนต่อ ตอนนี้กิ่งไผ่รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเลย ธีรเดชลุกขึ้น ชายหนุ่มนั่งมองเสี้ยวหน้าซ่อนใต้เสื้อลายพราง ดวงตาสีดำสุกใสมองควันไฟพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าอย่างเป็นห่วง
 
“มีอะไรหรือเปล่า?”
 
ชายหนุ่มมองดวงตาที่จ้องเขม็ง ธีรเดชขยับเข้ามาใกล้ๆเมื่อริมฝีปากของคนป่วยขยับช้าๆ
 
“Fire…”
 
กิ่งไผ่เปล่งเสียงสั้นๆ  ธีรเดชเลิกคิ้วอย่างแปลกใจปนกับความยินดีที่คนๆนี้พูดภาษาที่พอจะสื่อสารได้รู้เรื่อง
 
“ไม่ต้องห่วง...เอ่อ...อ่า...Don’t worry”
 
ชายหนุ่มไม่ถนัดพูดภาษาอังกฤษเลย...หากแต่ส่งภาษาไปกระท่อนกระแท่น
 
“ผมจัดการดีแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
 
ธีรเดชอยากจะถามอีกสักหลายๆคำถามแต่ร่างของกิ่งไผ่ก็หลับลง  ชายหนุ่มได้แต่นิ่งงัน เดินไปดูไก่ที่อบไว้ในกระบอก
 
กิ่งไผ่รู้สึกเสียใจที่ไม่น่าแสดงไปเลยว่าสามารถสื่อภาษากลางที่สามารถพูดกันรู้เรื่องได้ แต่ทว่าความไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นสิ่งที่ให้ตัดสินใจยอมพูดคุยกับนายทหารไทย ร่างโปร่งยันกายลุกขึ้น ธีรเดชที่กำลังนำกระบอกไก่อบออกจากกองไฟนั้นหันมายิ้มซื่อๆอีกครั้ง
 
“นอนไม่หลับรึ”
 
นายทหารหนุ่มทำท่าทางภาษาใบ้เก้ๆกังๆเพราะนึกคำพูดในหัวไม่ออก กิ่งไผ่มองก่อนจะตอบ
 
“No….and you?”
 
ธีรเดชโบกมือเป็นการให้คำตอบ ชายหนุ่มยิ้มแย้มก่อนจะเอ่ยประกอบ
 
“ไม่หรอก ผมว่าคุณนอนพักต่อดีกว่าไข้จะได้ลด หรือว่าหิวกัน?”
 
นายทหารหนุ่มยินดีที่ตัวเองจะไม่ได้อยู่เงียบๆตามที่เคยคิดไว้เมื่ออดีตแม่สาวกลิ่นเอื้องยอมเปิดใจคุยด้วย  ดวงตาดำขลับจ้องริมฝีปากขยับ
 
“hungry?”
 
ชายหนุ่มถามซ้ำหากก็ได้รับการปฏิเสธ จนคนถามอ่อนใจพร้อมกับนึกเดาว่าคนๆนี้ต้องการอะไร
 
“My name is Kingpai ...It’s meaning in your language”
 
กิ่งไผ่เอ่ยรัวเร็วจนธีรเดชอ้าปากค้าง
 
“อะ...เอ่อ...”
 
ไม่ทันได้ตอบอะไรกลับ ฝ่ายที่แนะนำตัวเองก็เงียบกริบ ปิดปากไม่ยอบพูดต่อทิ้งไว้ให้ธีรเดชบื้อใบ้อยู่คนเดียว นึกทึ่งเมื่อได้ยินภาษาสากลรัวเร็วเหมือนชำนาญเหลือเกิน
 
“Nice to meet you…”
 
ชายหนุ่มตอบกลับอย่างกระท่อนกระแท่น กำแพงขวางกั้นดูจะเบาบางลงบ้าง ดวงหน้าที่เปิดเผยว่าเชื่อมั่นเพียงครึ่งทำให้นายทหารหนุ่มจากไทยคลายใจ สายตาที่เฝ้ามองอบอุ่น
 
“นอนเถอะ...sleep”
 
สั่งเสียงนุ่มหู กิ่งไผ่ส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเคยทั้งๆที่เปลือกตาแทบจะปิดแล่มิปิดแล่
 
“คุณเป็นคนป่วย คุณต้องนอน”
 
นายทหารหนุ่มเอ่ยเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ ลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมกาย กิ่งไผ่จำต้องนอนอย่างว่างง่ายเพราะรู้ตัวดีว่าตอนนี้สุขภาพของตนไม่สู้อำนวยเท่าไรนัก พอล้มตัวนอนได้ ธีรเดชก็จัดการโหมไฟที่เริ่มราเชื้อจนลุกโชนสว่างยิ่งกว่าเดิม นั่งขัดสมาธิตบยุง ไล่แมลงบินตอมหน้าตอมตา ขอบตาดำคล้ำเพราะอดนอนกับเหนื่อยล้า ยกนิ้วคลึงกระบอกตาเบาๆก่อนลดลง เสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ วันนี้ก็เป็นวันที่เปลี่ยนแปลงอีกขั้นหนึ่ง...วันพรุ่งนี้คงจะเป็นวันที่ดี ในเมื่อฝ่ายชายหนุ่มจากพงไพรไว้วางใจเขาแล้ว สักวันก็คงจะเล่าสิ่งที่ปกปิดให้ฟัง
 
“กิ่งไผ่รึ...ชื่อแปลกทีเดียว”
 
หลับตาลงนึกถึงลำต้นไผ่ตั้งตรงประดับด้วยกิ่งใบเรียวแหลม อดทน แม้จะเป็นชาวป่าเมืองเถื่อนแต่ก็พูดภาษาสากลคล่องทีเดียว ใครเป็นคนสอนพวกกองโจรนี่กัน? ชายหนุ่มคิดเรื่อยเปื่อยเมื่ออยู่ลำพัง จริงสิ...พม่าเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษนี่นะ คงจะได้เรียนจากโรงเรียนหรือเปล่านะ? ชายหนุ่มมองผิวขาวเป็นสีเหลืองนวล ลำแขนเล็กๆที่โผล่ออกจากชายเสื้อคลุมกายราวกับไม่มีแรง ดวงหน้าที่งามเกินชายรับกับเรือนผมสลวย...สมกับเป็นนางไม้สถิตในลำนำป่าเขามากกว่าเป็นมนุษย์ พอมองแบบนี้แล้วก็คิดถึงต้นธาราขึ้นมาทันที ป่านนี้ธารจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ คงได้พบกับภานุแล้วกระมัง ดวงตายังจำภาพติดตรึงของคุณหมอผู้ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาคนที่ตัวเองรัก ชายหนุ่มอิจฉาผู้กองภานุและนึกโกรธเคือง มองเห็นขอบฟ้าแล้วนึกถึงหน้าฝน เป็นห่วงสุขภาพที่ต้นธารา หากได้แต่เฝ้าอธิฐานอยู่ในใจว่าให้หายป่วยโดยเร็ว มองดวงหน้าของกิ่งไผ่ แล้วเบือนหนี...คนที่เขาเคยรักเสมอมากลับตกไปอยู่ในมือของคนอื่น คิดแล้วเศร้าใจเหลือเกิน ชายหนุ่มซบหน้ากับเข่า...เขาคงจะซื่อบื้อเกินไปจริงๆ แทนที่จะรั้งต้นธาราเอาไว้และกันผู้กองภานุออกไปจากชีวิตต้นธาราเสีย เขาคงไม่เจ็บปวดแบบนี้
 
ชายหนุ่มกำมือแน่นกับคืนที่สายลมหนาวกระหน่ำ  กิ่งไผ่นั้นเฝ้ามองท่าทีของนายทหารหนุ่มจากไทย ไม่เข้าใจว่าทำไมดวงหน้าแกร่งจึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด อยากเอ่ยถามก็ได้แต่นิ่ง คนที่เอ่ยอ่อนโยนอยู่ตลอดไม่น่าจะเป็นแบบนี้ กิ่งไผ่หันกายหนีไม่อยากมองเห็นความเจ็บช้ำ เฝ้าครุ่นคิดกับท่าทีอยู่เงียบๆก่อนลุกขึ้น พบร่างของนายทหารหนุ่มหลับสนิท กิ่งไผ่จึงลุกขึ้นวางเสื้อนอกคลุมให้ ถึงจะแกร่งหรืออดทนขนาดไหนแต่ก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ร่างกายย่อมต้องล้าเป็นธรรมดา
 
 ธีรเดชนั้นถูกดึงให้นอนราบอยู่บนตักของร่างบาง...เขาก็เเค่ตอบแทนที่นายทหารจากไทยเคยให้ยืมตักแทนหมอน... สายตาสุกใสทอดมองไปในความมืดรอบกาย มือคว้าปืนแนบข้างกายเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ทั่วทั้งป่าเงียบกริบ โชยกลิ่นอายความน่าสะพรึงกลัว กิ่งไผ่คุ้นเคยกับแถบนี้ดี จึงไม่พะวงมากนัก  มองท้องฟ้าไร้จันทร์กับควันไฟลอยกรุ่น หวังว่าพวกนั้นคงไม่เห็นควันไฟนะ กังวลใจกับฝ่ายของพวกทรยศว่าจะตามล่าเขาทัน
กิ่งไผ่คิดถึงบิดากับเจ้าขิ่น ตอนที่หลบหนีเขาแยกทางกับบิดาโดยให้เจ้าขิ่นดูแลท่านนายพลแห่งเวียงนวรัฐะ เขาใช้ตัวเองเป็นตัวล่อให้พวกทรยศไล่ตามจนหนีหัวซุกหัวซุนแล้วล้มหมดแรงอยู่ข้างลำธาร คิดถึงสีหน้าของเจ้ากฤษดาทีไร เขาก็นึกเดือดทุกครา มือกำปืนแน่น บีบจนเจ็บก็ยังไม่คลายแรง เคียดแค้นที่กองกำลังตัวเองต้องแตกพ่าย...สักวันที่เขาจะไปชิงคืนมา ดวงหน้าเชิดขึ้นพร้อมกับแววประกายกล้า...ดั่งดวงตะวันฉายเพลิงร้อนแรงไม่อาจหาสิ่งใดมาดับลงได้
 
-----------------------------------------------
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-07-2008 15:13:53
เสียงเคาะบางสิ่งบางอย่างดังเบาๆเข้าหูของคนที่หลับสนิท ธีรเดชเงี่ยหูฟังก่อนลืมตาตื่น ชายหนุ่มตกใจที่พบกับแสงอาทิตย์จับขอบฟ้า มองหาร่างที่น่าจะหลับอยู่กลับพบนั่งอยู่หน้าเครือกล้วยป่าเครือใหญ่พร้อมกับมีดเคาะรังผึ้ง ธีรเดชมองหน้าคนป่วยที่เมื่อก่อนหน้านั้นลุกจากเตียงแทบไม่ได้ นายทหารหนุ่มลุกขึ้นอย่างงงงัน กิ่งไผ่ช้อนตามองด้วยใบหน้าเรียบเฉย นิ้วเรียวชี้มาทางผลไม้และรังผึ้ง พร้อมกับพยักเผยิดหน้าไปทางกระบอกไม้ไผ่อบไก่ป่าเย็นชืด เจ้าของดวงตาที่มองอย่างไม่เข้าใจนักเดินเข้ามาใกล้พร้อมทรุดนั่งลง
 
“มินกะลาบา ”
 
กิ่งไผ่ทักทายเป็นภาษาพม่าต่อท้ายด้วยการไอ ธีรเดชพูดอะไรไม่ออก
 
“คุณออกไปหามา?”
 
ชายหนุ่มถามเป็นภาษาใบ้ แรกๆกิ่งไผ่ก็เอียงคอ ท้ายที่สุดก็เข้าใจ ศีรษะได้รูปผงกตอบรับ
 
“อะซาอะซา”
 
กิ่งไผ่ว่าพร้อมชี้มือมายังของที่ตัวเองหามาได้ ธีรเดชเลิกคิ้ว
 
“หมายถึงกล้วย...Banana?หรือว่าHoney?”
 
ธีรเดชถามด้วยเสียงชื่อๆ กิ่งไผ่ยิ้มด้วยริมฝีปากแตกเป็นขุย
 
“Food”
 
นายทหารหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำตอบ
 
“แล้วคุณกินยัง...Eat น่ะ”
 
กิ่งไผ่ผงกหัวตอบรับ ตอบเสร็จก็ลุกขึ้นด้วยอาการมึน ธีรเดชประคับประคองให้กลับไปยังที่นอน
 
“ไม่น่าออกแรงเลย เรื่องอาหารหรืออะซาอะซาอะไรของคุณให้ผมไปหาเองก็ได้แท้ๆ”
 
ธีรเดชเอ่ยปากพึมพัม คนที่อกแรงเยอะไปนั้นปิดจากลงทันทีที่หลังกระทบพื้นแข็งๆ อาการคลื่นเหียนก็ปรากฏ ธีรเดชเห็นแล้วก็นึกโทษตัวเองที่เผลอหลับไป
 
“ทานยาก่อนเถอะครับ” ชายหนุ่มส่งแผงยาที่เหลือไม่กี่เม็ดให้ กิ่งไผ่หอบหายใจแรง ปิดปากที่รู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ ดวงตาลายมองเห็นเเต่ภาพหมุนติ้ว
 
“เสร็จแล้วก็นอนพัก คุณเป็นไข้หนักตั้งสองวันใครใช้ให้ออกแรงเยอะกัน”ธีรเดชเอ่ยตำหนิ คนที่ได้ยินน้ำเสียงนั้นทำหน้าจ๋อย
 
“ผมก็ไม่น่าหลับยามเลย มันน่าฆ่าทิ้งนัก”
 
ธีรเดชตำหนิตัวเอง ห่วงชีวิตคนป่วยมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก
 
“แต่ก็ขอบคุณที่อุตส่าห์ฝืนสังขารออกไปหาเสบียงมาให้...Thank”
 
ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณก่อนตรวจของที่กิ่งไผ่หามาได้ กิ่งไผ่ยิ้มน้อยๆกับคำขอบคุณ
 
------------------------------------------------
 
แสงไฟในห้องพยาบาลสว่างวาบ นายพลพิภพนั้นกำมือแน่นเพราะได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับอาการของบุตรชาย ท่านแทบหัวใจวายเมื่อเห็นร่างของลูกชายล้มสลบไสลไม่ได้สติ โชคดีที่พันเอกชาน เนนกับพันโทวันชัยช่วยเหลือ เรียกรถพยาบาลพร้อมกับปฐมพบาบาลเบื้องต้นให้ เลือดกำเดาไหลออกจากจมูก อาบหน้าขาวเป็นสีแดงเข้ม พอส่งเข้าโรงพยาบาลที่ต้นธาราเข้ารับการรักษา แพทย์จัดการช่วยเหลือคนไข้อย่างเร่งด่วน
 
“ท่านครับ...น่าจะพักสักหน่อยนะครับ”
 
พันโทวันชัยกล่าว ขณะรอคอยผล
 
“น่าสงสารนะครับที่บุตรชายของท่านนายพลป่วยด้วยโรคร้าย”
 
พันเอกชาน เนนเอ่ยกระซิบ
 
“ธารป่วยด้วยโรคลูคีเมียมานานแล้วแต่เขายังดื้อดึงไม่ยอมเข้ารับการรักษาเสียที”
 
ท่านนายพลว่า ชายหนุ่มต่างเชื้อชาติเงียบไป
 
“ต้องขอบใจคุณทั้งสองมาก เรื่องที่เคยพูดกันนั้นคงต้องขอผลัดเป็นวันพรุ่งนี้แทนเสียแล้ว”
 
ท่านนายพลเอ่ยอย่างกลุ้มใจเพราะเรื่องที่คุยกันนั้นเป็นถึงเรื่องใหญ่ระดับประเทศ พันโทชาน เนนผงกหัว
 
“งั้นเดี๋ยวผมจะแจ้งนัดอีกครั้งต้องขอบคุณในความร่วมมือของทางประเทศไทยด้วย”
 
นายพลชราจับมืออำลา พันโทวันชัยยืนตัวตรงหนีบหมวกไว้ข้างกายโค้งเล็กน้อยก่อนกล่าวลา
 
“ผมต้องขอตัวไปส่งพันเอกชาน เนนก่อนนะครับ ขอให้บุตรชายท่านนายพลปลอดภัย”
 
นายพลพิภพส่งบุคคลทั้งสอง แพทย์ออกมาจากห้องพยาบาลท่านนายพลก็ประกบตัวทันที
 
“อาการของธารคงไม่แย่ลงนะครับ?”
 
ท่านเอ่ยอย่างหวั่นๆ แพทย์ส่ายหน้า
 
“รีบให้คนป่วยเข้ารับการรักษาเคมีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการเถอะครับ เพราะหากรอต่อไปชีวิตของคนป่วยอาจอยู่ได้เเค่หกสิบวัน”
 
ดวงตาชราภาพปิดลงอย่างเศร้าใจ
 
“ลูกชายผมไม่มีหวังเลยหรือครับ ก็ไหนหมอบอกว่าถ้าได้รับการเปลี่ยนถ่ายกระดูกแล้วจะช่วยได้ไงครับ”
 
คุณหมอดันขอบแว่นอย่างเคร่งเครียด
 
“ครับ...แต่ว่าคนป่วยรอมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หากรอก็อาจจะสิ้นชีวิต ต้องบรรเทาอาการไปสักระยะจนกว่าจะหาไขกระดูกที่ตรงกับคนไข้ก่อนดีกว่า”
 
ทางแพทย์แนะนำ ท่านนายพลกำมือแน่น
 
“หากตัดสินใจได้ก็บอกหมอนะครับหมอจะได้จัดการให้”
 
 แพทย์เอ่ยก่อนจะให้ท่านนายพลไปดูบุตรชายที่นอนให้สายน้ำเกลืออยู่บนเตียง โดยมีป้าสมร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างเตียงเมื่อคุณหนูที่เคยดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกล้มเจ็บ
 
“พิโถ่...หนูธาร จากนมไปนานก็มาล้มป่วยด้วยโรคร้ายอีก”
 
ท่านนายพลมองดูสาวใช้ที่อยู่รับใช้มานาน
 
“สม...ธารยังไม่ตื่นใช่ไหม?”
 
ป้าสมเงยหน้าขึ้น ก่อนตอบท่านนายพล
 
“ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะท่าน เมื่อกี้หมอมาฉีดยาอะไรให้ไม่รู้เลยหลับนานแบบนี้แหละเจ้าค่ะ
 
”มือกร้านจับมือบุตรชายกุมเบาๆ ผิวกายเย็นเฉียบ ซีดเซียวราวกับซากศพ
 
“หนูธารมีสิทธิ์หายไหมเจ้าคะ?”
 
นางถาม ท่านนายพลผู้เป็นนายส่ายหน้า
 
“ก็ไม่รู้สิ แต่ถ้ารับบำบัดโดยสารเคมีก็มีสิทธิ์บรรเทาและมีสิทธิ์หายหรือไม่ก็...ตาย”
 
ดวงตาทุกข์ใจทอประกายออกมาหลังจากคำพูดประโยคนั้น ป้าสมมองเจ้านาย นางเห็นท่านเสียใจเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง...ครั้งหนึ่งตอนที่ภรรยาคู่ชีวิตสิ้นใจ อีกครั้งคือตอนทะเลาะกับบุตรชายอย่างรุนแรง...ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่ท่านเสียใจ
 
“ท่านน่าจะพักผ่อนสักนิดนะเจ้าคะ โหมงานมากแล้วยังมาเครียดกับคุณหนูอีก”
 
สายตาของนายพลพิภพมองบ่าวรับใช้
 
“ตัวฉันจะตายก็ช่าง แต่ธารจะต้องหาย...”ท่านว่า ป้าสมมองอย่างสงสาร
 
“แต่ท่านเจ้าคะ ท่ามาล้มป่วยไปอีกคน ก็น่าเป็นห่วง ท่านกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวคุณหนู ป้าสมจะดูแลเอง”
 
ท่านนายพลชราต้องจำยอม
 
“จะเอาอะไรไหม ฉันจะได้กลับไปเอามาให้”
 
ป้าสมบอกต้องการของที่ต้องการ ท่านนายพลรับคำก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักฟื้นของบุตรชาย เดินไปตามทางของโรงพยาบาล ท่านมองคนป่วยที่นั่งในรถเข็น คิดถึงวันที่เสียภรรยาคู่ใจ
 
“ฉันไม่อาจดูแลลูกชายเราได้ตามที่เธอหวัง...”
 
นายพลเอ่ยกระซิบในใจหวังว่าจะส่งผ่านไปถึงภรรยาที่อยู่สุดขอบฟ้าที่ไม่อาจเอื้อมถึง
 
“เจ้าธารมันจะข้ามสะพานไปหาเธอแล้ว จะทำอย่างไรดีที่จะยื้อชีวิตลูกเราได้”
 
ท่านนายพลทำใจให้เข้มแข็งแต่คำพูดของหมอก็ยังไม่จางหาย คงเหลือแต่ความสับสนที่ติดอยู่ในห้วงความคิดของนายพลชรา
 
------------------------------------------------
 
รู้ดี...ว่าทำทุกอย่างพังด้วยตัวเอง ภานุหลับตาลง วันนี้ชายหนุ่มนั่งมองท้องฟ้า อยู่ที่บ้านของตัวเอง คุณหมอมาริสาและใครๆต่างผลัดมาแวะเยี่ยมเยือนที่ได้ข่าวว่าชายหนุ่มรอดตายและหายจากอาการบาดเจ็บ ภานุรู้สึกดีใจและคลายจากความเศร้าโศกดีอยู่หรอก แต่พอได้อยู่โดดเดี่ยวก็คิดถึงคนที่ใจทอดทิ้งอยู่เรื่อยไป ดวงตามองหาใครสักคน...แหงนมองหา ครั้งหนึ่งเคยไม่มีเยื่อใย  มาบัดนี้กลับต้องจมอยู่กับความเสียใจและใจเฝ้ารอ ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อผลัดเปลี่ยนผ้าพันแผล  หัวใจยังคงระทม นั่งจมจ่อกับความรู้สึกครั้งหลัง ปิดหน้าอย่างท้อๆ เพียงแค่ความเสียใจมันไม่อาจลบการกระทำทั้งหมดที่ก่อขึ้นมาได้ ภานุลุกขึ้นเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดในกระท่อมหลังนี้....บ้านเก่าๆมุงด้วยหญ้าแฝก กลิ่นอายของดวงหน้าขาวซีด น้ำตาที่เคยไหลร่วงหล่น คำพูดที่ทำให้เจ็บช้ำจนดวงใจนั้นร้าวราน เขาไม่หวังจะตามขอโทษหรือขอคืนดี ตอนนี้เหลือเพียงหนทางไร้ซึ่งที่ไป...กับหมื่นหนทางขวางกั้น ไม่มีทางใดที่หัวใจจะประสานคืนกันได้อีกแล้ว
 
------------------------------------------------
ไปละ :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-07-2008 16:11:20
ภาค2 นี้สนุกไม่แพ้ภาคแรก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 25-07-2008 13:29:24
หมอธารอย่าเป็นอะไรนะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 25-07-2008 23:55:31
แวะเข้ามาทักทายเจ้าค่า  :m1:+ เป็นกำลังใจให้พี่พิม :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 26-07-2008 09:11:36
ภาค2 มาแล้ววววว

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ชอบกิ่งไผ่จัง

หมอธารขอให้รักษาได้น้า :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 26-07-2008 09:19:29
ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 26-07-2008 14:16:04
บีบหัวใจกันเข้าไป

แงแง

คนแต่งใจร้ายยยยย

แงแง

คนโพสต์ใจร้ายกว่าาาาา เอาอารายมาให้อ่านก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 27-07-2008 02:23:27
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม รอวันได้สมหวังครับผม

ทั้งคู่พระเอกของเรา กับ ธี และกิ่งไผ่

รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับผม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 29-07-2008 15:43:49
หมอธารอย่าเป็นอะไรไปนะ    :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 02-08-2008 18:34:24
แวะมาเป็นกำลังใจให้พี่พิมค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 02-08-2008 19:32:23
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม มารอครับ

ดันๆๆ เป็นกำลังใจให้ครับผม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-08-2008 22:10:27
มาต่อแล้วว  ขอโทษทีน้าที่ให้รอนาน   :L2:
ต่อเลยน้า  ขอบคุณทุกคนที่ติดตามความเศร้าเคล้าน้ำตา เอิ๊กๆ 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 3  Trust/ ไว้วางใจ
 
รอยยิ้มที่มอบให้เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเห็นถึงความไว้วางใจ วันที่ได้อยู่เคียงกันในคืนต่อๆมา ต่างฝ่ายต่างเปิดใจเข้าหากันยิ่งขึ้น ธีรเดชนั่งมองหน้าของกิ่งไผ่ซึ่งดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน สีหน้าที่เคยซีดเซียว ริมฝีปากแตกที่เคยเป็นขุยชุ่มชื่นแวววาว ท่าทีของคลายความระแวงแคลงใจ ระหว่างนั่งล้อมวงทานอาหารอันประกอบด้วยเนื้อที่อีกฝ่ายออกไปหา สายตาของธีรเดชนั่นเฝ้ามองกิ่งไผ่อยู่บ่อยครั้งจนใบหน้าที่ซ่อนเบื้องหลังผมยาวสลวยนั่นจับได้ ดวงตาสีดำลึกลับจ้องใบหน้าหนุ่มไทยเขม็งราวกับจะถามว่าจ้องอะไรที่ใบหน้าตน
 
“เอ่อ...can you speak or listen Thai?”
 
ชายหนุ่มลองถามเพราะจำได้ตอนเจอกันครั้งเเรก...คนๆนี้ฟังภาษาไทยและพูดกับเขาได้กระท่อนกระเเท่น  กิ่งไผ่ทำหน้าฉงนฉงายแสร้งทำเป็นไก๋ว่าฟังไม่ออก ธีรเดชทอดถอนใจก่อนจะหันไปจัดการกับอาหารของตน กิ่งไผ่นั้นแม้ว่าอยากจะตอบไปว่าพอฟังออกบางคำและพูดได้บางประโยค แต่เขาจะไม่เเสดงออกอีกเป็นอันขาดว่าสามารถโต้ตอบรู้เรื่องได้บางประโยคเพราะต้องรอพิสูจน์ก่อนว่าชายคนนี้น่าไว้วางใจ พอทานอาหารเย็นเสร็จสายลมหนาวก็เริ่มพัดโชย กิ่งไผ่ห่อไหล่เข้าหากัน สายตาสีดำสนิทราวรัตติกาลมองเสี้ยวหน้าแกร่งที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นลืมตามองเขาที่นั่งขดตัว  ธีรเดชลุกขึ้นไปยังที่นอนจัดแจงให้อบอุ่น เดินเข้ามาชิดใกล้ก่อนดึงมือบางขึ้น
 
“คุณไปนอนที่นั้นซะ ”
 
สายตาของกิ่งไผ่มองที่นอนอันแสนอบอุ่นและใกล้กองไฟดูปลอดภัยที่สุดเขาก็สั่นหัว ธีรเดชนั่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
 
“นอนไปเถอะครับ คุณไม่สบายก็ควรพักผ่อนเยอะๆ” ว่าแล้วพลางดึงร่างบางให้ล้มลงบนที่นอน หากกิ่งไผ่ก็ขัดขืน ชี้มาบนที่นอนและธีรเดชคล้ายสั่งว่าให้ชายหนุ่มไปนอนแทนเสีย
 
“ไม่...นอนไปเถอะหรือว่าจะให้ผมนอนด้วยกับคุณ?”ชายหนุ่มว่า กิ่งไผ่ที่พอฟังออกนั้นซ่อนสีหน้าแดงฉานเอาไว้ ในเงามืด เขารู้ว่าไม่ควรเขินหรือรู้สึกแปลกๆแต่มันก็เก็บไว้ไม่อยู่
 
“คุณไปนอนเถอะ”
 
นายทหารหนุ่มจากไทยตัดบท ชายหนุ่มหันหลังนั่งริมขอนไม้หนา ที่ใช้สร้างเป็นอาณาเขตและกับดักเตือนภัย กิ่งไผ่มองร่างสูงที่ทำเหมือนกับไม่สนใจตัวเองได้แต่ล้มตัวทอดกายนอนอย่างไม่สบายใจเพราะที่ผ่านมาเขาเอาแต่พึ่งทหารหนุ่มจากไทยมาโดยตลอด ศีรษะซบกับเป้สนามที่ใช้ทำเป็นหมอนหนุนพร้อมกับผ้าห่มผืนบางคลุมทับกาย ขดตัวนอนเพราะต้องรักษาความร้อน โชคดีที่เปลวไฟจากกองไฟเล็กๆช่วยทำให้อบอุ่น คิดว่าจะหลับตาลงแล้วเชียวก็ไม่อาจข่มตานอนได้
 
“sleep here…”
 
กิ่งไผ่ชี้มายังที่นอนยังวางแต่ธีรเดชส่ายหัวก่อนจะกล่าวตอบ
 
“ไม่ล่ะครับ ผมจะอยู่เวร”
 
ธีรเดชตอบเป็นภาษาไทยพร้อมกับมือประกอบคำใบ้ กิ่งไผ่ส่ายหน้าเป็นทำนองว่าให้ผลัดกันแต่รอยยิ้มอ่อนโยนกลับปฏิเสธมันเสียหมด ธีรเดชนั่งเหม่อมมองท้องฟ้า กิ่งไผ่ไม่อาจดึงรั้งให้อีกฝ่ายพักผ่อนได้แต่มองอย่างห่วงใยเท่านั้น ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งลงแรง ธีรเดชเริ่มกระสับกระส่าย ชายหนุ่มพยายามฝืนเปลือกตาสุดฤทธิ์  หากก็อ้าปากหาวติดๆกันหลายครั้ง  มือสุมไม้แห้งให้ไฟคุกโชนแก้ง่วง ร่างกิ่งไผ่นั้นหลับสบายทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มด้วยความสบายใจ เขยิบเข้ามาใก้ลๆกับที่นอนมองดวงหน้าอ่อนเยาว์...ธีรเดชไม่ทราบอายุที่แน่นอนของคนที่ชื่อว่ากิ่งไผ่เท่าไรนัก เส้นผมบางส่วนปิดคลุมใบหน้า ไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงชอบมองใบหน้าที่ซ่อนใต้เรือนผมนั่นนัก มันอาจทำเขาเขาระลึกถึงต้นธาราก็เป็นได้ คิดถึงคุณหมอธารทีไร ชายหนุ่มรู้สึกปวดใจเสียร่ำไป
 
“...”
 
กิ่งไผ่ลืมตาขึ้นมองร่างของธีรเดชที่เหม่อลอยอย่างสำรวจ..อีกแล้วกับสีหน้าเจ็บปวดราวกับโหยหาใครบางคน ชายหนุ่มลุกขึ้นทรุดนั่งใกล้ๆถือผ้าขาวม้าที่พกไว้ประจำยื่นให้ ธีรเดชเงยหน้ามองผ้าที่ถูกยื่นมาให้อย่างงงๆ กิ่งไผ่เห็นว่าชักช้านักจึงคลุมกายให้เสีย
 
“why you don’t sleep?”
 
กิ่งไผ่เอ่ยถาม คนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษนักได้แต่ตอบๆสั้นๆปนภาษาแม่ของตัวเอง
 
“ผมไม่ง่วง”
 
แม้จะตอบไปแบบนั้นแต่ดวงตาคู่นั้นหรี่จนเกือบปิด กิ่งไผ่เห็นแล้วรู้สึกขบขันที่คนปากแข็งตอบไม่ตรงกับใจคิด
 
“If you want to sleep,you’ll go to bed”
 
กิ่งไผ่ว่าธีรเดชนั้นฟังไม่ทันเพราะสำนวนฝรั่งจ๋า เขาเกาหัว กิ่งไผ่จำต้องใช้ภาษาใบ้พุดคุยกับนายทหารหนุ่มที่กำลังตกในภาวะสะลึมสะลือธีรเดชก็ยังดึงดันไม่ยอมไปนอนตามคำบอกเสียที
 
“คิดจะไม่หลับไม่นอนแล้วให้ตัวเองล้มไปหรือไง...เอ๊ะ หรือว่าเขาไม่ไว้ใจเรา”
 
กิ่งไผ่คิดในใจ มองเสี้ยวหน้าอ่อนล้าอย่างเป็นห่วง
 
“your sure?”
 
กิ่งไผ่ย้ำยามชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม กิ่งไผ่ตัดใจลุกขึ้น  พอมองท่าทีอ่อนแรงแล้วต้องใจอ่อนคราวนี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงชายหนุ่มดึงร่างสูงให้ลุกขึ้นบ้าง ธีรเดชร้องโวยวาย กิ่งไผ่ก็จัดการใช้มืออุดปากเสีย ทหารหนุ่มเงียบกริบเมื่อเห็นแววตาจริงจังฉายชัดในแววตากระจ่าง
 
“you should sleep”
 
ร่างโปร่งว่า ธีรเดชอ่อนล้าเกินกว่าจะขัดขืนสู้แรงของคนที่เพิ่งรื้อไข้
 
“ผมไม่...”
 
พอหลังกระทบพื้นเท่านั้นแหละชายหนุ่มกลับผล่อยหลับไปเสียดื้อๆ กิ่งไผ่ยิ้มอย่างโล่งใจ ร่างโปร่งเตรียมลุกขึ้นเข้าเวรยามแทน ทว่าศีรษะของหนุ่มทหารชาวไทยไม่รู้พาดตักตั้งแต่เมื่อไรจะขยับก็ขยับไปไหนไม่ได้  ได้แต่ให้ร่างใหญ่นอนทับกิ่งไผ่ทรุดนั่งมองเสี้ยวหน้าแกร่ง ก่อนยกมือแตะหน้าผากเห็นว่าระดับอุณหภูมิเป็นปกติจึงเบาใจ มือวางพาดประคองศีรษะให้นอนทับตักอย่างเรียบร้อย เหยียดขายาว พอทำแบบนี้แล้วรู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก
 
“อือ...”เสียงครางแผ่วๆ ธีรเดชลืมตาตื่นขึ้นเห็นดวงหน้าของกิ่งไผ่เฝ้ามองเรียบเฉยตอนหลับใหล
 
“คุณ...”
 
ชายหนุ่มลุกพรวดออกจากตัก การได้นอนสักสิบ ยี่สิบนาทีทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าคลายความปวดเมื่อย ชายหนุ่มมองรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งให้ มันสวยงาม...จนเขาพูดไม่ออก ดวงตาและริมฝีปากช่างอ่อนโยนดุจดั่งดอกเอื้องกลิ่นหอม เป็นเอื้องผึ้งกลีบเหลือง ดูอ่อนโยนและพิสุทธิ์ปราศจากราคี ใจเต้นเบาๆอย่างไม่รู้สึก กิ่งไผ่มองอย่างสงสัย ธีรเดชพูดสิ่งที่อยู่ในใจไม่ถูก  ชายหนุ่มก้มหน้ามองพื้นงุด
 
 
“ผมดูแลคุณไม่ดีเลย...”ธีรเดชเอ่ยรำพึงกับตัวเอง กิ่งไผ่แตะหลังมือ
 
“คุณไม่ได้ดูแลไม่ดี...คุณอ่อนโยน”
 
กิ่งไผ่ตอบกลบเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงแปร่งๆหู ธีรเดชนั้นครั้งแรงที่ได้รับฟังชายหนุ่มก็ตื่นตะลึง
 
“คุณพูดไทย...ได้”ธีรเดชเอ่ยอย่างระแวง กิ่งไผ่ไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปหรือเปล่าเขาก็ยอมรับการตัดสินใจว่าชายคนนี้น่าไว้วางใจ
 
“พูดได้...ฟังออกนิดหน่อย”กิ่งไผ่ยอมรับสารภาพ ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันนิ่งด้วยสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วโดยที่ธีรเดชเองก็ไม่ได้เตรียมใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน...
 
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-08-2008 22:11:34
ทำอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจ กับช่วงเวลาที่แสนเหงา ความรักที่ทนเก็บไว้กับความรู้สึกที่ปิดซ่อน เก็บเอาไว้อยู่ในความทรงจำอันแสนร้าวราน บางทีการลืมอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา...คุณหมอต้นธารา...
 
เสียงหนังสือพิมพ์เปิดอ่านเบาๆ ร่างที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาดูรางเลือน ต้นธารากระพริบตาถี่ๆก่อนจะเรียกเสียงแหบแห้ง
 
“ใคร...”
 
เงารางเลือนนั้นลุกขึ้นด้วยอาการดีอกดีใจ พร้อมกุมมือบางขาวซีดเอาไว้แน่น
 
“คุณหนูธารของสม..คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”ป้าสมคร่ำครวญ ต้นธารากระพริบตาถี่ๆ มองรอบกาย
 
“ผมอยู่ที่ไหน?”ต้นธาราพยายามเอ่ยถาม ป้าสมลูบไม้ลูบหลังมือคุณหนูผู้เป็นยอดขวัญของนาง
 
“คุณหนูอยู่โรงพยาบาลเจ้าค่ะ จำได้ไหมคะที่คุณหนูสลบไป”
 
ต้นธาราทบความความทรงจำด้วยความงุนงง ร่างอ่อนแรงพยายามลุกขึ้นพิงหมอน ป้าสมช่วยประคอง
 
“พ่อล่ะ” สายตาสอดส่ายหาบิดาอย่างสงสัย ความเบลอและความมึนนงงยังไม่เลือนหายไปจากสติ
 
“คุณท่านหรือเจ้าคะ วันนี้ท่านออกราชการค่ะ สั่งไว้ว่าถ้าคุณหนูตื่นก็อย่าให้ลุกหรือพูดคุยอะไรมากนัก”
 
เสียงทอดถอนใจออกมาจากต้นธารา ทรวงอกสะท้อนเบาๆ
 
“ทำไมละ”คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตัวเองจะล้มลงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในใจก็ทำให้จิตใจหนักอึ้ง
 
“ป้าสมครับ...พ่อไปราชการด้วยเรื่องอะไรครับ”คนป่วยถามอย่างร้อนรน ป้าสมแม้จะรู้อยู่เต็มอกหากคุณท่านก็สั่งห้ามบอกธุระให้เเก่ต้นธาราทราบ
 
“ป้าสมว่าคุณหนูนอนพักอีกสักหน่อยนะเจ้าคะ จะได้หายป่วยเร็วๆ”
 
 ป้าสมว่าพลางดันร่างของต้นธาราลงบนเตียง คุณหมอธารปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้ง คิดอะไรไม่ออกเสียแล้ว...ความอ่อนเพลียเกาะกุม ดวงตาสีน้ำตาลสะลึมสะลือเห็นภาพหลอนของผู้กองภานุยืนอยู่ข้างเตียง อารามดีใจและความเจ็บปวดจากส่วนลึกของความรู้สึกส่งผลให้เอื้อมมือไขว่คว้า
 
“ผู้กอง...”
 
ป้าสมหันมาเมื่อเห็นคุณหนูเพ้อ นางจับแขนอย่างอ่อนโยนก่อนเขย่าเบาๆ
 
“คุณหนู...คุณหนูเรียกหาใครเจ้าคะ”
 
ต้นธารากระพริบตา ความจริงแจ่มชัด ชายหนุ่มรุ้สึกถึงความเย็นชืดจากฝ่ามือของหญิงชรา
 
“ผมไม่เป็นอะไรครับ...แค่ละเมอ”ต้นธาราตอบแล้วเบือนหน้าหนี น้ำตาที่หลงเหลือจากความรู้สึกเมื่อครู่หลั่งริน
...สิ่งที่คุณเก็บไว้ในใจคืออะไรหรือ...กระซิบถามกับเรื่องราวบางส่วนที่ซุกซ่อนเอาไว้ สายตาสีน้ำตาลมองสายน้ำเกลือและร่างหญิงชรานั่งจัดพับผ้าให้เรียบร้อย
 
“ผมหลับไปกี่วันครับ”
 
ป้าสมเงยหน้าจากกองเสื้อผ้า แม่นมตอบคุณหนูด้วยรอยยิ้ม
 
“คุณหนูธารเพิ่งหลับไปคืนหนึ่งเต็มๆเองค่ะ ”
 
...หลับไปแค่คืนเดียว ทำไมถึงรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปนานนักนะ?...
 
เสี้ยวหน้าซีดเซียวมองออกไปยังหน้าต่าง ความรักและคำถามที่คั่งคาอยู่เต็มอก มันกลับถูกทิ้งไปอย่างง่ายดายด้วยคนไร้หัวใจ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วละเพราะต้นธาราไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้วนับตั้งแต่ก้าวออกมาจากสถานที่แสนหวานอวลด้วยใจที่เจ็บปวด
 
“อยากทานอะไรไหมคะ ป้าสมจะไปแจ้งทางโรงพยาบาลให้”
 
ต้นธาราส่ายหน้า เขาไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น เมื่อคิดถึงคนที่ทำให้เจ็บแปลบยิ่งกว่าคมมีดกรีดเฉือน
 
“แล้วพ่อไปราชการนานหรือยังครับ เมื่อไรท่านจะกลับผมอยากกลับไปนอนบ้านเต็มแก่แล้ว”
 
ชายหนุ่มบ่นยาวเหยียด ป้าสมเอาแต่ยิ้มปลอบ
 
“คุณหนูกำลังป่วยด้วยโรคร้ายแรงนะเจ้าคะ อยู่รักษาที่นี่ดีกว่า สมเองจะได้เลิกนิสัยขี้เป็นห่วงเสียที”
 
รอยยิ้มสดใสของหญิงชราลงผลให้ต้นธาราใจอ่อนลงบ้าง
 
“ผมจะรอรักษาจนกว่าพ่อจะมา”
 
อย่างไรเสียป้าสมรู้ดีว่านายน้อยของนางต้องดื้อดึงอยู่แล้ว 
 
“ท่านไปราชการอีกนานกลับ คุณหนูพักที่นี่เถอะ สมจะได้ไว้วางใจตอนโรคกำเริบ อิฉันมันก็แก่แล้ว”
 
ต้นธาราที่ได้รับฟังนอนนิ่งอย่างขัดใจ
 
“แล้วผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”
 
ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ ป้าสมก็ทำเฉยเสียด้วยการหันไปพับผ้าต่อ  ต้นธาราได้แต่ขัดใจ
 
...เขาไม่อยากนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงจะตายด้วยโรคร้าย เขาก็อยากกลับไปที่บ้าน ...ต้นธาราคิดอย่างโมโหตัวเองอยู่ตลอด ที่ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
“คุณหนูนอนพักอีกนะคะ”
 
เสียงแม่ป้าสมเตือนอย่างเข้มงวด เปลือกตาบางจึงหลับไปแบบส่งๆด้วยความรำคาญ พอคล้อยหลังป้าสม  ภายในห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด  ป้าสมออกไปติดต่อกับพวกหมอและพยาบาลเวรกลางคืน  พออยู่คนเดียวความทรงจำมันก็ย้อนไปถึงอดีตที่ไม่อยากจำ...เขารู้แล้วล่ะว่า...อะไรสำคัญสำหรับผู้กองภานุจริงๆ...สิ่งสำคัญสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเขา หากแต่เป็นผู้กองนาคี...เฝ้าทบทวนถึงเหตุผลที่ได้กระทำ ภาพถ่ายคู่ที่เก็บซ่อนไว้ในไดอารี่....ความจริงที่ได้รับรู้มันทำให้ตัวเองรู้สึกเป็นคนน่าสมเพช... ทุกการกระทำมันทำให้เขาหลงยึดติดกับความเจ็บปวด คิดว่าตัวเองสำคัญเมื่อได้รับไออุ่น ได้รับรอยยิ้ม ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่มีความหมายสำหรับคนๆนั้นแม้สักเศษเสี้ยวแต่เขาก็ยังหยุดหัวใจให้ผู้กองภานุ  เชื่อมกายเอาไว้ด้วยตัณหา ส่วนหัวใจเกี่ยวพันด้วยความชิงชัง ที่ยอมให้ทั้งกายเเละใจแก่ผู้ชายไร้หัวใจคนนั้นเพราะเเค่หวัง...สักวันที่ผู้กองภานุจะหันมอง สุดท้ายก็เเค่ความรู้สึกหลอกตัวเองเท่านั้น อยากลืมมันมากเท่าไรก็ไม่อาจทำได้ลง ทั้งท้อใจและเหนื่อยกาย คิดลืมห้วงเวลาแห่งความปวดร้าวหากหัวใจกลับตัดใจไม่ลง เวลาที่ผ่านพ้นกับคืนวันที่เคยอยู่เคียงข้าง แอบอิงเเนบชิด มันทำให้หัวใจดวงนี้อบอุ่นเพียงไร มันกลับไม่สำคัญต่อผู้ชายไร้หัวใจคนนั้น ยิ่งย้อนนึกถึงจุดเริ่มต้นมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ปวดร้าวหัวใจเพราะท้ายที่สุดแล้ว ความผิดที่ทำให้ผู้กองนาคีตายก็ไม่อาจลบเลือนไปจากใจผู้กองภานุเลย  คุณหมอต้นธารามองความมืดมิด  ดวงตาพร่ามัวไปด้วยหยดน้ำตา สิ้นหวังกับความรักที่ทำให้หัวใจเเหลกยับไปทั้งดวง
 
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-08-2008 22:22:30
สงสารหมอธารรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 03-08-2008 22:43:04
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

สงสารจังเลยครับ

เมื่อไร่จะสมหวังกันซะที

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-08-2008 05:47:40
มาให้กำลังใจ พิมคนฉวย กะนู๋เรนคนดี  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 04-08-2008 15:33:11
กราซิก เศร้ามากมายยยยยย

ฮือฮือ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 04-08-2008 18:33:41
ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 10-08-2008 17:00:41
โฮฮฮฮฮฮฮฮ


หมอธารจะหายมั้ยเนี่ยยยยยยยย


 :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 10-08-2008 19:26:16
ประกาศแจ้งแทนพี่พิม (คนสวย) ค่า

ช่วงนี้พี่พิมลงนิยายไม่ได้ค่า ^^" เข้าบอร์ดไม่ได้ พี่พิมบอกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศเข้าบอร์ดเล้าเป็ดไม่ได้เลย....ตอนต่อไปอดใจรอก่อนนะเจ้าคะ  (ไม่นานเกินรอ )
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 11-08-2008 01:40:52
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ดันๆๆครับผมไปไหนแล้วครับ

ผมรออ่านทุกวันเลยครับ

รอๆๆๆๆ :L1: :L1: :L1:

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 11-08-2008 01:45:37
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ้อแบบนี้นี่เอง ครับผม เข้าใจละครับ รอได้ อิอิ

แต่อย่าให้นานนะครับผม

แล้วไปทำไรอ่า อิอิ เสือกซะงั้นผม ขำๆครับ

รักคนแต่งครับผม กลับมาเร็วๆนะครับ ผมคิดถึง :L1:

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: BLkaiwhan ที่ 11-08-2008 21:32:32
ฮือออออออออออ  :m15:
สงสารหมอธารอ่ะ.....ผู้กองใจร้าย....

รออ่านอยู่นะค๊า เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 15-08-2008 02:13:04
มาแวะแจ้งข่าวแทนพี่พิมเจ้าค่ะ ^_^

ข้อความที่พี่พิมฝากมาค่า

อ้างถึง
ปล ยังเข้าเวปเซ็งเป็ดไม่ได้เลยน้องเรน เห็นว่าสิ้นเดือนเค้าจะเปลี่ยน ISP ไม่รู้ว่ากว่าจะเข้าได้ก็สิ้นเดือนเลยรึเปล่านะ

เพราะเหตุนี้ล่ะค่า ช่วงนี้มันอาจจะหายต๋อมไป  :m23: อดทนรอสักนิดนะเจ้าคะ รอให้พี่พิมหาทางเข้าบอร์ดได้ก่อนค่า  :a2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 16-08-2008 15:27:47
รอคร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-08-2008 10:51:34
เข้าเล้าได้แล้วคับ  เล้าเพิ่งเปลี่ยน ISP ได้  หายไปเกือบเดือนนึงเต็มๆ เลยเนอะ 
ยังจะอ่านกันอยู่รึเปล่าเนี่ย  เอิ๊กๆ กลัวจะลืมเรื่องนี้กันไปหมดแล้ว 

อืมม  ไว้ยังไงจะมาโพสต่อให้จบแล้วกันน้า   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-08-2008 10:54:38
เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 4 Pain/ ความปวดร้าว
 
เมื่อร่างบางมองแผ่นหลังของธีรเดช ดูเหมือนว่าจะเส้นใยที่เชื่อมสัมพันธ์มันเหินห่าง แต่หลับตาลงครั้งใดก็รู้สึกถึงความไว้วางใจที่มีให้ สายตาของธีรเดชจับจ้องท้องฟ้า คิดว่าเมื่อไรที่กิ่งไผ่อาการทุเลาลงจะได้หนีออกจากป่าแห่งนี้เพราะอยู่ในวงล้อมของศัตรู
 
“อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง”ธีรเดชหันไปถามกิ่งไผ่ที่ครึ่งนั่งครึ่งเอนพิงต้นไม้ สีหน้าค่อนข้างดีขึ้น ผิวสีมะปรางสุกปรากฏรอยระเรื่อ
 
“สบายดี...”กิ่งไผ่ตอบ นายทหารหนุ่มจากไทยโล่งใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายอาการทุเลาลง
 
“งั้นก็ดีแล้ว”
 
กิ่งไผ่มองท่าทีของธีรเดชคล้ายขบคิดเรื่องบางอย่าง ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่สอบสวนว่าทำไมเขาพูดไทยได้ และทำไมยังคงไว้วางใจ
 
“คุณจะออกเดินทางสินะ...จะหาทางกลับชายแดนไทยหรือ?”
 
ธีรเดชผงกหัว คิดจะหาทางกลับไปยังไทย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับอย่างไร หนทางช่างริบหรี่เหลือเกิน
 
“แต่ติดอยู่ที่ผมสินะ?”
 
กิ่งไผ่ว่า นายทหารหนุ่มสั่นหัว
 
“เปล่า...ไม่ใช่อย่างนั้น”ธีรเดชรีบปฏิเสธทันควัน กิ่งไผ่มองในแววตาของผู้กองหนุ่ม
 
“คุณไว้ใจผมหรือเปล่า....”กิ่งไผ่ตั้งคำถามใหม่
 
“ถ้าจะให้ตอบตามตรงล่ะก็ ไม่...เพราะคุณมีท่าทีพิรุธเกินไป มีบางอย่างที่ดูไม่น่าไว้วางใจ มีหลายๆอย่างที่ผมต้องระวัง”
 
คำพูดของธีรเดชทำให้กิ่งไผ่นิ่ง
 
“แล้วทำไมคุณต้องช่วยผม เพราะสงสารหรือ”
 
ธีรเดชส่ายหน้า“เพราะอยากรู้ต่างหากล่ะว่าคุณเป็นใคร”
 
“แล้วถ้าผมคิดทรยศคุณล่ะ...”กิ่งไผ่ขัด จ้องหน้าของธีรเดชเขม็ง
 
“ถึงตอนนั้นผมคงต้องฆ่าคุณก่อน”
 
ความตึงเครียดเกิดขึ้นทันใด ดวงตาที่ประสานริ่มสั่นคลอนแคลน ความไม่ไว้วางใจก่อเกิด กิ่งไผ่เริ่มระแวง..เพราะอย่างนี้สินะถึงยื่นมือช่วย สายตาเรียวเริ่มหาทางออกและวิธีรับมือยามดวงตาจริงจังสบมอง...สุดท้ายแล้วเขาไม่น่าไว้วางใจเลย...ธีรเดชเขยิบเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่ถอยหนี  แต่แผ่นหลังติดต้นไม้ จะเลี่ยงไปทางอื่นไม่ได้ สายตาเหลือบเห็นปืนจึงคว้ามันขึ้นมาอย่างว่องไว้  จ่อปลายกระบอกปืนไปทางธีรเดช นายทหารหนุ่มจากไทยชะงักแค่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ ดวงตาของกิ่งไผ่เอาจริงว่าจะยิงแน่ๆ นิ้วเรียวที่เตรียมลั่นโกร่งไกปืนสั่นระริก แต่ก็ไม่เห็นแววหวาดหวั่นในดวงตาของอีกฝ่าย มือแกร่งยื่นออกไป กิ่งไผ่หลับตาโดยอัตโนมัติแล้วต้องสะดุ้งเมื่อฝ่ามืออุ่นๆแตะแก้มเย็นเฉียบแผ่วเบา
 
“ปืนกระบอกนี้มีกระสุนอยู่ จะยิงก็ได้ ผมไม่ห้าม มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง”
 
ธีรเดชเอ่ย บนใบหน้าทอดรอยยิ้มนุ่มนวล  กิ่งไผ่ลืมตาขึ้นมองดวงหน้าแกร่งที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
 
“คุณก็มีสิทธิ์ที่จะไว้ใจผมเช่นกัน”กิ่งไผ่ตอบกลับ สัมผัสจากมือแกร่งลบความกังวลและความไม่ไว้วางใจออกไปจนหมดสิ้น
 
“ผมพูดเล่นน่ะ เราตกระกำลำบากด้วยกันสิ่งสำคัญก็คือความไว้วางใจกันและกัน”
 
ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากพวงแก้ม มือแกร่งจับปืนออกห่าง บีบมือเรียวเบาๆ
 
“ตอนนี้ผมไม่มีอำนาจพอที่จะจัดการเรื่องอื่นๆได้ ไม่ต้องเป็นห่วง...อยู่ที่นี่เราคือเพื่อน”คำพูดของชายหนุ่มอบอุ่น
 
“แต่ถ้าสิ้นสุดเมื่อไร...ผมคงเป็นเชลยที่ต้องสอบสวนสินะ”กิ่งไผ่เอ่ยต่อ
 
ธีรเดชไม่พูดอะไร กิ่งไผ่ชักมือหนีจากมือของธีรเดช  นายทหารหนุ่มเงียบไป...ทุกอย่างเป็นความจริงอย่างที่กิ่งไผ่เอ่ย...หากกลับคืนสู่ตำแหน่งหน้าที่ เขาก็ต้องสอบสวนกิ่งไผ่ จึงพูดอะไรไม่ออก กิ่งไผ่ยิ้มเศร้า...รอยยิ้มที่ทำให้ธีรเดชรู้สึกแย่
 
“อย่ายิ้มแบบนี้สิ มันเท่ากับว่าคุณไม่ไว้ผม”
 
ธีรเดชกล่าว ชายหนุ่มนั่งข้างๆกิ่งไผ่ รอยยิ้มเศร้ายังไม่เลือนจากใบหน้า
 
“ผมยิ้มเศร้าหรือ”กิ่งไผ่ถาม นายทหารหนุ่มผงกหัว
 
“ใช่...รอยยิ้มของคุณมันเศร้าสร้อยคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ”
 
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น“อ่านใจคนอื่นได้ด้วยหรือ?”วงหน้าคล้ายอิสตรีเหลือบมองเสี้ยวหน้าแกร่ง ธีรเดชยิ้มเขินๆ
 
“ไม่หรอก...ผมแค่สังเกตท่าทีของคุณเอาน่ะ”
 
คำตอบของชายหนุ่ม กิ่งไผ่มองใบหน้ายิ้มเขินๆสิ่งที่อยู่ในใจบอกว่าหากเขาไว้ใจคนๆนี้มากเท่าไร สุดท้ายความไว้วางใจนั้นมันจะย้อนทำร้ายตัวเขาเอง...สัญชาติญาณลึกๆเตือน
 
“ดูท่าทางคุณจะเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายๆนะ”
 
กิ่งไผ่ว่า ธีรเดชยักไหล่
 
“ก็ไม่หรอก”น้ำเสียงแผ่ว ดวงตาอ่อนโยนหรี่ลงอย่างเศร้าๆ
 
“คุณอาจจะมองว่าผมเข้ากับคนอื่นได้ แต่ตัวผมแล้วไม่มองแบบนั้นเลย...ผมรู้สึกแย่ที่ตัวเองมองท่าทีของคนอื่นออกแต่มองดูตัวเองไม่ออก มันตลกไหมล่ะ”
 
กิ่งไผ่สั่นหัว“ไม่...ไม่ตลกเลยสักนิด”
 
ธีรเดชถอนใจกับคำพูดของอีกฝ่าย
 
“ดูเหมือนคุณจะไม่ชอบกับนิสัยใจดีของตัวเองสินะ”
 
กิ่งไผ่ตั้งข้อสังเกต ผู้กองหนุ่มจากไทยมองท้องฟ้าอย่างนึกหยัน
 
“ใช่...เพราะความใจดีมันทำให้ผมต้องทุกข์ใจ ต้องเสียสละสิ่งที่ผมรัก...สิ่งที่ผมเฝ้าถนอมมานาน”
 
สายตาของธีรเดชระลึกถึงต้นธารา...เขารักคุณหมอธารแต่ก็ไม่มีวันได้หัวใจมาครอบครอง...เพราะในใจของต้นธารามีเเต่ผู้กองภานุเพียงคนเดียว!
 
“หมายถึงคนที่คุณรักหรือเปล่า”กิ่งไผ่ตีความหมายของคำพูด
 
“ใช่...”น้ำเสียงกลั่นออกมาราวกับฝืนทนกับความรู้สึกที่เจ็บช้ำ “มีแต่ผมรักเขาอยู่ฝ่ายเดียว ”
 
กิ่งไผ่เงียบไปไม่รู้ว่าสมควรจะปลอบเช่นไรดี ธีรเดชกลับหัวเราะอย่างนึกขัน
 
“แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
 
“คุณเป็นคนที่น่าสงสาร”
 
ธีรเดชชะงัก มองหน้าของกิ่งไผ่ ดวงตาสีนิลจับจ้องอย่างทะลุปรุโปร่ง
 
“คุณคงเจ็บแค้นสินะแต่คุณก็ไม่มีวันแสดงออกได้”
 
ธีรเดชได้ฟังก็ผงกหัวรับเงียบๆ สบดวงตาสีนิลตรงๆ
 
“ลืมเสียเถอะ ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจคุณ...คุณยังมีโอกาสเริ่มความรักใหม่ได้”
 
คำปลอบโยนนั่น ธีรเดชฟังแล้วรู้สึกห่อเหี่ยวเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
 
“ผมลืมไม่ได้”
 “คุณควรทำเพื่อตัวคุณเอง ครั้งแรกมันอาจทรมานที่จะลืมคนที่คุณรัก แต่หากไม่ลืม มันก็เหมือนว่าคุณเอาหนามมาหยอกอก...ความรักไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว...”เอ่ยจบ กิ่งไผ่ก็ทรุดตัวนอน  ธีรเดชเหลือบมองดวงหน้า พิศขนตายาวราวผู้หญิง ผมดำเป็นมันกระจายแผ่ล้อมแผ่นหลัง
 
“พูดเหมือนกับว่าเชี่ยวชาญเรื่องความรักเหลือเกิน”
 
ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยขณะหลับตา“ไม่หรอก...ผมไม่เคยมีความรักให้ใครนอกจาก...”กิ่งไผ่เงียบไป สักพักก็หันหน้ามามองนายทหารหนุ่ม“นอกจากคนที่หัวใจผมจะรักจริงๆ”
 
 ธีรเดชมองสีหน้าเรียบเฉย“คนที่คุณรักน่ะหรือ...”
 
“ใช่...”แผ่นหลังบอบบางคู้เข้าหากัน...ความรู้สึกที่พูดผ่านริมฝีปาก หัวใจกิ่งไผ่รู้ดีว่ามันหมายถึงใคร
 
------------------------------------------------
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 31-08-2008 10:55:40
สายลมพัดโบกสะบัด ภานุมองดูเงาที่ทอดลงบนพื้นไม้  ระหว่างที่ออกกำลังกายเสร็จ ชายหนุ่มเดินทอดน่องเอื่อยๆไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ  ภาพภายในยังคงเหมือนเดิม คุณหมอมาริสายิ้มทักเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้าไป
 
“มาที่นี่บ่อยจังเลยนะคะ”
 
หญิงสาวเอ่ยทัก ภานุยิ้มน้อยๆและกวาดตามองหาใครสักคนทั้งๆที่รู้ตัวดีว่าไม่อยู่ที่นี่แล้ว
 
“วันนี้เป็นวันที่จ่าแม้นกับผู้กองรังสรรด์จะออกมาจากโรงพยาบาลใหญ่ ผู้กองภานุจะไปรับไหมคะ”
 
คุณหมอมาริสาเอ่ยถามชายหนุ่ม ภานุผงกหัว
 
“ครับ...”เพียงรับคำสั้นๆ หัวใจว่างเปล่ามีความรู้สึกโหยหาอยู่เต็มดวงใจ
 
“ผู้กองเป็นอะไรไหมคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”มาริสาถาม
 
“ไม่มีอะไรครับ”ชายหนุ่มปฏิเสธ  ก่อนจะขอตัว
 
“ได้ข่าวเรื่องผู้กองธีรึยังคะ?”คุณหมอมาริสาเอ่ยถามกะทันหัน
 
ชายหนุ่มชะงักก่อนจะตอบเรียบๆ “ยังเลยครับ ผมยังไม่ถามผู้พันเลย”
 
สีหนาของคุณหมอนั่นมีรอยเป็นห่วง เธอบอกขอบคุณก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ภานุเดินออกมายังเบื้องนอก ดวงอาทิตย์แผดแสงจัดจ้า ในดวงตาปวดร้าว เดินไปยังศูนย์บังคับบัญชา ผู้พันมีทรัพย์กำลังตรวจเอกสารเงยหน้ามองภานุเดินหน้าเศร้าเข้ามา ท่านก็เอ่ยทัก
 
“อ้าว...กลับมาทำงานแล้วรึ ทำไมไม่พักอีกสักหน่อยล่ะ?”
 
ภานุนั่งลงยังเก้าอี้ยิ้มตอบผู้บังคับบัญชาการ
 
“เบื่อครับผู้พัน เอ่อ...การติดตามผู้กองธีรเดชเป็นอย่างไรบ้างครับ”
 
ผู้พันมีทรัพย์มองใบหน้าอิดโรยของลูกน้อง ท่านไม่พูดอะไรมากนัก
 
“ตอนนี้ทางเบื้องบนกำลังจัดการ ได้ข่าวว่าเรื่องนี้นายพลเราถึงกับออกโรงเอง”
 
ภานุฟังเงียบๆ ไม่แปลกใจที่ท่านนายพลอรุณออกโรงเอง
 
“เออ...รู้ข่าวคุณหมอธารบางไหม เงียบหายไปเลยนึกห่วงจริงๆ”
 
ผู้พันมีทรัพย์เอ่ยถามถึงคุณหมอธาร ภานุได้ฟังชื่อนี้มันก็กรีดลงไปในใจ
 
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ คุณหมอป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว”
 
ผู้พันมีทรัพย์ได้ฟังก็นิ่งอึ้ง
 
“อะไรนะ ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวหรือ....แล้วทำไมไม่เห็นคุณหมอบอกอะไรใครเลยล่ะ”
 
ภานุไม่ตอบคำ
 
“ว่าสิทำไมทางค่ายใหญ่ถึงนำเฮลิคอปเตอร์มารับ น่าสงสารแท้ๆอายุยังน้อย”
 
ผู้พันมีทรัพย์รำพึง ผู้กองภานุนิ่งเงียบไป
 
“แกก็เหมือนกัน รักษาสุขภาพหน่อยเดินเข้ามาหน้าตาอิดโรยเชียว”
 
“ครับ ผมจะดูแลตัวเอง”รับคำอย่างเอื่อยเฉื่อย
 
“เฮ้อ...ท่าทีแกมันน่าห่วงจริงๆวันนี้รังสรรค์กับจ่าแม้นจะกลับค่ายแล้วจะไปเยี่ยมก็ได้นะ”
 
ภานุผงกหัวอย่างหน่ายๆ ผู้พันลุกขึ้นไปชงกาแฟ พลางชูถ้วยขึ้นเชิญให้ดื่มด้วย  ภานุเอ่ยปฏิเสธก่อนจะลุกขึ้นมองนอกหน้าต่าง ดวงตายังคงติดแววเหม่อลอย ทำอย่างไรก็ยังลืมไม่ได้ ภานุแตะขอบหน้าต่างลึกๆแล้วเขายังต้องการ...บ้าฉิบ...ชายหนุ่มโมโหตัวเองที่ใจยังรู้สึกผูกพันกับคนที่ทำให้เพื่อนรักที่สุดตาย....ปฏิเสธหัวใจเท่าไรก็ไม่อาจทำได้เลยว่ายังรัก...เลิกคิดถึงอดีตกลับมาใส่ใจกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ยิ่งทำแบบนั้น สิ่งที่บีบคั้นคือความสัมพันธ์ที่ไม่อาจลืมยังติดค้างอยู่ในใจ
 
------------------------------------------------
 
หัวใจที่ผิดหวัง สิ่งที่เหลืออยู่คือหยาดหยดน้ำตาพร่างพรม อ่อนไหวไปกับกระแสธารแห่งอารมณ์ เฝ้าคิดวนเวียนถึงรูปถ่ายใบนั้น....มันไร้ค่า...ไร้ค่าเหลือเกิน  ไม่มีเหตุผลแล้วที่จะรักต่อไป หัวใจและชีวิตที่ทุ่มเทให้ ควรจะเข็ดเสียที...ปวดร้าวมามากพอแล้ว น้ำตาที่หลั่งรินไปพร้อมกับความเสียใจปลุกให้ป้าสมตื่นขึ้นมา
 
“คุณหนูธารเป็นอะไรไหมเจ้าค่ะ”ป้าสมเดินมาแตะตัวอย่างอ่อนโยน
 
“ไม่มีอะไรหรอกสม”ชายหนุ่มตอบอดีตแม่นม  ป้าสมมองดวงหน้าอาบไปด้วยน้ำตา
 
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมคุณหนูร้องไห้ละเจ้าคะ”
 
ป้าสมลูบเรือนผมของคุณหนูต้นธาราอย่างอ่อนโยน นางหยิบผ้าซับน้ำตาที่ไหลหลั่งริน
 
“กลัวหรือเจ้าคะ”น้ำเสียงปลอบโยนถามราวกับชายหนุ่มเป็นเด็กตัวเล็กๆ
 
“เปล่า...ผมไม่กลัวหรอกครับป้า...หากผมตายก็คงดีสินะ?” ต้นธาราถาม ป้าสมหน้าเสีย
 
“อย่าพูดแบบนี้สิเจ้าคะ สมฟังแล้วใจไม่ดีเลย คุณหนูธารยังมีคนที่คิดถึงยังมีคนรักคนคอยห่วงใยอยู่นะเจ้าคะ”
 
 ต้นธาราเบือนหน้าหนี
 
“หรือว่าโกรธคุณพ่อเจ้าคะ?”สมถามลองเชิง ต้นธาราส่ายหน้า
 
“ผมจะโกรธพ่อทำไมกัน...เฮ้อ ช่างเถอะ ป้าสมไปนอนเถอะ”ชายหนุ่มไล่
 
“คุณหนูโกรธแบบนี้ สมหลับไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ”แม่นมที่อุ้มชูเลี้ยงดูเขาตั้งแต่ตอนเด็กๆว่า
 
“ป้าสมครับ...ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผมไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น ผมแค่...”ต้นธาราชะงัก สมยิ้มน้อยๆ
 
“แค่อะไรเจ้าคะ”
 
ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็เงียบและไล่แม่นมให้ไปนอน
 
“ไม่มีอะไรครับ ป้าสมไปนอนเถอะ”ต้นธาราหันหลังให้แม่นม
 
เมื่อไม่อาจคาดคั้นได้แต่มองอย่างเป็นห่วง นางกลับไปนอนต่อ สีหน้าของต้นธารายังประดับไปด้วยความเศร้าโศก...
 
...ใจยังดื้อดึงที่จะรักต่ออยู่หรือ เขายังเจ็บช้ำไม่พอหรือ ที่คิดจะรักผู้กองไร้ใจต่อ...
 
หาคำตอบให้ตัวเองกลับได้แต่ความว่างเปล่า ทั้งๆที่รู้ดีว่าหากปล่อยหัวใจล่องละลอยไปกับความรู้สึกมากเท่าไร เขาก็จะได้รับความเจ็บปวดมากเท่านั้น...แล้วเขาจะแทนผู้กองนาคีได้หรือเปล่า...เขาจะข้ามขีดเส้นแห่งความเกลียดชังได้หรือ... มันคงไม่มีทางเป็นไปได้
 
------------------------------------------------
 
 รุ่งเช้าท่านนายพลมาเยี่ยมเยือนบุตรชายพร้อมกับพันเอกชานเนน ต้นธาราลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแม่นมคุยอะไร
บางอยางกับบิดา นายพลพิภพทำหน้าหนักใจ
 
“ เมื่อคืนธารร้องไห้งั้นหรือ”
 
ป้าสมผงกหัว ต้นธาราฟังเงียบๆ สายตาของนายพลพิภพหันมาเจอดวงตาที่จ้องเขม็งก็เงียบไป
 
“ตื่นแล้วหรือลูก”
 
ท่านนายพลรีบเดินมาข้างเตียงยิ้มให้บุตรชายอย่างอ่อนโยน ต้นธาราเหลือบมองคนที่มากับบิดา
 
“นี่พันเอกชานเนนฑูตทหารของพม่า”
 
ต้นธาราพยายามยกมือไหว้ แต่เรี่ยวแรงกลับอ่อนล้า
 
“ สวัสดีครับ”ชานเนนทักทาย
 
“เขาเป็นคนที่ช่วยประสานเรื่องช่วยธีรเดช”
 
ต้นธาราเข้าใจ มองใบหน้าพันเอกหนุ่มที่ยิ้มบางๆให้
 
“อาการของคุณหมอธารเป็นอย่างไรบ้างครับ”
 
น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลถาม มือแกร่งเอื้อมแตะมือบางเบาๆ นายพลพิภพยิ้มน้อยๆกับสิ่งที่เห็นมือเย็นเฉียบรับรู้ความอบอุ่นที่ถ่ายทอด...ความรู้สึกที่ไหลหลั่งรินไปสู่หัวใจที่ทุกข์ทรมาน
 
 
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 31-08-2008 11:52:35
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 31-08-2008 12:13:44
หมอธาร กิ่งไผ่ กลับมาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ดีใจจัง อิอิ  :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 31-08-2008 12:38:01
ไปหาเค้าสิผู้กองงงงงงง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 01-09-2008 03:36:23
มาเป็นกำลังใจให้พี่พิมเจ้าค่ะ  :L2: ยินดีที่เข้าบอร์ดมาได้ค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-09-2008 21:25:13
มาดันให้พิมกะน้องเรนคนฉวย  :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 01-09-2008 22:23:53
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับผม ชอบๆมากเลย

ได้อ่านซะทีครับผม

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 02-09-2008 09:48:44
คิดถึงหนูพิมกะน้องเรนคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-09-2008 20:00:08
มาแล้วค้าบบบ  ต่อเลยๆ
++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 5 sensibilité/ หวั่นไหว [Part1]
 
สิ่งเดียวที่ทำให้คุณหมอธารสบายใจได้คงเป็นรอยยิ้มของชานเนน  นายทหารหนุ่มที่มาคุยเล่นเป็นเพื่อน หลังจากที่พันเอกชานเนนมาเยี่ยมอีกครั้งก็ได้พูดคุยให้กำลังใจต้นธาราหลายอย่าง จนคุณหมอรู้สึกว่าเรื่องหนักหนาสาหัสค่อยๆบรรเทาเบาบางลง คุณหมอหนุ่มนั่งยิ้มกับมุขตลกที่พันเอกชานเนนเล่าให้ฟัง ....นานเท่าไรที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจเเบบนี้
 
“คุณยิ้มแล้วดูสดใสขึ้นเยอะเลย เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บ่อยๆผมก็นึกเป็นห่วง”
 
ชานเนนกล่าว มองเสี้ยวหน้าซีดขาวแล้วยิ้มให้ด้วยความจริงใจ  ผิดกับต้นธาราที่หุบยิ้ม
 
“เป็นปกติของผมอยู่แล้วที่ไม่ยิ้ม”
 
คุณหมอหนุ่มกล่าวตอบ น้ำเสียงไร้ความรู้สึก ซบหน้าลงกับหมอน ท่าทีเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ชานเนนขมวดคิ้วแต่ยังไม่คลายรอยยิ้มบนหน้า
 
“ก็ยิ้มบ้างสิครับ คนเรามองโลกมืดมนนักก็ไม่ดีหรอก”ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 
 
ดวงตาที่เคยเป็นประกายสดใสเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
 
“ปกติผมก็ไม่เคยมองโลกในเเง่ร้ายนี่ครับ?”
 
 ต้นธาราว่าอย่างชืดชา ดึงผ้าห่มคลุมกายเอาไว้ด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก
 
“คุณหมอคงเหนื่อย...ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนครับ”
 
พันเอกชานเนนลุกขึ้นคล้ายกับจะอำลา ต้นธาราเหลือบมอง รู้ตัวดีว่าเสียมารยาทและทำตัวเป็นเด็กเกเรทั้งๆที่พันเอกชานเนนพยายามผูกมิตร  ต้นธารามองอย่างขอโทษ  พันเอกหนุ่มยิ้มตรงมุมปากเมื่อเห็นท่าทีนั้น
 
“จะให้ผมเรียกป้าสมไหมครับ”
 
คนที่อารมณ์ปรวนแปรส่ายหน้า ชานเชจึงทรุดนั่งลงยังที่เดิม
 
“คุณหมออยากไปเดินเล่นไหมครับ”
 
 ต้นธาราไม่ยอมตอบ ชานเนก็นิ่งเงียบ มองดวงหน้าซีดขาวลังเลใจกับคำชวนราวกับเป็นขนมหวานชั้นดี
 
“เห็นหมอธารนอนมาอาทิตย์หนึ่งแล้วไม่เบื่อบ้างหรือ”
 
ต้นธารายอมรับว่าเขาก็รู้สึกเบื่อเหมือนกันที่ต้องนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ออกไปไหน ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเขาเองอยากอยู่เงียบๆ ให้ความเงียบเหงาเดียวดายรักษาความเจ็บปวดในใจเงียบๆ  แม้อยากตอบรับคำชวนแต่ก็กลัว เพราะความรู้สึกบางอย่างก่อขึ้นมาภายในใจ....เพราะไม่อาจใช้นายทหารต่างชาติเเทนคนใจร้ายคนนั้นได้....ต่อให้ตัวเองเจ็บปวดใจเเค่ไหน.....เพราะมันน่าสมเพชเกินไป  พันเอกชานเนนรอคำตอบ คุณหมอหนุ่มนิ่งงันไม่ตอบสนองใดๆ
 
“ไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรครับ”
 
ชานเนนเอ่ยเพราะรู้สึกว่าคุณหมอลำบากใจต่อคำเชิญชวน 
 
“ถึงเวลาที่ผมต้องกลับแล้ว ขอให้คุณหมอหายเร็วๆนะครับ”
 
พันเอกชานเนนเอ่ยคำอวยพรก่อนลากลับ นายทหารหนุ่มยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากห้องพักของคุณหมอหนุ่ม ป้าสมเดินเข้ามาเมื่อแขกที่มาเยี่ยมคุณหนูของนางกลับไปแล้ว
 
“วันนี้ท่านชานเนนกลับเร็วจังนะคะ”
 
ป้าสมเอ่ย ต้นธาราไม่ยอมตอบ สีหน้าบูดบึ้งจนอดีตแม่นมยิ้มน้อยๆมือวางทาบมือของต้นธารา
 
“ทำไมหนูธารของป้าทำหน้าแบบนี้ละคะ? ไม่พอใจหรือที่พันเอกชานเนนมาเยี่ยม มาอยู่เป็นเพื่อนคุย?”
 
ชายหนุ่มมองใบหน้าของแม่นมก่อนจะถามสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจอย่างกังขา
 
“ป้าสมคิดว่าพันเอกนั่นวางแผนทำอะไรรึเปล่า ถึงได้เข้ามาทำสนิทสนมกับผมแทนที่จะไปคุณกับพ่อแทน ”
 
ป้าสมชะงักมองคุณหนูที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออด
 
“ทำไมคุณหนูถามป้าแบบนี้ล่ะเจ้าคะ....ป้าสมไม่เข้าใจ”
 
นางทรุดนั่งข้างเตียง ต้นธาราขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิด
 
“ก็...ผมสงสัยว่าทำไมพันเอกชานเนนถึงมาเยี่ยมบ่อยๆ ทั้งที่มันไม่จำเป็น”
 
ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต ป้าสมได้รับฟังแล้วนางก็ยิ้มเจื่อนๆ
 
“มีคนมาเยี่ยมคุณหนูก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณหนูจะได้ไม่เหงาด้วย”ป้าสมกล่าว  หากต้นธาราถอนใจยาวกับคำพูดของอดีตแม่นม
 
“มันก็ดีครับ แต่คนที่ไม่รู้จักมักจี่ดีทำไมต้องมาสนิทสนมด้วยผมว่ามันแปลกๆ”
 
 “อย่าคิดมากเลยนะคะคุณหนู”ป้าสมเอ่ยขึ้นคล้ายกับพยายามเลี่ยงไม่ให้คุณหนูของเธอสนใจเรื่องของพักเอกหนุ่มมากนัก
 
“เป็นเพราะพ่อใช่ไหม ทำไมพ่อต้องทำกับผมเป็นเด็กๆด้วย”
 
ต้นธาราอารมณ์เสียเพราะคิดว่าบิดาต้องจัดการเรื่องนี้แน่
 
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ”
 
ป้าสมปฏิเสธวุ่นทั้งๆที่ความจริงเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มฟังคำปฏิเสธอย่างอ่อนใจ
 
“ป้าสมบอกพ่อทีนะครับว่าผมไม่ใช่เด็กๆที่ต้องการให้ใครสักคนมาเป็นเพื่อน ไม่ว่าตอนนี้ผมจะอ่อนแอหรือไร้กำลังใจขนาดไหน มันไม่จำเป็น!”ต้นธารพูดตามอารมณ์โกรธเกรี้ยวจนหอบเหนื่อย “ผมจะนอน” พูดตัดบทก่อนซุกใบหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่ม
 
ป้าสมเห็นคุณหนูหนีหน้า ไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อ จึงเดินไปยังโซฟาที่ใช้พักผ่อนระหว่างอยู่เฝ้าคุณหนู นางสงสารคุณหนูเหลือเกิน หลังจากที่บอกเรื่องที่คุณหนูร้องไห้  ต้นธาราเอกก็ทำตัวเหมือนตัดขาดโลกภายนอก เพื่อนในวัยเดียวกันก็ไม่ค่อยติดต่อ พอเรียนจบก็ผันตัวเองย้ายไปเป็นแพทย์อาสาที่ชายเเดน นางเองก็ไม่ได้ทราบเรื่องราวของต้นธาราระหว่างใช้ชีวิตที่นั้นมากนักเพราะตั้งเเต่ที่ท่านนายพลพิภพพากลับมาเพราะโรคประจำตัวทรุดหนัก เจ้าตัวก็เอาเเต่เก็บงำคำพูด บางทีก็จะออกอาการเหม่อลอย จนทั้งนางเเละนายพลเองเป็นห่วง ท่านนายพลจึงขอให้พันเอกชานเนนมาเป็นเพื่อนคุยกับต้นธารา  พันเอกชานเนนก็ไม่ขัดข้องที่จะอยู่เป็นเพื่อนคุยกับต้นธารระหว่างอยู่โรงพยาบาล นายพันหนุ่มเป็นคนอารมณ์ดีเสมอจึงทำให้นางเห็นบางวัน ต้นธารายิ้มออกมาบ้าง นางเองก็สบายใจที่คุณหนูเองยอมตอบสนองต่อคนอื่น ไม่จมแต่ในโลกส่วนตัวเพียงอย่างเดียว
 
------------------------------------------------
 
“ธารเป็นอย่างไรบ้าง พูดอะไรบ้างไหม”
 
นายพลพิภพถามก่อนเข้าประชุมเรื่องการหายสาบสูญของร้อยเอกธีรเดช พันเอกชานเนนทรุดนั่งลงบนโซฟาสีดำสนิท
 
“คุณหมอธารหรือครับ...ไม่ยอมพูดออกมาเหมือนเคย”
 
พันเอกหนุ่มตอบ นายพลพิภพเลื่อนถ้วยกาแฟให้
 
“ผมรบกวนคุณจริงๆ”ท่านนายพลเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ นายทหารหนุ่มยิ้ม
 
“มิเป็นไร ขอแค่กระผมได้ช่วยท่านนายพลแบ่งเบาความทุกข์ใจก็ยินดี”
 
ดวงตาของท่านนายพลเต็มไปด้วยความเครียด
 
“ถ้าหากพูดกับธารเอง แกก็คงไม่ยอมบอกตามความรู้สึกจริงๆซักที ...”
 
ท่านนายลเองพูดด้วยความไม่สบายใจ พันเอกชานเนนจ้องเสี้ยวหน้าผู้เป็นเหมือนพญาอินทรี มาบัดนี้เป็นได้ตาแก่ที่มีความรักความห่วงใยต่อบุตรล้นเหลือ
 
“ครับ คุณหมอธารเป็นคนดื้อดึงไม่เบา ผมพูดอะไรนิดๆหน่อยๆผิดหูไปนิดเดียวเป็นต้องโกรธ”
 
ชายหนุ่มกล่าวถึงคุณหมอต้นธาราด้วยน้ำเสียงอาทร
 
“เห็นเงียบๆแบบนั้นตอนดีก็ดีหายตอนโกรธขึ้นมาขนาดผมดุแล้วยังคุมไม่ได้”
 
ท่านนายพลกล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ หากในแววตายังมีความเศร้าเคลือบคลุม...ต้นธาราเอง ‘แรง’แค่ไหนท่านทราบดี...แค่เหตุการณ์ที่ทำเรื่องย้ายไปประจำชายเเดนทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัวร้ายเเรง มันเป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่เเสดงให้เห็นความ ‘เเรง’ของต้นธาราเป็นอย่างดี 
 
“ท่านนายพลเคร่งเครียดเกินไปแล้วครับ“
 
พันเอกชานเนนกล่าว นายพลพิภพเอนหลังพิงพนักโซฟา สายตาทอดมองไปไกลแสนไกลก่อนจะกลับมาจริงจังเช่นเดิม
 
“หึ....สำหรับคนแก่แล้วก็เป็นแบบนี้ล่ะ ขี้กังวล...ผมก็พูดเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ขอโทษที”
 
ชายชราลุกไปหยิบเอกสารเรื่องของธีรเดชยื่นให้แก่ทูตทหารหนุ่มจากพม่า
 
“ครับ...”สายตาของชานเนนกวาดตามองรายละเอียดปลีกย่อย
 
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับกองโจรกู้แผ่นดินโดยมีนายพลอินคานเป็นผู้นำ”
 
นายพลพิภพกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยียบเมื่อเอ่ยถึงเรื่องงาน  พันเอกชานเนนสูดลมหายใจลึกๆ
 
“ทางเราจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่”
 
ชานเนนเอ่ย ท่านนายพลลุกขึ้นเมื่อถึงเวลาประชุม
 
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”
 
ท่านนายพลเชิญตัวแทนทูตทหารจากพม่าเข้าไปในยังห้องประชุม
 
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-09-2008 20:01:57
“ไอ้เสือมีหนังสือราชการส่งมาถึงเอ็ง”
 
ผู้พันมีทรัพย์ตะโกนมาแต่ไกล  ภานุเงยหน้าขึ้นมองขณะมาเยี่ยมอาการของจ่าแม้นและร้อยเอกรังสรรค์
 
“เรื่อง? มีอะไรหรือเปล่าครับผู้พัน”
 
ชายหนุ่มลุกขึ้นรับซองเอกสารจากมือผู้พันมีทรัพย์ ซองประทับตราด่วนพิเศษและประทับตราสีแดงเป็นสัญญาลักษณ์ว่าลับมาก มันเป็นซองปิดผนึกมั่นคง ทำให้ชายหนุ่มรีบเก็บจดหมายไว้ในอกเสื้อ
 
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่นะ”น้ำเสียงของผู้พันเคร่งเครียด
 
“ครับ...ดูท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวผมขอไปดูหนังสือก่อนนะครับ”
 
ภานุรีบจ้ำเท้าออกจากโรงพยาบาลเล็กๆ ระหว่างทางก็สวนกับผู้หมวดอานุภาพ
 
“มาเยี่ยมจ่าแม้นกับผู้กองรังสรรค์หรือครับ”
 
ภานุเอ่ยทักเมื่อเห็นหน้า สีหน้าของอานุภาพเรียบเฉย
 
“ครับ ได้ข่าวว่าทั้งคู่กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่ค่ายแล้วก็เลยคิดมาเยี่ยมสักหน่อย”ร้อยตรีอานุภาพกล่าว
 
“เชิญเลยครับ ผู้พันก็อยู่ด้วย”ก่อนที่ภานุจะเดินไป หมวดอานุภาพก็ชวนคุยต่อ
 
“ครับ...แล้วผู้กองภานุหายดียังครับ อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
 
สายตาขรึมๆมองอดีตลูกทีม ก่อนชายหนุ่มจะยิ้มให้
 
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว...ขอบคุณในความเป็นห่วง”ถึงคำพูดจะเย็นชา หมวดอานุภาพก็ไม่ถือสา
 
“โชคดีจริงๆที่หายเร็ว”
 
ร้อยตรีหนุ่มว่า สังเกตเห็นซองสีน้ำตาลซ่อนที่ไว้ในอกเสื้อของภานุ
 
“ไม่ตายก็ดีแล้ว”ภานุเอ่ย หมวดอานุภาพยิ้มแห้งๆ
 
 
“เดี๋ยวผมขอตัว มีธุระ”
 
หมวดอานุภาพผงกหัว ภานุเดินจ้ำอย่างรีบเร่งไปยังที่ทำงาน ฝ่ายอานุภาพเข้าเยี่ยมจ่าแม้นและร้อยเอกรังสรรค์ที่โรงพยาบาล
 
“อ้าว...มาเหมือนกันรึอานุภาพ”
 
หมวดอานุภาพยิ้มทักทายก่อนอันดับแรก
 
“ครับ...”
 
สายตาของอานุภาพจับจ้องร่างของจ่าแม้นและผู้กองรังสรรค์
 
“แย่หน่อยนะที่มาตอนพวกเขาหลับพอดี เอ่อ...จริงสิเจอภานุไหม น่าจะสวนทางกัน”
 
อานุภาพผงกหัวลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผู้พันมีทรัพย์
 
“เจอครับ ดูท่าทางผู้กองรีบร้อน มีอะไรหรือเปล่าครับ”อานุภาพลองแย้มถาม
 
“อ้อ ...มีเอกสารจากทางกองทัพฯส่งมาไม่รู้ว่าเป็นจดหมายอะไรกันแน่”
 
หมวดอานุภาพได้ฟังแล้วใจหายวาบหากยังตีสีหน้าเป็นปกติ
 
“เกี่ยวกับเรื่องที่ทางหน่วยเราลาดตะเวนแล้วถูกโจมตีหรือเปล่าครับ”
 
ผู้พันมีทรัพย์ส่ายหน้า“ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...อาจจะใช่ก็ได้ ทางกองทัพคงต้องการข้อมูลเพิ่มเลยเรียกหัวหน้าหน่วยไปสอบ”
 
 “เป็นเรื่องใหญ่น่าดู”
 
ผู้พันมีทรัพย์เห็นด้วย อานุภาพกำมือแน่นกับความรู้สึกคล้ายกับมีชนักติดหลัง
 
------------------------------------------------
 
ภานุฉีกซองสีน้ำตาลอย่างระมัดระวัง หยิบเอกสารข้างในขึ้นมาอ่าน ดวงตากร้าวหรี่ลง...เมื่อทางกองทัพเรียกตัวไปสอบปากคำ เขาต้องไปกรุงเทพ...ชายหนุ่มรู้สึกเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ ...เขาต้องไป...ทำไมเขารู้สึกกลัวขึ้นมา? ภานุถามตัวเอง มองเห็นรายชื่อบิดาของต้นธาราอยู่ในลิสต์รายชื่อก็ใจลอย มันเป็นหน้าที่เขาอยู่แล้ว ทำไมรู้สึกว่าไม่กล้าเผชิญหน้า? หลับตาลงนึกถึงร่องรอยหยาดหยดน้ำตารินไหลกลางใจ เหมือนกับเป็นความฝัน...ชั่วครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัวว่ามันคือความจริง.... ภานุตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบทำหนังสือรายงานตอบกลับด้วยหัวใจอ่อนล้า
 
------------------------------------------------
 
หลังจากจบการประชุมที่เคร่งเครียดและใช้เวลานานเกินกว่ากำหนด นายพลพิภพรีบรวบรวมเอกสารและกล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมประชุมทุกๆคนอย่างเร่งรีบเพื่อไปยังโรงพยาบาลที่บุตรชายเข้ารีบการรักษา เช่นเคยที่พันเอกชานเนนจะตามติดไปด้วย ระหว่างทางไปโรงพยาบาลท่านนายพลก็ได้คุยเรื่องทั่วไปหลายอย่างกับนายทหารอนาคตไกลด้วยความถูกคอ  พอไปถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับนายพลอรุณ
 
“อ้าว...มาเยี่ยมธารรึอรุณ”
 
ท่านนายพลพิภพทักเพื่อนเกลอ นายพลอรุณลุกขึ้นยิ้มให้สหายเก่า
 
“ใช่...แล้วนั่นใครรึ”
 
นายพลอรุณมองนายทหารหนุ่มร่างสูงแต่งกายเต็มยศ ใบหน้าสุขุม นายพลพิภพยิ้มร่าก่อนจะแนะนำให้ฟัง
 
“อ้อ...นี้พันเอกชานเนนเป็นทูตทหารจากพม่า ทางเราดึงตัวมาช่วยงานค้นหาธีรเดช”
 
“นี่คือนายพลอรุณเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยลาดตะเวนชายแดน”
 
นายพลพิภพแนะนำ พันเอกชานเนนจับมือทักทาย
 
“ได้เยี่ยมธารหรือยังล่ะ”
 
นายพลอรุณส่ายหัว“ยังเลย...เห็นสมบอกว่าตอนนี้กำลังเข้ารับเคมีบำบัด อีกสักชั่วโมงคงเยี่ยมได้”
 
ทั้งสามต่างหาที่นั่งคุย โดยเลือกร้านกาแฟในโรงพยาบาล
 
“แล้วนี่มาเยี่ยมธารอย่างเดียวหรือว่ามาทำธุระด้วย”
 
นายพลพิภพถาม สายตาของนายพลอรุณจับจ้องพันเอกหนุ่มเงียบๆ
 
“ก็มาทำธุระด้วยแล้วก็มาเยี่ยมหนูธารด้วย”
 
สายตาดุๆเหลือบมองพันเอกหนุ่ม ชานเนนยิ้มคล้ายกับรู้ว่านายพลอรุณกำลัง ‘ไล่’ตนจึงลุกขึ้นอย่างสุภาพ
 
“เดี๋ยวผมเอากาแฟมาให้นะครับ”
 
นายพลพิภพกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันมามองเพื่อนเกลอ
 
“แล้วมาทำธุระอะไรล่ะ”
 
“ก็มาส่งร้อยเอกภานุมาสอบปากคำ”
 
นายพลอรุณตอบเอื่อยเฉื่อย เมื่อได้ยินชื่อของภานุ ท่านนายพลพิภพก็ทำหน้าคล้ายกับไม่ชอบใจ
 
“ไอ้หมอนั่นมันมาด้วยรึ?”
 
“อื้ม...”นายพลอรุณรับคำอยู่ในลำคอ
 
“ก็รู้ดีไม่ใช่รึว่าทั้งธารกับเขาคิดอย่างไรต่อกัน”
 
นายพลอรุณกล่าว นายพลพิภพชักสีหน้า
 
“รู้....แต่มันดีแล้วหรือที่จะให้ทั้งคู่พบกันอีก”
 
นายพลพิภพค้าน นายพลอรุณถอนใจเฮือก
 
“มันอาจไม่ดีต่อทั้งสอง ถ้าอยากให้ตัดขาดกันจริงๆก็สมควรให้ทั้งคู่พูดกันเอง”นายพลอรุณว่า
 
“ถึงจะพูดหรือไม่พูด ผลมันก็มีค่าเท่าเดิมไม่ใช่หรือ”
 
คนเป็นพ่อไม่อาจทำให้ยอมรับได้  นายพลอรุณก็ได้แต่อ่อนใจ
 
“แล้วนั่นล่ะ....”นายพลอรุณพยักเผยิบหน้าไปทางพันเอกหนุ่ม นายพลพิภพถอนใจเล็กน้อย
 
“มันอาจจะดีต่อธารก็ได้ ...ชานเนนเข้ากับคนได้ง่าย ให้อยู่กับธารสักพัก ธารอาจจะดีขึ้นกว่าตอนนี้ก็ได้”นายพลพิภพว่า อรุณจ้องมองพันเอกชานเนนเขม็ง
 
------------------------------------------------
 
ภานุจ้องมองเงากิ่งไม้เอนไหวขณะนั่งรอท่านนายพลอยู่หน้าโรงพยาบาล ชายหนุ่มไม่กล้าเข้าไปทั้งๆที่ใจอยากไปหาแทบขาด ชายหนุ่มกุมขมับ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ท่านนายพลอรุณไปหลายนาทีแล้ว...กลัวเหลือเกิน...กลัวว่าท่านนายพลอรุณจะพูดถึงเขา...ขมขื่นใจที่ไม่อาจไปสู้หน้าได้อีก แล้วชายหนุ่มต้องลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก
 
“เป็นอย่างไรบ้างครับท่าน”
 
ภานุเอ่ยถาม สีหน้าของนายพลอรุณนั้นไม่สู้ดีเท่าไรนักจนผู้ที่รอฟังนั้นรู้สึกแย่
 
“ธารกำลังเข้ารับการบำบัดอยู่ หลังหนึ่งชั่วโมงจะให้เข้าพบได้”
 
สีหน้าของผู้กองหนุ่มโล่งอก
 
“จะไม่ไปพบธารจริงๆหรือ”
 
ภานุอ้ำอึ้ง “คงไม่ครับ ปล่อยไว้อย่างนี้ดีแล้วครับท่าน”
 
“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
 
ท่านนายพลเห็นอกเห็นใจ เมื่อเห็นใบหน้าหม่นหมองของชายหนุ่ม
 
“มันดีต่อทั้งสองฝ่ายแล้วครับท่าน”ภานุเอ่ย นายพลอรุณส่ายหน้า
 
“คิดแบบนี้ไม่สมกับเป็นความคิดของทหารเลย”
 
ภานุมองพื้น สายตาของนายพลอรุณเเสดงความผิดหวัง
 
“งั้นก็กลับ”
 
ภานุก้าวตามหลังนายพลอรุณ
 
“นี่อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายจริงๆ มีโอกาสเรียกนะพ่อหนุ่ม”
 
ดวงตาของภานุสั่นพร่า ...หัวใจมั่นคงคลอนเเคลน
 
“บอกไว้ก่อนนะว่าพ่อของหนูธารไม่ค่อยชอบหน้าแกนัก”
 
ภานุรู้แน่แก่ใจในข้อนี้ ชายหนุ่มพยายามขับไล่ความหวาดหวั่นออกจากใจ...ครั้งสุดท้าย...ที่จะได้พบกัน....ขอครั้งสุดท้าย
 
“ครับท่าน...”ชายหนุ่มรับคำเพียงสั้นๆ
 
“แล้วอีกเรื่องหนึ่ง...”
 
ท่านนายพลคิดจะพูดแต่ก็เงียบไป ภานุมองเสี้ยวหน้าผู้เป็นเหมือนพ่อบุญธรรมของต้นธารา
 
“อะไรครับท่าน”
 
“เปล่า ไม่มีอะไร”
 
ชายหนุ่มองใบหน้าขรึมๆ ไม่กล้าถามอะไรจนกระทั่งไปถึงห้องพักฟื้นของต้นธารา เสียงหัวเราะและคำพูดกล่าวเป็นภาษาอังกฤษแว่วเข้าหูจนภานุประหลาดใจ
 
“คงเข้าเยี่ยมได้เเล้วล่ะ”
 
ท่านว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เปิดประตูห้องออก ภานุก้าวตามหลัง สียงหัวเราะเงียบไปทันทีที่ร่างสูงหยุดนิ่งต่อหน้าต้นธารา ดวงตาสั่นพร่า เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยมองอย่างตะลึง ภานุมองดวงหน้าซีดขาวอย่างอาลัย
 
“คุณ...”ริมฝีปากแห้งผากอุทานแผ่ว
 
“พาผู้กองมาเยี่ยม”
 
นายพลตบบ่าภานุอย่างสนิทสนม รอยยิ้มของท่านผุดขึ้น มองคนในห้องเงียบกริบ ต้นธาราที่ยังอ่อนเพลียเพราะฤทธิ์ยาได้แต่มองตาปริบๆ นายพลอรุณดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ป้าสมยิ้มแย้มต้อนรับเมื่อเจอกับนายพลอรุณ อดีตมิตรสหายของนายท่าน ส่วนพันเอกชานเนนจ้องชายหนุ่มผู้ที่ยืนข้างนายพลอรุณราวกับจับผิด...ต้นธารามองเสี้ยวหน้าที่เคยโหยหา ทำนบน้ำตาที่พยายามกล้ำกลืนเเทบพังทลาย
 
...มันสายเกินไป...
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 04-09-2008 10:03:25
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

อะไรสาย

ไม่สายนี่  ไม่นะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 04-09-2008 10:10:32
รออ มาต่อ คะเพือนสาวววววววว :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 04-09-2008 13:26:48
ไม่นะ  :serius2:  อะไร คือ สายเกินไป   
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 04-09-2008 23:50:29
(http://i239.photobucket.com/albums/ff173/love_u_ja/web/12thaiboy-1.jpg) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5905.0)

คลิ๊กที่รูปโปสเตอร์เพื่อเข้าสู่กระทู้
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-09-2008 07:34:06
ว้าวๆ โปสเตอร์สวยเชียว  :m4:

มารอพิมเท่ร๊ากกกกกกก คิดถึงตะเองมากๆ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 05-09-2008 10:00:02
ไม่ไหวแล้ววววว .....มันทรมาณเกินไปแล้วค๊าบๆๆๆ :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-09-2008 18:40:57
อิอิ  ใจเย็น  อย่าเพิ่งปวดตับกันไป   :m15:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 6 sensibilité/ หวั่นไหว
 
“เราควรออกเดินทางได้แล้วกระมัง”ธีรเดชว่า
 
 กิ่งไผ่กอดอก ใบหน้าแดงน้อยๆนั้นผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย
 
“งั้นก็รีบเถอะ”
 
กิ่งไผ่ช่วยชายหนุ่มเก็บของ ตัวเองก็ไอแค่กๆ ธีรเดชเห็นแล้วรู้สึกเห็นใจ
 
“ไหวไหม เราพักสักคืนก็ได้นะ”

กิ่งไผ่ยิ้ม แสดงความอดทนบนสีหน้า
 
“ไม่เป็นไร เราต้องไป ถ้าหากอยู่นานอาจถูกตามล่า”
 
กิ่งไผ่ว่า นึกหน้าของกฤษดาด้วยความเกลียดชัง เพราะมันเป็นคนทรยศ  ทำลายรากฐานในการกอบกู้ชาติ
 
“แต่ผมว่าอาการของคุณ...”

กิ่งไผ่รวบผมขึ้น ท่าทีเข้มแข็งจนธีรเดชนึกทึ่ง
 
“ผมถูกฝึกมาไม่ให้อ่อนแอ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
 
 ธีรเดชเงียบไป กิ่งไผ่ขนของลงในเป้สนาม ใบหน้ามีเหงื่อไหลซึม ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง มือยันพื้น รู้สึกพื้นดินโคลงเคลงไหววูบ ธีรเดชละจากการเก็บสัมภาระ เข้ามาดูอาการ
 
“แน่ใจหรือว่าจะไม่พักจริงๆ”
 
นายทหารหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง  กิ่งไผ่ฝืนยิ้ม ทั้งๆที่รู้ตัวดีว่าควรพักอีกหน่อย หากก็ฝืน
 
“บอกแล้วว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
 
กิ่งไผ่ปัดมือที่ยื่นเข้ามาช่วยออก ธีรเดชระอากับความดื้อดึง  กิ่งไผ่ลุกขึ้นแบกเป้หนักๆ
 
“เป้นั่นส่งให้ผมเถอะ”
 
กิ่งไผ่ทำเมินเฉยต่อคำสั่ง หยิบปืนส่งให้ชายหนุ่ม ธีรเดชรับอย่างว่องไว
 
 
“ต่อให้ผมป่วยขนาดไหน ผมก็มีแรงแบกของ เก็บอาวุธของคุณเถอะ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงคอยกินแรงหรอก”
 
นายทหารจากไทยถอนใจ เก็บสัมภระที่เหลือและกลบเกลื่อนร่องรอยของการก่อไฟ
 
“ผมให้คุณนำทางคงได้ใช่ไหม?”
 
ธีรเดชไม่เซ้าซี้ช่วยเหลือ  กิ่งไผ่ผงกหัว ก้าวเดินก้าวแรกก็แทบเซจึงตั้งใจเดินด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
 
“จะไปไหน”
 
ร่างโปร่งหันมาถามนายทหารจากไทย ธีรเดชตอบทันทีว่าอยากกลับประเทศของตัวเอง กิ่งไผ่ยิ้มแล้วรู้สึกวูบในอก เพราะชายหนุ่มมีที่ให้กลับ แต่เขาไม่มีอะไรเลยแม้แต่ประเทศจะให้อยู่
 
“...งั้นต้องไปทางด้านนี้ แต่ต้องเสี่ยงดวงเอาหน่อยล่ะ”
 
นึกถึงใบหน้าของพ่อ ไม่รู้เจ้าขิ่นจะพาหนีไปไหน...อยากเจอ เพราะอย่างน้อยๆมันก็คือครอบครัวของเขา ดวงตาสีดำสนิทแฝงความเศร้าโศกเเลดูงดงาม ดุจอัญมณีหายาก จนธีรเดชเผลอมอง
 
“จ้องอะไร”
 
กิ่งไผ่หันมาถามเสียงดุๆ  ธีรเดชซ่อนดวงตาชื่นชมเอาไว้
 
“เอ่อ...เปล่า”
 
กิ่งไผ่ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ธีรเดชนับถือในความเข้มเเข็ง  กิ่งไผ่หันหน้ากลับไป การเดินเริ่มเชื่องช้าลง ชายหนุ่มหยุดอยู่ทางแยก มือเท้าต้นเต็ง มองทิศที่จะไปด้วยดวงตาพร่ามัว
 
“ให้ผมแบกเป้เถอะแล้วเราค่อยหาที่พักกัน”
 
ธีรเดชไม่สนว่ากิ่งไผ่จะปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ชายหนุ่มปลดเป้แสนหนักออกจากแผ่นหลังของร่างโปร่ง
 
“มันเป็นของผม ผมจะรับผิดชอบเอง”
 
ธีรเดชกล่าวเมื่อดวงตาสีดำสนิทจ้องมาอย่างไม่พอใจ แล้วกิ่งไผ่ก็ทรุดฮวบ เหงื่อแตกพลั่ก ธีรเดชวางเป้สนามลง  อังหลังมือเข้ากับหน้าผาก
 
“ตัวร้อนนี่ ท่าทางจะไข้กลับ”
 
ชายหนุ่มร้อนใจ ค้นหายาในกระเป๋าพร้อมกระติกน้ำยื่นยาใส่ปาก กิ่งไผ่ปัดมันออก
 
“ผมยังไม่ตายเสียหน่อย”
 
แม้ปากจะพูดแบบนั้น เรี่ยวแรงทั้งหมดพลันหายไป พยายามจะลุก เข่าก็อ่อนยวบ ธีรเดชประคับประคองร่างบางแนบอก กิ่งไผ่หลับตาลง วิงเวียนศีรษะยิ่งนัก ใบหน้าพิงอกแกร่ง ธีรเดชถอนใจ สุดท้ายความดื้อดึงก็แพ้ฤทธิ์ไข้ จับศรีษะคนดื้อหนุนตัก
 
“คุณนี่ก็เป็นคนที่มีทิฐิแรงกล้าจริงๆ”เสียงของชายหนุ่มเหมือนดังมาจากดินเเดนเเสนไกล
 
“มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ นับตั้งแต่เวียงนวรัฐะล่ม นับตั้งแต่แม่ตาย...”
 
ริมฝีปากซีดพึมพำ ธีรเดชขมวดคิ้วฟังคำละเมอ
 
“เวียงนวรัฐะหรือ?”
 
ศีรษะที่นอนทับต้นขาผงกตอบ น้ำเสียงเจือความอ่อนล้าค่อยๆแผ่วเบา
 
“แม่...แม่..”
 
กิ่งไผ่เพ้อเพราะพิษไข้รุมเร้า  ธีรเดชหยิบผ้าขาวม้าเทน้ำในกระติกซับหน้าผากร้อนผ่าว ในอดีตคนๆนี้เก็บซ่อนอะไรไว้กันแน่นะ?
 
“แม่...พ่อ...”
 
ความทรงจำระลึกย้อนวันที่ตัวเองต้องออกจากเมืองเพื่อไปศึกษาต่อที่เวสพอยท์ ช่วงเวลาที่ทรมานใจ ต้องผ่านวันเวลาที่ยากลำบาก เพื่อกอบกู้บ้านเมือง!
 
“คุณ...”
 
ใบหน้าเข้มแข็งละลายหายไป คนในอ้อมเเขนเเสดงให้เห็นถึงความทนทุกข์ทรมานที่เก็บซ่อนไว้  ดวงตาธีรเดชจับจ้องอย่างพิศวง จะใช่ตัวตนจริงๆรึเปล่านะ? กอดร่างที่พร่ำเพ้อเอาไว้แน่น เกลี่ยหยดน้ำตาไหลหลั่งรินไม่ขาดสาย
 
“ร้องไห้เพราะอะไรกัน?”ชายหนุ่มถามตัวเองด้วยความสงสัย กิ่งไผ่ก็จับแขนของนายทหารหนุ่มไว้แน่นราวกับจะไว้เป็นหลักยึดไว้จากฝันร้ายในอดีต
 
------------------------------------------------
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-09-2008 18:46:15
“ลูกหลับอยู่ตรงนี้ระวังเป็นหวัดนะจ๊ะ”
 
น้ำเสียงกังวานใสเอ่ยกับเด็กชายวัยเก้าขวบ ดวงตาใสแจ๋ว มีแต่ความเดียงสา รอยยิ้มของหญิงสาวอบอุ่นยิ่งนัก นางปลดผ้าลงมาคลุมกายให้เด็กชาย
 
“แม่...เมื่อไรพ่อจะกลับมาฮะ”
 
เด็กชายถาม มือนุ่มลูบศีรษะของเด็กชายด้วยความรักใคร่ ใบหน้างดงามแย้มยิ้ม
 
“พ่อทำงานจ้ะ ตอนนี้อย่ากวนพ่อเลย”
 
องค์หญิงมนัสหยากล่าวกับบุตรชาย ดวงหน้าเล็กๆที่ถอดพิมพ์เดียวกันกับนางเเสดงอาการไม่พอใจเเบบเด็กๆ
 
“แต่พ่อพวกเราไปหลายวันแล้วนะ ไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อนเลย”
 
เด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง สีหน้าขององค์หญิงลำบากใจ
 
“พ่อทำเพื่อลูกและเพื่อประเทศของเรานะจ๊ะลูก”
 
นางเอ่ยให้เหตุผลแต่เด็กชายกอดอก ทำหน้าไม่เข้าใจ
 
“ผมไม่ชอบเลย ถึงแม้จะทำเพื่อผมหรือใครก็ตาม แต่พ่อน่าจะให้เวลาเรามากกว่านี้ ผมเกลียดจริงๆเรื่องการเมือง”
 
องค์หญิงมนัสหยาจับใบหน้าของบุตรชายสบตาตน
 
“ลูกอย่าพูดอย่างนั่นสิจ้ะ ในอนาคตลูกต้องทำแบบนั้น ลูกต้องกลายเป็นผู้นำประเทศ”
 
เด็กน้อยกอดอก“แหวะ ลูกว่าลูกไปเป็นพ่อค้าเสียยังจะดีกว่า”
 
เจ้าหญิงมนัสหยายิ้มขำๆกับความคิดของบุตรชาย
 
“ไผ่...ตอนนี้ลูกยังไม่เข้าใจหรอกจ้ะ เอาไว้ลูกโตลูกจะเห็นว่าพ่อทำเพื่อเรามากถึงเพียงไหน”
 
ลูบเส้นผมนุ่มสลวย...ตอนนั่นกิ่งไผ่ไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญ...เขาไม่รู้เลยจนกระทั่งทุกอย่างสูญสลาย บ้านเมือง ครอบครัวต้องแตกซ่านกระเซ็นกลายเป็นคนไร้หลัก เฝ้ารอวันชิงอำนาจกลับคืนมา
 
------------------------------------------------
 
สีหน้าคนหนุนตักทุกข์ทรมาน นิ้วมือที่กำลำเเขนเขาไว้สั่นระริก  ธีรเดชพยายามเขย่าตัวคนที่หลับใหล หากกิ่งไผ่ก็ไม่ขยับ จนปัญญาที่ธีรเดชจะปลุก
 
“ธี...”
 
คำพูดลอดจากริมฝีปากแผ่วเบา ก่อนดวงตาเอ่อล้นด้วยหยาดหยดน้ำใสๆจะลืมตาขึ้น สบดวงตาของธีรเดชที่ก้มมองมา  ธีรเดชรู้สึกหวั่นไหวและนึกสงสารต่อสายตาคู่งาม จู่ๆคนป่วยลุกขึ้น ก่อนโผกอดเขาไว้แน่น ธีรเดชนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับท่าทีแบบนี้ วงแขนยกขึ้นเก้ๆกังๆไม่รู้ว่าจะกอดปลอบดีหรือว่าปล่อยให้กิ่งไผ่กอดเขาไว้เพียงฝ่ายเดียว สุดท้ายแล้วลำแขนโอบรอบเอว กอดประโลม รู้สึกถึงบ่าเปียกชุ่ม เฝ้ามองคนที่ร้องไห้โดยที่ไม่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นเเม้เเต่นิดเดียว กิ่งไผ่พยายามข่มความอ่อนแอที่เผลอเเสดงออกในชั่วขณะ...เพราะรู้ดีว่า หากเมื่ออ่อนเเอลงเมื่อใด จะสูญสิ้นสิ่งที่พยายามกอบกู้ไว้ในอุ้งมือคู่นี้
 
เขาไม่เคยร้องไห้มากถึงขนาดนี้ ได้แต่โทษพิษไข้ที่ทำให้เป็นแบบนี้ รู้สึกตัวว่าอาศัยอ้อมแขนแข็งแรงดุจปราการขับไล่ความเศร้าโศก  ธีรเดชยื่นผ้าขาวม้าให้ กิ่งไผ่ไม่รับ ปล่อยให้น้ำตาแห้งเหือดไปเอง
 
“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
 
ธีรเดชถามขึ้นมาเป็นคำแรกหลังจากฟังเสียงร้องไห้เงียบๆ กิ่งไผ่คลายอ้อมกอด ผงกหัวหยิบผ้าขาวม้าเช็ดคราบน้ำตา
 
“พอแล้ว...”
 
น้ำเสียงที่ตอบแข็งๆและเฉยเมย ธีรเดชรับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ทันเลย สีหน้าอ่อนแอเลือนหายไปอีกครั้ง คงเหลือเค้าโครงหน้าเฉยเมย
 
 
“ผมพักพอแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเสียเวลา”
 
กิ่งไผ่ลุกขึ้น ธีรเดชลุกตาม ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าเขาไว้วางใจคนๆนี้ได้มากแค่ไหน แผ่นหลังนั่นแบกรับอะไรไว้บ้างนะ?
 
‘คราวหลังจะไม่ให้เป็นอย่างนี้อีก!’
 
กิ่งไผ่เตือนตัวเอง ตัวเองพยายามปิดปากแน่นกับเหตุผลว่าทำไมถึงต้องร้องไห้ ยังดีที่เพื่อนร่วมทางไม่ไต่ถามอะไร ร่างโปร่งจึงไม่ต้องอธิบายมากนัก มือกระชับผ้าขาวม้าเเน่น
 
“อีกนานไปที่จะพ้นเขตพม่า”
 
ธีรเดชนิ่งเงียบมานานเอ่ยถาม ทำให้กิ่งไผ่สะดุ้ง
 
“ต้องดูก่อนแหละว่าเราจะข้ามป่าพ้นไหม ถ้าโชคดีก็ห้าวัน ถ้าโชคร้ายก็เป็นอาทิตย์ๆ ต้องดูด้วยล่ะว่าไอ้พวกทรยศจะตามล่าผมไหม”
 
กิ่งไผ่เอ่ย ธีรเดชเลิกคิ้วกับคำพูดเหล่านั้น
 
“ทรยศรึ หมายความว่าอะไร”
 
“ไม่จำเป็นที่ผมต้องบอกคุณ”
 
ธีรเดชชักฉุนขึ้นมาบ้าง เพราะรู้สึกว่าเขาจะกลายเป็นตัวงี่เง่า จะให้เขารู้อะไรบ้างไม่ได้เลยรึไง ชายหนุ่มแสร้งยกปืนขึ้น เล็งไปยังกิ่งไผ่
 
“คุณพูดแบบนี้แสดงว่าไม่ไว้ใจผม แล้วที่ผ่านมาล่ะเป็นเรื่องอะไรกัน?”
 
ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด กิ่งไผ่ชะงัก แต่ไม่หันหลังมาแม้แต่น้อย
 
“แล้วคุณทำไมคิดช่วยผมล่ะ คุณไว้ใจผมเอง”
 
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ย ธีรเดชจ้องเขม็ง
 
“หากคุณไม่ไว้ใจคุณก็ยิงทิ้งตรงนี้เลยสิ บอกแล้วไงว่าหากไม่ไว้ใจกันต้องทำเช่นไร”
 
ดวงตาธีรเดชนั้นเยียบเย็น กิ่งไผ่ก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ในที่สุดชายหนุ่มก็เหนี่ยวไกปืน เสียงปืนดังก้องสะท้านป่าเงียบสงบ กิ่งไผ่ไม่ได้หลับตา และเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ บรรยากาศตึงเครียดเข้าครอบงำ
 
“ผมมีสิทธิ์ยิงคุณแต่ผมก็ทำไม่ลง...เพราะอะไร เพราะผมไว้ใจน่ะสิ”
 
กิ่งไผ่ยิ้มหยัน“งูเห่าน่ะเลี้ยงไม่เชื่องหรอก”
 
 ธีรเดชทอดรอยยิ้มน่ากลัว สีหน้าที่เคยใจดีอยู่เสมอบิดเบี้ยวด้วยโทสะที่อีกฝ่ายจุดชนวนขึ้น
 
“งั้นผมก็คงต้องฆ่างูเห่าตัวนั้นก่อนที่มันจะแว้งกัดสินะ?”
 
 “นั่นมันแล้วแต่คุณจะตัดสินใจ เพราะผมไม่มีอะไรเลย”
 
กิ่งไผ่แบมือออก เเสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่มีอะไรตอบโต้ชายหนุ่มได้ ธีรเดชเดินเข้าไปใกล้ กิ่งไผ่ถอยหลัง ท่าทีระเเวดระวัง นายทหารหนุ่มวางปืนลง ก่อนฉุดข้อมือบางเข้ามาใกล้ กอดเอาไว้ กิ่งไผ่นิ่งอึ้ง พยายามขัดขืนจากอ้อมแขน
 
“คุณคงอยู่ตัวคนเดียวสินะ?  ผมไม่รู้ว่าคุณประสบเหตุการณ์เลวร้ายอะไรมา แต่ผมขอร้องอย่างหนึ่งได้ไหม ขอให้คุณไว้วางใจผมจริงๆเถอะ เพราะผมคงไม่อยากฆ่าหรือต้องขู่ให้คุณกลัว การที่เราอยู่แบบนั้นมันต่างลำบากใจทั้งสองฝ่าย ผมรู้ว่าคุณเข้มแข็งแต่ขอร้องเถอะให้แสดงความอ่อนแอออกมาบ้างก็ดีแม้ว่าคุณจะเป็นผู้ชายและแข็งแกร่งก็ตาม”
 
กิ่งไผ่รับฟังคำพูดของธีรเดชราวกับลำธารไหลผ่านใจให้ชุ่มชื่น ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ดังดอกไม้รอผลิบาน
 
“หากเจอเรื่องเลวร้ายใดๆผมก็อยากรับรู้ความทุกข์ที่มี...อย่างน้อยช่วงเวลาสั้นๆนี้เราต้องเป็น ‘เพื่อนตาย’ ”
 
 กิ่งไผ่ยังไม่ยอมตอบ นิ่งเงียบอยู่นานก่อนเริ่มเอ่ย
 
“ผมไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอดีตน่าเศร้าให้ใครฟังหรอก ผมขอบคุณที่คุณใจดี แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
 
ธีรเดชรั้งบ่าของกิ่งไผ่เอาไว้ สบสายตาสีดำสนิทอย่างค้นหา
 
“แน่ใจหรือว่านั่นเป็นคำตอบจริงๆ แล้วทำไมคุณต้องร้องไห้”
 
เกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าจนเผยให้เห็นดวงหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ กิ่งไผ่ปัดมือของธีรเดชออก เบือนหนีจากสายตาที่ค้นหา อีกใจอยากจะพูด อีกใจก็เงียบ พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ แม้ชายคนนี้จะดีแสนดีสักเท่าไร เเต่ก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจง่ายๆกระทั่งพูดเรื่องที่เก็บซ่อนไว้ในใจ
 
“อย่าให้ผมต้องพูดถึงมันได้ไหม”
 
กิ่งไผ่ตอบ รู้สึกสายตาคู่นี้จะกดดันเหลือเกิน ธีรเดชถอนใจ
 
“ผมขอโทษที่บังคับคุณ”
 
ชายหนุ่มปล่อยมือจากลำแขน ดวงตาฉายแววเสียใจจริงๆ
 
“หากคุณไว้ใจผมจริงๆก็บอกผมนะ”
 
ธีรเดชเก็บปืน ยิ้มให้กิ่งไผ่...ยิ่งมองใบหน้าใจดีมากเท่าไร กิ่งไผ่ก็ยิ่งเกลียดตัวเองเพราะความรู้สึกเอนเอียงไปกับความใจดีเมื่อได้ใกล้ชิดนานวัน
 
------------------------------------------------
 
ภานุถือช่อดอกกุหลาบ ไม่แน่ใจสักเท่าไรนักว่าการที่ตัวเองกลับมายังที่นี่จะถูกต้องหรือไม่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจ สีแดงสดของดอกกุหลาบดอกใหญ่เป็นของกำนัลจากท่านนายพลอรุณ ร้อยเอกหนุ่มลังเลเพราะไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้ เดินเข้าไปข้างในด้วยใจหวั่นๆ ใกล้ถึงห้องของต้นธาราแล้ว ภานุหยุดอยู่หน้าประตู เริ่มลังเลใจอีกครั้งก่อนลงมือเคาะประตู รอคอยให้คนมาเปิดให้ ไม่นานนักร่างของหญิงชราเปิดรับมองอย่างสงสัย
 
“มาเยี่ยมคุณหนูหรือเจ้าคะ”ป้าสมเอ่ยถาม ภานุผงกหัวก่อนจะเอ่ยตอบ
 
“ครับ...ผมมาเยี่ยมคุณหมอต้นธารา เอ่อ...ท่านนายพลอรุณฝากดอกไม้มาด้วย”
 
ป้าสมมองใบหน้าดุดันของชายหนุ่มก่อนเชิญเข้าห้อง ภานุย่างก้าวเข้าไปได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและใบหน้าเปี่ยมสุขก็นิ่งงันไป
 
“คุณหนูคะ มีคนมาเยี่ยมค่ะ”ป้าสมเอ่ยเรียก
 
ต้นธาราละจากการคุยกับพันเอกชานเนน หันมองแม่นม
 
“ใครหรือ?”
 
ชายหนุ่มสงสัยว่าใครกันที่มาเยี่ยมเขา ภานุเก้าเข้ามาใกล้  ริ้วรอยความสดใสและรอยยิ้มเมื่อครู่ไม่เหลือให้เห็นเมื่อทราบว่าใครมาเยี่ยม
 
“ผมมาเยี่ยมคุณ นายพลอรุณท่านฝากดอกไม้มาให้ด้วย”
 
ภานุยื่นช่อดอกไม้ให้ ป้าสมรับแทน นำไปวางไว้บนโต๊ะ ส่งสายตาเเสดงความไม่พอใจนักให้ทูตทหารจากพม่า วันนี้พันเอกชานเนนแต่งตัวสุภาพยิ่งนัก เชื้อเชิตร์คอโปโลสีขาวสะอาดรับกับกางเกงสีดำและรองเท้าหนังขัดมันวับ ผิดกับภานุที่แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีเก่ามัว กางเกงลูกฝูกสีซีดเช่นกัน
 
“ผมขอบคุณมากที่ผู้กองมาเยี่ยม”
 
ต้นธาราเอ่ย แม้คำพูดจะยินดีแต่มันก็ห่างเหินอยู่ในที ภานุกลืนน้ำลาย
 
“ไม่เป็นไร”
 
อีกฝ่ายตอบราวกับไม่รู้จักกันจนภานุไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี ภานุรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ที่นี่เลย พันเอกชานเนน
ส่งรอยยิ้มทักทายผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มของสุภาพบุรุษ!
 
“แล้วคุณหมอจะได้ออกจากโรงพยาบาลวันไหน”ภานุเอ่ยถาม ต้นธาราเงียบไป
 
“ยังไม่รู้เลยเจ้าคะ ต้องดูอาการของคุณหนูก่อนว่าทุเลาลงหรือยัง”
 
ป้าสมเป็นคนตอบ ต้นธาราเบือนหน้าหนี เอ่ยกระซิบบางอย่างกับพันเอกหนุ่มด้วยท่าทีสนิทสนม  ชานเนนก้มฟัง ภานุอึดอัดใจและโมโหโดยไม่มีเหตุผล พันเอชานเนนลุกขึ้นก้มหัวให้ภานุก่อนเดินออกไปข้างนอก
 
“ป้าสมผมอยากดื่มน้ำผลไม้จัง”ต้นธาราเอ่ยกับอดีตเเม่นม
 
“เดี๋ยวป้าไปซื้อให้นะเจ้าคะ”นางรีบสนองต่อความต้องการของคุณหนู
 
เมื่ออยู่ตามลำพัง ต้นธารามองใบหน้าผู้กองด้วยสายตาเบื่อหน่าย
 
“มีอะไรอีกครับ ผู้กองมาที่นี่เพื่อมาดูผมตายหรือ”
 
ต้นธาราประชด ภานุกำมือแน่น
 
“เปล่า...”ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
 
“แล้วมาทำไมอีก?”ต้นธาราถาม
 
นายทหารหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเตียง อยากจะพูดแก้ไขความเข้าใจผิดแต่ก็พูดไม่ออก
 
“ผมมาเยี่ยมคุณไม่ได้หรือ”
 
ภานุมองใบหน้าซีดขาวด้วยเเววตาอาวรณ์ ต้นธาราหลับตาลง
 
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้นี่ครับ”ต้นธาราตอบด้วยน้ำเสียงเเข็งๆ
 
“ทำไมต้องพูดแบบนั้นล่ะก็ในเมื่อเรา...”
 
ชายหนุ่มจะเอ่ยว่าเป็นคนรัก สุดท้ายก็ไม่อาจพูดไป
 
“แล้วไงครับ...เราเป็นอะไรกัน...ไม่ใช่เเค่ผมเป็นที่ระบายอารมณ์คุณหรือ? “
 
ภานุกำมือของต้นธาราไว้ สัมผัสกับความอ่อนโยน เเต่อีกฝ่ายชักมือออก
 
“ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างเลย”
 
ชายหนุ่มเริ่มโมโห ต้นธาราสบตา ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยหวั่นไหวใฝ่หาความรักกลับแข็งกร้าว
 
“ผมไม่จำเป็นต้องฟังคนเห็นแก่ตัวอย่างคุณ”
 
“รู้สึกปีกกล้าขาแข็งขึ้นนะ”ชายหนุ่มยอกย้อนบ้าง
 
 ต้นธารารับฟังคำเสียดสีด้วยความเจ็บปวดใจ
 
“ผมจะเปลี่ยนไปยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
 
ภานุหัวเราะเสียงห้าวลึก“แสดงว่าที่เป็นแบบนี้ได้เพราะหาคนใหม่ได้แล้วสินะ”
 
“คนไร้ค่ายังไงก็เป็นคนไร้ค่าอยู่ดี”
 
ต้นธาราลุกขึ้น อาศัยแรงที่มีตบใบหน้าผู้กอง ภานุไม่เจ็บหรอกแต่เขาปวดในอกมากกว่า ดวงตาทั้งสองจ้องกัน อีกฝ่ายโกรธขึ้ง อีกฝ่ายหึงหวง ต่างอารมณ์จนทำให้การพบหน้ากันใกล้ถึงจุดระเบิด
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 09-09-2008 19:05:47
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuya ที่ 09-09-2008 19:45:22
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันนะ

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Rockstar ที่ 09-09-2008 20:25:29
ทะเลาะกันอีกแล้วววว

เมื่อไหร่จะเข้าใจกันสักทีเนี่ย

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 09-09-2008 22:06:18
เฮ้อ..................................ทะเลาะกันอีกจนได้  :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 10-09-2008 03:29:25
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ปล่อยให้เข้าใจผิดแบบนี้ก็เกืดเรื่องแบบนี้ละครับ

แล้วเมื่อไร่จะเข้าใจกันซะที รอนานแล้วนะครับ อิ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 10-09-2008 10:18:52
ทะเลาะกันอีกแล้ว เมื่อไรจะเข้าใจกันเนี่ย  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 10-09-2008 17:07:42
เศร้าอ่ะ..........T^T  :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 11-09-2008 22:58:50
ทำไมความรักของทั้งสองคู่มันอึมครึมขนาดนี้ละครับ คู่นึงก็ความเข้าใจผิดกับการไม่แสดงความรุ้สึกจริงๆออกมา อีกคู่นึงความรักก็กำลังจะก่อตัวแต่ด้วยการที่อยู่คนละฝ่าย ทำไมมันเศร้าลงเรื่อยๆละครับ อ่านแล้วเครียดตามเลย ขอหวานๆมาคั่นบ้างได้ปะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-09-2008 06:10:04
จะไปนอนแระ เลยแวะมาดันน้องกระดานคนงาม  :t2: :t2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-09-2008 00:46:36
เพิ่งได้อ่านตั้งแต่ตอนแรกวันนี้ล่ะค่ะ ฮือๆ น่าสงสารทั้งสองคู่เลย แต่ตอนนี้รู้สึกเศร้ากับผู้กองกับหมอมากๆ  :sad2: เออนะคนเรา มัวแต่ทิฐิกันไปมา แล้วเมื่อไหร่จะได้เข้าใจหัวใจของกันและกันเสียที... :m15:



อะแฮ่ม!! แต่อยากบอกว่าอีกใจก็ชอบนะ ไม่ค่อยได้อ่านนิยายบีบคั้นอารมณ์ได้จี๊ดขนาดนี้บ่อยๆ อ่านไปก็แบบ...ได้อีก...จิตตกได้อีก...หดหู่ได้อีก...ทรมานใจคนอ่านอย่างงี้เจ้ชอบ!!!!!  :laugh: :laugh:


ว่าแล้วมาลงตอนต่อไปไวๆเน้อ~~  :a1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-09-2008 09:16:43
555 คราวนี้มีเม้นต์หน้าใหม่ๆ นอกจากแฟนคลับตัวยงกันเยอะเลย  อิอิ  :m4:
แบบว่า แอบสารภาพว่าอ่านเรื่องนี้ตอนแรกเพราะว่ามันหื่นดี  ช่วงสี่ตอนแรกอะ  แบบว่าอะไรกันนี่ ชอบๆๆ
อ่านไปเรื่อยๆ โห น้องเรนของเราเอาซะพวกเราเศร้าซึมลึกปวดตับปวดไตกันไป 555

แต่.. น้องเรนบอกว่าติดตามกันต่อไปนะค้า  มันก็มีหวานๆ ขมๆ ปนกันไปอะนะ  :oni1:
ขอบคุณที่เม้นต์จ้า  อ่านต่อเลยแล้วกัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 7 sensibilité/ หวั่นไหว [Part3]

แม้ว่าจะพยายามเลิกคิดถึงอดีตแต่เมื่อนึกได้มันกลับย้อนมาทำลายเราเสียทุกครั้ง นึกเสียใจมันก็สายเกินไป ท่านนายพลอินคานนั่งมองท้องฟ้าระลึกถึงอดีตอันขมขื่น  ไอ้ขิ่นเหลาไม้แหลม มันผิวปากวิ้ดหวิวตามประสาคนหนุ่มท่าทีไม่ทุกข์ร้อนแม้จะถูกตามล่าจากพวกทรยศ
 
“ไอ้ขิ่น เอ็งว่าลูกชายฉันมันจะรอดพ้นจากเงื้อมมืออ้ายพวกโจรชั่วรึเปล่าวะ”
 
ไอ้หนุ่มวัยรุ่นชะงักมีดเหลาไม้ไผ่ เหลือบมองใบหน้าชราซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งอำนาจและความสง่าของนายพลแห่งกองโจรกู้เเผ่นดิน!
 
“คนอย่างพี่ไผ่ไม่เสียท่าใครง่ายๆหรอกจ้ะ”มันว่าเนิบๆ
 
ท่านนายพลอินคานกุมท้อง เจ้าขิ่นลุกขึ้นประคองร่างของท่านพิงผนังหิน
 
“นั่นสิ...มันเป็นลูกชายข้านี่หว่า”
 
ท่านพยายามหัวเราะฝืนๆแล้วทำหน้าเศร้า ไอ้ขิ่นเห็นท่านนายพลเป็นแบบนี้ก็ปลอบใจไม่ถูก นับตั้งแต่กองกำลังโจรกู้แผ่นดินของท่านนายพลอินคานล่ม ท่านก็กลับกลายมาเป็นคนเซื่องซึม ไร้กำลังใจ
 
“ว่าแต่คนหนุ่มอย่างแกมาดุแลคนแกบาดเจ็บใกล้ตายอย่างข้าเอ็งไม่เบื่อบ้างรึไงวะ?”
 
นายพลอินคานถามลูกสมุนของบุตรชาย ไอ้ขิ่นทำหน้าน้อยใจ
 
“ฉันจะเบื่อดูแลคนที่เป็นพ่อกะคนที่เป็นนายอย่างไร”
 
สายตาของท่านนายพลเหม่อไปทางอื่น  ไอ้ขิ่นเหลาไม้ต่อเพื่อสร้างกับดักไว้ดักสัตว์
 
“ฉันสัญญากับพี่ไผ่แล้วว่าจะดูแลนายท่านเป็นอย่างดี ถ้าไอ้ขิ่นเบื่อ ไอ้ขิ่นก็กลายเป็นคนอสัตย์”มันตอบ
 
 ท่านพลอินคานจุดยิ้มบนริมฝีปาก
 
“มีแต่เอ็งละมั้งที่ยังซื่อสัตย์ต่อข้าและลูกข้า”
 
ไอ้ขิ่นยิ้มแป้น“นายท่านและพี่ไผ่มีพระคุณต่อฉัน ชาตินี้หรือชาติไหนฉันตอบแทนไม่หมด ฉันตอบแทนได้ฉันก็อยากจะทำ ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตไอ้ขิ่นก็ยอม”
 
“ไอ้ขิ่นเอ้ย ชีวิตของแกแกเก็บไว้เถอะที่ผ่านมาฉันขอบใจแกจริงๆที่ช่วยกอบกู้เมืองของฉัน จากนี้ไปมันก็ไม่มีเวียงนวรัฐะอีกแล้ว”ท่านเช็ดน้ำตานึกถึงอดีตภรรยาสุดรักสุดดวงใจ
 
“นาย...นายยังมีคนที่จงรักภักดีอีกมาก นายสู้เถอะ...ฉันก็อยากเห็นบ้านเกิดเมืองนอนฉันกลับคืนมาเหมือนกัน ฉันจึงถวายชีวิตต่อสู้ เวียงนวรัฐะจะกลับคืนมาเรืองอำนาจดังเดิม”
 
“ขิ่น...ที่เอ็งพูดมันก็แค่ความฝันลมๆแล้งๆเท่านั้น เวียงวนรัฐะมันล่มจมลงไปแล้ว...ล่มจนไม่อาจกู้คืน”ท่านเพ้อ
 
 ไอ้ขิ่นพยายามปลอบใจแต่ท่านนายพลก็ไม่รับฟัง
 
“นาย...นึกถึงพี่ไผ่บ้างเถอะ”คำพูดของไอ้ขิ่นทำให้ท่านนายพลอินคานหันมา
 
“ฉันปลูกฝังอุดมการณ์ให้เจ้าไผ่รักแผ่นดิน ตัวฉันกลับมาอ่อนแอแบบนี้ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
 
ท่านนายพลรำพึง ไอ้ขิ่นพยายามยิ้มอย่างเริงร่า
 
“นายอย่าเพิ่งสิ้นหวังสิ...ไอ้ขิ่นคนนี้ยังอยู่ นายใช้บุกน้ำลุยไฟฉันก็ทุ่มสุดตัว”
 
มันถือปืนทำท่าแกร่งกร้าว ท่าทีเหมือนลูกลิงทโมนทำให้ท่านนายพลหัวเราะลั่น
 
“เออ...เออ เอาไว้ฉันมีโอกาสเมื่อไรฉันจะใช้แก”ท่านนายพลสัญญา แม้ว่ามันมีความหวังอยู่เพียงน้อยนิด
 
------------------------------------------------
 
กิ่งไผ่ทรุดนั่งยังขอนไม้ผุพัง มองแมกไม้เขียวชอุ่ม เม็ดเหงื่อไล้ตามโค้งจมูก คิ้วเรียวขมวดมุ่น ใบหน้าแดงจัดยิ่งกว่าลูกตำลึง ธีรเดชทรุดนั่งวางมือไว้บนเข่า ส่งสายตาห่วงใยไปที่ร่างโปร่ง
 
“คุณต้องการพักผ่อนจริงๆนั่นแหละ”เหลียวหาชัยภูมิที่พักแต่ไม่ที่ไหนเหมาะสักนิด
 
“อย่าเสียเวลาเลย เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล”
 
กิ่งไผ่พยายามกักเก็บน้ำเสียงเนือยๆเอาไว้ แต่ธีรเดชก็จับได้
 
“ช่างมันเถอะเรื่องการเดินทาง ผมไม่อยากทรมานคุณจนตายหรอกนะ”ธีรเดชว่าเสียงกร้าว
 
กิ่งไผ่หรี่ตามองใบหน้าจริงจังของนายทหารหนุ่ม
 
“คุณนี่ช่างเรื่องมากจริงๆเลย”กิ่งไผ่พูดเหมือนรำคาญ
 
ธีรเดชใช้หลังมือหนาอังหน้าผาก สัมผัสถึงไออุ่นผิดปกติบนผิวนวลราวกับผลมะปรางสุก  กิ่งไผ่ส่งรอยยิ้มเซียวๆหากดุอยู่ในที ปัดมือหนาออกพ้นใบหน้า
 
“แต่ถ้าเราหยุดตอนนี้ เมื่อไรเราจะถึงจุดหมายปลายทาง จำไว้ ผมไม่มีวันตายง่ายๆหรอก”
 
ร่างโปร่งลุกขึ้นด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ธีรเดชยื้อแขนเอาไว้ ใบหน้าไม่พอใจ
 
“ผมไม่ใช่ผู้คุมคุณเสียหน่อยจะได้เล่นทรมานคุณทั้งๆที่ป่วย เราเป็นเพื่อนตายกันนะ สิ่งที่ผมบอกคุณ คุณจะไม่รับฟังหน่อยหรือ”
 
“ผมไม่ใช่ตัวถ่วง”
 
ชายหนุ่มไม่ชอบใจเอาเสียเลยกับคำพูดเย็นชาเหมือนปิดกั้นตัวเองเอาไว้แบบนี้ กิ่งไผ่เดินไปได้สองสามก้าวพลันรู้สึกว่าข้อมือถูกมือหนากุมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ
 
“ผมไม่ใช่คนที่ใจดีอย่างที่คุณบอกหรอกนะ อย่าให้ต้องใช้กำลังล่ะ”
 
สีหน้าของชายหนุ่มหมดเค้าหน้าอ่อนโยน ใบหน้าธีรเดชบึ้งตึงน่ากลัว กิ่งไผ่ทำสีหน้าหน่ายๆใส่เมื่อเห็นอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไป
 
“คิดจะใช้กำลัง แน่ใจหรือว่าคุณจะชนะ?”
 
น้ำเสียงเรียบๆเอ่ย สะบัดมือหนาที่กุมข้อมือ ธีรเดชชักมีน้ำโห จนเผลอใช้กำลังเข้าข่ม หวังจะปราบให้อีกฝ่ายให้ลดพยศ ชายหนุ่มจับเเขนบอบบางบิดไพล่หลัง จะกดอีกฝ่ายลงหากสุดท้ายกลับถูกกิ่งไผ่ล๊อกคอไว้แน่นเป็นฝ่ายทุ่มชายหนุ่มลงพื้นแทน  แขนบางล๊อกคอจนหายใจแทบไม่ออกด้วยท่าทีของผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
 
“ไม่ต้องมาสงสารผม ยังไม่ถึงคราวตาย ผมก็ไม่อยากขอความช่วยเหลือจากใคร อีกอย่างผมไม่ใช่ผู้หญิง อย่ามาทำเหมือนผมสำออย!”
 
กิ่งไผ่ตะคอก ก่อนคลายอ้อมแขนปล่อยตัวนายทหารหนุ่มไปอย่างง่ายดาย ธีรเดชรู้สึกสมเพชที่แพ้แม้กระทั่งคนป่วยที่แทบยืนไม่ไหว ท่าทีเข้มแข็งแต่ภายในเก็บซ่อนหัวใจอ่อนบาง...ชายหนุ่มยังระลึกได้ถึงเสียงนุ่มหูเอ่ยเรียกชื่อของเขา  มันชื่อของเขาแน่ๆ ชายหนุ่มเชื่ออย่างนั้น
 
“คุณไม่ใช่ผู้หญิงผมรู้...แต่ผมอยากให้คุณแสดงท่าทีอ่อนแอบ้างไม่ได้หรือเหมือนตอนนั้น....ผมเคยขอร้องคุณแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้คุณจะรับฟังบ้างไหม?”
 
คนตรงหน้าเงียบงัน เขาอยากจะอ่อนแอ แต่ก็ทำไม่ได้ มันไม่ใช่วิสัยที่เขาได้รับการฝึกมา
 
“คุณนี่ก็แปลกนะ ทำไมถึงอยากให้ผมอ่อนแอนัก?”กิ่งไผ่กอดออก
 
 ใบหน้าของหนุ่มไทยแดงจัดจนสังเกตเห็นได้บนผิวเกรียมแดด น้ำเสียงแผ่วเบาตอบกลับ“ผมอยากเป็นที่พึ่งของคุณบ้างก็เท่านั้นเอง”รีบพูดเร็วๆเหมือนรวบรัดตัดความ
 
กิ่งไผ่ยิ้มน้อยๆ“ผมก็พึ่งคุณแล้วนี่ตอนที่ป่วยหนัก”
 
ธีรเดชถอนใจ ส่ายหน้าราวกับบอกว่าสิ่งที่พูดมานั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอธิบาย
 
“คือ...”
 
ชายหนุ่มเริ่มต้นคำพูดแต่ยังหาคำเหมาะๆมาเรียงร้อยเป็นถ้อยคำไม่ได้ กิ่งไผ่ตั้งใจฟัง นายทหารหนุ่มกลับเงียบไป
 
“แล้วคุณอยากให้ผมพึ่งอะไรคุณล่ะ นำทางรึ หาอาหารรึ?”
 
ธีรเดชปฏิเสธ ชายหนุ่มอยากจะตอบสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในใจแต่ก็กลัวว่ามันจะดูแปลกไป
 
“มัน ไม่ จำ เป็น” กิ่งไผ่เน้นย้ำทีละคำ
 
 ธีรเดชอยากยอมรับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่สิ่งที่ซ่อนในหัวใจกลับสั่งให้ปากพูดอีกอย่าง
 
“สิ่งที่ผมอยากให้คุณพึ่งนั่นคือแสดงความรู้สึกที่เก็บซ่อนออกมาบ้าง คุณไม่ใช่อิฐใช่ปูน ผมรู้คุณก็มีหัวใจ...วันนั้นที่คุณร้องไห้มันทำให้ผมกังวลมาก”
 
สีหน้าของกิ่งไผ่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน บอกไม่ถูกว่าตกใจหรือว่าโกรธกันแน่ ใบหน้าหวานก็ร้อนผ่าวจนเป็นสีจัดด้วยคำพูดของนายทหารหนุ่ม
 
“มันอาจจะดูแปลกๆแต่ผมก็คิดแบบนั้นจริงๆ”
 
สุดท้ายแล้วกิ่งไผ่ก็ไม่พูดอะไร กลับเดินหนีจนธีรเดชตามไม่ทัน ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าหัวใจดวงนั้นจะเต้นแรงสักเพียงไหน ใบหน้าแดงจัดราวกับเลือดไปสูบฉีดที่นั่นเพียงที่เดียว  ธีรเดชอยากเรียกหยุดคุยให้รู้เรื่อง แต่คนป่วยกลับก้าวฉับๆบุกป่าฝ่าดงไปเสียแล้วจึงหมดโอกาสที่ได้รับรู้คำตอบออกจากปาก
 
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 13-09-2008 09:17:45
  ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน เหมือนกับคนแปลกหน้า ราวกับไม่รู้จักกัน ทั้งๆที่คนตรงหน้าเป็นคนที่เขาทุ่มเทความรักให้จนหมดหัวใจ ใบหน้าของต้นธาราเรียบเย็น
 
“ใช่สิ...ผมมันคนไร้ค่านี่ หึ...ผมเป็นคนทำเพื่อนรักของคุณตาย  ถ้าคุณมาเยี่ยมผมเพียงเพราะจะมาเย้ยหรือต่อว่าก็พูดเสียให้พอ”
 
ภานุมองใบหน้าชาเย็น ต้นธาราไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกกันที่ยังเลือกรักคนที่ไม่เคยมองตัวเองแม้แต่น้อย ภานุไม่พูดอะไร ยิ่งนิ่งเงียบก็ยิ่งเหนื่อย....ในเมื่อตอนนี้ต่างฝืนใจพูดแก้ตัวไปก็ไร้ประโยชน์
 
“ถามสักนิดได้ไหม...ที่คุณมาที่นี่จริงๆแล้วด้วยความรู้สึกอะไร”ต้นธาราถาม 
 
“คำตอบนั่นคุณหมอเป็นคนตอบแล้วไม่ใช่หรือครับ”ผู้กองหนุ่มตอบเสียงเย็น สายตาห่างเหินหากมันก็เจ็บช้ำพอๆกันกับดวงตาของต้นธารา
 
“งั้นหรือครับ”อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
 
ภานุกัดฟันพูด เขารู้ดีว่ามันโง่เขลาเพียงไหนแต่ว่าเขาทนไม่ได้ที่ต้องกลายมาเป็นคนแพ้กับการแก้แค้นที่อีกฝ่ายกำลังทำ...
 
“ผมเองก็เสียใจที่ผู้กองนาคีตายแต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกชีวิตผมจะใช้ให้กับผู้กองนาคีแน่ รออีกไม่นาน...”
 
ริมฝีปากแห้งผากพึมพำ ดวงตาเคยสดใสเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง และมันก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทุ่มเทหัวใจรักคนๆนี้ ผู้กองหนุ่มใจหายวาบเมื่อรับฟังคำพูดนั้น
 
“หมายความว่า...”น้ำเสียงชายหนุ่มยังแข็งทื่อ
 
ต้นธารามองใบหน้าที่เคยฝันใฝ่มาตลอด“ไม่รู้ว่าโรคของผมจะรักษาหายไหม ถ้าไม่หายผมก็ถือว่าเป็นเวรกรรมที่ต้องชดใช้ชีวิตให้ผู้กองนาคี”เขาเอ่ยเหมือนไม่ใยดีกับชีวิตนี้เเละสิ้นหวัง
 
“นาคีเขาไม่อยากได้ชีวิตคุณหรอก”ภานุเอ่ยเบาๆ
 
“ถึงผู้กองนาคีจะไม่อยากได้ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะบรรเทาความแค้นเคืองของคุณได้อย่างไร มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ผมทำได้”
 
ต้นธาราเหม่อมองเเสงเเดดอ่อนๆที่ทอลอดหน้าต่าง ยิ่งเเสงสว่างจับต้องดวงหน้า มันยิ่งขับเน้นให้เห็นสีหน้าทุกข์ระทม สิ้นหวัง และซีดเซียว
 
“ผมไม่อยากได้ชีวิตคุณหรอก ไม่กลัวว่าคนๆนั้นจะเสียใจรึไง”ชายหนุ่มยังใช้น้ำเสียงเสียดสี ซึ่งมันตรงข้ามกับความตั้งใจ
 
ต้นธารายิ้มเยาะกับตัวเอง“หมายถึงผู้พันชานเนนเหรอครับ?”
 
ภานุผงกหัว แสดงอาการเหมือนไม่พอใจกับผู้ที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างพวกเขา  ต้นธาราทำหน้าแปลกใจนิดๆก่อนนิ่งไป
 
 “เขาต้องเสียใจเเน่....เพราะอย่างน้อยๆเขาก็เห็นค่าผม”
 
ต้นธาราตอบกระทบกระเทียบจนภานุแทบกระอัก...ใช่...ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นค่าต้นธาราแม้แต่น้อย
 
“เขาไม่รังเกียจรึไง หรือว่าปกปิดเขาล่ะ ว่าคุณเป็นอะไรกับผม”
 
คุณหมอหนุ่มยิ้ม...มันเป็นรอยยิ้มเสียดแทงใจคนมองยิ่งนัก
 
“เขารู้และเขาก็รับได้ทุกอย่าง ”
 
ต้นธาราตอบเลี่ยงๆพยายามสนทนาให้น้อยที่สุดเพื่อปิดว่าเขากำลังโกหกอยู่
 
“ดี...ดีเหลือเกินนะ”ภานุส่อเสียด หวังเพียงคำพูดของตนเองจะทำให้ต้นธารารับรู้บ้างว่าเขาเจ็บปวดขนาดไหน
 
“คนดีๆอย่างผู้พันชานเนนมีน้อยอย่าลืมคว้าไว้ให้มั่นล่ะ”ชายหนุ่มทิ้งท้ายไว้อย่างหยาบคาย
 
ต้นธาราเจ็บจนแทบไม่รู้สึกรู้สากับคำเสียดสีของคนไร้ใจ  คุณหมอหนุ่มล้มตัวนอน ความอ่อนล้าถาโถมอีกครั้งจนรับไม่ไหว
 
“ทำไมต้องรู้สึกหนื่อยแบบนี้...ลืมเสียที...ลืมผู้กองภานุเถอะ”
 
พยายามลบความรู้สึกออกจากใจ ผู้พันชานเนนลุกขึ้นเตรียมกลับไปหาต้นธาราเมื่อเห็นผู้กองหนุ่มออกไปด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ต้นธารามองช่อกุหลาบก่อนใช้แรงทั้งหมดถือมาวางไว้ตรงตัก ประตูห้องพักฟื้นเปิดออก ร่างสูงก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าของพันเอกหนุ่มเเสดงความเป็นห่วง
 
“เขามารบกวนคุณหมอธารรึเปล่า?”ผู้พันหนุ่มถาม
 
 ต้นธารายายามปั้นยิ้ม ทำได้เพียงหยักริมฝีปากจนดูออกว่าฝืน
 
“อ้อ...ไม่ครับ เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ผู้พันต้องออกไปข้างนอก”
 
ชานเนนนั่งลงข้างเตียง มองกุหลาบแดงช่องามวางไว้บนตักแล้วขมวดคิ้ว สงสัยว่าคุณหมอลุกไปเอามาวางไว้ตอนไหนกัน
 
“ดอกกุหลาบนี่จะจัดลงแจกันไหม”
 
ต้นธาราส่ายหน้า นั่งมองกลีบแดงสดอยู่อย่างนั้นจนผู้พันหนุ่มนึกห่วง
 
“คุณหมอ...”
 
ต้นธาราตื่นจากภวังค์เหลียวมองใบหน้าหล่อเหลา
 
“เอ่อ...ขอโทษครับ ช่วยนำไปทิ้งได้ไหมครับ”คุณหมอหนุ่มขอ  สร้างความงุนงงแก่ผู้พันหนุ่มยิ่งนัก
 
“แต่ว่าดอกไม้นี่...”
 
ต้นธาราขอร้องอีกครั้ง ผู้พันหนุ่มจึงลุกขึ้น เตรียมทิ้งช่อดอกไม้แสนแพงลงในถัง ต้นธาราเเสดงให้เห็นว่าเหนื่อยเเละต้องการพักผ่อน  พันเอกชานเนนจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ด้วยความข้องใจ
 
“น้ำผลไม้ที่คุณหนูอยากทานมาแล้วเจ้าค่ะ”
 
ร่างของป้าสมกลับมาพร้อมกับกล่องน้ำผลไม้รวมรส
 
“ขอบคุณครับ”ต้นธาราตอบ
 
ป้าสมเตรียมจัดการเสียบหลอดดูดให้ ปากจ้อไม่หยุด“เมื่อครู่คนที่มาเยี่ยมคุณหนูไม่รู้ว่าเป็นอะไรหน้างี้บึ้งเชียว”
 
ต้นธาราไม่ตอบคำถามของอดีตเเม่นม
 
 “เห็นบ่นอะไรไม่รู้อยู่ข้างที่ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ”
 
พันเอกหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงออกไปข้างนอกโดยที่ป้าสมทักไม่ทัน
 
“อ้าว...เมื่อกี้ป้าสมเห็นผู้พันยื่นอยู่ข้างหลังแท้ๆหายไปไหนน่ะ”
 
ต้นธาราหันกลับมารับน้ำผลไม้จากป้าสม
 
“ผู้พันออกไปข้างนอก?”เอ่ยถามด้วยความสงสัย
 
 ป้าสมผงกหัว“เจ้าค่ะ เห็นถือช่อกุหลาบเดินออกไปไหนไม่รู้”
 
ต้นธาราสงสัยว่าผู้พันเอาดอกกุหลาบที่เขาสั่งให้ทิ้งไปด้วยทำไมกัน หากก็ได้แต่มองประตูที่ปิดอย่างไม่เข้าใจ
 
------------------------------------------------
 
ผู้กองหนุ่มเดินคอตกออกจากโรงพยาบาลเมื่อได้ยินน้ำเสียงหมดเยื่อใยและเย็นชาไม่เหมือนกับต้นธาราเมื่อครั้งก่อน...คนที่เขาทำให้ร้องไห้ และยอมลงให้เขาทุกอย่างแม้กระทั่งทอดตัวยอมเป็นที่ระบายอารมณ์
 
“ทำไมแกไม่บอกรักเขาวะ ไอ้เซ่อเอ้ย”
 
ชายหนุ่มด่าตัวเองที่ไม่พูดให้มันตรงกับที่ใจคิดความหึงหวงมันบดบังความรู้สึกอื่นจนรู้ตัวว่าพลาดไป เมื่อเขาเเสดงกิริยาหยาบคายเเละพูดดูถูกต้นธาราไว้จนเจ็บขนาดไหน มันหมดโอกาสที่จะสานสัมพันธ์และปรับความเข้าใจเพราะทิฐิงี่เง่าของตัวเอง  ขณะเดินพ้นมุมตึก เสียงเรียกดังขึ้นดังขึ้นด้านหลังเป็นภาษาอังกฤษ  ภานุหมุนตัวกลับ เห็นผู้พันหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินถือดอกกุหลาบช่อใหญ่ยื่นให้พร้อมส่งภาษาอังกฤษรัวเร็ว ภานุจับใจความได้ว่าต้นธาราอยากจะทิ้งแต่ชานเนนเห็นว่าไม่ดีนักจึงนำมาคืนเสียดีกว่า ภานุรับดอกกุหลาบ กำเอาไว้แน่น ขอบคุณผู้หวังดีที่มาตอกย้ำความพ่ายแพ้
 
 
“ผมขอบคุณผู้พันมาก...”ภานุกัดฟันพูด
 
 ชานเนนมองอย่างสงสัยก่อนตอบกลับว่าไม่เป็นอะไร ผู้กองหนุ่มเตรียมเดินหนีแต่แล้วต้องชะงักหันกลับมา
 
“ผมรู้ว่าต้นธารารู้สึกดีๆกับคุณผมขอให้คุณดูแลเขาได้ไหม?”ภานุสื่อด้วยคำพูดงูๆปลาๆ ผู้พันชานเนนผงกหัวตอบรับ
 
“ผมต้องดูแลธารอยู่แล้วเพราะว่าท่านนายพลพิภพท่านฝากฝังไว้ด้วยตัวท่านเอง ผู้กองไม่ต้องห่วง”
 
รอยยิ้มชายหนุ่มสุภาพ ท่าทีอาจหาญราวกับอัศวินผิดกับไอ้โจรเถื่อนอย่างเขา
 
“อ้อ...ครับ...ผมก็ห่วงเขาเห็นเขาป่วยหนักแบบนั้น...”
 
นึกโมโหที่นายพลพิภพกลับยอมรับพันเอกชานเนนอย่างง่ายดาย
 
“ถ้าผู้กองห่วงก็มาเยี่ยมทุกๆวันได้นี่ครับ ธารจะได้มีเพื่อนคุย”
 
พันเอกชานเนนชวน ภานุส่ายหน้าปฏิเสธอย่างสุภาพ
 
“ผมติดธุระครับ ที่มาเยี่ยมได้ก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น พอเสร็จธุระก็คงกลับไปค่าย”
 
ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ในใจคิดอย่างขุ่นเคือง...ยังจะมีที่ให้เขาโผล่หน้าหรือ ในเมื่อที่นี่ไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป ไม่มีดวงตาที่แฝงว่าโหยหาเขาจนเต็มหัวใจ!
 
------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 13-09-2008 17:38:51
..................T^T.......................


ทำให้ผมร้องไห้ได้ทุกตอนที่มา.... :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 14-09-2008 01:12:51
เอาเข้าไป..................................ยิ่งอ่านยิ่งเครียด  :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pseudoboy ที่ 14-09-2008 14:41:43
เมื่อไรจะเข้าใจกันซะที :serius2:

บอกไปเลย  กะแค่บอกว่ารัก 




คนเขียนขา  ขอให้น้องไผ่เก่งน้อยลงกว่านี้นิดนึงได้อะเปล่าอ่ะ

แบบนี้ก็จับกดไม่ได้อะดิ :laugh:

ปล  จริง ๆ  ก็ตามอ่านตลอดนะ   แต่ไม่ค่อยได้ตอบอะ :a4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-09-2008 21:40:15
ท่านผู้กองภาณุ จะเก๊กแมน ปากแข็งไปถึงหนายยยยย  :m31:

 :เตะ1: ซะทีดีมะ เผื่อจะยอมง้อคุณหมอดีๆมั่ง  :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 15-09-2008 14:19:09
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ


ไมเป็นหยั่งเง้
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 15-09-2008 18:43:11
 :m15: จะเศร้าไปถึงไหนครับ แค่นี้ก็รู้สึกกดดันมากๆแล้วนะครับ รอตอนต่อไปนะครับ ปิดกันเข้าไปใจหนะใจ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกันซะที
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 17-09-2008 10:24:15
เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 17-09-2008 17:50:46
โอ้ยยยยยย  :serius2:  ปวดใจที่สุด
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 19-09-2008 12:31:44
ยิ่งอ่านทำไมยิ่งโศกละครับ จะกดดันกันไปถึงไหน คนอ่านมีปมปะเนี่ย เมื่อไหร่จะมาต่อคร้าบบบบบบบ รออ่านอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-09-2008 11:10:46
มาละค้าบบ  ขอโทษทีคราวนี้ช้าไปหน่อย  พอดียุ่งๆ
ตอนนี้เศร้ารึเปล่าหว่า  อ่านกันเองเน้อ 

++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 8 sensibilité/ หวั่นไหว [Part4]

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2BFBCCBPA0&Autoplay=1

จมอยู่กับความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ มีเพียงความฝันในอดีตเท่านั้นที่บรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจ

“ธาร...เหม่ออะไรรึลูก”

ต้นธาราตื่นจากภวังค์ส่ายหน้า

“เปล่าครับ”

พูดปฏิเสธแต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหน็ดหน่าย ท่านนายพลลูบศีรษะบุตรชาย ใบหน้าซีดเซียวยิ้มน้อยๆ

“ลูกกำลังโกหกพ่อนะ จะให้พ่อถามผู้พันชานเนนไหม”

ดวงตาคมมองชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างเตียง ต้นธาราเหลือบมองเพียงชั่วครู่ก็เบือนสายตาหนี

“คุณหนูธารคงรู้สึกเคืองคนที่เข้ามาเยี่ยมเมื่อวานเจ้าค่ะ คนอะไรดูห่ามเหลือเกิน”

ดวงตาของท่านนายพลฉายความสงสัย ต้นธาราใจหายวาบ นึกกลัวว่าภานุจะโดนต่อว่า

“ใครรึ”

คุณหมอหนุ่มพยายามพูดบ่ายเบี่ยง ส่งสายตาขอร้องไม่ให้ป้าสมพูด

“ร้อยเอกภานุครับ เห็นว่าท่านนายพลอรุณใช้มาเยี่ยมคุณหมอต้นธารา”

นายพลพิภพมองหน้าบุตรชาย ใบหน้าชราโกรธขึ้งเมื่อได้ยินชื่อผู้กองหนุ่ม

“มันมาที่นี่รึ มันมาว่าอะไรลูก”ท่านคำราม ดวงตาวาววับสงบลง ต้นธาราก้มหน้า

“ไม่มีอะไรครับ เขาแค่มาเยี่ยมผมเฉยๆ”

ลูกชายไม่อยากตอบ ผู้เป็นบิดาก็ไม่อาจคาดคั้นอะไรได้ ต้นธาราก้มหน้างุด ซ่อนความเสียใจไว้

“มันมาเยี่ยมเฉยๆก็แล้วไป”

ท่านนายพลกอดอก จากอารมณ์ดีกลับกลายเป็นขุ่นเคืองขัดใจ ต้นธาราใช้ผ้าห่มปิดคอหลบเลี่ยงสายตาที่มองมา ท่านนายพลมองนาฬิกาก่อนจะเรียกพันเอกหนุ่มให้ลุกขึ้นเพื่อทำงาน

“เย็นๆนี้พ่อจะแวะมาใหม่นะธาร”

ต้นธาราตอบรับในลำคอ ชายหนุ่มเลิกผ้าห่ม สายตาของป้าสมจ้องเขม็ง

“เมื่อกี้คุณหนูปกป้องคนห่ามๆเอาไว้ทำไมคะ ป้าสมไม่เขาใจเล้ย”อดีตแม่นมบ่น ต้นธารายิ้มเย็น

“ก็เขากับผมเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันนี่น่า อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย”

คำพูดของต้นธาราสวนทางกับความจริง

“ป้าแค่รู้สึกน่ะเจ้าค่ะ ดวงตาออกจะน่ากลัวเหลือเกิน ท่าทีก็แข็งๆ”ป้าสมบ่น

ต้นธาราลอบอมยิ้ม....คนแบบนั้นแหละที่เขาชอบมาตลอด อยากชิดใกล้อีกสักครั้ง ความคิดชั่ววูบผุดขึ้นภายในใจ ต้นธาราสลัดมันออกโดยเร็วเพราะหากเขากลับไปหาภานุอีก...มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเเปลงนอกจากความเจ็บปวด

“ถ้าไม่ขึงขังผู้ร้ายแถวไหนจะกลัวล่ะ ผมยังอยากเป็นเหมือนกับเขาเลย”

ชายหนุ่มรู้ว่ามันเป็นไม่ได้เพราะสุขภาพไม่อำนวย ป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่มีวันหาย

“คุณหนูเป็นแบบนี้ ป้าสมว่าก็ดีแล้ว อย่าเปลี่ยนเป็นคนที่ดูทื่อๆเอาแต่ใจตัวเองเลย”

คำพูดของอดีตแม่นมอ่อนโยนนุ่มนวล ต้นธาราเยาะหยันตัวเองอยู่ในใจ

...เป็นเขาดีแล้วรึ...ไม่หรอก เขาไม่อยากเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำไป!

------------------------------------------------

ชายหนุ่มหลับไปนานจนกระทั่งตื่นมาเจอกับความโดดเดี่ยว ต้นธารากระพริบตาขับไล่ความง่วงงุน ไม่มีใครอยู่ในห้องพักเลย เหลียวหาป้าสมและร่างของพันเอกหนุ่ม คิ้วเรียวขมวดมุ่น ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ ผลักบานประตูห้องออกไปดวงตาต้องหรี่ลงเพราะเจอแสงกะทันหัน ค่อยๆก้าวเดิน ตามรายทางไม่มีคนแม้แต่น้อย คุณหมอหนุ่มมองกระจก ท้องฟ้าข้างนอกแต่งแต้มด้วยสีดำด้าน ดวงดาวจอมปลอมเปล่งแสงสว่าง ยามราตรีที่แสนวุ่นวายกำเนิดขึ้น ต้นธาราหยุดมองแสงไฟจากเบื้องล่างสะทกสะท้อนถึงชีวิตของตัวเอง

ตัวเขาเป็นดั่งแสงเทียนรอวันดับ อยากเป็นแสงไฟที่คงทน แต่เขาก็ไม่อาจเลือกที่จะเป็นสิ่งใดได้ ดวงตาสีนิลกระพริบถี่ๆ เงาสะท้อนร่างผอมบาง กระดูกไหลปลาร้าโผล่ชัดแตะผิวกระจกเย็นเฉียบ เงาของร่างคุ้นเคยโผล่ทาบทับทางด้านหลัง ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้น

“ผู้กอง!”

หันหลังกลับไปมอง ร่างบางผงะชิดติดกระจก ผู้กองหนุ่มยืนนิ่ง ก้มหน้าอย่างอึดอัด

“ไม่คิดว่าจะเจอคุณแบบนี้...”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบไม่เปิดเผยความรู้สึกใดเลย ต้นธาราไม่เข้าใจว่าผู้กองหนุ่มจะมาทำอะไรอีก ดวงหน้ากร้านผยักเผยิดไปทางห้องพัก

“ผมไปหาคุณที่ห้อง เห็นไม่อยู่เลยว่าจะกลับ”

วจีของชายหนุ่มเย็นยะเยือก ต้นธารานึกเคืองที่ผู้กองภานุทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองเหลือเกิน

“มาเยี่ยมผมทำไมอีก”

ใบหน้าขาวซีดเชิดขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงแข็งๆ และทีท่าหมางเมิน ผู้กองหนุ่มเงียบไปนานทีเดียว รอยยิ้มเยาะเย้ยผุดขึ้นบนเรียวปาก

“ยังด่าว่าผมไม่พอหรือ”

มือหนากุมข้อมือบอบบางซึ่งกำได้โดยรอบ บีบเเน่นจนมันเป็นรอย วงแขนหนารั้งร่างของคุณหมอเข้ามากอดแนบแน่น ใจหายที่ร่างกายของคุณหมอซูบผอม ต้นธาราดิ้นขลุกๆพยายามดันร่างสูงใหญ่ออกห่าง

“คิดทำบ้าอะไรอีก ยังไม่สาแก่ใจคุณรึไงที่ทำร้ายผมอีก”

ต้นธาราเริ่มหอบเพราะออกแรงมากเกินไป ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดแผ่นอกหนาเป็นมัด

“ยังไม่สาแก่ใจผมหรอก ผมจะทำร้ายคุณจนตาย...”

ชายหนุ่มกระซิบเสียงเย็น ริมฝีปากเคลียข้างแก้มส่งผลให้หัวใจเต้นแรง

“ผมไม่อยากให้คุณมีความสุข อย่าได้คิดเลยว่าจะรอดจากเงื้อมมือนี้ไปได้”มือที่บีบคางมนค่อยๆผ่อนกำลัง

“คนไร้หัวใจ!”ต้นธาราต่อว่า รู้สึกหายใจไม่ค่อยออกเลย รอยยิ้มแสยะบนดวงหน้านกร้านเเดดช่างน่าชิงชังนัก

“ผมจะใจร้ายกับคุณมากกว่านี้...”

ดึงร่างคุณหมอหนุ่มให้เดินตาม ต้นธาราขัดขืน หากแรงน้อยนิดไม่อาจสู้เรี่ยวแรงมหาศาลได้

“ถ้าคุณยังไม่ปล่อย คุณต้องเสียใจเเน่ที่คิดทำเเบบนี้”ร่างโปร่งพยายามขู่

ภานุชะงัก ดวงตาคม ดุดัน มองตรงมาจนกายสะท้านเฮือก ผู้กองหนุ่มน่ากลัว...ราวกับปีศาจ

“ผมอยากจะเสียใจอยู่เหมือนกัน”

ร่างโปร่งปลิวตามมือกระชาก ต้นธารานิ่งไปเพียงนิด ก่อนจะเดินตามแต่โดยดี

“จะไปไหน”

ต้นธาราถามเมื่อชายหนุ่มถอดเสื้อแจ็กเกตตัวนอกส่งให้ ภานุปรายตามองเท่านั้นก่อนออกคำสั่ง

“จะไปไหนก็ช่าง อย่าซัก สวมเสื้อทับเสื้อของโรงพยาบาลซะ”

ต้นธารากลับนิ่ง ภานุจึงกัดฟัดกรอด ส่งสายตาข่มขู่ สุดท้ายแววตาคู่นั้นก็อ่อนแสง มือหนารูดซิบเสื้อลายพราง ลำแขนแกร่งกอดร่างที่กลมพองไออุ่นทำให้ต้นธาราหลับตาลง

“คุณจะทำร้ายผมไปถึงเมื่อไร จะให้ผมเสียใจกับการกระทำของคุณมากเพียงไหน”

น้ำเสียงอ่อนแรงกระซิบถาม ภานุไม่ตอบคำถามใดๆ ผละจากร่างบาง กระตุกต้นแขนให้เดินตามจนถึงลานจอดรถ

“ขึ้นไปซะ”

ร่างสูงเปิดประตูรถให้ ต้นธารามองดูมัน ดวงตาฉายแววข้องใจ

“ผมยืมท่านนายพลอรุณมา แล้วคุณจะยืนบื้ออยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”

ร่างบางงงกๆเงิ่นๆจนมือหนาต้องผลักให้ขึ้นรถ พอรัดเข็มขัดได้ คนจอมบังคับประจำที่คนขับ ขับรถออกไปนอกชานเมือง ต้นธารานิ่งเงียบไม่กล้าเอ่ย ไม่กล้ามองตาชายหนุ่มที่ทำดวงตาคมเข้มน่ากลัว

“เราจะไปที่ไหนกัน”

คุณหมอหนุ่มกระซิบถาม มองรอบกายอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก ภานุยังทำตัวเป็นคนใบ้ ดวงตาคมมักเหลือบมองใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความหวั่นใจอยู่เสมอ

....ไม่รู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตัดสินใจทำผิดหรือถูก...ไม่อยากให้ต้นธาราจากไปจึงได้ใช้สติเพียงชั่ววูบขัดขืนมา...เขาอยากเก็บเอาไว้เพียงคนเดียว อยากทำร้ายหัวใจดวงนั้นเจ็บปวด บอกท่านนายพลเกี่ยวกับแผนที่ตัวเองคิดจะทำ ท่านอรุณคัดค้านเพราะนึกห่วงว่าภานุต้องออกจากหน้าที่แน่ หึ...เขาไม่กลัวหรอก บอกถึงความต้องการแรงกล้าจนนายพลอรุณใจอ่อน

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 21-09-2008 11:12:17
‘แน่ใจนะ หากมีปัญหาขึ้นมาฉันก็รับผิดชอบให้เธอไม่ไหว’

คำเตือนของท่านนายพลยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ไม่มีทางหรอกที่เขาจะกลัว...

มือหนากำพวงมาลัยแน่นจนดุเหมือนเคร่ง ร่างบางทำตัวสบายๆ เอนหลังพิงเพราะรู้ดีว่าอีกนานจะไปถึงจุดหมายปลายทาง มองนอกกระจกมองเห็นป้ายบอกทางก็มองเสี้ยวหน้าคมสัน

“จะพาผมไปไหนกันแน่ คุณคิดจะทำอะไร”

ต้นธาราตัดสินใจถาม ชายหนุ่มเลี้ยวรถออกไปยังปทุมธานี

“นั่งเงียบๆ”

ชายหนุ่มร่างสูงกล่าว ต้นธาราเงียบกริบ นึกฉุนที่ถูกสั่งโน่นสั่งนี่

“ผมมีสิทธิ์ถามเหมือนกัน”

ดวงตาของคุณหมอวาวโรจน์ ใบหน้าบูดบึ้ง ภานุเลี้ยวรถจอดยังโรงแรมแห่งหนึ่งภายในตัวเมือง ต้นธารามองดูป้าย และตัวตึกใหญ่โต หากเงียบสงบ ภานุถอดกุญแจรถปลดล๊อกประตู คุณหมอหนุ่มยืนข้างกายรู้สึกเหน็บหนาวเพราะลมยามดึก มือหนาวางบนบ่าบางโอบกอดเข้าไปภายในที่อบอุ่น

“รออยู่ตรงนี้”

ภานุสั่ง ต้นธารายืนรอข้างโซฟารับรอง มองดูรอบๆโรงแรม แสงไฟสีส้มอ่อนตา การประดับตกแต่งดูหรูหรา ภานุกลับมาหาพร้อมกับกุญแจการ์ดห้อง ชายหนุ่มจูงมือร่างโปร่งแต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ หลายคราที่ต้นธาราหยุดชะงักภานุก็จะกระตุกเบาๆให้เดินตาม ระหว่างขึ้นลิฟต์ต้นธารามักสำรวจดวงหน้าเรียบเย็นอยู่เสมอ ลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงเป็นฝ่ายนำทางไปยังห้องพักที่ได้จองไว้

“นี่...”

เมื่อประตูห้องเปิดออกห้องแสนกว้างขวางปรากฏสู่สายตาของคนนิ่งอึ้ง ไฟสว่างวาบเผยให้เห็นห้องสวีท ต้นธารามองหน้าภานุ ตั้งคำถามทางสายตา

“ผมจองไว้สองคืน...”

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทรุดนั่งลงยังเก้าอี้ท่าทีดูสบายอกสบายใจต่างจากต้นธาราที่พูดอะไรไม่ออกเลย

“อาบน้ำสิ ผมจะเตรียมเสื้อให้”

ต้นธาราเดินเลยผ่านชายหนุ่ม เปิดหน้าต่างออกมองออกไปนอกโรงแรม สนามหญ้าแสนกว้างทางเบื้องล่างปรากฏสู่สายตา มันเป็นสนามกอล์ฟนี่เอง หมุนตัวดูห้องนอนเตียงขนาดคิงไซส์ดูสบายน่านอน

“ผู้กองผมไม่เข้าใจความคิดของคุณเลย”ต้นธารากอดอกเมื่อร่างสูงค้ำกายไว้

“ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...”

ภานุกระซิบกับตัวเอง ลมหายใจเป่ารดต้นคอจนคนที่อยากรู้ความคิดของผู้กองหนุ่มร้อนๆหนาวๆ

“อาบน้ำเถอะ”

ชายหนุ่มหันหลังออกนอกห้องนอน เปิดโทรทัศน์ที่อยู่ในห้องนั่งเล่น หยิบเบียร์ในตู้แช่มาจิบ รอไม่นานนักต้นธาราก็ออกมาทั้งๆที่เรือนผมยังเปียกชื้น มองร่างสูงนั่งละเลียดเบียร์จมปลักหน้าจอโทรทัศน์เงียบๆจึงหันหลังเข้าห้อง ทรุดนั่งริมเตียงหนานุ่ม เสียงจากโทรทัศน์เบาลง ต้นธาราเกร็งโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงใหญ่เข้ามาภายในห้องนอน ภานุพิศมองคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ กลิ่นแชมพูหอมฟุ้ง ชายหนุ่มย่ำเท้าเข้าไปใกล้ น้ำหนักเตียงยวบตามน้ำหนัก ร่างบางยิ่งเกร็งจนไม่อาจขยับตัวได้เมื่อคางหนาทาบทับบ่าบาง จมูกกดลงบนผิวเนื้อ มือเลื่อนไล้เสื้อคลุมให้พ้นจากร่างบาง

“คุณพาผมมาที่นี่เพราะอย่างนี้ใช่ไหม”

ริมฝีปากอุ่นๆชะงัก มันทำหน้าที่ของมันต่อไป แนบไออุ่นไปทั่วบ่าผอม ค่อยๆกอดตระครองร่างกายผอมบาง

“ภานุ!”

ต้นธาราขัดขืน ถอยห่างวงแขนเกี่ยวเกาะ ชายหนุ่มรั้งกลับคืนเสียทุกทีไป ความอ่อนโยนค่อยๆพังกำแพงของจิตใจ ริมฝีปากของชายหนุ่มประทับจูบกลีบปากบาง ซอกซอนคว้านหาความหอมหวาน ดวงตาคมของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอาทร มือหนาสอดเข้ามาในสาบเสื้อ เผยผิวขาวซีด ลูบไล้แผ่นอกราบเรียบอย่างนุ่มนวล โหยหา

“ภานุ..”

เสียงกระซิบเรียกชื่อหลุดจากปากแผ่วเบา ตัวเสื้อคลุมสีขาวหล่นร่วงบนที่นอน ใบหน้าของภานุแนบชิดแผ่นอกอุ่นฟังเสียงหัวใจเต้นแผ่ว ฝ่ามือลูบไล้พิสูจน์ความจริง วงแขนบางยิ่งกอดรัดร่างสูงแน่น อยากจะตัดตัณหาแต่ความรู้สึกร้อนตรงท้องน้อยค่อยๆพุ่งขึ้น ลิ้นอุ่นโลมเลีย ขบเม้มยอดอกสีสวย เอาใจใส่ทุกสัดส่วน ต้นธาราสัมผัสถึงอาการแข็งขึงก็หายใจหอบถี่ เพราะห่างมือมานานความรู้สึกร้อนเร่าจึงครอบงำสติ ปล่อยกระแสลมพัดพา พายุรักยิ่งโหมกระหน่ำยามฝ่ามืออีกข้างลูบไล้แผ่นหลังเลื่อนต่ำหายไปเบื้องหลัง ไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งห่วงเสน่ห์หาได้อีกอย่างยามกายทั้งคู่แนบชิด

“ไปช้าๆนะ”

ชายหนุ่มกระซิบ กุมนิ้วเรียวเอาไว้ ถึงปากพูดไปแบบนั้น ต้นธาราผงกหัวรับคำอย่างเลื่อนลอย หัวใจสั่นไหว เกร็งกายแน่นเมื่อท่อนเนื้อแกร่งแทรกสอดขยับเคลื่อนไหวเพิ่มระดับความแรง ไม่รับรู้อะไรอีกเลยนอกจากความสุขสมที่อาบไล้ทั่วกาย ลมหายใจหอบถี่สงบลง ทั้งคู่ทอดกายนอนเคียงกัน นิ้วแกร่งเกลี่ยเส้นผมเปียกชื้นให้ พิศดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากไร้สีเลือดเผยอน้อยๆ

...นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้มองใบหน้าดวงนี้อย่างนึกห่วง...แล้วเขาจะได้มองใบหน้านี้อีกเท่าไร...ภานุโอบอุ้มร่างโปร่งเข้าหาในอ้อมแขน หากจากไปตัวเขาเองก็คงต้อง....สูญสลาย...

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 21-09-2008 11:48:52
บอกว่ารักเค้าเส่ะ  ผู้กอง

โฮฮฮฮฮฮฮฮ

มีเวลาอยู่ด้วยกัน 2 วันแน่ะ

ขอหวานๆ ได้ไหม
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 21-09-2008 11:55:27
ช่ายยยย


บอก "รัก"  ซะที



เด๋วมีรายเกิดขึ้นอีก


เห้อ............... :sad2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 21-09-2008 12:38:46
ยังคงติดตามเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 21-09-2008 13:14:49
เสียวเคอะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 21-09-2008 14:36:16
ถึงเวลาปล่อยวางทิฐิแล้ว เวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันมีแค่ 2 วัน ส่วนอนาคตท่าทางน่าเป็นห่วงทั้งคู่ หวังว่าผู้กองคงได้บอกความรู้สึกจริงๆ คำว่า รัก คำเดียวไม่น่าจะยาก สำหรับผู้กอง พูดซะก่อนที่มันจะสายเกินไป เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ มาต่อไวไวนะ แล้วอีกคู่ละครับ ไม่ต่ออีกซะหน่อยเหรอ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-09-2008 14:44:57
มาต่อแว้วววววว ต่อจากนี้ขอถี่ๆเลยนะค้า  :t2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 21-09-2008 16:20:04
 :m29:
รักหรือหื่นกันแน่ผู้กอง...หมอต้นไม่สบายอยู่นะ  :o
พูดคำว่า "รัก" ไม่เป็นรึไงกันนะ...สงสารหมอต้นจัง
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-09-2008 20:35:24
 :a6: ยังไม่หวานกันอีกหรอ รอกันหน่อยนะ  :t2: เดี๋ยวมีหวานแต่เปบเดี่ยวจิงที่หวาน  :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 22-09-2008 15:57:09
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับ เศร้าจังง่า

เป็นกำลังใจให้คุณหมอหายไวๆนะครับ

แล้วเข้าใจกันสักทีพระเอกกับนายเอกของเรา

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuya ที่ 22-09-2008 16:40:44
ตอนต่อไปขอหวานๆ นะ

ม่ายเอาแบบทะเลาะกันแล้วน้า....

ให้ผู้กอง บอก รัก ด้วย  เข้าจายมะจ๊ะ คนแต่ง :t2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-09-2008 15:51:29
อิอิ  ต่อเลยน้า  หวานป่าวหว่า   :oni1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 9 confession / คำสารภาพ

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2BADA40PB0&Autoplay=1

เพราะไม่อาจพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจลึกๆได้ เลยมีแต่ความเจ็บปวด มอง...ได้แต่เฝ้ามอง หวั่นใจอยู่ลึกๆ กลัวที่จะสูญเสีย โอบกอดไว้ในวงแขน แนบแก้มเย็นเฉียบเข้ากับอก หัวใจที่เริ่มชืดชาเต้นแผ่ว ดวงตาสีน้ำตาลลืมขึ้น ภานุจึงค่อยๆนำวงแขนบางสอดรอบเอว
 
“ยังเช้าอยู่ จะนอนต่ออีกหน่อยก็ได้”
 
สายตาของคุณหมอเหลือบมองอกไปนอกหน้าต่าง  ท้องฟ้าสีแดงบอกว่าเป็นเวลาใกล้รุ่งสาง ต้นธาราถอนใจน้อยๆรู้สึกปวดเมื่อยอ่อนล้าไปทั่วกาย ภายในลำคอยิ่งแห้งผาก ภานุได้ยินเสียงงึมงำเบาๆจึงคลายวงแขนที่กกกอด เดินไปรินน้ำส่งให้ ต้นธารารับมาดื่มอย่างง่ายดาย มองใบหน้าขรึมอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ภานุรอรับแก้วเปล่า คุณหมอพรูลมหายใจ เช็ดใบหน้าที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดีกับคนตรงหน้า รอให้อีกฝ่ายพูดก็ยังไม่ยอมเอ่ยเสียที ต่างเงียบงันราวกับมีบางอย่างปิดปากไว้
 
“ทำไมถึงมาที่นี่อีกล่ะ”
 
ในที่สุดต้นธาราก็เป็นฝ่ายตัดสินใจทำลายความเงียบ ร้อยเอกหนุ่มกลับเดินไปหยุดตรงหน้าต่าง หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบพ่นควันกระจาย ต้นธารารอคำตอบด้วยความอดทนอยู่บนเตียง
 
“อยากจะรู้เหตุผลรึ”
 
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ดวงตาสีน้ำตาลหรุบต่ำ
 
“ถ้าไม่อยากรู้เหตุผลก็คงไม่ถามหรอก”ตอบเสียงแข็ง นึกไม่ชอบใจกับนิสัยของผู้กองปากร้าย
 
 ภานุขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ เข้ามาใกล้ใบหน้าซีด ต้นธาราสบตาคู่นั้นตรงๆ อยากรู้นักว่าตัวเขาเองผิดอะไร ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ ยังนึกฝันกับความรู้สึกดีๆที่มอบให้กันและกัน พอตื่นขึ้นมามันเหลือแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นหรือ ภานุค่อยๆยื่นมือโอบอุ้มดวงหน้าที่ซ่อนรอยเจ็บช้ำ สายตาที่สื่ออกมา ราวกับจะต่อว่าต่อขาน ในใจของคุณหมอธารมีคำถามมากมาย อยากรู้เหลือเกินว่าต้องเจ็บช้ำ ต้องทุกข์ทรมานไปอีกเมื่อไร ยิ่งทำยิ่งรู้สึกไร้ค่า....พอเรียกหาก็รีบโผล่สู่อ้อมกอด พอถูกทอดทิ้งได้แต่หลบมุมนั่งเสียใจอยู่เงียบๆ อยากหลุดพ้นจากวังวน
 
“ทางของเรามันจบลงแล้วหรือ”
 
มองคนที่ครั้งหนึ่งเคยก้าวออกจากชีวิตของเขา คนที่คอยตอกย้ำความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ภานุบีบมือบางเอาไว้ จุมพิตที่ทำให้ใจเจียนคลั่ง
 
“ผมขอโทษ”
 
คำพูดของภานุช่างอ่อนเบา ต้นธาราได้ยินก็นึกว่าตังเองนั่นหูฝาดเฝื่อนไปเสียแล้ว กระพริบตาถี่ๆ ภานุหน้าแดง
 
“มันอาจจะสายไปที่มาพูดเอาป่านนี้ ผมขอโทษกับทุกๆสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณเจ็บปวด”
 
ต้นธารายิ้ม...รอยยิ้มนั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่น่ายินดีสักนิด
 
“ขอโทษ...น่าแปลกนะที่พูดออกมาได้ เพราะอะไรครับผู้กอง”
 
ต้นธาราไม่ค่อยเข้าใจนัก อยากรู้เหลือเกินว่าเหตุผลใดถึงทำให้ภานุซึ่งชิงชังเขากล่าวแบบนี้ ได้แต่คิดเอาเองฝ่ายเดียวว่าเป็นเพราะความสงสาร ผู้กองหนุ่มจึงเอ่ยรึเปล่า หาเหตุผลร้อยแปดมาไขข้อข้องใจ ต้นธาราทำหน้านิ่งฟังคำตอบออกจากปากของชายตรงหน้า
 
“ผมรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมทำร้ายคุณไว้มากเหลือเกิน เเค่คำขอโทษในตอนนี้มันไม่พอชดใช้กับสิ่งที่ผมทำ เเต่ก่อนที่เราจะจากลากัน ผมอยากบอกคำๆหนึ่งซึ่งมันอาจจะช้าไป...ผมอยากบอกคุณว่า...ผมรักคุณ”
 
 คุณหมอหนุ่มชักมือออก หัวเราะขันๆแต่แฝงความปวดร้าว
 
“อยากล้อเล่นรึไงครับ คุณสะใจใช่ไหมที่ทำแบบนี้”
 
คำว่ารักที่เอ่ยออกมากลายเป็นคมมีดซึ่งตัดให้ความรู้สึกขาดกระจุย
 
“ผมเจ็บยังไม่พออีกหรือ กลายเป็นคนโง่ให้คุณว่ายังไม่พออีกหรือ”หลับตาลง สิ่งที่อดกลั้นมานานค่อยๆพังทลายลงทีละน้อย ....ทำไมถึงมาพูดตอนนี้...มาพูดในตอนที่เขาคิดว่าเขาจะตัดใจ
 
“จะเอาจากผมอีก?”ต้นธาราถาม  ภานุลุกขึ้นทรุดนั่งข้างกายของคนที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ
 
“ผมไม่ได้ต้องการสิ่งใดจากคุณเลย ผมรักคุณนะธาร”ภานุเรียกชื่อคุณหมอหนุ่ม กรีดน้ำตาออกจากใบหน้าให้อย่างอ่อนโยน “ที่ผ่านมา ระหว่างเราสองคนมันอาจจะมีเเต่ความผิดพลาด ผมเกลียดคุณตั้งเเต่เเรกก็จริง แต่ตอนนี้ผมรักคุณ เราสองคนมาเริ่มต้นเดินไปด้วยกันใหม่เถอะนะธาร”ชายหนุ่มเน้นย้ำ
 
 ต้นธารายังไม่อยากปักใจเชื่อว่าที่ชายหนุ่มพูดมาคือความรู้สึกที่เเท้จริง ภานุอาจจะเเค่สงสารที่เขาเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่นานนัก ตัวเขาเองก็ยังไล่ตามความรักลมๆแล้งๆ
 
“จะให้เชื่อได้ยังไง วันนี้คุณพูดว่ารักได้แล้ววันพรุ่งนี้ล่ะจะคิดแบบนี้หรือเปล่า ความเกลียดชังมันไม่อาจเปลี่ยนเป็นคำว่ารักได้หรอก”
 
ผู้กองมีสีหน้าสลดทันใด แม้ต้นธาราจะเสียใจแต่เป็นการป้องกันตัวเองเอาไว้  สำหรับตัวเขาเองจะก้าวออกจากชีวิตของคนๆนี้เสียที คนมีมองเขา มีค่าเท่ากับก้อนหินกลวงๆ ไร้ประโยชน์....นายทหารหนุ่มกลืนน้ำลายยิ่งพูดเท่ากับว่าตัวเองนั้นเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บ
 
“ทุกครั้งผมจะเฝ้าถามตัวเองว่า เพราะอะไรความรู้สึกที่มีต่อคุณมันถึงเปลี่ยนไป เมื่อก่อนผมยอมรับว่าผมชิงชังคุณ ทว่าผมยิ่งเกลียดมากเท่าไร ผมก็ยิ่งคิดถึงมากเท่านั้น พยายามคิดไปว่ามันเป็นเพราะความชิงชังที่สั่งสมเอาไว้ในใจ จนมาถึงบัดนี้ผมถึงได้รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน”
 
 คุณหมอนั่งเงียบๆ  อยากจะด่าให้สาสมกับความเจ็บช้ำที่ได้รับ  คำสารภาพที่ได้ฟังตอนนี้ มันเป็นความรักที่ต้องฟังด้วยน้ำตาและความเจ็บช้ำ ทั้งๆที่เริ่มทำใจได้ ทั้งๆที่ไม่อยากรื้อฟื้น เขาจึงสร้างกำเเพงขึ้นมาต่อต้านชายหนุ่ม
 
“พอที!ผมไม่อยากรับฟังเหตุผลของคุณอีกแล้ว คุณไม่มีอะไรให้ผมเชื่อถือได้เลย”
 
ภานุพยายามกลั้นอารมณ์หงุดหงิด ใจจริงอยากจับบ่าของร่างที่นั่งบนเตียงเขย่าๆให้เชื่อฟังเสียด้วยซ้ำ เขายอมทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงไม่เชื่อกันอีกนะ อยากตะโกนถาม สุดท้ายได้แต่ปิดปากนิ่งเงียบ ใบหน้าคมสันบูดบึ้ง
 
“ผมไม่ได้อยากแกล้งหรือทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไหมการที่ผมมาพบกับคุณอีกครั้งผมดีใจ ตื้นเต้น ทำตัวไม่ถูกแต่พอมาเจอคุณกับพันเอกชานเนนแล้วผมหึง ที่จริงผมจะใช้การพบกันครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งสุดท้ายแล้วผมจะหนีหน้าไปอยู่เงียบๆแต่แล้วผมก็ทำไม่ได้”  ใบหน้าเอาแต่ใจตัวเองอ่อนลง เหลือเพียงความซึมเศร้า
 
 “ถึงจะพูดไป ค่ามันก็เท่าเดิม เราไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้อีกแล้ว คุณทำกับผมมามากจนเกินพอแล้ว”
 
ไม่อาจเปลี่ยน...คำๆนั้นสลักอยู่ในใจของภานุ
 
“แล้วความรู้สึกเมื่อคืนล่ะ”
 
แสงสว่างค่อยๆเรืองจับขอบฟ้า เป็นแสงอรุโณทัยแรกดูสดใสยิ่งนัก ต้นธาราแตะดวงหน้าของตัวเอง เรื่องเมื่อคืนยิ่งกว่าความฝัน การที่ได้อยู่ในอ้อมกอดคนที่เคยรัก มีสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งทำให้หวั่นไหว
 
“มัน...”ต้นธาราพูดไม่ออก ภานุทรุดนั่งจับมือทั้งสองกุมไว้แน่น แนบริมฝีปากอุ่นๆประทับหลังมือ มองดูผิวสีเข้มกับใบหน้าดุดัน
 
“ผม....รัก...คุณ”ชายหนุ่มพูดย้ำราวกับจะให้คำพูดนี้ตอกย้ำลงกลางใจของต้นธารา
 
------------------------------------------------
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-09-2008 15:54:25
เมื่อไม่อาจเรียกวันเวลาเก่าๆกลับคืนได้ ต่างก็พยายามรักษาระดับของความไว้เนื้อเชื่อใจ บางทีชายหนุ่มอาจจะบังคับอีกฝ่ายมากเกินไปก็ได้ กิ่งไผ่จึงเงียบงัน เอาแต่เก็บปากเก็บคำไม่ยอมพูดจาใดๆ ธีรเดชอึดอัดกับท่าทีเฉยเมย
 
“เส้นทางนี้จะเชื่อมถึงเขตแดนประเทศไทยได้”ร่างโปร่งหันมาบอกทางเป็นครั้งคราว
 
 ธีรเดชผงกหัวก่อนจะก้าวตามร่างที่เอาแต่เดินจ้ำ
 
“อีกกี่วัน”
 
ขนาดธีรเดชคิดว่าตัวเองฝึกภาคสนามมาดีแล้วยังเกิดอาการเหนื่อยหอบเมื่อก้าวผ่านเนินเตี้ยๆ เท้าย้ำเศษใบไม้แห้งกรอบแกรบ
 
“ไม่ต้องห่วงชาตินี้ถึงแน่ๆ”
 
คำตอบยียวนกวนประสาท ฝ่ายนายทหารหนุ่มเก็บปากเก็บคำ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเสีย
 
“คำขอของผมมันทำให้คุณรำคาญนักใช่ไหม”อดไม่ได้ที่จะโพลงถาม  “ต่อให้คุณบอกว่าถูกฝึกหนักขนาดไหน คุณก็น่าจะพักบ้าง ร่างกายของคุณแย่แล้วรู้ไหม ถึงจะบอกว่าพิษไข้ลดลงแล้วก็เถอะ”
 
กิ่งไผ่หันมา ดวงตาคู่นั้นฉายแววรำคาญ
 
“ต่อให้ผมตายอยู่ตรงนี้ ผมก็ไม่หยุด อย่ามาทำเหมือนผมสะบัดสะบิ้ง อ่อนแอจะได้ไหม?”กิ่งไผ่โต้กลับ ไม่มีแม้แต่อาการหอบให้ธีรเดชเห็น แต่ความเป็นจริงเเล้วร่างโปร่งปวดหัวและเจ็บร้าวไปทั่วแผ่นหลัง
 
“ผมไม่เคยเห็นใครดื้อด้านแบบนี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ”
 
ธีรเดชอดหัวเสียตามไม่ได้ ห่วงไปก็ไร้ประโยชน์ เขาควรปล่อยคนดื้อให้ตายอยู่ตรงนี้ดีไหมนะ อดคิดอย่างหงุดหงิดไม่ได้ ก่อนจะเดินนำไปก่อน กิ่งไผ่มอง รู้อยู่เต็มอกว่าโกรธแต่เขาเองก็ไม่ใช่คนง้อใครเสียด้วยสิ
 
“อยากจะตายก็เชิญ!”เพราะความหงุดหงิด ธีรเดชจึงพูดแรง พร้อมกับเดินหายลับไปในพุ่มไม้ข้างหน้า
 
ร่างโปร่งนิ่งงันทบทวนกับการกระทำของตัวเอง รู้ขีดจำกัดของตัวเองดีว่าไปได้ขนาดไหน แต่ยิ่งเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ ความรู้สึกสะกดกลั้นเหล่านั้นค่อยๆทำร้ายกายอย่างช้าๆ กิ่งไผ่ค่อยๆทรุดลง มือเเตะต้นขา พร้อมกับบีบนวด นิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกปวดเมื่อย เขายืดตัวขึ้นโดยเร็วเมื่อชายหนุ่มย้อนกลับมา
 
“ดื้อด้าน”ธีรเดชว่า
 
 ร่างโปร่งเดินไปสบทบ ฝ่ายธีรเดชนั้นทำหน้าเรียบเฉย
 
“จะหยุดพักหน่อยไหม ตรงหน้า มีลำธารพอดี”
 
ดวงหน้าละมุนผงกรับ เพราะเริ่มเกินขีดความสามารถในการอดทนของตนเองแล้ว นายทหารหนุ่มสังเกตอยู่แล้วว่าร่างโปร่งเริ่มทนไม่ไหว แต่ชายหนุ่มไม่พยายามช่วยร่างที่เดินช้าลงๆ
 
 ธีรเดชหยุดอยู่ตรงโขดหินริมน้ำ เหลียวมองคนที่เดินตามหลัง ที่ลากเท้าเดินตามมาช้าๆ ร่างโปร่งทรุดนั่งด้วยความเหนื่อยเเละปวดขาเหมือนตะคริวกิน  กิ่งไผ่อดมองใบหน้าของนายทหารหนุ่มไม่ได้จะดูรอยเยาะหยันต่อความอวดดีของเขา ทว่าไม่มีอะไรสื่อออกมาจากสายตาคู่นั้นเลย
 
“คุณคงปวดขามากสินะ ทั้งแบกของหนักทั้งเดินทางไกล ยื่นขาออกมาสิ”
 
กิ่งไผ่ไม่ยอมทำตามคำบอก หดขานั่งขัดสมาธิอยู่แบบนั้น ข่มความเจ็บปวด คนที่มีความอดทนน้อยต่อทิฐิของร่างโปร่งเป็นฝ่ายดึงขาออกมาเอง พร้อมกับลงมือบีบนวดต้นขา เพื่อคลายกล้ามเนื้อและให้เลือดหมุนเวียน สีหน้าของผู้ถูกนวดผ่อนคลาย รู้สึกคลายความเจ็บ กล้ามเนื้อทุกมัดสัมผัสด้วยมือหนาอย่างอ่อนโยน
 
“หันหลังมาสิ จะนวดให้”
 
กิ่งไผ่เผลอทำตาม เพราะรู้สึกปวดทั่วกาย การเดินทางแสนไกลและแบกสัมภาระหนักๆส่งผลถึงกล้ามเนื้อหลังช้ำและกล้ามเนื้ออักเสบ
 
“เป็นไงล่ะ ผมบอกเเต่เเรกแล้วไม่ยอมฟัง”
 
มือหนาสัมผัสแต่ละครั้งประดุจมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆไหลเวียน  รู้สึกลมหายใจผ่านริมหู ยิ่งหลับตาพริ้ม ธีรเดชอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นท่าทีผ่อนคลาย ชายหนุ่มค่อยๆจับร่างของกิ่งไผ่เอนนอนทับท่อนขาของตัวเอง กิ่งไผ่รู้สึกตัวก็สะดุ้ง ขืนตัวเอาไว้
 
“อย่า...แล้วคุณล่ะไม่เมื่อยบ้างรึ”กิ่งไผ่ถามอย่างตกใจ ธีรเดชหัวเราะร่วน
 
“ไม่หรอก ผมมันพวกเหล็กไหล...ห่วงตัวคุณเองเถอะ ยังไม่หายป่วยแล้วยังทำเป็นเก่งอีก ”
 
รั้งบ่าบางเอาไว้เอนทับตัวเอง แสงแดดอ่อนลอดผ่านกิ่งไม้ สายลมอ่อนๆพัดโชย บรรยากาศชวนให้รู้สึกสบายใจ ทั้งๆที่อยู่ในวงล้อมของศัตรู
 
“มัวชักช้าอยู่แบบนี้ ถ้าพวกมันตามรอยเจอจะทำไง?”
 
กิ่งไผ่ขืนตัวเองเอาไว้สุดฤทธิ์ เเต่ธีรเดชก็ไม่ปล่อยร่างโปร่งง่ายๆ
 
“เราพักกันไม่กี่นาทีหรอกน่า อีกอย่างถ้ามีใครตามมาก็น่าจะตามเรานานแล้ว” ชายหนุ่มพูดเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ
 
“คุณรู้จักพวกมันน้อยไป มันจะมากันโต้งๆให้เห็นรึไง”เอ่ยอย่างหงุดหงิด
 
“ถ้ามาจริงๆตอนนี้ ผมก็ไม่เสียใจหรอก...ตายด้วยกันดีออก ไม่เหงาด้วยตอนไปเมืองผี”
 
ธีรเดชก้มมองเสี้ยวหน้างามต้องแสงแดด เส้นผมยาวสลวยถูกมุ่นไว้เริ่มยุ่งเหยิง หลุดจากมวย บางปอยระใบหน้า  ดวงตาที่มีขนตายาวเป็นเเพกระพริบถี่ๆ ริมฝีปากสีเเดงขบเเน่นด้วยความหงุดหงิดต่อความขี้เล่นไม่เลือกเวลาของชายหนุ่ม นายทหารหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะเมื่อเผลอมองใบหน้าที่เหมือนผู้หญิง
 
“ไม่เข้าใจคุณจริงๆ ให้ตายสิ”กิ่งไผ่มองอย่างระอากับการกระทำของอีกฝ่าย
 
“ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ”ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น อีกฝ่ายจึงปิดเปลือกตาราวกับไม่อยากคุยต่อ
 
“อยากฟังเพลงไหม?”ชายหนุ่มถาม กิ่งไผ่เพียงลืมตาครึ่งหนึ่ง เเสดงความสงสัย
 
“เพลง?”ร่างโปร่งย้อนถามอย่างงุนงง
 
“เป็นเพลงที่ซึ้งมากนะ...แต่เพลงนี้นานมาแล้วสมัยพ่อผมยังเป็นหนุ่มนู่น เกี่ยวกับความรักของหญิงไทยกับหนุ่มชาวพม่า....”ธีรเดชเกริ่น มองใบหน้าที่งงงวยด้วยรอยยิ้ม
 
“เรื่องอะไร”กิ่งไผ่ถามขึ้นอย่างสงสัย หนุ่มไทยยิ้มนิดๆเพราะคนที่นิ่งเงียบเริ่มสนใจและยอมพูดคุยด้วยโดยดีแล้ว
 
“เลือดสุพรรณน่ะ”ชายหนุ่มบอก กิ่งไผ่ทำหน้าสงสัย ธีรเดชจึงร้องเพลงให้ฟัง
 
“ดวงจันทร์งามพักตร์พิศเพียงพระจันทร์
 อย่ามาแกล้งยอฉัน ฉันเป็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบัง
เมื่อเมฆขยาย จันทร์จะฉายท้องฟ้า
แต่ไม่ลอยลงมา พี่ก็ไม่มีหวัง
 จะหวังอะไร ที่ในตัวฉัน
พี่รักดวงจันทร์ อยู่เจียมจะคลั่ง
ห่วงการข้างหน้า พะว้าพะวัง
 แล้วยังห่วงหลัง อยู่ทางเมืองโน้น
 ดวงจันทร์ งามพักตร์พิศเพียงพระจันทร์
 อย่ามาแกล้งยอฉัน ฉันเป็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบัง
 เมื่อเมฆขยาย จันทร์จะฉายท้องฟ้า
 แต่ไม่ลอยลงมา พี่ก็ได้แต่ฝัน
 จะฝันอะไร ในตัวคนยาก
พี่ฝันจะฝาก ชีพไว้สุพรรณ
 พอเสร็จการทัพ คงกลับเขตขัณฑ์
จะมาหาดวงจันทร์ ไม่ไปอื่นเลย....”


กิ่งไผ่ยิ้มกับเนื้อเพลง แม้ไม่เข้าใจในเนื้อเพลงทั้งหมดก็ตาม จากอารมณ์หงุดหงิดเริ่มผ่อนคลาย ผู้กองธีรเดชทำหน้าเขินๆก่อนจะขอความเห็น
 
“เพราะดี...เพิ่งเคยมีคนร้องให้ฟังแบบนี้เป็นครั้งแรก...ทุกครั้งมีเเต่คนเกรงผมตลอดเวลา”
 
สายตาสีดำทอดมองอย่างอ่อนโยน“อย่างน้อยๆตอนนี้คุณก็ไม่ได้ตัวคนเดียว”
 
คำปลอบใจของคนๆนี้ ซึมลงไปหัวใจจนรู้สึกอบอุ่น.... จนกิ่งไผ่คิดว่าหากได้รับมากเกินไปตัวเองไม่อาจจะตัดใจได้...คิดกับใจที่เริ่มเอนเอียง...และหลงใหลกับความใจดี ทั้งๆที่อีกฝ่ายนั้นไม่คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ ร่างโปร่งตกใจกับความคิดของตัวเองยิ่งนัก
 
------------------------------------------------
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-09-2008 16:05:02
หวานแบบเศร้าๆ ก็ยังดีที่ผู้กองยังมาบอกรัก นึกว่าจะไม่พูด  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 23-09-2008 16:13:27
บอกไปแล้ว   :a2:  ผิดคาดแฮะ  คุณหมอไม่ดีใจเลยหรอ

โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-09-2008 16:16:25
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ในที่สุดผู้กองปากหนักก็สารภาพรักจนได้ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

(จริงๆอ่านตอนนี้จากบอร์ดอื่นไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร อ่านใหม่ก็ยังกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดได้อยู่  :m4: )
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 23-09-2008 16:35:49
พูดซะที รอตั้งนาน ยังไม่ได้อ่านเลยตอนใหม่ แต่ขอจิ้มก่อน เหอะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 23-09-2008 17:55:25
รักกัน แต่เค้าอุปสรรคก่อตัวอีกแล้ว คนแต่งใจร้ายนัก เหอะๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 23-09-2008 20:09:52
ช่วงนี้หวานนนนแล้วนะคะ ผู้กองปากหนักสารภาพรักแล้วด้วย (หลังจากพิศาลมานานแสนนานจนคนอ่านคงอยากฆ่าคนเขียน :jul1:)
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 23-09-2008 20:14:58
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย สองตอนนี้จะตายเอาได้น่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 23-09-2008 20:16:17
ฝากจิ้มทะลุไปหาคนแต่งจ้า


เข้ามากด +1 ให้น้า

จ๊วบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 23-09-2008 23:46:30
ขอบคุณมากคร้าบที่แวะมาเป็นกำลังใจให้  :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.TaiKi ที่ 24-09-2008 00:16:49
 :a2: :a2: :a2: :a2:
เยส เยส เยส เยส
ในที่สุด คนปากแข็งก้อพูดซักที  ลุ้นตั้งน้าน นาน  :man1:
แต่ตอนเน้ก้อรอพิสูจให้คุณหมอ เชื่อใจ   :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 24-09-2008 00:56:34
:a2: :a2: :a2: :a2:
เยส เยส เยส เยส
ในที่สุด คนปากแข็งก้อพูดซักที  ลุ้นตั้งน้าน นาน  :man1:
แต่ตอนเน้ก้อรอพิสูจให้คุณหมอ เชื่อใจ   :oni1:


 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับเห็นด้วยอย่างยิ่ง

แต่ทำไมพี่หมอไม่เชื่อละครับ

แต่อาจเป็นเพราะพี่หมอไม่เคยคาดคิดมาก่อน อิอิ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 24-09-2008 07:43:53
T^T
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-09-2008 17:25:50
555 ในที่สุดผู้กองปากแข็งก็สารภาพ  มาอ่านต่อดีกว่าว่าจะหวานกันรึเปล่า  :oni1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=

เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 10 Confession/ คำสารภาพ [Part2]
 
การที่นิ่งสงบมันอาจจะเป็นวิธีที่ดี สำหรับเรื่องในตอนนี้ เพราะความรักที่กลั่นออกมาจากใจทำให้น้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว คำพูดนี้มันสะกิดบาดเเผลที่ฝังลึกในใจ มันช่างนานเหลือเกินที่จมจ่ออยู่กับมัน  เนิ่นนานนักที่ใจสองดวงจะคล้องเป็นหนึ่งเดียว ตลอดมาความทุกข์ทำให้ใจเจียนมลาย รอสักครั้งที่จะได้ลิ้มรสความหวาน หากท้ายที่สุดแล้วได้แต่ความขมขื่น ยากนักที่จะเชื่อว่าสองใจถักทอร้อยเรียงจนเป็นหนึ่งเดียว  วงแขนใหญ่โอบกอดแนบแน่น ต้นธารากอดแขนคู่นั้นไว้แน่น ในหัวใจอยากจะเชื่อที่ผู้กองปากร้ายเอ่ยบอกรัก
 
“เรารักกันได้จริงๆหรือ”คำถามของคุณหมอร่างบอบบางทำให้วงแขนแกร่งยิ่งกอดร่างผอมแน่น
 
“ได้สิ...ที่ผ่านมาผมมัวแต่โง่งม ทำตัวเป็นไอ้บ้า ทำร้ายคุณตลอดมา ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่าคุณเป็นลำธารที่ไหลเย็น เป็นลำธารที่ทำให้ใจผมชุ่มชื่ม ”ชายหนุ่มกล่าว
 
ต้นธารายกมือขึ้นกอดภานุอย่ากล้าๆกลัวๆ....ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือความจริง
 
 “กอดผมตามที่คุณต้องการเถอะ”
 
ต้นธารากอดแน่น ซุกหน้ากับอกหนา ร้องไห้จนแผ่นอกชุ่มหยาดน้ำตา
 
“ผมอยากให้คุณรู้อยู่เสมอว่าผมรักคุณ แต่คุณก็มองผมเป็นเพียงเศษฝุ่นละออง รักมากแค่ไหน มันก็ไม่เคยได้กลับคืน....รู้อะไรไหม ผมตามหาคุณเพราะเป็นความรักของผม.....”
 
คุณหมอค่อยๆสารภาพด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย ภานุรับฟังน้ำเสียงขาดห้วง
 
“ครั้งแรกที่ผมพบหน้าเขา  ตอนนั้นเขาคนนั้นเดินสวนสนามท่ามกลางไอแดด ใบหน้าเข้มแข็งขึงขัง น้ำเสียงเฉียบขาดตะโกนออกคำสั่ง ผมมองตามดวงตาดุดัน มันติดอยู่ในใจจนไม่อาจลืมเลือน ผมคิดเอาเองฝ่ายเดียวว่าตัวเองคงบ้า ทำไมถึงคิดถึงคนที่ผมไม่รู้จักและเพิ่งได้พบหน้าเพียงครู่เดียว ยิ่งพยายามลืม ใจของผมก็ยิ่งโหยหาแต่เขา...ผมรู้ว่ามันบ้า...บ้าที่สุดที่รู้สึกเช่นนี้แต่ยิ่งรู้ใจตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งตามหาเขาเพราะไม่อาจตัดใจได้ จนกระทั่งผมได้พบเขา...สุดท้ายแล้วระหว่างเขากับผมก็มีแต่ความเสียใจ ผมอยากจะบอกรักเขา แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพ ได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในอก เฝ้าคิดเฝ้าฝันอยู่ฝ่ายเดียวว่าเมื่อไรที่ผมกับเขาจะได้เดินไปด้วยกัน ความหวังมันก็รางเลือนลงทุกที...ทุกที มือคู่นี้คงเอื้อมไม่ถึงอีกแล้ว”
 
“ทำไมผมถึง...”ชายหนุ่มกล่าวเบาๆเมื่อร่างบางเงียบไป
 
“ก็ผมไม่มีค่าพอควรแก่การจดจำหรอก...ภานุ รู้ไหมว่าชื่อของคุณมันอยู่ในใจของผมเสมอมา”
 
ดวงตาคู่งามหลับตาลงนึกถึงความหลังในวันที่ฟ้าสดใส คนที่ถูกกล่าวถึงนิ่งอึ้ง เพิ่งรู้ว่ามีใครบางคนรอให้เขาเหลียวมอง หัวใจของคนๆนั้นเรียกร้องถึงเขา ทุกข์อยู่คนเดียว เฝ้าฝันอยู่ตามลำพัง  ไม่อาจสรรหาคำใดมาบอกกล่าวได้นอกจากแรงกอดที่แน่นขึ้น...แน่นขึ้น
 
“ธาร...”
 
ต้นธาราเงยหน้าขึ้นเพราะชายหนุ่มเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นครั้งแรก มันชื่นฉ่ำหัวใจเหลือเกิน ดั่งสายฝนประพรมกลีบดอกไม้แรกผลิ วาบหวาม ซาบซ่านจนเต็มเปี่ยมหัวใจที่บอบช้ำ
 
“ต่อจากนี้ไปเราเริ่มกันใหม่ได้ไหม นับหนึ่งแล้วเดินไปพร้อมๆกัน”
 
ริมฝีปากหนาเเละเอาเเต่ใจประทับรอยจุมพิตหน้าผากมน มือหนารั้งร่างบางแนบชิดแอบอิงไออุ่น ยอมทุกอย่างเพื่อหยุดเวลาที่แสนมีค่านี้ไว้...ความเข้าใจผิด เเละความชิงชังที่มีมาเนิ่นนาน ทลายลงไปจนไม่เหลือแม้เเต่เศษซาก.... หัวใจที่หยิ่งทระนงมีร่างอยู่ในวงแขนเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์
 
“แล้ว...เรื่องของผู้พันชานเนล่ะ?”
 
ความกังวลใจใหม่ถาโถมเข้ามาในอกที่พองฟูราวกับลูกโป่ง หวาดกลัวว่าความรักที่ได้ครอบครองนั่นจะสูญสลาย ต้นธารายกมือปิดปากผู้กองหนุ่มเอาไว้
 
“อย่าพูดถึงเขาเลย...ในเมื่อผมรักคุณแล้ว ใจของผมคงไม่อาจรับใครเอาไว้ได้อีก”ถอนใจน้อยๆค่อยๆซึมซับไออุ่นที่ถ่ายทอดมาให้
 
“ผู้พันเป็นคนดี...เป็นคนที่อยู่เคียงข้างตอนที่ผมล้มลง”
 
คุณหมอเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ภานุยิ่งกอดคนรักแน่น
 
“ทว่าผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งๆที่เขาน่าจะทำให้ผมสบายใจได้แท้ๆ ทำไมนะคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดกลับทำให้ผมรัก ผมรู้สึกสมเพชเมื่ออยู่กับเขาแล้วผมนึกถึงคุณอยู่ตลอดเวลา ใจหนึ่งอยากจะเลิก แต่คุณก็ก้าวเข้ามา ยิ่งเป็นการบีบผมให้ทรมานกับความรักที่ห่างไกลเกินฝัน”
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-09-2008 17:29:25
ท้องฟ้าเริ่มจ้าแสง แต่คนทั้งสองยังไม่ลุกจากเตียง ค่อยๆเล่าค่อยๆเผยความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้มาเนิ่นนาน  เล่าความรู้สึกที่แต่ละฝ่ายได้ประสบ แล้วผล่อยหลับไปพร้อมๆกัน ใต้ผ้าห่มผืนหนา ใต้ห้องอันแสนอบอุ่น เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบาๆปล่อยสายลมเย็นยะเยือกให้สองกายแนบชิด ตื่นขึ้นมาก็เพราะรู้สึกกลัวพอมองเห็นเสี้ยวหน้าแกร่งยังหลับสนิทก็เบาใจลงที่ตัวเองไม่ได้อยู่ตามลำพัง ยิ่งเบียดกายแนบชิดก็ยิ่งถูกกกอดแน่น  และยามเย็นก็มาเยือน เปิดเปลือกตาแสนหนักอึ้ง มองเห็นร่างสูงถือถาดอาหารเข้ามาในห้องนอน ควันร้อนฉุยของกาแฟลอยกรุ่นหายไปกับอากาศ
 
“ทานข้าวเช้า เที่ยงแล้วก็เย็นไหม?”
 
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขบขัน ต้นธาราหัวเราะเบาๆที่เห็นชายหนุ่มชูถ้วยกาแฟขึ้น
 
“ผมลุกไม่ไหว”ต้นธาราว่า
 
 ภานุประคองต้นธาราขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงก่อนผู้กองหนุ่มจะถือถาดอาหารกับกาแฟนั่งข้างเตียง ยื่นให้อย่างเอาใจ
 
“ผมกินไม่ได้หรอก” ต้นธารากุมศีรษะ ทั่วทั้งห้องโคลงเคลง รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาทันที....ร่างบางรู้ว่าอาการป่วยกำลังกำเริบขึ้นอีกครั้ง ภานุรีบวางถ้วยกาแฟลง เข้าไปดูอาการคนรักอย่างเป็นห่วง
 
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นไร”
 
ต้นธาราพยายามฝืนยิ้ม  ศีรษะพิงไหล่ของชายหนุ่ม ภานุโอบเอวบางเอาไว้
 
“ผม...ผมกลัวเสียคุณไป”ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงสั่นๆ
 
 ต้นธาราปิดเปลือกตาเอ่ยตอบเบาๆพร้อมกับบีบมือกร้านแน่น
 
“ผมไม่ตายง่ายๆหรอกน่า อย่างแช่งผมสิ”
 
ร่างโปร่งหัวเราะน้อยๆเพื่อไม่ให้ภานุสบายใจ เงยหน้าขึ้นเรือนผมถูไถกับอกแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้าม
 
“หิวแล้ว...มีอะไรกินบ้าง”
 
 ภานุยกจานอาหารขึ้นมา ซึ่งเป็นข้าวผัดทะเล ค่อยๆป้อนเข้าปากแห้งผาก ต้นธารากินน้อยเหลือเกิน แต่ก็พยายามฝืนกิน
 
“พอแล้ว พอแล้ว”
 
มือสั่นระริกโบกปฏิเสธ ภานุวางช้อนลงมองข้าวเหลือครึ่งจาน รินน้ำเปล่าจรดริมฝีปาก ต้นธาราดื่มอย่างกระหาย
 
“แล้วคุณไม่ทานหรือครับผู้กอง?”
 
ดวงตาคู่งามมองหาจานข้าว ภานุชี้มาทางกาแฟถ้วยเดียวพร้อมกับข้าวที่เหลือ
 
“แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับผม ธารนอนก่อนเถอะ”
 
ค่อยๆประคองร่างโปร่งนอนลงบนเตียงนุ่มๆ ต้นธารามองแผ่นหลังแกร่ง
 
...คงใช้เงินไปไม่น้อยสินะกับค่าห้องสุดหรู...
 
คิดแล้วก็สะท้อนใจเพราะร้อยเอกภานุเป็นข้าราชการจนๆได้เงินเดือนไปเท่าไรแต่ก็ยอมจ่ายยอมเสียเพื่อให้ได้อยู่กับเขา ต้นธารากำหมอนแน่น น้ำตาไหลแต่ต้องรีบเช็ดออกโดยเร็ว เขาอยากช่วยแต่ตัวเองช่างไร้ความสามารถเหลือเกินมาเป็นโรคร้ายอีก ลำบากทั้งพ่อ ลำบากทั้งคนรอบกาย กลัวว่าตัวเองจะตายโดยไม่ได้ตอบแทนคุณพ่อ เพราะตัวเองก็ทำให้พ่อเสียใจมามากแล้ว หยาดน้ำตาซึมหายกลายเป็นวงกว้าง....ขอเเค่เวลา!
 
 ภานุนั่งทานข้าวที่ต้นธาราทานเหลือรู้สึกฝืดคอ....รู้เช่นกันว่าตอนนี้มันช้าไปแล้ว...เวลาของพวกเขามันเหลือเเค่เพียงน้อยนิด....ภานุนึกโกรธตัวเองเพราะช่วยอะไรคนรักไม่ได้เลยสักอย่าง.... ถ้ารู้ถ้าเข้าใจกันได้เร็วกว่านี้คงได้เป็นแรงใจให้ กำช้อนแน่น น้ำตาไหลพรากทั้งๆที่ยังกินข้าวอยู่ ชายหนุ่มพยายามกินข้าวอย่างเงียบงัน วางช้อนลงเมื่อไม่อาจกลืนไหว  ล้างหน้าล้างตา มองดูเงาของตัวเอง หันกายเข้าไปในห้อง ทรุดนั่งกำมือแน่นก่อนจะคลายออก วางมือลงบนศีรษะลูบผมนุ่มมือ
 
“ธาร...หลับเเล้วเหรอครับ?”
 
ชายหนุ่มถามเสียงแผ่ว ต้นธาราไม่ไหวติง ลมหายใจสม่ำเสมอ ภานุเห็นว่าหลับแล้วจึงออกมานั่งนอกห้องทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเงียบๆ
 
 
ตกดึกภานุติดต่อไปทางโรงแรมว่าต้องการพักต่ออีกสองคืน พอติดต่อเสร็จก็กลับมานั่งถอนใจ วางแผนจะพาต้นธาราเที่ยวอยู่ในใจก่อนจะส่งตัวกลับ ชายหนุ่มเคาะโต๊ะ เสียงต้นธาราร้องเรียกหาเบาๆจึงลุกขึ้น
 
“มีอะไรครับ”ชายหนุ่มทรุดนั่งถามเสียงนุ่ม ต้นธารายกแขนกอดคอทำหน้าโล่งอก
 
“ผมนึกว่าคุณออกไปไหนแล้วซะอีก” คุณหมอว่า ภานุหัวเราะขันในลำคอ รับอ้อมแขนบางอย่างเต็มใจ
 
“ผมจะไปไหนได้ครับธาร ผมอยู่ที่นี่ตลอดแหละครับ”
 
ต้นธารายิ่งออดอ้อนมากเท่าไร ชายหนุ่มก็ยิ่งเอ็นดูและรักมากยิ่งขึ้น ยิ่งไม่อยากปล่อยมือ
 
“ไม่รู้สิ...ก็...มันกลัว”
 
ต้นธาราว่า ไม่ใช่ว่าตัวเองมารยาสาไถ แต่เพราะความกลัวฝังใจเพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างภานุและต้นธารามันไม่มั่นคงเลย...เมื่อได้เริ่มต้นก็อยากให้มันคงอยู่ตราบเท่าเวลาจะยื่นให้
 
“ไม่ต้องกลัวหรอก ผมจะไม่ไปไหน”
 
ภานุนั่งกอดต้นธาราจนหลับไปอีกครั้ง ชายหนุ่มนอนตาม อ้อนแขนบางกอดรัดกระหวัดแน่น
 
“ธาร...”
 
เขย่าตัวเบาๆต้นธาราครางอือ ลืมตางัวเงีย พอภานุลูบศีรษะเบาๆ ต้นธาราจึงฝืนลืมตา
 
“กวนอะไรหรือ”
 
ต้นธาราถามอย่างระโหย ภานุจูบข้างแก้ม ต้นธาราดันหน้าออก แก้มสากสัมผัสแก้มนวลจนจั๊กกะจี้
 
“พอเถอะ  อยากนอน”
 
คุณหมอว่า แต่ผู้กองหนุ่มไม่ยอม
 
“นอนมากแล้วจะนอนอีก เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอก”ภานุบอก คร่อมร่างบางเอาไว้ ต้นธาราอ่อนใจเสียจริง
 
“แล้วคุณไม่ง่วงหรือครับผู้กองภานุ”
 
ต้นธาราถาม จ้องมองดวงตาเปี่ยมสิเน่หาตรงๆ ดวงตาประสานดึงดูดซึ่งกันและกัน
 
“ผมง่วงผมก็พลาดสิ่งดีๆน่ะสิ”
 
มือหนาปัดเรือนผมปรกหน้าของร่างโปร่ง เอื้อมมือสุดแขนหรี่โคมไฟให้อ่อนแสง ต้นธารากอดคอชายหนุ่มเอาไว้  ภานุเเนบริมฝีปากจุมพิตร่างโปร่งเเผ่วเบาเหมือนผีเสื้อขยับปีก เเละค่อยๆจูบล้ำลึกจนอีกฝ่ายหายใจหอบกระชั้น...สายใยเเห่งรักหล่อหลอมทั้งคู่ให้เป็นหนึ่งเดียว  ร้อยเรียงความสุขเเสนหวานจนเหมือนกาลเวลาจะตรึงทั้งคู่เอาไว้แนบสนิทนิจนิรันดร์
 
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 24-09-2008 17:57:03
เห้อ....


กว่าจะลงเอยยย


แล้วจะมีอุปสรรคอะไรอีกไม๊
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 24-09-2008 18:04:04
เป็นปลื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuya ที่ 24-09-2008 22:17:10
ดีใจเป็นที่สุด  มีกำลังใจอ่านหนังสือขึ้นมาเลย อิอิ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 25-09-2008 16:59:11
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

ในที่สุด  ก็เข้าใจกัน

 o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 25-09-2008 19:05:47
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

อ่าครับ ในที่สุดก็รักกัน

สรภาพจนได้นะครับผู้กอง

ขอให้ความรักครั้งนี้สมหวัง

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 25-09-2008 23:05:12
ตอน 2 นี่หวานได้ใจจังนะครับ ความรักที่ไม่มีกำแพงอะไรขวางกั้นอีกต่อไป
แต่ก็ยังไม่ไว้ใจคนแต่งอะครับ ดีไม่ดีเดี๋ยวหักหลังคนอ่านให้เสียน้ำตาอีก
ไงก็ขอให้มันสดใสไปตลอดนะครับ อะไรก็ลงตัว ติดที่ว่าหากหมอธารกลับไปแล้วมันต้องมีปัญหาที่พ่อตาของผู้กองภาณุอีกแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 26-09-2008 21:01:35
หวานไหมคะ? หวานถูกใจใช่ไหม 55+ ฉลองหลังจากโศกมานาน พิศาลมาครึ่งเรื่อง หวานให้ชื่นใจกันหน่อยค่ะ :n1:


หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pseudoboy ที่ 29-09-2008 22:15:39
ยังมีอีกคู่นะคะที่ยังไม่ happy 

อยากเห็นกิ่งไผ่ตอนหวาน ๆ มั่งอ่ะค่ะ

มาต่อเร็ว ๆ นะค้า... :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-10-2008 18:56:47
ตอนนี้เอาคู่นี้ไปก่อนนะ  อีกไม่นานคู่น้องไผ่กับธีมาแน่  :oni1:
ขอบคุณที่เม้นต์น้า  คิดถึงๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 11 Confession/ คำสารภาพ [Part3]

แสงแดดส่องลอดม่านปลุกให้สองร่างที่นอนกอดตระกองตื่นจากการหลับใหล ต้นธารากุมหน้าผากเมื่อชันตัวขึ้น ภานุยังคงงัวเงียวงแขนหน้าที่พาดทับดอกตระกองถูกมือบางจับออกจากตัว ก่อนจะลุกขึ้นทั้งตัวเปลือยเปล่า ต้นธาราทรุดนั่งยังเก้าอี้ เท้าแทนลงบนโต๊ะไม้

“ธาร...”

ภานุงัวเงียตื่นขึ้นมาเห็นคนรักนั่งกุมขมับ ใบหน้าซีดเซียวเตรียมลุกขึ้นไปหาเพื่อดูอาการแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ล้มตัวนอนมองร่างขาวจัด ใบหน้าเหม่อลอย ท้ายที่สุดต้นธาราก็ลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวคลุมกายเดินเข้าห้องน้ำ ภานุจึงลุกจากเตียงกุมมือตัวเองเอาไว้วางบนหน้าตัก ทบทวนเรื่องที่ผ่านมา....ว่าตัวเองเกือบกลายเป็นโง่ไปเสียแล้ว เกือบทำให้ดวงใจดวงสำคัญสูญหาย ยิ้มกับตัวเอง....กับความรักที่เริ่มต้นใหม่

ฝ่ายต้นธาราหลังจากที่ลากสังขารอันอ่อนล้าเข้าห้องน้ำได้ก็นั่งพิงผนัง ทรุดกองกับพื้นยกมือปิดปากตัวเองไว้แน่น เพราะรู้สึกอยากอาเจียน ต้นธาราพยุงตัวเองลุกขึ้นโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง หลังจากที่กดชักโครกชำระคราบสิ่งสกปรกก็ล้างปากด้วยมืออันสั่นเทา

...ระเบิดเวลาที่ฝังไว้กับตัวเอง เริ่มเดินต่อ นึกถึงยาที่ตัวเองไม่ได้ทานก็ปิดเปลือกตาลง มือบางแตะกระจก ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ใช้ไป มันค่อยๆจางหาย กลัว...กลัวกับเวลาแห่งความเศร้าโศกมันจะเดินมาเร็วกว่าที่คิดไว้

ต้นธาราพยายามปัดความรู้สึกหวาดหวั่นออกจากใจ ก้าวลงอ่างอาบน้ำ...ทว่าความรู้สึกผิดที่ผู้กองนาคีตายเพราะตัวเองยังกินลึก ต้นธาราหลับตาลง รู้สึกอ่อนล้า เขาคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งผู้กองนาคีตายไป.....ผู้กองใจดี คอยดูแลเขาเสมอ นึกถึงร่างใหญ่โตคล้ายกับภานุแต่ใจดี ยิ้มง่ายก็ยิ่งอยากให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่ตายแทนเสีย วันนี้เขามีความสุขพอแล้ว....และความสุขที่เหลือก็จะเป็นของผู้กองนาคี ต้นธาราเอนศีรษะพิงขอบอ่างจนกระทั่งเผลอหลับไป ลำตัวไหลเลื่อนจมสู่ใต้น้ำอุ่นๆ

“ธาร....”

เสียงเรียกชื่อแผ่วๆ คุณหมอนิ่วหน้า ดวงตาค่อยๆเปิดขึ้น แสงจ้าสว่าง นี่เขาตายแล้วหรือ ทำไมมันช่างอบอุ่นนักล่ะ มือหนาตบแก้มของต้นธาราเบาๆ พยายามเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ธาร”

ใครกันนะที่เรียกชื่อของเขา เขม่นมองภาพรางเลือน มองเห็นผู้กองนาคียืนอยู่ข้างหลังร่างโต

“ผู้กอง...”

ต้นธาราเอ่ยเสียงแผ่วเบา พยายามยกมือหนักอึ้งไปหา หากผู้กองนาคียังนิ่งส่งยิ้มใจดีเหมือนเคยมาให้และสั่นหน้าคลายปฏิเสธ

“ธารคุณเป็นอะไร ตื่นขึ้นมาสิครับ ตื่นขึ้นมามองผม”

ภานุเขย่าบ่ามองร่างที่นอนราบอยู่บนพื้นห้องน้ำเย็นเฉียบ แววตาหวั่นใจยิ่งนัก

“ธาร”

ภานุที่เอะใจว่าเหตุใดจ้นธาราถึงเข้าห้องน้ำนานนัก พยายามเคาะเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับจึงเคาะแรงขึ้นแล้วตัดสินใจเปิดทันทีชายหนุ่มก็ต้องพบภาพน่าหวาดหวั่นเพราะร่างของต้นธาราจมอยู่ใต้น้ำ ดวงตาปิดสนิท เรือนผมลอยเป็นแพ ภานุตัวแข็งลืมหายใจไปชั่วขณะก่อนตั้งสติได้ รีบคว้าร่างของคนรักขึ้นจากน้ำ ตรวจดูชีพจรแล้วปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันทีเมื่อต้นธารายังเหลือลมหายใจอ่อนๆ ขณะเป่าปากไปพร้อมกับปั๊มหัวใจก็ร้องเรียกชื่อไปพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งริน

“คุณจะทิ้งผมไปแบบนี้หรือธาร”

ต้นธาราก็ไอแค่กๆพร้อมกับคลายน้ำในท้อง มือพยายามไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่างจนภานุแปลกใจ

“ธารคุณหาใคร...คุณเรียกใครกัน”

ภานุประคองใบหน้าเล็กพร้อมกับตบเบาๆเป็นการเรียกสติ วงแขนหนากอดร่างต้นธารากระชับเมื่อได้ยินเสียงเรียกแผ่วๆ

“ผู้กองนาคี...”

ต้นธาราเรียกชื่อเพื่อนของเขา! ดวงตาเลื่อนลอยยังไม่คลายความเจ็บปวดและความผิดที่ทำให้นาคีตายสินะ

“ธาร...ไอ้นาคีมันไม่ได้โทษคุณหรอกนะที่ทำให้มันตาย ผมเองต่างหากที่บีบคั้นคุณเกินไป ธาร...ผมขอโทษที่ผมบีบคั้นคุณจนเกินไป”

แรงกอดกระชับแน่นมากยิ่งขึ้น เขาคงคิดอะไรง่ายเกินไป...จนไม่นึกถึงผลที่จะตามมาภายหลัง ต้นธาราหายใจสม่ำเสมอ ดวงตาพร่าเลือนแจ่มชัดจับจ้องยังผิวเข้ม

“เจ็บ....”

ชายหนุ่มกอดแรงจนเจ็บแทบหายใจไม่ออกนั้นทำให้คนถูกกอดร้องอุทธรณ์

“ผม...เมื่อกี้ผมใจหายหมดเลย”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงสั่นเครือ ต้นธาราพยายามลุกขึ้นแต่ว่าก็ยังทรงตัวไม่ดีนักจนร่างใหญ่ต้องช่วยประคอง

“ผมเป็นอะไร”

ต้นธาราถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าราวกับจำไม่ได้ ภานุยังไม่ให้คำตอบ ลากเก้าอี้พร้อมกับหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างบาง ต้นธารานอนนิ่ง เพราะยังไม่ทุเลาจากอาการวิงเวียน ภานุต้มน้ำร้อนรอจนเดือดยกมาให้คุณหมอดื่ม

“อย่าเพิ่งคุยเลย ดื่มน้ำอุ่นๆก่อนเถอะ”ภานุทรุดนั่งตรงกันข้าม กับร่างบาง

“ผมทำอะไรลงไปหรือ”น้ำเสียงแหบเครือแฝงรอยอ่อนล้า

ภานุจับมือบางมากุมไว้“คุณจมน้ำ หลับในหรือ”

ต้นธาราพยายามนึก เขาจำได้ว่าแช่อ่างอยู่ดีๆก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากนอน ค่อยๆปิดตาลงจนไม่รู้สึกอะไรอีกเลยนอกจากรู้สึกตัวเบาสบาย พอรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนพื้นห้องน้ำแล้ว

“อื้อ...”

ต้นธาราผงกหัวเพราะคิดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้ ภานุบีบมือเบาๆไม่เซ้าซี้อะไรมาก

“จะพักอีกรึเปล่า หรือคุณอยากจะกลับ?”

ต้นธาราเงยหน้ามองใบหน้าขรึม

“ภานุ...คุณจำสัญญาที่เคยบอกได้ไหม ก่อนที่คุณจะไปลาดตะเวน”

สายตาสีน้ำตาลมองใบหน้ากร้านแดน รออยู่เนิ่นนานก่อนผู้กองหนุ่มจะเอ่ยตอบ

“จำได้สิ....ผมสัญญาว่าจะพาคุณไปดูประเพณีขึ่มสึ ขิ่ทมี้ อาเผว่...”

ชายหนุ่มตอบ ต้นธาราผงกหัวเมื่อชายหนุ่มจำได้

“แล้วคุณยังจะรักษาสัญญาไหม”

ผู้กองหนุ่มนิ่งงันก่อนตอบรับไป

“ต้องทำสิ ในเมื่อผมสัญญากับคุณแล้ว แต่ว่ามันยังไม่ถึงวันที่จัดประเพณีนั่นเลยนี่”ภานุแย้ง น้ำเสียงห่วงใย

“สัญญาก็คือสัญญาไม่ใช่หรือ”ต้นธาราย้อนด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น

ภานุมองหน้าต้นธาราก่อนเอ่ยถาม

“ทำไมถึงอยากไปนัก” ชายหนุ่มจ้องฟน้าต้นธาราตรงๆ... ตอนที่ต้นธาราจมน้ำ ชายหนุ่มคิดว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุพอได้ยินคุณหมอเรียกชื่อเพื่อนสนิทก็แน่ใจว่าต้องเป็นการกระทำอัตวิบากกรรมตัวเองอย่างแน่นอน

“ก็ไปตามที่คุณสัญญาไว้ไง”ดวงตาไร้ซึ่งสิ่งเคลือบแฝงมองตรงๆ

“ธารแน่ใจหรือว่าคุณจะไปจริงๆ”ผู้กองหนุ่มตั้งต้นคำถาม

“แน่สิ ไหนๆคุณก็เป็นฝ่ายพาผมออกมาแล้วแท้ๆทำไมไม่ทำให้มันสุดๆไปเลยละ”

อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม ภานุจำต้องยอมแพ้ ยอมเก็บข้อสงสัยเอาไว้ในใจเงียบๆก่อน

“แล้วถ้าผมโดนพ่อคุณตามล่าเเน่”ภานุงึมงำ

ต้นธารายิ้มน้อยๆ“จะกลัวตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ คุณล้วงลูกเสือออกมาแล้วนี่ กล้าๆหน่อยสิ พาผมมาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ”คุณหมอบอก

ภานุอ่อนอกอ่อนใจกับความกล้าได้กล้าเสียของต้นธาราเสียแล้ว นึกทึ่งที่ต้นธารารักเขาเสมอมา รัก....จนต้องตามหามาตลอด

“ครับๆ ผมล้วงลูกเสืออกมาแล้วผมจะปฏิบัติให้ได้ถึงที่สุดครับ”ภานุลุกขึ้น สั่งให้คุณหมอเตรียมตัวเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม คุณหมอยิ้มมองดูแผ่นหลังของนายทหารหนุ่มก่อนจะฟุ่บหน้าลงบนโต๊ะอย่างอ่อนล้า รอยยิ้มสดใสกลายเป็นเศร้าโศก

“ผมเตรียมตัวเสร็จแล้ว เดี๋ยวขอโทรหาท่านอรุณก่อนนะ”

“ครับ...”
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-10-2008 18:58:03
ภานุไม่ทันสังเกตเห็นรอยอ่อนล้า เสียงภานุดังแผ่วเบาลอดจากห้องทำให้ต้นธาราตั้งใจเงี่ยหูฟัง

“งั้นหรือครับ...แต่ท่านนายผมครับผมอยากชะลอเวลาอีกสักหน่อย...ผมเข้าใจครับว่าจะเจออะไร...แต่..”

เสียงค่อยๆขาดหายไป ต้นธารารู้ดีว่าต้องมีปัญหาแน่ๆ

“ธาร”ภานุเอ่ยเรียก

ต้นธารามองเสี้ยวหน้าคมเข้มรอดูว่าภานุจะบอกอะไรหรือหรือเปล่าแต่ชายหนุ่มปิดปาก ต้นธาราก็ไม่เซ้าซี้อะไร

“เสร็จแล้วใช่ไหม ลงไปข้างล่างเถอะ ผมจะได้เช็คเอาท์ออกก่อนกำหนดเราจะเดินทางไปยังเชียงรายกัน”

“แล้วลุงอรุณไม่พูดอะไรบ้างรึ”

ต้นธาราเลียบเคียงถาม ภานุกลับนิ่งแล้วไม่พูดอะไรอีกเลย ต้นธาราก็ไม่พยายามขอคำตอบ ปล่อยให้ชายหนุ่มจัดการธุระจนเสร็จ ต้นธาราคอยอยู่ตรงล๊อบบี้โรงแรม คอยให้ภานุวนรถมารับ

“เราต้องซื้อเสื้อผ้าเพิ่มซักตัวสองตัว”

ภานุกล่าวเพราะไม่อยากเสียเวลาวนกลับไปยังที่พักของเขาเองและของคนรักอีกอย่างเป็นการกันคนของท่านนายพลพิภพที่จะออกติดตามหาบุตรชาย

“จอดรถซื้อแถวๆนี้ก็ได้”ต้นธาราชี้มือไปทางตลาด ใกล้ๆโรงพยาบาล

“รอสักครู่ ผมไปซื้อเอง”

ภานุสั่งก่อนจะออกไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น หลังจากหอบของมาหอบใหญ่ก็โยนใส่หลังรถ

“รู้สึกเหมือนกับหนีตามกันยังไงก็ไม่รู้”

ต้นธาราเอ่ยหลังจากรับกระป๋องน้ำอัดลมจากร่างสูง ภานุเปิดกระป๋องเครื่องดื่มยกกรอกปากดับอากาศร้อนๆที่เพิ่งเผชิญ

“ตอนนี้คุณเองก็ดูเหมือนจะสนุกไม่ใช่รึ?”

ต้นธาราหัวเราะในลำคอ พิงเบาะรถด้วยท่าทางสบายใจ

“มันก็สนุกดี.....”คุณหมอรำพึงดวงตาเลื่อนลอยมองท้องฟ้า มือสัมผัสกระป๋องน้ำอัดลมเย็นๆ

“ครั้งแรกที่ผมนอนกับคุณ เริ่มต้นจากการที่คุณอยากฆ่าผม...”

ต้นธาราทวนความหลัง มองท้องฟ้านอกกระจก ภานุขับรถไปเรื่อยๆฟังต้นธาราเล่า

“ผมก็บ้า...ทั้งๆที่รู้ว่าคุณจะฆ่าผมแต่ผมก็ยังยอมและฉวยโอกาสจากคุณ”

ภานุหันมองใบหน้าของต้นธารา ริมฝีปากโค้งขึ้นราวกับจะเยาะตัวเอง

“ผมก็มีส่วนผิดด้วยแหละที่แทบฆ่าคุณตาย”

พอหันมาสบตากัน ทั้งคู่ก็หัวเราะกับเหตุการณ์ในอดีต

“ตอนนั้นผมโกรธคุณจริงๆเรื่องของเจ้านาคี”

ต้นธาราหันมาก้มหน้าลง“ผมเข้าใจคุณเป็นเพื่อนรักกันมานาน ย่อมนึกโกรธเคืองอยู่แล้วกับเรื่องที่ผมทำลงไป”ต้นธาราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ผู้กองตายเพราะผมไม่เชื่อฟัง เขาใจดีกับผมจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ”

ภานุฟังด้วยความสงบนิ่ง แม้ในอดีตเคยโกรธเคืองแต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหมอเลย มือหนาขยี้ศีรษะเบาๆ

“คุณเลิกโทษตัวเองเสียทีเถอะ เจ้านาคีมันคงดีใจที่ได้คุ้มครองคุณ”

คนที่เคยเกลียดมาตลอดพูดให้คลายความเจ็บปวด

“ผมยอมรับไม่ได้หรอกว่าควรมีความสุข”

คำพูดค่อยๆพรั่งพรูจากริมฝีปาก ภานุนั่งฟังเงียบๆ

“ธาร...คุณรู้อะไรไหม....เจ้านาคีมันรักคุณมาตลอด รู้ตัวไหม”ภานุตัดสินใจพูด “นับตั้งแต่คุณมาประจำค่าย คุณก็จับใจเจ้านาคีแล้ว มันอยากปกป้องคุณ...มันดีกับคุณจนผมอดไม่ได้ที่จะหึง....”

ต้นธารานิ่งฟังอย่างตกตะลึง

“ผมก็แอบพึงใจคุณอยู่เงียบๆแต่เพราะท่าทีของคุณทำให้ผมไม่ค่อยชอบนัก ท่าทีใจดีกับทุกๆคนเหมือนกับสวมหน้ากากพอเกิดเรื่องเจ้านาคีผมเลยระเบิดอารมณ์ เพราะคุณเหมือนกับหลอกลวงเจ้านาคีมัน”

“ผมรู้...ผมถึงไม่เคยโกรธคุณไง”

ภานุคลายมือที่กำพวงมาลัยแน่นเมื่อรถแล่นไปยังถนนมุ่งสู่เชียงราย

“แต่ผมมันก็เป็นคนที่น่าสงสารและแย่ที่สุดนะ....”

“ทำไมล่ะ”ถามอย่างข้องใจ

ต้นธาราก็พูดออกมาทันใด“ก็....คงเป็นเรื่องที่ตามหาคุณมั้ง ทั้งๆที่พ่อก็เตือนแล้วแท้ๆผมก็ยังห้ามใจไม่ได้”

“นั่นมันอดีต....ต่อไปนี้ผมจะกลายเป็นฝ่ายไล่ตามธารบ้างดีไหม?”ภานุเอ่ย

“อือ ผมก็อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคุณเหมือนกันถึงจะรู้ว่าเจ็บปวดหรือโง่เขลาสักเพียงไหน”ต้นธาราจับมือของภานุไว้เเน่น

“ผมทำให้พ่อต้องเสียใจคุณว่าไหม”

“ไม่หรอก....อย่าคิดมากสิ”

ภานุเอ่ยปลอบประโลมเมื่ออีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม.....ในเวลาที่เหลือให้พวกเขาเเค่เพียงน้อยนิดนี้ ภานุอยากให้ต้นธารามีความสุขที่สุด

“....แล้วคุณจะบอกถึงความอึดอัดที่อยู่ในใจให้ผมได้ฟังบ้างหรือเปล่าว่าลุงอรุณท่านพูดอะไรกับคุณ แล้วพ่อผมละท่านพูดอะไร”

ภานุยังเงียบเหมือนเดิม

“อย่าฟังเลย ผมไม่อยากให้คุณทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น ขอให้เรามีความสุขกัน.....ในตอนนี้เถอะ”

เมื่อได้รับคำตอบ ต้นธาราเบือนหน้าหนี

“แสดงว่าคุณไม่เคยเชื่อผมเลยนะสิ”ต้นธาราตั้งแง่

ภานุสั่นหัว“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกธาร รู้ไหมคุณเสียใจมาตลอด หากเพิ่มพูนความเสียใจนั่นก็จะยิ่งทับถมให้คุณเจ็บปวดกับมัน คุณมีความสุขบางเถอะ”

“ผมแค่อยากฟังบ้างเท่านั้นว่าคุณจะยอมเล่าอะไรให้ฟังหรือเปล่า แต่ได้แค่นี้ก็ดีแล้วละ ผมจะรอสักวันให้คุณเอ่ยความจริงออกมาเสียที”

พูดจบต้นธาราก็นิ่งเงียบ...แม้ว่าจะรัก...หากเส้นขนานของความเข้าใจยังขีดกั้น บางทีเส้นบางๆที่ยังขวางกั้นคงขาดสักวัน

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 01-10-2008 19:20:46
เห้ออออ..... o2
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 01-10-2008 19:23:05
เหมือนจะมีแววเศร้าปรากฏ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 01-10-2008 19:44:36
บีบคั้นกันเข้าไปหัวใจคนอ่าน แต่ละตอนอ่านแทบหยุดหายใจ ไม่อยากจะคิดเลยกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น เฮ้อ เหนื่อยเเทนตัวละครจริงๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 03-10-2008 10:35:24
 :m23:  แอบอ่านมาสามวันตามทันแล้ว สนุกดีครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 03-10-2008 13:32:41
ไม่กินยาเลยหรอ  แว่  เกือบแย่แล้วไหมละ


ไหวม้ายยยยยยยยยยยยยยนั่น
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 04-10-2008 01:09:29
บีบหัวใจกันเข้าไป
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 05-10-2008 13:28:14
 :o
เค้าไม่เข้าใจอ่า...เข้าใจกันแล้วทำไมไม่รีบกลับไปรักษาตัว
อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้หมอธารต้อง  :jul1:
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-10-2008 16:33:48
บีบหัวใจจริงๆ อิอิ  เค้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันอะนาท 55

อ่านต่อดีกว่า
 :a4:
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 12 Kill/ตามล่า

ผู้กองธีรเดชมองใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น กิ่งไผ่กวักน้ำในลำธารใสเย็นล้างใบหน้า ก่อนมองท้องฟ้าด้วยใจที่ไม่สู้ดีนัก

“มีอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มถามเบาๆ

ใบหน้าของกิ่งไผ่หันมาเเต่ไม่ตอบอะไร ธีรเดชรอให้อีกฝ่ายยอมพูดเองดีกว่าฝืนบังคับ

“เราช้าไม่ได้แล้ว รีบอกเดินทางเถอะ”กิ่งไผ่ขมวดคิ้วมุ่น

ธีรเดชแปลกใจเพราะเขาอยากพักต่ออีกสักหน่อย

“มีอะไรรีบด่วนละ”ชายหนุ่มถาม

กิ่งไผ่ไม่พูดให้ความกระจ่าง ก้มหน้าก้มตาเก็บสัมภาระ

“พักอยู่ที่นี่อีกสักคืนคงไม่เสียหายอะไรมั้ง”

ธีรเดชออกความเห็นซึ่งกิ่งไผ่จ้องเขม็ง

“ผมเกรงว่าพวกมันจะตามเราทัน รีบไปให้ถึงฝั่งไทยยิ่งดี ผมจะได้เสร็จธุระ”

คำตอบเฉยชา ผิดกับเมื่อคืน ธีรเดชเลิกคิ้ว

“เสร็จธุระ? หมายความว่าไง”

กิ่งไผ่ก็เงียบเหมือนเคย จนธีรเดชอ่อนใจแทน

“ผมต้องไปหาพ่อผม ส่งคุณข้ามแดนถือว่าเสร็จธุระ”

กิ่งไผ่ตอบ ลุกขึ้นอย่างว่องไว ไม่มีอาการของคนเจ็บให้เห็นเเม้สักกระผีก ธีรเดชยักไหล่ พลางนึกในใจ คนอะไรเหมือนหุ่นยนต์สิ้นดี แผ่นหลังบอบบางตั้งตรง ใบหน้าแหงนมองฟ้า พร้อมกับสายลมพลัดพลิ้วเรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิง

“แน่ใจนะว่าจะเดินทางต่อ”ธีรเดชถาม

กิ่งไผ่หันมาแสดงท่าทีข้องใจ

“คุณมีปัญหาอะไร”กิ่งไผ่ถาม

ธีรเดชเตรียมพูด ทว่ากิ่งไผ่ก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ถ้าคุณห่วงผมละก็ หัดห่วงตัวเองบ้างก็ดี”

กิ่งไผ่กล่าวจบก็หันหน้าหนี ธีรเดชพูดไม่ออกเมื่อได้ยินประโยคนั้น “คุณน่ะเอาแต่ห่วงคนโน้นคนนี้ ไม่ดูตัวเองบ้าง ระวังเหอะ สักวันความใจดีมันจะฆ่าทั้งคนที่คุณมอบความห่วงใยให้และคุณเอง”กิ่งไผ่กล่าว

ธีรเดชได้ฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก พอคิดตามแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย เพราะความที่ตัวเองใจดีนี่แหละ จึงทำให้เจ็บอยู่เงียบๆเพียงลำพัง

“คุณน่ะเหมือนกับนก พอปีกหักก็บินไม่ได้ คอยมองตัวเองตายอยู่เงียบๆ มันน่าสมเพชสิ้นดี”

เสี้ยวหน้างามหันมอง ดวงตากร้าวแกร่งไม่ยอมใครอ่อนลง

“ผมไม่ชอบคนแบบนั้นและไม่ชอบความใจดีที่คุณมีให้”กิ่งไผ่ว่าเสียงแข็ง

ธีรเดชตกใจไม่น้อยที่เห็นใบหน้านั่นจริงจังขึ้น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง

“ผมถือว่าผมพูดแล้วนะ คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำใจดีอีก”

กิ่งไผ่สะบัดหน้าหนี ก่อนก้าวฉับๆเดินหนีอย่างรวดเร็ว ธีรเดชนิ่งไหล่ตก ตัวเขาทำดีกลับไม่ได้อะไรสักอย่าง นี่ละมั้งถึงบอกว่าเป็นนกบาดเจ็บ สุดท้ายก็ต้องอยู่ตามลำพัง

------------------------------------------------

ฝ่ายกิ่งไผ่นั้นเมื่อได้พูดออกไปก็กุมอกแน่น เขาเลือกที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ในใจเงียบดีกว่า ไม่อยากเสียใจเพราะความใจดี ทั้งสองเดินตามกันเงียบๆไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น สายตาดำขลับ สุกใส มักเหลือบมองใบหน้าอ่อนโยนที่ขมวดมุ่น กิ่งไผ่อ้าปากเตรียมพูดทว่าก็เลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า เดินจนพ้นระยะป่าทึบสู่ป่าที่โล่งกว่า กิ่งไผ่หันมอง ธีรเดชหน้าขรึมเหมือนเคย

“เราจะพักข้างหน้านี้คุณมีอะไรจะแย้งไหม”

กิ่งไผ่ขอความเห็น กอดอกมองเสี้ยวหน้าเข้ม ธีรเดชไม่ได้ว่าอะไร กิ่งไผ่จึงถือว่าเอาความเงียบนั้นเป็นคำตอบ

“กำลังคิดอะไรอยู่ หรือสิ่งที่ผมพูดมันทำร้ายใจคุณมากเกินไปกัน”

ธีรเดชส่ายหน้า ก่อนเดินนำไปก่อน

กิ่งไผ่กัดปาก รู้ว่าคำพูดของตัวเองคงทำร้ายจิตใจของผู้กองแสนใจดี แม้จะเสียดายที่จะไม่ได้เห็นความใจดีอีก มันก็ดีสำหรับเขาแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อไปถึงจุดหมายที่พัก กิ่งไผ่ปลดเป้ลง ปาดเหงื่อออกจากใบหน้า

“ผมอยากกลับไปถึงเขตแดนไทยเร็วๆ อีกกี่วันกัน”ธีรเดชพูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน

กิ่งไผ่มอง ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“สามวัน เท่าที่ผมดูน่าจะสามวันเป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่มีเหตุร้ายอะไร”

ไม่รู้ว่าใจของผู้กองคิดอะไรอยู่ กิ่งไผ่ก็ไม่กล้าถาม ธีรเดชลุกขึ้นราวกับครุ่นคิดถึงบางอย่างที่ติดอยู่ในใจ

“สามวันรึ แล้วคุณละจะกลับไปหาพ่อของคุณเลยรึ”กิ่งไผ่ผงกหัว

ธีรเดชใช้หางตามอง

“ถ้าผมไม่อนุญาตละ”

ใบหน้าของกิ่งไผ่กร้าวขึ้น ร่างสง่างามลุกขึ้น

“งั้นผมคงต้องฆ่าคุณทิ้ง แต่มันก็น่าเสียดายนะที่เราฝ่าฟันมาจนถึงที่นี่ได้แต่ต้องผิดใจกันเพียงเพราะเรื่องเดียว”กิ่งไผ่กอดอก ดวงตาดำสนิทวาววับ

“ผมต้องการตัวคุณไปสอบพยาน ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าหน้าที่ผมจำเป็นต้องทำ”ใบหน้าใจดีไม่เหลือเค้าให้เห็น

กิ่งไผ่ก้าวถอยหลัง

“คุณบอกว่าให้ผมเลิกใจดี ผมก็ต้องทำตามหน้าที่ ที่จริงผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่พอคุณพูดมันทำให้ผมต้องนึกถึงหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบเพราะที่ผ่านมา ผมอยากให้คุณเป็นมิตรกับผม”

กิ่งไผ่จ้องเขม็ง สายตาเเข็งกร้าวขึ้นมาเช่นกัน

“ผมคงไม่อาจปล่อยให้คุณจับได้ เพราะผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะปล่อยให้คุณตายอยู่กลางป่า ผมจะไปส่งคุณถึงที่ แต่ถ้ามีการจับกุมกัน ผมก็กัดไม่เลี้ยงเหมือนกัน”

ร่างโปร่งว่า นึกถึงภาระหน้าที่วางบนบ่า นึกถึงพ่อกับเจ้าขิ่นที่ซ่อนกายอยู่ในป่าไม่รู้ชะตากรรม ความแค้นที่ฝังในอกค่อยๆครอบงำ มือหนายื่นออกมา กิ่งไผ่ระแวดระวัง หากมืออุ่นๆแตะมือที่กำแน่นข้างตัว พร้อมกับเสียงทอดถอนใจราวกับอัดอั้นตันใจ

“ขอบคุณที่ยังไม่คิดทิ้งผมไว้ตรงนี้.... ที่ผมพูดไปเมื่อครู่ผมขอโทษ หากไปถึงเขตแดนประเทศไทยจริงๆเราทั้งคู่คงต้องแยกคนละทาง ผมรู้สึกเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆมีน้อยเหลือเกิน และผมก็เป็นห่วงคุณจริงๆ บางทีสิ่งที่ผมพูดไปคุณอาจไม่ชอบแต่ผมก็อดที่จะพูดไม่ได้ ผมเป็นห่วงที่คุณต้องกลับไปหยังที่เดิมของคุณ ผมอาจจะไม่รู้อะไรมากนักแต่ผมก็กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับคุณ”

คำพูดของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้กิ่งไผ่รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน

“คุณจะหาห่งมาห่วงอะไร ตัวผมอยู่ในป่ามาตั้งแต่เด็ก ผมรู้จักมันดี สำหรับผมแล้วมันก็เหมือนกับสนามเด็กเล่นนั่นแหละ”คำพูดเชื่อมั่น สายตาไม่หวั่น

ธีรเดชมองด้วยความเหม่อลอย หากคนๆนี้ยอมอ่อนลงคงจะเหมือนกับต้นธารา...ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อคิดถึงใบหน้าที่แสนอ่อนโยนของต้นธาราขึ้นมาแต่แล้วสายตาต้องวูบไปเมื่อคิดถึงว่าคนที่อยู่ในใจของต้นธาราได้คงจะมีแต่ผู้กองภานุและเขาก็คงเป็นส่วนเกินของหัวใจดวงนั้น นึกแล้วก็วูบไป กิ่งไผ่มองเห็นแววตาแปรเปลี่ยน เขาก็แปลกใจ ในแววตาคู่นั้น ธีรเดชคิดอะไรอยู่

“คุณพูดแบบนี้ผมก็อดห่วงอีกไม่ได้อยู่ดี คุณไม่เคยเปิดเผยเลยว่าคุณจะไปที่ไหน ทำอะไรให้ผมคลายใจได้บ้าง”

ชายหนุ่มดึงสติให้หลุดจากภวังค์มองใบหน้าของกิ่งไผ่

“ก็มันไม่จำเป็น”กิ่งไผ่ตอบด้วยท่าทางไม่หยี่ระ

ธีรเดชก็ไม่อยากพูดให้มากความเพราะว่าหากพูดไปก็คงเหมือนกับสาดน้ำใส่หัวตอเพราะไม่รู้สึกอะไรเลย กิ่งไผ่เห็นผู้กองหนุ่มเงียบไปก็ทรุดนั่ง มองแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายก่อนลาลับหาย

“นอนเอาแรงเถอะ เรื่องเฝ้ายามผมขอเป็นผลัดแรกเอง”

กิ่งไผ่เอ่ยเมื่อเห็นธีรเดชกระสับกระส่าย ชายหนุ่มมองใบหน้าละมุนตานั่งตรงข้ามก็ส่ายหน้า

“คุณนอนก่อนเถอะ...”

กิ่งไผ่ไม่พูดอะไรต่อหยิบเป้วางบนพื้นที่จัดการทำเป็นที่นอน ปิดเปลือกตาลง ฝ่ายผู้กองหนุ่มจากไทยนั้นนั่งเฝ้ากองไฟที่ก่อไว้เงียบๆ คอยพัดไล่ยุงเป็นระยะๆโดยใช้ผ้าขาวม้าของกิ่งไผ่นั่นแหละ สายตาไล่มองดาวกระจ่างฟ้า หารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องเงียบๆกับเสี้ยวหน้าคมสัน ควันไฟลอยขึ้นสูง เสียงลูกไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะ ลมหนาวพัดปะทะกายจนร่างสูงต้องเขยิบเข้าหาไออุ่น พอดวงตาคมหันมาบอกเท่านั้นแหละ กิ่งไผ่หลับตาลงทันที ใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เสียงสวบสาบแกรกกรากดังขึ้นเบาๆ ร่างที่แกล้งหลับนั้นรุ้สึกถึงความบางเบาที่วางบนกาย เลิกเปลือกตาดูก็พบว่าผ้าขาวม้าคลุมไว้อีกชั้นทับด้วยเสื้อนอกของชายหนุ่ม กะว่าจะลุกส่งคืน คิดไปคิดมาก็คงไม่เหมาะเท่าไรจึงมองร่างที่สั่นเทาผิงไฟแทน

...ความใจดีนั่นค่อยๆฆ่าเขาทีละนิดๆ...

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 07-10-2008 16:35:43
กิ่งไผ่นอนตะแคงเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นร่างที่นั่งหนาว ตลอดเวลาที่ชายคนนี้แสดงความจริงใจให้เห็น เขาก็ไม่ได้เตรียมใจรับความรู้สึกที่กำลังเกินเลย มันทรมานที่รู้ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม กลัวว่าตัวเองจะเก็บงำเอาไว้ไม่ได้ ดวงตาจ้องมองความมืดมิดเต็มไปด้วยอาการสับสนวุ่นวาย เพราะความชิดใกล้แท้ๆที่ก่อความรู้สึกนี้ขึ้นมา

ฝ่ายธีรเดชมองร่างคล้ายกับหลับสนิทเป็นระยะๆ เอะใจ เพราะปกติกิ่งไผ่ไม่ใช่คนนอนขี้เซานัก คิดว่าคงเหนื่อยจึงปล่อยให้นอนต่อ ฝ่ายกิ่งไผ่นั้นยังไม่หลับตาเอาแต่ใจลอยรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ลุกพรวดจากที่นอนมองชายหนุ่มอย่างลุแก่โทษ

“ขอโทษที่หลับไปนาน”

ร่างโปร่งผลุนผลันเตรียมนั่งแทนที่ ทว่าธีรเดชก็โบกมือไล่เสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอก คุณนอนเถอะ ดูหน้าตาสิยังอิดโรยอยู่เลย”

รอยยิ้มใจดี กิ่งไผ่แม้จะง่วงสักเพียงใดก็ฝืนเอาไว้

“ผมเอาเปรียบคุณไม่ได้”

กิ่งไผ่ยืนกรานเสียงแข็ง ฝ่ายผู้กองหนุ่มไม่ยอมเหมือนกัน ทั้งสองทำท่าว่าจะทุ่มเถียง เพื่อให้ชนะอีกฝ่าย เสียงจึงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าคุณอ่อนเพลียจะมีแรงกลับไปในบ้านคุณไหม”กิ่งไผ่พูด ถลึงตาจ้องมองชายหนุ่มแสนดี

“ผมแข็งแรงดี คุณนั่นแหละต้องพักผ่อน พิษไข้จะได้ไม่กลับมาอีก”เสียงของธีรเดชอ่อนเบา

“ผมเป็นไข้เป็นแค่ครั้งเดียว ส่วนคุณทำแข็งแรงไปเถอะระวังจะได้ตายไม่รู้ตัว”

ธีรเดชเห็นลางแพ้จึงยอมอ่อนให้

“ก็ได้ผมจะนอน”

กิ่งไผ่ทรุดนั่ง มองรอบๆกายเพื่อสำรวจ รอบกาย ฝ่ายธีรเดชพอหลังติดดินก็หลับปุ๋ยทันที กิ่งไผ่แม้จะง่วงแสนง่วงก็พยายามไม่สัปหงก ความอ่อนล้าค่อยๆจู่โจมไปทุกสัดส่วน นั่งชัน กอดเข่าแน่น หูได้ยินเสียงแว่วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างโปร่งจึงชันตัวขึ้นรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

“ธี...ตื่น”กิ่งไผ่กระซิบ

ธีรเดชลุกขึ้นท่าทางงัวเงียสุดท้ายก็ตื่นเต็มตาเพราะได้ยินเสียงผิดปกติ

“เงียบไว้ ผมจะดับกองไฟล่ะนะ”

กิ่งไผ่ดับกองไฟที่ก่อเอาไว้ รอบกายมืดสนิท ธีรเดชนั่งนิ่งเมื่อมือเรียวยาวป่ายปัดเก็บข้าวของและสั่งให้ธีรเดชทำตาม

“เกิดอะไรขึ้น”

น้ำเสียงของชายหนุ่มกังวลใจ สายตาของธีรเดชยังไม่ชินกับความมืดดี มือบางจึงคว้าไว้แน่น ดึงรั้งให้เดินตาม

“ผมได้ยินเสียงฝีเท้า ไม่รู้ว่าเป็นเสียงฝีเท้าของคนที่ไล่ล่าผมอยู่รึเปล่า ต้องระวังไว้ก่อน”

ทั้งสองซ่อนกายหลังเงาไม้ใหญ่ กิ่งไผ่มองกิ่งไม้กิ่งใหญ่ ปืนขึ้นไปรอมันแล้วสั่งให้ธีรเดชปีนขึ้นตามมา ดวงตาของกิ่งไผ่เหี้ยมเกรียม ธีรเดชมองไม่เห็นแววตาราวกับสัตว์ร้าย

“มันเก่ง!ที่ตามเรามาได้ไว”

ธีรเดชเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบจากปากเรียว เสียงฝีเท้าย่ำหนักก่อนจะหยุดลง

“มันคงไหวตัวทัน”

เสียงพูดคุยเบาๆเป็นภาษาพม่า ธีรเดชฟังไม่เข้าใจ กิ่งไผ่ฟังทุกคำพูดเพื่อประเมิณสถานการณ์

“เราอุตส่าห์ตามรอยมันมาถึงที่นี่ได้ บัดซบนักที่มันรู้ทัน”เสียงอีกคนกระซิบ

“ดูก่อนมันคงไปได้ไม่ไกลเท่าไรนัก เพราะกองไฟยังร้อนอยู่เหมือนกับเพิ่งดับไม่นาน แถมมันยังดูเร่งรีบอีก มันคงอาศัยความมืดหลบอยู่แถวๆนี้แหละ ระวังตัวให้ดี”

คำบอกเล่าจึงทำให้ให้คณะแกะรอยระวังตัว

“ผมไม่รู้ว่ามันสะกดรอยตามเรามา...แต่เอาเถอะ มันได้กลายเป็นผีเฝ้าป่านี้แน่”

คำพูดของกิ่งไผ่ดูไม่เดือดร้อนเท่าไร ผิดกับธีรเดชที่ยังกังวล

“คุณมีมีดไหม”

กิ่งไผ่แบมือขอ สายตาที่ชินกับความมืดค้นหาของ เสียงกุกๆกักๆจนร่างโปร่งต้องส่งสัญญาณให้เงียบ ธีรเดชหยุดค้นหาของในกระเป๋าเป้ กิ่งไผ่ล้วงมือเข้าไปหยิบมีดคมกริบออกมา

“เล่มเล็กแบบนี้จะเอาไปทำอะไรได้”เสียงของธีรเดชดูไม่เชื่อถือกับมีดเล่มเล็กเท่าไร

กิ่งไผ่แสยะยิ้ม

“ค้นหารอบๆนี้ให้ทั่ว เจอมันเมื่อไรยิงทิ้งได้ทันที หมาที่จนตรอกมันทำอะไรไม่ได้หรอก”

กิ่งไผ่โกรธวูบเมื่อโดนดูถูก ข่มใจให้เย็น....คอยดูฤทธิ์ของเจ้าหมาจนตรอกเถอะ

“ธี..คุณอยู่ที่นี่ อย่าลงไปเด็ดขาดแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”กิ่งไผ่สั่งเตรียมปีนลงไปข้างล่าง

ธีรเดชรั้งแขนเอาไว้

“ถ้าลงไปสู้กับพวกมัน สองคนไม่ดีกว่าหรือ”

กิ่งไผ่ดึงแขนออกอย่างนุ่มนวล มองใบหน้าผู้กองหนุ่ม

“แล้วคุณจะเห็น...”

พูดจบก็กระโดดลงราวกับเป็นปีศาจรัตติกาล ธีรเดชมองตาม ชั้นแรกจะผวาตามลงไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บตัว มองเห็นดวงตาแวววับเย็นเยียบมองขึ้นมายังที่ธีรเดชซ่อนตัวอยู่ก็หลบวูบคล้ายหายตัวได้ ธีรเดชไม่รู้ว่ากิ่งไผ่จะทำอะไรกันแน่ได้แต่นั่งกังวล

“เจอไหม”

เสียงร้องตะโกนถาม พร้อมกับส่ายหน้าของพวกหมาหมู่

กิ่งไผ่ค่อยๆเบี่ยงตัวหลบ คืบคลานช้าๆ พร้อมกับโยนก้อนหินไปยังทิศทางกำหนดไว้ เสียงแกรกๆของก้อนหินกระทบพื้น พวกที่ตามล่าหันมองไปทางต้นกำเนิดเสียงก่อนผู้ที่เป็นหัวหน้าบุ้ยหน้าสั่งลูกน้องให้ไปดุ เจ้าลูกกระจ๊อกกระชับปืนไปดูตามเสียง ร่างของมันกลืนไปกับความมืด กิ่งไผ่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว ร่างที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ตวัดลำแขนรัดลำคอและอุดปากอย่างรวดเร็ว มืดจ่อที่จ่อหอย ไอ้คนดวงถึงฆาตตาเหลือกที่ไม่คิดว่ามัจจุราชจะจู่โจมมันเร็วถึงขนาดนี้

“พวกแกพูดดูถูกว่าฉันเป็นหมา จำไว้หมาจนตรอกมันน่ากลัวที่สุด”

พูดจบกิ่งไผ่ตวัดมีดแหลมเล็กปาดคอหอยอย่างไม่ลังเล เลือดพุ่งกระฉูดเปื้อนแขน ร่างของเจ้าเคราะห์ร้ายดิ้นหากกิ่งไผ่รัดไว้แน่น เสียงไม่อาจกรีดร้องออกไปได้เพราะมืออุดปากแน่น ร่างของมันร่วงกองบนพื้น มือข้างหนึ่งรับปืนที่กำลังร่วงหล่น กิ่งไผ่ที่ใช้มืออีกข้างประคองร่างหนักๆค่อยๆวางร่างมันลง เช็ดเลือดเปื้อนกายและมีดออกจนสะอาด ค่อยๆมองหาหนทางที่จะหลอกล่อเหยื่อมรณะรายต่อไป

“เฮ้ย ทำไมมันไปนานจังวะ ไปดูมันสิ”เสียงหัวหน้าสั่ง

กิ่งไผ่ไม่รอช้า เหลือบมองดูศพนอนตาเหลือกค้าง ซ่อนกายในพุ่มไม้ต่อ

“เฮ้ย...เอ็งหายไปไหน”คำว่าไหนไม่ทันหลุดจากปาก กิ่งไผ่คว้าไฟฉายจนมันดับวูบหล่นลงพื้น เขารู้ว่ามันเสี่ยงแต่อาศัยแสงที่มีเพียงวูบเดียว สังเกตมองกลุ่มคนที่ตามหาเขา เห็นพวกมันไม่สนใจผู้ที่เข้ามาใหม่เท่าไรนัก คนที่ถูกกิ่งไผ่จับดิ้น ชายหนุ่มจึงรัดคอมันเอาไว้ เตรียมใช้มีดสังหารทว่าแรงของผู้ที่เข้ามาสังหารเยอะกว่า กิ่งไผ่แทบทานไม่ไหว เขาใช้ท่อนแขนรัดคอหอยจนมันหายใจขัด เหยื่อมรณะพยายามดิ้นสูดลมหายใจเข้าปอด

“ไปอยู่ในนรกเถอะมึง”กิ่งไผ่ว่า

เจ้าเคราะห์ร้ายมองเห็นร่างที่นอนทอดยาวเหยียดตะคุ่มก็ตกใจเพราะเพื่อนของมันหมดลมเสียแล้ว

“อ...ไอ้”

มันพยายามขยับปาก กัดมือกิ่งไผ่ขบปากแน่นเพื่อกั้นเสียง มือสังหารเตรียมร้องเรียก กิ่งไผ่ยอมละโอกาสโดยปล่อยมีดทิ้ง ใช้มือที่ว่างอุดปากมันไว้ พร้อมกับต่อยเข้าที่ท้องมันหมัดใหญ่ จนมันยอมปล่อยปากที่กัดมือจนเป็นแผลเลือดโชก

“กูก็ไม่อยากติดเชื้อบ้าจากมึงหรอกนะ”

ร่างโปร่งกล่าว ใช้เท้าตวัดมีดขึ้น มือข้างที่เป็นแผลจับด้ามมีดสั่นระริก แทงเข้าหาเป้าหมายตรงจุดตาย ด้ามมีดทิ่มเข้าลำคอ เลือดทะลักไหลเป็นน้ำไม่ผิดกับคนแรกที่กิ่งไผ่สังหาร มันดิ้นราวกับไก่ถูกเชือด มือสั่นค่อยๆขยับใบมีดคมกริบ ร่างของมันดิ้นด้วยความเจ็บปวดก่อนค่อยๆสิ้นลมหายใจ ไปอยู่ในนรกเป็นเพื่อนกับเจ้าเคราะห์ร้ายคนแรก กิ่งไผ่หอบ มองมือที่ถูกกัดเป็นแผลเหวอะ ใช้มีดตัดชายเสื้อพันแผลอย่างรวดเร็ว ก่อนเริ่มยุทธการลอบสังหารต่อ เขารู้ว่ากำลังเล่นเกมส์กับความตาย ถ้าถูกจับได้คงแพ้ ในหัวสมองประมวลผลแผนขั้นต่อไปอย่างรวดเร็ว มองไปทางที่ธีรเดชซ่อนตัว ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ผู้กองทำบ้าๆ เพราะพวกมันเข้าใจว่าเขาหนีมาคนเดียว กิ่งไผ่เบือนหน้ามองหาเป้าหมาย นึกในใจ ถ้าหากเขาตายขอให้ตายเพียงคนเดียวเถอะ!

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pseudoboy ที่ 07-10-2008 18:46:59
กิ่งไผ่กลับมาแล้ว  แต่ทำไมหนทางช่างยาวไกล


แล้วยังต้องมาเจ็บมืออีก  ผู้กองปฐมพยาบาลด่วน

 :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 07-10-2008 19:50:46
ความรักก่อเกิด ท่ามกลางอันตราย แต่ด้วยความต่างจึงดูยากที่จะบรรจบกันได้ แล้วคู่นี้จะเป็นยังไงกันต่อ
แล้วทางผู้กองภาณุกับหมอธาร หมอธารก็อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ อ่านแล้วมันตึงๆไงไม่รู้ กดดันคนอ่านจัง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-10-2008 17:20:25
มันจะไม่บีบใจแค่คู่เดียวอะจิ  :a6: แล้วก็ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 10-10-2008 17:34:45
 :เฮ้อ:  มาลุ้นทั้ง 2 คู่ครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-10-2008 18:05:56
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 13 Kill/ตามล่า [Part2]



ขณะที่กิ่งไผ่ปฏิบัติการลอบสังหาร ชั่วขณะหนึ่งที่จิตใจอ่อนแอ เขารีบกู้สติกลับคืน เพราะหากพลาดหมายถึงชีวิตของเขาและธีรเดชต้องดับสูญ เมื่อรวบรวมสมาธิได้กิ่งไผ่จดจ่อกับการวางแผนกลยุทธ์เตรียมรับมือกับศัตรูที่มีมากกว่าตนเอง ลมหายใจระบายบางเบา และเริ่มหอบเหนื่อย เจ็บบาดแผลที่มือ กิ่งไฟฉีกชายเสื้อมาพันแผลซ้ำอีกรอบกันกระแทก ก่อนแสงไฟจะฉายกราดไปทั่วเพื่อค้นหาสุนัขจนตรอก กิ่งไผ่มองร่างซ่อนอยู่ในเงาสลัวอย่างอาฆาต ดวงตาเปี่ยมด้วยไอสังหาร

“เมื่อกี้เสียงอะไรวะ แล้วไอ้สองตัวนั้นทำไมมันทำงานช้าจริง ใช้ให้ไปดูแค่นี้ทำเหมือนกับไปเป็นชาติ”

เสียงของผู้เป็นหัวหน้าบ่น ก่อนจะใช้ลูกน้องอีกรายไปเรียกให้รวมกลุ่ม แต่แล้วมันกลับได้พบเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัว ทันทีที่แสงสีส้มจากกระบอกไฟฉายต้องดวงตาเหลือกโพลงของร่างไร้ลมหายใจ ค่อยๆไล่แสงต้องร่าง สำรวจอย่างหวาดหวั่นพบว่าลำคอถูกปาดเหวอหวะเลือดทะลักทะลายเปื้อนเสื้อย้อมเป็นสีแดงฉาน บางส่วนเริ่มกลายเป็นลิ่ม ดวงตาเบิกโพลงเต็มที่คล้ายกับไม่เชื่อว่าตัวเองได้ไปเฝ้ายมบาล อีกร่างก็ไม่ต่างกันนัก ปากอ้าราวกับพยายามสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเข้าปอด เลือดเป็นฟองฟ่อดไหลจากลูกกระเดือกที่ขาดออกจากกันอย่างน่าสยดสยอง มือสั่นระริกทำไฟฉายลดลงพื้นตุ๊บ พยายามอ้าปากร้องเรียกพรรคพวก หากปีศาจซ่อนกายภายใต้รัตติกาลโผล่ออกมากะทันหันไม่ทันได้ปัดป้อง แสงเงาสีเงินแปลบปลาบและเย็นเฉียบเทียบลำคอ ลูกกระเดือกเลื่อนขึ้นลงตลอดเวลาคล้ายกับกลัวคมมีดกดลงสู่ผิวที่ละนิดๆจนผิวชั้นนอกเปิดออก มันกลัวจนฉี่แทบราด สายตาวิงวอนต่อพระกาฬตรงหน้า เพราะรู้ดีว่ามันคงอยู่ดูโลกได้ไม่นานนัก เหงื่อกาฬไหลซึมเต็มใบหน้า ฝ่ามือปิดปากแน่นไม่มีโอกาสให้มันร้องขอหรือวิงวอนใดๆ

“แกทรยศหักหลังพ่อฉันกับฉัน คนอย่างแกมีค่าสักเท่าไร”

กิ่งไผ่ถาม เสียงกระซิบราวกับทูตกวักวิญญาณมาจากนรกอเวจี ใบหน้างดงามเฉยเมย คนทรยศขยับตัว หากกิ่งไผ่ตรึงไว้แน่นประดุจราชสีห์ตะปบเหยื่อ ไม่อาจให้เหยื่อรอดออกไปจากอุ้งเล็บแหลมคม

“แกยอมเข้าร่วมกลุ่มกับไอ้ชาติชั่วกฤษดา แกคงหิวกระหายเงินมากสินะ”

ยิ่งพูดน้ำเสียงของ “อดีตนายน้อย”ยิ่งเย็นเยียบไร้ความเมตตาต่ออดีตลูกน้อง ใบหน้าของเจ้ากฤษดาเด่นชัดในความทรงจำ กระแสแห่งความเกลียดชังยิ่งเอ่อล้น

“จงจำใส่หัวแกไว้ซะ ว่าโทษของผู้ทรยศคือความตายสถานเดียว!”

ราวกับหล่มน้ำแข็งพังทลายตรงหน้า ร่างสั่นระริกราวกับเจ้าเข้า คำประกาศิตสุดท้ายสิ้นสุด กิ่งไผ่ลงมืออย่างไม่ลังเล ไม่มีซึ่งความสงสาร เห็นใจ ไม่มีความรู้สึกใดทั้งนั้นนอกจากความว่างเปล่า เลือดไหลท่วมแขนเเต่ร่างโปร่งไม่ใส่ใจ กิ่งไผ่ปล่อยร่างเจ้าเคราะห์ร้ายลง ซากไร้ชีวิตค่อยๆคว่ำหน้าลงกับพื้น กระตุกเพียงครั้งเดียววิญญาณหลุดลอยจากร่างไป ลงมือเสร็จกิ่งไผ่เพียงใช้หางตาเหลือแลเพียงนิดเดียว ดวงตาอ่อนลงราวกับเวทนา สะทกสะท้อนในอกเพราะครั้งหนึ่งพวกมันเคยรับใช้พ่อแต่แล้วก็รวมหัวกันหักหลังให้เขาและพ่อหนีตายหัวซุกหัวซุน กิ่งไผ่เสยผมปรกใบหน้าออก เผยให้เห็นเค้าโครงงดงาม หากไร้เค้าอ่อนโยนในยามปกติ เหมือนสีหน้าตุ๊กตามากกว่าจะเป็นสีหน้ามนุษย์มีจิตใจ ดวงตาสีดำมองความมืดมิด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง อาบร่างในความมืดย้อมให้ตกอยู่ท่ามกลางความโศก กิ่งไผ่จมไปกับความตายที่ลอยอวลรอบตัว นึกถึงวันที่เวียงนวรัฐะล่มสลาย นึกถึงอดีตในเวสพอยท์กับการเลือกที่จะเป็นกองโจร กิ่งไผ่เหน็บมีดข้างเอว สำหรับตัวเขาเองก็กลายเป็นตุ๊กตาสังหารตัวหนึ่งก็เท่านั้นเอง ร่างของกิ่งไหวเคลื่อนไหวหายไปในเงามืดอีกคราราวกับภูตพรายเต็มไปด้วยความลี้ลับจนยากจะหยั่งคะเน

“มันแปลกๆน่าลูกพี่ที่มันหายไปนาน”

ผู้เป็นหัวหน้ารู้สึกหัวเสียที่ลูกน้องไม่ได้เรื่อง พอทั้งหมดไปดูกลับเหมือนถูกแช่แข็ง เพราะลูกน้องที่มีอาวุธครบมือกลับถูกฆ่าตายไปสามรายโดยที่พวกมันไม่รู้สึกตัว ต่างมองหน้ากันในความมืด สาดแสงไฟกวาดหาโดยรอบ หน้าตาเลิ่กลั่ก

“ค...ใคร...ฆ่ามัน”ต่างถามเสียงเซ่งแซ่ กระชับอาวุธในมือแน่น

“มัน!”

เสียงเจ้าตัวหัวหน้าคำรามก้อง เจ้าลูกน้องมองสภาพศพที่ตายน่าสยดสยอง คำว่า ‘มัน’ หลุดจากปากไม่ต้องถามว่า ‘มัน’เป็นใคร ทั่วทั้งร่างพลันหวาดเกรงต่ออำนาจ

“ต...แต่ มันมีคนเดียว ใครกันแน่ที่ฆ่าเจ้านี้ มันคนเดียวไม่มีทางทำสำเร็จ”

น้ำเสียงของลูกน้องหวาดหวั่นเหลียวมองดูรอบๆตัว เจ้าลูกพี่ก้มลงสำรวจซากศพ ทุกศพต่างถูกมีดปาดคอหอย เหวอะจนเห็นเนื้อในเป็นที่น่าแสยงลูกตา ซากศพเจ้าคนใหม่ยังตายไม่นานนัก เจ้าหัวหน้าลุกขึ้น ดวงตากร้าวเมื่อถูกลบคม

“หาให้พบ มันอยู่แถวนี้แหละ ไอ้พวกนี้มันคงเผลอ สมน้ำหน้า ต้องอยู่นรกเพราะประมาท”

ผู้เป็นลูกพี่ตวาด เหล่าลูกน้องพยายามทำใจให้ฮึกโหม ซากศพของไอ้พวกที่ตายก่อนยังติดตา ไม่รู้ว่ามันถูกฆ่ายังไง ถูกฆ่าไปตอนไหน หากมี ‘มัน’จัดการคนเดียวย่อมน่ากลัว เพราะกลายเป็นเป้าให้สังหารได้ทุกขณะโดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่าศัตรูอยู่ที่ใด

“หมาจนตรอกก็สู้เหมือนหมาจนตรอกแหละ มันอยู่ไม่ไกลนัก จับมันออกมาให้ได้ พวกมึงมีอาวุธครบมือจะไปกลัวอะไรกับมัน”

เจ้าลูกพี่ปลอบใจแม้มันจะนึกขยาดในใจเช่นกัน คนๆเดียวกลับหาไม่พบ แถมยังฆ่าคนของมันตายไปสามราย ตัวมันเองชักหวั่นๆเสียแล้วว่าตัวเองจะเป็นเช่นไร ต่างกระจายกำลังที่เหลือออกไป เสียงร้องลั่น ทุกคนต่างกรูไปหาจุดกำเนิดเสียง เจ้าคนที่แหกปากร้องกลับหายไปในอากาศ ผู้ที่ตามติดเหลียวมองหา กราดแสงไฟในความมืดอย่างไรจุดหมาย

“แกอยู่ไหนวะ...”

น้ำเสียงของผู้ที่ตามหาสั่นระริก นิ้วสอดเข้าไปในไกปืน เสียงแกรกกรากบนศีรษะ เจ้าคนที่ตามหาเพื่อนส่องไฟฉาย พุ่มไม้สั่นไหวรุนแรง ด้วยความเสียสติ มันจึงลั่นกระสุนโดยไม่คาดคิด เสียงปืนดังแหวกอากาศ ทำลายความเงียบ

“มึงทำห่าอะไร”

เสียงลูกพี่ตวาด พร้อมกับลูกน้องที่เหลืออีกไม่กี่คนวิ่งตรงมายังทิศที่เกิดเสียงปืน

“ผ...ผมจ...จับ มั...มันได้แล้ว”น้ำเสียงสั่นไหว

เจ้าลูกพี่และคนทั้งหมดมองไปยังต้นไม้ซึ่งพุ่มหนาห่อหุ้มร่างที่อยู่เบื้องบน เลือดไหลหยดลงเบื้องต่ำ ร่างที่ไม่อาจหยิบจับอะไรได้หล่นจงจากต้นไม้ แต่แล้วดวงตาของพวกมันทั้งหมดต่างเบิกกว้างแทบตาฉีก เพราะคนที่ถูกฆ่าไปนั้นกลับเป็นฝ่ายเดียวกับพวกมัน! ปืนหล่นร่วงจากมือ ร่างของเจ้าคนยิงอ่อนปวกเปียก

“ไอ้ห่า มึงแหกตาดูดีๆไหมวะ”

น้ำเสียงเริ่มแตกตื่นเมื่อสำรวจดูก็พบว่าถูกฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้ว ร่างพรุนด้วยกระสุนปืนและลำคอถูกปาด น่าสมเพช ! คนที่เหลืออยู่มองหน้ากันอย่างอับจนปัญญา กลัวขึ้นมาจับใจว่าตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อแห่งความตายเงียบๆเหมือนกับที่เจ้าพวกเคราะห์ร้ายเล่านี้ประสบ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-10-2008 18:08:48
ธีรเดชไม่ใคร่สบายใจนักเมื่อต้องนั่งอยู่เงียบๆ ไม่อาจขยับตัวได้ซ่อนกายในสบทบพุ่มไม้หนา ได้ยินเสียงปืนกราด ในใจของชายหนุ่มกังวลต่อความปลอดภัยของกิ่งไผ่ จะขยับกายลงไปแต่เสียงของกิ่งไผ่ดังก้องอยู่ในหัวทุกคราจนต้องชะงัก กลัวว่าจะเป็นตัวถ่วง แต่ใจก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวได้ ชายหนุ่มจึงกระชับปืนในมือ ค่อยๆปืนลงไปเงียบๆ หาหนทางไปถึงเสียงปืน จนดวงตาสะดุดกับซากศพ ....ใครที่เป็นฆ่า...ชายหนุ่มได้แต่สงสัยในใจ

“ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป?”

น้ำเสียงเยียบเย็นก้องกังวานท่ามกลางความเงียบสงัด ธีรเดชได้ฟังยังอดเหน็บหนาวไม่ได้ พวกมันก็เช่นกัน เสียงของกิ่งไผ่อยู่ทางเบื้องหลังพวกมันชัดๆ มันจึงส่องปืนขึ้นระมัดระวังจนกระทั่งไฟฉายในมือหลุดร่วงกระแทกพื้นดับ ความมืดครอบงำทันใด ธีรเดชใจหายวาบเพราะภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคือพวกมันเหนี่ยวไกปืน เสียงปืนระเบิดขึ้นทันใด ยิ่งจนหมดแม็กกระสุน ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ไม่อาจรอดจากคมกระสุนที่กระหน่ำยิงได้

“หมาจนตรอก...ก็ยังเป็นหมาจนตรอกอยู่วันยันค่ำ มีคนพูดแบบนี้แล้วก็ได้ไปอย่างง่ายดาย”

น้ำเสียงท้ายๆทอดอ้อยสร้อย ยั่วเย้าคนฟังให้ขุ่นเคืองใจ

“พวกแกคงโชคร้ายที่ต้องตายเป็นฝีเฝ้าป่าแทนฉันแน่ๆ”

กระแสเสียงเย็นยะเยียบเอ่ยราวกับไม่ได้รับกระทบกระเทือนใดๆ มือที่เตรีมลั่นกระสุนกลับชะงักค้างเพราะกระสุนของมันกลับไม่เหลือสักนัดเดียว

“ฉันคำนวณปืนของพวกแกไว้แล้วว่าจะเหลือกระสุนอยู่กี่นัด แกถูกหลอก....ใครไม่อยากตายก็จงไปเสีย อย่างน้อยๆฉันจะคิดว่าครั้งหนึ่งแกเป็นลูกน้องของฉัน”

น้ำเสียงกิ่งไผ่เฉื่อยชา แฝงด้วยเมตตาธรรมในน้ำเสียงราบเรียบ เสียงไม่อาจทราบทิศทางเด่นชัดเรื่อยๆ ความมืดรายรอบ เหล่าผู้ตื่นกลัวโยนปืนทิ้ง เกรงต่ออสูรสงครามที่ได้ประสบพบเจอ เจ้าหัวหน้าเดือดดาลใจที่เจอลูกน้องขี้ขลาดรักตัวกลัวตาย ตัวมันแหกแหกปากร้องท้าลั่น

“มึงแน่ใจว่าฆ่ากูได้ก็เอาซี่วะ”

เสียงตะคอก ปนกับเสียงทอดถอนใจเคล้าสายลมยามดึก กิ่งไผ่กระโดดลงจากต้นไม้ที่เป็นที่ซ่อนร่างของเจ้าลูกน้องเคราะห์ร้าย เจ้าตัวหัวหน้าที่เอ็ดตะโรโวยวายตะลึงเพราะเพียงพริบตากิ่งไผ่ก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

“ชั้นปลายแถวอย่างแกไม่สามารถเอาชนะได้หรอก”

คำพูดดูแคลน สร้างความโกรธถึงขีดสุด มันตวัดแขนเข้าหากิ่งไผ่อย่างว่องไว กิ่งไผ่เพียงก้าวถอยหลัง วงแขนพลาดไป หากมันไม่อาจปล่อยโอกาสยกเท้าถีบยอดอกจนกิ่งไผ่เซถลาไปหลายก้าว ปืนตกบนพื้น ช่วงโอกาสดีๆมาถึง มันจึงรีบคว้า กิ่งไผ่แสยะยิ้มเมื่อปืนจ่อหน้าทันทีที่แหงนหงายใบหน้าขึ้น ปลายกระบอกเย็นเฉียบเจาะขมับ ยิ้มอย่างเป็นต่อ

“ ดูท่าแกจะตายแทนเสียแล้วล่ะ”

เสียงหัวเราะบ้าคลั่งอย่างคนกุมชะตา กิ่งไผ่ยังรักษาระดับความเย็นเยือกไว้ได้ ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกไป

“อะไร...กลัวจนร้องไม่ออกเลยเรอะ”

มันถีบบ่ากิ่งไผ่ชิดติดต้นไม้ แผ่นหลังบอบบางกระแทก กิ่งไผ่ยังไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา เขาได้รับความเจ็บปวดมากพอจนแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก คางถูกบีบแน่นจนแทบละเอียดแหลกคามือ ใบหน้างามแหงนหงาย ในแววตาทอความว่างเปล่าและความสงสาร

“แกหน้าตาดีสมกับที่นายกฤษดาหลงใหลเลย...”

คำพูดของมันฟังแล้วน่าสะอิดสะเอียนขุดความทรงจำอันน่ารังเกียจออกมา มือของมันสางผมยาวก่อนขยุ้มไว้แน่นจนใบหน้ากิ่งไผ่แหงนหงาย

“แต่น่าเสียดาย...น่าเสียดายที่แกไม่อาจอยู่ดูโลกนี้ได้อีกต่อไป”

ธีรเดชเฝ้ามองอยู่เนิ่นนานตระเตรียมออกไป หากกิ่งไผ่ชิงพูดออกมาก่อน

“แต่แกก็ยังอ่อนเชิงอยู่เหมือนเดิม แกยิงสิ....”

กิ่งไผ่ท้าทาย มันย่อมทำตามด้วยความเกลียดชัง หากพอยิงกลับเกิดเสียงแชะ ไม่มีกระสุนออกมาสักนัด กิ่งไผ่ยิ้มขัน ก่อนลุกขึ้น มันกลัวต่อท่าทีคุกคาม กิ่งไผ่ทรุดนั่งตรงหน้ามัน ถือมีดซึ่งเปื้อนเลือดเกรอะกรังอวดความน่ากลัว

“ปล่อยให้พล่ามมากพอแล้ว...ตายซะเถอะ!”

ธีรเดชลุกขึ้น เข้ามาหา กิ่งไผ่ไม่หันมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าธีรเดชต้องมา

“คุณจะฆ่าเขาเหรอ”

ธีรเดชเข้าใจแล้วว่าใครจัดการสังหารได้อย่างน่ากลัวเช่นนั้น กิ่งไผ่ไม่ตอบ กลับจ่อมีดชิดคอหอยเจ้าตัวหัวหน้า

“ผมจะฆ่าหรือไม่ฆ่ามันเป็นปัญหาคุณรึไง”กิ่งไผ่ตีรวน

ธีรเดชมองใบหน้าเหลือกลานของเจ้านักโทษ สงสารมันเหลือกำลัง

“ยังไง...ผมก็...”

ชายหนุ่มเงียบไป กิ่งไผ่พรูลมหายใจบางเบา

“คุณรู้จักกฎการเอาตัวรอดไหม ใครแข็งแกร่งกว่าก็ชนะ ใครฉลาดกว่าก็รอดตัวไป ผมอยู่ในสังคมแบบนั้นแหละ อยู่กับความไม่เชื่อใจ....”

น้ำเสียงกิ่งไผ่เอ่ยราวละเมอ ธีรเดชรับฟังเงียบๆปลายมีดแหลมคมจ่อเข้าคอหอยเจ้าเคราะห์ร้ายอย่างไม่ปราณี

“ปล่อยผมไปเถอะ...ปล่อยผม”

มันอ้อนวอนด้วยท่าทีสั่นระริก กิ่งไผ่หรี่ตาลงส่ายหัวช้าๆ มันมองใบหน้างามซึ่งหลงเหลือแต่น้ำแข็งคลือบคลุมบางๆ

“ฉันปราณีแกได้ด้วยหรือ แล้วสิ่งที่แกทำกับฉันและพ่อของฉันล่ะ? แกทรยศนายตัวเองได้ลงคอ แกมันเลวยิ่งกว่าหมา!”

กิ่งไผ่ตวาดขยุ้มคอเสื้อมันขึ้น จ้องตาแทบถลนแรงโกรธเกลียดครอบงำ

“แกไปเข้าฝ่ายไอ้กฤษดา แล้วทำลายเจ้านายแกได้ลงคอจะให้ฉันปราณีมีเมตตาหรือ”

ธีรเดชขยับกายเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่เงื้อมีดในมือสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าความเมตตาล่ะก็...ฉันให้พวกแกแล้ว”

เงื้อมือสุดแขน ธีรเดชมองอย่างไม่เชื่อสายตาเลยว่า คนๆนี้เป็นกิ่งไผ่ที่เขารู้จัก คนที่เยือกเย็นกลับกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มรู้ว่ากิ่งไผ่เก่งและใจแข็งแต่ไม่คิดว่าจะเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้

“ถ้าแกอยากได้ชีวิตล่ะก็แกจงบอกว่าไอ้เจ้ากฤษดามันเป็นใครกันแน่ มันต้องการอะไร”

กิ่งไผ่ยังตะคอก น้ำเสียงห้วนสั้น แรกๆเจ้าเชลยไม่ยอมบอก กิ่งไผ่ยิ้มแสยะขู่

“ฉันเป็นคนที่พูดจริงทำจริงเสียด้วย ถ้าแกบอกเท่าที่แกรู้ชีวิตแกก็อยู่ แต่ถ้าไม่ยอมคิดดิ้นรนแกก็ตายเสีย”

มีดเปื้อนเลือดติดตาของมัน ความรักตัวกลัวตายมีมากมันจึงพนมมือเอ่ยเป็นภาษาพม่าระรัว

“งั้นแกจงบอกมา”

กิ่งไผ่เอ่ยเป็นภาษาบ้านเกิด มันจึงเปิดปากเล่าอย่างช่วยไม่ได้

“เท่าที่ผมรู้ กฤษดามันเป็นนักค้ายาเสพติด มันต้องการกำลังเพื่อต่อต้านทหารไทย มันเลยหลอกใช้นายพลอินคานซึ่งรวบรวมคนต่อสู้เพื่อชิงแผ่นดินคืน มันให้เงินจัดซื้อด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่กองกำลังของท่านนายพลที่หารู้ไม่ว่ามันคิดไม่ซื่อ”

ริมฝีปากของกิ่งไผ่เม้มแน่น

“มันเอาเงินมาจากไหน”

น้ำเสียงเย็นเยียบถามต่อ ธีรเดชเห็นท่าทีของทั้งคู่ดูแปลกๆ แถมยังพูดในภาษาที่เขาไม่เข้าใจ

“ได้ยินว่ามันเป็นสมาชิกของมาเฟียอิตาลี มันขยายสาขาเส้นทางการขนยาเสพติดอยู่ ผมรู้แค่นี้เอง”

กิ่งไผ่รับฟังน้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยระรัวเร็ว

“แล้วเชื่อถือเรื่องที่แกบอกได้แค่ไหน”

ปลายมีดจี้ที่คอ กิ่งไผ่อยากรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังเท็จหรือจริง

“จะไปโกหกทำไม”

ธีรเดชมอง กิ่งไผ่ลุกขึ้น หันไปทางนายทหารหนุ่ม

“ผมกำลังสอบปากคำเรื่องธุระส่วนตัวของผมอยู่”

ร่างโปร่งเอ่ยมองเจ้าคนขาอ่อนลุกขึ้นจากพื้นไม่ไหวอย่างน่าเวทนา ธีรเดชผงกศีรษะไม่รู้ว่า ‘ธุระ’ของร่างโปร่งคืออะไรกันแน่ ยิ่งรู้จักยิ่งมีปริศนามากมาย

“คงไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าให้คุณฟัง”

ราวกับอ่านใจออก รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมแฝงด้วยความชังมอบให้ หากมองดู รอยยิ้มนั่นช่างอ่อนหวานราวน้ำผึ้งเคลือบด้วยยาพิษแม้จะรู้ดีว่าอันตรายสักเพียงใดก็อยากสัมผัส ธีรเดชมองอย่างตะลึงตะลานโดยไม่รู้ตัว

“ไสหัวไปซะ!”

กิ่งไผ่ว่าพร้อมทรุดเก็บปืนเติมกระสุน เจ้าหัวหน้าที่มันคิดว่ารอดแล้วลุกขึ้นเตรียมวิ่งหนี ธีรเดชก้าวเข้าไปหาหลังจากสังเกตเห็นท่าไม่ดี กิ่งไผ่บรรจุกระสุนเสร็จ สิ่งที่เขาคิดมันก็เป็นจริง! มันพุ่งชาร์จเข้าหากิ่งไผ่อย่างแรงจนล้มลง บีบลำคอขาว แย่งยิงปืน มาไว้กับตัว ธีรเดชหมายเข้าไปช่วย กิ่งไผ่สะบัดตัวออก เจ้าเชลยที่ครั้งหนึ่งได้รับอิสระเหนี่ยวไก ธีรเดชปะทะร่างของกิ่งไผ่อย่างแรง ปวดแปลบที่ต้นแขน กิ่งไผ่ตกใจไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะเข้ามาช่วยบังไว้ ร่างของทั้งคู่ล้มทับกัน เจ้าเชลยศึกหมายซ้ำอีกรอบ กิ่งไผ่ไวกว่า คว้าปืนของธีรเดชยิงสวนไปหนึ่งนัดโดยไม่ต้องเล็ง กระสุนเจาะหน้าผาก มันหงายหลังล้มขาดใจทันที กิ่งไผ่ยกตัวหนาหนักออก มองเลือดไหลเป็นทางจากต้นแขนแกร่ง ก่อนลุกขึ้นดูให้แน่ใจว่าตัวเองยิงไม่พลาด เรือนผมยาวสลวยยุ่งเหยิงเคลียแก้มซึ่งนั่งมองร่างไร้ชีวิตที่ตนเองเพิ่งสังหารเองกับมือ สายลมอ่อนๆยามดึกพัดคลอเคลียเส้นผมยาวสลวยหลุดจากมวยยุ่งเหยิง ดูราวตอนนี้ร่างบางตรงหน้าเป็นเครื่องจักรสังหารมากกว่าจะเป็นมนุษย์มีจิตใจและวิญญาณ ธีรเดชเฝ้ามองมาทางตนด้วยใบหน้าที่ยากหยั่งลึก แท้จริงแล้วชายหนุ่มคิดเช่นไรกับสภาพของตนในตอนนี้ เลือดเปื้อนไปหมดทั้งตัว
มอมแมมเหมือนไม่ใช่คน ธีรเดชมองมันสมองไหลปนเลือดเกิดจากคมกระสุนที่ยิงแม่นราวกับจับวาง เพียงแค่คนเดียวก็สังหารกองโจรที่มีอาวุธครบมือได้ถึงห้าราย ทั้งยังขู่ขวัญจนกระเจิง....คนๆนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ...สายตาคมมองร่างยืนโดดเดี่ยว กุมต้นแขนตัวเองไว้ ก่อนร่างกิ่งไผ่ทรุดฮวบลงกับพื้น


“คุณบาดเจ็บ...”

สายตาคมมองมือพันด้วยผ้าลวกๆ มาบัดนี้มันเลิกขึ้น เผยให้เห็นบาดแผลเป็นรอยฟัน

“ช่างมันเถอะ แค่ถูกกัด...”

กิ่งไผ่แข็งใจลุกขึ้น เขาไม่มีวันยอมล้มเด็ดขาด ไม่มีวัน! สายตาอ่อนโยนทอดมองร่างไร้ชีวิต กิ่งไผ่พรูลมหายใจราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“เป็นเพราะคุณบอกไม่ให้ฆ่ามัน ผมเลยไม่ฆ่า สม...ได้รับความเมตตาแล้วอยากไม่รับดีนัก”

กิ่งไผ่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ธีรเดชกุมบาดแผลตัวเองไว้เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้

“ผมละอายแก่ใจเหลือเกินที่ปกป้องคุณไม่ได้เลย”

ธีรเดชฝืนยิ้มขณะที่เลือดไหลเอ่อล้นตามร่องมือ

“ดีแล้วล่ะที่คุณไม่เข้ามาขวางงานของผม เพราะผมกังวลเหมือนกันว่ากลัวคุณจะได้รับอันตรายหรือเปล่า เพราะงานสังหารของผมมักมีการปรับเปลี่ยนแผนตลอด”

น้ำเสียงของกิ่งไผ่ราบเรียบ สายตาพิศมองแผลจากคมกระสุน

“ไปเรียนมาจากไหน”

ธีรเดชลองล้วงข้อมูล หากกิ่งไผ่ก็ตั้งกำแพงไว้สูง ไม่เปิดเผยใดๆ

“กลัว?” อีกฝ่ายย้อนถามโทนเสียงยังเป็นเช่นเดิม จนธีรเดชอ่อนใจ

“ผมมันคนโชคร้ายจริงๆ”

กิ่งไผ่ช้อนตามอง เลิกคิ้วแปลกประหลาดที่ยังเห็นคนๆนี้พูดได้อีกทั้งๆที่เลือดไหลไม่หยุดจนใบหน้าซีดขาว

“ว่าแต่คุณเถอะ...แผลที่มือเป็นไงบ้าง”

ข่มความเจ็บปวดจนใบหน้าซีดขาว อย่างไรเสียธีรเดชก็นึกห่วงอีกฝ่ายมากกว่า กิ่งไผ่สบดวงตาแกร่ง กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ชายหนุ่มช่างบ้าจริง!ทั้งๆที่ตัวเองบาดเจ็บเพราะปกป้องคนอื่นยังมีหน้ามาพูดห่วงใยคนอื่นด้วยความใจดีไม่เข้าท่า

“สำหรับผมบาดแผลแค่นี้ไม่ตายหรอก แต่คุณนั่นแหละจะได้ตายก่อนผม”

กิ่งไผ่คำรามเสียงต่ำ ธีรเดชเพียงยิ้มน้อยๆ มือเปื้อนเลือดแตะใบหน้ากร้าวแกร่งเบาๆ ธีรเดชสังเกตได้ว่ามือของกิ่งไผ่สั่นระริกทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

“ผมจะรอดออกไปจากป่านี้ไหมนะ“

ดวงตาอ่อนโยนมันช่างกรีดหัวใจแข็งกระด้างของกิ่งไผ่ลงย่อยยับ

“คุณไม่มีทางตายหรอก”กิ่งไผ่ว่า

ธีรเดชหัวเราะ เลือดยังไหลออกมาไม่หยุด

“ทำยังไง”ชายหนุ่มถาม

กิ่งไผ่ประคองร่างของธีรเดชนอนราบกับพื้น สำรวจบาดแผล โชคดีที่กระสุนไม่ฝังในลึกนัก กิ่งไผ่รื้อกระเป๋าเป้ทหาร หาของบางอย่าง ก่อนจุดไฟ กิ่งไผ่ข่มหน้าให้เรียบสนิท แรกๆธีรเดชไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร พอเห็นกิ่งไผ่ค้นหามีดคมกริบเล่มเล็ก ฆ่าเชื้อด้วยความร้อน แล้วเช็ดกับแอลกอฮอลล์ เท่านั้นแหละใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดมากยิ่งขึ้น

“หรือว่าคิดผ่าตัดเอาคมกระสุนออก”

กิ่งไผ่ผงกศีรษะเชื่องช้า ชายหนุ่มพูดไม่ออกเลยทีเดียว....จะผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาชารึยาสลบนี่นะ?

“ไม่ต้องห่วงหรอก....”กิ่งไผ่ปลอบ

ชายหนุ่มไม่ได้กังวลถึงเรื่องนั้น กิ่งไผ่ลุกขึ้นเหลียวมองรอบกายซึ่งบัดนี้แสงวันใหม่จับขอบฟ้าแล้ว

“ผมก่อไฟต้มน้ำก่อนนะ”

กิ่งไผ่ไม่พูดเปล่าลงมือต้มน้ำอย่างรวดเร็ว ธีรเดชเจ็บจนริมฝีปากไร้สีเลือด พอเสร็จกิ่งไผ่ล้างมือให้สะอาด เข้ามาใกล้ร่างแกร่ง สบดวงตาสื่อให้เห็นความมั่นใจ

“ผมถูกฝึกมาดีแล้วน่า”

กิ่งไผ่สำทับ เอามีดคมกริบแช่ในน้ำร้อน ธีรเดชหลับตาลงเมื่อคมมีดแตะผิว สัมผัสถึงความร้อน ชายหนุ่มหลับตากัดฟันแน่นเมื่อมีดค่อยๆชำแรกเข้าเนื้อ กัดจนเลือดซึม ลมหายใจหอบรุนแรง

“อ๊ากก”

ธีรเดชหลุดปากร้อง ดิ้นทันทีจนแพทย์จำเป็นต้องหยุดมือ ลมหายใจหอบถี่รุนแรง เหงื่อไหลทะลัก ดวงตาเหลือกข่มความเจ็บ กิ่งไผ่ใช้ผ้าก๊อชซึ่งผ่านการต้มฆ่าเชื้อเช็ดเลือดออกจากปากแผล

“อีกนิดเดียวเท่านั้นคุณอดทนหน่อยได้ไหม”

น้ำเสียงนุ่มนวล ธีรเดชเหลือบตาเลือนรางมองมือเปื้อนเลือด ผงกศีรษะอ่อนล้า เขาไม่รู้จะอดทนได้นานสักเท่าไร มือเปื้อนเลือดแตะริมฝีปากที่ขบจนแตก โอบกอดไว้เบาๆ ศีรษะเอนซบบ่าบอบบาง อย่างขัดขืนไม่ได้

กิ่งไผ่ตัดใจลงมืออีกครั้งเพราะใกล้แคะหัวกระสุนออกมาได้แล้ว เมื่อลงมีดอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ธีรเดชเผลอร้องและขบบ่าบางกัดเสียงเข้าเต็มๆ แม้จะเจ็บแต่กิ่งไผ่ก็อดทน เพราะชายหนุ่มเจ็บ เขาก็สมควรเจ็บปวดด้วยเช่นกันเพราะชายหนุ่มปกป้องจนเกือบเสียชีวิต กิ่งไผ่ไม่เคยได้รับความอ่อนโยนใดๆรู้สึกผิดมากมายที่ทำให้ธีรเดชเป็นเช่นนี้ ผ่านไปเนิ่นนานธีรเดชเจ็บจนสลบ กิ่งไผ่เย็บปากแผลโดยอุปกรณ์แพทย์สนามที่มีอยู่ในเป้ทหาร

เวลาเดินผ่านจน เป็นเวลาบ่ายคล้อย กิ่งไผ่ปล่อยให้คนบาดเจ็บนอนพักเงียบๆ กิ่งไผ่เปิดดูแผลที่บ่าซึ่งเป็นรอยฟันน่ากลัว เจ็บ...แค่นี้เป็นเรื่องเล็ก ร่างโปร่งจัดการทำแผลตนบ้าง ก่อนยกร่างของธีรเดชขึ้นหาที่ปลอดภัยซ่อนกายสักระยะ

------------------------------------------------

ธีรเดชฟื้นขึ้นมามองเห็นราตรีคลี่คลุม กิ่งไผ่ห่อตัวกลมครึ่งหลับครึ่งตื่น ชายหนุ่มจ้องบาดแผลที่บวมตุ่ยบนฝ่ามือของกิ่งไผ่ ขยับตัวคิดลุกขึ้นไปหาอย่างมึนงงก็เจ็บที่บ่าจนขยับไม่ได้ จึงได้แต่นอนนิ่ง กิ่งไผ่รู้สึกตัวตื่น เห็นธีรเดชลืมตาตื่นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความง่วงงุน

“ยังไม่หลับหรือ”

“ผมกำลังคิดเรื่องของคุณอยู่”

ธีรเดชมอง กิ่งไผ่ลุกขึ้นนั่งข้างๆ พร้อมกับส่งฟืนเข้ากองไฟ

“มีอะไรน่าสน?”อีกฝ่ายแสร้งถาม

ธีรเดชหัวเราะเมื่อมองใบหน้าประหลาดใจ เพราะน้อยนักที่กิ่งไผ่จะทำ

“ก็หลายๆอย่าง อาทิเช่นคุณเป็นใครกันแน่ เรื่องอะไรถึงถูกตาม แล้วทำไมถึงได้เก่งเหลือเกิน”

แม้เป็นการเอ่ยเล่นๆหากจริงจังอยู่ในที

“ผมจะตอบคุณเป็นบางส่วนก็แล้วกัน....อยากรู้ใช่ไหมว่าใช้วิธีไหนจัดการพวกนั้น?”

ธีรเดชผงกศีรษะ กิ่งไผ่ก็อธิบายให้ฟังจริงๆ

“การฆ่าคนน่ะมันง่าย....ถ้ารู้จักใช้วิธี....ผมใช้จิตวิทยาให้มันกลัว เมื่อมันคิดว่าไม่อาจสู้ได้ มันก็ทำไม่ได้จึงกลายเป็นเป้านิ่งไงล่ะ”

ท่าทีลับลมคมใน กิ่งไผ่ซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง มองดูความสวยแค่เพียงเปลือกนอก หากแก่นในแท้จริงแล้ว “แข็งกร้าว” ต่างจากต้นธาราโดยสิ้นเชิง....อีกฝ่ายนั้น"นุ่มนวล"เกินไป .... ชื่อของคุณหมอผุดขึ้นในความทรงจำ กิ่งไผ่เห็นธีรเดชเบือนหน้าหนีจากตนจึงนิ่งเงียบไป

“คุณเหมือนกับคนที่ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง ต่างกันตรงที่นิสัยเท่านั้น”

ธีรเดชหลุดปาก กิ่งไผ่สงสัยว่าคนที่เอ่ยนั้นคือใคร

“ผมไม่เหมือนใครทั้งนั้น”

ร่างโปร่งตอบอย่างรวดเร็ว สายตาธีรเดชยังจับจ้องอยู่ดีด้วยสายตาเสน่หาอาทร...เหมือนแทนตัวคนที่ชายหนุ่มบอกว่าคล้าย...

“พอคุณไปส่งถึงไทยแล้วเราจะแยกกันจริงๆหรือ”วิงวอนราวกับไม่อยากให้ไป

“เราไม่ได้มีอะไรผูกพันกัน คุณจะเสียใจทำไม?”

กิ่งไผ่เอ่ยแล้วสะท้อนในใจ เหมือนเป็นกับความฝันชั่วคืนหนึ่ง...พอตื่นมาพบกับความจริงว่าคนที่ยึดติดสุดท้ายจากไป...แล้วก็อยู่อย่างเดียวดาย

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 10-10-2008 18:40:20
คามรักก่อตัวท่ามกลางความแตกต่าง เหมือนเป็นเส้นขนานที่จะมาบรรจบกันไม่ได้ เอาใจลุ้นคู่นี้นะครับ ให้เส้นมันโค้งลงมาบรรจบกัน ในเมื่อต่างฝ่ายเริ่มที่จะมีใจให้กันแล้ว แต่ดูแล้วแววเศร้ากำลังจะปรากฎ คนเขียนเก็บกดอะป่าว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-10-2008 18:52:59
+ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ+
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 10-10-2008 20:55:14
กิ่งไผ่......................... :o
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 10-10-2008 22:52:09
คามรักก่อตัวท่ามกลางความแตกต่าง เหมือนเป็นเส้นขนานที่จะมาบรรจบกันไม่ได้ เอาใจลุ้นคู่นี้นะครับ ให้เส้นมันโค้งลงมาบรรจบกัน ในเมื่อต่างฝ่ายเริ่มที่จะมีใจให้กันแล้ว แต่ดูแล้วแววเศร้ากำลังจะปรากฎ คนเขียนเก็บกดอะป่าว

เปล่าเจ้าค่ะ มันเป็นไปตามพลอต ทนเครียดกันอีกนิด มันจะมีหวานๆผลุ่บโผล่มาช่วยล้างความขมแน่ๆค่ะ :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-10-2008 01:36:49
น้องเรนมาหยอดว่าหวาน แต่มันแนว หวานนิดขมมาก  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 12-10-2008 23:44:04
 :m23:  มาให้กำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 13-10-2008 00:00:10
กิ่งไผ่เก่งจัง o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 15-10-2008 15:44:43
คนสวยรีบมาต่อนะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 15-10-2008 16:03:06
จิ้มตูดยายทะลุถึงหัวใจ


แว่..
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 17-10-2008 15:49:32
 :m23:  มารออ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-10-2008 20:31:30
ขอโทษๆ  :a6:  มาลงช้าอีกแล้ว แงแง  งานเยอะมากมาย (แก้ตัวตลอด อิอิ)
ต่อเลยจ้า  ขอบคุณที่มาให้กำลังใจ
อ่อ ก่อนไป จิ้มตูดยาย RNไม่กลัวเหรอ ตูดหมึกนะ  :laugh:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++=

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 14 Under The Rose/ความลับในความรู้สึก [Part1]

(*Under The Rose สำนวนภาษาอังกฤษหมายถึงให้เก็บเป็นความลับ )

สายตาสีน้ำตาลทอดมองราวกับล่องลอยลอยหายไปในละอองหมอก ภานุตื่นขึ้นมาเห็นต้นธาราใจลอยจึงมองเงียบๆ ในใจคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ต้นธาราขยับกายเล็กน้อยมือจับเข็มขัดนิภัยลงไปสูดอากาศข้างนอก เขากับภานุขับรถมานาน ผู้กองหนุ่มจึงจอดพักในจุดพักรถ หลับสักงีบเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ ชายหนุ่มจะตามลงไปด้วย หากอยู่เฉยน่าจะดีที่สุด ต้นธาราเหลียวมองรอบๆก่อนดิ่งตรงไปทางโทรศัพท์ ยกสายขึ้น เตรียมกดเบอร์ท้ายที่สุดแล้วก็วางลง ภานุจับตามองทุกอิริยาบถ รู้ดีว่าคนที่ต้นธาราจะติดต่อนั้นเป็นใครแต่ทำไมถึงไม่ทำ ข้อนี้สร้างความแปลกใจให้ชายหนุ่มยิ่งนัก ต้นธาราหันหลังให้ชายหนุ่มจับความรู้สึกออกทันทีว่า ร่างบอบบางต้องคิดเรื่องหนักอกในที่สุดต้นธาราตัดสินใจหันหลังกลับมา เปิดประตูรถ ภานุแสร้งทำเป็นหลับเหมือนเคย

“เมื่อไรจะออกรถ”ต้นธาราเขย่าบ่า ร้อยเอกหนุ่มแสร้งงัวเงีย

“หืม...มีอะไร”

ชายหนุ่มหรี่ตา เห็นต้นธาราทำหน้ารู้สึกผิดที่ต้องปลุกเขา ชายหนุ่มจึงวางมือไว้บนบ่ารั้งเข้ามากอดเงียบๆ ต้นธาราแม้ขัดขืนหากยอมอยู่ในอ้อมกอดแต่โดยดี

“ขอโทษที่ปลุก ...”

ต้นธาราพูดอุบอิบในลำคอก่อนผละออกจากแผ่นอกที่ใช้พักพิง ทำทีมองไปข้างหน้า เงียบไปไปครู่ใหญ่ๆจึงเอ่ยขึ้นอีกประโยค

“จะดื่มกาแฟไหม เดี๋ยวผมไปซื้อให้”

น้ำเสียงอ่อนเบากลั่นออกมาเป็นคำพูด ภานุผงกหัวเดาได้เลยว่าต้นธาราคงตัดสินใจไปโทรศัพท์อีกและเขาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องรั้ง

“อื้ม...สักกระป๋องก็ดี ให้ออกไปเป็นเพื่อนรึเปล่า”

มือบางโบกไปมา ยิ้มละมุนตา ก่อนต้นธาราหยิบกระเป๋าเงินเดินเร็วๆหายไปในร้านสะดวกซื้อ

“แย่จริงๆ...”

ภานุพึมพำกับตัวเองยกมือรองคอพิงเบาะ เฝ้ามองร่างที่หายไปในคอนวีเนียนอย่างไม่วางตา ร่างโปร่งเดินออก มาพร้อมกับถุงใหญ่ ชายหนุ่มโล่งใจในอกที่ต้นธาราไม่ได้ไปโทรศัพท์ ต้นธาราก้าวขึ้นรถ ส่งกระป๋องกาแฟให้แก่นายทหารหนุ่ม

“อีกกี่ชั่วโมงไปถึง นั่งจนเมื่อยไปหมดแล้ว”

ต้นธาราอุทธรณ์ ภานุจับมือ พลางปลอบเสียงเบา

“อีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว ทนเอาหน่อยเถอะ”

คำปลอบโยนแม้จะฟังดูห้วนสั้นหากต้นธาราก็ต้องการฟังอยู่ดี

“งั้นถ้าไปถึงแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆกินไหม นับตั้งอยู่มาผมยังไม่เคยเที่ยวในเมืองสักที”

ร่างโปร่งออดอ้อน ภานุรับคำอย่างเต็มใจ บรรยากาศแห่งความสุขจึงลอยอวล

พอทั้งคู่ไปถึงตัวเมืองก็เกือบเย็น ภานุจึงเป็นฝ่ายตัดสินใจหาที่พักก่อนค่อยมารับประทานอาหารเย็น ต้นธาราก็ไม่อยากขัดใจแม้ว่าตัวเองจะหิว จนกระทั่งภานุหาห้องพักได้ ทั้งคู่จึงออกไปหาอาหารเย็นใส่ท้องได้

“ตลาดแถวนี้คึกคักดี”

ต้นธาราออกความเห็นเมื่อเห็นสีแสงภายในตลาดโต้รุ่งซึ่งขายอาหารกับข้าวสารพัด ยามเดินเคียงคู่ร่างสูง ต้นธาราอุ่นใจแม้ว่าบางส่วนยังประหม่าต่อท่าทีอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้ ภานุจับแขนเป็นบางครั้งเพราะต้องเบียดเสียดกับฝูงชน ขืนปล่อยให้คนที่ต้องก้าวตามขายาวๆแถมเดินเร็วคงยากที่จะตามทัน พอพ้นช่วงคนเบาบาง ต้นธาราหายใจหอบเล็กน้อยแต่ก็พยายามข่มอาการไม่ให้คนที่เดินนำหน้าเห็น ภานุยังเดินต่อเรื่อยๆพลางชี้ไปร้านนู้นร้านนี้ราวกับเลือกไม่ได้เสียที ฝ่ายต้นธาราก็ท้องกิ่วหิวจนตาลาย ส่งผลให้ขาอ่อนล้ากล่าวตามคนเดินเร็วไม่เคยทันเสียที

“กินร้านนั้นไหม”

ภานุถามเมื่อเห็นเดินผ่านมาหลายร้านแล้ว ต้นธาราจึงผงกหัวยอมรับง่ายๆจนชายหนุ่มถอนใจ

“เราเดินผ่านมาหลายร้านแล้ว ผมบอกจะกินร้านไหนคุณก็ยอมตกลงเสมอรึ ตามใจตัวเองบ้างสิ?”

ภานุว่าอย่างเหลืออดไม่ได้ ต้นธารานิ่ง ภานุจ้องใบหน้าสวยตรงๆ

“สำหรับผมร้านไหนมันก็เหมือนกันแหละ ผมหิวจะตายอยู่แล้ว”

ต้นธาราตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ภานุเงียบงัน ก่อนจูงข้อมือบางนั่งในร้านที่เลือกไว้

“แล้วทำไมไม่บอก”ชายหนุ่มยังพูดเสียงเข้ม ต้นธาราเบ้หน้า

“แล้วเคยถามสักคำไหมล่ะ”

บริกรเข้ามาถามว่าจะสั่งอะไร ภานุจึงตวัดสายตามองทางเด็กเสิร์ฟแทน ชายหนุ่มหยิบเมนูส่งให้คนตรงหน้า ต้นธารารู้สึกว่าความรู้สึกน้อยใจกรุ่นขึ้นในใจ หากระงับอารมณ์ไว้

“เอาอันนี้ไหม...”

ภานุอ่านชื่อเมนูให้ฟัง ต้นธาราผงกหัวรับอย่างแกนๆ ชายหนุ่มนึกหงุดหงิดเหลือกำลัง

“หลังจากนี้คุณจะทำไง”

ภานุโพลงขึ้นมา ต้นธาราจึงหยิบแก้วน้ำที่เสียบหลอดพลาสติกขึ้นมาดูดขมวดคิ้วมุ่น

“ถามแบบนั้น....”

ต้นธาราละไว้หรี่ตาลงจ้องมองคนตรงกันข้ามเขม็ง ภานุสบดวงตาสีอ่อนสะท้อนแสงไฟวิบวับ

“ผมหมายถึง....หลังจากที่กลับไปกรุงเทพคุณจะเอาไง”

ภานุน้ำเสียงห้วนสั้น ต้นธารารับฟังแล้วกัดฟันแน่น ใบหน้าแปรเปลี่ยน ไม่พ้นไปจากการจับสังเกตของภานุไปได้

“ผมก็คงถูกกักบริเวณ รึไม่ก็คุณถูกลงโทษ”

ต้นธาราประชด ก้มหน้าก้มตามองสีพื้นโต๊ะที่กะเทาะล่อน ภานุได้ฟังประโยคหลังสุด รู้สึกเหมือนมีลูกดอกกระทบตรงใจไปเต็มๆ คุณหมอหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมผู้กองต้องถามราวกับตัวเขาเป็นตัวถ่วงด้วย คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจ ทั้งสองมองหน้ากัน ต้นธาราส่งสายตาตัดพ้อ ขุ่นเคืองใจ อาหารที่สั่งไว้ทยอยมาเสิร์ฟ ภานุหลบสายตาของอีกฝ่ายโดยการตักข้าวสวยในโถให้อีกฝ่าย

“กินผัดผักไหมครับ?”

ภานุถามพร้อมตักใส่จานให้ คุณหมอไม่ตอบ ตักข้าวเข้าปากเงียบราวกับคนซังกะตาย ผัดผักของผู้กองหนุ่มเลยกลายเป็นหม้าย ร่างสูงวางช้อนลงนั่งกินข้าวเงียบๆแทน ต้นธาราลอบมองผู้กองตลอด ยังสงสัยว่าความรักมันจะหวานหรือขมกัน ในเมื่อผู้กองชายตามอง ยังแอบกังวลอยู่มิวาย คิดถึงโอบกอดอุ่นๆ คำพูดหวานๆมันเป็นความฝันในคืนหนึ่งเท่านั่นหรือ คนตรงหน้ามีสิทธิ์อาจเอื้อมได้อีกหรือเปล่า ต้นธาราทานข้าวได้น้อยมากเพราะเอาแต่นั่งเขี่ยทั้งๆที่ยังป่วยอยู่ ด้วยความกังวลใจจึงทำให้เขาไม่อยากอะไรเลย

“กินอีกหน่อยสิ คุณผอมเกินไปแล้วนะธาร”เรียกขานชื่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ต้นธาราเงยหน้ามอง

“อากาศมันร้อนน่ะเลยไม่ค่อยหิวสักเท่าไร”คุณหมอตอบ หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแทน

“ถึงไม่หิวก็น่าจะกินสักหน่อย”ภานุเอ่ยเป็นเชิงบังคับกรายๆ

ต้นธารากลับวางช้อนเสมองไปทางอื่นแทน เสียงเอะอะจอแจของผู้คนและยานพาหนะ ภานุเลื่อนมือมาเกี่ยวกุมมือบางไว้แน่น ต้นธารากลับเป็นฝ่ายชักออกวางไว้บนตัก

“กินเสร็จแล้วจะเดินต่อหรือว่าจะเข้านอนเลย”

ผู้กองจ่ายเงินค่าอาหาร ต้นธาราไม่ตอบทันทีที่ภานุจ่ายเงินเสร็จก็ลุกขึ้นทันใด

“ธาร...เป็นอะไรหรือเปล่า โกรธอะไร?”

ภานุรั้งแขนไว้ ต้นธาราเผชิญหน้าตรงๆ

“ผมไม่เข้าใจคุณเลย”

คุณหมอพูดแค่นั้นก่อนปิดปากสนิท ภานุกลับเป็นฝ่ายเดินตามหลังต้นธาราแทนจนไปถึงโรงแรมที่เปิดจองเอาไว้ ต้นธารานั่งยังเตียงของเขา ภานุทำธุระส่วนตัว ต้นธาราจึงล้มตัวนอน พอร่างสูงออกมา ต้นธาราเป็นฝ่ายรีบผลุนผลันไปทันที

“จะไปอาบน้ำ”

ต้นธาราบอกสั้นๆเมื่อสายตาคมกริบจับจ้อง ต้นธาราขังตัวเองไว้ภายในห้องน้ำ หลับตาลงอ่อนล้า อาการหอบเหนื่อยปรากฏ ต้นธาราพยายามอดกลั้นจัดการชำระกายจนเสร็จจึงลากสังขารออกมาล้มตัวนอนที่เตียงทันที เบือนหน้าไปยังอีกเตียงหนึ่ง ภานุกลับไม่อยู่ภายในห้องเสียแล้ว ต้นธาราคร้านจะใส่ใจจึงปิดเปลือกตา หลับไปทันที


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร ต้นธาราตื่นขึ้นมา เหลียวมองคนข้างเตียง กลับไม่พบร่างที่น่าจะนอนอยู่ คุณหมอแปลกใจเพราะมองนาฬิกาแล้วก็ถึงเวลานอน ภานุไม่เข้าห้องเสียที ทรุดกายล้มตัวนอนแผ่หลาบนเตียง มองห้องมืดมิดแล้วอดหวั่นผวากับเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาไม่ได้ เสียงแกร๊กดังขึ้น ประตูเปิดออกแผ่วเบา ร่างของภานุก้าวเข้ามาในห้อง เงาตะคุ่มพาดทับร่างที่นอนนิ่ง ภานุเข้ามาใกล้แล้ว...ต้นธาราหายใจขัดเมื่อมือเย็นเฉียบแตะผิวแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์กรุ่นจมูก ต้นธาราแสร้งทำเป็นหลับ ภานุหมุนตัวไปยังเตียงของตัวเอง เสียงถอดเสื้อผ้าเสียดสีผิว ก่อนมันจะกองกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนเตียง ชายหนุ่มอาบน้ำอีกรอบ ต้นธาราชันตัวขึ้นมองห้องน้ำที่ปิดสนิท

...ไปไหน...
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-10-2008 20:50:33
ร่างโปร่งขบคิดด้วยความไม่เข้าใจ ไม่นานนักร่างเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำเดินออกมาจากห้อง ต้นธารานอนนิ่งไปกระดุกกระดิก ภาวนาอย่าให้ชายหนุ่มเปิดไฟเลยไม่งั้นคงจะรู้ว่าเขาแกล้งหลับ คำภาวนาเป็นจริงจึงทำให้ต้นธาราสำรวจชายหนุ่มได้อย่างเงียบๆ สุดท้ายชายหนุ่มจึงทรุดตัวนอน ตกในห้วงนิทรารมณ์อันแสนสงบ

ต้นธาราลุกขึ้นมาเมื่อนอนไม่หลับ นั่งมองแสงไฟสะท้อนในราตรีกาล แสงไฟริบหรี่ท่ามกลางความมืดมิดเปรียบเหมือนเปลวไฟชีวิตของเขากระนั้น ต้นธาราเหลียวมองคนหลับสนิทอีกครั้ง ก่อนยกสายโทรศัพท์ขึ้นเพื่อโทรไปหาบิดา ต้นธาราเฝ้ารอด้วยกิริยาสงบ คุณหมอเกือบวางสายเมื่อสัญญาณสุดท้ายใกล้ตัด

“ลูกไปอยู่ที่ไหน”

บิดาถามเสียงกร้าว ต้นธาราถอนใจตามสาย ตามคาดที่เขาถูกตำหนิหากกระแสเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

“เจ้าภานุมันบังคับลูกใช่ไหม เดี๋ยวมันโดนลากเข้าตะรางแน่”

ต้นธาราฟังท่านพูดเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีแม้แต่จะเถียงหรือแก้ตัว

“ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนพ่อจะส่งคนไปรับ อาการยังปกติอยู่ใช่ไหม?”ท่านรีบถาม

ต้นธาราถอนหายใจ“ตอนนี้ผมสบายดีครับ ผมขึ้นมาที่เชียงใหม่ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

พอชายหนุ่มพูดเช่นนั้นบิดาตวาดทันใด

“ไม่ห่วงได้ไงลูกพ่อทั้งคน แล้วไอ้หมาบ้าล่ะ? พ่อลากมันเข้าคุกแน่ๆ”

เสียงแว่วๆเข้ามาเป็นเสียงของคุณลุงอรุณ คงพูดถึงเรื่องภานุกระมัง ต้นธาราเดา


“ชานเนนเป็นห่วงลูกมากรู้ไหมเมื่อรู้หายตัวไป”

พ่อพูดถึงนายพันจากพม่าอีกแล้ว สุภาพบุรุษผู้นุ่มนวลสำหรับเขาแล้ว....ความอ่อนโยนของผู้พัน มันชวนให้เขาฝืนขึ้นมาเมื่อล้มลง...แต่ถึงอีกฝ่ายจะอ่อนโยนกว่านี้...เขาก็รักแค่ผู้ชายแข็งกระด้างนั้นคนเดียว !

“ผมทราบครัวว่าทุกคนเป็นห่วงผม ตอนนี้ผมอยู่สบายดี กินอิ่มนอนหลับ..”ยังพูดเรื่อยๆ และราบเรียบ

นายพลพิภพฟังแล้วร้อนในอก

“แน่ใจนะว่าลูกไม่ได้ฝืนพูด ไม่ได้ถูกบังคับกับเจ้าบ้านั่น”ท่านยังด่าเป็นชุด

ต้นธาราตอบกลับด้วยเสียงที่เบาที่สุด “เขาไม่ได้บังคับอะไรผมหรอกครับ”

“ธาร เจ้ากลับมาเถอะ พ่อสั่งคนไปรับเจ้าก็ได้”นายพลพิภพขอร้อง

“ครับ...ผมกลับไปแน่ๆครับ พ่ออย่าห่วงเลย....แล้วพ่อกับลุงพิภพล่ะครับ สบายดี?”

บิดาตอบกลับมาสบายดี ต้นธาราสนทนากับท่านอีกสองคำก่อนวางสาย ทรุดนั่งขอบเตียง พยายามปิดเปลือกตาหลายครั้งจนกระทั่งผล่อยหลับไปเมื่อตอนรุ่งสาง

ผู้ที่ตื่นเช้าสุดเป็นต้นธารา ชายหนุ่มมองคนข้างเตียงที่ยังหลับสบาย ชายหนุ่มไม่กล้าปลุก จึงเก็บเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มทำตกเกลื่อนกลาด จัดไว้เป็นระเบียบ สายตาสะดุดรอยลิปติกจางๆ กลิ่นเหล้าปนกับกลิ่นบุหรี่ผสมน้ำหอมติดเสื้อผ้า ต้นธาราวางเสื้อตัวนั้นลงทันใด ไม่ต้องคาดเดาเลยเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มือหนักอึ้งวางผ้าลงบนพื้น แม้เบา แต่สำหรับคนถือแล้วราวกับเหล็กถ่วงทีเดียว ภานุขยับกายด้วยความง่วงงุน ต้นธาราเลิกยุ่งกับข้าวของของร่างสูงโดยสิ้นเชิง เสี้ยวหัวใจสั่นไหว...สิ่งที่กังวลมาตลอดกลายเป็นความจริง ต้นธารานั่งเงียบๆอยู่บนโซฟา

....ตัวเขาเองเป็นอะไรกันแน่...

ถามตัวเอง ใจที่เคยเต็มตื้นไปด้วยความสุขกลับถูกอัดอั้นด้วยการกระทำคลุมเครือ.... ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะรักจริงๆหรือเปล่า... ต้นธาราพยายามไม่คิดอะไร ไม่อยากให้การกระทำครั้งสุดท้ายของตัวเองต้องสูญเปล่าลง

------------------------------------------------

“คุณไม่เป็นอะไรแน่นะ”

เสียงแผ่วเบาถามหลังอังหลังมือกับหน้าผาก ธีรเดชรู้สึกเหนื่อย ตัวร้อนผ่าวราวกับมีไฟสุม

“ไม่...ผมกลัวว่าพวกมันจะตามทัน”

กิ่งไผ่ยิ้มหลังจากได้ยินน้ำเสียงกังวล

“มันจะไม่ตามเราสักระยะ คุณนอนพักผ่อนเถอะ แถวนี้ผมสำรวจมาปลอดภัยดี”

บอกด้วยรอยยิ้มละมุนตาที่นานครั้งจะเห็น กิ่งไผ่ลุกขึ้น หยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่ขึ้นดื่ม ธีรเดชกระหายน้ำขึ้นมาบ้าง เขามองลำคอเพรียวดื่มน้ำอย่างกระหาย

“จริงสิ... ตื่นมาคุณยังไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดเลย เดี๋ยวก่อนนะ”กิ่งไผ่ลุกขึ้น หยิบกระบอกไม้ไผ่อีกกระบอกจ่อเข้าปากแตกระแหง ธีรเดชดื่มน้ำอย่างกระหาย

“ผมเป็นตัวถ่วงคุณจริงๆ”ชายหนุ่มบ่น

กิ่งไผ่หัวเราะแผ่วเบา “ผมก็เคยเป็นตัวถ่วงคุณเหมือนกันแหละ”ร่างโปร่งว่า พลางหยิบกระบอกไม้ไผ่อีกกระบอกขึ้นมา ธีรเดชทำหน้านิ่วเมื่อได้กลิ่นฉุนเฉียว

“อะไรน่ะ?”

หนุ่มน้อยจากกองโจรกู้แผ่นดินไม่ตอบ ธีรเดชพยุงร่างตัวเองพิงต้นไม้

“มันเป็นยาน่ะ ลดไข้ได้ดี ยาลดไข้ที่คุณติดเป้มา ใช้หมดแล้วตอนผมป่วย”

จ่อปลายกระบอกเข้ากับริมฝีปาก ธีรเดชได้กลิ่นแทบผลักหนี มันฉุนเฉียวจนแทบสำลัก

“มันอาจจะกลิ่นไม่ดีหรือรสชาติขมฝาดเฝื่อน แต่ขอให้ทนดื่มเถอะนะ ไข้จะได้ลด”

กิ่งไผ่ปลอบ สายตาธีรเดช จับจ้องแผลที่มือของกิ่งไผ่

“คุณนี่ก็ห่วงแต่คนอื่นจริงๆเล้ย....ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”

กิ่งไผ่ว่า ก่อนยื่นกระบอกยาชิดริมฝีปาก ธีรเดชเบือนหน้าหนี กิ่งไผ่อ่อนอกอ่อนใจ

“คุณจะไม่ยอมดื่มจริงๆหรือ?”

เสียงของกิ่งไผ่ถามกังขา คิ้วขมวดมุ่นราวกับใช้ความคิดอย่างหนัก สักพักก็ยกยิ้มยั่วเย้าเหมือนคิดจะแกล้งคนป่วย ธีรเดชปฏิเสธเสียงแข็งเพราะไม่ไว้ใจ ยาหม้อของ“แพทย์จำเป็น” จู่ๆ “แพทย์จำเป็น”ยกกระบอกไม้ไผ่บรรจุยาขึ้นดื่มรวดเดียว นายทหารหนุ่มจากไทยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร มือบอบบางจับใบหน้าของเขาไว้นิ่ง ริมฝีปากบางแนบประกบ ธีรเดชเบือนหน้าหนีอย่างตกใจ หากมือบางก็ยึดศีรษะไว้แน่น จ่ายยาด้วยวิธี “พิเศษ” ยารสชาติขมจัดเหมือนมีรสหวานล้ำขึ้นมาทันใด ร่างสูงโปร่งถอนริมฝีปาก ก็ถูกมือหนารั้งศีรษะเอาไว้ คนรั้งไล้เล็มยาที่เปื้อนมุมปากของอีกฝ่ายและประทับรอยจุมพิตแนบแน่น กิ่งไผ่ตกใจที่ธีรเดชรุกเร้าต่อ มันเร็วไปจนกระทั่งเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทัน หวั่นไหวไปกับรสจูบอ่อนโยนแฝงความร้อนแรง ความปรารถนากลั่นจากส่วนลึก เมื่อปลายลิ้นอีกฝ่ายสอดลึกในโพรงปาก กระหวัดรัดเกี่ยว เซาะซอนไปทั่วโพรงปากอุ่นร้อน ลมหายใจหอบกระชั้น คนอวดเก่งก่อนเหมือนจะสูญเรี่ยวแรง มือพยายามขัดขืนกลับถูกตรึงไว้แน่นจนเจ็บ

“ธาร...”

ชื่อของใครบางคนลอดผ่านริมฝีปาก กิ่งไผ่จึงรั้งสติได้ทัน

“หยุด...”

เสียงเรียกอย่างอับจนปัญญา ธีรเดชแรกๆไม่ยอมฟัง พอรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขัดขืนจึงยอมปล่อยไปง่ายๆ พอถอนริมฝีปากออก กิ่งไผ่ตื่นตะลึงทันใด ไม่ต่างจากธีรเดช นายทหารหนุ่มเตรียมเอ่ยประโยคบางอย่างซึ่งมันทำให้กิ่งไผ่ต้องเอ่ยปากห้ามทันใด

“อย่าขอโทษ” กิ่งไผ่พูดราบเรียบ “....ว่าแต่รสยาจากปากของผมมันจะหวานเท่าปากของคนรักของคุณรึเปล่า?”

กิ่งไผ่เบือนหน้าหนี ริ้วแดงประดับใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตา จนเหมือนใบหน้านั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา ธีรเดชเหม่อมองภาพนั้นด้วยความตะลึงตะลาน เพราะไม่เหลือเค้าของนักฆ่าผู้เก่งกาจ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันเมื่อเผลอจูบอย่างห้ามใจไม่ไหว ....ภาพนี้เขาเคยเห็นที่ไหนสักที ใช่ตอนพบกันครั้งแรก ริมฝีปากเย็นชืดแนบประกบก่อนทุกอย่างจะลบเลือนไป

“ผมสมควรจะขอโทษคุณอยู่ดีที่....”

มองเสี้ยวหน้าภายในแสงสว่างจัดจ้า กิ่งไผ่กลับลุกขึ้นราวกับทนฟังไม่ได้ นายทหารหนุ่มจากไทยรู้ตัวว่าทำผิดท่าไป

“ช่างมัน...ผมไม่ถือ…”

กิ่งไผ่พูดเสียงเบา ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าสวย กังขากับคำว่า "ไม่ถือ" ชักแปลกใจว่าอีกฝ่ายจะผ่านอะไรมาบ้าง แค่คิดก็นึกโกรธและนึกรังเกียจในเวลาเดียวกัน ฝ่ายคนเก่งกลับทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย กลัว....ความสัมพันธ์ใกล้ชิดอีกขั้นหนึ่ง เกรง...อีกฝ่ายรังเกียจตัวเอง เฝ้าหลบดวงตาจ้องเขม็งตลอดเวลา

“คุณทำแบบนี้บ่อยเหรอ?”

คำพูดของธีรเดชแฝงรอยประหลาดใจ กิ่งไผ่คล้ายถูกน้ำเย็นสาดใส่ ทั่วร่างสะท้าน...ดวงตาคู่สวยระยิบพราวเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจเอ่อล้นกับคำพูดเอ่ยราวกับประชดประชัน ธีรเดชมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าก่อนความเย็นชาจะปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง....

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 17-10-2008 21:10:51
คู่ภาณุกำลังจะลงตัวชิมิ

ส่วนคู่ธีรเดช มันแค่เริ่มต้นชิมิ

ปล. กว่าจะมาลงนะ น้องกระดาน  นึกว่าโดนเอาไปโต้คลื่นที่ไหนซะแล้ววววว :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-10-2008 00:04:55
งานนี้สงสารทั้งหมอธาร ทั้งกิ่งไผ่

เหมือนว่าทั้งภานุและธี จะยังบื้อๆอยู่เฮ้อออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 18-10-2008 22:51:29
ทั้งภาณุทั้งธีรเดชเนี่ย น่าจับมาตีทั้งคู่ เฮ้อ ภาณุก็อะไรกันแน่หัดแสดงความรักบ้าง แสดงออกมาบ้าง แต่ก็อย่างว่านะทหาร
ห็คงจะเเข็งๆไปบ้าง แต่คราวนี้ไปนอนกัยคนอื่นหรือเปล่าเนี่ย สงสารหมอธารออก ธีรเดชก็นะ พูดไม่คิด เซ็ง ไม่รู้คนแต่ง
เครียดอะไรมาลงกับนิยายปะค๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 19-10-2008 14:08:42
มันขมๆ ทั้ง 2 คู่เลยนี่นา

โอยยย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 19-10-2008 17:04:09
เห็นด้วยกะรีบน ๆ ทุกคนเล๊ยยยยย...
หงุดหงิดกะผู้กองภาณุ...พาเค้ามาแล้วออกไปหาผู้หญิงเนี่ยนะ  :o
ธีรเดชอีกคนกะลังไปได้สวยยยย เรียกชื่อออกมาไมมม เซ็งงงง
มาต่อเร็ว ๆ นะจ๊ะมูมู่ฉุดฉวยยยยย  :m13:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-10-2008 19:21:11
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 15 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part 2]

(Under The Rose สำนวนภาษาอังกฤษแปลว่า เก็บไว้ให้เป็นความลับ)

ต้นธาราไม่เข้าใจบางการกระทำที่คลุมเครือ ต้นธาราซบหน้ากับมือบาง สับสนในหัวใจ เงาบางๆของความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” กัดกินหัวใจของ ต้นธาราลุกขึ้นออกไปข้างนอก ขอบฟ้าประดับด้วยแสงดาวระยับตา เพียงใจที่มอบให้...เขา “แลก” กับหนึ่งความฝันที่เป็นสุข... รู้ดีว่ามันไม่คุ้มก็ยังดึงดันคิดที่จะทำ...ผลตอบแทนที่เอาชีวิตเข้าแลก....เขาจะได้ “รัก” แท้จริงของผู้ชายคนนั้นไหม? ต้นธาราเดินโซเซหายไปในห้องน้ำ เงากระจกสะท้อนใบหน้าของผู้แพ้พ่าย อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเริ่มเช้าวันใหม่ คุณหมอกลับไปนอนเช่นเดิม สุดท้ายได้แต่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงจนจมลึกในห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัว

------------------------------------------------

กรุ่นกลิ่นกาแฟหอมเย้ายวน ปลุกผู้ตกในห้วงนิทราตื่นจากการหลับใหล ต้นธาราลุกพรวดมองนาฬิกาอย่างใจหาย ภาพแรกที่ได้เห็นคือภาพของผู้กองภานุเอนหลังเอกเขนกพิงโซฟาจิบกาแฟพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ขาพาดกับเก้าอี้ สายตาสีน้ำตาไล้สำรวจชายหนุ่ม เสื้อผ้าของชายหนุ่มยังติดกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นบุหรี่ กลิ่นของมันอวลจางๆในอากาศ คุณหมอเงียบงันไป คอยดูว่าภานุจะกล่าวเช่นไร ผู้กองหนุ่มยังมีทีท่าสบายใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อสิ่งรอบกาย ต้นธาราไม่รู้ว่าตัวเองหวังอะไรกันแน่ ...เสียงกระซิบรักแผ่วละมุน.... ซ่อนท่าทีเฉยชาเอาไว้หรือ... ใยเสน่หาเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขายึดไว้ตอนนี้... ค่าของเขาถูกทำลายอย่างไม่ไยดี!

“เป็นอะไร? หน้าตาดูซีดๆ”

ทันทีที่ผู้กองภานุทักขึ้นด้วยเสียงห้วนสั้น ต้นธาราจับผ้าม่านเปิดรับแสงสว่างหันมา ดวงตาคมหรี่มอง มือข้างหนึ่งของต้นธารากำม่านแน่น

“นอนไม่พอ”ต้นธาราบอก

ภานุเพียงผงกศีรษะ ดื่มกาแฟจนหมดแก้วลุกขึ้นมาชงแก้วใหม่ตั้งไว้เคียงกัน

“ดื่มได้ไหม?”

คุณหมอรุ้ว่าภานุต้องเข้าใจในนัยยะของประโยค ต้นธารายิ้มขอบคุณ สายตาของชายหนุ่มจับจ้องร่างโปร่งจัดการล้างหน้าล้างตาก่อนนั่งเคียงกัน ท่าทีของผู้กองกลับเคร่งเครียด นิ้วเรียวเกี่ยวหูถ้วยกาแฟสูดกลิ่นขมๆปนกับกลิ่นหอม นี่กระมังที่เขาเรียกว่ารสของความรัก... หอมหวาน...ขื่นขม... จะหักใจเพียงใดก็ยังจมอยู่ในวังวนนี้จนมิอาจตัดขาด ภานุเห็นคุณหมอถือแก้วค้างนานเกินไปแตะแก้วซีดเบาๆจนฝ่ายร่างโปร่งสะดุ้ง ทำแก้วหล่นทันที ภานุรับไว้ทัน หากน้ำร้อนลวกมือและต้นขาของผู้กองหนุ่ม เสียงร้องลั่นด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน ต้นธาราดึงร่างหนาหนักขึ้น จ่อมือเข้ากับสายน้ำเย็นยะเยือก สายน้ำรินไหลผ่านมือหนา สายตาสีน้ำตาลจ้องมองแววตาคมกล้าราวกับมีสิ่งใดปิดกั้น ภานุเบนสายตาจับจ้องละอองน้ำสาดกระเซ็นแทน

“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่”

ต้นธาราเริ่มต้น จับจ้องภานุตรงๆ สีหน้าของนายทหารหนุ่มกระดากกระเดื่องใจ คุณหมอจับมือของผู้กองหนุ่มไว้แน่น สายตาคู่นั้นขอร้องขอคำตอบที่ชัดเจน ภานุปิดปากเงียบกริบ ต้นธาราเอ่ยเรื่อยๆเรียบๆ...เก็บน้ำเสียงน้อยใจไว้

“การกระทำของคุณ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเป็นความรักตรงไหน สิ่งที่คุณทำมันเป็นเพียงความพอใจหรืออย่างไร คุณบอกรักผมมันคงเป็นการล้อเล่นอย่างหนึ่งของคุณสินะ?”

ใบหน้าของภานุเผือดลง ต้นธาราคิดในใจไว้แล้วไม่ผิด การกระทำของผู้กองก็เป็นสิ่งลวงตาลวงใจให้หลงใหลฝันใฝ่

“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณอย่าปิดปังอะไรกันเลย ผมคงไม่อาจทานทนได้หรอก”

ต้นธาราพูดด้วยสายตารวดร้าว ภานุชักมือออกจากอุ้งมือ


“ผมหรือคุณกันแน่ที่ปกปิด?...”นายทหารหนุ่มกล่าว คราวนี้สบดวงตาสีน้ำตาลตรงๆ

“ความรักของผมคุณอาจไม่เชื่อมั่นว่ามันเป็นจริง เพราะสิ่งที่ผมทำไว้กับคุณสร้างบาดแผลลึกลงในใจ ต่อให้ผมบอกรักคุณมากขนาดไหน หากความเชื่อใจของเราเท่ากับระดับศูนย์ ต่างฝ่ายต่างเจ็บ จริงๆแล้วผมอยากให้เราทั้งคู่เข้าใจกัน”

ต้นธาราทรุดนั่งข้างเตียงหากภานุฉุดลุกขึ้นไปนั่งยังโซฟาแทน

“ที่ผ่านมา...คุณต่างหากล่ะที่คลุมเครือมาโดยตลอด”คุณหมอเอ่ย หากมือหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นๆประคบผิวหนังบวมแดงของผู้กองหนุ่ม ใจเย็นรับฟังเหตุผลที่มี

“เพราะอะไรถึงพาผมมาที่นี่?”

ต้นธาราคุกคามผิดกับมืออันแสนอ่อนโยน ภานุถอนใจหากในที่สุดจำต้องเล่า

“การที่ผมพาคุณมายังที่นี่เพราะหนึ่ง ผมจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณ สองคือมีคำสั่งด่วนเรียกตัวกลับค่าย นายพลอรุณได้รับข่าวว่าพบร่องรอยของร้อยเอกธีรเดช เรื่องนี้จำต้องปิดเป็นความลับ เมื่อคืนผมออกไปพบกับลูกทีมหน่วยลาดตะเวนของผม”

ท่าทีของชายหนุ่มตอนสารภาพความจริงช่างดูขัดๆเขินๆ คนที่ปากแข็ง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ตอนนี้กลับตะกุกตะกัก ต้นธาราก้มหน้านิ่ง...ที่ผ่านมาเขาเข้าใจผิดสินะ? ต้นธาราไม่เก็บเรื่องความเข้าใจผิดมาคิดอีกเมื่อได้ยินว่าพบร่องรอยของธีรเดชแล้ว

“ออกไปพบหมายความว่า...พบธีแล้วหรือ? จริงหรือครับ?”

ต้นธาราถามละลักละล่ำด้วยความดีใจ ภานุรู้สึกหึงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นคนรักแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า ละความสนใจต่อเขาโดยสิ้นเชิง...รู้ว่าร้อยเอกธีรเดชนั้นเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกับต้นธารามาก่อนแต่ทั้งที่รู้มันก็อดไม่ได้ที่มีความคิดหึงหวง

“ร้อยเอกธีรเดชน่าจะมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก”ท่าทีแข็งขึงเคร่งเครียด ยอมเล่ารายละเอียดให้ฟังส่วนหนึ่ง

“แล้ว...เอ่อ...พวกจ่าแม้นกับผู้กองรังสรรค์แล้วก็หมวดอานุภาพสบายดี?”ต้นธาราถามคนเคยชิดใกล้อย่างเป็นห่วง

“เมื่อคืนผมตั้งวงก๊งเหล้า ดูท่าทางไม่เจ็บไม่ไข้อะไร”

ชายหนุ่มตอบอย่างขวานผ่าซากตามนิสัย ต้นธาราโล่งใจเพราะตัวเองห่างไปนานเลยไม่รู้สภาพความเป็นอยู่ของของเหล่าทหารที่ไปลาดตะเวนชายแดนเป็นเช่นไรบ้าง

“หมอมาริสากับท่านพันเอกมีทรัพย์ล่ะครับ ยังประจำการอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?”

ภานุกอดอก หยิบบุหรี่มาสูบพ่นควันขาวลอยฉุย

“ยังไม่ถึงคราวปลดเกษียณ...แล้วคุณหมอมาริสาก็ยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นด้วย”

เอ่ยถึงคนเก่าๆ ต้นธาราตัวเบาโหวงเพราะครั้งหนึ่งชีวิตที่หลงรักชายปากร้ายของตัวเองเริ่มที่นั่น อาชีพแพทย์อาสาเริ่มขึ้นที่นั่นเช่นกันพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่คิดว่าคงรับไม่ไหวแน่ ...จนตัวเองก็คิดไม่ถึงว่า สามารถทนแบกรับมันได้เพราะแค่ “รัก”คนๆหนึ่งจนสุดหัวใจ

“ดีจังเลยครับ”น้ำเสียงต้นธาราเบาหวิวเมื่อคิดถึงผู้กองนาคีขึ้นมาจับใจ...รอยอดีตที่น่าเจ็บปวดนั่นมันไม่สามารถล้างออกง่ายๆหรอก

“ผมพาคุณมาทำบุญให้เจ้านาคีด้วย”

ภานุวางบุหรี่ติดไฟแดงวาบลงในที่เขี่ยบุหรี่ ท่าทีของชายหนุ่มดูอึดอัดมากยิ่งขึ้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เพื่อนก็รัก ‘คุณหมอ’ผู้มอบหัวใจให้เขาทั้งหมด ‘หัวใจ’ที่ไม่เคยเหลือบแลเจ้านาคีแม้แต่น้อย รู้ว่า ‘มัน’รัก‘คุณหมอ’ และ ‘มัน’ก็รู้ว่า‘คุณหมอ’ไม่มีแม้สักเสี้ยวใจจะเหลือบมอง แม้ว่าจะเจ็บก็ยังฝืนรัก ‘รัก’ยิ่งกว่า ‘เขา’ รัก เขาจึงถอยฉากเงียบๆ

ต้นธาราได้ยินชื่อของผู้กองนาคี รูปแห่งความทรงจำผุดเข้ามาในใจ จำได้ว่าภานุเคยบอกกล่าวว่าผู้กองนาคีรักเขา ...มันวาบลึกในจิตใจ เพราะครั้งหนึ่งต้นธาราคิดว่าหัวใจของเขาเป็นของผู้กองนาคีก็คงจะดี...ใช่...มันคงจะดีที่ความรักไม่ต้องเฝ้าปรารถนาวิงวอนให้มาแลเหลียว ใบหน้าขาวซีดก้มลงมองพื้นก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาบาง

“ตอนคุณออกไปลาดตะเวน พ่อผมพาไปบ้านของผู้กองนาคี”

ต้นธารานึกเสียดายที่ไม่ได้หยิบไดอารีเล่มนั้นมา ภานุยืนพิงพนังห้องเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ผมไม่ค่อยสบายใจและกังวลที่ผู้กองนาคีตายเพราะผม ทั้งๆที่ผมนั้นน่าจะเชื่อฟังคำสั่ง กลับดึงดันช่วยเหลือฝ่ายที่ฆ่าผู้กองนาคี พอคุณรู้ว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้กองตายแล้วจงเกลียดจงชังผม คนที่คุณเห็นคือคนที่ผมช่วยรักษาเขา เขาอยากมาตอบแทน เขาเสียใจที่คนของเขาสังหารผู้กองนาคี ผมเชื่อเขาว่าต้องเสียใจจริงๆที่ทำให้ผู้กองนาคีตาย”

ต้นธาราเล่าน้ำเสียงเรื่อยๆเรียบๆพลันปรากฏความหวาดหวั่นราวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน

“ก่อนเขาจะไปเขาบอกแค่ชื่อว่า ‘กิ่งไผ่’ ”

“กิ่งไผ่รึ....”

ชายหนุ่มทวนชื่อนั่นเบาๆ มองแววตาขลาดกลัวและร่างกายตึงเครียด ชายหนุ่มเดินชิดใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่ปนกับกลิ่นกายแข็งแกร่ง วางมือทาบต้นคอช้าๆจนต้นธาราสะดุ้ง เกร็งตัวทันที คิดว่ามือใหญ่คู่นั้นคอยทำร้ายอีก หลับตาแน่น

“อย่า...”

ปฏิกิริยาต่อต้านโดนอัตโนมัติ ภานุตกใจ คิดถอนมือออก แต่ก็วางมือสัมผัสต้นคอ นวดท้ายทอยให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย ต้นธาราเปิดดวงตาชุ่มฉ่ำขึ้นมองใบหน้าชิดใกล้เพียงแค่คืบ ภานุนั่งอยู่บนพนักวางแขนโซฟาฝ่ามือหนานวดลำคอจนต้นธาราผ่อนคลายยอมปล่อยมือปัดป้องคล้ายกับปกป้องตัวเอง พอลำแขนปล่อยตกข้างตัว คุณหมอเอนหน้าซบกับอกแกร่ง ภานุกลับดันขึ้นขึ้นเชยชมความเศร้าโศก สวยงามภายใต้แสงอาทิตย์สาดลอด หน้าผากของทั้งคู่แนบชิดกัน ดวงตาของภานุเปี่ยมลึกด้วยความต้องการชัด จนผู้ที่ถูกสายตาคู่นั้นมองจนสะท้านรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

“เท่ากับว่าผมทรยศเพื่อนเหมือนกัน”

ชำเลืองสายตามองท้องฟ้าสดใส มือนวดคอเลื่อนเกี่ยวกุมเอวบาง ต้นธาราสงบอาการสั่นไหว ริมฝีปากอุ่นๆประทับลงซอกคอ ภานุปิดเปลือกตาลงเจ็บปวดกับการกระทำที่ผ่านมา ไออุ่นจากกายซ่าบซ่านราวกับว่าวลอยตามกระแสลม

“จริงๆแล้วผมหวังให้คุณรักนาคีมากกว่า แทนที่จะมอบความรักของคุณให้คนอย่างผม”

ต้นธาราจุมพิตข้างแก้มสาก หลังจากตัดสินใจมานานว่าควรทำเช่นไรดี ต่างฝ่ายต่างมีบาดแผลซึ่งยากจะรักษา ลืมเลือนมันไปก็ไม่ได้ ยามแนบริมฝีปากเอาชืดประทับบนผิว ต้นธาราตัดขาดจากทุกสิ่งแม้กระทั่งความเศร้าโศก ไม่อยากให้เรื่องมันลงเอยด้วยคำว่าเข้าใจผิดอีกแล้ว ขอตอนนี้ให้มีความสุขที่สุด ที่ผ่านมาเขาทุ่มเทให้กับสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวทั้งๆที่รู้ว่าไม่อาจได้สิ่งที่ฝัน ยามถอนริมฝีปากออก หลอมละลายด้วยความร้อนจากริมฝีปาก สั่นสะท้านในหัวใจอันแกร่งกล้า ต้นธารายึดศีรษะชายหนุ่มไว้แนบอก ปลอบประโลมซึ่งกันและกัน เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ภานุสะดุ้งเอื้อมหยิบมาดูเบอร์ ต้นธาราปล่อยร่างสูง สีแดงระเรื่อเคลือบใบหน้าไว้ เมื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป


“ครับ...ผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละครับท่านนายพล ...อ้อ....เรื่องของธารกับผมเราเข้าใจกันดีขอบคุณนะครับที่ช่วยอธิบายให้กับท่านนายพลพิภพฟัง ส่วนเรื่องของผู้กองธีรเดช ผมได้รับรายงานเรียบร้อยแล้ว... ”

ภานุช่างเป็นผู้ชายที่เด็ดเดี่ยว ท่าทีอ่อนแอเมื่อครู่เลือนหาย คนที่คู่ควรกับชายหนุ่มได้ต้องเข็มแข็ง คิดถึงเรื่องของแม่และพ่อ นับตั้งแต่รู้ความเขาก็เห็นพ่ออออกเดินทางบ่อย แม่เฝ้ามองแผ่นหลังของคู่ชีวิตเดินออกจากบ้านทำงานห่างบ้านห่างเมือง บางทีแม่ก็เหงา หากท่านเข้มแข็ง เคยเห็นน้ำตาของแม่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนที่ท่านป่วย มันเป็นเหตุให้เขาไม่ถูกโรคกับบิดาสักเท่าไร ไม่เข้าใจว่างานสำคัญกว่าชีวิตของคนรักมากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะความชิงชังในอาชีพของบิดา เขานึกไม่ชอบใจในอาชีพบิดาทันทีจึงเลือกเรียนแพทย์แทนที่จะเข้าโรงเรียนทหารตามบิดา พอได้รู้สึกและประสบกับตัวเองก็ได้รู้ว่าการเป็นภรรยาของทหารจำต้องอดทนถึงเพียงไหน สายตาสีน้ำตาลมองนายทหารหนุ่มด้วยสายตาเจือรักใคร่ และเขาก็จะพยายามมากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยๆความสุขเขาก็ทำได้เพียงแค่นี้ พอชายหนุ่มวางสายหันมาทางร่างโปร่งซึ่งนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น

“ธาร...วันพรุ่งนี้จ่าแม้นจะมารับเรากลับค่ายนะ”

ชายหนุ่มบอกสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ต้นธารายิ้มปลอบ

“คุณไม่เป็นอะไรนะ? ดูเหนื่อยๆเหลือเกิน เรื่องของผู้กองธีหนักมากเลยหรือ”

ลองเลียบเคียงถาม ภานุเงียบงันผิดปกติ

“ผมบอกไม่ได้ ขอโทษด้วย”

ต้นธาราผงกศีรษะ เข้าใจว่าเป็นความลับทางราชการ ต้นธาราจึงนิ่งเงียบ ฝ่ายภานุหยิบผ้าหล่นอยู่บนพื้นมาประคบแผลต่อ

“มันเย็นแล้วไม่ได้ผลหรอก ยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอีกไหม”

ภานุส่ายหน้า วางผ้าไว้บนโต๊ะซึ่งต้นธาราเป็นฝ่ายเก็บ

“อยู่แต่ในห้องทั้งวันคงเบื่อแย่ ออกไปเดินเล่นกันไหม?”

ฝ่ายภานุหันมาทางคุณหมอซึ่งนั่งแช่อยู่บนโซฟา ต้นธาราตกใจกับคำชวนสุดท้ายก็ยอมรับ ภานุไล่ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ไม่ช้าไม่นานนักต้นธาราเดินออกมายิ้มเจื่อนๆให้กับคนก้มลงเก็บกระเป๋า

“เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้”

ชายหนุ่มหยิบสายนาฬิกาคาดบนข้อมือ คราวนี้คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยได้แต่แกร่วรอให้อีกฝ่ายจัดของเสร็จ ต้นธาราทรุดนั่งบนโซฟาเช็ดผมให้แห้งโดยไม่ระวังสาบเสื้อคลุมอาบน้ำเปิดอ้า คุณหมอวางผ้าเช็ดผมลง รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าภานุจ้องตนเองเขม็ง แรกๆก็แปลกใจแต่พอเห็นสาบเสื้อเผยให้เห็นแผ่นอกขาว ใบหน้าแดงขึ้นมาทันใด ต้นธารารีบยืดตัวขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเสแสร้งเช็ดผม หลบสายตาสื่ออย่างมีความหมาย

“เก็บเสร็จแล้วเหรอ”

เมื่อถูกทักภานุสะดุ้ง ชายหนุ่มสนใจกับงานตรงหน้า ฝ่ายต้นธาราจึงแอบย่องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแทน จู่ๆก็รู้สึกเขินขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ พอแต่งตัวเสร็จ ภานุก็เก็บของเรียบร้อย ต้นธาราทำไม้ทำมือบอกสัญญาณว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มเข้ามาฉวยมือทันใด เดินเคียงคู่กันทั้งๆที่มือกำแน่น ต้นธารามองหน้า ชายหนุ่มกลับทำเป็นเฉยเสีย มือบางชุ่มด้วยเหงื่อ ภานุไม่ยอมปล่อยมือแม้จะเดินออกจากห้องมาแล้ว

“ผมอยากบอกคนอื่นว่าคุณคือคนรักของผม หากไม่ยอมรับ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะกล้าเผชิญกับอนาคตไหม แต่ถ้าคุณไม่พอใจผมก็จะปล่อย”

ต้นธารานิ่งเงียบไป

“ไม่ใช่ว่าผมกลัวนะ สำหรับผมแล้วไม่เป็นไรหรอก แต่อาชีพของคุณละจะเป็นเช่นไร”

ดวงตาคมกล้าทอดมองด้วยความสิเน่หา ส่งผลให้คนถูกมองใจเต้นแรง

“อาชีพผมต้องใช้ทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีก็จริงแต่เพื่อคุณแล้วผมยอมได้ทุกอย่าง”

ต้นธาราถอนมือออกอย่างสุภาพ ยิ้มขอบคุณ

“คุณไม่ต้องถึงขนาดเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงกับเรื่องของผมหรอก คุณให้ผมถึงขนาดนี้...ผมจะไม่ลืมเลย...”ต้นธารากระซิบแผ่วตอนท้าย

รอยยิ้มของต้นธารางดงาม ก้าวแต่ละก้าวเคียงกันไปจนสุดทางแห่งความฝัน หัวเราะเจือความสุข ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากคลี่ยิ้มอิ่มเอิบสลักอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ...
To My Secret Love….When I look at You First I Feel blinded …’Cause Your Love Blinded Me....
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-10-2008 19:23:29
พอกลับมาที่ห้องพัก ความสุขที่เอ่อล้นในหัวใจเหมือนช่วยยึดเปลวไฟชีวิตที่กำลังมอดดับให้มันลุกโชติช่วงอีกครั้ง มีทั้งความสุขและร่าเริง เสียงหัวเราะยิ่งสดใสเมื่อฟังภานุเล่าเรื่องตลกๆหลังทานอาหารเย็น ต้นธาราเป็นฝ่ายมองเสียมากกว่าที่จะกินอาหาร เขาแทบจะไม่แตะเสียด้วยซ้ำ คนที่กินเยอะที่สุดคือผู้กองปากร้าย ชายหนุ่มดื่มเหล้าพอให้เมาได้ที่ ให้ต้นธาราพยุงกลับห้อง แรกๆคุณหมอบ่ายเบี่ยงเพราะรู้ทันว่าผู้กองแกล้งทำ ร่างสูงกลับโอนเอียงแทบจะซบบ่าเล็ก ต้นธาราได้แต่ถอนใจลากคนแกล้งเมากลับเข้าห้องทั้งเขินทั้งอายที่มือหนากอดเอวไปตลอด ถึงห้อง คนแกล้งเมากลับดันชิดติดผนัง ก้มมองใบหน้าขาวสะอาดเอาแต่ก้มมองพื้นคล้ายกังวลใจตลอดเวลา ชายหนุ่มสังเกตสักพักก่อนก้มลงปิดปากอิ่ม เมื่อรู้สึกว่าต้นธาราขัดขืนชายหนุ่มจึงหยุดการกระทำนั่นเสีย

“ผ...ผมขอตัว...”

ต้นธาราหลีกเลี่ยงซึ่งภานุก็ไม่ว่าอะไรนอกจากเสยผมด้วยใจที่หงุดหงิดเพียงเล็กน้อย สงบอารมณ์สักพักชายหนุ่มเป็นฝ่ายคว้าผ้าเช็ดตัว อาบน้ำเสร็จล้มตัวนอนทันที ต้นธาราจึงโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง แม้อยากให้คนรักสัมผัสแต่ว่าก็ยังกลัว ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเช่นไร คุณหมอหยุดคิด รีบอาบน้ำแล้วนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงตัวเอง ด้วยความอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันทำให้หลับลึกอย่างง่ายดาย แม้จะรู้สึกว่าตัวลอยเบาโหวงเมื่อหลับลึก รู้สึกหนักพิกลก็เกือบเช้า ผู้กองหนุ่มลากมานอนข้างเคียง กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ขดตัวหนีหนาวภายใต้ผ้าห่มเพียงผืนเดียว

ต้นธาราถอนใจเมื่อเสียท่า คิดขยับหนีมือหนาก็อยู่ไม่สุขทุกทีไต่ตามแผ่นอกไปทั่ว สัมผัสเบาๆตามจุดต้องห้ามจนต้นธาราสะดุ้งโหยง เสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักแผดเสียงดังลั่น คุณหมอพยายามลุกขึ้นไปรับแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะจะถูกดึงตัวมาเป็นหมอนข้างเสียทุกที พยายามหลายครั้ง โทรศัพท์ดังหลายหน ครั้งสุดท้ายต้นธาราถึงขนาดล้มทับตัวคนแกล้งหลับเลยทีเดียว นึกเจ็บใจที่ข้อศอกกระแทกเข้าที่ท้องแทนที่จะเป็นดั้งจมูก หวังจะแก้แค้นเล็กๆสักหน่อยก็ยังดี เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะที่ผู้กองดึงตัวต้นธาราเอาไว้ ฝ่ายคุณหมอขืนตัวจนสำเร็จ ลุกขึ้นไปดูว่าใครมาเยี่ยม ภานุเริ่มหัวเสีย โพลงว่าใครมาด้วยความหงุดหงิด

“อ้าว คุณหมอ”

จ่าแม้นโผล่หน้าเข้ามาในห้องเห็นร่างใหญ่นอนเกลือกกลิ้งบนพื้น ต้นธารายิ้มแหยๆลืมสำรวจตัวเองว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ กระดุมหลุดมาเม็ดหนึ่ง คุณหมอทำหน้ากระอักกระอ่วนใจทันที

“ผู้กองนอนละเมอรึไงครับคุณหมอ”จ่าแม้นแซว

“จ่าหายแล้วหรือครับ”ต้นธารารีบเปลี่ยนเรื่องพูด

จ่าแม้นผงกหัวทั้งยังเบ่งกล้ามอวด

“ผู้กองตื่นได้แล้วครับ ผมมารับผู้กองครับ โทรมาตั้งหลายทีไม่เห็นรับเลยขึ้นมาเองซะเลย”

จ่าแม้นว่าด้วยรอยยิ้ม ผิดกับผู้กองที่หัวเสีย ตัวจ่าแม้นเองก็ไม่เข้าใจว่าผู้กองหัวเสียเรื่องอะไร นอกจากต้นธาราเพียงคนเดียว คุณหมอช่วยจ่าแม้นยกของหากภานุกันไว้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เตรียมพร้อมออกจากโรงแรม

“ผมตกใจแทบแย่แน่ะครับที่คุณหมอมาด้วย เห็นไปรักษาโรคอะไรไม่ใช่รึครับ หายแล้วรึครับ”

จ่าแม้นชวนคุย ต้นธารายิ้มให้แก

“ยังหรอก แค่มาเที่ยว”

ต้นธาราตอบสั้นๆก่อนแยกขึ้นรถ ภานุไม่พูดไม่จาอะไรขณะขับตามจ่าแม้น จนไปถึงค่าย ทุกคนเห็นหน้าคุณหมอต่างดีใจโดยเฉพาะคุณหมอมาริสา

“ไม่คิดว่าหมอธารจะกลับมา สาห่วงแทบแย่”หญิงสาวชวนคุย

ต้นธาราเก็บข้าวของไปอยู่ ณ เรือนพักเดิม ฝ่ายภานุไปติดต่อกับผู้บังคับบัญชา

“อาการป่วยไข้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ”

“ก็ดีขึ้นมาแล้ว คุณหมอมาริสาอยู่ค่ายนี้งานยุ่งไหมครับตอนนี้”

มาริสาหัวเราะร่วน เธอแจ่มใสอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน

“ไม่ค่ะ ไม่ยุ่งเท่าไร แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงมีงานตรวจ ค่อยคุยกันนะคะ”

คุณหมอมาริสาลงจากเรือนพักหลังเดิมที่ผู้พันมีทรัพย์เป็นฝ่ายแจ้งความจำนงให้ต้นธาราเข้าพัก

“อ้าว...ผู้กองมาหาคุณหมอธารหรือคะ อยู่ในห้องโน่นแน่ะ”

ต้นธาราได้ยินเสียงแว่วๆ พอดีร่างสูงโผล่หน้าเข้ามาในห้อง

“คืนนี้นอนที่นี่?”

จู่ๆก็ถามขึ้นต้นธารางุนงงก่อนผงกหัวตอบ ภานุทำหน้าคิดหนัก ดวงตาวาวราวกับไม่พอใจบางอย่าง

“ไปกับผม”

คำชวนแกมคำสั่ง ต้นธาราคิดคัดค้านแต่ปากเจ้ากรรมดันพูดไม่ออก ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องเมื่อคืนและเมื่อเช้า มันช่างวาบหวามกินใจยิ่งนักจนต้นธาราต้องลุกขึ้นราวกับต้องมนตร์ ภานุไม่คาดคิดว่าหมอจะยอมทำตามง่ายๆ แรกๆมองอย่างแปลกใจ สุดท้ายยอมเดินคู่กันไปยังกระท่อมซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้าน


“โทษที ไม่อยู่นานเลยสกปรกไปหน่อย”

ชายหนุ่มปัดกวาดเช็ดถูชานบ้าน ต้นธารานั่งลงมองตัวกระท่อมที่เกิดเหตุการณ์หลากหลาย เขาถูกกอดที่นี่เป็นครั้งแรก เริ่มความรักที่ยาวนานและเจ็บจนบอบช้ำทั้งกายและใจ

“ธารจะอยู่กับผมไหม?”

คำถามชายหนุ่มจริงจัง กับคนเอาแต่ใจหากปฏิเสธจะเป็นเช่นไร? ต้นธาราถามตัวเอง ดวงตาของภานุจริงจังอยากได้คำตอบที่ชัดเจน ราวกับกำลังหวาดหวั่นต่อบางสิ่ง บางอย่างที่ภานุไม่อาจแก้ไขและสูญเสียไปตลอดกาล ต้นธาราผงกศีรษะแทนคำตอบ ภานุจึงดึงร่างคุณหมอกอดเบาๆไม่ล่วงเกินไปมากกว่านั้น ต้นธาราลูบแก้มสาก สัมผัสอีกครั้งราวกับโหยหา นายทหารหนุ่มกอดรัดร่างบางแรงขึ้น จนไม่อาจกักเก็บความต้องการได้ สิเน่หายิ่งเต็มตื้นเมื่อได้สัมผัสอีกฝ่าย ไฟรักพัดโหมกระหน่ำ เฉกเช่นหยดน้ำฝนพร่างพรมกระทบยอดหญ้า รุนแรง แผ่วเบา จนลุกไหม้ไปทั้งกายและใจ เมื่อสุขสมอิ่มเอมนอนกอดกันสภาพเปลือยเปล่าเงียบๆ ดวงตาจับจ้องยังแผ่นฟ้า ดาวรอบผืนนภาเปล่งประกายสุกใสดุจโรยเกล็ดเงินไปบนผ้ากำมะหยีสีดำสนิท

“แสงดาวเหล่านั้นมันคงไม่ดับลงใช่ไหม?”

ต้นธาราเอ่ยถามเสียงแผ่ว ภานุกอดกระชับราวกับสัมผัสได้ว่าภายในจิตใจของผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดเป็นเช่นไร

“คุณเป็นแสงดาวที่จะส่องสว่างตลอด แม้ในคืนที่ฟ้ามืดมิดผมยังมองเห็นคุณเปล่งแสง ตอนที่ผมไปลาดตะเวนแล้วถูกล้อม ผมหวั่นใจเหลือเกินที่จะพลัดพรากจากแสงดาวดวงนั้น มือผมเอื้อมคว้าไม่ถึงหรอก”

แม้ไม่อาจมองเห็นแววตารู้ได้ทันทีว่าภานุคงกลัวจริงๆ ต้นธาราง่วงงุนเสียแล้วเมื่อเสียงของชายหนุ่มลอยเข้าหู

“คุณคงไม่หายไปไหนใช่ไหม อย่าหายไปเลย ผมกลัวว่าจะตามหาคุณไม่เจอ....ถ้าคุณจะหายไปภายใต้ดวงดาวนับล้านบนนั้น”เสียงแผ่วเบา

ต้นธาราหลับไวกว่าปกติ ชายหนุ่มลูบเรือนผมนุ่ม อุ้มไปในบ้านเพราะยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งแรง กอดทนุถนอมยิ่งกว่ากระเบื้องชั้นดี ดาวดวงนี้ร่วงหล่นสู่ผืนดินเขาก็จะคว้าให้มั่น และเก็บดาวดวงนั้นไว้ในอ้อมกอดดิน

ภานุตื่นขึ้นมาบอกดูดาวที่คว้าไว้จะเลือนหายไปกับแสงอาทิตย์หรือเปล่า หากยังคงอยู่ ดวงตาหลับพริ้ม ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ทอดกายไร้เรี่ยวแรงจนห้ามใจไม่ไหว ชายหนุ่มพยายามอดทนที่ไม่ทำรุนแรงมาก แต่เห็นแล้วก็ทานทนไม่ได้จูบดูดกลืนริมฝีปากเรียวเบาๆ พอได้สัมผัสกลับมิอาจห้ามใจ ต้นธาราเพียงครางเบาๆ นอนสิ้นแรงดูน่ารักน่าใคร่

“ผู้กองครับ...ผู้กอง...มีข่าวด่วนครับ เรียกให้ผู้กองไปประชุม”

เสียงจ่าแม้นโหวกเหวกภานุชะงัก อารมณ์ใคร่เลือนหาย ‘ข่าวด่วน’ ทำให้ผู้กองหนุ่มละจากร่างบาง เปิดประตูชะเง้อหน้าออกมานอกบ้าน จ่าแม้นเห็นแววตาไม่ผิดไปกับเมื่อวานรู้แล้วว่าคงมากวนเวลาส่วนตัวแน่ๆ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายหงุดหงิดหากพยายามสะกดเอาไว้

“ท่านนายพลพิภพและท่านนายพลอรุณและพันเอกชานเนนทูตทหารจากพม่าจะลงมายังค่ายของเราครับ”

ภานุนิ่งงันราวกับสายฟ้าฟาดใส่อก ถึงขนาดกำมือแน่นทันที

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 26-10-2008 23:38:34
เมื่อไหร่จะลงเอยดีๆสักทีเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 27-10-2008 00:45:25
 :m23:  มาติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-10-2008 05:38:08
เดี๋ยวเย็นๆมาต่อให้นะจ๊ะ 
ลงเอยกันด้วยดีก็จบเลยดิ  อิอิ 

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 27-10-2008 15:09:24
พ่อตามาเอาเรื่องแล้วววววว ตายแน่ภาณุเอ๋ยยยย  :laugh:
รีบมาต่อให้ไวเลยป้าพิม  :oni1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-10-2008 18:40:50
มาตามสัญญาจ้า  ลุงนารท  :m14:

+++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 16 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part3]

(Under The Rose สำนวนภาษาอังกฤษ แปลว่า เก็บให้เป็นความลับ)


ท่านนายพลพิภพนั่งเงียบกริบ ข้างกายท่านวางกระเป๋าเอกสารใบโต สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทำให้ท่านนายพลอรุณเกรงใจสหายรัก

“เดี๋ยวจะถึงค่ายแล้ว...”

นายพลอรุณบอกกับชายหนุ่มร่างสูงซึ่งนั่งเคียงกัน บรรยากาศเคร่งขรึมจึงเบาบางลง พันเอกชานเนนผงกศีรษะรับรู้ มองออกไปนอกหน้าต่างเฮลิคอปเตอร์ ผืนป่าเขียวชอุ่ม มีแม่น้ำทอดตัวคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะสุดลูกหูลูกตา ไกลลิบๆเป็นภูเขาตระหง่านต่อกันเป็นทอดๆ เสียงใบพัดดังพั่บๆแหวกอากาศ การสนทนาน่าจะจบลงด้วยดีหากนายพลพิภพไม่ถามคำถามที่ชวนให้ตึงเครียด

“แน่ใจนะอรุณว่าธารอยู่ที่ค่ายจริงๆ”

สีหน้าของท่านนายพลพิภพเอาจริงเอาจัง นายอรุณผงกศีรษะช้าๆ เสียงทอดถอนใจราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ

“ไปถึงค่ายขอให้ค่อยๆพูดกันนะ”นายพลอรุณพยายามไกล่เกลี่ย

“จะพยายามยาม”

อดีตเสือตอบเป็นกลาง คนฟังชักกลุ้ม เครื่องบินลดระดับต่ำ กลิ่นอายความตึงเครียดยิ่งประทุ

“มองเห็นค่ายแล้วครับ”

พันเอกชานเนนสัมผัสถึงความอึดอัด บอกกับทหารชั้นอาวุโส จนกระทั่งเครื่องจอด ท่านนายพลทั้งสองลงไปก่อนตามด้วยพันเอกหนุ่มแห่งพม่า

“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฉันส่วนหนึ่ง หากจะโทษ โทษฉันเถอะนะพิภพ ที่คนแก่ๆคิดน้อยเกินไป”

นายพลอรุณว่า ออกโรงปกป้องลูกน้องเต็มที่

“ถ้าจะโทษล่ะก็... ฉันคงโทษไอ้บัดซบที่ยืนอยู่ตรงนั้นมากกว่า”

ท่านนายพลพิภพว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่านจ้องหน้าผู้มาต้อนรับซึ่งแต่งตัวเต็มยศ หนึ่งในนั้นมีร่างของร้อยเอกภานุยื่นนิ่ง และยกมือวันทยาหัตถ์เมื่อท่านนายพลอรุณพร้อมคณะเดินเข้าใกล้ ชายหนุ่มยืนตัวตรงทำความเคารพเมื่อผู้บังคับบัญชามาทักทายสวัสดี ท่านนายพลอรุณกล่าวทักทายกับผู้พันมีทรัพย์ แนะนำนายพลพิภพและผู้พันชานเนนซึ่งจะมาประสานงานเรื่องของร้อยเอกธีรเดช

“ทางผมได้รับหนังสือแจ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ”

ผู้พันมีทรัพย์ตอบก่อนเชื้อเชิญนายทหารชั้นสูงทั้งสองเข้าไปภายในค่าย ผู้พันมีทรัพย์เป็นฝ่ายนำ ขณะที่นายพลอรุณเดินผ่านทหารยศสัญญาบัตรและชั้นประทวนที่ออกมาต้อนรับ ท่านยิ้มให้ภานุซึ่งทำหน้าเรียบเรียบเมื่อเดินผ่าน ผิดกับสายตาของท่านนายพลพิภพซึ่งลุกโชนด้วยไฟแห่งความชัง ภานุไม่หลบสายตาที่จะฉีกเนื้อ สบมองตรงๆ ท่านนายพลกลับเดินผ่าน ภานุจึงลดมือลง เดินตามคณะต้อนรับเข้าไปภายในห้องรับรอง ผู้บังคับบัญชาการเริ่มพูดคุยเรื่องงาน ภานุยืนฟังเงียบๆ ผู้พันชานเนนเข้ามาคุยด้วย

“ได้ข่าวว่าหมอธารมาที่นี่ ไม่ทราบว่าเขาพักที่ไหนหรือครับ?”

พันเอกชานเนนพูดสุภาพ ด้วยรอยยิ้มและดวงตาอ่อนโยนผิดกับลักษณะทหารหาญ ภานุมองดูชายหนุ่มซึ่งถามแบบผู้ดี

“พักอยู่ในโรงพยาบาลในค่ายนี้ครับ”

ตอบกลับพร้อมส่งสายตาเย็นชา ผู้พันชานเนนมองดวงตาฉายแววไม่พอใจเด่นชัด จึงพรูลมหายใจ

“คุณหมอธารคงสบายดี ออกมาทั้งๆที่ป่วยผมเป็นห่วงเหลือเกิน”คำเสียงแฝงความอ่อนโยน

ภานุฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจกับท่าที ‘ผู้ดี’ผิดกับเขาซึ่ง ‘เถื่อน’ไม่น่ามีอะไรพิสมัย

“คุณหมอสบายดีครับ”ชายหนุ่มตอบกลับเรียบเฉย จ้องนายทหารชั้นสูงที่ปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด

“สายรายงานมาว่า พบร่องรอยการต่อสู้สุดท้ายอยู่ตรงนี้ครับ”

ผู้พันมีทรัพย์ชี้นิ้วลงบนแผ่นที่อธิบายให้ท่านนายพลทั้งสองฟัง

“เรื่องนี้เป็นปัญหาของสองประเทศ ทางพม่าได้ส่งพันเอกชานเนนมาเป็นตัวแทนในการประสานงานการทำงานครั้งนี้”

นายพลพิภพหันไปทางพันเอกชานเนน ผู้พันหนุ่มก้าวเข้าไปในวง อธิบายถึงการมาปฏิบัติงานร่วมกัน ใช้เวลาอธิบายสั้นๆ พอเสร็จสิ้น นายพลอรุณและนายพลพิภพลุกขึ้น

“จะพักอยู่ที่นี่ช่วยเตรียมห้องให้ที ”

นายพลพิภพขอ ซึ่งผู้พันมีทรัพย์สั่งให้คนตระเตรียมทันที

“ไม่ไปพักที่ค่ายใหญ่รึ?”นายพลอรุณถาม

“ไม่ จัดที่พักให้แก่พันเอกชานเนนด้วย”

นายพลอรุณไม่อาจขัดใจเพื่อนรักได้ รู้ว่ากำลังข่มความโกรธเรื่องต้นธาราไว้เพราะกำลังอยู่ในหน้าที่ จึงสั่งลูกน้องตระเตรียมห้องให้แก่พันเอกชานเนน

“ขอเชิญพันเอกชานเนนพักผ่อนตามสบายนะครับ”

ผู้พันมีทรัพย์เอ่ย พันเอกหนุ่มจากพม่ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร เดินตามผู้พันมีทรัพย์ไป เหลือเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในห้องรับรอง

“คงสบายดีนะพ่อหนุ่ม”นายพลพิภพทักทายภานุ ข่มน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

“ครับท่าน”ชายหนุ่มตอบสั้นๆ

“ได้ทำอะไรธารหรือเปล่า”ท่านถามเข้าเรื่องตรงๆ จ้องเหมือนค้นหาความจริง นายพลอรุณยืนควบคุมสถานการณ์ห่างๆ ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร

“รู้ไหมว่าธารเขามีเวลาไม่มากแล้ว ยังจะดึงดันรั้งเขาไว้อีกทำไม?”

ภานุก้มหน้าลงเล็กน้อย “ผมทราบดีครับ....”

“ทราบงั้นรึ? ทำไมถึงยังทำแบบนี้อีก ปล่อยธารให้เป็นอิสระได้แล้ว เขาเหนื่อยพอแล้ว”น้ำเสียงของนายพลพิภพลดต่ำลง

“ผมโกหกตัวเองไม่ได้ว่าผมรักธาร เพราะผมทำเขาเจ็บมามากพอแล้ว...เวลาที่เหลือ ผมจะชดใช้ให้ธาร”

สีหน้าของท่านนายพลพิภพเข้มขึ้น โกรธจัด

“ธารอยู่กับแกมากเท่าไร ธารก็จะเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ถ้าแกยังรักชีวิตและอนาคตอยู่ ก็จงเอามือสกปรกๆของแกออกไปจากธารซะ”ท่านนายพลยื่นคำขาด

ชายหนุ่มดึงดั้น ดื้อแพ่งไม่ยอมแพ้

“เฮ้ย...มากเกินไปไหมพิภพ เด็กมันพูดเข้าใจกันแล้วจะให้แตกหักอะไรกันอีก”

นายพลอรุณไกล่เกลี่ยทันทีเมื่อนายพลพิภพใช้ไม้แข็ง

“เรื่องมันน่าจะจบลงไปตั้งนานแล้ว ถ้าแกไม่เห็นแก่ตัว!”นายพลพิภพกล่าวเยือกเย็น

ร้อยเอกหนุ่มเถียงกลับทันใด

“เมื่อก่อนผมเป็นเช่นนั้นจริง ต่อจากนี้ไปผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด”ดวงตาคมกล้าฉายแววเอาจริงเอาจัง

“ดูแลงั้นเรอะ? แกมีปัญญาอะไรดูแลธาร ถ้าแกอยากทำนัก เมื่อก่อนไม่ทำล่ะ”

ท่านพลพิภพปรามาสจนภานุสะอึก

“ถ้าแกจริงจังมากกว่านี้ตัวฉันเองก็อาจจะไม่โกรธ เพราะโกรธคนอย่างแกไปแล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมา แกไม่สมควรพูดว่าจะดูแลธาร จำเอาไว้หากแกเข้าใกล้ลูกฉันเมื่อไร แกได้ตายด้วยคมกระสุนฉันแน่”

นายพลอรุณตบบ่าชายหนุ่มที่ยืนทื่อเมื่อนายพลพิภพเดินออกจากห้องไป

“นายพลพิภพโกรธเรื่องที่ลักพาตัวธารออกมาจากโรงพยาบาล ยังดีที่แกไม่หัวกุด”ท่านว่าแค่นั้นก่อนอวยพรให้ “พยายามแล้วกัน ฉันก็สงสารแกกับหนูธารอยู่หรอก คงปรับความเข้าใจกันได้แล้วใช่ไหม?”

ภานุผงกศีรษะอย่างเลื่อนลอย

“ขอบคุณครับที่ท่านนายพลอรุณช่วยเหลือโดยตลอด”

มือหนาตบแผ่นหลัง นายพลอรุณตามเพื่อนสนิทซึ่งโกรธกริ้ว ส่วนชายหนุ่มยืนนิ่ง นายพลพิภพไม่พูดอะไรมาก หากทุกคำพูดราวกับเป็นเข็มทิ่มแทงใจจนเจ็บ มันเหมือนกรรมสนอง คนที่เคยไล่ตามเขาตลอด คอยให้หันมอง แม้ว่ารู้ดีต้องเจ็บช้ำยังจะไล่ตามเมื่อเขาไม่แลเหลียว ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายต้องไล่ตามต้นธารา คำสั่งของนายพลเด็ดขาด ภานุรู้ดี ถ้าเขาเสี่ยงที่จะละเมิดคำข่มขู่ รับรองว่าเขาหมดอนาคตในหน้าที่การงานแน่ และก็คงได้ตายคาคมกระสุนของท่านพลพิภพจริงๆ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-10-2008 18:42:16
ต้นธาราลุกขึ้นอย่างงัวเงีย สีหน้าซีดเซียว มองตามต้นแขนพบว่ามันเป็นรอยห้อเลือดเป็นจ้ำๆ แตะรอยช้ำเบาๆ เอนหลังพิงหัวเตียง คุณหมอหยิบเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมา เหลียวมองร่างใหญ่ แต่แล้วก็ถอนใจเฮือกที่ถูกปล่อยเอาไว้คนเดียว ขณะแต่งตัว ร่างของผู้กองปรากฏขึ้นด้วยสีหน้าเครียดๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

คุณหมอถามเมื่อเห็นร่างสูงแต่งตัวเต็มยศทรุดนั่งข้างๆตน ดวงตาของผู้กองดูแปลกไป ภานุพิศมองดวงหน้าซีด มือหนาแตะผิวแก้มเย็นเฉียบ ก่อนกอดเอาไว้แนบแน่น

“อะ..อะไร”คุณหมอถามอย่างสงสัย ต้นธาราเป็นฝ่ายดึงตัวผู้กองหนุ่มออก มองใบหน้าคร้ามเข้มที่ทำสีหน้ากังวลใจ

“พ่อของคุณมา”ชายหนุ่มเพียงกล่าวสั้นๆ มองใบหน้าขาวซีด

“อะไรนะ? พ่อผมมาหรือ ท่านอยู่ไหนล่ะ”คุณหมอถาม ดวงตาฉายความไม่สบายใจสักเท่าไร

“ตอนนี้อยู่ที่ค่าย คุณจะไปหาท่านเลยไหม”

ต้นธารามองสภาพตัวเอง มันคงกระอักกระอ่วนใจเมื่อต้องไปเผชิญหน้าบิดาในสภาพนี้

“ขอผมแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน”

คุณหมอพยายามลุกขึ้น หากอ่อนแรงลงเสียดื้อๆ ยังดีที่ได้ร่างไว้เป็นหลักพักพิง ภานุโอบประคองคนอ่อนแรง

“ขอโทษ หน้ามืดไปหน่อย”

ภานุประคองต้นธาราขึ้น ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่ งชายหนุ่มก็สังเกตเห็นรอยเขียวช้ำตามแขนและร่างกายบางส่วน คุณหมอเงียบงัน มือหนากุมต้นแขนเขียวช้ำเบาๆ

“ไม่ต้องห่วง มันเป็นเรื่องปกติ”ต้นธารายิ้มอ่อนๆ มองมือที่ลูบไล้เบาๆ

“มันไม่เจ็บหรอก รีบเถอะ พ่อผมคงคอยแย่”

ภานุกอดร่างต้นธาราเอาไว้ สัมผัสของอ้อมแขนช่างมั่นคง หนักแน่น ต้นธาราซบหน้าลง

“มีเรื่องทุกข์ใจก็บอกมาเถอะ”

ภานุคลายอ้อมกอดหลวมๆแล้วเป็นฝ่ายซบหน้าอกต้นธาราแทน ไม่พูดอะไรออกมาเลยได้แต่ซบอยู่บนหน้าอกแบบบางคล้ายหาไออุ่นในวันที่เหน็บหนาว คุณหมอยิ้ม โอบศีรษะภานุเอาไว้ในอ้อมแขน ลูบท้ายทอยชายหนุ่มอย่างใจลอย

“ผมกลัวว่าจะเสียคุณไป”

ร้อยเอกหนุ่มกอดต้นธาราเอาไว้ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นทรายที่สามารถปลิวหายตามสายลม กลัวจะจมอยู่ในความโศกเศร้า มือลูบไล้แผ่วเบาคลายออก

“หัวใจผมอยู่ที่นี่...จะไม่ไปไหนเด็ดขาด” กระซิบแผ่ว ดั่งคำมั่นสัญญา


------------------------------------------------

ภานุและต้นธารา เดินอย่างเร่งรีบไปคู่กัน จนถึงที่พักของท่านนายพลพิภพ ลุงอรุณรออยู่หน้าบ้านเห็นผู้เป็นหลานกับร้อยเอกหนุ่มเดินเคียงกันมา ลุกขึ้นต้อนรับทันที

“สวัสดีครับลุงอรุณ สวัสดีครับคุณพ่อ”

ต้นธาราไหว้ลุงอรุณและบิดาที่นั่งมองหน้าบุตรชายอย่างเย็นชา

“อาการของเราคงไม่กำเริบนะ”นายพลอรุณถามต่อ จับต้นธารานั่งเก้าอี้ใกล้ๆท่าน

“ผมสบายดีครับคุณลุง”

บิดากระแอม ทำให้นายพลอรุณไม่อาจกางปีกปกป้องต้นธาราได้เต็มที่

“รู้ไหมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความเดือดร้อนมากแค่ไหน?”

นายพลพิภพถาม ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ สายตาของนายพลพิภพตวัดมองภานุโดยเฉพาะ

“ธาร...พ่อห่วงลูกมากแค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า”

ต้นธารานั่งนิ่งกระสับกระส่าย บิดาลุกขึ้น เดินเข้ามาใกล้บุตร

“ลูกโตแล้ว เรื่องบางเรื่องลูกน่าจะรู้ดี โดยที่พ่อไม่ต้องบอกนะธาร”

บิดากล่าวเสียงเรียบเช่นเคย ซึ่งลูกชายมิปริปากเลยสักคำ

“ลูกรู้ว่าลูกป่วยเป็นโรคร้าย ขาดการรักษาไปจะเป็นเช่นไร ไม่รักตัวกลัวตายบ้างรึไง ความรักมันเหนือกว่าชีวิตแกรึไง?”

บิดาพยายามข่มอารมณ์เต็มที่ ไม่ให้โกรธบุตรมากนัก แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ

“พิภพ...พอเถอะ แกจะกดดันลูกไปถึงไหนกัน”

นายพลอรุณกล่าว นายพลพิภพตวัดมองด้วยแววตาคมกล้า

“เงียบเถอะ! เพราะความใจดีนี่แหละ เจ้าธารถึงได้เหลวไหลแบบนี้”

บิดาเหลือบมองบุตรชายซึ่งก้มหน้าสลด นายพลอรุณไม่อาจสอดได้อีก ท่านได้แต่ถอนใจมองผู้เป็นหลานถูกตำหนิ

“ผมขอโทษครับพ่อ”

ต้นธาราบอกด้วยน้ำเสียงเสียใจจริงๆ บิดากำมือไว้ก่อนคลายออก ฝ่ามือหนาหนักกระทบไปบนแก้มต้นธารา ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านนายพลจะทำ เสียงดังเพี๊ยะแหวกอากาศ ต้นธารานิ่งงัน เมื่อมือของนายพลพิภพลดลง มือบางแตะแก้มตัวเองทันที ไม่เจ็บแต่มันชาไปถึงขั้วหัวใจมากกว่า

“ลูกบอกขอโทษ ทำไมลูกไม่ทำตัวให้มันดีล่ะ”

“ไม่ใช่ความผิดของธารหรอกครับ ผมผิดเอง ถ้าจะโทษก็โทษผม”ภานุออกโรงปกป้อง โดยยืนขวางท่านนายพลเอาไว้ ต้นธาราลดมือลง แก้มซีกนั้นแดงทันที

“ช่างเถอะครับผู้กอง ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของผมด้วย การที่พ่อทำแบบนี้มันสมควรแล้ว”

“คุณก็เช่นกัน เป็นถึงหัวหน้าหน่วย เป็นถึงหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนแต่การกระทำของคุณมันไม่สมกับตำแหน่งที่ว่าเลย พาธารที่อยู่ในระหว่างการรักษาออกมา มันควรแล้วหรือที่จะทำ มันเป็นการกระทำซึ่งผิดด้วยวินัยและกฎหมาย คุณย่อมทราบข้อนี้ดีแก่ใจ”ท่านตำหนิรุนแรง

ภานุยืนตัวตรงรับคำตำหนิ ดวงตาดุจตาเสือข่มภานุเอาไว้ นายพลอรุณมองภานุ ส่ายหน้าเพราะสอดไปตอนนี้คงทำให้เรื่องแย่ลง

“คำสั่งที่สั่งไป ขอให้ปฏิบัติด้วย”ท่านเอ่ยเรียบๆหากเย็นเยียบ

ต้นธารามองอย่างสงสัย ภานุกัดปากทันที

“ผมไม่อาจทำได้ครับ ต่อให้ผิดวินัยหรือผิดกฎหมาย ผมก็ไม่เลิกกับคุณหมออย่างเด็ดขาด!”

คราวนี้เสือเฒ่ามองใบหน้าสิงห์หนุ่มเขม็ง

“ผู้กอง....ขอพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น...คุณน่าจะรู้ดีว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาการสำคัญเพียงใด หากไม่ปฏิบัติตาม คุณซึ่งเป็นทหารกว่าจะเลื่อนยศมาเป็นร้อยเอกได้คงทราบดีว่า ผลของการประพฤติตนขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นเช่นไร?”

ภานุรู้ผลดี เขายังเป็นทหารยศต่ำ หากอยากมีอนาคตไกลต้องนอบน้อม เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ซื่อสัตย์จงรักภักดี แต่ตอนนี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้

“ผมทราบดีครับท่าน ชีวิตผมจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอให้อยู่เคียงข้างคุณหมอก็พอ”ภานุตอบฉาดฉาน ดวงตาของผู้กองมองต้นธาราที่กำลังนั่งอึ้งกับคำขาดที่ชายหนุ่มได้พูดออกไป

“ผู้กองภานุ!”

ต้นธาราร้องเรียก ชายหนุ่มยิ้มให้ราวกับว่าได้ตัดสินใจดีแล้ว

“ผมตัดสินใจดีแล้ว....”

ภานุหันมาเผชิญหน้ากับนายพลพิภพซึ่งกำลังยิ้มตรงมุมปาก

“สมแล้วที่ผู้กองได้ชื่อว่าเป็นคนเด็ดขาด ยอมหักแต่ไม่ยองอ การที่ผู้กองรับผิดชอบย่อมเป็นเรื่องดีแต่สิ่งที่ทำให้ไม่พอใจที่สุด คือการกระทำที่ผ่านมา ผู้กอง...แน่แล้วหรือที่คุณจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด เพียงเพราะว่ารู้สึกต้องรับผิดชอบ ?”

คำถามนี้ทำให้ภานุกำมือแน่น การที่ท่านนายพลกล่าวเช่นนี้คือการไม่เชื่อใจ และเยาะหยัน

“ผมพูดจริงทุกคำ!”ภานุยืนยันเสียงกร้าว

“ดี !”

เพียงคำสั้นๆที่เอ่ยออก หมัดของเสือเฒ่าปะทะกับใบหน้าของสิงห์หนุ่มทันที จนภานุหน้าหัน เลือดไหลปรี่ออกจากจมูกและมุมปาก

“ผู้กอง...นี่เป็นการลงโทษขั้นเบาะๆ จำใส่หัวไว้ซะ”

ท่านนายพลหมุนกายกลับเข้าห้อง ภานุแตะปาก ซึ่งคงกินน้ำพริกไม่ได้ไปอีกหลายวัน ต้นธาราเข้ามาดู หมัดหนักหน่วงปะทะใบหน้ากร้านตรงๆ เลือดกำเดายังไหลไม่หยุด คุณหมอสั่งให้เงยหน้า หาผ้าเช็ดหน้าวุ่น ผู้ที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าเป็นท่านนายพลอรุณ

“โชคร้ายหน่อยนะผู้กอง”

ภานุสบถเมื่อมือนุ่มแตะขอบปากแรงไปหน่อยเพราะมือไม้สั่น ต้นธารามองใบหน้าของคุณลุงอย่างหวั่นวิตก

“ใจเย็นก่อนนะธาร พ่อคงไม่ได้โกรธอะไรมากหรอก แกเป็นห่วงและกลัวเท่านั้นว่าธารจะเป็นอะไรไป”

ลุงอรุณปลอบใจ ต้นธาราลุกขึ้น ประคองชายหนุ่มนั่งบนโต๊ะ

“โอ้...เลือดสีแดงสดจัง กรุ๊ปอะไรรึ”

ท่านนายพลอรุณพยายามสร้างสถานการณ์ให้เริงร่า ชายหนุ่มตอบอย่างลำบากยากเย็น

“กรุ๊ปบีครับ”

มือที่เช็ดเลือดให้ชะงัก ต้นธารามองใบหน้าชายหนุ่มทันที

“กรุ๊ปเดียวกันเลย”

คุณหมอเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรมากนัก หากนายพลอรุณได้ฟัง ความหวังที่ริบหรี่เริ่มมีแสงแห่งความหวัง.....โอกาสแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น หากได้พิสูจน์ล่ะก็... ทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในแววตาของนายพลอรุณ

“นี่จะเป็นแค่ความบังเอิญรึ?”

นายพลอรุณพึมพำกับตัวเอง แม้มันจะมีโอกาสน้อย...แต่ก็เป็นความหวังริบหรี่ที่น่าจะยอมเสี่ยงดู


“ลุงอรุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”ต้นธาราถาม ลุกขึ้นเพื่อนำผ้าเปื้อนเลือดเป็นด่างดวงออกไปซัก

“เพิ่งรู้ว่าผู้กองมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับธาร....ผู้กองช่วยไปตรวจไขกระดูกได้ไหม? ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ไขกระดูกของผู้กองตรงกับหนูธารล่ะก็...ธารคงมีโอกาสหายจากลูคีเมีย ”

ภานุยืนนิ่งด้วยความตะลึง...โอกาสที่ธารจะหายมีจริงๆรึ?

คุณหมอไม่ได้ยินประโยคเล่านี้ พอกลับมาอีกทีก็เห็นภานุยิ้มกว้าง ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายจนคุณหมอสงสัย

“ธารไปเอาน้ำมาให้หน่อยไป๊”นายพลอรุณไล่

ต้นธาราจึงยอมไปง่ายๆแม้จะข้องใจ

“แต่มันอาจจะแค่ห้าสิบ-ห้าสิบ หากไขกระดูกไม่ตรงกันเป็นอันว่าล้มเลว”

สิ่งที่ทำให้ผู้กองหนุ่มหวาดหวั่นเกาะกุมจิตใจอีก...กลัว...เปอร์เซนต์แห่งปาฏิหาริย์จะมีสักกี่เปอร์เซนต์กัน?

“ถึงจะได้ผลยังไง ผมก็อยากจะลองครับ แม้ว่ามันจะไม่มีหวังเลยก็ตาม!”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ท่านนายพลมองใบหน้ามุ่งมั่น ไว้วางใจเพราะต้นธาราก็มีคนดูแลที่ไว้ใจได้อยู่จริงๆ เหลือแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์ หรือฝ่ายต้นธาราจะจากลาโลกนี้ไปก่อน เพียงความคิดนี้ก็ทำให้ใจของท่านเย็นเยือก

“เดี๋ยวฉันขอตัวไปคุยธุระกับนายพลพิภพก่อนนะ”

ปล่อยให้ชายหนุ่มนั่งเงียบๆ ต้นธาราเห็นคุณลุงเข้ามาภายในบ้านก็แปลกใจอีก

“อ้าว...น้ำครับ”

นายพลชราบอกให้ยกไปให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างนอก พอต้นธารายกออกมาให้ชายหนุ่ม เห็นสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นสักครั้งบนสีหน้าของคนรัก สีหน้าอมทุกข์เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ มันทำให้ต้นธารากังวลไม่น้อย ต้นธาราเดินไปหาอย่างเงียบๆ พอวางแก้วน้ำให้ ภานุก็กุมมือเย็นเฉียบไม่ยอมปล่อย

“เป็นอะไร วันนี้คุณดูแปลกๆไปนะ”

คุณหมอตัดสินใจถาม ภานุบืบมือของต้นธาราแรงจนเจ็บ...ขอให้เขารู้ว่าที่ตรงนี้มีคุณหมอผู้เป็นสายน้ำใสเย็นเคียงข้างตอนนี้ก็พอ ในใจของภานุร่ำร้องอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพิ่งรู้ว่าจะเสียสิ่งสำคัญมันรู้สึกเจ็บ ทั้งที่อยู่ใกล้ก็เหมือนกับไกล รอยยิ้มอ่อนโยน...เขาจะได้เห็นอีกนานเท่าไร ได้แต่กลัวฝันร้ายที่ยังมาไม่ถึง กลัว...จนไม่กล้าปล่อยมือต้นธาราอีกต่อไป

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Siri_nan ที่ 27-10-2008 18:48:27
เรื่องนี้สนุก ชอบจ่ะ
นิยายของเรนสนุกหมด ชอบง่ะ

ขอบคุณ โม มูมู่น้อยที่เอามาลงในเล้าเป็ด  o15
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-10-2008 21:13:32
รอปาฏิหาริย์น่ะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 27-10-2008 22:43:53
บทสรุปเรื่องนี้จะออกมายังไงนะ... Happy หรือ Sad ...
ขอบคุณมูมู่สุดสวย(เค้าไม่เรียกตัวเองป้าแล้วน๊า...อย่ามาเรียกเค้าลุงด้วย)  :a14:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 28-10-2008 16:33:15
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ


ท่าทางกดดันนะนั่น...ผุ้กอง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuyu ที่ 28-10-2008 18:03:35
ขอซื้อปาฏิหาริย์ให้ธารได้มั้ยค่ะ ที่ไหนมีขาย  o7
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: tsuya ที่ 28-10-2008 20:35:20
หายสิ ยังไงธารก็ต้องหาย  :a2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 28-10-2008 21:44:11
ผมหวังว่าปาฏิหารย์คงมีจริงนะครับ หากผู้แต่งไม่ใจร้ายจนเกินไป
 ความรักเป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน
แต่การปลูกถ่ายไขกระดูกเนี่ยจะกลายเป็นชีวิตของกันและกัน
จะได้เติมเต็มความรักโดยไม่ต้องมีอุปสรรคใดใดมาขัดขวางอีก
หวังว่าปาฏิหารย์คงมีจริงๆ อย่าแกล้งคนอ่านเลยนะครับ กลัวรับความผิดหวังไม่ได้
อีกคู่ก็กำลังง่อนแง่น มาต่อไวไวนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-10-2008 12:34:24
ปาฏิหารย์มีรึเปล่า  มี (มั้ง) 5555
รออ่านกันต่อจ้า  ขอบคุณที่เม้นต์

++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 17 L'honneur - L'amour: เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 1]


พอได้ยินชื่อที่บีบคั้นหัวใจ กิ่งไผ่พูดอะไร เขานั่งหันหลังให้ เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น ธีรเดชนั่งนิ่งเฝ้ามองแผ่นหลังเครียดขมึง

“คุณธารเขาเป็นใคร”

กิ่งไผ่อดถามไม่ได้ ใบหน้าเฉยชาราวกับหยาดน้ำค้างเกาะตามดอกไม้ เยือกแข็งและหงอยเหงา ธีรเดชซึ่งนั่งมองหน้าคนสวยอย่างคลางแคลงใจเม้มปากแน่น คำพูดที่เอ่ยถามผิดวิสัยที่อีกฝ่ายเป็น แล้วเขาจะตอบเช่นไรดี สายตาจับจ้องดวงตาสีดำจ้องมองราตรีกาล

“คุณอยากรู้ไปทำไมว่าเขาเป็นใคร?”

ชายหนุ่มใช้ประโยคของอีกฝ่ายมาถาม กิ่งไผ่ตวัดสายตาคมกริบ มองแค้นขุ่น เขาเคยสงบ...ใช่ มันเคยเป็นแบบนั้น แล้วมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหน เมื่อไร กิ่งไผ่ก่นด่าตัวเอง ยิ่งมองเค้าโครงของความอ่อนโยน ยิ่งปวดร้าวลึกลงในวิญญาณ เขาควรจะตอบอย่างไรดี ใจหนึ่งอยากจะรู้แต่ใจหนึ่งก็กลัวเสียศักดิ์ศรี

“ผมจะพูดเรื่องที่คุณอยากรู้ให้ฟังแลกกับเรื่องของคุณ”

ธีรเดชต่อรอง ชายหนุ่มมองเข้าไปในแววตา รู้แล้วล่ะว่าอีกฝ่ายกระหายที่จะรู้มากเพียงใด และเขาก็กระหายที่จะรู้อีกด้านของกิ่งไผ่เช่นกัน...คนที่มีปริศนาลึกลับ ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ กิ่งไผ่ได้ฟังคำพูดของทหารหนุ่มจากไทยยิ้มเยาะทันใด

“ค่าความลับผมมีค่าเท่ากับความลับของคุณด้วยรึ”

ธีรเดชคำนวณเอาไว้ว่ามันต้องไม่สำเร็จง่ายๆแน่ๆ แต่ชายหนุ่มก็คิดใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง


“จริงอยู่ที่ค่าความลับของผมอาจจะไม่เท่าของคุณ แต่สายตาของคุณก็อยากรู้อยู่ดีว่าคนที่ผมพูดถึงเขาเป็นใคร....”

กิ่งไผ่หน้าชา จริงอย่างที่นายหนุ่มจากไทยเอ่ยว่าเขาต้องการรู้ว่าคนที่ธีรเดชเอ่ยถึงเป็นใครและคนที่พูดถึงด้วยความคะนึงหาถูกเอาไปเปรียบเทียบกับตัวกิ่งไผ่เอง...มันเป็นใคร...ยิ่งใกล้ความจริงที่ไม่ชวนนึกฝันไปทุกทีๆ ธีรเดชสังเกตความแปรเปลี่ยนบนใบหน้า แสดงอารมณ์มากขึ้น สมกับเป็นมนุษย์มากกว่าเครื่องจักรสังหารเหมือนชั่วโมงก่อนหน้านี้

“เขาเป็นคนที่ผมรู้จักมานาน...”

จู่ๆชายหนุ่มก็เริ่มต้น กิ่งไผ่หูผึ่ง...พูดถึงเขาไม่ใช่เธอ คนๆนั้นเป็น....ร่างกายแข็งทื่อ ธีรเดชระบายรอยยิ้มอ่อนๆ

“ผมรักเขาแต่มันก็ไม่สมหวัง เขาเป็นลูกของท่านนายพลที่สมัยก่อนผมเคยรับใช้ท่าน ธาร....หรือต้นธาราเป็นคนที่นุ่มนวล ใจดีและดูอ่อนแอแต่ธารเป็นคนรักใครแล้วรักจริง...และใจแข็ง...เหมือนคุณ”

ธีรเดชเงียบไป กิ่งไผ่มองมือมอมแมมตัวเอง

“คงเป็นคนสวยสินะ”

ธีรเดชไม่ปฏิเสธ

“สวย...อ่อนโยน น่าปกป้อง เสียดายที่ผมไม่ใช่คนที่เขารัก ”

ดวงตาของธีรเดชฉายความเจ็บปวดชัด กิ่งไผ่เงียบงัน ดวงตาของธีรเดชสื่อว่ารักจริงและไม่มีวันไขว่คว้าคนที่หมายปองเข้ามาในอ้อมอกได้

“คนที่ธารรักไม่ใช่ใคร เป็นอดีตครูฝึกของผม มีอนาคตแต่ไม่รู้ทำไมหมกตัวอยู่ในป่าในเขาไม่ยอมแสวงหาเกียรติยศ รึชื่อเสียง”น้ำเสียงบางเบา มือกดที่ปากแผลราวกับเจ็บปวด

“คุณเล่าให้ผมฟังทำไม ?”

กิ่งไผ่มือสั่นระริก ยิ่งกว่าถูกตบหน้า ยิ่งกว่าโดนฆ่าหรือเผชิญกับภัยอันตราย ธีรเดชเอนหลังพิงสบายๆ

“คุณอยากรู้...”คำพูดกระซิบไม่พ้นลำคอ แหบพร่า

“ไหนว่าแลกกับความลับของผมไง คุณพูดออกมาก่อนแสดงว่าผมต้องพูดด้วยสินะ?”

ร่างในความมืดถาม ธีรเดชส่ายหน้า

“ไม่จำเป็นหรอก...ผมแค่อยากระบายให้ใครสักคนฟังก็เท่านั้นเอง อย่างที่คุณพูดความลับของผมมันไม่มีค่าหรอก”

ริมฝีปากกิ่งไผ่เม้มเหมือนเศร้าหมอง

“มันมีค่าสำหรับผม....”

'ความอ่อนโยน'... กร่อนทำลายลงช้าๆ จากคนที่เคยคิดว่าไว้ใจได้ ทำไม....ทำไม...เหมือนกับทำร้ายกันทางอ้อม

“ที่คุณพูดนี้ต้องการหมายถึงว่าผมกับเขาต่างกันสินะ”

ธีรเดชส่ายหน้า

“เหมือนต่างหาก เหมือนในความสวยงามและใจแข็งแต่ต่างกันตรงความอ่อนโยน”

ถล่มทลายลงช้าๆ...โลกของกิ่งไผ่ทลายลงต่อหน้า...โลกที่เขารู้จัก...คุ้นชิน...หนาวเย็น...และ...ไม่มีใคร

“คุณพูดแบบนั้นทำไม”เน้นเสียงหนักสุดท้าย

“กิริยาท่าทางของคุณมันทำให้ผมสงสัย....”

อดีตของเขา ความทรงจำเลวร้าย อาบเลือดไหลหลั่งรินครั้งแรกช้าๆ

“คุณเคยมั่นใจผม เคยไว้ใจตอนนี้คุณถอนมันออกแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้น....ก็ฆ่าสิ ผมเคยบอกคุณแล้วว่างูเห่าตัวนี้เลี้ยงไม่เชื่อง”

สูดลมหายใจลึกๆ มองดวงหน้าที่เค้าคิดว่าอ่อนโยนเสมอมา ธีรเดชลุกขึ้นนั่ง มองดวงตาวาววับแปรเปลี่ยนช้าๆ สิ้นหวัง อ่อนแรง หยาดน้ำตาสุกใสกลิ้งจากดวงตาอาบแก้มขาวซึ่งเปื้อนดิน ชำระคราบเป็นทางยาว กิ่งไผ่ร้องไห้ เขาเพิ่งเคยเห็นคนๆนี้ร้องไห้ครั้งแรก! ธีรเดชทำตัวไม่ถูก กิ่งไผ่ปาดน้ำตาออก นานแล้วที่เขาไม่เคยร้องไห้ นับตั้งแต่เวียงนวรัฐะล้ม น้ำตาที่ไหลหลั่งริน กลั่นออกมาจากใจส่วนลึกที่ไม่อาจห้ามได้ มันเศร้า...เย็นชา น่าอึดอัด ในหัววาบหวิว คิดอะไรไม่ออกเอาเสียเลย ร้อง...โดยที่ไม่เสียง...เศร้า....ที่ไม่อาจบ่งบอกความรู้สึกออกไปได้ รอบกายเงียบกริบ แว่วเสียงสัตว์ป่ากู่ร้อง โหยหวน วังเวง

“คุณหงุดหงิดอะไร”

ธีรเดชข่มความเจ็บปวดลุกเข้ามาใกล้ กิ่งไผ่เอี้ยวหลบราวกับอีกฝ่ายเป็นเชื้อโรคร้าย

“คุณช่วยผมเพราะเป็นหน้าที่รึเปล่า คุณช่วยผมเพื่อต้องการคนนำทางออกไปยังเขตแดนไทยแล้วจับผม หักหลังนำเข้าคุกที่ไทยใช่ไหม !”

กิ่งไผ่ขึ้นเสียง ในวินาทีนี้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เขาเคยไว้ใจ...ใช่...เขาเคยไว้ใจ ทำไมไม่ปล่อยให้ตายไปซะ...เขาไว้วางใจคนที่ไม่สมควรไว้วางใจมากที่สุด

“ที่ผ่านมามันเป็นแบบนั้นตลอดเลยสินะ?”

กิ่งไผ่พุดน้ำเสียงกระชาก เขาเศร้าใจอะไร....ร้องไห้ทำไม หลั่งน้ำตาให้คนอื่นเห็นมันอ่อนแอชัดๆ แต่ตอนนี้ถึงด่าตัวเองมากเท่าไร ถึงสะกดกลั้นมากขนาดไหนก็ไม่อาจห้ามได้

มือหนายื่นมาใกล้โอบกอดด้วยสัมผัสนุ่มนวล แผ่วเบา...ความใจดีฆ่าเขาทิ้งอย่างช้าๆ...กิ่งไผ่ควรรักตัวเองมากกว่า... สัมผัสที่ชวนเหน็บหนาวมากกว่าอบอุ่น เขาควรจะอยู่ในอ้อมกอดแห่งเลือด ศักดิ์ศรี ความเป็นใหญ่มากกว่าจะมีความรู้สึกอ่อนไหว มองดวงตาฉ่ำด้วยหยาดน้ำตา แม้ปวดร้าวสักเท่าไร แม้อยากเก็บความรู้สึกที่ล้นเอ่อมากเท่าไรมันก็ทำไม่ได้

“ปล่อย...ผมไม่ใช่ต้นธาราอะไรของคุณ”

กิ่งไผ่บิดมืออก หลุดออกจากตัวอย่างง่ายดาย มองด้วยแววตาแวววับ

“ถ้าห่วงก็กลับไปดูแลคนของคุณเถอะ....”

ธีรเดชไม่อาจตามติดคนที่ลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่มุมมืดๆได้ บางอย่างมันห้ามไว้ บอกอย่าตาม เพราะถ้าตามคงได้ทำลายบางอย่างที่บอบบางลงช้าๆ

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-10-2008 12:36:01
กิ่งไผ่มองความมืด เขามองมือของตัวเอง มันชุ่มเลือดมามากเท่าไร กิ่งไผ่ไม่เคยรับรู้ สิ่งที่เขามีคือการทำเพื่อชาติบ้านเมือง เขาเป็นบุตรชายของเวียงนวรัฐะอันเกรียงไกร องค์มนัสหยาผู้เป็นมารดาคอยยิ้มให้อยู่ใกล้ลิบๆถูกย่ำย่อยยับลง สิ่งที่เขากู้คืนเหมือนกับลมหายใจของเขา ตอนนี้ทั้งแค้นใจ ทั้งโศกเศร้าปะปนกันจนแยกความรู้สึกไม่ออก

...พ่อ...ไอ้ขิ่น...เมืองนวรัฐะ ทุกๆคนกำลังทรยศเขาอยู่หรือ แม้คนชิดใกล้ที่สุดยังหักหลัง....เขาโหยหาถึงบุคคลที่ทำให้หัวใจอันอ่อนล้าได้ลุกโชนด้วยแสงแห่งความหวัง ...


“พ่อ...”

กิ่งไผ่ถูกความเหงา รายล้อมกัดกิน

“ไอ้ขิ่นเอ็งพาพ่อฉันไปไหน แกกับพ่อปลอดภัยไหม คงมีเพียงเอ็งเท่านั้นละมั้งที่ยังชื่อสัตย์กับฉัน”

ภาพในอดีตภายในกองโจรซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองนวรัฐะ โอบอ้อมด้วยมิตรภาพ ความอบอุ่น...ครอบครัว...มาบัดนี้ครอบครัวของเขาถูกลำลายย่อยยับอัปรา กิ่งไผ่เหมือนนกปีกหัก คิดอะไรไม่ออก เสียงดังแกรกกราก กิ่งไผ่ช้อนตามองดูคนกระเสือกกระสนก้าวมาหา...ยังจะตามมาทำไม

“ตามมาทำไม”

ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พยายามเร้นกายกลืนหายเข้าไปในความมืด ผู้กองซึ่งบาดเจ็บทรุดนั่งเคียงข้าง

“จะให้คุณออกมานั่งตากยุงรึไง”น้ำเสียงชายหนุ่มเอื้ออารี

“จะกัดตายช่างหัวมัน”

อารมณ์ขุ่นมัวคำพูดรุนแรงไปนิด หากธีรเดชไม่ถือ เขาแตะบ่าบาง หลังมือเฉี่ยวแก้มเย็นเฉียบ

“เข้าไปเถอะ มันหนาวนะ...”

ห่วง...อยากหัวเราะปนกับเยาะหยัน

“ผมมันพวกหนังหนาหน้าด้าน”กิ่งไผ่ว่า ไม่ยอมขยับไปไหนง่ายๆ

ธีรเดชเจ็บแขนหากก็ฉุดรั้งร่างที่ดื้อดึงให้ลุกขึ้นตามตัวเองไป หากกิ่งไผ่นิ่ง ธีรเดชเริ่มปวดที่แผล รู้สึกว่าแผลจะฉีก สัมผัสถึงความข้นเหนียว กิ่งไผ่เหลือบเห็น เขาจะเย็นชาก็ทำไม่ได้ จึงลุกขึ้น ธีรเดชไม่ทันระวังตัวล้มก้นจ้ำเบ้า ส่งผลให้ธีรเดชล้มตามด้วย เรือนผมยาวปะทะใบหน้า ร่างของกิ่งไผ่ทับด้านบนของลำตัวชายหนุ่ม มือข้างหนึ่งกดลึกที่แผลจนธีรเดชกัดปากสะกดกลั้นความเจ็บ ดวงตาชุ่มหยาดน้ำตาสบกับดวงตาแกร่งกร้าว ดวงตาที่แวววับหมดประกาย ธีรเดชแตะสัมผัสแผ่วเบา หยาดน้ำตาไหลหล่นกระทบแก้มของชายหนุ่มแทน

“ขอโทษ....”

เตรียมลุกขึ้นหากถูกรั้งเอาไว้

“สิ่งที่ผมพูดไป มันทำให้คุณไม่พอใจตรงไหนกัน”ชายหนุ่มสงสัย

“ผมยอมรับว่าผมไม่เข้าใจพฤติกรรมของคุณ แต่ไม่น่าจะโกรธขนาดนี้”

กิ่งไผ่กัดฟันแน่น....ไม่รู้ เพราะไม่รู้มันถึงทำให้เขาอึดอัด พยายามหาทางบรรเทา กิ่งไผ่มองไม่เห็นหนทางใดเลย

“คุณมีความลับอะไร ผมไม่เข้าใจว่า...”

ยังไม่ทันพูดอะไร เขาก็ถูกจู่โจมจากอีกฝ่ายเสียแล้ว ริมฝีปากเย็นเฉียบสัมผัสกับริมฝีปากหนา จูบที่ไม่ได้ให้ตั้งตัว ธีรเดชตกใจได้แต่นอนนิ่ง ยอมรับสัมผัสลิ้นอุ่นๆเคล้าคลึง รสชาติริมฝีปากที่ได้สัมผัสครั้งที่สอง รสชาติยิ่งหวานล้ำ ลี้ลับ พอถอนริมฝีปากออกสิ่งที่กั้นเอาไว้มีเพียงเส้นบางๆ

“ครั้งแรกหรือ...”

ธีรเดชถามเลื่อนลอยส่งผลให้สายใยที่ผูกพันกันไว้ขาดสะบั้น ใบหน้ากิ่งไผ่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ มันเฉยชา หน่ายเหนื่อยเสียมากกว่า แต่หากมองเห็นก็จะพบริ้วรอยแดงฉานประดับ ดวงหน้าเศร้าๆส่ายไปมา

“เปล่าหรอก มันไม่ใช่ครั้งแรก”

กิ่งไผ่ตอบ พบว่าน้ำเสียงตัวเองยังคงเย็นเยือกได้น่าแปลกใจ

“ครั้งหนึ่งที่ผมเคยสัมผัสกับริมฝีปากนี้ ไม่ชำนาญเลยไม่ใช่หรือ”

คิดถึงภาพแม่หญิงกลิ่นเอื้องเข้ามาตามหาผู้กองนาคี เขาถูกริมฝีปากนี้สัมผัส...มันทำให้เขาข้องใจ

“คุณไม่รู้อะไรในชีวิตผม อย่าด่วนตัดสิน”กิ่งไผ่ตอบ

ธีรเดชไม่รู้หรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างก่อนจะหล่อหลอมกลายเป็น “กิ่งไผ่”ในวันนี้ได้

“หลอกล่อให้หลงใหลไปกับมายา ผมทำแบบนี้เสมอแหละคุณก็น่าจะเห็นแล้ว”

แม่หญิงกลิ่นเอื้อง....สติของชายหนุ่มหวนถึงมายาภาพกลิ่นหอมจรุงใจ

“คุณตามหาผู้กองนาคีทำไม”

ธีรเดชถามเมื่อระลึกย้อนไปถึงอดีตอันไกลแสนไกล

“อย่างน้อยๆเขาก็ไว้ชีวิตผม ผมอยากเคารพศพเขา”

ดวงตาของผู้กองหนุ่มจากไทยมองไม่เข้าใจนัก

“ขอบคุณงั้นรึ...”

กิ่งไผ่ผงกศีรษะ นับตั้งแต่ร้อยเอกนาคีตาย เขาอยากมาเคารพศพสักครั้ง...เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้กองตาย

“งั้นคุณก็คงได้พบกับธารแล้วล่ะ....คนที่อยู่ในวันที่ผู้กองนาคีตาย นั่นแหละ...ต้นธารา!”

ดวงตากิ่งไผ่เคลือบแคลง สับสน ย้อนไปถึงวันที่ถูกยิง ย้อนไปถึงคุณหมอที่ช่วยทำแผลให้ ร่างกายไม่ขยับ....ภาพของผู้กองนาคีคุมกันคุณหมอคนนั้นจนตัวเองตาย...ผู้กองนาคี กลิ่นอายของความอ่อนโยนแผ่เจือจางมาถึงเขา...โหยหามันยิ่งนัก แต่แล้วทำไมความอ่อนโยนเขาถึงไม่ได้รับแม้กับคนๆนี้ยังมีให้กับคุณหมอที่อ่อนหวาน ธีรเดชรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังลุกจากตัวหากยึดเอาไว้

“ผมทิ้งคุณไปไม่ได้”

สายตาของกิ่งไผ่เหลือบมอง...ใครกันแน่ที่ทิ้งไปไม่ได้ ผู้กองหนุ่มจากไทยหรือตัวเขาเอง

“คุณมองผมว่าเป็นคุณธารอะไรนั่นใช่ไหม”

ธีรเดชงุนงงนท่าทีแรก และนาทีต่อมาเขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เสื้อผ้าของเขาถูกถอดออกช้าๆ แววตาของกิ่งไผ่สะท้อนเด่นชัดในแววตาของเขา...แววตาเศร้าๆ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกหากชายหนุ่มรู้จักมันดีมันเป็นสายตาที่เขาใช้มองต้นธาราเมื่อรู้ว่ารักต้นธารามากแต่ไม่อาจได้ครอบครอง มือหนาตะครุบมือบางเอาไว้ทันที

“คุณทำอะไร แบบนี้มันไม่ใช่นะ....”

ริมฝีปากที่พูดมากถูกปิดแนบสนิท คิดขัดขืนร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง มันเหมือนฝัน...ริมฝีปากที่เคล้าเคลีย นุ่มนวล มือสัมผัสเรือนผมยาวสลวย ปัดมันพ้นใบหน้าที่ล้อมกรอบไว้ มือบางโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่ม ท่าทีเศร้าหมอง ธีรเดชขยับมือตอบรับไม่สะดวกเท่าไร โอบเอวบางเอาไว้ ลูบไล้แผ่วๆ ริมฝีปากของกิ่งไผ่จูบบนแผลเบาๆสัมผัสเจ็บปวด ซ่าบซ่านประดุจขนนกพร่างพรม ดึงดวงหน้าสวยขึ้นจรดริมฝีปากประกบแน่น เนิ่นนาน แม้เหน็บหนาวจนกายสั่นสะท้านขณะค่อยๆเปลือยกายช้าๆ รอคอยแรงพิศวาส มือของกิ่งไผ่ถูกตรึงแน่น เขายังอยู่ที่เบื้องบนของร่างแกร่ง เฝ้ามองดวงตาที่ทอมาอย่างไม่แน่ใจเท่าไรนัก...มันเริ่มเร็ว...ดีแล้วหรือ เขาทำแบบนี้มันดีแล้วหรือ กิ่งไผ่ลังเล วินาทีแรกอยากถอนตัวแต่นาทีต่อมากลับงงงันเคลิ้มไปกับมือแกะแตะสัมผัสแผ่นอกเบาๆ ฝ่ายธีรเดชจับหัวใจที่เต้นถี่แรง ยังไม่เข้าใจอะไรเท่าไร เขาอยากจะผลักไสแต่ก็ไม่อาจทำได้ มือเรียวเริ่มต้นทำหน้าที่แกะกระดุมของอีกฝ่ายด้วยมืออันสั่นเทา ยิ่งแนบกายเบียดชิด รู้สึกว่าเขาได้ทุกๆอย่างกลับคืน ทั้งความอบอุ่น สัมผัสมอมเมาราวกับเหล้าชั้นเลิศเป็นสิ่งที่ไม่มีวันได้หวนคืน !

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Bg LoVe NT ที่ 29-10-2008 13:31:03
ตามอ่านทันแล้ว เย้ๆ :mc4:

สนุกปนเศร้าจริงๆ



หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 29-10-2008 23:10:18
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


กิ่งไผ่สู้ๆ

เอาเลยๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 29-10-2008 23:33:05
 :m15:  คู่ของผู้กองภานุกับหมอธาร ดูจะมีความหวังแล้วนะครับ แต่คู๋ของธีรเดชกับกิ่งไผ่ท่าจะลำบาก  แล้วจะติดตามต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-11-2008 13:32:17
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงน่ะเนี่ย มาต่อเถอะน่ะๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-11-2008 15:37:38
ขอโทษที ปล่อยให้ค้าง  :man1:
++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 18 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 2]


ริมฝีปากบางสั่นเทาเล็กน้อย เมื่อแนบประกบ สัมผัสถึงความอ่อนนุ่ม อบอุ่น มือหนารั้งกายบอบบางเข้ามากอด ลูบเรือนผมบางเบา แม้จะอ่อนโยนก็ยังรู้สึกถึงความเฉยชา ความหวานก็เหมือนกับสิ่งลวงใจ ไม่มีจริง ไม่อาจสัมผัส ลึกๆปวดร้าวและหนาวสั่น ยิ่งสัมผัสยิ่งนึกตัวเองอยู่ในเงาของใครบางคน ไม่อาจรั้งกลับคืน ได้แต่ทดลองใจ กิ่งไผ่สัมผัสถึงความเบาบาง มันจะเลยเกินไปมากกว่านี้หรือ ธีรเดชคิดด้วยสมองอันงงงวย ร่างกายไม่อาจขยับได้สะดวกเพราะเจ็บแผล ถูกกดทับไว้ด้วยคนแข็งแรงกว่า สัมผัสเย็นๆแนบแผ่นอกแกร่ง สร้างความร้อน สัมผัสได้ถึงหัวใจเต้นแผ่ว... เขาก็เป็นมนุษย์ มีความรู้สึก ชิงชัง โกรธแค้น รักใคร่ บางที...ความปวดร้าวที่สะสมมานานอาจระเบิดขึ้น หลงอยู่ในเวิ้งว้าง มือหนาประคับประคองอีกฝ่ายออกเบาๆ เสี้ยวหน้าที่เคยเข้มแข็งมาตลอดกลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที เลือดในกายมันร่ำร้องจนไม่อาจห้าม หนึ่งสติที่พยายามรั้งกลับ กายอบอุ่นแนบชิดเกินกว่าจะย้อนกลับไปสู่เริ่มต้น ความฝันว่าได้สัมผัสความอ่อนโยน... มันเป็นจริงใช่ไหมนะ... ในใจลึกกิ่งไผ่ครวญคร่ำ ราวดวงดาวที่ห่างไกลพร่างพรมลงใส่กาย อาบให้ดวงใจลุกโชติช่วง ธีรเดชดันร่างของกิ่งไผ่ลงเป็นฝ่ายคร่อมเสียเอง ปัดเรือนผมละใบหน้า มองดวงตาอ่อน ปราศจากเค้าโครงกิ่งไผ่คนเดิม ใบหน้าตอนนี้ช่างอ่อนหวาน เหมาะควรที่จะได้รับการปกป้อง

“แน่ใจแล้วหรือ...”

ประโยคนี้ควรตะเป็นคำถามที่ธีรเดชน่าจะถามตัวเองมากกว่าอีกฝ่าย ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ขนตาเป็นแพหนาขยับไหวคล้ายให้คำตอบที่ชายหนุ่มไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ก้มใบหน้าฝังลำคอของอีกฝ่าย นุ่มนวล ไม่รุนแรง ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา ธีรเดชเงยหน้ามองกิ่งไผ่ซึ่งสะท้าน ใบหน้าแดงจัด เม้มปากแน่น นิ้วแกร่งลูบไล้ริมฝีปากที่ราวกับบัวแย้มกลีบ ให้มันเผยเสียงที่ข่มกลั้นไว้

“อ๊ะ...”

เสียงครางหลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ สร้างความอับอายให้กิ่งไผ่เป็นอย่างมาก พยายามถอนกายออกหากมือหนาตรึงร่างไว้แน่น เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกไปเกือบครึ่ง พร้อมกับน้ำหนักทับถม เหมือนใจจะหนักอึ้งเรื่อยๆ

...มันเป็นแบบนี้ดีแล้วหรือ...


ริมฝีปากอุ่นๆแทะเล็มยอดอก ใบหน้าของผู้ถูกสัมผัสคล้ายกับจะจมดิ่งไปในห้วงสัมผัสอันอ่อนหวาน สำนึกมืดหม่นอยู่ในซอกลึกของหัวใจ วงแขนเรียวโอบกอดกระชับราวกับกลัวว่าสัมผัสจากกายแกร่งจะจางหายไป ธีรเดชหลงไปกับเรือนกายที่เต็มไปด้วยปริศนา ไม่รู้จักเบื้องหลัง เก่งและฉลาดสวยงาม... เอื้องคำดอกนี้ผ่านมือของใครมาบ้างนะ...ชายหนุ่มคิดเมื่อสัมผัสไปทุกสัดส่วน เรื่อยลงต่ำไม่ว่าตามชายโครง ร่างกายอ่อนไหวไปกับสัมผัส ยอมโอนอ่อนง่ายๆ พยายามปัดความคิดนั้นออกไปจากใจ ดื่มด่ำกับเรือนร่างเปราะบางผิดกับภายนอก เจ้ากลีบเอื้องคำราวกับปลิดปลิวไปตามกระแสลม คอยให้ใครสักคนเอื้อมคว้ากลีบหอมที่ล่องละลอยไปเดียวดาย รอให้ค้นหาช่อดอกที่แท้จริง นายทหารหนุ่มลุ่มหลงไปกับเรือนกายอ่อนนุ่ม จูบแนวไหปลาร้า ก่อนขยับไปยังริมปากอิ่มคล้ายกับไม่รู้จักพอ ส่วนมือที่ว่างอยู่ปฏิบัติกับส่วนอ่อนไหว เคล้นคลึงแผ่วเบาสลับหนักแน่น เสียงครางพยายามลอดจากริมฝีปาก หากถูกสะกดกลั้นเอาไว้

“อึ้ก...อืม..”

จูบดุดันรุนแรงจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน ไม่คิดว่าตัวเองจะหลงไปไปกับสัมผัสจากมือแกร่งได้ถึงขนาดนี้ ธีรเดชมัวเมาไปกับความหอมหวาน จนกระทั่งลืมตัวลืมตน

“ผมรักคุณ...ผมรักคุณ”

จูบพรมไปทั่ววงหน้า กิ่งไผ่ได้ยินคำสารภาพรัก ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มพูดถึงตัวเองหรือเปล่า ด้วยความที่ไม่แน่ใจนักจึงฟังให้ดี คำบอกรักพร่ำซ้ำซาก ร่างโปร่งพยายามดิ้นออก

...ไม่ได้...แบบนี้มันเกินไป...

กิ่งไผ่พยายามขยับกาย หากเรี่ยวแรงถูกฉกชิงไป ไร้พละกำลัง ในใจมืดหม่น เย็นชา ร่างเหมือนจมลึกไปเรื่อยๆ สัมผัสจากธีรเดชกลายเป็นความด้านชาของจิตใจ มือของร้อยเอกหนุ่มแตะแก้ม สัมผัสถึงความเย็นเฉียบ ดึงร่างของกิ่งไผ่ขึ้นมากอดช้าๆ ละมือจากชายโครง สอดวงแขนรอบเอว ไร้เสียงใดๆ... ใบหน้าที่ซบอยู่บนไหล่กำลังร้องไห้อยู่...น้ำตาที่ไม่อาจข่มกลั้น ไหลพร่างพรูอีกครั้ง ...มันเป็นความเศร้าครั้งที่สอง เมื่อธีรเดชโอบกอดอ่อนโยน

ธีรเดชไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะผลักไสหรือตอบรับ...ไม่รู้เลย...สุดท้ายแล้วมองเห็นแววตาเศร้าแฝงอยู่จึงดึงร่างออกห่าง ชายหนุ่มเสยผม ไม่กล้าสบดวงตาที่สับสนเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน กิ่งไผ่แหงนหน้ามองฟ้า พร้อมกับเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของตัวเอง

“ทำแบบนี้เราทั้งคู่อาจจะรู้สึกผิดไปมากกว่านี้”

ธีรเดชพูดเพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไร

“ทำไม?”

กิ่งไผ่ถาม เขาไม่เข้าใจในความคิดของอีกฝ่าย สิ่งที่ชายหนุ่มทำผสมกับการกระทำของเขากลายเป็นสิ่งที่ผูกรัดเอาไว้จนเจ็บปวด ธีรเดชไม่ตอบ กิ่งไผ่ก็ได้เดาเอาว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

“นึกถึงคนๆนั้นสินะ”

น้ำเสียงขื่นขมเก็บซ่อนอย่างแนบเนียน สำหรับเขาพอแล้วที่เจ็บปวดใจ นายทหารหนุ่มยอมรับว่ามันเป็นความจริงตามที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ

“ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอกนะ ที่คุณจะนึกถึงเขา”

พูดไปแบบนั้น ดูดีว่าเป็นการโกหก กิ่งไผ่จบสาบเสื้อปิดเข้าหากันหลังจากผละออกจากอกแกร่ง นิ้วเรียวกลัดกระดุมด้วยท่าทางใจลอย

“คุณบอกว่ามันอาจจะผิด...แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่เลย”

ธีรเดชสงสัย คิ้วขมวดน้อยๆ

“ยังไง”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเคร่งขรึม หลังจากเห็นท่าทีเย็นชาเหมือนทุกครั้ง ไม่ยี่หระต่อเหตุการณ์ที่เกิด ไม่มีสีหน้าเวิ้งว้าง ไม่มีอะไรทั้งนั้น เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันไปเท่านั้น

“ก็ผมวางแผนไว้ ลองทดสอบคุณว่าจะทำยังไงดีละสิ”

ดวงตาธีรเดชฉายถึงความงุนงงจนเห็นได้ชัด กิ่งไผ่กอดเข่าตัวเอง ซุกกายหาไออุ่นที่ยังอวลจางๆทั่วกาย กลิ่นของความอ่อนโยน...อีกไม่นานก็จะจางหายไป

“ก็ถ้าคุณมีอะไรกับผมเท่ากับว่าเชื่อถือไม่ได้ แต่ผิดคาดคุณนี่ทึ่มจัง ต่างจากคนอื่นๆที่ผมเจอ”

อีกฝ่ายพูดราบเรียบ ใบหน้าเบือนมองยิ้มหยัน ดวงตาคู่นั้นเข้มและกร้าว ซ่อนรอยเปราะบางเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็นนอกจากตัวเอง

“เชื่อถือไม่ได้...?”ธีรเดชยิ่งไม่เข้าใจ

“คุณโง่เอง ขุดหลุมพรางให้ผมใช้แล้วก็ตกไปเอง ที่ผมหงุดหงิด โมโหใส่คุณก็เพื่อทดสอบ”

เขาถูกทอสอบ คนตรงหน้าไม่ไว้ใจเขาหรือ

“ทำไม...”ธีรเดชถามเสียงแผ่ว

กิ่งไผ่ยิ้มประดุจแมงแมงมุมพิษ

“คุณไม่ไว้ใจผมและผมก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ใจคุณเช่นกัน”กิ่งไผ่ตอบ ท่าทีเป็นดังผู้ชนะที่กุมบังเหียนเอาไว้

“คุณไม่ไว้ใจผมสักครั้ง?”ธีรเดชถาม เขาไม่เข้าใจกับเหตุผลของเรื่องที่ผ่านมา

“การที่ผมไว้ใจคุณมันง่ายเกินไปมั้ง”กิ่งไผ่กล่าว เขาเป็นมือสังหารนี่...นึกในใจเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิด

“ไผ่ ผมไม่นึกเฉย...”ชายหนุ่มคราง....รู้สึกเหมือนกับไอ้โง่ขึ้นมาทันที

“คุณเลยยอมทอดร่างให้ผมเพื่อพิสูจน์ความเข้าใจโง่ๆนั่นน่ะรึ”ธีรเดชโกรธจัด

“คุณอยากโง่เอง”

คำพูดของกิ่งไผ่ประดุจคำดูถูก ใบหน้าแกร่งชาด้าน

“จริงสิ...ผมโง่....”

ย่างก้าวเข้าไปหา กิ่งไผ่ถอยหลังหนีเมื่อเค้าโครงหน้าอ่อนโยนเปลี่ยนไป ธีรเดชรู้สึกเหมือนถูกงูเห่าแว้งกัด

...เลี้ยงไม่เชื่อง...เป็นงูเห่าที่แสนดี ซ่อนคราบของงูพิษไว้แนบเนียน พอได้จังหวะก็แว้งกัด...เจ็บ...แสบ...และสุดทนทาน

“คุณจะทำอะไร”

กิ่งไผ่ตวาด ตั้งท่ารับอย่างมั่นคง ลุกขึ้นประจันหน้ากับร่างสูงตรงๆ

“ไหนๆคุณไม่เชื่อใจผมแล้ว ผมก็สมควรฆ่าคุณดีไหม”

เหตุการณ์เปลี่ยนไปจนนึกไม่ถึง กิ่งไผ่คิดปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดแท้ๆ ไม่คิดว่ามันจะสะกิดโทสะของชายหนุ่ม

“เอาซิ ถ้าคุณทำได้!”

กิ่งไผ่ปรามาส ตัวเขาประมาทเกินไป ไม่คิดว่าคนเจ็บจนไม่น่าเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว รุกประชิดตัว ถูกกดจนต้องนิ่วหน้าเมื่อถูกตรึงแขนแน่น หากชายหนุ่มก็ไม่ปล่อย ธีรเดชจับแขนล็อคไว้ กิ่งไผ่ขัดขืนจนบาดแผลบนไหล่ชายหนุ่มมีเลือดไหลซึมแดงคล้ำ

“จะฆ่าก็ฆ่าเสียตรงนี้ซี่”ปากก็ไม่หยุดท้าทายอย่างอวดดี แม้จะตกเป็นเบี้ยล่าง

ธีรเดชไม่เสี่ยง เขาจะจัดการอย่างไรดีกับคนๆนี้ จะปราบความพยศ อวดดีและดื้อดึง ...ทั้งๆที่คิดว่ามีบุญคุณแล้วแท้ๆ... ธีรเดชไม่มีทางเลือก... เขาดันขาของกิ่งไผ่ให้ล้มลง หัวเข่ากระแทกกับพื้นอย่างแรง ดีที่ยังมีใบไม้แห้งสุมหนาซับแรงกระแทก

“คุณจะมีปัญ...”

ยังไม่พูดไม่ทันจบ ริมฝีปากหนาเบียดรุก แทรกสอดอย่างถือสิทธิ์ จูบผู้ขัดคืนหยุดทันใด

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ต่อกันจนจบไหมจากเมื่อกี้ จะได้เป็นไอ้เลวโดยสมบูรณ์แบบไงล่ะ”

กิ่งไผ่พูดหลังจากที่ริมฝีปากถอนออก ลมหายใจกระชั้น

“มันยังน้อยไป...”ธีรเดชฝังริมฝีปากบนซอกคอขาว

กิ่งไผ่ลดการขัดขืนลง เขาขยุ้มเสื้อแน่น อยากฉีกทึ้งออกไปให้หมด หากเขาหยุดไปอีกครั้งเพราะสติรั้งไว้...แม้จะโกรธก็ไม่ควรทำเช่นนี้ กิ่งไผ่หอบหายใจหนักๆ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นติดต่อกันโดยที่ไม่มีโอกาสไปอยู่ในหัวใจใคร...


------------------------------------------------

ทางด้านกฤษดาที่กำลังหัวเสียเมื่อทราบข่าวว่าลูกน้องทำพลาดไป ชายหนุ่มสบถลั่น พลางตบหัวลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆระบายอารมณ์

“พวกมึงทำงานยังไงกันวะ ถึงพลาดท่าคนๆเดียวได้”

ดวงปูดโปน นิ้วชี้กราดไปยังลูกน้องที่กลัวหัวหด

“มึงทำยังไงกัน”

น้ำเสียงของลูกพี่เยียบเย็น ไม่ยอมฟังคำแก้ตัวใดๆ

“มันเคยเป็นเจ้านายมึง...พวกมึงน่าจะรู้จุดอ่อนมัน น่าจะจัดการได้ง่ายๆ ทำไมพวกมึงไม่มีปัญญากันห๊ะ”

กฤษดาเตะเก้าอี้กระเด็น มือล้วงกระเป๋า หาที่ระบาย

“มันมีคนเดียว มึงมีเป็นสิบมึงยังพลาด ไอ้พวกไร้น้ำยา !”

เจ็บแค้นที่ถูกกิ่งไผ่หักหน้าเสียเจ็บ สังหารลูกน้อง ตีจนแตกกระเจิงด้วยตัวคนๆเดียว

“มันเก่งเหลือเกินครับ เก่งจนน่ากลัว”

ลูกน้องเอ่ยด้วยอาการปากคอสั่น ส้นเท้าของกฤษดากระแทกหน้าจนมันดั้งหักทันใด เลือดสดๆไหลอาบ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บดังขึ้น

“อ้ายเวร เก่งจนน่ากลัวเร๊อะ ไอ้พวกไร้น้ำยามันก็ดีแต่พูดแบบนี้ละวะ”กฤษดาด่าซ้ำ

ลูกน้องที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของนายพลอินคานเงียบกริบ

“แล้วนี่พวกมึงสืบหาตัวท่านนายพลเจอยังวะ ไอ้แก่นั่น... มึงหาตัวพวกมันเจอรึยัง”

ย่างสามขุมเข้ามาหาลูกน้องทีละก้าว ทีละก้าว ใบหน้าของกฤษดาดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

“ย...ยังเลยครับนาย แต่อีกไม่นานต้องเจอตัวแน่ครับ”

ฝ่ายลูกน้องผู้ทรยศตอบเสียงต่ำ ซึ่งผู้เป็นลูกพี่ซัดพลัวะเข้าที่แก้ม

“ตามเจอเร๊อะ...กี่ชาติพวกมึงจะตามเจอ ให้กูตายก่อนไหม”

ชายหนุ่มประชดประชัน เท้าเอวด้วยความหงุดหงิดเหลือแสน.... อยากบีบเค้นลำคอขาวๆให้สิ้นลม อยากย่ำยีจนมันกลายเป็นหมาข้างถนน ซมซานลงแทบเท้าของเขา ฆ่าพ่อของมันให้ตาย เพื่อชดใช้กับสิ่งที่มันทำกับกู เตะก้อนหินกระเด็นไปไกล นึกหงุดหงิดเหลือแสนโดยเฉพาะไอ้ลูกชายหน้าสวยของท่านนายพล ภายนอกช่างดูอ่อนหวานราวกับกุหลาบหนามพิษ !

“มึงจัดกำลังคนไปจับมันสองพ่อลูกให้ได้ กูเชื่อว่าหมาจนตรอก มันก็คือหมาจนตรอก สู้ไปสุดท้ายก็อ่อนแรงเอง”

ขบเขี้ยวเข่นฟันขณะเอ่ย ร่างของลูกน้องวิ่งมาอย่างกังวลใจ

“นายครับท่านนายพลคะฉิ่นจะมาเยี่ยมท่านครับ”ลูกน้องรายงาน

ดวงตากฤษดาหรี่ลง

“จัดเตรียมต้อนรับด่วน”

ชายหนุ่มสั่ง หันหลังก้าวฉับๆอย่างว่องไวขึ้นบ้านสมัยอดีตที่นายพล ภายในใจตกแต่งหรูหราผิดกับภายนอกที่มีแต่ความสกปรก เสียงเฮลิคอปเตอร์แล่นตัดอากาศ พาร่างน้องชายผู้ทรยศพี่ชายแท้ๆตัวเองมาถึงฐานกลุ่มกองโจรกู้แผ่นดินที่ล่มสลาย นายพลคะฉิ่นยิ้มกว้างหลังลงจากเฮลิคอปเตอร์

“นายท่านดูเปลี่ยนไป”

กฤษดาทักแขกที่มาเยี่ยมเยือนแบบนานๆครั้ง ผู้เป็นแขกยิ้มกริ่ม ดวงตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แฝงประดับในแววตา ตลอดเวลาที่พบกันมักมีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อเป็นความลับในการพบกันเงียบๆ สายตาสีดำดั่งพญาเหยี่ยวยิ้มรับ นายพลติดเครื่องอิสริยยศเต็มที ท่วงท่าเลียนแบบจากกษัตริย์ในอังกฤษ งามสง่าและแฝงกลิ่นอายความเลือดเย็น....ข้าเบื่อแล้วกับการอยู่ใต้อำนาจของใครบางคน...ในใจของคะฉิ่นร่ำร้องอยากกระทำรัฐประหาร ผู้ที่ทรยศอดีตเจ้าเมืองนวรัฐะ ฆ่าได้แม้กระทั่งครอบครัวของพี่ชาย เพื่ออำนาจ

“ฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรสักหน่อยนี่”

ท่านนายพลคะฉิ่นหัวเราะ มองอาหารที่จัดต้อนรับไว้บนโต๊ะยาว มีน้ำเมาตั้งไว้ เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุด


นายพลคะฉิ่น เจ้าเมืองเวียงนวรัฐะปัจจุบันทรุดนั่งตามคำเชิญของกฤษดา ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของท่านนายพลแผดลั่น

“ท่านอยู่ไหนคะ”

เสียงหญิงสาวแผดเสียงในโทรศัพท์ นายพลคะฉิ่นเอื้อมรับ กรอกเสียงหน่ายๆก่อนปิดโทรศัพท์ทันที

“ขอโทษที... เดี๋ยวนี้ช่างวุ่นเหลือเกิน”

แม้ปากจะพูดเช่นนั้นหากรอยยิ้มประดับ พาดบนสีหน้าเย็นชา ยังมีความสนุกใดๆอีกนอกจากความใคร่ทางเรือนร่าง นายพลคะฉิ่นยิ้ม มองใบหน้าคนหนุ่มซึ่งได้ยินคำพูดของตัวเองกับอนุภรรยา

“ใช่ครับ ช่างวุ่นวายนัก”

กฤษดาตอบรับ เห็นด้วย...มองสายตาของหุ้นส่วน ก็อดยิ้มอย่างเหน็บหนาวไม่ได้...เงิน..คืออำนาจ...ใบเบิกทางอำนวยความสะดวกสบาย... จะเอาอะไรก็ได้ ผู้หญิง ...ความไว้เนื้อเชื่อใจแม้กระทั่งความมั่นคง

“จับอดีตเจ้าเมืองและเจ้าชายได้รึยัง”

นายพลคะฉิ่นเสียดสี รอยยิ้มของกฤษดาหยักขึ้น

“อีกไม่นานหรอกครับ จับมันได้แน่”

กฤษดาให้คำรับรอง เขารวมมือกับนายพลคะฉิ่นที่ทรยศพี่ตัวเองทำการรัฐประหารยึดอำนาจของผู้เป็นพี่ชาย แทรกซึมมาในกองโจรเวียงนวรัฐะเพื่อกำจัดต้นตอของเรื่องทั้งหมด ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยเหลือทางด้านการเงิน กฤษดาบ่อนทำลายจากภายใน ส่งหนอนบ่อนไส้ไปทำงานตามที่วางแผนเอาไว้อย่างปราดเปรื่อง จนทุกอย่างล้ม แตกพ่าย....นายพลอินคานซึ่งรวบรวมคนเพื่อแย่งชิงเมืองคืนกลับถูกทรยศจนย่อยยับ

“ดี...ต่อไปนี้เราคือหุ้นส่วนที่แท้จริง”

ท่านนายพลคะฉิ่นว่า ท่าทางภูมิใจกับอำนาจมีที่มักอยู่ในมือ

“ครับ...ท่าน”

ชูแก้วเครื่องดื่มขึ้น ช่างสบายใจเหลือเกิน ไม่ต้องกลัวว่าใครมาอาจหาญ...ยอดเยี่ยม... อดีตโศกของกิ่งไผ่ และท่านนายพลอินคาที่เชื่อใจนายพลคะฉิ่นจนถูกยึดอำนาจ....ลุงที่ทำตัวราวกับยูดาผู้ทรยศพระเจ้า... โหดร้าย...และไร้เมตตา ทรยศจนอำนาจเจ้าเหนือหัวเวียงนวรัฐะล่มสลายไปแล้ว ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เพาะแต่ความชิงชังลงไปในหัวใจหลานจนหยั่งรากลึก !

“เพื่องานที่ก้าวหน้าของเรา”

แก้วเหล้ายกขึ้นซด พร้อมกับชนแก้ว

“เรื่องที่ไทยก็ยังไม่มีใครระแคะระคายใช่ไหม?”

“ยังครับ คนของผมไว้ใจได้”

ชายหนุ่มเอนหลัง เฝ้านึกถึงความสำเร็จของกรุยเส้นทางการค้ายาเสพติดและได้อาศัยอิทธิพลของเจ้าเมืองเวียงนวรัฐะอันแสนเกรียงไกล...

“แล้วเรื่องพวกที่หนีไปสบทบพี่ชายฉันล่ะ จัดการเรียบร้อยรึยัง ?”

นายพลถามถึงเสี้ยนหนามยอกอก แม้ทลายอำนาจของนายพลอินคาด้วยการซื่อลูกน้อง แต่ก็ยังมีบางรายที่ยังภักดี ไม่ยอมขายชีวิตกับเงินตรา หนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

“ให้ลูกน้องจัดการตัดไฟแต่ต้นลมอยู่ครับ ไม่ให้มันรวบรวมกำลังพลได้”

ท่านนายพลคะฉิ่นพอใจในข่าวที่ได้รับ...อำนาจเอ๋ย...เทพเจ้าแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้างท่าน

“อย่างนี้คงหมดห่วงได้ ขอให้คุณทำงานอย่างดีแล้วสิ่งที่ต้องการจะอยู่ในมือของท่าน ตอนนี้ผมขอตัวก่อนมีธุระติดประชุม”

รอยยิ้มโค้งขึ้นบนสีหน้า กฤษดามาส่งท่านนายพลคะฉิ่นขึ้นเฮลิคอปเตอร์ คอยมองเจ้าแมลงปอยักษ์ยกปีกบินไปไกล

... เงินทองรึ?....

แล้วนายกฤษดาก็หัวเราะลั่น...สิ่งที่เขาต้องการมีมากกว่านั้น...หากนายพลคะฉิ่นรู้ คงได้ตกใจเป็นแน่แท้ !

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 05-11-2008 15:39:32
จิ้มกระดานนนนน

 o13 :jul1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-11-2008 15:42:00
นังดำ  แกมาขัดขวางการลงนิยายสองตอนของฉันได้เยี่ยงไร ยังลงไม่ครบเฟ้ยยยยย  :o
แต่ก็คิดถึงนะ  ดำก็รัก จุ๊บ  :กอด1:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวลาเดียวกับกับที่นายพลคะฉิ่นกลับเวียงนวรัฐะ ไอ้ขิ่นออกมาหาอาหารให้กับท่านนายพลอินคาซึ่งบาดเจ็บอยู่ มันทำหน้าเคร่งเครียดหลังจากตรวจพบว่า มีผู้ซุ่มดักจับมันอยู่ ไอ้ขิ่นรีบวิ่งกลับไปสู่ที่ซ่อนทันใด

“เป็นอะไรวะ”

ท่านนายพลอินคานถามเมื่อเห็นไอ้ขิ่นลุกลี้ลุกล้นผิดปรกติ

“ไม่มีอะไรครับนาย”

ไอ้ขิ่นตอบ พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดสีหน้าเฉยๆของมันท่านนายพลไม่ยอมเชื่อ

“ไอ้นี่นิ เอ็งเจออะไรรึเปล่า”

ขิ่นที่กำลังรวบรวมกองลูกไม้แห้งๆไว้ด้วยกันนั้นสารภาพ

“นาย เราถูกตามล่า อีกไม่นานเราจะซ่อนที่นี่ไม่ได้ เราต้องย้ายถิ่นซ่อนแล้ว”

ท่านนายพลอินคานมีสีหน้าอ่านยากขึ้นทันที

“มันรู้ที่ซ่อนเราแล้วรึ”

น้ำเสียงของชายชราผู้เคยมีอำนาจใหญ่เหนือเมืองนวรัฐะเคร่งขรึม

“ตอนนี้ยังครับนาย ไม่แน่ถ้าเรายังอยู่ที่นี่ต่อ อาจจะเจอตัวเราอีกในไม่ช้านี้”ไอ้ขิ่นตอบ

ท่านนายพลกำมือแน่น เสือจนตรอกจะทำอะไรได้ นอกจากรอคอยความตาย แต่เสือเฒ่าไม่อาจให้ใครหยามน้ำหน้าได้เด็ดขาด !

“มันคงกางกำลัง ปูพรมพื้นที่ดักทางเราจนทั่ว”

ท่านนายพลสันนิฐาน ไอ้ขิ่นนั่งยองๆ มันพยายามหาทางช่วยท่านนายพลเต็มที่

“นายจะหนีไปอีกไหมขอรับ”

เด็กหนุ่มถามด้วยท่าทีเคร่งเครียด สัญญาที่มันไว้ให้กับพี่ไผ่ มันต้องทำให้ได้

“เอ็งจะให้ข้าหนีไปไหนอีกวะ”

น้ำเสียงของท่านนายพลดูเลื่อนลอย มองดูรอบๆถ้ำที่ใช้ซุกตัว ร่างแก่ชรานี้ ไม่นานคงผุพังไป

“ที่นี่มันบ้านกู กูอยากอยู่”นายพลอินคาเอ่ย

ไอ้ขิ่นแตะแขนท่าน ทำหน้าวิงวอน

“แต่หากมันเจอนาย นายต้องโดนจับไปทรมานจนตายอีกนะ”

ท่านนายพลสะบัดแขนหนีอย่างดื้อดึง เจ้าหนุ่มพยายามอธิบายให้นายเข้าใจจนปากแทบฉีก หากนายเหนือหัวก็ไม่ยอมฟังความใดๆ

“ท่านนายพลครับ กรุณารักษาชีวิตเถอะครับ หากนายกิ่งไผ่รู้เข้าคงเอาผมได้”

มันวิงวอน อ้างชื่อบุตรชายสุดสวาทของท่านนายคนคนเดียวมาอ้าง หากท่านนายพลยังนิ่ง

“โธ่...นายครับ”

มันเริ่มหมดหวังเพราะแววตาของท่านนายพลทอแววจริงจัง นายพลอินคานกลืนน้ำลาย...มนัสหยา...เจ้าช่วยนำทางพี่ด้วยเถอะ...ตอนนี้พี่ตายไปครึ่งตัวแล้ว...ขอให้ลูกของเรารอด...เวียงนวรัฐะก็จะรอดจากมือไอ้พวกเศษนรกนั่น! ..นายพลอินคาซบหน้ากับเข่า ไม่นานนักก็ผงกหัวอย่างอ่อนล้า

“แกจะพาฉันหนีไปไหนวะไอ้ขิ่น”

ไอ้ขิ่นคิดจนคิ้วขมวด ในที่สุดมันก็นึกได้

“บ้านฉันไงนาย”

บ้านของไอ้ขิ่น...นึกถึงพ่อของมันซึ่งเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ ...เจ้าเนเมียว....มันรับใช้ท่านตราบจนสุดท้ายของห้วงชีวิต

“ที่นั่นปลอดภัย และเราก็ได้ใช้เวลาหลายๆวันในการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี”

ไอ้ขิ่นตอบ ระงับความตื่นเต้น บ้านของมันเคยเป็นที่ซ่อนของท่านนายพลและนายกิ่งไผ่ในช่วงระยะหนึ่งหลังจากถอยร่นจากเวียงนวรัฐะที่ล่มสลาย เจ้าเด็กหนุ่มรีบจัดการเก็บข้าวของ คิดหาทางพาให้ท่านนายพลรอดสุดความสามารถ พ่อของมันรับใช้นายจนตัวตาย มันก็คงมีชะตาเดียวกัน คำมั่นที่ให้กับนายกิ่งไผ่ มันจะทำให้ดู เรี่ยวแรงเล็กๆวิ่งไปมา เก็บสัมภาระจนเสร็จประคับประคองเสือเฒ่าออกจากถ้ำ

นายพลอินคานที่กำลังอ่อนล้าลง เหมือนกับมีพลังอาบไล้ให้มีชีวิตอยู่...ท่านแก่ชรา ท่านถึงอ่อนแอถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงเลย....ดวงตาที่ทอแววสิ้นหวังวูบขึ้น นึกถึงมิตรสนิทที่อยู่ห่างไกล มนัสหยาเจ้าบันดาลกำลังให้พี่....เจ้าทำให้พี่มีกำลังใจสู้ พี่จะกอบกู้สิ่งที่อ้ายชาติหมาชิงไปคืนมาให้หมด!

....แฮร์ฟอร์ดต้องรู้ เขาต้องช่วยเหลือเราได้ นายพลแดลเนียลเช่นกัน....

...มิตรสหายต่างชาติที่เคยฝากฝั่งกิ่งไผ่ให้ดูแลตอนนี้ต้องหาวิธีทางติดต่อให้ได้....

------------------------------------------------

Ps.

ถ้าใครสงสัย แฮร์ฟอรฺดกับนายพลเเดเนียลมาจากไหน ดูที่ตอนพิเศษ "เกียรติยศ กบฏหัวใจ"

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 05-11-2008 15:45:40
จิ้มนังกระดานอีกรอบ

ปล.เอาใจช่วย กิ่งไผ่

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-11-2008 15:52:31
^
^
รู้นะ  ว่าแกหื่น ดำแล้วยังหื่นอีก  :jul3:

แต่ หื่นก็รักนะ คิดถึงจัง แต่ไม่มีเวลาคุยด้วยเลย  ไปแระน้า   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 05-11-2008 16:03:12
คู่นี้ท่าทางความรักจะลงตัวได้อยาก
แต่ก็ต้องตามต่อไป ความรักทำได้ทุกสิ่ง
จะได้ทำลายกำแพงบางๆที่ตั้งกั้นกันเอาไว้
แล้วสถานการณ์เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว
กำลังน่าติดตามมากๆ รีบมาต่ออีกไวไวนะครับ
เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะครับ
และที่สำคัญขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
อีกคู่นึงหวังว่าปาฏิหารย์คงจะมีจริงนะครับ
หากผู้แต่งไม่ใจร้ายจนเกินไป
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-11-2008 22:53:18
เริ่มเห้นแสงสว่างรำไรแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-11-2008 19:06:13
นู๋ไผ่เสร็จตาธีไปแย้ว  :serius2: สงสารนู๋ไผ่

รอต่อไป รอวันนู๋ไผ่แก้แค้นตาธี  :a2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 10-11-2008 19:59:27
ดันแรงๆๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 11-11-2008 00:11:41
+เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ+
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-11-2008 14:17:09
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 19 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 3]


ร่างกายที่หล่อหลอม แผ่ไออุ่นไปทั่วกาย ทำไม....เพราะอะไร....มือของกิ่งไผ่เหนี่ยวไหล่ร่างสูง รั้งเข้ามาแนบชิด
...อ้อมกอดอบอุ่น...และเต็มไปด้วยความเงียบเหงา...

“ไผ่...”

คำเรียกขานแผ่วเบา อ่อนโยน ริมฝีปากแนบนุ่มนวล กิ่งไผ่หลงไปกับคำแว่วหวาน...เขา....กำลังหลงไปกับมัน จมลึกเรื่อยๆจนบางส่วนในหัวใจบอบช้ำ ไม่อาจเข้มแข็งได้เหมือนเคย....

“อย่า.....”

ภาพที่ฝังลึกในส่วนลึกแห่งความทรงจำ ทำให้กิ่งไผ่ดิ้นรน เมื่อความสุขที่อาบไล้ร่างกายกลายเป็นความขลาดกลัว ภาพในสมัยอดีต...จู่ๆการที่กิ่งไผ่ดิ้นรนเมื่อธีรเดชไล้เรื่อยลงจนถึงซอกคอ ชายหนุ่มชะงัก มองใบหน้าเปลี่ยนสีกลายเป็นขาวซีด

“ไผ่....เป็นอะไร....ไผ่”

อ้อมแขนฉุดรั้งร่างของกิ่งไผ่ขึ้นแนบอก

“ไม่....ฉันไม่ทำอีกแล้ว....พอเถอะ...แฮร์ฟอร์ด”

กิ่งไผ่กรีดร้อง ท่าทีคล้ายทรมานใจ ธีรเดชตบใบหน้าของกิ่งไผ่เบาๆเรียกสติ กิ่งไผ่ปิดตาแน่น ขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากกายเกี่ยวกุมให้ได้ ธีรเดชตกอกตกใจต่อท่าทางของกิ่งไผ่

“ไผ่....”

บ่าถูกเขย่าอย่างแรง กิ่งไผ่คู้ตัวสะอึกสะอื้นเงียบๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม ธีรเดชไม่แน่ใจว่ากิ่งไผ่ต้องการจะทำอะไร งุนงงครู่ใหญ่ เกรงว่ามันเป็นอาการเสแสร้งของอีก นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่รินหลั่ง ก้มใบหน้าลงจัดการร่างสั่นเทิ้ม ใบหน้าถูกมือบางดันออก ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนที่พันธนาการไว้ ธีรเดชกดมือกิ่งไผ่ลงติดพื้น ร่างที่อยู่ข้างใต้ไม่อาจขยับได้เพราะถูกทาบทับ

“ทำไม...ขัดขืนทำไม”

ธีรเดชกระซิบข้างหู คำพูดจาของชายหนุ่มคล้ายหยัน

....เธอต้องทำนะไผ่...มันเป็นสิ่งที่เธอเลือกแล้ว เธอเลือกแล้ว...


เสียงของแฮร์ฟอร์ดเฉียบเย็น สะท้อนไปมาในหัวของกิ่งไผ่...เขาต้องแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเงิน....แลกทุกอย่าง......ในหัวใจเย็นเยียบ มันเหมือนกับความทรงจำย้อนคืน เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำ...ความทรงจำขมขื่น ที่กิ่งไผ่เก็บงำมันไว้เงียบๆแผ่กระจายไปทั่วใจปวดร้าว เขาปิดหน้า เสยผมยาวยุ่งเหยิง หยาดน้ำตาคลอเบ้า ธีรเดชชะงักจริงๆเมื่อรู้สึกว่าร่างที่อยู่ภายใต้ตัวตนขัดขืน ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ จึงถอนตัวออก มองใบหน้าผ่านม่านเรือนผมยุ่งเหยิง ธีรเดชพิศวงเพราะดวงตากระด้างฉายให้เห็นชัดว่าหวาดกลัวต่อเขาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย คนที่เก่งกาจสามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีแม้แต่ความสงสาร ไฉนถึงได้หวาดกลัวถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มไม่อาจเข้าใจได้เลย

“ไผ่....”

มือหนาแตะเรือนผมอย่างอ่อนโยน หากกิ่งไผ่กลับปัดมือมันออก เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีมุมมืดเก็บซ่อนไว้ในใจ เมื่อความชิงชังเอ่อล้นเมื่อความเกลียดชังบดบังดวงตา เขาก็กลายเป็นลูกนกพลัดรัง พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอด และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อทำลายอีกฝ่าย แม้ตัวเองจะวอดวายไปก็ตาม

กิ่งไผ่ลุกขึ้น เขาโซซัดโซเซกุมขมับกอดอกตัวเองแน่นสางเส้นผมยาวสยาย ริมฝีปากกัดจนแดงช้ำ....ธีรเดชลุกขึ้นตามติด เขาทรุดนั่งเคียงข้างผู้ที่หวาดผวา พยายามปลอบประโลม

“ออกไป....”

เสียงของกิ่งไผ่แหวกทามกลางความเงียบ...กลัวเหมือนกับเด็กๆ ธีรเดชแตะบ่า ปัดเส้นผมประบ่าออกจากบ่าบาง

“บอกให้ออกไป!”กิ่งไผ่ตวาด

ธีรเดชจึงชะงักมือที่แตะเรือนผม ถอยห่างออกมา เขาไม่มีวันเข้าใจอารมณ์ที่หยั่งลึก อยู่ในดวงใจอันเจ็บปวดได้

“ผมเหลืออะไรบ้างในชีวิต”

คำพูดที่ดูไร้ความหมายสำหรับธีรเดช ชายหนุ่มแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรกิ่งไผ่ถึงพูดคำพูดนี้ออกมา ดวงตาสีดำสนิท ตอนนี้แดงก่ำ ธีรเดชก้มหน้าลง ทรุดนั่งแล้วกำมือแน่น

“ผม...”

ธีรเดชพูดไม่ออก ทุกการกระทำคงกระทบส่วนที่อ่อนไหวในหัวใจที่แข็งกระด้างดวงนั้น...

“ช่างมันเถอะ ลืมมันซะ”

ใบหน้าแหงนมองท้องฟ้า กิ่งไฟสวมเสื้อผ้า รวบเรือนผมให้เข้าที่เข้าทาง นั่งเงียบงันไม่ยอมพูดยอมจา ธีรเดชกำมือแน่น ความรู้สึกผิดเอ่อล้น

“นอนเถอะ”

ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อเห็นร่างอันอ่อนเพลียตาปรือ หากกิ่งไผ่ไม่ยอมหลับ

“ผมไม่ทำอะไรหรอก สาบาน”

ชายหนุ่มยกมือขึ้น กิ่งไผ่คุดคู้ตัว ใบหน้าซุกอยู่กับเข่า ผมปรกใบหน้า นั่งได้ไม่นานนัก หนังตาอันหนักอึ้งด้วยความอ่อนเพลียผสมกับความเครียดก็ปิดลง กิ่งไผ่เอนหลังพิงต้นไม้ ธีรเดชมองร่างคู้คุดคล้ายทารกในอ้อมอกมารดา หลับสนิท สีหน้าสงบผิดกับเมื่อครู่ คล้ายกับมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ ...เขาไม่เข้าใจ เปลือกนอกที่แข็งกระด้าง เย็นชา ที่แท้จริงแล้วห่อหุ้มดวงใจที่แสนอ่อนไหวและเปราะบางไว้หรือ


------------------------------------------------

ร่างอันแก่ชราของท่านนายพลเดินโซซัดโซเซฝ่าพุ่มไม้น้อยใหญ่โดยมีไอ้ขิ่นตามอยู่ห่างๆ

“อดทนอีกนิดนะท่าน นาย”

เด็กหนุ่มคล้องย่ามไว้อีกข้าง แขนอีกข้างให้ท่านนายพลเกาะ เร่งฝีเท้าให้พ้นดงไม้ใหญ่

“ข้าเหนื่อยแล้วโว้ย”ร่างแก่ชรากล่าว หอบหายใจเหน็ดเหนื่อย

“อีกประเดี๋ยวก็ได้พักแล้ว นายทนหน่อย”

เจ้าเด็กหนุ่มว่า มันพานายพลอินคานข้ามขอนไม้ ก่อนจะให้ท่านนั่งพัก

“อ้ายเวร เอ็งจะให้ข้าตายคาป่าหรือ”

ท่านนายพลกุมหน้าอก เหงื่อไหลแตกพลั่ก เจ้าขิ่นเป็นห่วง

“ท่านนายพล...”

ไอ้ขิ่นรุดนั่งมองใบหน้าขาวซีดของนายพลอินคาน อดีตนายพลแห่งนวรัฐะยิ้มหยัน

“เอ็งไม่ต้องทำหน้าเหมือนข้าใกล้ตายหรอก ข้ายังอยู่”

ท่านนายพลว่า ท่านยื่นมือสั่นระริกขอถุงยา ซึ่งเจ้าขิ่นส่งให้ทันที มองดูท่านนายพลล้วงยาเข้าปาก

“ดูท่าข้าจะอยู่ไม่ถึงวันที่ข้าพบลูกข้าจริงๆ”

ท่านรำพึงมองดูยาลดความดันเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง ไอ้ขิ่นจับเข่าท่านนายพลเอาไว้

“เรื่องยาพอไปถึงบ้านฉันก็หาสะดวกแล้ว ฉันจะไปหาให้จ้ะ”ไอ้ขิ่นปลอบ

“เออ แต่มันหายากไม่ใช่หรือวะไอ้ขิ่น เอ็งต้มสมุนไพรให้ข้ากินก็ได้”

สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่ค่อยสบายใจ

“แต่ยังไงท่านายพลต้องพึ่งยาพวกนี้อยู่ดีไม่ใช่หรือ”

นายพลกำขวดยาของตัวเองไว้แน่น ไอ้ขิ่นมองดูท่านนายพล สีหน้าหนักใจของท่านเก็บงำมิดชิดผิดกับเมื่อก่อน

“ไปเถอะว่ะขิ่น”

ท่านนายพลลุกขึ้น ปาดเหงื่อเปียกชื้น ไอ้ขิ่นมองแผ่นหลังของท่านนายพล

“นายพลพักก่อนเถอะ ค่อยเดินทางต่อ”

เจ้าขิ่นท้วง หากนายพลนิ่งเฉย

“ระยะทางยังอีกไกลพักเถอะนาย”

พูดสักเท่าไรนายพลอินคานก็ยังนิ่งเฉยเช่นเคย ท่านย้ำอยู่เพียงคำเดียวว่าอยากไปถึงบ้านของเจ้าขิ่นให้เร็วที่สุด เจ้าขิ่นลุกขึ้นเดินตาม

เจ้าหนุ่มที่เดินนำหน้าสอดสายตาดูลุ่ทางก่อนจะนำนายพลเดินตาม เมื่อเห็นว่าปลอดภัย

“เย็นนี้น่าจะถึงบ้านฉันแน่ๆจ้ะ”

นายพลอินคานผงกศีรษะ อย่างน้อยๆก็พ้นการไล่ล่าได้พักหนึ่ง

“พอไปถึงบ้านฉันนายจะทำอะไรหรือ”

เจ้าขิ่นถาม นายพลไม่ตอบกลับหลบเลี่ยงสายตา

“แล้วเรื่องพี่ไผ่ล่ะ นายจะให้ไอ้ขิ่นคนนี้สืบเสาะตามหาไหมนาย ?”เจ้าเด็กหนุ่มอาสา

“ขอบใจเอ็งว่ะขิ่น ฉันเชื่อว่าลูกชายฉันเอาตัวรอดได้ เอ็งอย่าเพิ่งกังวลไปเลย”

“ฉันรู้ว่าพี่ไผ่เอาตัวรอดได้ แต่ก็กลัวพลาดท่าไอ้กฤษดาเอาน่ะสิ มันยิ่งเจ้าเล่ห์”ไอ่ขิ่นบ่น

นายพลอินคานหัวเราะเยาะกฤษดา

“น้ำหน้าอย่างมัน ไม่มีปัญญาทำอะไรลูกข้าได้หรอก ไอ้คนเศษเดนพรรค์นั้นมันเอาเงินซื้อคน มีแต่ไอ้พวกโง่ๆเท่านั้นแหละที่ยอมทำงานให้”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ

“แต่มันก็มีพรรคมีพวกนะนาย”

เจ้าขิ่นท้วง เกาหัวแกรกๆไม่รู้ว่าพี่ไผ่ของมันต้องระเห็จหายไปที่ไหนจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร มันมทำได้แต่ภาวนาให้พี่ไผ่ของมันปลอดภัย

“เฮ้ย...ออกเดินทางต่อเว้ย”

นายพลสั่งลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงหลังจากที่ได้นั่งพักสักระยะ เด็กหนุ่มวิ่งตามแทบไม่ทันเมื่อท่านนายพลบุกป่าฝ่าดงเรี่ยวแรงราวกับคนหนุ่ม

“ขิ่น ถ้าข้าตาย ฝากเอ็งดูแลเจ้าไผ่ด้วย มันเป็นพี่มึง ดูแลมันอย่างดีล่ะ”นายพลหันมาบอกเหมือนสั่งเสีย

“ทำไมนายพูดแบบนั้นเล่า ขิ่นใจหายหมด”

นายพลอินคานปิดปาก ไอ้ขิ่นไม่เข้าใจในตัวท่านนายพลเลย ว่าคิดอ่านสิ่งใดอยู่

“เออน่า แกดูแลนายน้อยแกดีๆล่ะ”

นายพลชราสำทับ เจ้าขิ่นผงกหัวหงึกหงัก จำต้องรับคำคล้ายกับสั่งเสียนั่น

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-11-2008 14:18:46
เย็นแล้ว...สองร่างต่างวัยเดินด้วยความเหนื่อยอ่อนตรงไปสู่กระท่อมมืดๆ ไอ้ขิ่นวิ่งนำหน้า ร้องเรียกมารดาเสียงดัง

“แม่...แม่...”

นางยะไข่โผล่หน้าออกมา ใบหน้าที่เคยสะคราญล่วงเลยไปตามวัยเบิกตากว้าง

“ไอ้ขิ่น”

ขิ่นยิ้มแป้น จูงนายพลแก่ชราขึ้นเรือ นางยะไข่รีบจุดตะเกียงต้อนรับทันที

“นาย !”

ท่านายพลยิ้มให้แก่นางยะไข่

“ฉันต้องมาพึ่งแม่สักพักน่ะจ้ะ”

ขิ่นเอ่ย เมื่อเห็นดวงตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

“เออ อย่าเพิ่งพูด พักก่อน.....”

นางยะไข่เตรียมน้ำเตรียมท่าให้ดื่ม ท่านนายพลมองใบหน้าของนายยะไข่แล้วก้มหน้าลง

“ฉันมาสร้างความลำบากใจให้กับครอบครัวเธออีกแล้วย่ะไข่”

“นายไม่ได้มาสร้างความลำบากอะไรให้เลย”

หญิงสาวม่ายตอบ ซึ่งมันทำให้นายพลรู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้สามีของนางตายเพื่อชาติบ้านเมือง

“แม่...ตอนนี้เรากำลังตกที่นั่งลำบากอยู่....”

ขิ่นขัดจังหวะไม่อยากให้ใครพูดถึงบิดาที่ตายในหน้าที่ นางยะไข่มองหน้าบุตร ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“เราถูกทรยศ จากไอ้พวกเห็นแก่เงิน ทำให้กองกำลังของเราแตกแยกกระจัดกระจายไป นายน้อยกิ่งไผ่ช่วยฉันกับนายพลเป็นตัวล่อให้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”

นางย่ะไข่ยกมือปิดปาก ทำหน้าตกใจอย่างยิ่ง

“โธ่...นายน้อย....แล้ว...ไม่มีใครช่วยเลยหรือ”เสียงของนางแหบแห้ง พรั่นพรึง

“ไอ้คนช่วยมันก็มีอยู่ แต่น้อยกว่าไอ้พวกทรยศ ตอนนี้พากันแตกกระเจิงเหมือนกัน ฉันกับนายพลมาขอหลบอยู่บ้านสักระยะหนึ่ง แม่ช่วยฉันด้วยนะ”

“แม่ต้องช่วยเอ้งอยู่แล้วไอ้ขิ่น ตอนนี้มันดึกมันดื่นแล้วไปพักผ่อนก่อนไป”

นางลุกขึ้นตระเตรียมที่นอนให้กับนายพลอินคานและบุตรชาย นายพลกล่าวขอบใจเมียข้าเก่าเต่าเลี้ยง ก่อนล้มตัวนอน คิดถึงบุตรชายที่ยังระหกระเหเร่ร่อน ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ไผ่...ขอให้ลูกปลอดภัยจากมือไอ้พวกชาติหมา”

ท่านพึมพำอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองลูกอยู่ไม่ขาดปาก ในหัวก็คิดถึงแผนการที่ต้องพื้นฟูกองกำลังแล้วตอบโต้พวกทรยศกลับ

“ไอ้ขิ่น เองหลับยังวะ”

นายพลลุกจากที่นอน มองดูเด็กหนุ่มนอนกรนคร่อกๆด้วยความอ่อนเพลีย

“ไอ้ขิ่นโว้ย”นายพลปลุก

เด็กหนุ่มสะดุ้งลุกพรวด

“นายจะเอาอะไรหรือ”

ท่านนายพลทรุดนั่งลง

“ขอโทษที่ขัดจังหวะการนอนของเอง ฉันวานแกเอาจดหมายไปให้พวกสำรวจแร่ที่เวียงนวรัฐะที ไปหาคนงานของนายพลแดเนียลนะ บอกว่าสหายสนิทส่งจดหมายมาให้ วานฝากส่งหานายพลแดเนียลที”

ไอ้ขิ่นมองดูซองจดหมายสีหม่นๆในมือ

“แต่ถ้าไม่พบ เอ็งต้องเผาจดหมายนี้ทิ้งทันทีเอ็งเข้าใจไหม”

ไอ้ขิ่นผงกหัวรับคำทั้งๆที่เต็มไปด้วยความง่วงงุน

“ข้าฝากเอ็งทีนะ”ย้ำอีกรอบ

“จ้ะๆฉันจะส่งให้ถึงมือเลย”

เจ้าขิ่นยัดจดหมายลงในย่ามประจำตัวมัน มุดเข้าที่นอนเหมือนเคย พอหัวถึงหมอนปุ๊ปก็หลับปุ๋ย ปล่อยให้นายพลชรานั่งมองดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยอยู่ตามลำพัง


------------------------------------------------

รุ่งสาง พอนายพลตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเจ้าขิ่นแล้ว ลุกจากที่นอนเห็นนางย่ะไข่กำลังหุงข้าวอยู่ สายตาอ่อนล้ามองดูหญิงม่ายตั้งหม้อข้าว

“ไอ้จิ่นมันออกไปส่งจดหมายให้นายแล้วจ้ะ”

นายพลชราลงจากเรือน ไอหมอกลอยเรี่ย นายพลตักน้ำที่นางยะไข่เตรียมไว้ให้ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก่อนขึ้นเรือน

“วันนี้มันจะกลับมาไหม”

นายพลถามถึงขิ่นอย่างเป็นห่วง ทอดสายตามองบ้านของเจ้าเด็กหนุ่มซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา มีลำธารไหลผ่าน แยกโดดเดี่ยวจากหมู่บ้าน

“ไม่รู้จ้ะ มันบอกว่าถ้าเสร็จงานก็คงกลับเลย แต่ถ้ายังไม่เสร็จก็อยู่ต่อ”

นางยะไข่ตั้งกาน้ำชาให้ นายพลอินคานหยิบรินใส่ถ้วยขึ้นดื่ม

“ขอบใจมากยะไข่”ใบหน้าล่วงวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ

“ไม่เป็นไรจ้ะ ครอบครัวของย่ะไข่ได้ช่วยนายก็ถือว่าเป็นเกียรติแล้วจ้ะ”

นางย่ะไข่ตอบ ก่อนขอตัวลุกขึ้นไปดูข่าว ปล่อยให้ท่านนายพลมองดูท้องฟ้าแจ่มใส ก่อนกุมอกตัวเองแน่น นิ่วหน้าเจ็บปวด

------------------------------------------------

เจ้าขิ่นปลอมตัวเองให้ดูโทรมๆเหมือนกับเด็กขอทานเข้าไปในเมืองนวรัฐะ ซึ่งตอนนี้กำลังวุ่นวาย จากการล่มสลายและการแย่งชิงอำนาจทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่าย กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็กินเวลานาน การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองขั้วอำนาจใหญ่ก็จบลงโดยที่ฝ่ายนายพลอินคานเป็นฝ่ายแพ้ ส่วนนายพลคะฉิ่นผู้เป็นน้องชาย หักล้างอำนาจพี่ชายนั้นก้าวขึ้นครองอำนาจแทน

“ข้าวของก็แพง จะออกไปไหนทีต้องระวังโจร”

เป็นเสียงบ่นของประชาชนที่อยู่ในความปกครองของนายพลคะฉิ่น

“ดูมันปกครองสิ เจ้าเมืองคนเก่ายังดีกว่าเลย”

ขิ่นก้มหน้าก้มตาเดิน เพราะตามรายทางเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบ ไม่มีใครสนใจใคร

“ดูสิ่งที่มันทำสิ....เอาเงินที่จะช่วยประชาชนไปจับจ่ายใช้สอยเองมันใช้ได้ที่ไหน”

ผ่านไปทางไหนก็มีแต่เสียงก่นด่านายพลคะฉิ่น และบ่นหานายพลอินคาน ขิ่นทำหน้าบึ้งเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่โสภา แต่แล้วก็ยิ้มเมื่อใครๆต่างเฝ้ารอการกลับมาของนายพลอินคาน

“มันฆ่าหมดทั้งบ้านไม่มีเหลือ คนใจชั่วหักหลังบ้านเมืองสมควรตาย”

ขิ่นเร่งฝีเท้าให้หนีห่างจากเสียงก่นด่า แล้วเหลียวมองหาบริษัทธุรกิจเหมืองแร่ของนายพลแดเนียล ซึ่งลงทุนทำตั้งแต่สมัยเข้ามาสำรวจเทือกเขาปัตไกใหม่ๆ เจ้าขิ่นกุมย่ามแน่น มันหนักใจเตรียมหมุนตัวกลับไปมาด้วยท่าทีไม่ค่อยสบายใจนัก

“อ้อ...ตรงนั้นนี่เอง”

สายตาปะทะตัวตึกเก่าๆ ป้ายเขียนบอกว่าเป็นบริษัทเหมืองแร่ซึ่งเข้ามารับเหมาในการทำเหมืองเพียงเจ้าเดียวในเวียงนวรัฐะ เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้า ในหัวก็คิดหาวิธีทางติดต่อ ในที่สุดก็เห็นชายวัยกลางคน พอเห็นเจ้าขิ่นหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ชักสีหน้ารังเกียจกับร่างสกปรกมอมแมม

“ไป...อย่ามาเกะกะหน้าร้าน”

ชายคนนั้นตวาด พลางเดินหนีเด็กหนุ่มรีบเดินไปหาผู้ที่เฝ้าหน้าร้านอยู่ ชายคนนั้นชักสีหน้าทันทีเมื่อเห็นขิ่นเดินตาม จะเอ่ยปากด่า แต่เด็กหนุ่มก็รีบพูด พลางยื่นจดหมายให้

“มีคนฝากจดหมายมา ฝากถึงนายห้างแดเนียล”

ชายคนนั้นคลางแคลงใจ มองขิ่นราวกับว่ากำลังปั้นเรื่องโกหกอยู่ เจ้าขิ่นมองยังยื่นจดหมายให้ สุดท้ายแล้วก็เอื้อมรับเมื่อเห็นว่าขิ่นไม่ยอมหนีไปไหน พลิกดูหน้าซองแล้วฉงน

“ไม่มีชื่อคนส่งหรือ”

ผู้ถือจดหมายอยู่ทำหน้าสงสัยว่าเจ้าเด็กขอทานมันโกหกอะไรหรือเปล่า เจ้าขิ่นพยายามหาคำตอบตอบไปอย่างระมัดระวัง

“เห็นบอกว่าเพื่อนเก่าของนายห้างฝากมา”

ขิ่นตอบ ทำหน้าซื่อๆ ดวงตาของผู้รับจดหมายเบิกกว้าง

“จริงหรือ...แกไม่ได้โกหกแน่นะไอ้หนู”

“จะโกหกไปทำไมครับ เงินก็ไม่ได้ แถมยังเสี่ยงเจ็บตัวอีก”

เด็กหนุ่มตอบเรียบๆ หากชายผู้นั้นยังไม่เชื่อ

“เปิดดูได้ไหม”

เจ้าขิ่นยืนกรานทันทีว่าไม่

“ไม่ได้ จดหมายนี้ให้นายห้างเปิดดูได้คนเดียว”

เจ้าหมอนั่นหรี่ตาลง

“งั้นรึ”

มือของมันกำจดหมายแน่นดูลุกลี้ลุกล้น เจ้าขิ่นนึกกลัว เกรงว่าจะทำงานผิดพลาด

“ไอ้เด็กขอทาน แกรออยู่ตรงนี้ล่ะกัน เดี๋ยวฉันจะไปส่งให้นายห้างให้”

เจ้าขิ่นอ้าปากจะค้าน หากชายผู้นั้นถือจดหมายเข้าไปภายในบริษัท สีหน้าของเจ้าเด็กหนุ่มเคร่งเครียดทันที ไม่นานนัก ชายร่างอ้วนคนหนึ่งก็ก้าวออกมา ส่งสายตาเฉียบแหลมดุจเหยี่ยวให้

“ฉันเป็นผู้ช่วยของนายห้าง แกว่าจดหมายนี่มาจากเพื่อนเก่าของนายห้างรึ ?”

ขิ่นผงกศีรษะ ใบหน้านั้นเปลี่ยนแปลงทันที

“พาไปข้างใน”

เจ้าขิ่นถูกรุนหลังเข้าไปภายใน มันมองดูข้างนอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนประตูจะปิดไล่หลัง

“ใครเป็นคนให้จดหมายนี่มา ไอ้เด็กขอทาน”

ชายร่างอ้วนถาม วางจดหมายลงตรงหน้า เจ้าขิ่นชักรู้สึกจะได้กลิ่นทะแม่งๆ

“ตอนที่ตระเวนขอทานไปเรื่อย เขาก็ให้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้วบอกให้เอานี้มาให้ที่นี่”

นิ้วชี้ไปยังจดหมาย ปั้นเรื่องโกหกหน้าตาย

“แล้วนายห้างไม่มาเอาจดหมายเหรอ”เด็กหนุ่มเลียบเคียงถาม มือตะปบจดหมาย

“ถ้านายห้างไม่อยู่ ฉันจะเอาไปคืนคนฝากส่ง”

หากจดหมายถูกดึงออกจากมือ ชายร่างอ้วนลุกขึ้น

“นายห้างไม่ได้อยู่ที่นี่ ตอนนี้ท่านพักผ่อนในพม่า...จดหมายนี่จะถึงมือนายห้างแน่ๆ ”

ขิ่นนั่งฟังเงียบๆ ไม่โต้แย้งอะไร ชายร่างอ้วนแกะจดหมายกวาดสายตาอ่านคราวๆ ใบหน้าราวถูกตีเข้าที่แสกหน้าเต็มๆ

“นี่มัน...อะไรกัน”

ซุ้มเสียงตกอกอกใจ เจ้าขิ่นตีหน้าเหรอหรา

“ท่านนายพลอินคานถูกยึดอำนาจหรือ...” เขาพูดพำพำ ดวงตาฉายแววกังวลแจ่มชัด

“เดี๋ยวแกปิดปากให้สนิทนะ”

หันไปบอกชายที่อยู่หน้าร้านให้นำเงินจำนวนมากวางบนโต๊ะ เจ้าขิ่นทำตาลุก

“หากใครถามอะไร เอ็งบอกไปว่าเอ็งไม่เคยมาที่นี่ เอ็งอย่าปริปากเด็ดขาด ถ้าเอ็งทำได้เงินส่วนนี้เป็นของเอ็งทันที”

เจ้าขิ่นลูบคลำเงินจำนวนมาก

“ครับ...นายผมจะไม่บอกใครทั้งนั้น”

เด็กหนุ่มรีบยีดเงินลงย่าม ก่อนจะถูกหิ้วปีกไปทิ้งไว้หน้าร้าน ชายที่อยู่หน้าร้านทำเป็นเอะอะโวยวาย เข้ามาทุบตีเจ้าขิ่น

“รีบไสหัวออกไปก่อนมึงจะถูกตีตาย ไอ้ขอทาน บังอาจเข้าไปขโมยของในร้าน”

เจ้าขิ่นลุกขึ้น ตั้งหลักวิ่งออกไปทันที มือกุมหัวที่ถูกตีป้อยๆ บ่นกับตัวเอง

“โอ้ย...ถ้าจะช่วยละก็ช่วยให้มันดีกว่านี้เถอะ”

เจ้าขิ่นเดินหลบตามตรอกซอย ก่อนกลับ มันก็ซื้อยาไปให้ท่านนายพล แล้วออกตระเวนซื้อข้าวของที่จำเป็นโดยใช้เงินที่ได้มา เจ้าเด็กหนุ่มเห็นวังที่เคยเป็นที่อยู่ของท่านนายพลอินคานแล้วถอนใจ วังแสนงามในสมัยอดีตเคยเป็นที่พักพิงของครอบครัวอบอุ่น เจ้าขิ่นละสายตาจากมัน...ทุกอย่างในชีวิตนายน้อยมันถูกช่วงชิงไป มันสาบานกับตัวเอง จะรับใช้นายน้อยของมันช่วงชิงของที่ถูกแย่งไปกลับคืนมา
------------------------------------------------

Ps.อดีตของหนูไผ่ รอตอนพิเศษ3 นะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 17-11-2008 15:24:00
ดันๆ  :pigha2: เมื่อไหร่จาถึงตอนหวานๆน๊าาา
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 17-11-2008 17:40:25
สงสารกิ่งไผ่ :o12:

ผู้กองใจร้ายยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 17-11-2008 20:46:16
เริ่มเห็นแสงสว่างเล็กๆแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 18-11-2008 08:56:48
โอ๊ะ...

เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้

ทั้งเศร้า ทั้งเครียดสุดๆ...

+1 เป็นกำลังใจนะคร้าบ

 :sad4:   :sad4:   :sad4:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 18-11-2008 10:44:48
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 18-11-2008 22:17:26
สงสารกิ่งไผ่จัง...ท่าทางจะมีปมอดีตที่ย่ำแย่  :เฮ้อ:
อนาคตจะเป็นยังไงต่อไปนะ...เอาใจช่วยไผ่ต่อไป...
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 19-11-2008 07:33:02
 :pig4:  มาให้กำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-11-2008 14:12:44
น่ารักกันจริงๆ คนอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะ ใครมาใหม่ก็ต้อนรับด้วยเน้อ :impress2:

ติดตามกันต่อไปก่อนน้า  น้องเรนคนแต่งเรื่องนี้สงสัยเก็บกดรันทดกดดันซะ  555

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 20 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 4]


ระหว่างพักเที่ยง ต้นธารานั่งมองหน้าภานุที่เอาแต่เหม่อและทำหน้าเคร่งเครียด เขาไม่สบายใจเลยที่ได้เห็นภานุทำหน้าเช่นนั้น เขาทรุดนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่มกุมมือของตัวเองไว้ มองดูภานุที่มากินข้าวเที่ยงด้วยสายตาเป็นห่วง กังวล

“พ่อผมบอกว่า ต้องกลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพ”

ต้นธาราเกริ่นเมื่อเจอกับหน้าของชายหนุ่มซึ่งทำหน้าเฉยชา และเรียบสนิท

“ธารกลับไปเถอะ”

ชายหนุ่มตอบ สีหน้าของต้นธาราเปลี่ยนไปทันใด มือถือช้อนชะงัก กลืนข้าวอย่างลำบากอยากเย็น

“แต่ก็คงอีกสักพักแหละ ให้พ่อทำธุระเรื่องธีให้เรียบร้อยก่อน ผมถึงจะกลับ”

รอยยิ้มของคุณหมอบางเบา มองใบหน้าของคนรักซึ่งยิ้มจางๆ ดูเหมือนว่าภานุจะไม่เอาใจใส่เรื่องของเขาเลย ออกจะเหม่อลอยด้วยซ้ำ ต้นธาราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...เขามองดูใบหน้าของคนรักก่อนจะลุกขึ้นเมื่อมารบกวนเวลางาน ภานุมองแผ่นหลังบอบบางติดจะเนือยๆเดินจากไป ตัวเองก็กลับวุ่นกับงานต่อ ตัวชายหนุ่มเองก็ร้อนรนใจเกี่ยวกับเรื่องของต้นธารา...มันร้อนในอกเหมือนมีบางอย่างเผาไหม้ช้าๆชายหนุ่มแทบไม่สนใจกับงานตรงหน้าเลย

“ตรงจุดนี้ที่ผู้กองธีหายไป เราวางกำลังค้นหาแล้ว”

ผู้พันกางแผนที่ชี้จุดที่พบผู้กองธีเป็นครั้งสุดท้าย ภานุจ้องมองพยายามตั้งสมาธิให้มากยิ่งขึ้น สายตาของท่านนายพลระดับสูงสองนายจับจ้อง รวมทั้งพันเอกชานเนน จึงต้องทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้ดี สลัดเรื่องของต้นธาราออกไปสักพัก หันมาคร่ำเคร่งกับงานต่อ


------------------------------------------------


ต้นธาราทรุดนั่งมองท้องฟ้าสีใส เขามองเมฆขาวที่ลอยเกลื่อนฟ้า หลับตาลงสัมผัสสายลมภูเขาโชยรื่น....ไม่เป็นไร...เขากำลังปลอบตัวเองเรื่องภานุ พยายามทำใจให้สบาย ก่อนยืดกายลุกขึ้นกลับไปบ้าน หยิบไดอารี่ออกมา มองดูมันเนิ่นนาน ก่อนที่จะเขียนบันทึก

...การที่ผมได้มาอยู่ที่นี่กับเขา ผมไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า แต่ความรักที่ผมพยายามมาตลอดก็สัมฤทธิ์ผล เขาหันมามองผมบ้าง ห่วงใยผมมากขึ้น แม้ว่าการกระทำบางอย่างจะครุมเครือ แต่ผมก็ยังรักเขาอยู่ดี มันช่วยไม่ได้ที่จะห้ามใจ สำหรับความรักหนึ่งที่ผมรู้สึก มันดีแล้วล่ะ ผมจะไม่เรียกร้องอะไรมากต่อไป....

ต้นธาราชะงักมือที่เขียนไดอารี่มองท้องฟ้าสีคราม ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นอ่อนลง ความเหน็ดเหนื่อยดูจะถาโถมเรื่อยๆ

...สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ สำหรับการอยู่ที่นี่นั่นก็คือเรื่องผู้กองนาคี ผมเพิ่งรู้ว่าผู้กองรักผม ภานุเป็นคนบอกข่าวนี้แก่ผมเอง มันทำให้ผมช๊อก แต่ทำเช่นไรดีในเมื่อหัวใจผมรักผู้กองภานุ มันอาจเป็นการทำร้ายจิตใจคนที่ตายไป ผมรู้...ผมเข้าใจดีว่ามันย่อมขมขื่นอย่างแน่นอนหากผู้กองนาคียังอยู่ เขาต้องเสียใจเพราะผม คนแสนดีแบบนั้น ผมไม่อยากให้เขาเสียใจเลย...

ต้นธาราทำปากการ่วงหล่น ก้มลงเก็บ หน้ามืดตาลายไปชั่ววูบ เขาก็เอนหลังพิงเก้าอี้ทันที ลมพัดปลิวหน้ากระดาษไดอารี่แผ่นบาง สายตาสีน้ำตาลทอดมองไปไกล ในที่สุดต้นธาราก็ปิดหน้าไดอารี่ ก่อนนำมันไปเก็บ เขารอถึงตอนเย็น บิดาก็กลับมา

“พ่อ....เมื่อไรเราจะกลับกรุงเทพกัน”ต้นธาราถาม

สายตาเฉียบคมของท่านนายพลพิภพมองหน้าบุตรชาย

“ทำไมล่ะ ?”

ท่านย้อนถาม นึกแปลกใจที่ไม่เห็นบุตรโวยวายหรือต่อต้าน

“ผมจำเป็นต้องรักษาตัวไม่ใช่หรือ”

ต้นธาราตอบบิดา รับเสื้อนอกแขวนไว้ ท่านนายพลทรุดนั่ง

“พ่อคิดว่าเราจะต้อต้านมากกว่านี้เสียอีก”

คิ้วบางเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ผมจะเลิกแล้วครับ...”

ผู้เป็นบุตรตอบเสียงเบา บิดาถอนใจยาว

“แล้วไอ้หมาบ้านั่นล่ะ”

ต้นธาราเอียงคอ สงสัยว่าหมายถึงใครกัน ก่อนที่จะนึกได้เมื่อหมายถึงคนในชีวิตเพียงหนึ่งเดียว

“ผู้กองภานุน่ะหรือครับ เขาบอกว่าให้ผมกลับไปกรุงเทพ”

ท่านนายพลชักสีหน้าไม่ชอบใจสุดๆเมื่อได้ยินบุตรชายเรียกชื่อ สายตาของผู้เป็นบุตรมองดวงตาของบิดาแล้วยิ้มเย็น

“เราก็เลยคิดกลับว่างั้น? เชื่อมันมากกว่าพ่อเสียอีกนะเรา”บิดากล่าว

ต้นธารากุมมือบางไว้เมื่อถูกต่อว่าต่อขานแบบนั้น ก้มหน้างุด บิดาหงุดหงิด

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับพ่อ ผม...”

ลูกชายพยายามแก้ตัว ผู้เป็นบิดาโบกไม้โบกมืออย่างรำคาญ

“ลูกรักมันมากกว่าพ่ออีกหรือ ลูกยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมัน แม้แต่เกียรติยศ ศักดิ์ศรี หน้าตาของครอบครัวงั้นหรือ”

ท่านกล่าวกระแทกเสียง ต้นธาราฟังแล้วไม่อาจโต้เถียง

“สิ่งที่มันทำกับลูก พ่อยอมรับไม่ได้หรอก”

ดวงตาเฉียบคมกล่าว มองหน้าบุตรชายอย่างพินิจ ต้นธาราไม่อยากฟังคำเทศนาที่จะร่ายยาวตามมาเลย....เขาห้ามได้ซะที่ไหน บ่นกับตัวเองในใจ บีบมือของตัวเองแน่นขึ้น

“พ่อครับ มันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้วนะครับ พ่อพยายามทำความเข้าใจหน่อยได้ไหม ?”

ต้นธาราครางด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ ท่านนายพลถอนใจเฮือก ท่าทีของคนทั้งคู่อึมครึ้ม ดวงตาของท่านายพลสื่อถึงความหน่ายเหนื่อย


“พ่อพยายามทำความเข้าใจกับความรักของลูก ลูกก็รู้ว่าพ่อรับมันไม่ได้ พ่อไม่เหมือนนายพลอรุณที่จะเข้าใจพวกแก”ท่านกล่าว

ต้นธาราก้มหน้าลง ดวงตาสีน้ำตาลกลายเป็นสีจัด

“ผมรู้ครับว่าพ่อยอมรับมันไม่ได้ แต่จะให้ผมทำอย่างไรครับ”

ดวงตาช้อนมองบิดาที่ทำหน้ายุ่งยากใจเสมอเมื่อพูดถึงความรักที่ไม่มีวันผลิดอกออกผล

“ถ้าให้พ่อพูด พ่อก็คงจะพูดว่าขอให้เราเลิกกับมัน แต่เราก็คงไม่ยอมใช่ไหมธาร”

บิดาบังคับเสียงให้นุ่มนวล พยายามไม่ใส่โทสะ บุตรชายกัดปาก

“พ่อไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก !”

บิดาตัดบท ลุกขึ้น ปล่อยให้ต้นธาราเอนหลังพิงเก้าอี้ กรอกตาไปมา บิดาไม่ยอมรับเสียที เขารู้ว่ามันยาก แต่จะให้ทำเช่นไร

“แล้วผมยังพบกับผู้กองได้ไหม”

ต้นธาราถาม ทำให้บิดาชะงัก หันมองบุตร

“มันกำลังยุ่งเรื่องงาน ลูกอย่าไปกวนดีกว่า”ท่านตอบ

ต้นธารารู้ผลแล้วล่ะ ว่าต่อไปนี้ โอกาสเจอกับผู้กองภานุคงลดน้อยลง

“ครับ”

ต้นธารารับฟังง่ายๆด้วยความที่ไม่อยากเถียง บิดามองลูกชาย ท่านรู้ดีว่ามันทำให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างท่านกับบุตร แต่มันจำเป็นต้องกระทำ ท่านยอมรับไม่ได้หรอก....นัยหนึ่งท่านไม่อยากให้บุตรเจ็บกับความรักครั้งนี้ อีกนัย ท่านไม่ชอบสัมพันธ์ความสัมพันธ์ที่แสนแปลกแยกจากความจริง แต่ทำอย่างไร ท่านก็ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี!

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-11-2008 14:13:54
ต้นธารานั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าบ้าน เขามองดูค่ายที่เงียบเหงา ตกค่ำ นายพลอรุณก็มาหาบิดา สองเสือเฒ่านั่งดื่มเหล้าสังสรรค์ รวมกับผู้พันหนุ่มอนาคตไกล สายตาของผู้พันหนุ่มเห็นคุณหมอนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเหงาจึงลุกขึ้นมาหา

“ทำหน้าบึ้งเชียว”

ต้นธาราเงยหน้ามอง ยกยิ้มอ่อนโยนให้แก่ผู้ที่นั่งข้างเคียงตน มือบางวางหนังสือ ผู้พันหนุ่มชะเง้อมองชิดใกล้

“หนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกหรือครับ”

มองหน้าปกซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ คุณหมอผงกศีรษะ ดวงตาของผู้พันมีรอยชื่นชม

“ชอบอ่านหรือครับ”

ชานเนนชวนคุย ต้นธาราผงกศีรษะ เขาลูบหน้าปกหนังสืออย่างใจลอย

“ไม่มีอะไรอ่านก็เลยหยิบมาอ่านดู เป็นหนังสือของพ่อน่ะ”

คุณหมอธารกล่าว มองเสี้ยวหน้าแกร่งปนกับอ่อนโยนของผู้พันหนุ่ม

“อ้อ....คุณหมอชอบอ่านหนังสือแนวไหนบ้าง”

ผู้พันหนุ่มชวนคุย ต้นธารามองไปยังโต๊ะสังสรรค์ก่อนจะตอบ

“อ่านได้ทุกแนวแหละครับ ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ”

น้ำเสียงติดเย็นชา หากผู้พันไม่สนใจ มองไปทางโต๊ะของนายพลทั้งสองซึ่งสายตาจับจ้องมายังคนทั้งคู่ แสร้งทำเป็นไม่รู้เสีย

“แล้วได้อ่านหนังสือชีวประวัติของเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลหรือยังครับ ผมชอบสุนทรพจน์เขามากเลย”

มองใบหน้าของคุณหมอก่อนต้นธาราจะผงกหัว

“อ่านแล้วครับ...เชอร์ชิลล์เป็นอดีตรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของอังกฤษ เป็นคนที่มหัศจรรย์มากในความคิดของผม”

พันเอกหนุ่มยิ้มเมื่อคุณหมอตอบได้

“สุนทรพจน์ของเชอร์ชิลผมก็ชอบนะที่พูดว่า คนอังกฤษเป็นผู้มีจิตใจห้าวหาญดุจดังราชสีห์อยู่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นเพียงแต่ผู้ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนใน การส่งเสียงคำรามเท่านั้น...ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดจะมอบ นอกจากโลหิต แรงงาน น้ำตา และหยาดเหงื่อ เป็นคำพูดที่ปลุกปลอบใจได้ดีน่ะว่าไหม”

ผู้พันผงกศีรษะ

“ครับ ป็นผู้นำที่พาอังกฤษฝ่าฟันสงครามโลกครั้งที่สองได้กล้าหาญมากทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะชนะหรือเปล่า”

ผู้พันหนุ่มเสริม ต้นธารามองดวงตาสีดำสนิทแฝงไว้รอยขี้เล่น เอาจริงเอาจัง แนวเคราเขียวกับมุมปากหยักขึ้นทำให้คิดถึงผู้กองภานุขึ้นมาทันที

“น่าแปลกนะครับที่คุณหมออ่านหนังสือพวกนี้ด้วย”

ต้นธาราหัวเราะเบาๆ

“สงสัยเป็นเพราะว่าที่บ้านมีแต่หนังสือพวกนี้มั้ง ก็เลยได้อ่านแล้วก็จำมา”

ผู้พันหนุ่มชวนคุยเรื่องที่ต้นธาราชอบ ซึ่งคุณหมอก็คุยได้ไม่เบื่อ ไล่จากหนังสือรักไปจนถึงประวัติศาสตร์ที่แสนเคร่งเครียด คุณหมอหนุ่มตอบได้เกือบทุกเรื่อง

“ผมรู้สึกว่าผมยอมแพ้เลย คุณหมออ่านครบทุกแนวจริงๆ”

ต้นธารายิ้มอย่างภาคภูมินิดๆ

“ไม่มีอะไรทำผมก็ขลุกอยู่กับห้องหนังสือหรือไม่ก็ห้องสมุดครับ อ่านจนสายตาแย่”

ผู้พันหนุ่มลุกขึ้น เดินไปหยิบแก้วน้ำให้กับคุณหมอ

“ไง...คุณอะไรกับธารหรือผู้พัน”นายพลพิภพถาม

“ก็เรื่องหนังสือครับ คุณหมอเป็นหนอนหนังสือตัวยงเลย ผมนับถือคุณหมอจริงๆ”

ผู้พันรินน้ำเปล่าใส่แก้ว

“ธารชอบอ่านเหมือนแม่เขาน่ะ”

ผู้พันหนุ่มยื่นฟังเงียงัน

“รายนั้นได้จับหนังสือทีไรเป็นต้องลืมโลกทุกที”

ท่านนายพลพิภพบ่นลูกชาย สายตาของผู้พันปรายมอง คุณหมอจดจ่ออยู่กับหน้าหนังสือ ดวงตาสีอ่อนจริงจัง

“เอาน้ำไปให้หนูธารรึ รีบไปสิ”

ท่านนายพลอรุณมองแก้วน้ำทรงสูงซึ่งไอเย็นเกราะพราว ผู้พันหนุ่มรีบยกไปให้ สองนายพลมองหน้ากัน

“นี่มันหมายความว่าไงกัน”

ท่านนายพลอรุณถาม สีหน้าของเสือเฒ่าข้องใจ นายพลพิภพไม่พูดอะไรทั้งนั้น รินน้ำเมาใส่แก้วจนล้นปรี่

“แล้วคิดว่าไงล่ะ”

นายพลรุณถอนใจยาว

“คิดว่าพยายามเข้าใจเรื่องของหนูธารกับเจ้าภานุมันแล้วเสียอีก”

ท่านพึมพำ มองไปทางผู้พันชานเนน

“ข้าพยายามทำความเข้าใจแล้วว่ะ แต่มันอดไม่ได้ ข้าหมั่นไส้ไอ้จองหอง”

นายพลพิภพกล่าว มองน้ำสีเหลือง นึกชังเมื่อนึกถึงหน้าร้อยเอกภานุ

“เขามีกรุ๊ปเลือดเดียวกับธารนะ ถึงจะไม่ชอบอย่างไร เขาก็เป็นความหวังหนึ่งเดียวให้กับธาร”

นายพลอรุณให้เหตุผล

“รู้....แต่จะให้ทำยังไง ฉันก็เป็นผู้ใหญ่ระดับสูงแล้วมันเป็นใครมาอวดผยอง”

ท่านกำมือแน่น ถอนใจอย่างนึกฉุน

“มันต้องเป็นเหมือนกับเจ้าพันเอกนั่นใช่ไหมถึงจะพอใจ”

นายพลอรุณว่า ฝ่ายนายพลพิภพเงียบกริบ รุ้ว่ามันเป็นจริงกึ่งหนึ่งตามที่กล่าว

“ป่านนี้แล้วยังนึกถึงแต่ตัวเองอยู่หรือวะพิภพ”

นายพลอรุณจิบเหล้า ก่อนถามเพื่อน

“ไม่ได้นึกถึงตัวเองโว้ย คิดในแง่ของพ่อคนหน่อยสิวะ”

ท่านนายพลอรุณบีบแก้วในมือ

“คิดแล้วว่ะ...แต่มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับหนูธารอยู่ดี อยากให้หนีไปอีกหรือไง”

ท่านกล่าว กลัวเป็นเหมือนก่อน

“หนีคราวนี้จะฟาดแข้งหัก เรื่องเจ้าภานุอย่าเพิ่งพูดได้ไหม ตอนนี้ขี้เกียจฟัง....ร้อนหู !”

นายพลอรุณหยุด สงบปากสงบค่ำอยู่เงียบๆ

“แล้วแกคิดว่าไอ้ผุ้กองมันดีตรงไหน”นายพลอรุณย้อนถาม

“คนอย่างหมาบ้า มันดีแต่กัดคนอื่นเป็นเท่านั้นแหละ”นายพลพิภพท่านกล่าวปรามาส

“มันไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้ภานุมันมีแต่กว่าที่เห็น”

นายพลเฒ่าทำหน้าเหมือนหยันเหยียด ไม่เห็นดีเห็นงามตรงไหนกับนิสัยของเจ้าร้อยเอกหนุ่ม

“เออ...มันดี ก็เพราะว่ามันเป็นลูกน้องของแกไงวะ สำหรับข้าแล้ว ไม่เห็นประโยชน์อะไรสักอย่าง”

“ เจ้าพันเอกที่หนีบมาก็ไม่ต่างอะไรกันเหมือนกัน”

สองเฒือเฒ่านิ่งเงียบ เมื่อเรื่องของเจ้าภานุจะกลายเป็นข้อขัดแย้งเสียแล้ว

“ท่านครับ ขออภัยที่มารบกวนกลางดึกครับ”

เสียงผู้กองภานุนั่นเอง นายพลทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่นายพลอรุณจะลุกขึ้น

“ว่าไง”

มองเห็นเจ้าหนุ่มยังแต่งตัวเต็มยศ ท่าทีเร่งรีบจึงเชิญขึ้นมา สายตาเฉียบเย็นจ้องแทบทะลุ ภานุพยายามจะไม่สนสายตาของนายพลพิภพ

“มีเรื่องอะไร”

ภานุยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้

“เป็นเรื่องข่าวของผู้กองธีรเดชครับ เรื่องด่วนที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบโดยเร็ว...”

ชายหนุ่มตอบ ปรายตามองคนรักซึ่งนั่งคุยกับผู้พันหนุ่มอย่างสดใส ในใจนึกเคืองขุ่น หากยังตีสีหน้าได้เป็นปกติ

“ขอบใจมาก อันนี้เอาไว้ประชุมพรุ่งนี้ใช่ไหม”

นายพลพิภพถาม ภานุตอบท่านอย่างแข็งขัน

“ครับผม!”

“รบกวนผู้กองมาก ขอบคุณ”

นายพลพิภพกล่าว ก่อนภานุจะขออำลา ต้นธาราไม่มีทีท่าว่าจะสนมใจร้อยเอกหนุ่มสักนิด ทำราวกับไม่เห็นคนรักในสายตา ซึ่งภานุพยายามจะไม่คิดอะไรมาก รีรออยู่ชั่วขณะ นายพลอรุณยิ้มเป็นนัย ก่อนหันไปทางผู้เป็นหลาน

“ธาร...”

ต้นธาราซึ่งพยายามทำตัวไม่สนใจภานุมากนั้นสะดุ้งโหยง ทั้งๆที่เห็นชายหนุ่มแล้วเขากลับแสดงอาการดีใจออกไปไม่ได้ ผู้พันชานเนนหันไปตามเสียงเรียก พบกับร่างสูงยืนทำหน้าบึ้ง ไม่ผิดอะไรไปจากสีหน้าของนายพลพิภพ

“ขอโทษนะครับ”

ต้นธาราวางหนังสือลง ลุกขึ้น ผู้พันหนุ่มเดินตามหลังราวกับเป็นองครักษ์ ภานุทำความคารพผู้พันยศสูงกว่า ก่อนมองต้นสายตาด้วยสายตาเย็นจัด

“ลุงอรุณมีอะไรหรือครับ”

ต้นธาราถาม มองสายตาของบิดาที่ตีหน้าอดทนอดกลั้นต่อการกระทำของเพื่อน

“ผู้กองทานอะไรมารึยัง”

ถามด้วยน้ำเสียงมีเมตตา ร้อยเอกภานุงุนงง ่อนจะตอบท่าน


“ยังครับ”

ท่านนายพลอรุณยิ้มน้อยๆ ผิดกับใบหน้าของท่านนายพลพิภพซึ่งดูบูดเบี้ยว เมื่อโดนกระตุกหนวดเสือโดยเพื่อนรัก

“งั้นธารไปทำอะไรให้ผู้กองทานหน่อยเถอะ คงยุ่งจนไม่มีเวลาหาทานเองแน่”

ผลักบ่าผู้เป็นหลานออกไป นายพลพิภพอ้าปากค้างเตรียมร้องเรียก หากร้อยเอกหนุ่มทำความเคารพก่อนจะดึงมือคุณหมอให้เดินตมต่อหน้าต่อหน้า ผู้พันชานเชนถอนใจเบาๆ มองแผ่นหลังบอบบางด้วยแววตาอาลัยเล็กน้อย

“ไปดื่มเหล้าต่อเถอะ”

ภูเขาไฟใกล้ระเบิด เมื่อเพื่อนส่งเนื้อเข้าปากเสือเอง ทำทีไม่สนใจ มองพันเอกชานเนนด้วยแววตาสงสารด้วยซ้ำ นายพลพิภพสะกดกลั้นอารมณ์ นั่งกระแทกกระทั้น

“ระวังความดันขึ้นนะ ผู้พัน คุณก็มาร่วมวงสิ”

ผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ นายพลพิภพแทบกระอักเลือดทันใด

------------------------------------------------

มือของผู้กองฉุดกระชากร่างคุณหมอ ซึ่งก้าวฉับๆตามแทบไม่ทัน ดูเหมือนว่าภานุกำลังโกรธ...ต้นธาราไม่ถามว่าเป็นเพราะอะไร มองแผ่นหลังแกร่งด้วยความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาในใจหลากหลาย ในที่สุดภานุก็หยุดเดิน

“ผมไม่ชอบใจเลยที่คุณยิ้มให้คนอื่น”ภานุเอ่ย

ต้นธารามองแผ่นหลังแกร่งและแรงบีบที่มือ

“ทำไมล่ะ การที่ผมสนิมสนมกับคนอื่นเป็นเรื่องผิดหรือ”

ผู้กอนหนุ่มหันมา ตอบช้าชัด

“ไม่ผิดหรอก แต่กับไอ้ผู้พันนั่นผมขอ”

ต้นธาราเลิกคิ้วสูง ก่อนจะยิ้ม

“ผู้พันเป็นคนดีนี่ครับ ตอนที่ผมป่วยเขาก็อยู่เฝ้าผม ทำไมต้องยกเว้นเขาคนเดียวด้วยละที่ผมห้ามคบ”

ภานุมองใบหน้าต้นธารา ฉุดให้เดินต่อ พลางพึมพำ

“ทึ่มหรือแกล้งทึ่มกัน”

ต้นธาราอมยิ้ม ดีใจที่ภานุยังมีความรู้สึกมอบให้เขาอยู่จึงลองแกล้งทำเป็นไม่รู้ดูบ้าง คุณหมอเป็นฝ่ายกอดแขนแกร่งเอาไว้แทน

“หลังจากเสร็จเรื่องธี ผมก็เข้ารับการรักษาตัวต่อแล้วคุณจะไปเยี่ยมไหม”

ต้นธาราถาม ดวงตากร้าวของภานุอ่อนลง ชายหนุ่มดึงศีรษะแนบอก แตะเรือนผมนุ่ม กระซิบตอบเสียงแผ่ว

“ไปสิ...มีธุระสำคัญด้วย”

ตอบแล้วแนบจูบหน้าผากแผ่วเบา ต้นธาราสงสัยกับธุระสำคัญของชายหนุ่ม อยากถาม หากภานุไปเปิดโอกาสให้ถามเลยนิด

“ธาร...หากผมเสียคุณไปจะทำอย่างไรดี”

ภานุเกาะร่างบางเอาไว้

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ แช่งกันอยู่หรือ”

ใบหน้าของผู้กองส่ายไปมา

“เปล่า...ผมนึกหวั่น...”

ผู้กองหนุ่มพูดไม่ออก มองใบหน้าซีดขาว ต้นธาราลดสายตาลง

“ผมไม่ตายง่ายๆหรอกน่า ผู้กองก็ชอบแช่งกันจริง”

วงแขนบอบบางโอบอุ้มไว้อย่างนุ่มนวล ไม่อาจมองเห็นดวงตาที่ฉายถึงความทุกข์ได้เลย


“ธาร...จำไว้ว่าผมจะไม่ทิ้งคุณเลย ถ้าไปไหนไกลผมจะตามคว้ากลับคืนมาให้ได้ ผมจะอยู่ข้างจนตัวตาย”

ต้นธารายิ้มบางเบา...แม้ดีใจ...หากดวงตาสีน้ำตาลยังแฝงด้วยความโศกล้ำลึก

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 19-11-2008 14:53:02
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย

มีหึง  น่ารักจริงผู้กอง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 19-11-2008 15:36:25
มหกรรมกดดันคนอ่านอย่างต่อเนี่อง ติดๆกันเลยนะครับ
กิ่งไผ่ก็ยังมีอะไรที่ซับซ้อนซ่อนปมเอาไว้อีกมากมาย ดูแล้ว
อดีตคงไม่น่าจดจำเกี่ยวกับ นายแฮร์ฟอร์ดอะไรนั่น
แล้วู่นี้ดูแล้วนายพลภิภพจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย ต้องถามว่า
จริงๆแล้วรักลูกหรือคิดอะไรกันแน่ นายพลอรุณยังรักและหวังดี
กว่าพ่อแท้ๆที่ไม่รับอะไรเลยจริงๆ แต่ที่สำคัญขอให้ปาฏิหารย์
เกิดขึ้นจริงๆสักที
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 22-11-2008 11:11:41
สะใจ...พ่อหนูธารโดนกระตุกหนวด  :m20:
ทำเป็นรับไม่ได้ แต่จะเอาผู้พันมาประเคนแทน
ทำเป็นพ่อตาเลือกลูกเขยไปได้ ต๊องชะมัด...

ตอนนี้แอบหวานนนนน  :-[
แม้จะปนความเศร้าก็เอาน่า...รออ่านต่อไปปป
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 24-11-2008 11:01:19
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 24-11-2008 11:32:29
สะใจ...พ่อหนูธารโดนกระตุกหนวด
ทำเป็นรับไม่ได้ แต่จะเอาผู้พันมาประเคนแทน
ทำเป็นพ่อตาเลือกลูกเขยไปได้ ต๊องชะมัด...

ตอนนี้แอบหวานนนนน
แม้จะปนความเศร้าก็เอาน่า...รออ่านต่อไปปป

เหงด้วยฮะ

 :laugh:   :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 24-11-2008 14:23:12
ขอบคุณที่ทุกๆท่านยังติดตามเรื่องมหากาพย์เรื่องนี้ค้า :3123: ประกาศแจ้งล่วงหน้าว่ามหากาพย์คู่น้องธารกะป๋าภานุใกล้จะอวสานในไม่ช้านี้แล้ว(คนเขียนโล่งใจที่มหากาพยืน้องธารจบลงได้เสียที)ติดตามตอนพิเศษในอีกไม่ช้านี้นะค่ะ ขอบคุณค้า :call:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-11-2008 15:54:18
 :call: หวังว่าไม่เศร้ายันจบนะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-11-2008 18:02:54
อิอิ  หวังว่าคงไม่เศร้ายันจบจริงๆ นะน้องเรน
ขอหวานๆ กุ๊กกิ๊กๆ หน่อยนึงก็ยังดีนะ  คุณพี่ขอร้องงงงงงง
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันน้า  แต่ยังไม่จบ  ตามกันต่อไป 
 :กอด1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 21 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 5]


แม้ว่าในใจยังกลัดกลุ่มมาบัดนี้ ชายหนุ่มแย้มยิ้มออกมาได้ มือกร้านแตะแก้มบางใส รั้งเอนซบแผ่นอก ถอนถอดใจ หลังจากมาถึงบ้าน ภานุก็รั้งคุณหมอไว้ทันที

“ไม่กลัวเสือเฒ่าหรือ”

ต้นธาราหยอกเย้า หัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มขยี้ศีรษะจนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มมือยุ่งเหยิง ต้นธาราปัดป้อง เมื่อภานุใจดีแบบนี้ เขาก็สบายใจขึ้น ในที่สุดเสียงหัวเราะหยุดไป ต้นธารามองท้องฟ้าเคลือบสีดำสนิท ส่วนลึกลงในใจดูเหมือนเศร้าๆ เมื่อคิดว่าอีกไม่นานก็ห่างจากชายหนุ่ม ภานุมองดวงตาของคุณหมอ รู้ว่าสื่อถึงความเศร้าสร้อย ทว่าเขาจะปลอบอะไรได้ ในเมื่อตัวเองก็กังวลไม่ต่างกัน

“ผู้กองเคยยิงปืนไหม ?”

ต้นธาราถาม ภานุขมวดคิ้ว

“ผมเป็นทหารนะต้องเคยยิงสิ”

ตอบต้นธาราไป ร่างสูงก็ปล่อยร่างบางออก ขยับนั่งให้สบาย

“ถามทำไม”ภานุย้อน มองดวงตาวิบวาวอย่างข้องใจ

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากหาเรื่องที่คุยันได้น่ะ”

ภานุเลิกคิ้วขึ้น

“เหมือนกับคุยกับผู้พันชานเนนใช่ไหม”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจสุดๆ ดวงตากร้าวจ้องต้นธาราที่นั่งอมยิ้มอยู่

“ผู้พันชานเนนชอบอ่านหนังสือเลยคุยกันถูกคอเท่านั้นเอง แล้ว...ผู้กองละชอบอ่านไหม”

ต้นธาราถามด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน ภานุเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เคลือบไว้ด้วยความรักเต็มเปี่ยม

“ไม่ เรื่องน่าเบื่อแบบนั้นใครจะไปทำ”

ชายหนุ่มตอบ ชักไม่เข้าใจคุณหมอคนนี้เอาเสียเลย ใจดี อ่อนโยนกับเขาซึ่งเคยทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ว่ารัก....แต่มันจะเกินไปหรือเปล่านะ

“น่าเสียดายนะ”

คุณหมอบ่นพึมพำ ก้มหน้าลง ภานุกลืนน้ำลาย เมื่อคุณหมอนั่นทำให้หัวใจปั่นป่วนมากขึ้นทุกทีๆ

“แต่ผมชอบอ่านนะ หนังสือน่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ รับฟังเงียบๆแทนถึงแม้ว่าจะรำคาญไปบ้างก็เถอะ

“อะไรบ้างล่ะ”

ต้นธารายิ้มเมื่อชายหนุ่มตั้งคำถาม

“ก็หลายเรื่อง...อยากให้ผู้กองอ่านบ้างจังเลย”

ภานุหัวเราะหึๆก่อนเอนหลังนอนกับพื้น

“บอกแล้วเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นผมไม่สนหรอก”

ต้นธารานิ่งงัน ในที่สุดต้นธาราก็พยายามหาเรื่องที่จะคุยกับภานุได้ ชายหนุ่มคงเห็นว่าเงียบไปนานจึงลุกขึ้น นั่งเบียดชิด

“ผมมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นรออยู่ ถ้าผมสนใจเรื่องน่าเบื่ออาจจะพลาดอะไรดีๆไปก็ได้”

มือแกร่งแตะคางเบาๆ ก่อนลูบไล้แผ่วๆ ต้นธาราเบือนหน้าหนี

“อย่าครับผู้กอง”

ต้นธาราห้าม จับมือที่กำลังไล้ปลายคางตัวเองออก ใบหหน้าภานุดูบึ้งตึงไป ภานุล้มตัวนอนลง รู้สึกหงุดหงิด

“เห็นคุณถามถึงเรื่องปืน สนใจด้วยหรือ”

ภานุเป็นฝ่ายชวนคุยบ้างหลังจากคุณหมอเงียบไป

“สนใจสิ เมื่อก่อนตอนเด็กๆพ่อสอนเรื่องปืนด้วย เคยสอนยิง เมื่อก่อนพ่อผมเป็นนักสะสมปืน แต่ก็เลิกแล้ว”

ต้นธาราเล่าถึงชีวิตวัยเด็ก ที่ยังมีแม่และพ่อ เป็นครอบครัวที่อบอุ่น พ่อของเขายังไม่มีภาระเยอะ จนกระทั่งเลื่อนยศเป็นถึงท่านนายพล ออกจากบ้านปล่อย ปล่อยให้แม่เหงา เขาที่ยังเล็กอยู่คอยมองมารดาร้องไห้เงียบๆก็รู้สึกไม่ชอบใจและเริ่มต่อต้านบิดาขึ้นมา บางทีไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องร้องไห้เพื่อพ่อที่เลือกงานมากกว่าครอบครัว เขายังเด็กเกินไป พอตัวเองมาเป็นเหมือนกับแม่ที่รักพ่อมากก็เข้าใจว่าตัวเองคงไม่ต่างจากมารดาสักเท่าไร ภานุจับจ้องดวงตาหมองๆของคุณหมอ

“ตอนเด็กๆเรอะแสดงว่าคงเก่งละสิ”

ต้นธาราคลี่ยิ้มเล็กน้อย

“เก่งไหม....ไม่หรอก พ่อผมให้แตะปืนจริงแค่ครั้งเดียว แล้วพ่อใช้ปืนอัดลมด้วย ท่านไม่ให้ผมจับอีกเลยเกรงว่าจะเกิดอันตรายแต่ผมยังเซ้าซี้จนได้ พอโตขึ้นมาหน่อย พ่อผมลยพาไปสมัครเรียนยิงปืน”

ภานุทำหน้าแปลกใจ ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอจะจับปืนเป็นด้วย ทั้งๆที่ลักษณะภายนอกไม่ให้แท้ๆ

“เรียนนานไหม”ภานุถาม

“นานพอควร แต่สุดท้ายก็เลิกก่อน กะเอาแชมป์แต่สุขภาพไม่เอื้อน่ะ อีกอย่างตอนนั้นก็ใกล้เอ็นท์แล้วด้วย แถมยังเลือกเรียนแพทย์อีกก็เลยหยุดไว้ซะ เอาไว้เป็นงานอดิเรก แต่ตอนนี้ฝีมือคงตกแล้วมั้ง”ต้นธาราพึมพำ

“แล้วไม่เลือกเรียนทหารตามท่านนายพลล่ะ”

ภานุถามถึงเรื่องส่วนตัวของคุณหมอ ดูเหมือนต้นธาราจะยิ้มหยัน

“ไม่....คงมีอคติกับพ่อมั้งแต่สุดท้ายอย่างที่เขาว่า เกลียดอะไรก็เจออย่างนั้น ทั้งๆที่เลือกแพทย์แล้วยังมาเจอกับคนใจร้ายอีกจนได้”

สายตาสีน้ำตาลเหลือบมองนายทหารหนุ่มนอนช้อนศีรษะตัวเอง

“ทำไมคุณหมอถึงรักผมนัก”

ภานุถาม อยากให้เรื่องที่มันค้างคาจบลงโดยเร็ว ดวงตาของคุณหมอ เหม่อไป....รู้ว่าผู้กองหมายถึงอะไรกันแน่

“แปลกใจใช่ไหมว่าทำไมถึงทุ่มเทนัก ผมอยากจะลองดูสักครั้งน่ะ ว่าความรักที่ตัวเองมีให้แก่คนๆหนึ่ง มันจะได้ถึงขนาดไหน ผมไม่ชอบให้ทุกอย่างมันครึ่งๆกลางๆ”

“แล้วถ้าผมยังไม่ยอมรักคุณล่ะ”ภานุถาม

“ถ้ามันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ...ก็คงตัดใจ”

ผู้กองคว้าเอวบางเอาไว้

“แล้วตอนนี้ถึงขีดสุดความอดทนหรือยัง”

ชายหนุ่มซุกใบหน้ากับตัก ต้นธารานิ่งงัน

“ไม่รู้สิ”

มือบางลูบเรือนผมของผู้กองที่ทำตัวออดอ้อน

“รู้ไหมตอนที่ผมไปลาดตะเวนน่ะ ผมกลัวมากเลยที่ต้องจากธารไป...ครั้งหนึ่งที่ผมถูกล้อม ผมมองดวงดาว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาไหม มันอาจเป็นดวงดาวสุดท้ายที่ผมเห็นก็ได้ ผมเลยอธิษฐานให้ผมกลับมาหาคุณได้อย่างปลอดภัย ผู้กองธีด่าผมว่าผมไม่รู้อะไรอะไรเลย ทั้งๆที่คุณรักผมแต่ผมยังทำร้ายคุณอยู่ได้ ธีรเดชพูดถูก ผมมันโง่ที่สูญเสียเวลาไปเปล่าๆโดยไร้ค่า ผมน่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับผมมากที่สุดคือ...”

ชายหนุ่มหยุดนิ่ง น้ำเสียงสั่นเทา ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่กระทำ ทำให้ใครเจ็บปวดขนาดไหน พอใกล้สูญเสีย...ก็เพิ่งรู้ตัวว่าสำคัญ

“ธารผมจะไปตรวจไขกระดูกว่าตรงกับคุณหรือเปล่า โอกาสมีหนึ่งในล้าน แม้ว่าเลือดเราจะตรงกันแต่ก็ไม่รู้ว่าไขกระดูกจะเข้ากันหรือเปล่า ผมได้แค่หวัง....หวังแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม”

“ถ้ามันเข้ากัน...ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสหายนี่ ผมยังต้องเคมีบำบัดอีก”

ต้นธารากล่าวเบาๆ เหนื่อยหน่ายกับโรคของตัวเอง

“เข็มแข็งไว้นะธาร....ผมจะไม่ให้คุณตายเด็ดขาด”

ชายหนุ่มกุมมือบางแน่น จนรู้สึกเจ็บ หากไออุ่นของชายหนุ่มกลายเป็นกำแพงโอบล้อมใจที่แสนขลาดกลัว ขจัดบรรเทาเบาบาง


“ผู้กอง...รู้สึกว่าจะใจดีผิดปกตินะ”

ต้นธาราว่า ไม่ใช่ไม่ดีใจ หากรู้ว่าสิ่งที่ผู้กองทำมันต่างจากตัวตนจริงๆ ทำไมถึงกลัวมากขนาดนี้กันนะ

“ไม่ดีหรือ”ภานุถาม

ต้นธาราส่ายหน้า

“เปล่า...ผมว่าผมคงได้เวลากลับแล้วมั้ง”

ยิ่งดึกต้นธาราก็ยิ่งกังวล หากชายหนุ่มกดแขนเอาไว้

“ไม่ให้ไป”

อ้อมแขนแกร่งดึงรั้งให้อยู่ ต้นธารานิ่ง จำเป็นต้องอยู่ต่อเมื่อผู้กองจอมผูกขาดนอนทับตักเอาเสียดื้อๆ

“ผู้กองอยุ่ห่างจากค่ายขนาดนี้ไม่เป็นไรหรือครับ”

ต้นธาราเอ่ย พยายามหาบทสนนาคุยกับชายหนุ่ม ภานุหัวเราะหยันๆ

“ไม่มีใครกล้ายุ่งกับแถวบ้านผมหรอก”

ชายหนุ่มบอกอย่างทระนง ต้นธาราทอดถอนใจ

“นิสัยของผู้กองต้องเป็นคนดื้อด้านมาตั้งแต่เกิดแน่ๆ”

ต้นธารากล่าว เสียงห้าวๆขบขันกับคำพูดของคุณหมอ

“เดาไปมั่วแล้ว”ภานุว่า

“ง่วงแล้ว”

ชายหนุ่มอ้าปากหาว พลางบิดขี้เกียจ ต้นธาราลุกขึ้นตาม ไม่ใช่เพราะอะไร ผู้กองหนุ่มดึงขึ้นนั่นเอง

“ถอดเสื้อให้หน่อย”

ภานุว่าหลังจากเข้าไปอยู่ในห้องเพียงลำพัง ต้นธารารู้สึกเคอะเขิน ชายหนุ่มมองแล้วยิ้มน้อยๆ

“ไม่กล้าหรือ...”

น้ำเสียงทุ้มหู มือสั่นระริกแตะเนื้อผ้าแข็งๆ ภานุยืนนิ่งเฉย คอยมองดูมือขาวปลดกระดุมให้ทีละเม็ดๆ ความหอมหวานราวกับจะลอยอวลรอบกาย มือแกร่งโอบกอดร่างบางเอาไว้ สัมผัสแผ่วเบา กอดไว้เนิ่นนาน ต้นธาราใช้แขนกั้นอ้อมอกแกร่งแนบชิด ภานุปล่อยออกเสื้อตัวนอกถอดให้นุ่มนวล ไม่ช้าริมฝีปากอุ่นๆประทับจูบอย่างนุ่มนวล ต้นธารารอรับสัมผัส แม้จะไม่ได้ร้างเริดมานาน ใจก็ยังเต้นแรงราวกับรัวกลองเมื่อริมฝีปากอุ่นๆเบียดรุก สัมผัสแฝงความนุ่มนวลและรุนแรงจนไม่อาจต้านทานความรู้สึกที่ท้วมท้นเข้ามาในใจได้ มือของภานุแตะแก้มบางอย่างนุ่มนวล

“ชักจะไม่ไหวแฮะแบบนี้”

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางกดบ่าของคุณหมอให้นั่งลงบนเตียง กอดไว้แน่น กายอันอบอุ่นเบียดเสียด ภานุจับมือคุณหมอขึ้นเพื่อถอดเสื้อผ้าได้ง่าย ต้นธาราขัดขืนเพียงเล็กน้อย เพราะท่าทีของผู้กองหนุ่มรุนแรงขึ้น หากสุดท้ายก็ลดจังหวะ โอนอ่อน เรียวปากอุ่นๆจูบแนบแก้มสาก ใช้ลิ้นแลบเลียผิวกายแกร่งเบาๆ หัวใจของภานุเต้นแรงราวกับรัวกอง ยิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่งห้ามใจตัวเองไม่ไหว ดันตัวคุณหมอลงบนเตียงทันใด มองรอยยิ้มสวยงามประดับอยู่บนใบหน้า....ผิวขาวซีดแต่งแต้มด้วยสีเลือดจางๆ...ผิวนุ่มละมุน ถูกสัมผัสด้วยริมฝีปาก ไม่อาจหักห้ามได้อีกแล้ว ร่างกายร้อนผะผ่าวด้วยสัมผัสชวนให้คลั่ง หวาบหวาม ชายหนุ่มที่ดำเนินบทรักสลับกับเชื่องช้า ต้นธาราไม่ชอบเลย เพราะเหมือนกับจะฆ่าเขาทั้งเป็น มือแกร่งแยกเรียวขาออก ทั้งๆที่ไม่คลายไปจากการจูบหน้าอกขาว ก่อนลิ้มชิมรสหวานจากยอกอกแดงเรื่อ ใบหน้านิ่วขมวด เปี่ยมด้วยความสุขสม อารมณ์ต่างๆยิ่งเตลิด ราวกับถูกห้วงฝันห่อหุ้ม เมื่อสิ่งอุ่นๆและแข็งขึงแทรกสอดในช่องทางนุ่ม ช้าๆ ไม่รีบร้อน ภานุต้องข่มใจมากทีเดียวสำหรับการที่ต้องนุ่มนวล ฝังใบหน้ากับซอกคอเพรียว รู้สึกว่าเล็บจะจิกลงบนแผ่นหลังแกร่ง ครูดอย่างแรงเมื่อดันกายเข้าไปจนมิด แช่สักพัก ให้คุณหมอได้หอบหายใจ ก่อนจะขยับไปตามห้วงอารมณ์ล้ำลึก ฟังเสียงหอบกระเส่าดังข้างๆหู อยากเร่งจังหวะ แต่ต้องควบคุมเอาไว้เมื่อเล็บจิกแผ่นหลัง ภานุกัดฟัน ชายหนุ่มอดทนไม่ทำรุนแรง มันไม่ใช่ตัวเขาเลย ! ....สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหักห้ามความรุนแรงคือริมฝีปากแดง บรรจงจูบ เล็มริมฝีปาก จังหวะที่ทำให้รู้สึกดีที่สุด ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าอยู่ที่ไหน...กกกอดตามแรงปรารถได้อย่างเต็มที ไม่เหมือนกับเมื่อเก่าก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ได้แนบชิด ถ่ายทอดความสุขให้อาบทั่วร่าง ฝ่ามือหนาตะโบมไปทั่วสะโพก รั้งเอวบางขึ้นสูงเมื่อสอดแทรกลึกเรื่อยๆ เจียนคลั่ง...ยิ่งมีความสุขมากเท่าไร ทุกอย่างดูเหมือนจะรางเลือนลงเรื่อยๆ ทะยานขึ้นสูงสู่ความสุข...ไม่ช้าก็ถูกกกกอด ลมหายใจรัวรินเคลียแก้ม อ้อมแขนแกร่งกอดไม่ยอมปล่อย ยึดไว้ราวกับต้นธาราจะจางหาย

ผู้กองลุกขึ้น มองเรือนร่างที่นอนอ่อนระทวยอยู่ข้างเคียง ก่อนลุกขึ้น ค้นเอกสารออกมานั่งพิจราณาดูวันเวลา ต้นธาราต้องกลับไปก่อน หลังจากที่เสร็จเรื่องของธีรเดชเมื่อไร ชายหนุ่มคงได้กลับมาตรวจกรุ๊ปเลือด ผู้กองหนุ่มกัดริมฝีปากกับโอกาสที่มีเพียงน้อยนิด

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-11-2008 18:13:55
จิ้มพิมเท่ร๊ากกกกกกกกกกก  :จุ๊บๆ:

ตอนนี้มาฉาก  :z1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-11-2008 18:17:38
^
^
 
น่ากลัวจริงๆ เลย เจ้คนนี้ 

นึกอะไรแต่...       :z2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-11-2008 18:26:08
ประกบหน้าหลังพิมคนฉวย  :z1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 24-11-2008 23:22:55
ตอนนี้ก็หวานน่ะอิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 24-11-2008 23:37:27
แหมน่ะ...

ขนาดตึงเครียด ยังจะจึ๊กๆ กันได้อีก

 :haun4:   :haun4:   :haun4:

ปล. ไขกระดูกตรงกันด้วยเถ๊อะ  :call:  :call:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 25-11-2008 18:43:11
ถึงแม้ว่าจะหวาน แต่ก็ยังซ่อนรสขมเอาไว้นะครับ
หวังว่าปาฏิหารย์กำลังจะเกิดขึ้น ขอให้คนที่เกิดมาคู่กัน
ได้สมหวังด้วยเถอะครับ
แถมยังลุ้นกับคู่กิ่งไผ่อีก กดดันมากๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-11-2008 12:06:43
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 22 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 6]


พอถึงรุ่งสางต้นธาราต้องกลับไปยังบ้าน เขามองร่างสูงด้วยความรัก แววตาอบอุ่นใจเหมือนจะปลอบประโลมว่าไม่ต้องกังวลใจ

“ผมขอโทษนะที่ไม่ได้ไปส่ง”

ภานุกล่าวเมื่อพาคุณหมอมาส่งที่บ้านพักไม่ได้ ต้นธาราส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร อีกหน่อยเอง เดี๋ยวผมเดินไปได้”

ต้นธารากล่าว เขายืนรีรอสักครู่ มองภานุที่ทำท่าราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างหากไม่เอื้อนเอ่ย

“เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ”

ต้นธาราบอกลา สายตาของภานุมองอย่างอาลัย ก่อนที่จะตัดใจเดินไปทำงาน ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความสุข ผิดกับต้นธาราที่ไปถึงบ้านเจอสายตาบิดาจ้องมาอย่างดุๆ ดวงตาสีน้ำตาลยิ้มตอบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย

“กำลังออกไปทำงานหหรือครับ”

ท่านนายพลไม่ตอบ ต้นธารานิ่งเงียบ ทำหน้าจืดๆเมื่อบิดาเดินผ่านราวกับเป็นธาตุอากาศว่างเปล่า

“เมื่อวานพ่อคุยกับลุงอรุณแล้วว่าจะส่งลูกกลับก่อน”

“ครับ....”ต้นธาราทรุดนั่งด้วยท่าทีอึดอัดใจ

“พ่ออยากให้ธารรีบกลับกรุงเทพฯ อยู่นี่นานนัก...มันไม่ดีนัก”

“ทำไมครับ”

บิดาทอดถอนใจ

“ใครรู้เข้า มันคงไม่ดีเท่าไรว่าธารเป็นลูกพ่อ คนเดียวที่รุ้ก็คือผู้พันมีทรัพย์ พ่อบอกเขาไป....นอกนั้นพ่อไม่ได้บอกใคร...”

ผู้เป็นบุตรชายก้มหน้าก้มตา

“มันเป็นปัญหาขนาดนั้นเชียวรึครับ”

“ลูกใช้อำนาจกึ่งหนึ่งของท่านนายพลอรุณมายังที่นี่นะ”

ต้นธาราพูดอะไรไม่ออกเลย

“อีกอย่างเราน่ะ เที่ยวเล่นมามากพอแล้ว กลับไปรักษาตัว...พ่อจะได้สบายใจ”

“ครับ”

ต้นธารารับคำบิดาอย่างง่ายดายโดยไม่โต้เถียง เมื่อบิดาเดินออกจากบ้านพักไป เขาทรุดนั่งนิ่งเงียบ เวลาของเขาใกล้เข้ามาแล้ว เอาเถอะ....อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็ไม่กลัวความสิ้นหวัง....

------------------------------------------------

ต้นธารากลับมารักษาตัว เขากลับมาเพียงลำพัง เพราะบิดาและภานุติดงานราชการ เขาเหงาบ้างเมื่อต้องอยู่โรงพยาบาลเพียงลำพัง และการที่หนีหายไป ทำให้ถูกแพทย์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาต่อว่าเอาแบบสุภาพหากแต่เจ็บลึกถึงข้างในทีเดียว

“คุณธารเป็นหมอ น่าจะรู้บ้างว่าโรคของตัวเองนั้นอันตรายแค่ไหน หากไม่รับการบำบัดรักษาต่อเนื่องจะเป็นเช่นไร”

ใบหน้าของผู้ที่ถูกตำหนิดูเจื่อนลง

“โอกาสของคุณหมอธารอาจตายถึงร้อยเปอร์เซ็นต์”

ต้นธารานิ่งเงียบ เรื่องนี้ตัวเขารู้ดี นายแพทย์อดิเรก แพทย์เจ้าของไข้มองใบหน้าของผู้ที่ดำรงอาชีพเดียวกัน

“เวลาที่คุณหมอธารหาย โปรดช่วยบอกผมก่อนนะครับ ผมเป็นแพทย์เจ้าของคนไข้จะหัวใจวายเอา หากท่านนายพลไม่แจ้งว่าคุณหมอหายไปไหน รับรองว่าผมคงกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกนาน”

ต้นธารายิ้มแห้งๆ

“เดี๋ยวเชิญคุณหมอไปตรวจร่างกายก่อนนะครับ”

นายแพทย์หนุ่มลุกขึ้น นำผู้ป่วยพิเศษไปยังห้องตรวจโรค

“คุณหมอคงไม่ออกกำลังกายหักโหมใช่ไหมครับ”

ตรวจดูความดัน จังหวะชีพจรหัวใจ ต้นธาราส่ายหน้า...หากในใจนั่นคิดถึงยามที่ผู้กองกอดริ้วแดงประดับหน้าทันที จนนายแพทย์อดิเรกสงสัย รอยยิ้มคุณหมอธารก็กลบเกลื่อนเสียก่อน

“แล้วทานพวกน้ำอัดลม เหล้า กาแฟบ้างหรือเปล่า”

ต้นธาราผงกศีรษะ

“ทานบ้างครับแต่เป็นกาแฟ ดื่มนิดหน่อย”

นายแพทย์อดิเรกจดลงในชาร์จ มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

“การดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ดีต่อสุขภาพของคุณหมอธาร ควรเลี่ยงนะครับ”

ต้นธาราผงกศีรษะ รับคำแนะนำจากนายแพทย์ที่รักษาตัวเอง เมื่อเสร็จก็กลับห้องพัก สายตามองรอบโรงพยาบาลเอกชนหรูหราที่บิดาส่งตัวมารักษาเหมือนกับวันเดิมๆ ต้นธาราเดินไปตามเส้นทางแห่งความเงียบเหงา พอเปิดประตูเท่านั้นแหละ ป้าสมร้องเข้ามาลูบแขนใหญ่

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคะ”

ชายหนุ่มยิ้มให้กับแม่นม หลังจากที่เขาหายตัวไป แม่นมก็แทบคลั่งและเอาแต่โทษตัวเอง พอรู้ว่าเขาไปไหนไปกับใครเท่านั้นแหละ ป้าสมก็ชักสีหน้าไม่ชอบทันที

“อีกประเดี๋ยวก็คงรู้ผลครับ”

ต้นธาราทรุดนั่งบนเตียง ป้าสมเดินตามติดราวกับกลัวว่าต้นธาราจะหายไปในอากาศอย่างนั้นแหละ

“ป้าไม่ชอบใจกับอีตาผู้กองคนนั้นเลย ห่ามเสียจริงที่ลากคุณหนูของป้าออกไปทั้งๆที่ป่วยอยู่แท้ๆ”

แม่นมบ่นกระปอดกระแปด ชายหนุ่มนั่งฟังเงียบๆ เพราะป้าสมแกบ่นยืดยาวไม่จบไม่สิ้น ก่นด่าผู้กองภานุตั้งแต่เขากลับมาจนถึงบัดนี้


“คนอะไรก็ไม่รู้เถื่อนสิ้นดี มารยาทก็แย่ รู้อะไรไหมเจ้าคะ ตอนที่คุณหนูหาย ท่านโกรธมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเชียว”

ต้นธาราได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ไม่โต้เถียงแม่นม

“แล้วคุณหนูไม่ถูกทำอะไรมานะเจ้าคะ ป้ากลัวเหลือเกินว่าผู้กองนั่นจะหักคอคุณหนูเอา น่าฟ้องให้ปลดนักเชียว”

“เขาไม่ได้ทำร้ายผมหรอกครับป้า....”

“ได้ทีไหนล่ะคะ ไว้ใจไม่ได้เล้ย ท่านพลอรุณก็ช่างกระไร ไม่รู้เข้าข้างอีตาผุ้กองนั่นอยู่ได้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกันก้แบบนี้ ปกป้องทุกทีไม่ว่าใคร”

บ่นไปถึงลุงอรุณ ต้นธารานั่งคิดว่าคนถูกบ่นคงจามหลายคราแล้วแน่ๆ

“คุณหมอมาแล้วค่ะ”

ป้าสมหยุดบ่น เมื่อประตูเปิดออก ชายในชุดขาวก้าวเข้ามา พร้อมชาร์จการตรวจร่างกาย

“โชคดีครับที่คุณหมอธารยังแข็งแรงดี ...แต่ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ช่วงที่คุณหมอหายไปรู้สึกหน้ามืด วิงเวียตาลายไหมครับ”

คุณหมอธารนึกถึงวันที่อยู่ในโรงแรมก็ผงกศีรษะ

“เคยครั้งหนึ่งครับ ตอนนั้นวูบไป ก่อนวูบก็รู้สึกอยากอาเจียนแต่พอได้พักก็อาการดีขึ้น”

นายแพทย์หนุ่มจดอาการเพิ่มเติม

“เป็นบ่อยหรือเปล่าหลังจากที่คุณหมอขาดการบำบัดไป”

ต้นธาราส่ายหน้า

“ไม่ครับ แต่ถ้าวันไหนรุ้สึกเหนื่อยก็จะเป็น”

“เป็นธรรมดาครับ...คุณหมอลดการทำงานลงบ้าง พักผ่อนให้เพียงพอ ลดทอนความเครียดก็จะช่วยบรรเทาได้”


“ถ้าจะให้หายขาดต้องปลูกถ่ายไขกระดูกสันหลังใช่ไหมครับ”ต้นธาราถาม

“ครับ...”

“ตอนนั้นนายพลตรวจเลือด องค์ประกอบไม่ตรงกัน ท่านนายพลกลุ้มใจมากทีเดียวครับ”

ดวงตาสีน้ำตาลไพล่ไปมองยังป้าสม แม่นมของชายหนุ่มยืนทำหน้าเจื่อน ใจของต้นธาราหนักหน่วงราวหินถ่วง

“ครับ...”

น้ำเสียงคุณหมอราบเรียบ นายแพทย์อดิเรกผงกศีรษะก่อนจะพูดเสริม

“หากต้องการปลูกถ่ายไขกระดูกองค์ประกอบเลือดต้องตรงกันครับ คุณหมอธารมีผู้บริจาคแล้วหรือครับ”

ต้นธาราผงกศีรษะ

“ครับ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าไขกระดูกจะเข้ากันหรือเปล่า”

ดวงตาของหมอมีแววยินดี

“คุณหมอธารพามาตรวจเลยครับ หากเข้ากันจะได้รักษาทันท่วงทีก่อนที่อาการจะกำเริบหนัก การรักษาจะควบโดยการทำเคมีบำบัดและการฉีดไขกระดูกสันหลังของคนปกติ”

“ถ้าคุณหมอคาดว่าคนบริจาคน่าจะมีไขกระดูกที่ตรงกันให้มาตรวจรีบด่วน”

“คนบริจาคติดงาน ไม่อาจมาได้ในตอนนี้”

ต้นธาราบอกกล่าว นายแพทย์ประตำตัวขมวดคิ้วมุ่น

“ไม่มีเวลาบ้างหรือครับ นี่เป็นชีวิตของคุณหมอเชียวนะ”

ต้นธาราผงกศีรษะ เมื่อนายแพทย์อดิเรกรายงานผลตรวจเลือดเสร็จขอตัวออกไปพบกับคนไข้รายอื่น ต้นธาราหันมาทางแม่นมทันที

“พ่อของผมท่านเครียดมากหรือเปล่าเรื่องปลูกไขกระดูกสันหลัง”

ป้าสมนิ่ง ก่อนนางจะเอ่ย

“เอ่อ....คุณท่านเครียดมากเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านก็ไม่พยายามที่จะแสดงออก”

ต้นธาราถอนใจยาว

“ผมทำให้พ่อลำบากอีกแล้ว...”

ชายหนุ่มรำพึง รู้สึกผิดอยู่ในใจเสมอ เมื่อดื้อดึงกับบิดา

“ท่านไม่อยากให้คุณหนูต้องกังวลนะเจ้าคะ”ป้าสมเสริมเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลหม่นหมอง

“คุณหมอบอกว่าอย่าเครียด คุณหนูก็ยิ้มเถอะค่ะ”

ต้นธารายิ้มออกมาเล็กน้อยให้แม่นมสบายใจ ก่อนต้นธาราจะล้มตัวนอน ป้าสมจัดแจงคลุมผ้าห่มให้

“ป้าจะอยู่นี่ตอนก่อนคุณหนูจะหลับนะค่ะ”แม่นมทรุดนั่ง มองเปลือกตาปิดลง...

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-11-2008 12:07:45
การที่เราหวังอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง มันเจ็บปวดน่าดู....สำหรับกิ่งไผ่ สิ่งที่ลงไป เส้นไยบางๆขาดสะบั้น เบือนหน้าหนีจากโลกแห่งความฝัน...เพื่ออยู่ในความเป็นจริง เขาลุกขึ้นเมื่อไม่อาจข่มตาหลับลง มอง....แสงไฟที่มอดดับ กลายเป็นหมอกควันลอยเบาบางม้วนตัวสู่ฟากฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มอง...ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยกกกอดตัวเอง ความเหงากัดกอนจนสะเทือนใจ กิ่งไผ่เหม่อมองจนร่างของธีรเดชขยับ

“”เราจะออกเดินทางกันแล้ว”

ร่างโปร่งทำเหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ธีรเดชตื่นมาเจอกับท่าทีเดิมๆ ชายหนุ่มกุมขมับทันที ชายหนุ่มไม่พูดอะไรเพียงนิ่งเงียบ เฝ้ามองทีท่าของอีกฝ่ายแล้วประมวณผลว่า มันคงไม่เหมาะนักหากพูดอะไรออกไปในตอนนี้ ระยะห่างของกิ่งไผ่เท่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน ราวกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝันชั่วกระพริบตา กิ่งไผ่ลงมือเก็บข้าวของโดยมีธีรเดชช่วยอยู่ห่างๆ ชายหนุ่มแอบมองใบหน้าตีเรียบเฉย ดวงตาสีดำสนิทไม่สื่ออะไรออกมาเลย ต่างคนต่างนิ่งงัน ทำให้ยิ่งเพิ่มความอึดอัด ต่างฝ่ายต่างรู้ก็ไม่อาจบรรเทาความรู้สึกนั้นได้เลย เดินทาง เป็นเหมือนเช่นทุกๆครั้งที่ก้าวไปด้วยกัน


“ระยะทางที่เราจะไป ต่อจากนี้คงต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น”กิ่งไผ่หันมาคุย

ธีรเดชผงกหัว นึกทึ่งเหลือเกินที่กิ่งไผ่ลบเลือนมันออกไปจากใจได้ราวกับปัดฝุ่น เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายคิดมากไปเท่านั้นหรือ ดวงตาหม่นลง แต่พอคิดถึงการกระทำของเมื่อคืน เหมือนกับเป็นความรักที่ลอยอวลอยู่ในความรู้สึกที่ปิดกั้น อยากสอบถามให้แน่ใจ ทว่าก็ไม่กล้า ปล่อยให้มันเงียบแบบนี้ดีแล้วหรือไง....ธีรเดชเถียงกับตัวเอง เขาทำเฉยไม่ได้จึงคิดขยับปาก ทว่าดวงตาเยียบเย็นกลับสั่งให้เงียบ ชายหนุ่มจึงไม่กล้าหือ หรือเถียงด้วยสักคำ

“ไผ่...”

ในที่สุดแล้วธีรเดชก็เป็นฝ่ายอดทนไม่ได้ กิ่งไผ่จำต้องกล้ำกลืนขานตอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาเจ็บมากขนาดไหนกับการกระทำที่เกิดขึ้น

“มีอะไร ?”

ธีรเดชไม่ชอบใจเลยกับน้ำเสียงแสนเย็นชา คนเรียกกลับพูดไม่ออก ส่วนคนขานเมื่อเห็นฝ่ายคนพูดไม่ยอมตอบก็นิ่งงัน

“เราจะออกจากเขตนี้ก็ถึงชายแดนไทยแล้ว”

กิ่งไผ่ขึ้นเนินชี้ไปยังแนวป่าเขียวขจีลิบๆ ฝ่ายธีรเดชดีใจที่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที เขามองดวงหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความขุ่นมัว

“พอส่งผมคุณก็จากไปทันทีเลยสินะ”

ตัดพ้อโดยไม่รู้ตัว สายตาสีดำช้อนมอง

“ทิ้งหรือ...ผมเคยบอกแล้วนะว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

น้ำเสียงมั่งคง ไร้อื่นใดเคลือบแฝง ธีรเดชอยากให้แสดงความรู้สึกอกมาเหมือนมื่อคืน...อ่อนไหวและเปราะบาง ราวกับเพชรที่แข็งแต่เปราะเหลือเกินหากถูกทำลาย

“ระยะทางเราจบที่ตรงนั้น...มันก็ดีแล้วนี่”

กิ่งไผ่เอ่ย ดูเย้ยหยันและเจ็บปวด ธีรเดชกำมือแน่น

“ไผ่ คุณยังเคืองเรื่อง...”

ชายหนุ่มพยายามเอ่ย แต่กิ่งไผ่กลับเชิดหน้าขึ้น เดินรุดหน้าไปไกล

“ผมต้องการส่งคุณกลับโดยไว เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆผมจะไม่สน”

พูดตัดเยื่อขาดใย หากในใจเจ็บปวดเหลือแสน เพียงแค่คืนเดียว ที่ทุกอย่างพังทลายลง ความเปราะบางที่ซ่อนเร้นเอาไว้กลับเผยออกด้วยความเสียใจและโกรธเคือง เขาไม่มีวันได้ความอ่อนโยน ไม่มีทางเมื่อเลือกเส้นทางนี้ มันเป็นเส้นทางแห่งเกียรติยศและชีวิตเขาทุ่มเทเพื่อมัน ! พอตัดความรู้สึกอ่อนไหวได้ ทุกสัดส่วนช่างเย็นชาเหลือเกิน ธีรเดชมองแผ่นหลังแกร่ง เหมือนกับตัวตนที่อยู่ใกล้จะห่างไกลไปเสียทุกๆที...มันเป็นเพราะอะไรที่รู้สึกเช่นนั้นกัน


บางทีความอ่อนโยนที่เขาแสวงหามาตลอดมันไม่มีวันเป็นจริง สิ่งที่เขาเก็บเงียบและรู้สึกตลอดมาคือความรักที่ไม่มีวันได้เอ่ยปาก เลือดทุกหยาด ชีวิตและจิตวิญญาณคือแผ่นดิน ความรักเป็นเสมือนยาพิษ เขาต้องเจ็บซมอยู่ร่ำไป ความรักของเขาต้องไม่นึกถึงว่าอีกฝ่ายจะรักใคร....รักด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาที่คอยมองอยู่ห่างๆ ความรักทำใจให้แหลกรานมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าตัดใจไม่ได้และยังรักตลอดเวลา....

“คุณกลับไทยได้ ก็ขอให้โชคดี”

ธีรเดชมองใบหน้างาม กลุ่มผมยาวสลวยพันกันยุ่งเหยิง ปกปิดซีกใบหน้าครึ่งหนึ่ง

“ผมไม่มีวันเป็นคนโชคดีหรอก...”

ธีรเดชเอ่ย เมื่อเดินตีคู่ทัน

“สิ่งที่ผมทำกับคุณ มันสาปให้ผมเป็นคนโชคร้ายแน่ๆ” ธีรเดชเอ่ย ดวงตาอ่อนจาง

“ผมไม่ควรได้รับคำอวยพรจากปากของคุณ”

กิ่งไผ่ยิ้มเย้ยหยัน

“ถ้าคุณไม่ควรได้รับผมก็ไม่ควรได้เหมือนกัน”

ชายหนุ่มรู้สึกไม่มีผิด กิ่งไผ่เริ่มห่างไกลเรื่อยๆ เหมือนปิดกั้นตัวตนตลอดกาล


“ผมอยากให้คุณ....”

กิ่งไผ่ไม่ยอมฟัง เพราะเขารู้ดีหากฟังตัวเองคงเจ็บอีก อยากจะลืมมันไป ทว่าจิตใจที่ยังหลงใหลอยู่ในวังวนของความอ่อนโยนยังไม่ลบไปจากใจ

“ไผ่”

ยิ่งวิงวอนมากเท่าไร ดวงตาสีดำยิ่งว่างเปล่าลงเท่านั้นเป็นการบอกว่าเสียเวลาเปล่าที่จะพูด ดวงตาแกร่ง อ้อมกอดแม้ไร้ซึ่งสิเน่หาก็ยังทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยความต้องการ ธีรเดชไม่ยอมแพ้ ไม่อยากให้มันจบลงด้วยความรู้สึกแย่ๆของคนทั้งคู่ รีบเร่งฝีเท้าตามติด ถ้าเป็นไปได้จะคว้าเอวนั้นมา กดตรึงให้อยู่เฉยและสั่งให้ฟัง ทว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ มันเลยต้องกลายเป็นความหนักอกที่ต้องเผชิญ จู่ๆกิ่งไผ่ก็ชะงักคล้ายกับคิดอะไรออก หันมาทางชายหนุ่ม

“เรื่องเมื่อคืนไม่ต้องมาขอโทษหรอก ผมไม่อยากได้ยินคำสุภาพบุรุษขนาดนั้น ต่างฝ่ายต่างหลอกลวงกันเองมันก็สมแล้วไม่ใช่หรือ”

ธีรเดชหน้าชา ชายหนุ่มมองแววตาเมินเฉย ดวงตาราวกับมีบางอย่างกั้น...ธีรเดชจ้องมอง มันไม่ได้เย็นชาเสียทีเดียวหรอก....ทำไมต้องรู้สึกด้วย ชายหนุ่มนึกเมื่อเห็นความอ่อนไหวประดับนัยน์ตาคู่นั้น

“ผมโกรธที่คุณไม่เชื่อใจผมเลย...”

กิ่งไผ่ยกมุมปากเย้ย คำบอกรักในวันที่อ้อมกอดแกร่งยังตราติดตรึงอยู่ในหู...เป็นสิ่งที่เขาไม่ควรได้

“แล้วไงครับ จะยอมยกโทษให้ผมง่ายๆงั้นหรือ”

รอยยิ้มที่ธีรเดชเห็นมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

“ผมอยากให้ยกโทษมากกว่าที่ผมทำแบบนั้นกับคุณ”

ชายหนุ่มผู้แสนดี ไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้ใครต้องอับอายและเจ็บปวด

“ผมยกโทษให้คุณถือว่าเจ๊ากันไปเรื่องหลอกคุณ”

พูดจบก็สะบัดหน้าหนีเดินนำหน้าต่อ ธีรเดชไล่ตาม ดวงตาคู่นั้นมีน้ำตาหยดลงอาบแก้มเพียงแค่หยดเดียว หนองในใจกลัดออกมาเจ็บปวดจนร้าวราน....เมื่อรู้ว่าเขาคนนั้นไม่ได้รัก และไม่มีวันที่จะรักเขา.....

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 26-11-2008 13:03:10
 :เฮ้อ:
ทั้งสองคู่เลย...ทำไมรู้สึกเงียบเหงาเศร้าหัวใจจัง  :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 26-11-2008 19:51:16
เครียดดดดดดดดดดด :m15:

เราสงสารกิ่งไผ่ที่สุดเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Bg LoVe NT ที่ 26-11-2008 20:49:46
 :m15: สงสารกิ่งไผ่อ่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-11-2008 23:14:12
ท่าทาง สองคู่เนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย จะเศร้าตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆน่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 27-11-2008 23:21:40
 :sad4:   :sad4:

 :sad2:   :sad2:

 :monkeysad:   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 28-11-2008 00:08:31
รอวันไผ่แก้แค้นธี  :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 28-11-2008 08:13:00
 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:

อ่าครับไม่ได้มาอ่านซะนานเลยครับผม

มาอ่านอีกทีอ่านจนไม่ทันอะครับ อิอิ

กลับมาเป็นกำลังใจให้แล้วนะครับผม

สู้ๆๆ แต่ตอนนี้ขอเวลาอ่านก่อนครับ

 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 28-11-2008 19:02:34
ขอบคุณคอมเมนท์ที่มีให้เสมอมาค้า
แล้วก็ขอบคุณพี่พิมคนสวยค้าที่ลงเรื่องนี้ในบอร์ดเล้าเป็ดอันแสนอบอุ่น
อย่างที่ประกาศแจ้งไปว่าเรื่อง "ห้วงรักเสน่หา"
จะจบลงในไม่ช้านี้แล้วรอชมซีรีย์เต็มๆคู่น้องไผ่+แพนด้าธีในเร็วๆนี้ค้า :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-11-2008 22:03:20
รับทราบค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 29-11-2008 14:07:05
คู่ของหมอธารกับหมวดภาณุหวังว่าคงจบลงด้วยดี
หวังว่าปาฏิหารย์ที่กำลังรอคอยคงจะเป็นจริงสักที
เพราะว่ากดดันคนอ่านมายาวนานมาก
ส่วนของของกิ่งไผ่กับธีรเดชยังอีกยาวไกล
การฝ่าฝันความรู้สึกของตัวเองยังอีกเยอะ
สนามรบกับสนามรักมันต่างกันจริงๆ
หวังว่าผู้แต่งคงไม่ใจร้ายผู้อ่านเกินไปนนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 01-12-2008 10:14:14
ขอบคุณคอมเมนท์ที่มีให้เสมอมาค้า
แล้วก็ขอบคุณพี่พิมคนสวยค้าที่ลงเรื่องนี้ในบอร์ดเล้าเป็ดอันแสนอบอุ่น
อย่างที่ประกาศแจ้งไปว่าเรื่อง "ห้วงรักเสน่หา"
จะจบลงในไม่ช้านี้แล้วรอชมซีรีย์เต็มๆคู่น้องไผ่+แพนด้าธีในเร็วๆนี้ค้า :L2:


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ข่าวดี อยากอ่านไผ่-ธี จังค่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 01-12-2008 10:23:28
แอร๊ยยยยยยยยยยย

ขอบคุณคนแต่ง +คนโพสสุดสวยยยย(นังแบน)

ปล.แอร๊ยยยยยยยย อยากอ่านกิ่งไผ่   :-[
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-12-2008 13:35:52
อยากอ่านต่อด้วยน้องเรน  อิอิ 
งั้นลุ้นเรื่องนี้ต่อกันก่อนนะ
 :กอด1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 23 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 7]


ทำอย่างไรที่จะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ มันมืดมนเหลือเกินสำหรับความรู้สึกนี้...มันน่าอึดอัดใจทีเดียว... ต่างมีความรู้สึกราวกับลูกโป่งจวนเจียนจะระเบิดเมื่อถูกอัดลมมากเกินไป กิ่งไผ่ที่พาธีรเดชเดินเลียบแม่น้ำ แสงแดดยามบ่ายลอดส่องผ่านพุ่มไม้ เสี้ยวหน้าไม่เคยแปรเปลี่ยน ความอึดอัดได้สิ้นสุดบรรเทาลงเมื่อนั่งพักกันที่ริมแม่น้ำ

“หาทางข้ามฝั่งไปก็จะถึงเขตแดนบ้านเกิดเมืองนอนคุณ ผมส่งได้เท่านี้ นอกนั้นคุณก็หาทางกลับเอง”

สายตาธีรเดชจ้องแม้น้ำสายกว้าง ผิวน้ำสะท้อนแดดเป็นประกาย มองไปอีกฝากฝั่ง ไม่มีทางที่จะข้ามไปง่ายๆแน่

“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ”

หันมองอย่างหนักใจ กิ่งไผ่นิ่ง ถึงรู้ว่ามีเขาก็คงไม่บอกแน่ๆ ธีรเดชทั้งดีใจ กังวลใจ ร้อนใจ ท่าทีของกิ่งไผ่ยังนิ่งเฉย

“เราตกลงกันแล้วว่าผมส่งมาถึงถิ่นคุณแล้วจบกัน”

“ผมจะข้ามไปอย่างไร”

มองแม่น้ำกว้างใหญ่แล้วตั้งคำถาม กิ่งไผ่นิ่งเงียบราวกับเป็นใบ้ ธีรเดชกำมือแน่น เขาไม่น่ารีบเร่งจนมาถึงเขตแดนกั้นระหว่างไทยกับพม่าเลย

“ที่ๆผมต้องการกลับ ทางทิศนี้ไปถึงหรือเปล่า”

สายตาของกิ่งไผ่เหลือบมองอย่างเย็นชา

“คุณพูดเองว่าอยากให้ส่งถึงฝั่งไทย แล้วที่ไหนที่คุณต้องการไป”

ท่าทีเหมือนกับคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง ธีรเดชอึ้ง เขาพูดไม่ออกเลยทีเดียว ได้แต่นิ่งงัน มองสายน้ำที่ไหลหลั่งริน กับสายลมที่พัดผ่านเบาๆ กิ่งไผ่ลุกขึ้น ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น สางผมออก กวักน้ำลูบล้างความสกปรก

“ยังโกรธเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือ”


ธีรเดชครวญ พยายามชักจูงให้กิ่งไผ่หายเคืองขุ่น ไม่รู้เลยว่าบาดแผลที่ย้ำลงไปครั้งหนึ่ง มันจะเจ็บปวดเหมือนถูกตอกลิ่มย้ำลงกลางใจ

“ถ้าคุณข้ามกลับไปได้แล้ว...ก็ง่ายไม่ใช่หรือที่จะหาทางกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดของคุณ”

กิ่งไผ่กล่าวรู้จุดประสงค์ดีว่าธีรเดชต้องการอะไรถึงได้พูดดี อ้อนวอนตนแบบนี้ ฝ่ายธีรเดชกลืนน้ำลายเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมจำนนง่ายๆ เขามองใบหน้านั่นเนิ่นนาน จนคนถูกมองชักเก้อเขินแทน กิ่งไผ่พยายามทตีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่มองแววตาวิงวอน หลบเลี่ยงโดยการล้างผมอีกครั้ง จนผมหนา ยาวสลวยเปียกชื้น ธีรเดชพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด ถึงแม้รู้ดีว่าใช้วิธีไหน กิ่งไผ่ก็จากไปอยู่ดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้ อาจเป็นเพราะเหตุการณ์อันแสนกระอักกระอ่วนใจหรือเปล่านะ ที่ผ่านมา....ต่างฝ่ายต่างคิดอย่างไรกัน ธีรเดชกัดริมฝีปาก มองแผ่นหลังที่นั่งริมแม่น้ำ ฝ่ายกิ่งไผ่ก็ไม่ต่างกันเท่าไร เมฆหมอกที่เกาะกุมจิตใจ เขาไม่อาจสลัดพ้นได้เลย ทั้งๆที่พยายามใจแข็ง แต่ก็ไม่อาจทำได้เลยจนกลายเป็นความรู้สึกที่ยากจะขจัดออกจากใจ...รู้สึกความอึดอัดที่ค่อยๆห้อมล้อม กิ่งไผ่หันมาเผชิญหน้ากับธีรเดช ทันทีที่สายตาประสานกันไม่รู้ตัว เหมือนทุกอย่างหยุดลง แววตาวิงวอน ขอให้เชื่อและไว้ใจ...กิ่งไผ่อยู่ในจุดที่หักเห ว่าจะช่วยจนสุดความสามารถหรือว่าจะปล่อยไป.....

“เอาเถอะ...ถ้าคุณไม่ยากช่วยผมก็ขอให้มันสิ้นสุดอยู่แค่นี้แต่ผมไม่อยากให้ความรู้สึกที่ผ่านมาค้างๆคาๆ....”

ธีรเดชเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง กิ่งไผ่จ้องมอง ชายหนุ่มยื่นผ้าขาวม้าที่เป็นของกิ่งไผ่ให้

“อะไร...”

กิ่งไผ่ถามอย่างข้องใจ ธีรเดชกำมือแน่น

“ก่อนจากกัน...พอจะบอกได้ไหมว่าจริงๆแล้วตัวคุณเป็นใครกันแน่ สิ่งที่ผมทำกับคุณและคุณก็ตอบสนองอย่างเชี่ยวชาญนั่น....คุณเป็นใคร”

กิ่งไผ่มองใบหน้าของธีรเดช ก่อนหรุบตาต่ำ

“นั่นหรือสิ่งที่ค้างๆคาๆ มันก็เป็นข้อสงสัยมากกว่า”กิ่งไผ่เล่นลิ้นไม่ยอมตอบ

“มันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ ไหนๆเราก็จะจากกันไม่มีอะไรที่ต้องกลัวนี่”

กิ่งไผ่ระแวดระวัง เขามองธีรเดชซึ่งจ้องเสี้ยวหน้าหวานเฉียบเต็มๆตา

“หน้าหตาหวานๆ ท่าทีชาญฉลาด....คณเกี่ยวข้องกับกองโจรของพม่าหรือเปล่า”

กิ่งไผ่นิ่ง เขามองดวงตาที่จ้องเขม็ง ธีรเดชเฝ้ามอง แม่หญิงกลิ่นเอื้อง...เป็นคนๆเดียวกัน.... กิ่งไผ่นิ่งเงียบ เขาจะไม่มีวันพูดต่อให้ตาย!

“เราเคยเจอกัน...”ธีรเดชรุกแล้วดึงผ้าขาวม้ามาตรงหน้า

“และนี่ก็คือหลักฐาน...เราเคยเจอกันอีกรอบ...คงจำได้”

น้ำเสียงเฉื่อยชา กิ่งไผ่กลืนน้ำลาย

“คุณเป็นหนึ่งในกองโจร อยู่ในตำแหน่งอะไรกัน”

ฝ่ายกิ่งไผ่ลุกขึ้นเมื่อีกฝ่ายพูดเสียงเย็น

“ผมขอบคุณที่ไม่ฆ่าผมเสียตั้งแต่ตอนผมป่วยและยังช่วยส่งมาถึงนี่”

แววตาสีดำสนิทราวกับนิลเป็นกังวล

“ใช่....ผมเป็นหนึ่งในนั้น”

กิ่งไผ่ตอบซึ่งผิดความคาดหมายของธีรเดช ดวงตาของกิ่งไผ่ฉายความอึดอัด

“แล้วการที่คุณบาดเจ็บนั่นเป็นเพราะอะไร ?”

กิ่งไผ่ชั่งใจ ในที่สุดเขาก็ตอบ

“ถูกตามล่า”

กิ่งไผ่ไม่ลงรายละเอียด ธีรเดชนิ่งงันกับคำตอบที่หลุดออกจากปากโดยไม่คาดคิด

“ทำไมถึงถูกตามล่า ?”

เมื่อถามต่อ กิ่งไผ่ก็ไม่ยอมพูด

“ผมบอกสิ่งที่คุณข้องใจหมดแล้วมั้ง”

ธีรเดชขัดขึ้นทันที

“ยัง....ผมยังไม่รู้เหตุผลที่คุณต้องเล่นบทเป็นผู้หญิงเลย”

สายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน พัดคำพูดเจือความสมเพชเข้าหู

“มันสะดวกในการทำงานดี”

“งานอะไร ?”

คนถูกซักเริ่มไม่พอใจ

“อยากจะสืบสวนรึไง ?”

ดวงตาสีดำมองแล้วบึ้งตึง ธีรเดชถอดถอนใจ

“อาจจะเป็นแบบนั้น”

กิ่งไผ่ยิ้มน้อยๆ คล้ายจะหยันเยาะ

“ถ้าเรื่องที่พูดเป็นเรื่องโกหกล่ะ”

กิ่งไผ่ยอกย้อน ธีรเดชก็สวนกลับทันที

“เรื่องที่เป็นแม่หญิงกลิ่นเอื้องเป็นเรื่องเดียวที่โกหกไม่ได้...ผมไม่เคยลืมคืนนั้นหรอกนะ?”

ดวงตาธีรเดชเฉียบคม จนกิ่งไผ่สะท้าน

“แม่สาวกลิ่นเอื้องรึ...”

น้ำเสียงพลิ้วแผ่ว ธีรเดชผงกศีรษะ

“ใช่....เพราะเธอมีกลิ่นกายหอมละมุนดุจกลิ่นเอื้องน่ะสิ”

ชายหนุ่มพูดด้วยวาจาชื่นชมและใช้สายตากรุ้มกริ่มมองคนถูกมองพูดไม่ออก

“เข้าใจคิดนี่แต่ผมเป็น...”

ธีรเดชยิ้มเมื่อเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“จะผู้หญิงผู้ชายก็ช่างขอแค่สวย ดูอ่อนหวาน น่าปกป้องก็พอแล้ว”

พอคำว่า ‘น่าปกป้อง’หลุดจากปากก็สะกิดให้นึกถึงต้นธารา....กิ่งไผ่สะอึก

“รสนิยมประหลาดจริง”กิ่งไผ่เริ่มแดกดัน

“ก็คงไม่ต่างอะไรจากคุณมั้งที่ใช้หน้าหวานๆหลอกล่อคนอื่น”

กิ่งไผ่นิ่งงัน เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงเมื่อทำให้นึกถึงอดีต ธีรเดชจับจ้องสีหน้าซีดเซียวที่ปรากฏ รู้สึกผิดเหมือนกันที่พูดออกไป ดวงตาที่เคยกร้าวหม่นลงอีกหน ธีรเดชที่ไม่รู้อดีตเบื้องลึกสะกิดแผลใจขึ้นมา....จนแผลนั้นลึกเกินจะรักษา

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-12-2008 13:37:06
ภายในห้องพักฟื้น ต้นธารานั่งมองเอกสารที่ขอไว้สำหรับการขอบริจาคไขกระดูก เขาลูบมันอย่างใจลอย เขากุมขมับคล้ายกับปวดหัวจนป้าสมแตะบ่าเบาๆก้มมองดูคุณหนู ชายหนุ่มยิ้มก่อนพูดเสียงเบา

“คุณพ่อโทรมารึยังครับป้าสม”

ดวงตาของต้นธาราดูเหม่อ เขาเอนหลังพิงโซฟาด้วยความเบื่อเต็มทนที่ต้องอุดอู้อยุ่แต่ในโรงพยาบาลหลังจากกลับมา คุณหมอซึ่งดูแลรักษาเขาก็เอ็ดใหญ่ และการดูแลคนไข้ที่ดื้อรั้นก็เข้มงวดขึ้น ต้นธาราก็เหมือนกับอยู่ที่คุกดีๆนี่เอง หันไปทางไหนเจอแต่หมอ นางพยาบาล ในชีวิตการงานยังเจอไม่พออีกรึไงนะ ต้นธาราคิด อ่อนเพลียจัด เพราะเพิ่งรับยาบำบัดโรคมา ป้าสมส่ายหน้าประคับประคองคุณหนูของเธอขึ้นเตียง ชายหนุ่มเอนหลังนอนบนเตียง รู้สึกไม่ใคร่สบายนักเพราะเขารับการคีโม ต้นธารารู้ผลมันดีว่ามันเป็นเช่นไรแต่เขาก็ต้องอดทน ป้าสมเช็ดหน้าซีดเซียวให้อย่างเบามือ ต้นธาราก็เอาแต่เบือนหน้าหนีทุกครั้ง สีหน้าซีดเซียวจนคนดูแลกังวลใจ

“กลัวอะไรหรือเจ้าคะ”

ป้าสมถามหลังจากนางสังเกตสีหน้า ต้นธารานอนบนเตียงส่งเอกสารให้กับป้าสมวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า

“เปล่า....”

แล้วก็เงียบไป ป้าสมกังวลใจ ต้นธารานั่นลูบหลังมือของตัวเอง นับตั้งแต่การรักษาเริ่มต้น เขาก็กลับไปอยู่ในชั่วโมงที่เหงาเงียบอีกครั้ง ความรู้สึกต่างๆเหมือนเดิม ความเหงา ไม่มีอะไรเปลี่ยน ต้นธารานอนพลิกตัว สูดลมหายใจช้าๆราวกับต้องการอากาศอันแสนบริสุทธิ์ ป้าสมคอยมองดูอยู่ห่างๆ นางสงสารคุณหนูของเธอเหลือเกินหลังจากเข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัดก็มักมีอาการทรมาน ต้นธาราก็จะข่มฟันอดทนเสมอ เขาไม่ปริปากบ่นถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน พยามทำให้ให้สงบแล้วอาการทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

“ดื่มน้ำส้มไหมเจ้าคะ ป้าจะเอามาให้”

ต้นธาราส่ายหน้า รู้ว่าป้าสมพยายามชวนคุยไม่ให้ทรมานไปกับอาการป่วยมากเพราะเป็นห่วง เขาหลับตาแน่น จนป้าสมต้องไปตามหมอเมื่อเห็นอาการของคุณหนูชักจะไม่เป็นปกติ พอแจ้งอาการแก่แพทย์ประจำตัวคนไข้ หญิงสูงวัยละล้าละหลัง รีบตามหมอมา ไม่นานนักหมอก็เข้ามาตรวจดูอาการ ยิ้มปลอบขวัญป้าสมที่คอยมองอยู่ห่างๆ

“เป็นผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาน่ะครับ”

ป้าสมพยักหน้า นางเบาใจลงได้ส่วนหนึ่ง มองคุณหมอตรวจนู้นตรวจนี้ให้แก่คนไข้

“แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดหรือเจ้าคะ สงสารคุณหนูธารเหลือเกิน”

ป้าสมว่า ต้นธาราที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินยิ้มปลอบอดีตแม่นม

“มันต้องอดทนไม่ใช่หรือครับป้าสม ผมก็จะอดทนไม่เป็นไรหรอก”

มือบางบีบเขาหากันแน่น มองใบหน้าของหมออดิเรก

“คุณหมอธารขาดการรักษาไประยะหนึ่งเราจำเป็ต้องให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงเพื่อกันไม่ใช่อาการกำเริบ หลังจากที่ทานยาแล้ว คุณหมอธารอาการก็จะดีขึ้น”

รอยยิ้มของนายแพทย์อดิเรกช่างนุ่มนวล ชวนไว้วางใจ ป้าสมรับฟัง ผงกศีรษะรับทราบด้วยความโล่งใจกึ่งหนึ่ง

“คุณหมอต้องรับเคมีบำบัดซ้ำหลายๆครั้งๆ คุณหมอธารคงทนได้”

จ้องดวงตาสีน้ำตาลดูหม่นวูบจึงผงกศีรษะ

“การมีชีวิตอยู่.....ไม่ใช่เรื่องที่ผิดใช่ไหม ?”

มองใบหน้าของนายแพทย์อดิเรกซึ่งทำหน้าฉงนกับคำพูดของคุณหมอต้นธารา ดวงตาที่ซ่อนบางอย่างเอาไว้จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือครับ ไม่ว่าจะยากดีมีจน หากคุณหมอตาย....ท่านนายพลเสียใจเจียนตายแน่” นายแพทย์ดิเรกพูดตอบ

ต้นธารายิ้มน้อยๆ เขากล่าวขอบคุณหมอ ป้าสมรีบปรี่เข้ามาหาทันที

“คำพูดเมื่อกี้ป้าสมใจหายแว้บเลยเจ้าค่ะ คุณหนูทำไมพูดแบบนั้นละเจ้าคะ”

ป้าสมพิศมองใบหน้าของคนที่นางเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ต้นธารายิ้มขื่นๆ

“ผมแค่อยากรู้...”

ต้นธาราตอบ ป้าสมบีบมือเบาๆ

“อยากรู้อะไรเจ้าคะ”

ป้าสมถาม มองราวกับคุณหนูของนางเป็นเด็กเล็กๆ ต้นธาราหรี่ตาลง อาจเป็นเพราะว่าป่วยรึเปล่านะที่ทำให้เขาอยากอ้อน อยากทำให้ใครสนใจตัวเอง ป้าสมอมยิ้มคอยให้คุณหนูตอบคำถาม หากต้นธาราไม่ปริปาก นิ่งไปนานทีเดียว ป้าสมก็อดทน รอให้คุณหนูเปิดปาก เสียงโทรศัพท์จะดังก้องกังวาล ทำให้ต้นธาราเงียบลงไปอีก

“คอยป้าเดี๋ยวนะเจ้าคะ”

นางรีบเดินไปรับโทรศัพท์ ต้นธาราเฝ้ามอง เขาเงี่ยหูฟังเสียงคุย สายตาป้าสมเบือนมาทางต้นธาราหลายครั้ง ก่อนป้าสมจะยื่นโทรศัพท์ให้

“จากท่านนายพลเจ้าค่ะ”

รอยยิ้มประดับใบหน้าเหยี่ยวย่น ต้นธาราค่อยๆลุกขึ้นรับโทรศัพท์ เสียงของท่านนายพลก้องกังวานและอบอุ่น

“เป็นอย่างไรบ้างลูก”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใย

“สบายดีครับพ่อ แล้วพ่อล่ะครับ”

ท่านนายพลตอบกลับว่าสบายดี

“ลุงอรุณล่ะครับ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง แล้วผู้พันชานเนนสบายดีนะครับ”

น้ำเสียงที่พยายามฝืนให้สดใส นายพลที่ไม่อาจเห็นสีหน้าจึงตอบกลับด้วยความสุขที่รู้ว่าบุตรชายยังสบายดี ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสได้

“ทั้งคุ่ก็สบายดีรวมทั้งไอ้ผู้กองหมาบ้านั่นด้วย”

ท่านนายพลตอบ คำพูดท้ายๆดูจะไม่สบอารมณ์ ต้นธาราหัวเราะ

“ผมยังไม่ทันถามเลยนะครับ”

ท่านนายพลก็ตอบทันควัน

“เดี๋ยวลูกก็ต้องถามอยู่ดี พ่อตอบให้รวบรัดเสร็จสรรพ จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายถามถึงมัน”

พอได้ยินน้ำเสียงแข็งๆ ไม่พอใจ ต้นธาราก็เงียบไป

“อีกไม่นานพ่อก็จะส่งเจ้าผู้กองไปตรวจไขกระดูกแล้ว ธาร...ตอนนี้ลูกยังไหวอยู่ใช่ไหม การคีโม ลูกยังทนได้นะ”

ท่านเป็นกังวล ต้นธารากรอกเสียงเบา

“ผมทนได้ครับ”

เขาตอบทั้งๆที่ยังหวาดกลัวและทุกข์ทรมานอยู่เสมอกับการรักษาโรคโดยวิธีการคีโม

“แล้วทำไมผู้กองยังมาตอนนี้ไม่ได้ล่ะครับ ?”

เสียงปลายสายทอดถอนใจ

“ตอนนี้ทางผุ้กองภานุออกไปค้นหาผู้กองธีรเดชอยู่....อีกสองสามวันจะกลับมา”

ท่านนายพลกล่าว ต้นธาราถอนใจ หน้าที่....และผู้ที่รับผิดชอบหน้าที่และภารกิจนั่นคือพ่อของเขา

“ครับ...ผมจะคอย....”


ต้นธาราพึมพำ ทำให้ท่านนายพลไม่สบายใจเลย

“ธาร...พ่อขอโทษนะที่ไม่ส่งตัวเจ้าหมาบ้านั่นไปตอนนี้ ตอนนี้เรื่องของธีรเดชสำคัญมาก”

เสียงของท่านนายพลพิภพจริงจัง ต้นธาราเข้าใจดีว่าบิดาถือภาระการงานเหนือสิ่งใด...เหนือแม่กระทั่งชีวิตเขาและมารดา !

“ผมรู้ครับพ่อ”

ลูกชายตอบกลับสั้นๆ ท่านนายพลอึกอักไปทันที ต้นธาราแอบถอนใจเนือยๆ

“ผมหวังว่าคงหาธีเจอได้ตัวเป็นๆนะครับ”ต้นธาราพูดเหมือนประชด

“ต้องปลอดภัยสิ ก็รู้ร่องรอยครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่ยากที่จะตามรอยของเจ้าธีหรอก”

ต้นธารารับคำอยู่ในลำคอ เมื่อบิดาไม่มีอะไรเอ่ยก็นิ่งเงียบ ปลายสายรอให้นายพลพิภพเอ่ย

“พ่อจะกลับไปเยี่ยมลูกนะหลังจากที่งานเสร็จแล้ว”

ทุกครั้งที่ท่านนายพลโทรมามักจบแบบนี้เสมอ ต้นธารายื่นโทรศัพท์ให้ป้าสมด้วยท่าทีเฉยเมย

“ฝากบอกพ่อหน่อยนะว่าดูแลสุขภาพด้วย”

น้ำเสียงตอบอ่อนระโหยโรยแรง ก่อนล้มตัวนอนเหมือนเดิม ป้าสมพูดตามที่บอกก่อนวางสาย

“ท่านก็บอกให้คุณหนูรักษาตัวเมื่อกันเจ้าค่ะ เอ่อ แล้ว ใครจะมาบริจาคไขกระดูกให้คุณหนุเจ้าคะ ป้าสมเห็นท่านนายพลบอกว่าถ้าคุณหนูปลูกไขกระดูกอาจมีสิทธิ์หาย”อดีตแม่นมจับห่มผ้าให้

“ตอนนี้ยังไม่ผรู้เลยว่าไขกระดูกจะเข้ากันได้ไหม ป้าสมอย่าเพิ่งดีใจเลย”

ป้าสมทำหน้าจืดๆ ดวงตาที่สุกใสกลับหม่นแสง

“จริงหรือเจ้าค่ะ แต่ขอให้ตรงกันเถอะ ป้าสมจะรำถวายเจ้าที่เจ้าทางเลย”

นางยกมือท่วมหัว ต้นธารามองแล้วหัวเราะ

“ป้าสมน่าจะแก้ผ้ารำถวายด้วยน้า”

นางตีแขนของคนป่วยดังเพี๊ยะ คนป่วยทำสายตาให้ดูน่าเอ็นดู หากอดีตแม่นมก็ไม่หลงกล

“ผมขอโทษครับ”

ลุกขึ้นโอบกอดอดีตแม่นมเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลมีประกายพราวหากเป็นเพียงแค่ชั่วครู่ ชายหนุ่มผละออก ล้มตัวนอน

“แล้วใครกันละเจ้าคะที่มาบริจาคไขกระดูกคุณหนู”

“ก็...คนที่ป้าสมไม่ชอบใจละ”ต้นธาราตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง

ป้าสมขมวดคิ้วกับคำพูดปริศนาของคุณหนู พอเห็นต้นธารายิ้มนางก็หวนนึกถึง “ใครบางคน”ทันที

“จริงหรือเจ้าคะ...คนแบบนั้นน่ะหรือเจ้าคะ”

ป้าสมพึมพำอย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก ต้นธาราผงกศีรษะ ป้าสมมีดวงตาพิศวงจะพูดคัดค้านก็ไม่ได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบเสีย

“ป้าไม่อยากให้คนอย่างนั้นมาบริจาคไขกระดูกให้เล้ย..เลือดของคนห่ามๆ เถื่อนๆแบบนั้น.”

ปากก็อดบ่นไม่หยุด มีเพียงต้นธาราเท่านั้นที่ยิ้มกับคำบ่น

“ถ้าไขกระดูกเขาเข้ากับผมได้ป้าจะให้ไหมล่ะ”

ต้นธาราถามด้วยรอยยิ้มเหมือนขำขัน ป้าสมทำท่าไม่ชอบใจก่อนจะผงกหัวอย่างเสียมิได้

“ชีวิตของคุณหนูนี่เจ้าคะ ป้าก็จำยอมแหละ”

พร้อมบ่นต่อกระปอดกระแปดเรื่องนิสัยของผู้องภานุ ป้าสมบ่นจนไม่รู้ว่าต้นธาราหลับเพราะความอ่อนเพลีย และฤทธิ์ยา...ห้วงคำนึงสุดท้าย เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังว่า “ใครคนนั้น”จะมาโดยเร็ว

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-12-2008 17:48:05
รอลุ้น  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 01-12-2008 22:16:30
มารอลุ้นด้วบคน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 03-12-2008 01:51:34
รอผู้กองกลับมา

ขอให้ไขกระดูกตรงกัน

ขอให้ธีเลิกปากมอมใส่กิ่งไผ่

...
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 04-12-2008 02:30:14
รอผู้กองกลับมา

ขอให้ไขกระดูกตรงกัน

ขอให้ธีเลิกปากมอมใส่กิ่งไผ่

...


ขอเยอะเกิน ยายคนนี้

ปล. ขอให้มาต่อเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆ :mc4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 04-12-2008 08:05:39
งื้อๆๆ...

ขอให้สมหวังทุกฝ่ายทีเถ๊อะ

 :impress3:    :impress3:   :impress3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 04-12-2008 09:18:56
รอผู้กองกลับมา

ขอให้ไขกระดูกตรงกัน

ขอให้ธีเลิกปากมอมใส่กิ่งไผ่

...


ขอเยอะเกิน ยายคนนี้

ปล. ขอให้มาต่อเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆ :mc4:


ใครยายคะ  แม่มะขามป้อม
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-12-2008 15:17:13
อ้าว 19NT  รู้จักกับแป๋วเหรอ 55

ต่อๆ เลยนะ  จะรีบลงให้จบๆ แล้วค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 24 I Will Farewell : คำตอบในหัวใจ [Part 1]


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CC7DBBPB0&Autoplay=1


แม้ว่าจะถูกดูถูกขนาดไหน กิ่งไผ่ยังทานทนได้ เขามองใบหน้าของธีรเดช อยากรู้...ว่าถ้าหากคนๆนี้รู้ว่าเขารักจะทำหน้าเช่นไร แต่...ถึงจะรู้ ผลคงไม่มีอะไรเปลี่ยน

“เรื่องที่อยากจะรู้ ผมตอบได้แค่นี้”

กิ่งไผ่เอ่ย ท่าทีสงบเงียบ จากคำพูดที่สะกิดแผลใจ เขาต้องกดมันเอาไว้ มองสายน้ำกว้าง ธีรเดชเงียบงัน ดุจห่างไกลไปเสียทุกทีๆ

“ถ้าอยากกลับ....ไปยังแผ่นดินเกิดของคุณ เดินไปสักหนึ่งกิโลฯจะพบกับหมู่บ้าน คุณสามารถบอกเขาให้ไปส่งโดยแลกกับของเล็กๆน้อยๆผมคงช่วยได้เท่านี้”

อีกฝ่ายยอมบอกถึงทางที่จะสามารถทำให้เขากลับไปยังชายแดนไทยได้

“แล้วขอให้หาทางกลับไปยังค่ายของคุณเอง”

นายทหารหนุ่มถอนใจ....เพียงเพราะคำพูดที่สร้างความกดดันให้แต่ละฝ่าย ไม่รุ้ว่าตัวเองสร้างความหวั่นไหวให้กับคนที่สร้างเปลือกหุ้มตัวตนอันแสนเปราะบาง

“และผมจะได้จากไปเสียที....”

ระหว่างเขากับอีกฝ่าย มีเพียงความว่างเปล่า “อะไร”ที่ผูกพันเอาไว้พวกเขาสองคนจนถึงตอนนี้....เขาสามารถ “ทิ้ง”อีกฝ่ายได้ตั้งแต่ครั้งแรกแต่ก็ไม่ทำ....จนถึงเวลานี้ต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้เงียบๆให้เป็นเป็นเพียงอดีตตลอดไป ธีรเดชร้อนใจ ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ทำเหมือนจะจากไป เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ร้อนรนเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับกองโจรกุ้แผ่นดิน สิ่งที่คิดอยู่ในหัวคือต้องว่าอีกฝ่ายกลับไทยด้วยให้ได้ เพื่อกันไว้เป็นพยาน กิ่งไผ่ลุกขึ้น ธีรเดชคว้าแขนไว้ทันที

“มีอะไรอีก”

ท่าทีระแวดระวัง น้ำเสียงถามอย่างห้วนสั้น ธีรเดชรั้งให้นั่งลง

“ผมคงปล่อยให้กลับไม่ได้จริงๆ”

ข้อมือบางสะบัดออก หากมือกร้านแกร่งบีบแน่น คล้ายกับคีมเหล็ก บีบจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า


“แบบนี้เท่ากับว่าคุณกำลังเล่นตุกติกสินะ ?”

สีหน้าไม่พอใจฉายชัดที่ถุกทำแบบนี้ กิ่งไผ่สะบัดมืออก ธีรเดชลุกขึ้น ร่างสูงค้ำตะหง่าน คนตัวเล็กก้าวถอยห่าง ท่าทีของธีรเดชไม่น่าไว้วางใจ

“ต้องการอะไร ?”

ไม่มีคำตอบใดหลุดจากปากของธีรเดช ชายหนุ่มกระชากร่างของกิ่งไผ่เข้ามาใกล้ มีหรือที่กิ่งไผ่จะยอมง่ายๆ เขาโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยความว่องไว ธีรเดชระวังตัวอยู่แล้วจึงคว้าจับมือที่ปล่อยหมัดเอาไว้ กิ่งไผ่ดิ้นรน เขาพยายามสะบัดตัวเองออก หากธีรเดชไม่ยอมปล่อยง่ายๆ อยากจะหลุดรอดจากอ้อมแขนที่กอดรัด มีทางเดียวคือจู่โจมตรงบาดแผลที่ถูกยิง ธีรเดชนิ่วหน้า ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ พร้อมกับระวังเท้าที่จะสวนเข้าที่ท้อง กิ่งไผ่แสนจะอึดอัดขัดใจที่เป็นแบบนี้ เขาดิ้น...ดิ้นสุดชีวิต ข้อมือขาวเป็นรอยแดงช้ำ วงแขนแกร่งโอบกอดร่างกิ่งไผ่ไว้แน่น ใบหน้าฝังแนบสนิทอยู่กับกลุ่มผมหนา

“ขอโทษที่ผมต้องทำแบบนี้ หากได้ตัวคุณไป เรื่องกองโจรคงคลี่คลาย”

คนที่ถูกผูกมัดดิ้นขัดขืนสุดชีวิต คำพูดที่หลุดออกจากปากเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากฟังมากที่สุด เหมือนกับถูกทรยศ เจ็บแสบ...หัวใจที่ผนึกไว้ร้าวรานด้วยความอ่อนโยนของอีกฝ่าย

“ที่ช่วยมาตลอดก็เพราะแบบนี้สินะ”

ความคิดที่ทำให้มัวหมอง กิ่งไผ่หันมอง ดวงตาซ่อนในกลุ่มผมที่ตกระใบหน้าส่วนหนึ่งคิดอย่างปวดร้าว ธีรเดชเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขาจึงค่อยๆคลายวงแขน ไม่ได้มองเลยว่าภายใต้ดวงตาที่สื่ออกมามีความรู้สึกเช่นไร ...ร่างกายตรึงอยู่กับที่ ดวงตาว่างเปล่า จนชายหนุ่มสงสัยว่าเหตุใดธีรเดชถึงนิ่งงันแบบนี้ ร่างระหงหลับตาลง สายตาคมมองแผ่นหลังบาง

“ยังไง....ผมก็คงไปกับคุณไม่ได้หรอก ถ้าอยากให้ไปต้องชกผมให้สลบตรงนี้”

กิ่งไผ่บอกหันมองธีรเดชตรงๆ แววตาที่มองคนที่กุมแผล พิสูจน์ถึงความจริงใจ ธีรเดชในตอนนี้ไร้แววตานั่นโดยสิ้นเชิง กิ่งไผ่แม้จะผ่านประสบการณ์ที่ถูกหักหลังทรยศมาอย่างโชกโชน เขาที่น่าจะชาชินเสียทีกลับไม่อาจทำใจได้ หรือเป็นเพราะเขามอบความไว้วางใจให้มากเกินไป จึงทำให้รู้สึกเช่นนี้ ....ไม่รู้เลยจริงๆ

นายทหารหนุ่มจากไทยมองคนที่ยืนนิ่งงัน จะลงมือทำตามที่พูดหรือจะหาหนทางอื่นดี เพราะในตอนนี้ ชายหนุ่มไม่กล้าเลยที่จะลงมือหักหาญด้วยกำลัง


“ถ้าอย่างนั้น....ผมก็คงต้องลาคุณตรงนี้”

หันหลังเตรียมเดินหนี เมื่อไม่มีพันธะใดๆแล้ว เขาก็ต้องรีบไปหาบิดา ทิ้งเรื่องความรู้สึกของหัวใจเอาไว้เบื้องหลัง เพราะรั้งแต่จะเจ็บปวด ความรักที่รู้ว่าให้ไปคงไม่ตอบแทนคืน หลีกหนีโดยเร็ว้จะดีต่อตัวเขาเอง ธีรเดชคว้าแขนเอาไว้ต่อ กิ่งไผ่ต่อต้านสุดฤทธิ์

“ต่อให้ตายหรือว่าเป็นอะไร ผมจะพาคุณไปกับผมให้ได้”

กิ่งไผ่เหลือบมอง ก่อนใช้สันมือฟันท่อนแขนแกร่ง แรงและเร็วจนธีรเดชเจ็บ ลำแขนแกร่งตกลงข้างกาย ความโกรธแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ มองคนที่ตั้งท่ารับมืออย่างเตรียมพร้อม ก่อนจู่โจมด้วยความว่องไว ธีรเดชตั้งมั่นรับหมัดที่ปล่อยออก ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำหากไม่บาดเจ็บคงพอรับมือได้บ้าง ธีรเดชหลบหมัดที่ปล่อยออกได้อย่างหวุดหวิด เขาใช้มือกั้นลำแขนบางที่จัดการตัวเองไว้ได้ เท้าของกิ่งไผ่เป็นจุดที่ต้องระมัดระวัง ชายหนุ่มใช้เรี่ยวทั้งหมดผลักกิ่งไผ่ให้เซหลุ่นๆ จนถึงริมแม่น้ำใสเย็น คนที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวว่าธีรเดชจะโต้กลับมาได้ขืนตัวเองไว้

ธีรเดชไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายได้ตั้งหลัก กระแทกร่างของอีกฝ่ายจนตกลงจากริมตลิ่ง กิ่งไผ่ดิ้นรน น้ำเข้าปากเข้าจมูก หงุดหงิดกับตัวเองที่ไม่สามารถโต้ตอบไปได้อย่างจริงจัง เพราะตัวเองยอมที่จะไม่ลงมือจริงๆ ตัดใจลงมือจริงจังไม่ได้เพราะยังไม่ลบเลือนความรู้สึกที่มีให้ชายหนุ่ม ธีรเดชมองคนที่เปียกไปทั้งตัว พยายามว่ายเข้าหาฝั่ง เรือนผมโอบอุ้มน้ำหนาหนัก ทิ้งตัวไปเบื้องหลัง ริมฝีปากที่ดูเย้ายวนเผยอหอบหายใจน้อยเพราะเหน็ดเหนื่อย ร่างที่จมลงในแม่น้ำ โผล่ขึ้นมา เมื่อปีนขึ้นมาได้ หยดน้ำพราวแพรวต่างหยดสู่พื้นดินจนตรงที่กิ่งไผ่คุกเข่าชื้นแฉะ

“ผมว่าผมคงชนะ”

คนที่ใช้ทีเผลอมองโดยที่ไม่ช่วยอะไรเลย กิ่งไผ่มีสีหน้าว่างเปล่า เขายังไม่ยอมแพ้หรอก คิดจะสู้ธีรเดชประเมินว่าตัวเองต้องชนะ เพราะสังเกตไว้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ลงมือจริงจังสักเท่าไร กิ่งไผ่ลุกขึ้น เซเล็กน้อย รุกเข้าหาธีรเดชอีกครา รุนแรง รวดเร็ว ธีรเดชถอยหลัง มองออกว่ากิ่งไผ่คงจะย้ำเข้าที่แผลเก่าอย่างแน่นอน เป้าหมายของกิ่งไผ่คือจะย้ำตรงแผลเก่าของธีรเดช....แผลที่ตัวเองเป็นคนเย็บและเขาก็เป็นคนทำให้มันเจ็บ....ธีรเดชจับแขนคนที่ดูเหมือนบ้าคลั่งเอาไว้แน่น ตรึงให้อยู่กับที่ มองใบหน้าเปียกชื้นฉายแววดึงดั้น ธีรเดชไม่อยากให้ความรุนแรงมาก ผิดกับที่กิ่งไผ่ทำท่าว่าอยากจะให้ฆ่าเสีย ไม่เข้าใจเท่าไร ได้แต่ยึดใบหน้าให้จ้องมอง....มองอย่างค้นหา กิ่งไผ่เห็นแววตามองตัวเองพิศวง ไม่อยากให้มองตัวเขาในตอนนี้ สายตาดั่งพายุที่พาใจให้ปั่นป่วนเหมือนกับนกปีกหักที่ไม่อาจพยุงตัวเองให้บินผ่านพายุแห่งความรัก สายตาที่มองในตอนนี้สยบให้หัวใจ ดวงตาอ่อนแสง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ นายทหารหนุ่มเฝ้ามองมัน ลมหายใจเหมือนถูกหยุดไว้ มือกร้านหยาบปัดเรือนผมหนาออกให้พ้นจากวงหน้า สัมผัสกับผิวเย็นเฉียบกว่าปกติต่างจากเขาที่ร้อนรุ่ม อุณหภูมิผิวที่แตกต่างกันผสมหล่อหลอม ทุกอย่างรายรอบกายเหมือนกับจะหยุดลง เมื่อแนบชิดอยู่แบบนี้ หัวใจของนายทหารหนุ่มระริกไหว เคยแนบชิดกัน แต่ครั้งนี้มันกลับวาบหวามใจกว่า หวานละมุนและอ่อนโยน เหมือนไม่อาจควบคุมจิตใจได้ เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดกับหัวใจตัวเอง พยายามคิดหาเหตุผลว่าเพราะอะไร ริมฝีปากกิ่งไผ่ก็แนบสนิทเสียแล้วหลังจากที่จ้องมานาน ธีรเดชตัวแข็งทื่อ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมตัวเองเหมือนครั้งก่อน พยายามผลักออกด้วยความระแวง ทว่าเมื่อมองเห็นดวงตาที่หลับลง ตกอยู่ในบ่วงห้วงเสน่หา เขาเป็นฝ่ายยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้ ไม่อยากให้หยุดหรือจบลง

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-12-2008 15:18:52
ในครั้งนี้ธีรเดชคิดมุ่งมั่น เมื่อริมฝีปากร้อนเร่าแผดเผาตัวของเขาเอง ลำแขนเล็กๆโอบรอบลำคอ ก่อนแนบหน้าจุมพิตเบาๆตามลำคอและแนวกระดูกไหปลาร้า สัมผัสจากริมฝีปากเย็นเฉียบละลายไปกับอุณหภูมิ มือแกร่งรั้งกายโปร่งแนบชิดแทบเป็นหนึ่งเดียว เสื้อผ้าเปียกชื้นถูกมือหนาปลดเปลื้องออกว่องไว พอๆกับที่ริมฝีปากของกิ่งไผ่แนบพรมผ่านเสื้อตัวหนา ใบหน้าแหงนหงายขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกดึงรั้ง ดวงตาเปี่ยมด้วยเสน่หาอาบไล้แทบกลายเป็นผุยผง เพียงแวบเดียวที่สายตาสื่ออกมาว่าปรารถนาอย่างจริงจัง ตัณหาที่ดำเนินไปด้วยความที่ไม่เข้าใจของความคิดอีกฝ่ายหนึ่ง อยากให้รู้ ให้เข้าใจ...ธีรเดชจะพร้อมรับมันหรือเปล่า หัวสมองงุนงง คิดฝัน อยากรู้สึกว่าธีรเดชคิดยังไงที่ตัวเองทำแบบนี้ ยามที่เสื้อผ้าเปียกถอดออกจากเรือนร่าง ความสัมพันธ์...ที่อยากให้จบกลับเอ่อล้น พรูออกจากอกจนหัวใจเต้นระรัว ให้มือที่แตะหน้าอกรู้สึก วงแขนเล็กๆกอดร่างสูง แนบราวกับภักดี ปล่อยให้ธีรเดชดำเนินตัณหา ผิดพลั้งเองกิ่งไผ่ก็เจ็บเอง แต่ยังยอมจำนน ยอมทั้งใจทั้งกาย...

“ไผ่...”

คราวนี้เสียงกระซิบเรียกชื่อ ส่งผลให้กิ่งไผ่ปรือตามอง ยามร่างรั้งลงบนพื้นแข็งที่มีเพียงเสื้อรองไว้ กลีบปากนุ่มจูบซ้ำๆยังแก้มสากราวกับอยากให้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายนี้ปั่นป่วนเพียงใด ธีรเดชมองร่างสวยงามนอนราบขนานกับผืนแผ่นดิน เปี่ยมด้วยเสน่ห์เกินคาดหยั่ง หัวใจกิ่งไผ่แทบละลายเป็นน้ำ ความสัมพันธ์ครั้งนี้เขายอมอ่อนโอนให้โดยสิโรราบ เสี้ยวหนึ่งที่คิดว่า ร่างนี้เคยผ่านใครมาบ้าง มันก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่อาจรู้สาเหตุ ฝ่ามือลูบไล้พิสูจน์ไปตามผิวนุ่ม เรือนผมของเขาก็ถูกขยุ้มแน่น คนที่เปิดเผยความต้องการของตัวเองเด่นชัดครางเครือ หลับตาแน่นเหมือนอยู่ในความฝัน นิ้วแกร่งบดขยี้ยอดอกสีสวยจนช้ำ พร้อมดื่มด่ำด้วยความต้องการ วงแขนบางยิ่งกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม สั่นสะท้านเมื่อถูกเร้าอารมณ์ ความรู้สึกประหลาดร้อยเรียงเข้าสู่หัวใจอันแข็งกระด้าง ทั้งๆที่ธีรเดชคิดว่าให้มันเป็นความสัมพันธ์ชั่วคราวที่ต่างมีให้ หรือเป็นแค่ความผิดที่หลงใหลไปชั่ววูบก็พอ....บางทีเขาก็ไม่อาจเข้าใจเลย

ลิ้นเกี่ยวพันยามริมฝีปากประกบแนบประกบอีกครั้ง ลมหายใจอุ่นๆแม้มันอาบไล้ความสุข หากสังเกตดีๆ มีแต่ความหม่นหมองอยู่ที่หัวใจ ยิ่งแนบชิดมากเท่าไรใจที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่รู้สึกเช่นนี้ ความสัมพันธ์มันหยุดไม่ได้แล่นเร้าให้ร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม ยิ่งกายแนบชิดกันมากขึ้น หัวใจที่จะกระเด็นกระดอนไปกับความสุขอาบล้น เหตุผลต่างๆนานาสิ้นสุด ปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่อยู่บนความไม่เข้าใจเดินดำเนินต่อ

เมื่อความรู้สึกพุ่งขึ้นสู่จุดสุงสุด แรงขับดันจากภายใจช่วยปลดปล่อยจากพันธนาการทุกสิ่งทุกอย่าง ลมหายใจที่หอบรุนแรง ยิ่งหอมหวานปนกับความขื่นขม กิ่งไผ่ลูบเสี้ยวหนาแกร่งอย่างเบามือ เมื่อมันแนบชิดแผ่นอก ฟังเสียงหัวใจที่เต้นระรัว น้ำตาที่ไหลรินเพียงหยดเดียวหลังจากที่รับรุ้กว่าแก่นกายอัดแน่นด้วยความร้อนรุมสอดแทรกในความอุ่นชื้น ทรมานเล็กน้อย แต่ความสุขที่แล่นริ้วไปตามไขสันหลังจนสู่หัวใจ ขยับช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะอันให้เร็วขึ้น เสียงที่เปล่งจากซอกคอที่เกี่ยวกุมกายแกร่งแน่นบ่งบอกว่ามีความสุข ธีรเดชมองดวงตาที่เหม่อเลื่อนลอย เคลิบเคลิ้มไปกับความสุขที่อัดแน่น สิ่งที่บดเบียดคือแก่นกายของชายหนุ่ม เพียงได้รับรู้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรงความสุขก็ยิ่งเพิ่มและยิ่งอาบล้นกว่าที่เคย รู้สึกว่าจะแตกสลายไปกับความสัมพันธ์นี้....ธีรเดชมีความสุขกับสัมพันธ์แนบแน่นในครั้งนี้ พอมันสิ้นสุด ทำนบก็พังทลาย จูบแนบแก้มที่เปื้อนคราบเหงื่อเบาๆ หยุดพัก นอนแนบอกที่ยังไม่หายเต้นรัว....กลิ่นอายของความรักยังลอยอวล นิ้วเรียวลูบแผ่นหลังแกร่งอย่างเหม่อๆราวกับกระตุ้นให้มันดำเนินต่ออีกครั้ง ธีรเดชเพ่งพิศเปลือกที่พริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะเริ่มหากก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยเกิน อีกทั้งต้องระวังท่าทีหลังจากผ่านช่วงแห่งความสุขสมของกิ่งไผ่ว่ามันจะเป็นเช่นไร ไตร่ตรองสักพักเห็นท่าทีสงบนิ่งอีกทั้งมือลูบไล้แผ่นหลังราวกับคะนึงหาทำให้ธีรเดชอดใจไม่ไหว ยกมือสอดไปในเรือนผมยาว สางตอบรับ ดวงหน้างามยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข สัมผัสจากคนๆนี้ยังสื่อถึงความใจดี ไม่อาจทานทนได้อีกแล้วเมื่อเห็นใบหน้าดั่งจันทร์อันสว่างไสว เขาพรมจูบใบหน้าอย่างนุ่มนวล ต่อให้ฟ้าจะถล่มก็ไม่อาจหยุดพายุตัณหาที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งได้เลย ไม่ค่อยข้าใจเท่าไร เมื่อโอบอุ้มดวงหน้าที่จำยอมผ่อนปรน แม้จะเคยแนบสนิท แต่มันไม่มีอะไรที่เกินมากกว่านั้น คราวนี้ใจอาบล้นด้วยความหวานที่ไม่มีวันสิ้นสุดลง


ร่างกายอันอ่อนล้า ลืมตาขึ้นกิ่งไผ่กระพริบตาถี่ๆ เขาสำรวจดูตัวเอง เรื่องเมื่อครู่เป็นความฝันหรือเปล่า เขายังงุนงงกับมัน มองตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย พร้อมกับเสื้อนอกที่คลุมกายเอาไว้ เสียดาย...ที่มันเป็นแค่ฝันเท่านั้นหรือ รู้สึกอยากจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทว่าร่างกายอันอ่อนล้า พร้อมกับอาการปวดแปลบเหมือนเรี่ยวแรงหายไปหมดจากกายบอกว่ามันมิใช่ฝัน ภาพที่เขากอดธีรเดช เริ่มความสัมพันธ์ติดอยู่ในใจ ดวงตาสีดำมองท้องฟ้าสนธยา หูได้ยินเสียงแว่วๆดังจ๋อม ฝืนทนลุกขึ้น มองเห็นกายกำยำในความสลัวราง แช่น้ำเย็นเฉียบ รอยยิ้มส่งมาให้คล้ายกับลืมเลือนเรื่องราวหมางใจ กิ่งไผ่ไม่รู้ว่าสมควรจะยิ้มตอบหรือเปล่าจึงไม่แสดงอาการใดๆออกมา ร่างสูงลุยน้ำขึ้นตลิ่ง ผิวสีเข้มชุ่มไปด้วยน้ำ ไม่กล้ามองมากกว่านั้น กลัวที่จะนึกถึงกายนี้โอบล้อมเขาเอาไว้ ธีรเดชทรุดนั่งข้างๆแตะแก้มซีดๆ ท่าทีอ่อนโยนแทบฆ่าให้ตายได้

“ไม่เป็นไรนะ”มือที่กุมไว้ยังเพิ่มอุณหภูมิที่ร้อนเร่า หลายครั้งหลายคราที่ธีรเดชไม่ปล่อยให้ร่างสวยงามห่างกาย ตัวชายหนุ่มที่รุนแรงไม่ยับยั้งอารมณ์กกกอดเอาตามความพอใจจนหมดแรง ปลดปล่อยให้กายสู่ความสุขอันโลดแล่นหลายครั้งหลายครา กิ่งไผ่เหนื่อยจนหลับไปเลย ธีรเดชเลยต้องคอยดูแล จัดแจงใส่เสื้อผ้า ชำระคราบแห่งความสุขสมให้ก่อนตัวเขาเองจะไปอาบน้ำ ดับอารมณ์ที่คุกกรุ่นให้มอดลง ระหว่างที่ชำระกาย สายตาแกร่งมองร่างที่หลับสนิทตลอดเวลา ท่าทีไร้พิษภัยน่าปกป้อง สองความรู้สึกต่อสู้กันในใจว่าที่เขาทำลงเพราะอะไรกันแน่พยายามหาเหตุผลต่างๆนานาเข้ามาแก้สิ่งที่พันยุ่งเหยิงให้กับคำตอบเข้าข้างตัวเองว่าฝ่ายที่เริ่มก่อน จุดชนวนอารมณ์คืออีกฝ่าย ปลุกให้มันลุกไหม้แผดเผา

มือที่แตะข้างแก้ม กิ่งไผ่แนบมันด้วยท่าทีออดอ้อน ธีรเดชไม่ใคร่จะพอใจนักเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทางแบบนี้ เหมือนยั่วยวนให้หลงใหลแล้วหักหลังทิ้งอย่างเลือดเย็น พยายามปัดความคิดที่ร้ายกายออก ผละจากแก้มก็กุมมือ
อีกฝ่ายขึ้น

“ไปที่ไทยกับผมนะแล้วผมจะคุ้มครองคุณเอง”

ชายหนุ่มฉวยโอกาสที่กิ่งไผ่กำลังงุนงงและเคลิบเคลิ้มอยู่เอ่ยปาก จ้องด้วยความจริงจัง

“ไป ?....”

ดวงตางงงัน สติยังไม่กลับคืน ธีรเดชผงกศีรษะ

“ใช่...ไปกับผม”

ดวงตาแย้มยิ้มให้คลายความหวาดระแวง กิ่งไผ่ส่ายหน้า

“ไปไม่ได้หรอก อย่าเลย”

ไม่อยากให้หมางใจจึงบอกปัดไปอย่างนุ่มนวล

“เราทั้งคู่ต่างเป็นศัตรูกัน การที่ผมก้าวข้ามไปฝั่งไทยแสดงว่าผม....ถูกหักหลัง”

เขาไม่อยากพูดคำๆนี้ สุดท้ายมันก็หลุดออกจากปากอย่างง่ายดาย ธีรเดชนิ่ง รู้ว่าไม่มีทางจะพาไปง่ายๆจึงพูดเกลี่ยกล่อมอย่างสุภาพ

“คุณถูกตามล่าอยู่ไม่ใช่หรือ ทางฝ่ายผมจะคุ้มครองให้”

ธีรเดชเอ่ยอ้างคำที่อีกฝ่ายบอก กิ่งไผ่ก้มหน้าลง

“ไม่ได้....ต่อให้ผมตายผมก็จากไปจากแผ่นดินนี้ไม่ได้”

แววตาหม่นเมื่อนึกถึงครอบครัวที่แตกซ่านกระเซ็นเพราะถูกทรยศ เขาไม่อาจไปไหน แม้ว่าใจอยากโบยบินตามความรู้สึกที่รู้ว่าเขาเป็นฝ่ายถูกหลอกลวงก็ตาม พ่อเขายังอยู่ที่นี่...ภารกิจหัวใจของเขาจบสิ้นแล้ว เหลือแต่หน้าที่ที่แบกทับไว้บนบ่า

“เพราะอะไร มันอันตรายไม่ใช่หรือ จะหลบซ่อนไปที่ไหน”

ธีรเดชโน้มน้าว กิ่งไผ่พยายามปฏิเสธสักเท่าไร ...หัวใจก็เหมือนจะโอนเอียงตามคำพูดอ่อนโยนที่สัญญาว่าจะปกป้อง

“ผมรับรองว่าจะคุ้มครองคุณ....”

มองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างค้นหา อยากอยู่ใกล้แม้สักนิดเดียว จะยอมอ่อนง่ายๆไหมนะ...กิ่งไผ่ขบคิด เขาคำนวณว่าหากไปกับธีรเดชเขาจะพบกับความเสี่ยงอะไรบ้าง

“ถึงแม้ว่าผมจะเป็นศัตรู คุณก็ไม่สืบสวนหรือกักตัวไว้หรือ”

อีกฝ่ายเอ่ยคล้ายเย้าหยอก ธีรเดชนิ่งงัน

“เห็นไหมว่าผมไปก็เท่ากับเป็นเชลยทันที”

มือแกร่งบีบแน่น

“ผมไม่ให้มันเป็นแบบนั้นแน่ ไผ่...ผมกลัวเหลือเกินว่าคุณจะถูกล่าอีก ไปกับผมเผื่อผมช่วยอะไรได้”

คำว่าช่วยเหลือจุดดวงตาสีดำสนิทสว่างวาบ ถ้าเขาไป ต้องใช้ประโยชน์จากทางไทยได้แน่ แม้มันดูเสี่ยงแต่ต้องลองดู ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรแน่ เกือบตอบตกลง หากอีกความคิดหนึ่งกลับคัดค้านว่าถ้าหากไปแล้วมันไม่เป็นอย่างที่คิดจะทำอย่างไร หากถูกกักตัวเอาไว้เป็นพยาน แต่ตอนนี้มันจะจำเป็นอะไรในเมื่อที่พำนักสุดท้ายถูกยึดครอง เขาก็ใช้ข้อเสนอจากชายหนุ่มขอมาต่อรองขอความช่วยเหลือ....ยิ้มที่เจ้าเล่ห์ในใจ และแล้วเขาก็ตกลง

“ถ้าคุณคุ้มครองผมได้ผมก็จะไป”

ธีรเดชดีใจยิ่งนัก จนไม่เอะใจให้การอ่อนโอนผ่อนตาม...เงื่อนงำที่จะสาวสู่กองโจรกู้เแผ่นดิน พยานเพียงหนึ่งเดียวที่โน้มน้าวได้ ชายหนุ่มดึงร่างของกิ่งไผ่เข้ามากอด....ต่างหลอกลวงกันและกัน เล่นเกมส์ภาระหน้าที่ จากความอ่อนหวานเลือนหาย ความรักที่เกิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว....

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-12-2008 17:02:15
 :m25: ไผ่เสร็จธีแว้ว

แต่ว่าต่อไปนี้  :monkeysad: ไผ่เอ้ย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 04-12-2008 17:28:15
 :impress2:
และแล้วไผ่ก็เสร็จธี...หรือธีเสร็จไผ่หว่า... :z2:
แม้จะยังไม่เข้าใจกัน  :oo1:    บ่อย ๆ เข้าเดี๋ยวก็รักกัน
 :z1:  
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 04-12-2008 17:31:59
โอยยยยยยยยย เกินความคาดหมาย

ชกต่อยกันอยู่ดีๆ อะไรฟะ  รวมร่างกันซะงั้น :haun4:





อ้างถึง
ธีรเดชดีใจยิ่งนัก จนไม่เอะใจให้การอ่อนโอนผ่อนตาม...เงื่อนงำที่จะสาวสู่กองโจรกู้เแผ่นดิน พยานเพียงหนึ่งเดียวที่โน้มน้าวได้ ชายหนุ่มดึงร่างของกิ่งไผ่เข้ามากอด....ต่างหลอกลวงกันและกัน เล่นเกมส์ภาระหน้าที่ จากความอ่อนหวานเลือนหาย ความรักที่เกิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว....


นี่มันอารายยยยยยยยยยยยย




ปล.  ตอบพี่มู่...รู้จักค่ะ ป้ามะขามป้อม RN   แต่ไม่ได้สนิทสนมกัน  ก๊ากกก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-12-2008 18:39:42
แต่ละเม้นต์  ดูเหมือนหื่นๆ นะ โดยเฉพาะนารท  อิอิ :z1:
น้อง 19NT รู้จักกับป้าแป๋ว  ระวังโดนป้าแกขบหัวล่ะ 5555

ต่อเลยน้า  จะรีบลงเรื่องนี้ให้จบแล้วค่ะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 25 Enemy : ศัตรู [Part 1]

มองดูฟากฟ้าแล้วก้มหน้า ท้องฟ้าซึ่งเจือด้วยสีแห่งความหวัง ท่านนายพลนั่งภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เจ้าขิ่นกลับมาแล้ว มันยิ้มแฉ่งให้ผู้เป็นนายใหญ่ นายพลอินคานจ้องหน้ามันเมื่อมันวางของลงบนพื้นไม้

“เรียบร้อยไหม”อดถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆไม่ได้ เจ้าขิ่นยิ้มเผล่ ท่านพึ่งพอใจในผลงานมาก

“ดี...ดี...อย่างน้อยเราก็ยังไม่หมดหวัง”

เห็นท่านนายพลดีใจ เจ้าขิ่นก็ดีใจด้วย เด็กหนุ่มเลื่อนของในย่ามให้ ท่านนายพลขมวดคิ้ว

“อะไร...”

เจ้าขิ่นยิ้ม ท่านนายพลจึงหยิบออกมาดู

“เอ็งเอาเงินที่ไหนมาซื้อ”

ท่านนายพลมองหน้า เด็กหนุ่มไม่พูดอะไร นางยะไข่เดินออกมานั่งพับเพียบมองดูข้าวของที่ลูกชายซื้อมาเสียเยอะแยะ นางมองใบหน้า เจ้าขิ่นแย้มยิ้มไม่หยุดที่งานของมันได้ออกไปทำมีประโยชน์หลายๆอย่าง

“ฉันได้เงินจากที่ไปส่งจดหมายให้จ้ะ”

นายพลหยิบยามาดู ใบหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก

“เอ็งเอาเงินเขามารึ”

มารดาดูเป็นกังวลเหมือนกัน เจ้าขิ่นขมวดคิ้ว

“มีอะไรแม่ พวกนั้นให้เงินฉันเองจ้ะแม่ อีกอย่าง....ก็ไม่มีใครตามฉันมาด้วย ฉันรับรอง”

นางยะไข่มองท่านนายพลที่ส่ายศีรษะบอกว่าไม่เป็นไรกับเรื่องนี้

“บริษัทนี้ไว้ใจได้ แล้วแกได้พบตัวนายพลแดเนียลไหม”

เจ้าขิ่นส่ายหน้า

“ไม่จ้ะ แต่...ฉันฝากจดหมายให้กับคนในร้านแล้ว”

ดวงตาของท่านนายพลเบิกกว้าง ทว่าจางแสงไปอย่างรวดเร็ว ในมือกำยาลดความดันเอาไว้แน่น

“ส่งสำเร็จก็ดีแล้ว”

นางยะไข่เห็นท่านนายพลไม่สบายใจ นางจึงไล่ลูกชายออกไป มองใบหน้าคิดหนัก

“มีอะไรเกี่ยวกับจดหมายฉบับนั้นหรือ ฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้าง”

ดวงตาเฉียบคมอ่อนล้าคล้ายกับคมมีดบิ่น

“ขอบใจนะยะไข่ ฉันรบกวนครอบครัวมากแล้ว...”

สายตาของท่านเหม่ออกไปเบื้องนอก นางยะไข่มองหน้าผู้เป็นนายเหนือหัวยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ครอบครัวของฉันพร้อมรับใช้นายจ้ะ”

นายพลผงกศีรษะ ก่อนเอ่ยคำรำพึงที่ติดอยู่ในใจ

“ฉันรู้...เวลาของฉันมีไม่มาก ตัวฉันเองไม่เป็นไรหรอกเพราะเป็นไม้ใกล้ฝั่ง จะพุพังล้มลงตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย เหลือเพียงแต่ลูกชายของฉัน....และซากความฝันที่ฉันยัดเยียดให้เขา”

นางยะไข่ถอนใจกับคำที่ท่านนายพลเอ่ยออกมา

“นายเป็นเหมือนเสาหลักของทุกคน นายน้อยก็เปรียบดั่งมิ่งขวัญในหัวใจ ทุกคน....ต่างฝันที่อยากจะให้นายและนายน้อยขึ้นครองอำนาจ นายน้อยรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความฝันที่เลื่อนลอย นายไม่ต้องห่วงนะว่าจะไม่มีช่วยเหลือนายน้อย”

ท่านนายพลผงกศีรษะน้อยๆ

“ขอบใจสำหรับของใจ ฉันรู้ตัวเองดีว่าเวลากำหนดให้อีกเท่าไร แต่ก่อนที่จะตายฉันหวังว่าจะเจอกับลูกชายฉันก่อน”

ท่านกุมอก...รู้สึกเหนื่อยกับโรครุมเร้า สิ่งที่ทำให้เรี่ยวแรงยังมีอยู่ก็คือความหวังอันริบหรี่ พอมาเป็นแบบนี้แรงที่ยังมีกลับลดหาย

“ฉันเชื่อว่านายจะได้พบกับนายน้อยอย่างแน่นอน”

นายพลส่งเสียงรับในคอ ท่านลุกขึ้นนางยะไข่ช่วยประคอง

“ขอบใจเอ็งมาก ฉันจะไปเดินเล่นเสียหน่อย”

นางยะไข่รู้ว่านายพลอินคานต้องใช้ความคิดเงียบๆ นางจึงไม่ได้ไปกวน ทรุดนั่งเก็บข้าวของที่บุตรชายซื้อมา

------------------------------------------------

นายพลอินคานเหยียบย่ำแผ่นดินเกิดแต่ละก้าวเดินท่านจะนึกถึงช่วงสมัยอดีตนับแต่ได้ครองเวียงนวรัฐะ อำนาจถูกปลิดโค่นด้วยพี่น้องที่ริษยาในอำนาจ แผ่นดินที่ท่านเคยคิดจะครองครองจนตายแล้วถ่ายทอดอำนาจให้บุตรชายเพียงคนเดียวกลับเป็นได้แค่หมอกควัน ท่านหยุดนิ่งมองดูดอกไม้ป่าที่ชู่ช่อสไวเดียวดายคิดถึงภริยารัก

...กี่ปีที่ท่านต้องเดินอยู่บนเส้นทางแห่งสายน้ำตา สูญเสียพวกพ้อง สูญเสียสิ่งที่รักไปกับสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น...

“เจ้าคะฉิ่น ไว้ใจมึงแท้ๆมึงยังแว้งกัดได้”

นึกเจ็บใจอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ พี่น้องที่เชือดเฉือนกันเพียงเพราะคำว่าอำนาจ อยากล้มล้างอีกฝ่ายด้วยความริษยา สิ่งที่ทำให้ท่านนายพลอินคานเสียใจมากที่สุดคือภรรยารักถูกผู้เป็นพี่น้องวางยาพิษ กำลังที่ส่องสุมบุกยึดอำนาจ หยุดเท้าตรงเนินผาที่สามารถมองเห็นบ้านเมืองซ่อนตัวลิบๆอยู่ในป่า ท่านสลัดอดีตออกไปให้หมด แผนการขั้นต่อไปเรียบเรียงไว้ในหัวแต่ด้วยใจที่วุ่นวายทำให้คิดอะไรไม่ค่อยออก ท่านจ้องมองแนวเทือกเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของท่าน นายพลินคานหลับตาลง ความฝันอันเฟื่องฟูล่องละลอยอยู่ตรงหน้าพลันจบลงด้วยคำว่าความเป็นจริง นายพลอินคานกำมือแน่นแล้วท่านนายพลอินคานหันหลังเพราะเสียงเรียกแผ่วเบา

“นายครับออกมาแบบนี้ไม่ดี”

เจ้าขิ่นเอ่ยเบาๆ สีหน้าของมันดูนอบน้อม ท่านนายพลทรุดนั่งยังก้อนหินเกลี้ยงเกลา

“นานแล้วที่ไม่ได้มานั่งดูบ้านเมือง ชีวิตฉันอยู่กับการรบพุ่งมานานเหลือเกิน ดูสิ....ดูเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะ”

เสียงกระซิบแผ่วเบา ดวงตามีรอยยิ้มอ่อนโยน เจ้าขิ่นนั่งฟังเงียบๆ

“ยังจำได้ ตรงนั้นเป็นที่ที่เมียฉันชอบไปมากที่สุด ลุกฉันก็ชอบ”

ท่านชี้ตรงที่เห็นแม่น้ำสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ

“พ่อเล่าให้ฟังเสมอว่า ท่านจะใช้เวลากับครอบครัวของท่านที่ตรงริมน้ำนั่นตกปลา....มองดูภรรยาของท่านร้อยดอกไม้ นายน้อยวิ่งเล่นกับเล่าคนรับใช้มีความสุขทีเดียว พ่อผมเล่าเหมือนกับนิทานก่อนนอนเลยครับ”

เด็กหนุ่มกล่าวเสียงใส ท่านนายพลดูเหมือนจะยิ้มนิดๆกับอดีตอันแสนหอมหวาน แต่แล้วก็มีสีหน้าเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง สีหน้ามีสุขของเจ้าขิ่นเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน น้ำตาไหลลงอาบแก้ม เพียงหยดเดียวที่ความทรงจำต่างๆลบเลือน เหลือเพียงเลือและความอาลัย

“นายครับ...”

เจ้าขิ่นแตะหลังมือ ท่านนายพลพยายามยิ้มให้ได้ มันฝืนเกินไป ท่านซบหน้ากับฝ่ามือ หยาดน้ำตา ความอ่อนล้า เจ้าขิ่นบีบมือแน่นขึ้น

“ไม่เป็นอะไร....ข้าไม่เป็นอะไร”

ท่านายพลว่าก่อนระงับอารมณ์ เงยหน้าสายตาอ่อนล้ามองไปยังเมืองที่อยู่ไกลลิบๆ

“ท่านหิวข้าวยังครับ”เจ้าขิ่นเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นยื่น

“ไปบอกให้แม่เอ็งเตรียมสำรับเถอะขอฉันอยู่ที่นี้ต่ออีกสักนิดแล้วฉันจะกลับเอง เอ็งไม่ต้องห่วง”

เจ้าขิ่นผงกหัววิ่งตื๋อไปยังบ้าน ท่านนายพลมองดูสถานที่ที่เคยปกครองในอดีต

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 05-12-2008 18:40:43
จดหมายปลิวกระทบโต๊ะขัดมันวับ สายตาเย็นยะเยือกจับจ้องราวกับเป็นเศษไร้ค่างวด ควันบุหรี่ที่พวยพุ่งสู่อากาศ พร้อมกับกลิ่นคละคลุ้ง ผู้ที่ยืนตัวตรงยิ้มคล้ายกับประจบประแจง

“มันไม่รู้สินะว่าคนช่วยมันถูกกักไว้ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับกิจการค้าไม้นี่แล้ว”เคาะโต๊ะอย่างนึกเยาะ

“มันคงไม่รู้จริงๆครับท่านว่าคนที่สามารถช่วยมันได้ถูกเขี่ยให้พ้นทางแล้ว”

ผู้ที่มาส่งจดหมายตอบยอย่างนอบน้อม คนที่ได้ฟังหัวเราะลั่นอย่างสมใจ

“โง่ไม่ผิดเหมือนแต่เก่าก่อนเลย”น้ำเสียงนั้นเหยียดหยัน ร่างสูงใหญ่เปิดม่านบานเกล็ด

“นำเรื่องนี้ไปรายงานท่านคะฉิ่นท่านต้องได้รับการชื่นชมและเลื่อนยศแน่ที่สามารถจับหนามขวางทางท่านได้”

ผู้ที่มาจากบริษัทเหมืองแร่เอ่ย คนที่ได้ฟังคำยอหัวเราะลั่น

“หึๆๆๆความคิดแกไม่เลวเลย”

สายตาดั่งเหยี่ยวมองใบหน้าของชายร่างอ้วนที่ยิ้มเผล่ประจบประแจง

“งานนี้หากสำเร็จฉันจะได้เลื่อนทั้งเงิน ทั้งยศและอำนาจ แกต้องได้รับการตอบแทนคุ้มแน่ๆ”

ดวงตาของชายร่างอ้วนทำตาโตราวกับละโมบต่อทรัพย์ที่ได้รับ

“ไอ้เสือเก่สิ้นลายมันคงไม่คิดนะว่ามันถูกหักหลัง”ชายร่างอ้วนนอบน้อม

“ไม่รู้ตัวเลย เด็กส่งจดหมายก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ....เสือเจ็บหนัก หมดทางเอาตัวรอดต้องกระเสือกกระสนทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิต”

ชายร่างอ้วนกล่าว สีหน้าของชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์แสยะยิ้มพร้อมยกมือลูบคาง

“ถ้าจับตัวมันมานายพลคะฉิ่นคงพอใจน่าดู”

ชายร่างอ้วนค้อมเหมือนยอมรับในความคิดเห็น

“ขอบใจที่มาแจ้งข่าว รีบออกไปซะ”

ชายใบหน้าจอมเจ้าเล่ห์โบกมือไล่ใบหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ ชายร่างอ้วนค่อยๆถอยหลัง

------------------------------------------------

นายพลคะฉิ่นนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทีสบายๆ มุมปากคาบซิการ์พ่นควันปุ๋ย มือวางทาบบ่ากลมมนของหญิงสาวในชุดจีนสามนางที่นั่งเอาอกเอาใจผู้นำประเทศ ใบหน้าหมวยๆเคลียคลออดอ้อน ฉอเฉาะ มือขาวสะอาดรินเหล้าให้เรื่อยๆพร้อมกับจูบแนบแก้มเหี่ยวๆ ไม่นำพาต่อสายตาลูกน้องที่ยืนอารักขาในชุดทหารอยู่หน้าประตู ใบหน้าดุจหินมีความรู้สึกขึ้นมาเมื่อชายร่างผอมแต่งชุดทหารประดับเครื่องหมายยศผู้พันก้าวเร็วๆดิ่งตรงเข้ามาภายในห้องพักส่วนตัวของเจ้าผู้ปกครองเวียงวนรัฐะ ต่างยกมือกั้น ชายผู้นั้นทำหน้านิ่วคล้ายกับไม่พอใจ เสียงหัวเราะต่อกระซิกแว่วตามลม ดวงตากลิ้งกลอกมองทหารยศต่ำกว่าตนอย่างหาเรื่อง

“มีธุระด่วน ขอเข้าพบท่านนายพลคะฉิ่น”

สายตาสีดำสนิทมองตรงเข้าไปในห้อง เห็นนายพลชราทำตัวเป็นเฒ่าหัวงู ปากกัดกินผลไม้ที่นางบำเรอที่ซื้อมาป้อน ต้นขาขาวผ่องพาดตักนายพลคะฉิ่นที่อยู่ในชุดของท่านนายพลเต็มยศ

“ท่านผู้พันฮามมีธุระเร่งด่วนอะไร”

ทหารอารักขาถาม สีหน้าของผู้พันฮามหน่ายเหนื่อยกับชีวิตนายเหนือหัว

“ผู้พันราเชนทร์ต้องการรายงานข่าวด่วนเกี่ยวกับเรื่องนายพลคะฉิ่น”

ผู้พันฮามซึ่งในอดีตเคยเป็นมือขวาของท่านนายพลอินคานกล่าว สายตาจอมเจ้าเล่ห์จ้องเขม็งยังสองทหารอารักขา หนึ่งในนั้นค้อมศีรษะให้

“กระผมจะไปกราบเรียนท่านให้ รอคอยสักครู่”

เดินเข้าไปภายในห้อง ผู้พันอฮามยืนตัวตรงด้วยท่าทีงามสง่า หางตาชายมองชายชราที่ตีสีหน้าขัดใจเมื่อถูกขัดจังหวะ ทหารอารักขาก้มลงกระซิบกระซาบพร้อมทั้งชี้มือมายังด้านนอก คิ้วขมวดเข้าหากัน มือโบกขับไล่หญิงสาวให้ออกไปให้พ้น นางบำเรอทั้งหลายต้องรีบลุกทันทีหลังจากถูกตวาด ทหารอารักขาออกมาเชิญผู้พันฮาม ซึ่งผู้พันมือขวาของนายพลคะฉิ่นก้าวเข้าไปภายใน ค้อมศีรษะเคารพผู้เป็นนาย นาลพลคะฉิ่นผายมืออนุญาตให้ลูกน้องนั่ลงได้ หลังจากที่ยืนตัวตรง

“มีข่าวด่วนอะไรรายงาน”

น้ำเสียงเข้มดุผิดกับคราบเฒ่าหัวงู ดวงตาสีเทากระเหี้ยนกระหือรือ พันตรีฮามส่งจดหมายให้พร้อมกับกล่าว

“นี่เป็นจดหมายที่ทางบริษัทเหมืองแร่อีสต์เอเชียส่งมาร้อยเอกราเชนทร์ครับท่าน”

นายพลคะฉิ่นขมวดคิ้ว มองลายมือหวัดๆอันแสนคุ้นตาแล้วยิ้มเยาะ

“ร้อยเอกราเชนทร์ที่เข้ามาหลบหนีในประเทศเราเพราะคดียาเสพติดรึ”

นายพลคะฉิ่นรำพึง นึกถึงใบหน้าเปี่ยมด้วยความละโมบ

“ครับลูกน้องของนายกฤษดานั่นแหละครับท่าน”

เอ่ยถึงหุ้นส่วนของผู้เป็นนายแล้วกำมือแน่นก่อนจะคลายออก

“ว่าอย่างไรล่ะ ...อ่านให้ฟังหน่อยสิว่าไอ้เสือเฒ่าต้องการอะไรและตอนนี้มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”

ดวงตาสีเทาเปี่ยมด้วยความอำมหิต พันเอกฮามจึงหยิบจดหมายคลี่ออกมาอ่านให้ฟัง ดวงตาคู่นั้นปูดโปน มือบีบแก้วเหล้าในมือราวกับจะให้ปริแตก ทันทีที่อ่านจบนายพลคะฉิ่นปาแก้วทิ้ง ยิ้มอย่างเป็นต่อ

“หึ...ไอ้พวกกฤษดาหาตัวมันไม่พบที่แท้นึกว่าไปหลบซ่อนหางที่ไหน หึๆๆ น่าสงสารไอ้แก่หาที่ซ่อนก้น จดหมายฉบับบนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ?”

หันมองผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งตีสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ทางร้อยเอกราเชนทร์บอกว่าเป็นฉบับจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ครับท่าน หากท่านอยากพิสูจน์กระผมเรียกร้อยเอกราเชนทร์มาพิสูจน์ได้”

นายพลคะฉิ่นบอกให้พาราเชนทร์เข้ามา ซึ่งพันเอกฮามลุกขึ้น เชิญชายที่มีความละโมบอยู่เต็มสันดานเข้ามา ร้อยเอกราเชนทร์ซึ่งในสมัยอดีตเป็นทหารประจำเขตแดนไทยแต่ต้องมาระเห็จเพราะคดียาเสพติดและเข้าร่วมกลุ่มกับกฤษดาเกี่ยวกับเส้นทางค้ายา นายพลคะฉิ่นมองหน้าราเชนทร์ ท่านเคยพบแต่ไม่เคยใส่ใจ มาบัดนี้ท่านจึงมองใบหน้าลูกของของกฤษดา

“นายของแกมันหาคนที่ฉันต้องการไม่พบถือว่าไร้น้ำยาไหม”

นายพลคะฉิ่นถาม อยากรู้นักว่าสุนัขของกฤษดาจะว่าอย่างไร หากคนที่เป็นสุนัขกลับนิ่งเงียบ

“จดหมายนี้นี่นายเอ็งเป็นคนได้มารึ”

น้ำเสียงท่านนายพลไร้ความรู้สึก พันเอกฮามซึ่งมองออกไปด้านนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้สนใจในบทสนทนา

“ทางบริษัทของนายพลแดเนียลเป็นคนส่งมาให้ครับ”

ราเชนทร์ตอบแล้วนิ่งไป

“ส่งมาให้อย่างไร แล้วนายของเอ็งรู้ไหม”

ราเชนทร์ถูมือก่อนจะส่ายหน้า

“ข้อนี้นายผมย่อมไม่ทราบแน่ จดหมายนี้มาจากคนที่น่าจะถือว่าเป็นลูกน้องของนายพลอินคานไม่ผิดแน่ เสือเจ็บหนักย่อมต้องการหาคนช่วย”

สีหน้าของท่านายพลคะฉิ่นเคลือบแคลง

“จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามแต่ท่านกระผมโกหกก็ไม่ได้ผลดีอะไร ถ้าท่านต้องการหลักฐานเชิญเรื่องผู้จัดการของบริษัทอีสต์เอเชียมาได้”

ท่านนายพลคะฉิ่นกำมือแน่นจำต้องยอมเชื่อ ถอนใจแรง

“แต่ข่าวนี้ย่อมไม่ได้มาฟรีๆแน่ ท่านจะให้ค่าแรงไหม”

เอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว นายพลคะฉิ่นผงกศีรษะ

“ต้องให้แน่”

เสียงของท่านเย็นจัด สีหน้าของราเชนทร์จ้องมองใบหน้าของเสือเจ้าเล่ห์

“ท่านคิดจะปิดปากหรือ ยังไงเสียกระผมยังมีประโยชน์ต่อท่านยิ่งกว่านายของผมอีก”

ผู้พันฮามหันมองสุนัขที่เริ่มแว้งกัดนาย

“คนอย่างนั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอก...อ้อ ท่านรู้หรือยังว่าทางไทยนั้นได้รวมมือกับทางรัฐบาลทหารพม่าเพื่ออกตามหาทหารที่หายไปในการลาดตะเวน...”

เหลือบมอง แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ ท่านนายพลคะฉิ่นขมวดคิ้ว

“ว่าอะไรนะ ?”

“แลกกับข่าว ต้องส่งเงินให้”

ผู้พันฮามมองใบหน้าที่เต็มด้วยความโลภ อยากกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัว

“ลูกชายผมส่งข่าวกลับมาว่า ทางไทยตอนนี้กำลังสืบคดีเรื่องที่ทางทหารไทยถูกโจมตีโดยให้ตัวแทนทูตจากพม่าจัดการเรื่องนี้”

คำพุดที่สั่นคลอน นายพลคะฉิ่นไม่อยากเชื่อ หากราเชนทร์ลุกขึ้น

“ข่าวนี้กระผมมิอาจกุท่านได้ แล้วแต่จะพิจารณา”

เจ้าคนละโมบค้อมศีรษะให้แก่พันเอกมือขาวของนายพลคะฉิ่นที่นั่งตีหน้าปั้นยาก

“จะให้กระผมจัดการไหมครับ”

พันเอกฮามหันมองเจ้าคนบังอาจเดินจากไป มือของนายพลคะฉิ่นโบกอย่างอ่อนล้า

“ไม่จำเป็น”

สีหน้าเครียดเคร่งจากข่าวที่ได้ฟังกะทันหัน ระยะนี้ท่านหลงระเริงกับอำนาจจนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ผู้พันฮามมองสีหน้ายุ่งยากใจ

“เรียกประชุมในวันพรุ่งนี้...”

นายพลคะฉิ่นกล่าว ไม่มีวันที่จะให้อะไรมาขวางอย่างเด็ดขาด!

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 05-12-2008 19:10:42
^
^
^

ทิ่ม...เบาๆ

อ้างถึง
น้อง 19NT รู้จักกับป้าแป๋ว  ระวังโดนป้าแกขบหัวล่ะ 5555

พี่มูมู่ขา  ไม่ต้องห่วงไป  ป้าเขาเตี้ย  โดดไม่ถึงหัวเค้าหรอก

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก



---------------------------------


แกว๊กกกกกก  นายพลโดนหลอกรึ  โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

นิสัยไม่ดีอิพวกโจรบ้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 05-12-2008 20:16:00
กิ่งไผ่ก็น่าห่วง...จะได้บ้านได้เมืองคืนไม๊
ธารก็ไม่รู้เป็นไงบ้าง...
เหล่าสุดที่รักทั้งธีทั้งผู้กองจะมีอันตรายป่าว
 :serius2:

ปล. มาว่าเค้าหื่นนนน ใจร้ายยยย  :a14:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 05-12-2008 20:41:55
อะรายกานนักกานหนา

อันตรายรอบด้านเลยว้อย

 :serius2:   :serius2:   :serius2:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-12-2008 22:22:29
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 09-12-2008 20:28:51
เมื่อไหร่จะมาต่อครับ ใกล้ถึงบทสรุปของภาคแรก
ตอนนี้ลุ้นระทึกกับปาฏิหารย์มากๆ และทางๆไผ่กับธีอีก
มาต่อไวไวนะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-12-2008 14:00:25
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 26 Enemy : ศัตรู [Part 2]

กิ่งไผ่ยอมตามธีรเดชไปนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ระยะทางไปยังหมู่บ้านชาวป่าเพื่อจะตัดเข้าเขตชายแดนไทย มีบ้านเรือนราวๆสามสิบหลังคาเรือน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ...ไม่มีใครยอมพูดอะไรจนกระทั่งถึงหมู่บ้านเล็กๆ กิ่งไผ่รั้งธีรเดชให้หยุด ฝ่ายชายหนุ่มด้วยความฉงน

“เข้าไปทั้งสภาพอย่างนี้คงไม่เหมาะนัก”

มองสภาพมอมแมม เสื้อผ้าบางส่วนฉีกขาด

“ทำไงล่ะ”

ธีรเดชถาม จ้องอีกฝ่ายซึ่งมีสภาพแย่กว่าตัวเองขึ้นๆลงๆ กิ่งไผ่จัดการรวบผมเผ้า เช็ดใบหน้าเผยให้เห็นดวงตาใสแจ๋วและผิวเนียนละมุนตา หัวใจของผู้มองได้แต่เต้นระรัว

“ถอดเสื้อนอกของคุณให้ผมเถอะ”

ธีรเดชทำตามอย่างงงๆ มือขาวรับตัวเสื้อมาสวมทับส่วนที่ขาดวิ่น สัมภาระต่างๆที่อยู่ในมือชายหนุ่มถูกปลดออกจนหมดจนหมด ธีรเดชเตรียมทักท้วงหากนิ้วเรียวกลับยกปิดปาก ไม่ให้ถามอะไร มือหนากุมข้อมือบางเอาไว้ ทั้งๆที่หัวใจมันสั่น หากลึกๆแล้วกลับว่างเปล่าจนต้องปล่อยมือข้างนั้นลง กิ่งไผ่ไม่ได้ว่าอะไร

“ไปถึงไม่ต้องพูดอะไรปล่อยให้ผมพูดเอง”

พอกำชับกำชาเสร็จ ร่างโปร่งดินนำ ธีรเดชทำตาม พอใกล้หมู่บ้าน ธีรเดชรู้สึกเครียดกับความสงบเงียบ ร่างสองร่างที่โผล่เข้าไป เป็นที่ผิดสังเกต กิ่งไผ่ตีหน้านิ่งเฉย ชาวบ้านป่าเจอคนแปลกหน้าก็ทำท่าระแวง พอเอื้อนเอ่ยถามเป็นภาษาพื้นเมือง อธิบายถึงสาเหตุด้วยดวงตาวิงวอน แกมสงสาร มันทำให้ธีรเดชประหลาดใจ สอบถามอะไรบางอย่างที่ธีรเดชฟังไม่ออกได้แต่ชี้ไม้ชี้มือ ก่อนเดินตามคนที่มีสีหน้าหนักใจ

“เขากำลังพาเราไปหาหัวหน้าของหมู่บ้าน ผมขอให้เขาช่วยส่งเราข้ามชายแดน แต่พวกเขาคงกลัวว่าเราจะเป็นคนที่ถูกตามล่า”

กิ่งไผ่กระซิบเสียงเบา ธีรดชเกร็งตัวเมื่อได้รับฟัง

“ถ้าหากว่าถูกหักหลังล่ะจะทำไง”

กิ่งไผ่ยักไหล่ เลิกซุบซิบเมื่อถูกจ้องมอง กิ่งไผ่มองเหมือนจะบอกว่ามันต้องเสี่ยงลงทุน ชายหนุ่มเดินไปบ้านของหัวหน้าหมุ่บ้าน ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ผิดกับกิ่งไผ่ที่มีสีหน้ามั่นคง

เมื่อถึงบริเวณเรือนพักของหัวหน้าหมู่บ้าน กิ่งไผ่ขึ้นไปบนเรือนที่ยกพื้นสูง เสียงหมาเห่ากันดังขรม พอมีเสียงด่า มันจึงเงียบ กิ่งไผ่นั่งนิ่งๆอยู่ตรงชาน ไม่ไกลนักธีรเดชนั่งเคียงคู่ร่างโปร่ง ดวงตาของชายหนุ่มมองเข้าไปภายในบ้านที่มืดสลัว นั่งคอยอยู่นานจนชายผมสีดอกเลา ท่าทางใจดีก้าวออกมา กิ่งไผ่เอ่ยทักทาย ธีรเดชทำตามอย่างงกๆเงิ่นๆ ก่อนนั่งฟังกิ่งไผ่อธิบายถึงปัญหายาวเหยียด สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านขรึมลง จับจ้องยังธีรเดชเมื่อกิ่งไผ่พาดพึงถึง พอเล่าจบถอนใจเล็กน้อยอย่างอึดอัด

“ถูกตามล่ามารึ”

หันมาถามธีรเดชเป็นภาษาไทยที่ฟังไม่ค่อยชัดนัก ธีรเดชผงกศีรษะ เขาดูตื่นๆที่ถูกถามแบบนั้น ได้แต่ตอบไปอย่างระแวดระวัง

“ก็พอจะช่วยได้อยู่หรอกนะ แต่ว่าต้องรีบไปโดยเร็วนะพ่อหนุ่ม”

ธีรเดชคลายความกังวล แต่พอฉุกคิดถึงคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านแล้วนึกแปลกใจ

“หมายความว่า....”

สายตาดูอ่อนโยนมองคนที่นั่งเฉย กิ่งไผ่หลบสายตาธีรเดช อยากคาดคั้นคำตอบหากตรงนี้ไม่อาจทำได้

“คงเหนื่อยกันแย่ เดี๋ยวจะให้คนจัดเตรียมที่พักให้”

ชายชราลุกขึ้น ธีรเดชจ้องมองด้วยดวงตาแววาว

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณไม่กลับไทยกับผม”

ธีรเดชถามลอดไรฟัน หากดวงตากิ่งไผ่หรี่ลง

“โชคดีนะที่หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือเรา แถมพูดไทยได้บ้าง คงสงสารคุณมั้ง เพราะแกก็เคยอยู่ที่ไทยมาก่อน”

กิ่งไผ่พูดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำถาม แม้ว่าชายหนุ่มจะคาดคั้นมากแค่ไหน ยังพูดเป็นเรื่องอื่นอยู่ดี

“ห้องนี้พอจะอยู่กันได้ใช่ไหม”

กิ่งไผ่ลุกไปดูห้อง เขาผงกหัว มองธีรเดชกำมือแน่น สีหน้าร้อนใจ มองแล้วยิ้มขื่นในอก

“มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนไหม ?”

กิ่งไผ่ร้องขอเสื้อผ้า ไม่นานชุดพื้นเมืองส่งมาให้ ธีรเดชมองมือเอื้อมรับแล้วส่งต่อมาให้ตน

“เสื้อตัวใหญ่เป็นของลูกเขยหัวหน้าหมู่บ้าน คงพอดีตัวกับคุณ”

ธีรเดชเอื้อมรับ ก่อนมือขาวจะรุนหลังให้ออกไปก่อน เพื่อต้องการคุยลำพัง ไม่นานนักกิ่งไผ่ก็ออกมาสีหน้าเรียบสนิท

“เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรึ”

มองดูร่างสูงอยู่ในชุดพื้นเมือง รอยยิ้มพาดบนใบหน้า กิ่งไผ่แตะแขนแกร่ง ธีรเดชมองดูมือที่แตะต้นแขนตัวเอง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย

“แล้วคุณไม่เปลี่ยนเสื้อรึไง”

ธีรเดชย้อนถามกลับ แววตาชาเย็นทำให้กิ่งไผ่ทิ้งมือลงอย่างอ่อนแรง ใบหน้าขาวซีดก้มมองพื้นไม้

“เดี๋ยวเปลี่ยน”

หันหลังกลับเข้าไปภายใน รู้สึกว่าอ้อมกอดหมดความหวานเหมือนกับอ้อยสิ้นรส เก็บเม้มความรู้สึก จนสักวันหนึ่งต้องตายเพราะมัน กิ่งไผ่หายไปสักพักก่อนกลับออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น ธีรเดชมองอีกฝ่าย ความงามของคนตรงหน้าทำเอาเผลอตะลึงตะลาน ร่างโปร่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง ผมที่มุ่นไว้ปล่อยยาวสลวย คลี่รอยยิ้มบางเบา กิ่งไผ่เหมือนไม่ใช่คนเดิม ธีรเดชมองสักพักดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นเฉยเมย...เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจสู้คนที่สถิตอยู่ในใจมาแสนนานได้เลย กิ่งไผ่เห็นแววตาที่แปรเปลี่ยน เขาเข้าใจความหมายมันทุกอย่าง จึงก้มหน้าลงเสีย ไม่อาจจับจ้องสายตาว่างเปล่าได้นาน

“แล้วคุณจะไม่กลับไทยกับผมจริงๆหรือ”

ธีรเดชสอบถาม ทีแรกกิ่งไผ่คิดว่าจะตามไป แต่ความรู้สึกส่วนตัวกลับบดบังเสียนี่ เขาไม่ยอมตกลงหรือพูดอะไร รู้ตัวดีว่าในมุมลึกของหัวใจขี้ขลาดนักที่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่เขาไม่อยากเจ็บปวด ธีรเดชเว้าวิงวอน ดวงตาสีดำสนิทหลับลงไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นแววตาคู่นั้น

“ไผ่...”เว้าวิงวอน เสียงอ่อนหวาน

กิ่งไผ่ยิ่งห้ามตัวเองไม่ได้ คนที่ไม่เคยรักใคร มักจะทุ่มสุดดวงใจ ทนรับความเจ็บปวด ธีรเดชเรียกร้องสัญญา กิ่งไผ่อิดเอื้อนเบือนหน้าหนี

“ถ้าคุณกลัวว่ามันเป็นกับดัก ผมก็สัญญาแล้วว่าจะดูแลคุณ คุ้มครองคุณ ขอให้กลับไปด้วยกันนะ”
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-12-2008 14:01:33
กิ่งไผ่รู้ว่าธีรเดชต้องสัญญา ทว่าเรื่องของหัวใจและความรัก มันไม่เคยสงสารใคร กลับเป็นใบมีดทำร้ายใจที่รักมั่นกับอีกหัวใจที่ไม่เคยแลเหลือบ ทั้งๆที่คิดว่ามีความหวังเมื่อร่างกายได้แนบนิด สุดท้าย น้ำตากลับต้องรินไหลอยู่ในอกเงียบๆ ธีรเดชนิ่งงัน คอยรับฟังคำตอบอย่างอดทน เมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนานจนคาดว่าจะปฏิเสธ หากสุดท้ายอีกฝ่ายกลับยอมตกลง

“ก็ได้...ผมจะไม่ปฏิเสธคุณอีก ถ้าคุณพูดจริง”

พูดจบก็หันหน้าหนีเดินเข้าไปในห้อง ทรุดนั่งยังพื้นเสื่อ คิดอะไรอยู่ในใจ ธีรเดชตามไปนั่งเคียงข้างเงียบๆ

“แล้วถ้าไปกับคุณ ผมจะได้อภิสิทธิ์อะไรบ้างล่ะ”

กิ่งไผ่ถามขึ้น จ้องร่างสูงตรงๆ ธีรเดชสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากถามกะทันหัน ชายหนุ่มตอบไม่ได้ กิ่งไผ่ไม่เซ้าซี้ เอาคำตอบ

“คุณจะได้รับสิทธิ์เทียบเท่าผู้ที่ขอลี้ภัยพึงได้รับ”

ธีรเดชตอบออกมาในที่สุด กิ่งไผ่ประสานมือไขว่ไว้บนหัวเข่า คิดว่าอสิทธิ์ที่เขาจะได้รับคืออะไร ในเมื่อตัวเขาอยู่ในฐานะกึ่งๆเชลย ท่าทีในสายตาของธีรเดชรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหงาๆ ยิ่งมานั่งอยู่ในห้องสลัวๆให้ความรู้สึกเหมือนกับคนที่จะตายอย่างเดี่ยวดาย เสียงชายชราเจ้าของบ้านเรียกไปทานข้าว กิ่งไผ่ลุกขึ้นหากร่างสูงคว้ามือได้ก่อน

“จริงสิ ตอนที่ไล่ผมไปเปลี่ยนเสื้อ พอจะบอกได้ไหมว่าคุณคุยอะไรกับหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้”

“ผมมอบเงินที่ผมพอจะมีให้และขอให้ช่วยปิดข่าวคราวของเรา การที่เขาช่วยถือว่าเสี่ยงมาก แต่ว่าเพราะความสงสารเราสองคนเลยชอบตัดใจช่วย”

ธีรเดชคลายสีหน้ากังวลได้ กิ่งไผ่จึงจับมือออก

“ตอนนี้รีบไปเถอะ”

กิ่งไผ่เดินนำ ยิ้มอ่อนหวานให้กับคนภายในครอบครัว ทั้งๆที่ในแววตาทุกคนฉายความกังวลทว่าก็ต้อนรับอย่างดี ธีรเดชนั่งข้างกิ่งไผ่เหมือนเดิม เขานั่งนิ่งฟังกิ่งไผ่สนทนากับคนในครอบครัวเงียบๆด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ บางครั้งกิ่งไผ่หันมาอธิบายบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก

“ถ้าพาพ่อหนุ่มนี่มาก็แสดงว่ารู้จักกับนายพลอินคานสินะ”

ชายชราซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านพึมพำ ธีรเดชฟังอย่างงงๆที่อีกฝ่ายถามตัวเองเป็นภาษาไทย กำลังเอ่ยปากถามว่าเป็นใคร กิ่งไผ่กลับพูดตัดบทเสีย ชายชราจึงหันไปพูดเรื่องอื่นแทน ธีรเดชยังสงสัยเรื่องชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงท่านนายพล เกี่ยวข้องอะไร ทำไมกิ่งไผ่ถึงไม่อยากเอ่ยถึง ท่าทีที่ฟ้องเด่นชัด นายทหารหนุ่มได้แต่นิ่งงัน

หลังจากที่จบมื้ออาหาร เข้าพักผ่อนนั้น กิ่งไผ่ก็เหม่อมมองไปด้านนอก ท่าทางเหมือนกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง

“ตอนกินข้าวน่ะ หัวหน้าหมู่บ้านถามผมว่ารู้จักท่านายพลอินคาน เขาเป็นใคร พอจะบอกหรือเล่าให้ฟังได้รึเปล่า”

พอพุดถึง แววตาดำสนิทกลับเศร้าหมอง

“เขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม....เป็นคนที่สร้างผมมา”

ตอบสั้นๆก่อนเหม่อออกต่อ ธีรเดชนิ่งงันกับทีท่าราวคะนึงหา

“เอ่อ คงรักมากสินะ”

ชายหนุ่มชวนคุยเพื่ออีกฝ่ายจะยอมเล่าอะไรให้ฟังมากกว่านี้ กิ่งไผ่มองหน้าธีรเดช

“แล้วคุณเคยมีคนที่คิดว่ารักมากที่สุดไหม ? ทำทุกอย่างได้เพื่อเขาไหม ? ผมก็เห็นคนๆนั้นเป็นคนที่รักมากที่สุด...มากจนยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตของผมได้”

พอคิดถึงคนที่รักมากที่สุด ก็คงเป็นพ่อแม่และรองลงมาก็คือสายน้ำชโลมใจ....ต้นธาราเป็นคนที่เขายอมทำทุกอย่างให้ ดวงตาราวกับเปิดเผยให้รู้สึกความรู้สึกที่หยั่งลึก นายทหารหนุ่มจึงเผยในสิ่งที่รู้สึก

“ผมมีคนให้ความสำคัญมากที่สุดคือพ่อแม่ ผู้บังคับบัญชาของผมที่ผมเคารพเสมือนพ่อและอีกคนหนึ่งคือคนที่ผมเคยดูแลเขาในช่วงหนึ่ง...เขาเป็นคนที่ดื้อแพ่งทีเดียว แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าเขาน่ารัก น่าเสียดายที่ผมดูแลเขาตลอดไม่ได้ เพื่อความสุขของเขาผมยอมทำทุกอย่าง”

กิ่งไผ่ทอดถอนใจ

“หมายถึง ‘คุณธาร”สินะ”น้ำเสียงกึ่งริษยา

ธีรเดชผงกหัว คนที่ตั้งคำถามกลับซบหน้านิ่ง คล้ายไม่อยากฟัง พอทำใจได้หันมองด้วยรอยยิ้มทั้งๆที่เจ็บปวดใจจนแทบสลาย

“น่าอิจฉาคนที่คุณเป็นห่วงนะ เป็นผมคงดีใจน่าดูที่มีคุณห่วงและเห็นเขาสำคัญมากถึงเพียงนี้”

ธีรเดชยิ้มขื่นๆเช่นกัน

“ความจริงถ้าเขาคิดแบบนั้นคงจะดี...แล้วคนสำคัญของคุณล่ะ?”

ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ กิ่งไผ่มองมือของตัวเอง ชั่งใจก่อนจะเล่าให้ฟัง น้ำเสียงดูเหงาๆปนกับความคิดถึงอย่างรุนแรง

“ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่ว่าผมก็ทิ้งเขาไม่ได้ จริงๆแล้วผมเกลียดกับสิ่งที่เขาทำ แต่ว่าผมมาใคร่ครวญดูแล้วว่าเขาทำเพื่อผมทุกอย่าง พอสูญเสียเราก็ได้รู้ว่าคนๆที่เราคิดว่าเกลียด มีค่าแค่นั้น เราต้องสูญเสียใช่ไหม ? ถึงจะรู้กับความหมายของคำว่าห่วงใย ความรักจริงๆ”

กิ่งไผ่หันมองธีรเดช ซึ่งชายหนุ่มไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้

“เขาตายแล้วรึ”

ธีรเดชถามเสียงแผ่วรู้สึกผิดที่ทำลายอีกฝ่ายด้วยคำพูด กิ่งไผ่ยิ้มหยัน ดวงตาราวกับจะร้องไห้

“ยังหรอกมั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร พอๆที่เขาไม่รู้ว่าผมเป็นเช่นไร”

ปาดน้ำตาออกเมื่อนึกถึงความหลังเริ่มปะดังปะเดเข้ามา ระยะนี้กิ่งไผ่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ลดความแกร่งลงไป ธีรเดชเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มรั้งร่างบางเข้ามากอด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รู้เพียงอย่างเดียวว่าอยากปลอบเท่านั้น กิ่งไผ่กอดอีกฝ่ายแน่น สัมผัสที่เคยได้รับค่อยๆแผ่ซ่านไปใจจิตใจที่เศร้าโศก

ความฝันที่ยังเป็นอดีตดำมืดยิ่งครอบงำ หากปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยว ความรู้สึกมีชีวิตคงจะหมดไปในไม่ช้า ธีรเดชลูบแผ่นหลังเมื่ออีกฝ่ายพยายามกลั้นน้ำตาสักเท่าไร ก็ไม่อาจทำได้ คำบอกเล่าที่ได้รับฟังผุดเข้ามาในใจโดยเฉพาะเรื่องที่มารดาตายเพราะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ เจ้าหญิงมนัสหยาพยายามเรียกร้องชีวิตบุตรจากศัตรูโดยแลกชีวิตกับตัวเอง ถูกบีบบังคับให้ฆ่าตัวเองทิ้ง กิ่งไผ่จิกเล็บเข้ากับแผ่นหลังแกร่ง แม้ว่าธีรเดชจะเจ็บชายหนุ่มก็ยังปลอบประโลมให้คลายความเศร้า คำบอกเล่าจากปากของเนเมียวยังดังก้อง บิดาไม่อยากจดจำเรื่องนี้ หากความแค้นเคือง กิ่งไผ่กักเก็บมันตลอดมาเหมือนคมดาบที่ทิ่มแทงตัวเองเสมอ

------------------------------------------------

ผู้พันฮามที่กลับไปพักผ่อนยังบ้านตัวเองจ้องมองดูรูปวาดที่เก็บงำอย่างมิดชิด ดวงตาที่เจ้าเล่ห์กลายเป็นอ่อนโยน เมื่อมองภาพวาดสีน้ำมันของบุคคลสามคนที่อยู่ในภาพรอยยิ้มและความองอาจฉายชัด หากไม่มีอีกแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง เลื่อนภาพเก็บยังช่องลับตามเดิม ทรุดนั่งยังเก้าอี้ มองดวงดาวซึ่งอยู่ห่างไกล ผู้พันหลับดวงตากร้าวแกร่ง สงบนิ่งดุจหลับใหล ความฝันที่ฉุดรั้งจิตใจให้ดำดิ่งสู่หุบเหวเกิดขึ้นเสมอ มันอยู่บนความรู้สึกผิดกับความไร้สามารถ บางที...ถ้าตัวแกร่งเหมือนกับตอนนี้ อาจจะช่วยชีวิตสองบุคลลที่เคารพนับถือดั่งเป็นแก้วตาดวงใจได้

------------------------------------------------

ภาพของหยาดน้ำตา ไฟที่ลุกโหมเด่นชัดเหลือเกินคล้ายกับมันเพิ่งเกิดเมื่อไม่นาน เงื้อมมือปีศาจได้กำสองอัญมณีแห่งนวรัฐะเอาไว้ บีบบังคับให้ยอมจำนนด้วยแผนที่ชั่วร้าย ผู้ที่หลงบ้าคลั่งในอำนาจพยายามบีบบังคับเจ้าหญิงนวรัฐะในที่วังประทับโดยการวางยาสลบบุตรชายเพียงคนเดียว....ปืนจ่อหัวเด็กน้อยที่หลับใหลใน้อ้อมกอดของมารดา เจ้าหญิงมนัสหยาพยายามร่ำร้องขอชีวิต รอยยิ้มเปี่ยมด้วยความไร้เมตตาปราณีแสยะออก มนัสหยาซึ่งมีศักดิ์เป็นภรรยาเจ้าเมืองนวรัฐะลุกขึ้นสู้ นางผลักร่างของคะฉิ่นออก มันเซหลุ่นๆปะทะโตีะ เด็กน้อยร่วงหล่นกองบนพื้นราวกับตุ๊กตาเก่าๆ ผู้มีศักดิ์เป็นพี่น้องกับนายพลอินคานลุกขึ้น โกรธที่หญิงสาวพยศ ใช้หลังมือตบฉาดจนใบหน้าหัน มือจิกเส้นผมจนมันยุ่งเหยิง น้ำตาคลอหน่วย ก่อนมือจะเลือนไปยังคอเล็กๆบีบเหมือนจะเคล้นเอาลมหายใจทั้งหมดออก หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ดิ้นรนจากกรงเล็บปีศาจร้ายที่หมายชีวิต นางไอโขลกๆพร้อมกับกรีดร้องให้คนช่วย หากไม่มีใครได้ยิน หลังจากที่หญิงสาวดิ้นใกล้หมดเรี่ยวแรง ร่างกายบอบบางถูกผลักลงกับพื้น ทั้งๆที่เห็นปลายกระบอกกดบนขมับของเด็กน้อยผู้ไม่รู้สึกอะไรเลย หัวอกของผู้เป็นมารดาเจ็บปวด นางร้องไห้ปิ่มใจจะขาด เสียงหัวเราะดั่งลั่นห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ท่าทีของหญิงสาวหมดทางสู้ ได้แต่กระเสือกกระสนคลานหาบุตรชาย เมื่อมือเอื้อมถึงก็ถูกเหยียบจนร้องโหยหวน ยิ่งปลุกสัญชาติญาณความเป็นสัตว์ป่าของปีศาจบ้าคลั่ง หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงผลักร่างที่เหยียบมืออก มันสั่นระริก ดวงตาของหญิงสาวที่อ่อนเรี่ยวแรงโอบกอดบุตรชายที่มีใบหน้างดงามคล้ายเธอแน่น...สมบัติที่มีค่าของเธอที่สุด เธอต้องปกป้องมันจากคนชั่ว

“ท่านเป็นพี่น้องของท่านพี่อินคานมิใช่หรือเหตุฉไนจึงทำเช่นนี้”

ริมฝีปากสั่นระริกพูดไม่ชัดนัก เลือดไหลซึมออกจากมุมปากเปื้อนแก้มม่วงคล้ำอย่างน่ากลัว ดวงตาทั้งแค้นเคือง ขุ่นมัวที่ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากตะคอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“องค์หญิงแห่งสิเรียมเช่นท่านก็มีค่าเป็นแค่ไม้ประดับ จงตายเสียเถอะ อำนาจทั้งหมดจะได้อยู่ในมือข้าเสียที”

ผู้มีชาติกำเนิดเป็นองค์หญิงมองด้วยดวงตามุ่งมั่น มิยอมแพ้ต่อทรราช

“เอ้า...ท่านจะตายเองหรือว่าท่านจะให้ลูกชายของท่านตายด้วย”

ดวงตาดำขลับก้มมองดวงหน้าเล็กๆที่หลับใหลไม่รับรู้ต่อสิ่งใด นางกอดร่างบุตรชายแน่นด้วยเรี่ยวแรงที่มี ร่างของสมบัติที่มีค่าที่สุดถูกฉุดรั้งให้เข้าหาปีศาจไร้ใจตามเดิม มือที่กำปืนจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปนจ่อปลายกระบอกเย็นๆแนบขมับเด็กน้อยที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา องค์หญิงมนัสหยากรีดร้องพยายามไขว่คว้าบุตรชายที่ถูกนำตัวออกห่างหมดหนทาง แก้วบรรจุยายื่นมาให้ นางมองอย่างสิ้นหวัง

“ถ้าแกอยากให้ลูกแกรอดแกก็ดื่มเครื่องดื่มพิเศษที่จัดไว้ให้ซะ”

สายตาพยศมองแก้วเครื่องดื่มที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยามหยันเจ้าคนชั่ว ดวงตาแดงก่ำดั่งเลือด คะฉิ่นขู่ด้วยการทำท่าว่าจะเหนี่ยวไกเด็ดชีพสังหารเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน

“ดื่มซะ....”

น้ำเสียงยะเยือกเย็น มือสั่นระริกเอื้อมรับแก้ว

“ฉันจะตายเพื่อแผ่นดิน แต่ไม่ใช่ตายเพื่อให้คนอย่างแกก้าวขึ้นปกครองเวียงแน่ สามีจะขยี้คนทรราชอย่างแก”

เสียงหัวเราะระเบิดลั่น มองดวงตาเปี่ยมอาฆาต

“สามีของแกมันไม่มีทางชนะคนอย่างฉัน มันอ่อนแอเกินไป”

สายตามองดูบุตรชายเพียงคนเดียว เพียงวูบเดียวความอบอุ่นฉายชัดในดวงตาของมารดา

“ลูกของแก....จะรอดเพื่อแลกกับชีวิตแก”

เครื่องดื่มถูกกรอกเข้าปากโดยมือหนา หญิงสาวดิ้นพยายามจะไม่ดื่ม หากร่างกายสิ้นเรี่ยวแรง มือแกร่งกว่ากรอกยาใส่ปากจนเจ้าหญิงแห่งสิเรียมไอโขลกๆ เสียงหัวเราะลั่นดั่งเป็นเสียงของยมทูตดังกังวาน หญิงสาวมองด้วยตาเหลือกถลน อาฆาตหากในแววตาลึกๆห่วงใยบุตรชายที่ไร้คนปกป้อง

“ลูกแกกับสามีจะตายตามแกไปในไม่ช้าแน่ แกจะได้ไม่เหงาไงล่ะ....แล้วข้าจะมาฆ่าลูกแกทีหลัง เอาให้พ่อมันดู มันจะได้ใจสลายเลิกทำสงครามกับข้าเสียที”

ฝีเท้าหนักๆก้าวออกไป ร่างที่หลบซ่อนอยู่ถลันเข้ามาประคองร่างของนายหญิงขึ้น ดวงตาฟ้าฟางคลอด้วยหยาดน้ำตามองผู้ที่ถลันเข้ามาช่วยตัวเอง

“ฮาม...ช่วยลูกฉัน”

ดวงตาใกล้สิ้นชีวาเอ่ย น้ำตาไหลทะลักอาบแก้มสากเมื่อเห็นนายหญิงพยายามเกาะแขนด้วยเรี่ยวแรงที่มี

“ขอร้อง...แลกชีวิตฉันกับเขาช่วยเขาไว้ ฮาม...เจ้าต้องไม่ทำลายความหวังฉันผู้เป็นนายเธอ”

ร้อยเอกฮามมองใบหน้าของนายหญิงผู้อ่อนโยน มือนุ่มแตะใบหน้ากร้าน

“สามีฉัน...ลูกฉัน...ประเทศชาติ ฮาม...เจ้าต้องช่วย...ช่วย...”

มือสั่นระริกค่อยๆอ่อนแรง ดวงตาของมือขวาคนสนิทมีหยาดน้ำตาไหลริน ทั้งๆที่เห็นทุกอย่างก็ไม่อาจช่วย มือที่เคยอ่อนโยนมีให้แก่ทุกคนตกลง ล้มพับคาอ้อมกอด สิ้นใจทั้งๆที่ตาปิดไม่สนิท ฮามเป็นคนปิดให้ ก่อนวางร่างสิ้นลมของผู้เป็นนายหญิงเหนือหัวลง

...เสียใจ แต่ความเสียใจทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้...

ฮามช้อนร่างสิ้นสติขึ้น วิ่งลงไปหาพรรคพวกที่รอคอยอยู่ เปลวเพลิงลามเลียวังที่ประทับอย่างรวดเร็ว เสียงการต่อสู้ กู่ร้องยิ่งดังลั่นท่ามกลางลมโหมกระหน่ำ คืนที่ชโลมด้วยเลือดและหยาดน้ำตาเช่นนี้...จะช้าไม่ได้ ฮามมองเหลียวหลัง ส่งร่างของเด็กน้อยให้แก่เนเมียวที่รอคอยในความมืดมิด

“หมดทางแล้วที่จะช่วยสองมิ่งขวัญแห่งนวรัฐะได้”

พอได้ฟังคำบอกกล่าว เนเมียวนิ่งอึ้ง

“อะไรนะ...”

เนเมียวอยากจะถาม หากสายตาของฮามบีบบังคับ

“ไม่มีเวลาแล้วรีบไป...”

ฮามไล่ พร้อมกับมองคนที่ไล่ตามมา

“แล้วเอ็งล่ะ”

เนเมียวรู้ว่าอยู่ช้าไม่ได้ ตะโกนถาม ฮามทำหน้านิ่ง

“ฉันมีเรื่องที่ต้องอยู่ที่นี่....”

------------------------------------------------

ฮามสะดุ้งขึ้นลูบหน้าของตัวเอง ก่อนเลื่อนภาพออกมาดูอีกครั้ง ภาพของมิ่งขวัญชาวเมืองนวรัฐะวาดอยู่ริมแม่น้ำ ชายหนุ่มบรรจงวาดรูปภาพนี้ขึ้นมาเอง ยศที่ได้รับในขณะนั้นยังเป็นร้อยเอก ตอนนี้กลายมาเป็นกองกำลังให้กับนายพลคะฉิ่นด้วยความจำใจ แม้ว่าใครจะตราหน้าว่าทรยศแต่คนที่รู้แน่แก่ใจดีว่าตัวเองไม่ได้ทรยศนั่นคือใจของตัวเอง ฮามปิดภาพนั้น เหม่อลอยกับเรื่องที่อยู่ในอก อำนาจที่หยั่งลึกยากที่จะโค่นอำนาจ การทำรัฐประหาร เจ้าเมืองที่อ่อนแอถูกโค่นล้ม มันจะมีหนทางไหนที่จะกู้คืน ฮามลุกขึ้น ดึงลิ้นชักที่มีจดหมายที่ได้รับมาจากบุคคลที่พอจะพึงได้ในสถานการณ์เช่นนี้

------------------------------------------------


ยิ่งรู้สึกอึดอัดคล้ายถูกจับจ้องความรักจอมปลอม...ที่อยากหนี แต่ยิ่งหนี เขาได้แต่ยอมรับมัน กิ่งไผ่ละใบหน้าจากอ้อมอกอบอุ่นอ่อนโยน เช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ธีรเดชใช้นิ้วกรีดน้ำตาออกให้ รู้สึกว่ากิ่งไผ่น่าปกป้องขึ้นเหมือนกับต้นธารา หัวใจยังคิดถึงแม่น้ำที่ไม่เคยแห้งผาก ชายหนุ่มชักรู้สึกผิด แต่การกระทำก็ไม่อาจหยุด นิ้วสัมผัสหยาดน้ำตาเย็นเฉียบ พอเช็ดจนแห้ง ดวงตาสีดำจับจ้องยังดวงตาแดงก่ำ จมูกก็แดงเหมือนเด็กๆ ความน่ารัก และเสน่ห์ที่มีอยู่ปลุกให้หัวใจให้พลุ่งพล่าน คิดถึงสัมผัสหวานละมุน ค่อยๆก้มหน้าเข้าใกล้จนลมหายใจอุ่นๆเป่ารด รีรอเพียงครู่เดียวก่อนจูบประทับเรียวปากที่ดูเหมือนเชิญชวนตลอดเวลา การที่ถูกสัมผัสแบบนี้ยังเหลืออะไรอยู่ในใจ กิ่งไผ่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆขึ้นมาอีก หวังว่าสักวันธีรเดชคงเปลี่ยนใจบ้าง เพราะการที่จูบก็หมายถึงยังต้องการอยู่ พอถอนริมฝีปากออก ธีรเดชทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด จนฝ่ายที่มองแววตาในความมืดน้อยใจ

จูบแสนหวานที่เคยได้รับกลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มพลาดพลั้งตัดสินใจผิด ตอนนี้อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร...ทำไม...เพราะอะไร....

“ผม..”

ธีรเดชจะเอ่ยแก้ตัว หากชายหนุ่มกลับนิ่งงันเมื่อกิ่งไผ่ล้มตัวนอนเสียดื้อๆ นายทหารหนุ่มรู้ว่าตัวเองทำพลาดไปอย่างจัง อยากขอโทษ แตะร่างที่นอนนิ่ง หันหน้าหนีคล้ายกับไม่อยากพูดด้วย กิ่งไผ่หลับตาไม่อยากฟังน้ำเสียงนุ่มหู

“สงสัยผมคงเป็นของตาย เป็นตัวแทนให้กับคนที่คุณเอื้อมไม่ถึงใช่ไหม ?”

พูดไปกิ่งไผ่นึกขำกับคำพูดของตัวเอง ทั้งๆที่เจ็บปวดแทบตาย ธีรเดชตอบไม่ได้

“เคยสงสัยไหมว่าเราน่ะ ทำไมมีความสัมพันธ์กัน เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเพราะอะไร ?หรือว่าไม่เคยคิดเลยล่ะ ?”

ถามไปต่างฝ่ายก็ตอบไม่ได้ บางทีคำตอบนี้อาจจะไม่ได้รับเสียด้วยซ้ำ...เมื่อหัวใจของธีรเดชไม่เคยมีเขาแม้แต่เศษเสี้ยว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-12-2008 14:04:41
ไว้พรุ่งนี้มาต่อให้น้า  ช่วยกันลุ้นต่อไปก่อน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 10-12-2008 16:01:39
 :z3:
กำลังมันส์...ให้ไวเลยฉุดฉวยยยยยย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-12-2008 16:30:30
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 10-12-2008 16:35:23
มันเครียดๆ เศร้าๆ จังเรย

+1 เป็นกำลังใจให้นะค้าบ

 :L2:   :L2:   :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 10-12-2008 17:12:26
ชีวิตของกิ่งไผ่หดหู่มาโดยตลอด ทั้งความทุกข์และความเศร้า
ที่เกาะกินใจมาจากอีต แล้วยังส่งผลกระทบมายังปัจจุบันอีก
เนื้อเรื่องกดดันความรู้สึกคนอ่านมากๆ กับบทท้ายๆ ที่เป็นการ
บอกเล่าความรู้สึกของกิ่งไผ่ เหมือนกับความรักแบบข้างเดียว
ที่กำลังทำร้ายหัวใจของตัวเองลงไปเรื่อย ธีรเดชก็ยังไม่ยอมเปิด
ใจรับความรู้สึก ทั้งๆที่รักแต่ไม่รู้สึกตัว เพราะว่ายังคงอยู่กับความรัก
เก่าที่ไม่มีทางเป็นไปได้
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-12-2008 18:04:00
เซง  :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 11-12-2008 13:38:03
ต่อตามสัญญาเน้อ  ไว้พรุ่งนี้มาต่ออีก   :กอด1:

++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 27 Enemy : ศัตรู [Part 3]


ต้นธารานอนนิ่งๆไม่ได้เลย เข้ารับคีโมแล้วมันเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ป้าสมทำหน้าไม่สบายใจเลยเมื่อเห็นต้นธาราลุกขึ้นมาบ้วนเลือดใส่กระโถน ป้าสมยืนกุมมืออยู่ใกล้ๆเตียง มองใบหน้าบวม จมูกมีผ้าก๊อซอุดเอาไว้เพื่อไม่ให้เลือดออก สภาพอิดโรย

“ป้าสงสารคุณหนูเหลือเกิน”นางคอยเช็ดเลือดและน้ำลายเลอะปาก ต้นธาราทอรอยยิ้มในแววตาไร้ประกาย

“ผมไม่เป็นไร”พูดอู้อี้อยู่ในลำคอ ฟังไม่รู้บ้างในบางช่วง ป้าสมร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า

“เจ้าประคุณ ให้ป้าเจ็บแทนคุณหนูดีกว่า”

ต้นธาราบ้วนลือดอีกรอบ ก่อนล้มตัวนอนอย่างอ่อนแรง

“ผมนอนไม่หลับเลยครับป้า ต้องตื่นขึ้นมาบ้วนเลือดแล้วตะครั้นตะครอตัวแบบนี้”

แรงบีบบีบมือนุ่มเบาๆ ป้าสมลูบศีรษะ

“โธ่...ถ้าคุณหนูไม่เข้ารับคีโมแต่แรกก็คงดี”

รอยยิ้มเซียวๆผุดขึ้น“ได้ไงครับ มันเป็นทางเดียวที่จะรักษาผมให้หายนี่”

ดวงตาป้าสมยังเป็นกังวลอยู่ดี ต้นธาราเลยคว้าแขนผอมๆเอาไว้

“อีกอย่างคุณหมอก็ดูแลรื่องการให้คีโมผมอย่างดี ผมไม่เป็นอะไรหรอก”

ต้นธารากล่าว เขายิ้มเผล่ให้คนเฝ้าสบายใจ

“แต่...”ป้าสมจะเถียง หากต้นธาราจุ๊ปาก

“ผมก็เป็นหมอเหมือนกันน่า”

หญิงชราทรุดนั่ง ยกมือทาบอก“ก็เพราะคุณหนูเป็นหมอนี่ล่ะค่ะจะทำให้สมองจะแตกวันละหลายๆรอบ ไม่เคยเชื่องฟังคนอื่นเลย”

ต้นธาราหัวเราะแผ่วๆพร้อมกับเบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากซีดขาว ท่าทีระโหยโรยแรง

“คุณหนูเหนื่อยแล้วหรือเจ้าคะ พักสักหน่อยนะคะ ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น”

คุณหมอหนุ่มทำตาม ลับตาป้าสม ต้นธาราร้องไห้เพราะทรมานแต่ต้องเก็บเสียงเงียบๆไม่อยากรบกวนอดีตแม่นมที่เอนหลังนอนอนอยู่ไม่ห่าง น้ำตาไหลอาบหมอน ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ต้องร้องไห้ มือกำหมอนแน่น ก่อนค่อยๆคลายออก ลมหายใจแผ่วๆ พยายามลุกขึ้นทั้งๆที่ไร้แรง แผ่นหลังพิงหมอน

‘ธาร...จำไว้ว่าผมจะไม่ทิ้งคุณเลย ถ้าไปไหนไกลผมจะตามคว้ากลับคืนมาให้ได้ ผมจะอยู่ข้างคุณจนตัวตาย’

คำพูดของภานุก้องในใจ มือขาวซีดยกขึ้นเช็ดขอบตา ปาดน้ำตาที่ไหลรินทิ้ง คนป่วยปืนลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า เกาะขอบหน้าต่างเอาไว้แน่น มองดูท้องฟ้าสีส้ม ฟ้าแลบแปลบปลาบ ต้นธาราหรี่ตา ไม่นานสายฝนจะโปรยชุ่มฉ่ำ ยืนมอง...เสียงสายฝนกระทบหลังคา ไอละอองต้องผิวจนรู้สึกเยือกไปทั้งกาย คุณหมอซบหน้าลง ดวงตาประดับด้วยร่องรอยของความอ่อนเพลียเหม่อไป

“คุณหนูลุกมาทำอะไรเจ้าคะ!”

ดวงตางัวเงียมองเงาตะคุ่มริมหน้าต่างมองร่างที่พาดกับหน้าต่าง ป้าสมตกอกตกใจรีบลุกมาดู

“คุณหนูค่ะ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ”

มือนุ่มแตะบ่ากระชากเบาๆ ดวงตาหยาดคลอด้วยน้ำตา

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับป้าสม ผมนอนไม่หลับ เลยมาดูดาวเท่านั้นเองแต่เสียดายฝนตก”

ป้าสมลูบแตะต้นแขน สัมผัสผิวเปียกชื้นด้วยละอองฝน

“นั่นแหละ ตากละอองน้ำฝนแบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งตอนนี้คุณหนูเป็นหวัดง่ายอยู่”ป้าสมเอ่ย ประคองต้นธารามานั่งยังเตียง กุลีกุจอหยิบผ้าขนหนูมาซับท่อนแขนที่โดนละอองฝนซ่านกระเซ็น ดวงตาไร้ประกายมองความเอาใส่ใจที่มีให้

“ป้าสมพักเถอะครับ ป้าดูแลผมมาตลอดคงเหนื่อย ผมนะไม่เป็นอะไรจริงๆ”

เสียงของต้นธาราแหบเครือ ดวงตาของอดีตแม่นมมองใบหน้าขาว

“ป้าจะพักได้ไงเจ้าคะ ป้าดูแลคุณหนูจะเจ้าค่ะ”นางบอก ดวงตาเจือด้วยรอยน้ำตารื้น ต้นธารายกแขนกอดคนที่ดูแลมาตลอด

“คุณประภาฝากฝังให้อิฉันดูแลคุณหนูแล้วจะให้อิฉันดูแลไม่ดีก็ผิดสัญญากับคุณหญิงสิเจ้าคะ”

ต้นธาราถอนใจ นึกถึงมารดาผู้เสียชีวิตไปแล้ว

“ครับ...แต่ว่าป้าต้องพักบ้าง เดี๋ยวผมจะนอนแล้วจริงๆ”ต้นธาราเอ่ย พลางล้มตัวนอน

“ป้าไปพักเถอะครับ”

ดวงตาหม่นเศร้าปิดลง ป้าสมมอง เห็นว่าคุณหนูหลับไปจริงๆจึงคลายใจ กลับไปพักผ่อนต่อ ต้นธาราหลับไปเพียงชั่วครู่ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เขาดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ กระสับกระส่ายจนไม่อาจหลับได้ ลุกขึ้นมาบ้วนเลือดอีกครั้ง คิดอยากตายให้พ้นๆเสียด้วยซ้ำ ศีรษะพาดอยู่กับหมอนฟังลมหายใจแผ่วๆของตัวเอง เวลาที่เคลื่อนไป ต้นธารามองดูท้องฟ้า สายฝนไม่หยุดโปรย บางส่วนสาดชะกระจกกลายเป็นหยดน้ำไหลเป็นทาง

...ที่นั่นจะฝนตกไหมหนอ...

คิดถึงบิดา คิดถึงคนที่เคยชิดใกล้ดวงตาของคุณหมอจางแสง สิ่งที่ค้างอยู่ในอก เวลา...ที่ยังให้ชีวิตเขาดำเนินอยู่ หัวใจไม่สงบเมื่อนึกถึงเรื่องของผู้กองนาคีขึ้นมาอีก ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้จำ

“ผู้กองนาคีคงจะให้เวลาผมอีกสักนิดใช่ไหม?”กระซิบถามความเงียบงัน เขารู้ตัวดีว่าคงมีโอกาสเพียงน้อยนิด โอกาสที่จะมีความสุข

------------------------------------------------

รุ่งเช้าต้นธาราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการสะลึมสะลือ ป้าสมกระวีกระวาดมาดูคนป่วย นางแย้มยิ้มวางมือทาบบนหน้าผาก

“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ อาการค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหม วันนี้เดี๋ยวคุณหมอมาดูอาการอีกนะเจ้าคะ”ป้าสมรายงานเสียงแจ้วๆ ใบหน้าซีดขาวผละหนี

“อยู่นิ่งๆป้าจะเช็ดตัวให้”

รอยยิ้มปั้นอย่างสดใส มองใบหน้าไร้สีเลือด มันซีดเซียว อ่อนแรง ป้าสมยกอ่างน้ำมาตั้งใกล้ๆซับผิวให้อย่างนุ่มนวล มือขาวหยิบมือนุ่มออก ป้าสมขมวดคิ้ว

“คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ?”

ต้นธาราลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูเปียกชื้นมาถือไว้

“ผมเช็ดตัวเองครับ”

มือสั่นๆใช้ผ้าซับลำคอ ป้าสมยื้อแย่งคืนมา

“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู ป้าทำเอง”

ลมหายใจอ่อนๆทอดถอนคลายหน่ายเหนื่อย

“คุณหนูยังไม่แข็งแรง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ป้าสมทำได้คุณหนูพักผ่อนให้แข็งแรงเถอะค่ะ ท่านนายพลจะได้ไม่ห่วงด้วย”

จำต้องผงกศีรษะ ทำตัวนิ่งเหมือนคนตาย ป้าสมหยิบหวีมาหวีผมให้ บางส่วนติดแปรง สีหน้าของอดีตแม่นมไม่สบายใจเลย ชายหนุ่มเห็นแล้วละ พยายามไม่คิดอะไรมากนัก

“วันนี้คุณหนูอยากทานอะไรเจ้าคะ?”ป้าสมชวนคุยหลังจากเห็นดวงตาไร้ประกาย คนป่วยทำหน้าเบื่อๆ

“ยังไม่หิว”

ต้นธาราไม่มีความรู้สึกอยากกินอะไรทั้งนั้น อดีตแม่นมวางหวีลง จ้องดวงตามืดหม่น

“ไม่ได้นะเจ้าคะ เอาอย่างนี้ไหม ป้าสมออกไปซื้อของที่คุณหนูชอบมาให้”

คนป่วยยังส่ายหน้าอยู่ดี ป้าสมอ่อนใจ

“ผมทานอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ก็ได้ครับ ไม่ต้องเดือดร้อนป้าสมออกไปซื้อมาให้เหนื่อย”ต้นธารากล่าวเพราะอยากตัดความกังวลใจ

“ค่ะๆเดี๋ยวป้าไปคุยกับหมอก่อนนะเจ้าคะ”

ต้นธาราล้มตัวนอน เมื่ออดีตแม่นมออกจากห้อง ดวงตาเขายังติดเหม่อๆอยู่ดี

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 11-12-2008 13:38:55
ป้าสมคุยกับนายแพทย์อดิเรก พอพูดถึงช่วงการให้คีโม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“อาการของคุณหนูไม่ดีเลยค่ะ ยิ่งให้ยาแล้วอาการของคุณหนูยิ่งทรุดนะคะ คุณหนูจะเป็นอะไรมากไหมคะ”นางถาม นายแพทย์อดิเรกยิ้มเพื่อให้ญาติคนป่วยคลายใจ

“เป็นผลข้างเคียงจากคีโมครับ สักพักคงจะดีขึ้น”

นายแพทย์อดิเรกกล่าวกับป้าสม ซึ่งสีหน้าของอดีตแม่นมไม่ใคร่สบายใจเลย

“แต่คุณหนูทรมานมากนะคะ”ป้าสมเอ่ย

“เราต้องให้เคมีบำบัดครับเพื่อให้โรคอยู่ในระยะสงบ คนป่วยต้องอดทน ผมเข้าใจดีครับว่ามันทรมาน”

“แต่คุณหนูลุกขึ้นมาอ้วกแล้วเลือดก็ไหล แบบนี้ไม่....”นางว่า นายแพทย์เจ้าของคนป่วยยิ้มปลอบ

“คุณต้นธาราไม่เป็นอะไรแน่ๆครับ”

ป้าสมผงกหัว นางก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“ค่ะๆ ดิฉันคิดว่าคุณหนูคงจะหายในไม่ช้าใช่ไหมคะ?”

“ครับถ้ารักษาเรื่อยๆโอกาสหายมีสูงครับ”

นางยกมือทาบอก สีหน้าคลายความกังวล

“ขอบคุณมากนะค่ะหมอ”นางลุกขึ้น เพื่อกลับไปดูคุณหนูของนางต่อ

------------------------------------------------

ต้นธารามองประตูห้องเปิดกว้าง นางพยาบาลนำอาหารเช้ามาให้ วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าผู้ป่วย วางถาดอาหารซึ่งประกอบด้วยโจ๊กหน้าตาไร้รส ส้มเขียวหวานกับน้ำผลไม้และน้ำเปล่า

“ทานอาหารเช้านะคะ”

ต้นธาราหันไปขอบคุณ เขามองจานข้าว ยังไม่ลงมือทานเสียที นางพยาบาลมองอย่างสงสัย

“เดี๋ยวผมทานครับ”

ป้าสมเปิดประตูเข้ามา พบหน้านางพยาบาลจึงยิ้มให้

“ข้าวเช้ามาส่งแล้วหรือคะ”

นางจัดแจงเรื่องอาหารเช้า ให้คุณหนู ต้นธาราจำต้องฝืนทานโจ๊กรสชาติจืดสนิท ทานไปได้นิดเดียวต้องล้างปากด้วยน้ำส้ม

“ทานอีกนะเจ้าคะจะได้แข็งแรง”

ป้าสมบอกเหมือนกับเด็กเล็กๆ ต้นธาราวางช้อนอยากงอแงเหมือนเด็กๆ

“ นะเจ้าคะ”

ป้าสมรบเร้า คนป่วยเลยได้แต่ทอดถอนใจลงมือทานอีกสักช้อนสองช้อนเพื่อเอาใจคนเชียร์

“ดีมากเจ้าค่ะ ป้าสมเห็นคุณหนูทานได้เยอะแบบนี้แล้วสบายใจ”

นางส่งถาดข้าวส่งให้นางพยาบาล คนที่ถูกทำเหมือนเด็กๆถอนใจ อาการเมื่อคืนที่เหมือนจะเป็นจะตายนั้นบรรเทา คนป่วยล้มตัวนอนหมดแรง ในปากขมปร่า

“หมอว่าไงบ้างครับป้าสม?”

อดีตแม่นมวางมือทาบบนกายอ่อนล้า

“คุณหมอว่าอาการเมื่อคืนเป็นผลกระทบจาการรับยาเคมีบำบัด คุณหนูต้องอดทนนะเจ้าคะจะได้หายเร็วๆ”

ต้นธาราผงกศีรษะ ซุกหน้ากับหมอนเมื่อรู้สึกตะครั่นตะครอ

“เดี๋ยวป้าโทรหาท่านนายพลก่อนนะค่ะ”

ใบหน้าต้นธาราโผล่พ้นจากผ้าห่ม มองป้าสมต่อสายหาบิดา

“สวัสดีค่ะท่านนายพล”ป้าสมทักทายเมื่อนายพลพิภพรับสาย

“ลูกฉันเป็นอย่างไรบ้างสม” น้ำเสียงท่านนายพลดูเครียดเคร่ง

“เอ่อ...สบายดีค่ะท่าน”นางตอบไป

ต้นธาราเงี่ยหูฟังด้วยดวงตาเหม่อลอย ป้าสมไม่รู้ว่าต้นธาราแอบฟังจึงคุยกับท่านเรื่องการเข้ารับคีโม

“อิฉันสงสารคุณหนูธารามากเลยเจ้าคะ คุณหนูทรมานมากเลยเวลาเข้ารับคีโม ตอนนี้สภาพก็ดูไม่ดีเลย”

นายพลได้ฟัง ท่านกุมมือแน่น“ฉันอยากส่งตัวเจ้าภานุไปเช็คไขกระดูกเร็วๆอยู่ แต่ยังติดเรื่องของธีรเดช รออีกสักพัก บอกให้ธารทนหน่อย”ท่านได้แต่เอ่ยอย่างปวดใจ

“คุณท่าน...อิฉันว่าอาการของคุณหนูรอไม่ได้นะเจ้าคะ”ป้าสมเอ่ยด้วยอาการไม่สบายใจ ทางปลายสายเงียบไป

“เจ้าภานุกลับมาเมื่อไร ฉันจะส่งตัวไปให้เร็วที่สุด”สั่งด้วยความเฉียบขาด

ป้าสมเอ่ยลาก่อนวางสาย นางพรูลมหายใจ เดินมาดูคุณหนูของนางซึ่งหลับตาพริ้ม

“พ่อโทรมาว่าไงมั่ง”ต้นธารางึมงำถาม ป้าสมแตะร่างอ่อนล้า

“ก็โทรมาถามไถ่เรื่องอาการของคุณหนุละเจ้าคะ”

คุณหมอหนุ่มพลิกตัวหันมาทางอดีตแม่นม

“งั้นเหรอครับ แล้วท่านสบายดีไหม”

รอยยิ้มจางๆมอบให้ตอบให้คนป่วยสบายใจ“สบายดีเจ้าค่ะ ท่านยุ่งๆกับงานอยู่นะเจ้าคะ”

“งั้นเหรอ”ต้นธารามองเพดานห้อง แสงไฟสีขาวจ้าเสียจนรู้สึกแสบตาจนต้องหรี่ตา

“ป้าสมช่วยปิดไฟหน่อยได้ไหม”

ชายหนุ่มร้องขอ ป้าสมทำตาม พอมาถึงเตียง ดวงตาไร้ประกายปิดหลับสนิทเสียแล้ว นางจึงไปทำอย่างอื่นต่อ

------------------------------------------------

สิ่งที่อยู่ในใจคือความรุ้สึกว่าตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาพบเจอมัน มองไปทางปลายแสงที่ทอดอยู่ไกลลิบๆพบกับร่างเศร้าๆอาบไปด้วยเลือด ลุกขึ้น สีหน้าตกใจ อ้าปากจะพูดก็ไม่ได้ ริมฝีปากของผู้กองนาคีขยับเขยื้อนเบาๆ เสียงเปล่งออกมาเย็นยะเยือก

“คุณหมอจะมีความสุขได้หรือ?”

คำพูดที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้าง สายตาเปี่ยมด้วยความรักลึกซึ้งทอดมองมาเจือแววเหงาๆ

“ผู้กองนาคี”

รู้ว่ารัก...แต่ว่าไม่เคยแสดงทีท่าใดๆออกไปเลยสักนิดเดียว เตรียมเดินไปหา ร่างอาบด้วยเลือดค่อยๆหายไป นิ่งงันอยู่กับบรรยากาศเศร้าๆ ก่อนดวงตาไร้ประกายจะลืมขึ้นมา น้ำตาคลอเบ้า กอดตัวเองเอาไว้ คู้ตัวเหม่อลอย เขายังมีความสุขได้อีกหรือ? คำถามในฝันตามหลอกหลนอ ลืมไม่ได้ ภาพในอดีตย้อนคืน กลัว....กับความทรงจำเหล่านั้น พยายามทำใจให้สงบอดีตแม่นมของต้นธารากลับมาอีกครั้งเห็นคุณหนูนอนคู้กาย มีสีหน้าไม่สบายใจนักจึงมาถาม

“คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”

ดวงตาสีดำช้อนมอง ยิ้มเจื่อนๆ“รู้สึกไม่ดีนะเลยนอนไม่หลับ”เอามือปิดปากตัวเอง ป้าสมก้มมองคุณหนูของนาง

“ให้ป้าไปบอกหมอไหมเจ้าคะ ให้หมอจัดยาให้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมก็นอนได้แล้วล่ะครับ รู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว”ชายหนุ่มตอบเพื่อคลายความกังวลให้กับอดีตแม่นม

“หลับนะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูอยากได้อะไรเรียกป้านะเจ้าคะ”

สมเดินไปนั่งอ่านหนังสือยังโซฟา ต้นธาราหลับตาลง เงาเศร้าๆของผู้กองนาคีเกาะกุมใจอีกครั้ง

การที่ฝันถึงผู้กองนาคีทำให้ต้นธาราดูกังวลใจ อดีตแม่นมถามก็ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงเรื่อยไป จนนางไม่รู้จเค้นให้พูดอย่างไรดี

“แน่ใจนะเจ้าคะคุณหนูว่าไม่เป็นอะไร”

ต้นธารายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ผมจะเป็นอะไรละครับ ป้าก็เป็นห่วงไปได้”

ชายหนุ่มจับแขนของอดีตแม่นมไว้ ป้าสมยิ้มเมื่อชายหนุ่มทำเหมือนออดอ้อน

“ป้าว่าคุณหนูต้องมีอะไรปิดบังป้าแน่ๆล่ะ ไม่ต้องมาอ้อนเลย”

บีบจมูกคุณหนูอย่างเอ็นดู ต้นธาราหัวเราะร่วน แม้ดวงตาจะสดใสขึ้น ทว่าลึกๆแล้วยังเปี่ยมด้วยความกังวล

“โธ่ ป้าสมไม่เชื่อผมอีก”ชายหนุ่มพ้อ ประตูห้องเปิดออกพร้อมร่างนางพยาบาลสาว

“ได้เวลาเข้ารับการบำบัดแล้วค่ะ”

ป้าสมมองรถเข็นที่เข็นมาใกล้เตียง ต้นธารามองหน้าอดีตแม่นม ป้าสมแตะบ่า

“ไปเถอะเจ้าค่ะ จะได้หายเร็วๆ”

แม้ว่าต้นธาราจะลุกขึ้นมานั่งยังรถเข็น และรู้ว่าการคีโมจะเป็นอย่างไรในวันนี้ไม่อยากเข้ารับการบำบัดเลย

“เอ่อ ผม...”

ชายหนุ่มอ้าปากจะบอกนางพยาบาล จะหนีจากการรักษาในครั้งนี้ สุดท้ายนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นสายตาให้กำลังใจมอบให้

“ป้าจะคอยนะเจ้าคะ”

ต้นธาราจึงตัดความกังวลใจออก เข้ารับการบำบัด

------------------------------------------------

เช่นเคยที่เขาจะรู้สึกไม่ดี ได้แต่นอนนิ่งๆ เปิดเปลือกตาไม่ขึ้น ป้าสมคอยเช็ดเหงื่อให้ ชายหนุ่มปิดปากรู้สึกอยากอาเจียนแต่ความอ่อนเพลียทำให้ต้องนอนหลับตาแน่นๆ

“พอแล้วครับป้า”ชายหนุ่มคราง ป้าสมจึงหยุดเช็ดตัว

“เดี๋ยวป้าไปหาคุณหมอก่อนนะเจ้าคะ คุณหนูอยู่คนเดียวได้นะเจ้าคะ”

ป้าสมวางผ้าลงในอ่าง นางรีบลุกขึ้นไปหานายแพทย์ที่รับผิดชอบอย่างรีบเร่ง ต้นธาราได้แต่นอนครางเครือในลำคอ ตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือ รุ้สึกว่าคอแห้งผากแต่ไม่มีแรงเรียกอดีตแม่นมเลย เตรียมลุกขึ้นเองร่างกายคล้ายกับถูกถ่วงเอาไว้ ขยับแขนไม่ได้ เงาของผู้กองนาคีตามหลอนหลอก ภาพรอยยิ้มเศร้าๆติดตายังไม่ลบเลือนหาย ทันทีที่รู้สึกกลัวก็สัมผัสถึงความเย็นชื้นบนหน้าผาก พยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง มองเห็นเงาตะคุ่มรางเลือน เสียงปิดน้ำออกจากผ้าก่อนเนื้อผ้าเย็นๆจะซับตามลำคออีกครั้ง ก่อนมืออุ่นๆสัมผัสหยาบกร้านจะแตะแก้ม

“ใคร?”เอ่ยถามอย่างสงสัย สัมผัสนุ่มนวลยามลูบไล้แก้มเย็นชืดซีดขาว

“ผมเอง”

...น้ำเสียงคุ้นหู ใคร...

“ธาร ผมมาแล้ว”

ต้นธาราค่อยๆจำเสียงนั้นได้ เบิกตากว้างทว่าไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก ภาพใบหน้ากร้านแกร่ง ดวงตาคมดุปรากฏในสายตา

“ผู้กอง...”

ต้นธารางุนงง ไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็น....ภานุ เหลือบมองด้านหลังยังคิดว่าตัวเองฝันไป กระเป๋าลายพรางวางไว้ข้างๆตัว ภานุแต่งตัวด้วยชุดทหาร

“คุณมาได้ไง?”

ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย มือหนาลูบผมอย่างอ่อนโยน

“ขึ้นเครื่องบินมาน่ะ พ่อคุณเรียกตัวผมกลับมาด่วนแล้วเตะผมมาที่นี่”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม ต้นธารามองภาพนั่นอย่างตะลึงตะลาน แต่เขาอ่อนเพลียเหลือเกิน

“ดีแล้วล่ะที่คุณมา”

งึมงำในลำคอก่อนปิดเปลือกตาลง ภานุถอนมืออก มองใบหน้าซีดเชียวเงียบๆ ปวดใจเหลือเกินที่ร่างกายของต้นธาราอ่อนแรง กุมมือไว้ สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มกังวลใจอีกอย่างคือการที่ต้นธาราเรียกชื่อของอดีตเพื่อนผู้ล่วงลับไปคล้ายกับหวั่นกลัวบางอย่างที่รุกเร้าความรู้สึก

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 11-12-2008 16:28:28
 :เศร้า2:  สงสารหมอธาร
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 11-12-2008 21:36:22
 :sad4:
สงสารหมอธาร...หายป่วยไว ๆ เนอะ
ฉากทรมานบรรยายซะละเอียดยิบเชียว  :serius2:

บรรยายละเอียดเงี้ย แต่เปลี่ยนเป็นฉาก  :haun4:
จะชอบมากเลยยยยย...
รอตอนต่อไปนะคนสวยยย(ตรงไน๋)
 :z1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 12-12-2008 10:19:57
หมอธารต้องหายเส่ะ

ดีใจที่ผู้กองมาเสียที

สงสารก็แต่น้ำไผ่

เมื่อไหร่จะได้เอาคืนผู้กองธีมั่ง

ชิส์
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 12-12-2008 13:11:29
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 28 Enemy : ศัตรู [Part 4]

พอลืมตาขึ้น คิดว่าภาพของความฝันเมื่อคืนเป็นสิ่งลวงตา หันมองข้างเตียง ‘เงา’ ของคนที่มาหาเมื่อคืนกลับไม่อยู่ คิดว่าเป็นเพียงความฝัน เหม่อมองเพดานห้อง เห็นป้าสมกระวีกระวาดลุกไปเปิดม่านให้แสงสว่างเข้ามาภายในห้อง ถอนใจ...มันก็แค่ความคิดถึงที่มีมากล้นสร้างสิ่งลวงตาลวงใจ

“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู เมื่อคืนร้อยเอกภานุมาหาคุณหนูนะเจ้าคะ ป้าตกใจหมด”ป้าสมเอ่ย “เห็นบอกว่าท่านนายพลรีบส่งตัวมาน่ะเจ้าค่ะ โชคดีจริงๆเลยนะเจ้าคะคุณหนู” “คุณหนูจะได้หายทรมานเสียที”

คนป่วยลุกจากเตียงล้างหน้าล้างตา อดีตแม่นมส่งผ้าเช็ดหน้าให้

“เขาพูดอะไรกับป้าสมไหมครับ?” ต้นธาราถาม ป้าสมส่ายหน้า

“ไม่นี่เจ้าคะ คงเห็นว่าดึกแล้วมั้งเจ้าคะเลยไม่อยากรบกวนมาก”

ต้นธาราพิงอ่างล้างหน้า ป้าสมขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรเจ้าคะ ระยะนี้คุณหนูดูเหม่อเหลือเกิน”

สีหน้าซีดเชียวก้มมองพื้นห้องน้ำ

“คงเหนื่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”

เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีสายตาป้าสมมองตามอย่างเป็นห่วง ทรุดนั่งยังโซฟาที่ป้าสมใช้นอนเฝ้า มือแตะหนังสือพิมพ์กรอบเช้า

“ถ้าคุณหนูเหนื่อยก็น่าจะนอนต่ออีกสักหน่อยนะเจ้าคะ”ป้าสมกล่าว ขณะแตะแก้มเย็นเฉียบ

“ผมนอนพอแล้วครับ”


ได้ยินเสียงเคาะประตู ป้าสมหันมอง เห็นใบแกร่งมองผ่านกระจกจึงลุกไปเปิดให้ ภานุยกมือไหว้หญิงชรา ป้าสมยกมือรับไหว้มองชายหนุ่มที่เธอไม่ค่อยชอบในท่าทีดิบเถื่อน ต้นธารามองร่างสูงยื่นถุงขนมที่หิวติดมือมาฝากป้าสม หญิงชรารับตั้งไว้บนโต๊ะ สายตาคมหันมอง คนป่วยยิ้มให้

“เป็นอย่างไรบ้างธาร?”

ป้าสมจัดแรงรินน้ำตั้งให้แขก อยู่รับใช้ใกล้ๆ

“ก็ยังไม่เป็นไรครับ แล้วผู้กองล่ะสบายดีไหม?”ต้นธาราถาม

“ผมสบายดี ห่วงแต่สุขภาพของคุณหมอนั่นแหละครับ”

ต้นธาราแตะหน้าอกตัวเอง “ผมทนได้”

ดวงตาทอแววเป็นห่วงลึกซึ้ง ต้นธาราสบายใจที่ได้เห็นแม้จะแสดงอาการอะไรออกไปไม่ได้ก็ตามแต่

“ท่านนายพลกับผู้พันชานเนสบายดีไหมค่ะ”ป้าสมถามภานุ

“ท่านทั้งสองสบายดีครับ เอ่อ ผู้พันชานเนนฝากความห่วงใยมาให้คุณหมอด้วย ”คนกล่าวไม่เต็มใจบอกเท่าไรนัก

“แล้วคุณหมอจะเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกตอนไหนครับ?”

ภานุเปลี่ยนเรื่องเสียเมื่อเห็นต้นธาราอยากพูดถึงผู้พันหนุ่ม

“เรื่องนี้ต้องถามนายแพทย์ประจำตัวผมครับ ป้าสมช่วยจัดการพาผู้กองไปหานายแพทย์อดิเรกทีได้ไหม”

ป้าสมลุกขึ้น เชิญผู้กองหนุ่มให้ตาม

“แล้วคุณหมอละครับไม่ไปด้วยกันหรือ?”

“ผมจะตามไปทีหลังครับ เชิญผู้กองตามป้าสมไปก่อนเลยครับ”

ต้นธาราลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมของโรงพยาบาลมาใส่ ก่อนเดินตามหลังชายหนุ่มไปยังห้องตรวจของนายแพทย์อดิเรก

ภานุรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย พยายามระงับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจ ห้องตรวจของนายแพทย์ อดิกเรก ป้าสมเอ่ยทัก นายแพทย์อดิเรกลุกขึ้นตอนรับ

“ผู้กองภานุมาตรวจเลือดไขกระดูกค่ะว่าตรงกับของคุณหนูธารไหม”

นายแพทย์อดิเรกเชื้อเชิญให้นั่ง พร้อมกับพูดคุยกับผู้กองหนุ่ม

“ผมดีใจมากเลยครับที่คุณช่วยคุณหมอธาร”

ภานุเผยรอยยิ้มบนใบหน้านิดๆ ก่อนนายแพทย์อดิเรกจะเรียกดูประวัติทางการแพทย์ซึ่งภานุจัดส่งให้ นายแพทย์อดิเรกมองแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ

“กรุ๊ปเลือดของผู้กองตรงกับคุณหมอ เรายังมีโอกาสหวังครับ แต่ต้องตรวจดูว่าองค์ประกอบเลือดตรงกันไหม หากตรงกันถือว่ามีความโชคดีมากครับ”

นายแพทย์อดิเรกชี้แจง ภานุรับฟังเงียบๆ

“แล้วไม่ทราบว่าทางญาติพี่น้องหรือคู่สมรสยินยอมหรือไม่ครับกับการบริจาคครั้งนี้”

“ผมไม่มีคู่สมรสครับ อีกอย่างพ่อกับแม่ผมก็เสียหมดแล้วคิดว่าการบริจาคในครั้งนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”

“แล้วไม่ทราบว่าจะเริ่มตรวจเลือดวันไหนครับ?”

ชายหนุ่มร้อนใจ นายแพทย์อดิเรกปรามไว้ก่อน

“ใจเย็นๆก่อนครับ ฟังการอธิบายก่อนครับว่าผู้กองกับคนป่วยต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง”

ต้นธาราเข้ามาพอดี ป้าสมช่วยประคับประคองคุณหนู

“กำลังพูดถึงเรื่องการรับบริจาคไขกระดูกพอดีครับ”

ต้นธาราผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนนายแพทย์อดิเรกจะอธิบายถึงขุ้นตอนบริจาคให้แก่ภานุฟัง

“ผู้กองต้องไปยื่นเอกสารนี่ต่อทางศูนย์บริจาคโลหิตแห่งชาติ หากตรวจองค์ประกอบทุกอย่างถ้าตรงกันก็จะรอบริจาคขั้นต่อไป ในการบริจาคผู้บริจาคผู้บริจาคอาจได้รับความเจ็บปวด คิดว่าผู้กองคงทนได้”

“ผมทนได้ครับ”

มองเสี้ยวหน้าของต้นธารา ฝ่ายคนป่วยมองคนให้บริจาค ยิ้มให้เล็กน้อย

“ขอบคุณครับที่ช่วยชีวิตผม”

คำ “ขอบคุณ”ที่หลุดจากปากทำให้ภานุนิ่งงันไป

“ยังไม่รู้เลยว่าเลือดของเราจะเข้ากันได้รึเปล่า....อย่าเพิ่งบอกขอบคุณตอนนี้เลย”

ภานุเอ่ย ดวงตาต้นธาราวูบแสง

“โอกาสที่จะตรงกันมีสูงครับ”นายแพทย์อดิเรกปลอบ

“ครับ”

ภานุเอ่ยในลำคอ ขณะจูงแขนคนป่วยให้ลุกขึ้นและเดินไปด้วยกันนั้นมือของชายหนุ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรไป”

ต้นธาราถามเบาๆ ดึงแขนออกจากอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลภานุยืนนิ่ง ต้นธาราเฝ้ามอง หันไปทางป้าสมซึ่งเดินห่างๆ

“ป้าครับผมขอพูดกับผู้กองสักแป๊ปหนึ่งนะครับ”

“เจ้าค่ะ แต่คุณหนูอย่าคุยนานนะเจ้าคะ เดี๋ยวพักผ่อนไม่พอจะแย่เอา”นางเดินไปยังห้องตามลำพัง

ต้นธารายกมือแตะแก้มของภานุ ลูบเสี้ยวหน้าแกร่ง

“ดุเหมือนว่าผู้กองจะกลัวมากกว่าผมกลัวเสียอีก”

ร้อยเอกหนุ่มรวบข้อมือบางเอาไว้ จูบหลังมือขาวแล้วกุมไว้แน่น“ผมกลัวว่าถ้ามันไม่สำเร็จ แล้วเสียธารไป ผมจะทำอย่างไร?”

“แช่งกันให้อายุสั้นใช่ไหมเนี่ย?”

ภานุยิ้มน้อยๆ รั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น กระชับอยู่ในวงแขน

“อายเค้าน่า”ต้นธาราว่าพลางหลับตาซึมซับไออุ่นจากร่างแกร่ง

“ช่างคนอื่นเถอะน่า มีธารอยู่ตรงนี้ก็พอผมไม่สนใจอะไรแล้ว”

“ผู้กอง...”

ต้นธาราเสียงเครือ ภานุมองใบหน้าที่ซุกอยู่กับบ่า

“ผอมเหลือเกิน ได้กินข้าวครบมื้อรึเปล่า หืมม์?”

มือแกร่งเลื่อนมายังเอวบาง สำรวจอย่างอ่อนโยนด้วยการลูบไล้แผ่วเบา ต้นธาราจับมือไว้

“ผู้กอง!”

เอ็ดเบาๆ ขืนตัวออก มองใบหน้ายิ้มกริ่มราวกับกำลังเย้าหยอก ภานุมองรอบกายก่อนประทับจูบเบาๆบนหน้าผาก คนถูกแตะต้องตัวใบหน้าร้อนฉ่า ใบหน้าขาวซีดกลายเป็นสีแดงทันใด

“ออกไปเดินเล่นกับผมไหม?”

ต้นธาราขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าจะมีที่ไหนให้เดินเล่นได้ ภานุกุมมือเย็นเฉียบเอาไว้ ดึงลงบันไดสู่สวนเล็กๆ

“ผมว่าผมกลับขึ้นไปบนห้องดีกว่า”

ต้นธาราเอ่ย พลางเดินกลับไปยังห้อง ภานุเดินตาม

“ขอโทษทีผมเอาแต่ใจไปหน่อย”ภานุพึมพำ

“ไม่เป็นไร”

ภานุเดินตามหลังมา มองแผ่นหลังบาง ต้นธาราหยุดนิ่งมองหน้าผู้กองหนุ่ม

“มีอะไร?”

ดวงตาต้นธาราจดจ้องใบหน้าดุดันเนิ่นนาน

“ผู้กองครับ ถ้าทุกไม่เป็นอย่างที่หวัง ผู้กองอย่าเสียใจนะ”

ต้นธารากุมมือแกร่งไว้ บอกด้วยน้ำเสียงพลิ้วแผ่ว

“ธาร...ผมบอกแล้วว่าคุณจะไปยังที่ใด ผมจะไปด้วยกับคุณ ไปด้วยกันทุกที่”ภานุจ้องดวงหน้าของต้นธารา ดวงตาสื่อถึงความมั่นคงของสัญญาและคำพูด

“ผู้กอง..อย่าพูดแบบนี้ คุณมีชีวิตของคุณ เพียงมอบชีวิตและความรักให้กับผมเท่านี้ผมก็ซาบซึ้งแล้ว”

ภานุกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้“ทำไมพูดแบบนี้ละธาร เป็นเพราะเรื่องผู้กองนาคีรึเปล่า?”ภานุถาม

ต้นธาราจะชักมือออกเมื่อชื่อของผู้กองนาคีออกจากปากของภานุ

“ธาร....”ภานุเรียกชื่อคนเบือนหน้าหนี

“ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผู้กองนาคีหรอก ผมพูดด้วยความเป็นจริงเท่านั้น”

“คุณไม่รักผมแล้วหรือ เห็นความสัมพันธ์ที่ผมมีให้คุณเป็นอะไร?”

ต้นธารามองหน้าภานุตรงๆ“ผมรักคุณ แต่ผมคงไม่อาจเอาชีวิตของผู้กองมาแขวนอยู่กับผมหรอกครับ”

“ธาร...อย่าพูดแบบนี้อีกเลย ผมขอล่ะ เพราะคำพูดของธารมันทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่พึ่งไม่ได้เลย”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น เพียงแต่ว่าถ้าผมยังดึงตัวผู้กองไว้ทั้งๆที่ผมใกล้ตาย มันไม่เป็นการเห็นแก่ตัวไปหรือ?”

ภานุยิ้มอ่อนๆกับคนคิดมาก“ธาร ผมบอกแล้วไงว่าคุณไปไหนผมจะตามคุณไป ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยมือจากคุณไปไหน ผมไม่ให้ใครช่วงชิงคุณไปเด็ดขาดแม้กระทั่งความตาย”

ต้นธารามองดวงตาจริงจัง เหมือนกับสมัยก่อนที่เคยโหดร้าย

“ขอให้ผมได้ปกป้องคุณเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายกับสาบาน

ต้นธารามอง ไม่อยากรับปาก รู้ตัวดีว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นที่จะเคียงคู่กันไป

“ธาร เชื่อใจผม ปัดความกังวลออกไปให้หมด แม้ทางเดินจะโรยด้วยกรวดหนามขนาดไหน ผมจะเดินเคียงไปกับคุณ เข้าใจไหม เลิกคิดมากได้แล้ว”ดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลา ต้นธาราแตะหน้าผากที่ถูกดีดเบาๆ รอยยิ้มผุดขึ้น ใบหน้าสดใส

“เข้าใจแล้วใช่ว่าอยู่กับผมแล้วตัดความกังวลใจออกไปให้หมด เราจะเดินคู่กัน ทุกข์ใจ เราก็จะทุกข์ด้วยกัน”

“เหมือนกับคำขอแต่งงานเลยนะว่าไหม?”ต้นธารากล่าวแล้วอมยิ้ม

“ถ้าธารหายจะให้ผมยกขันหมากมาสู่ขอไหมล่ะ”ชายหนุ่มทำท่าเอาจริง “แต่อย่าเรียกสินสอดแพงไปล่ะ ผมมันทหารจนๆซะด้วยสิ”

ต้นธาราหัวเราะ ลืมความเศร้าโศกภายในใจได้บ้าง

“ไปพักผ่อนเถอะ ดูสีหน้าคุณเหมือนจะยืนไม่ไหวแล้ว”

ใจจริงภานุอยากอุ้มเสียด้วยซ้ำ หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ช่วยประคองเล็กๆน้อย ต้นธาราใช้ท่อนแขนเป็นที่พักพิง เปิดประตูห้อง ป้าสมกระวีกระวาดออกมารับคุณหนูด้วยตัวเอง

“ป้าสมคิดว่าคุณหนูหายไปไหนแล้วเสียอีก”หญิงชรากล่าว มองภานุอย่างตำหนิเล็กน้อย

“ผมขอโทษครับป้า”ต้นธาราเอ่ยแก้ตัวให้ แล้วปีนเตียงแต่โดยดี

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ป้าแค่เป็นห่วง”

“ถ้าให้คุณหมออกไปเดินเล่นจะได้ไหมครับ?”

ป้าสมมองหน้าราวกับชายหนุ่มกำลังพูดเรื่องประหลาด

“เกรงว่าสุขภาพของคุณหนูจะไม่อำนวยน่ะค่ะ”

ภานุไม่ได้เซ้าซี้อะไรให้มากความ

“แต่ก็ให้อุดอู้อยู่แต่ในห้องก็ไม่ดี แล้วผู้กองจะพาคุณหนูไปไหนล่ะคะ?”

“ผมพาไปไหนไม่ได้ไกลหรอกครับ นอกจากพาเดินไปสวนสาธารณะ”

ป้าสมทำท่าคิดหนัก“ก็ดีเหมือนกันนะคะ คุณหนูอยากไปไหมเจ้าคะ”

อดีตแม่นมหันไปถามคุณหนู ต้นธาราผงกศีรษะ ภานุถอนใจที่ให้ต้นธาราออกไปเดินเล่นได้เสียที

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 12-12-2008 13:12:21
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่รัก รู้ว่าไม่ใส่ใจ หัวใจยังฝันใฝ่ ดวงตาสีดำสนิทเฝ้ามองร่างที่เปลี่ยนชุดเป็นชาวบ้านธรรมดา มือกลัดกระดุมเชื่องช้า

“ทางเราคงช่วยได้เท่านี้จริงๆ”

หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย กิ่งไผ่ที่แต่งตัวเป็นหญิงชาวบ้านนั่งคอยอยู่ตรงชานเรือน เอาผ้าคลุมศีรษะไว้

“เราจะออกเดินทางเอาของไปขายที่ชายแดนถึงเวลานั้นก็ไปซะ”

กิ่งไผ่เอ่ยขอบคุณที่อีกฝ่ายยอมเอาชีวิตของพวกเขาไปเป็นห่วงผูกคอ

“ขอบคุณมากที่กรุณาช่วยเรา”

“มิได้ ทางเราก็เคยได้รับความช่วยเหลือมาจากท่านบ้าง”

ธีรเดชเหลือบมอง สีหน้าของอีกฝ่ายเหนื่อยอ่อน สังเกตได้เพียงนิดเดียวตอนที่ผ้าคลุมหน้าหลุดออกมา อีกฝ่ายก็พันขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เสร็จแล้ว”

ธีรเดชกระซิบเบาๆ กิ่งไผ่และหัวหน้าหมู่บ้านลุกขึ้น ส่งกระบุงบรรจุเสื้อผ้าและปืนให้ ธีรเดชเป็นคนสะพาย กิ่งไผ่ลุกขึ้นกระชับสายย่ามแน่น

“เราจะข้ามไปฝั่งไทยพร้อมกับคนในหมู่บ้าน อย่าทำตัวให้มีพิรุธล่ะ”

คนซ่อนใต้ผ้าคลุมสั่ง ธีรเดชผงกศีรษะ ชายหนุ่มปรับสีหน้า คลายความตื่นเต้น

“ใครถามอะไรก็อย่าพูดล่ะ ทางหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นคนพูดเอง”

ธีรเดชเดินปะปนกับขบวน ข้างหน้านั้นเป็นกิ่งไผ่ซึ่งเดินปนอยู่กับหญิงสาวในหมู่บ้าน ท่าทีกลมกลืน ไร้รอยพิรุธ

“เดี๋ยวจะเจอกับด่านตรงหน้าถ้าเราข้ามแม่น้ำไป”

เดินตัดป่าสู่แม่น้ำสายกว้างซึ่งบางช่วงแห้งขอดไปตามฤดูกาล

“ส่วนมากชาวบ้านมักจะเอาของป่าไปแลกกับสินค้ากับอีกฝั่งมา”

กิ่งไผ่ฟังคำอธิบายจากลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องนี้เขาพอจะรู้บ้าง แต่คงจะเล่าให้กับนายทหารหนุ่มจากไทยฟังเสียมากกว่า

“อาจเจอกับด่านตรวจที่เป็นสายให้กับทางกลุ่มที่คุณหนีมาก็ได้”

ธีรเดชกังวลใจมองร่างท่เดินอยู่ตรงหน้าไม่มีท่าทางหวั่นหวาด ลุยข้ามน้ำลึกแค่เข่าไปสู่อีกฟากฝั่ง ริ้วขบวนมองไกลๆเป็นระเบียยเรียบร้อย พอถึงฝั่งที่เป็นชายแดนไทย ธีรเดชรู้สึกอุ่นใจที่ได้กลับบ้าน ผิดกับใบหน้าเศร้าหมองซึ่งบัดนนี้ผ่อนฝีเท้าเดินข้างเคียง

“กังวลหรือ”

ธีรเดชกระซิบ กิ่งไผ่ส่ายหน้า คนที่ชะลอฝีเท้าหลับตาก่อนจะลืมตามองท้องฟ้าที่เชื่อมเข้าหากันกลายเป็นหนึ่งเดียว

“ใกล้ถึงด่านแล้วล่ะ”

ขบวนขนส่งสินค้าชะลอ ธีรเดชมองเห็นด่านเล็กๆยืนไว้ด้วยทหารสะพายอาวุธอย่างเกร็งๆเกรงว่าจะพบกับอาวุธที่ซ่อนอยู่ในกระบุง

“เฉยไว้ ทำตัวเหมือนชาวบ้านปกติ”

ธีรเดชตีหน้านิ่งหากไม่แนบเนียนเท่าไร

“จะส่งกระบุงให้ผมถือแทนก็ได้นะ”

นายทหารหนุ่มจากไทยไม่ส่งให้ บอกให้กิ่งไผ่เดินนำเสีย พอเข้าใกล้ทหารเฝ้าด่านสั่งให้หยุดพิศมองหน้าหัวหน้าหมู่บ้าน

“กระผมนำลูกบ้านมาขายของในแดนไทยขอรับ ขอผ่านด้วยเถิด”

กวาดตามองสีหน้าแต่ละคน ก่อนจะหยุดยังธีรเดชและกิ่งไผ่

“สองคนนั้นไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเลย”

“เอ่อ เป็นคนใหม่รึ”

“ขอรับ กระผมพาลูกอียะขิ่นมาขายของเห็นบอกว่าลำบาก มันกำลังหาเงินช่วยแม่เลยพามันมา นั่นผัวมัน”

ทหารชายแดนหรี่ตามองธีรเดชซึ่งก้มหน้าก้มตา ใบหน้าเปื้อนมอมแมม

“เรอะ ลำบาจังเลยนะ เอ้าไปเถอะ”

พวกนั้นยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ธีรเดชรีบเดินตามกิ่งไผ่ซึ่งก้มหน้าก้มตา

“เมียมึงสวยไม่เบานี่”

เห็นดวงตาพราวระยับ ธีรเดชถลึงตามองหากถูกมือของลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านฉุดเขา ธีรเดชเลยปลิวตามแรงมือน้อยๆ พอพ้นช่วงอันตรายไปก็ถอนใจ

“โชคดีที่มันคุ้นหน้าคุ้นตากับหัวหน้าหมู่บ้านดี มันเลยไม่เซ้าซี้อะไรมาก”

“ทำไมถึงต้องกลัวละครับในเมื่อเป็นคนประเทศเดียวกับผม”

“นั่นก็เพราะว่าพวกมันมีเอี่ยวกับยาเสพติดน่ะสิ อีกอย่างคนพวกนี้อาจจะจับหมู่บ้านสักหมู่บ้านแล้วอ้างว่าจับทำลายยาเสพติดก็ได้”

กิ่งไผ่ตอบแทน ธีรเดชฟังแล้วเหน็บหนาวใจต่อคนในชาติเดียวกัน กลับเป็นได้ถึงขนาดนี้

“รีบไปเถอะ ถ้าช้านักจะแย่เอา”

กิ่งไผ่ลุกขึ้นมองหัวหน้าหมู่บ้านที่คอยช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินจากลามาอย่างรู้สึกอาวรณ์....ต้องทำให้สำเร็จ เป้าหมาย ในใจของกิ่งไผ่มีเพียงสิ่งนั้น


------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 12-12-2008 16:48:10
^
^
^
^

จิ้มคุณมูมู่น้อยกระจิ๋วหลิว


คุณหมอธารเข้มแข็งกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย

ผู้กองยังดูกังวลกว่าอีก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 13-12-2008 04:01:37
จิ้มตาลให้ทะลุถึง พิมเท่ร๊ากกกกกกกกกกก  :z1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 13-12-2008 04:13:34
จิ้มทุกคนที่ขวางหน้า

พร้อมรอ คนสวยมาอัพ :call: :beat:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 13-12-2008 11:11:56
สาหัสกันเหลือเกิน

ทั้งกายทั้งใจของแต่ละคน

ปลอดภัยกานด้วยเถ๊อะ

 :call:   :call:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 13-12-2008 13:08:24
ก็ยังเค้นอารมณ์คนอ่านกับการรอคอยได้เป็นอย่างดี
หวังว่าปาฏิหารย์คงจะมีจริงๆ แล้วคู่ของไผ่กับธีอีก
อุปสรรคมากมาย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-12-2008 13:31:15
 :z3: นี่กะจิ้มกันจนตูดช้ำเลยใช่มั้ยเนี่ย จิ้มคืนให้หมดทุกคน 5555
คงจะเค้นอารมณ์อย่างแสนสาหัสกันไปจนจบเรื่องอะน้า เอิ๊กๆ ลุ้นไปก่อน

ต่อเลยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 29 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART1)


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2A7FBFFPB0&Autoplay=1


เวลาที่อยู่ด้วยกัน ได้นั่งมองเสี้ยวหน้าแกร่ง ภายในใจมันช่างโหวงเหวง ภานุเอื้อมมาจับมือแสนอ่อนล้าประคับประคองไว้

“เหนื่อยหรือ?”

ชายหนุ่มถาม มองเหงื่อเย็นๆผุดตามไรผม ต้นธาราส่งยิ้มให้ ชักมือกลับมาวางพาดตักตามเดิม

“เปล่า ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก....”ต้นธาราตอบ หลังจากเดินเล่นภายในสวนสาธารณะกับภานุ เหมือนร่างกายมันหนัก ล้า อ่อนเพลีย อดทนกับความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าสู่กาย

“ดื่มน้ำสักหน่อยไหม? ผมจะไปซื้อให้”

สายตาที่ฉายความเหน็ดเหนื่อยจับจ้องคนที่มาออกกำลังกาย บ้างก็มาเดินเล่นตามประสาคู่รักหวานชื่น สระกว้างใหญ่ ริ้วระรอกคลื่นเป็นประกาย ต้นธาราผงกศีรษะตอบรับอย่างเหม่อๆ ระหว่างที่ภานุลุกขึ้นหาซื้อน้ำดื่มมาให้ ต้นธาราทรุดนั่งรอ มองท้องฟ้าของเมืองกรุง กิ่งไม้เหนือหัวสั่นไหวตามแรงลมพัดพลิ้ว ใต้ห้วงความคิดเหม่อลอย คิดถึงผู้กองนาคีซึ่งได้รับเลื่อนยศ ลมหายใจสดชื่นที่เคยสูดเข้าปอดเหมือนสะดุดลงในพริบตา ภานุหายไปไม่นานชายหนุ่มกลับมาพร้อมกับน้ำเย็น ส่งให้คนที่มีใบหน้าซีดขาว หลังมือแตะสำรวจอย่างอ่อนโยน สัมผัสมือเย็น สะดุ้งสุดตัว ดวงตาภานุหาความจริงบนสีหน้ากลบเกลื่อนความรู้สึก แววตาอ่อนโยนระคนความตื่นกลัวกังวล ไม่สบายใจ

“เป็นอะไร?”

ศีรษะได้รูปส่ายไปมา เลี่ยงเปิดขวดน้ำยกจรดปากแทน ภานุจับจ้องดวงตาหม่นแสง ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างๆ ดูเหมือนว่าต้นธาราจะเงียบผิดปกติ

“ไปนั่งเรือถีบไหม?”ภานุชวน ไม่รอให้ต้นธาราปฏิเสธก็ดึงแขนขึ้น ท่าทีที่มีความสุข ผิดกับต้นธาราที่ต้องเก็บงำความกลัวเอาไว้ รอให้ภานุจ่ายเงิน ก่อนก้าวขึ้นเรือถีบด้วยกัน ตัวเรือโคลงเคลงเล็กน้อย เมื่อก้าวขึ้นคู่กัน สีหน้าคุณหมอดูปุเลี่ยนๆ ภานุหันมาบอกให้นั่งเฉยๆเสีย

“แน่ใจว่าไหว?”

รอยยิ้มพรายบนสีหน้าคมคาย ต้นธาราคอยมอง ผู้กองหนุ่มพาเรือไปกลางน้ำ ต้นธารามองไปบนฝั่ง ทุกอย่าง...เหมือนจะหยุดลง

“ธาร ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณนะ”

ชายหนุ่มกุมมือเอาไว้แนบแน่น ก่อนขาจะถีบเรือไปยังทิศทางต่างๆ ต้นธาราฟังชายหนุ่มพร่ำคำหวาน หวั่นใจว่าจะอยู่ฟังได้อีกไม่นาน ต้นธาราไม่พูดตอบ ภานุก็นิ่งเงียบ หากมือกระชับ...มั่น...ราวกับสัญญา ทั้งคู่นั่งรับลมเย็นๆลู่ปะทะหน้า แสงสีทองของอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับๆถีบเรือพาเข้าฝั่ง

------------------------------------------------

เคียงคู่กันกลับไปโรงพยาบาล ภานุแยกกับต้นธาราเพื่อไปพบกับหมอ ต้นธาราเห็นป้าสมยิ้มร่าเข้ามาแตะต้นแขน

“ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู”

คนป่วยปีนขึ้นเตียงก่อนจะตอบอดีตแม่นมไป

“สนุกดีครับ”

ตอบไปก็ซ่อนสีหน้าอึดอัดใจเอาไว้ ป้าสมป้วนเปี้ยนเช็ดตามลำตัว ต้นธาราห้ามไว้

“ผมอยากอาบน้ำมากกว่าครับ เหนียวตัวเหลือเกิน”

ต้นธาราลงจากเตียง เดินไปยังห้องน้ำ รับผ้าเช็ดตัวจากอดีตแม่นมหายไปในห้องน้ำสักพัก ออกมาด้วยเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน พออกมาก็เห็นผู้กองภานุกำลังคุยกับป้าสม สีหน้าป้าสมเปล่งกายด้วยความยินดี ดวงตาชราแจ่มใส ดวงตาคมเบนมองร่างบาง พร้อมเดินเข้ามาแตะบ่าอย่างนุ่มนวล

“วันพรุ่งนี้ผมไปตรวจเลือดแล้ว หมอบอกว่าเราจะได้รู้ผลไม่นาน”ภานุเอ่ย ดวงตาพราวประกายด้วยความยินดี

“อือ...”

ต้นธาราได้แต่รับขลุกขลักในลำคอ ท่าทีของอีกฝ่ายเหมือนอยากดึงเข้าหาอ้อมแขน หากยังเกรงใจผู้ที่เฝ้ามองจึงหยุดไว้เพียงแค่นั้น

“อย่างน้อยๆเราก็มีความหวังขึ้นมา”ภานุสูดลมหายใจลึกๆ รู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา หัวใจแจ็งกระด้างราวหินผา “กลัว” ความสูญเสีย ความหวังแม้มีแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ เขาก็ยังหวังให้ ‘เลือด’ ของเขาช่วยต้นธาราได้

------------------------------------------------

เวลาที่ต้องรอ มันช่างทรมาน วันนี้เป็นวันที่จะได้ทราบผลตรวจเลือดหลังจากรอมาสองวัน ใต้แสงสว่างที่ไม่คาดว่าเวลาได้อยู่แล้วช่างมีความสุข มองเค้าหน้านุ่มนวลด้วยสายตาห่วงถนอม นั่งบนเก้าอี้โรงพยาบาลพร้อมกับสีหน้าอมยิ้ม เปี่ยมความสุข

“ผมอยากให้ธารออกไปจากโรงพบาลเร็วๆจัง”ภานุกล่าว กุมมือไว้ไม่ปล่อย

“คงอีกนาน”พูดด้วยท่าทีเหนื่อยล้า มือหนาบีบให้กำลังใจ

“ไม่หรอก อีกไม่นานก็ได้ออกแล้ว”

มองใบหน้าให้ความหวัง ต้นธาราถอนมืออก ฝ่ายภานุเงียบนิ่งความรู้สึกอึดอัดแทนที่ความสุข ดวงตาคมดุได้แต่มองดวงตาที่กลายเป็นความกังวลในทันใด

“กังวลใจเรื่องผลเลือดหรือ?”ภานุถาม เพราะหลังจากเข้ารับฟังวิธีการเปลี่ยนไขกระดูก ในที่สุดภานุก็เข้ารับบริจาค รอผลเลือดกันด้วยใจหวั่นๆ แม้ว่าต้นธาราไม่ตอบเขาก็เข้าใจดีว่าต้นธารารู้สึกเช่นไร

“ผลการตรวจเลือดเราต้องตรงกัน”

ภานุเอ่ยอย่างมุ่งมั่น ต้นธาราผงกศีรษะ ความมุ่งมั่นและแรงใจช่วยให้ลืมฝันร้ายๆ เขาลุกขึ้นเมื่อภานุบอกว่าจะไปส่งที่ห้องพัก เดินคู่กันไป จนเห็นป้าสมเหลียวหา

“คุณหนูเจ้าคะ หมอบอกผลของการตรวจเลือดแล้วเจ้าค่ะ”

ภานุและต้นธารามองใบหน้าปลาบปลื้มดีใจของป้าสม รู้ว่ามันต้องเป็นข่าวดีอย่างแน่นอน

“องค์ประกอบเลือดของคุณหนูกับผู้กองภานุตรงกันเจ้าค่ะ”

เหมือนกับได้รับประทานพรจากพระเจ้า...ปาฏิหาริย์เพียงหนึ่ง...เลือดของเขาช่วยต้นธาราได้...ทุกความกังวลปราศจากหาย

“เดี๋ยวป้าโทรบอกท่านนายพลนะเจ้าคะ ป้าดีใจเหลือเกินที่คุณหนูจะหายจากโรคร้าย”ป้าสมเดินเข้าไปในห้องรีบต่อสายโทรศัพท์หานายพลพิภพด้วยความรวดเร็ว

ภานุมองใบหน้าขาวซีด ดีใจจนคว้าร่างต้นธารามาสวมกอดแน่น วงแขนแกร่งรัดจนแทบหายใจไม่ออก

“ผมดีใจ ดีใจเหลือเกิน”

ต้นธาราอยู่ในวงแขนแกร่ง ดวงตารื้นน้ำตา หยดน้ำตาซึมบนบ่าที่ใช้พักพิง ในที่สุดภานุก็คลายอ้อมกอด เมื่อป้าสมออกมา

“ท่านนายพลดีใจมากเลยเจ้าค่ะ ยังมีข่าวดีอีกนะเจ้าคะ”

“อะไรครับ?””ต้นธาราสงสัย

“เห็นว่าทางการทราบข่าวคราวของคุณธีรเดชแล้วเจ้าค่ะ ยังมีชีวิตอยู่”

รอยยิ้มดีใจต่างผุดขึ้นที่อะไรๆต่างเปี่ยมด้วยความสุข ต้นธาราแอบถอนใจ นึกถึงความฝันที่ผู้กองนาคีถามคำถามที่ทำให้ใจตกอยู่ในหล่ม แม้จะรู้ว่าเป็นความฝันแต่ก็กลัว....เก็บคำถามที่ผู้กองนาคีถามเอาไว้ในใจเงียบๆ

“ฟ้าช่างเมตตาจริงๆเลย”ป้าสมเอ่ยซับน้ำตาที่ไหลปริ่ม

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-12-2008 13:32:15
ตกค่ำหลังจากที่ได้รับข่าวที่น่ายินดี ภายในห้องที่ต้นธาราอยู่มีขนมหวานและเครื่องดื่มมาจัดฉลอง ป้าสมนั่งทานเค้กที่ภานุเป็นคนออกไปซื้อ สีหน้าของผู้กองหนุ่มมีความสุข ต้นธารานอนเอนหลังอยู่บนเตียงคนป่วยยิ้มน้อยๆ สีหน้าซีดเซียวเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

“ผมดีใจเหลือเกิน”ภานุคุยไม่หยุด เขายินดีที่ทุกอย่างเหมือนจะไปด้วยดี ต้นธาราที่นอนเอนหลังอยู่บนเตียงเอาแต่ยิ้มเมื่อเห็นภาพทุกคนมีความสุข

“เดี๋ยวป้าไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก่อนนะเจ้าคะ เอ่อ...ผู้กองอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูหน่อยได้ไหมเจ้าคะ?”ป้าสมเอ่ยปากอย่างเกรงใจ ภานุลุกขึ้นมาช่วยป้าสมเก็บข้าวของบางอย่างที่ไม่ได้ใช้กับบ้าน ป้าสมเอ่ยลาคุณหนูของนางแล้วบอกจะรีบมา ภานุช่วยถือของไปส่งที่รถแล้วกลับมาเฝ้าต้นธาราต่อ

พออยู่ตามลำพังภานุมองหน้าซีดเซียวที่กลับกลายเป็นหม่นหมอง ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ในเมื่อมีความสุขทำไมถึงยังหม่นเศร้า กุมมือเอาไว้ ใช้มืออีกข้างแตะแก้มขาว

“เป็นอะไรครับ ดูไม่ร่าเริงเลย”

ภานุถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ต้นธาราไม่ตอบ กลับล้มตัวนอน สีหน้าอ่อนเพลีย ภานุตามอารมณ์ไม่ทัน นั่งเงียบๆมองเสี้ยวหน้าซ่อนใต้ผ้าห่มเพียงครึ่งเดียว

“เดี๋ยวหายใจไม่ออกหรอก”

ดึงผ้าห่มออกจากตัวคนที่ทำตัวเหมือนเด็ก ต้นธารามองรอยยิ้มมองอย่างเอ็นดูบนสีหน้าคมคายหากดุดัน

“คิดว่าทำอะไรเหมือนเด็กละสิ”คุณหมอถาม ร้อยเอกหนุ่มเพียงหัวเราะในลำคอ มองใบหน้าบึ้งบูด

“ก็เหมือนไหมล่ะ”ลูบแก้มซีดอีกครา สัมผัสอบอุ่นทิ้งรอยไว้เหมือนสายลมบางเบา

“ผมแค่นึกกลัวกับกังวลเท่านั้นแหละ”ในที่สุดต้นธาราก็ยอมเอ่ยในสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในใจออกมา

“คุณไม่ต้องกลัว” ชายหนุ่มประโลมเสียงแผ่ว “ความหวังแม้มีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซนต์....เราต้องคว้าเอาไว้ ผมก็หวั่นใจเหมือนกันในครั้งแรก แต่ผลมันออกมาแล้วว่าองค์ประกอบเลือดของเราตรงกันทั้งคู่ ตอนนี้ยังมีความหวั่นใจอะไรอีก?”

ดวงตาเคยโหดร้ายมาบัดนี้อ่อนโยน ต้นธาราสบดวงตาคู่นั้นตรงๆ มันอบอุ่นจนไม่กล้าเอื้อมมือรับ ในเมื่อภาพของผู้กองนาคีผุดขึ้นมาในห้วงความทรงจำ ต้นธารามองหน้าเบือนหนี

“ทำไมละธาร ทั้งๆที่วันนี้เราน่าจะมีความสุขกันนี่น่า”ภานุกังขา ดวงตากร้าวตั้งคำถาม ต้นธาราอยากจะตอบ อยากจะระบายทุกสิ่งออกไป แต่ความกลัวกลับมีมากกว่า

“ในตอนนี้ผมมีความสุขมากๆเลยล่ะ ขอบคุณนะผู้กอง คุณเหมือนกับคนให้ชีวิตใหม่แก่ผมจริงๆ”แม้จะเอ่ยไปแบบนั้นคนฟังกลับไม่ยินดีเลยสักนิด

“”คุณพูดเหมือนว่าคุณจะตาย? ทำไมล่ะธาร? บอกความจริงผมได้ไหม ว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน?”

ใบหน้าภานุเครียดขรึม ต้นธาราไม่ยอมพูด ภานุลุกขึ้น นั่งยังโซฟา รอให้ต้นธารายอมเอ่ยออกมาเอง หงุดหงิดเล็กน้อยที่มันเป็นแบบนี้ ความสุข ความดีใจ เหมือนกับกระดาษว่างเปล่า

“ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้แต่...”

ต้นธารานอนคะแคงพูด ดวงตาสีดำรื้นน้ำตาเมื่อนึกถึงได้ว่า ชีวิตนี้ได้เริ่มต้นเพราะใครอีกเช่นกัน

“ธารไม่ต้องพูดหรอกหากว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ธารรู้สึกลำบากใจ”

ร้อยเอกหนุ่มเอ่ยตัดบท ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ ในที่สุดต้นธาราก็หันมองใบหน้าหงุดหงิด ดูเหมือนว่าภานุกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ รุ้ตัวดีว่าทำผิดพลาด แทนที่จะมีความสุข แทนที่จะดีใจที่คนที่เขารัก เฝ้ารอ ใฝ่ฝัน มาหา เขากลับทำตัวแบบนี้ สั่งให้ใจทิ้งอดีตของผู้กองนาคีออกไปเสีย รู้ว่าเห็นแก่ตัว ควรลืม หากอดีต...ไม่ใช่สิ่งที่จะลืมง่ายๆ ทำอย่างไรดี ร้อนรน...ทุกข์ใจ ..และผิดบาป

ภานุลุกขึ้นเมื่อเห็นร่างต้นธารานอนนิ่ง คลายโทสะ เดินไปดูร่างที่มีคราบน้ำตา ดวงตาขึ้งโกรธอ่อนลงทันใด

“ผมขอโทษที่หงุดหงิดใส่คุณ”

ต้นธาราหันมองเต็มๆตา“ไม่ใช่ความผิดของคุณทั้งหมดหรอกผู้กอง ผมผิดเองที่ไม่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป”ต้นธาราเอ่ย หลังมือลูบผิวแก้มเย็นเฉียบ

“บอกผม หากคุณรู้สึกไม่สบายใจนะธารา เราสัญญากันไว้แล้วนี่น่า”

แก้มเย็นเฉียบแนบกับฝ่ามืออุ่น หลับตาลงสักพัก เขาควรพูด บอกตัวเอง....พูดออกไป เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ทุกข์ใจ

“ผมแค่คิดถึงเรื่องของผู้กองนาคี สำหรับผมอาจจะคิดมากไป แต่...พอมันเป็นแบบนี้ มันทำให้ผมตระหนักได้ว่า ผมสมควรแล้วหรือที่อยู่มาจนถึงป่านนี้”

หลังมือลูบแก้มชะงักงัน

“ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมมีแต่ผู้กองนาคีที่ตายไปล่ะ เมื่อผมรู้ว่าเขารักผม...ผมก็...”

กลัวที่จะพูดต่อ ภานุกำมือแน่นที่ต้นธาราคิดถึงเพื่อนที่ตายในหน้าที่ ตายเพราะปกป้องต้นธารา ความรักที่ได้แต่เฝ้ามองเงียบๆรักเพียงฝ่ายเดียว ไม่กล้าเอ่ยความรักที่เก็บไว้ออกมา และไม่เคยได้รักตอบแทน

“ไม่ใช่ความผิดคุณ ธารไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองอีก”ปลอบประโลมเสียงอ่อนโยน

ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆ“กลัวกับคำถามของผู้กองนาคีเหลือเกิน....”

“นาคีมันไม่ได้โทษอะไรธารเลย มันดีใจที่คุณมีชีวิตอยู่ นาคีเขาไม่เกลียดหรือโกรธอะไรธารเลยนะ”

ดวงตาชุ่มด้วยน้ำตา มองใบหน้าแกร่งให้กำลังใจ ความรักที่ไม่ทางให้ความสมหวัง กับคนที่ไม่เคยรู้ว่าตลอดมามีความรู้สึกเช่นไร สำหรับคนที่รู้ทุกสิ่งกลับไม่สามารถพูดออกไปได้ มันเป็นความผิดของใครกัน? เขา? ภานุ รึผู้กองนาคี? มันกลายเป็นเรื่องตลกร้าย คนที่น่าจะรักกลับไม่รัก ความรักที่อยู่บนความแค้นมันกลับสานสัมพันธ์มายืนยาว ได้รับความรัก ความอ่อนหวานจากคนที่ทำให้ใจเจ็บปวด เขาไล่ตามความรักที่ไม่คิดว่าสมหวัง

“เดี๋ยวนี้ผู้กองอ่อนโยนขึ้นเยอะ จะว่าไงดีล่ะ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน”

ภานุยิ้มนั่งกุมมือต้นธาราเอาไว้ “แล้วไม่ดีใจเหรอ ที่ผมเป็นผู้ชายโรแมนติก”

“ถ้าคุณโรแมนติก ผู้ชายทั้งโลกคงโรแมนติกหมดทุกคนแน่ๆ”ดวงตาสีดำสนิทมองใบหน้าแกร่ง คลี่ยิ้มละมุนละไม

“ผมก็ต้องเปลี่ยนตัวเองบ้างสิ เพื่อธาร...”ดวงตาฉายความรัก ความสิเน่หา ชายหนุ่มยกหลังมือเคลียคลอ...ได้เท่านี้ก็ดีเหลือเกิน

“นึกว่าท่านนายพลล่อด้วยตำแหน่งผู้พันซะอีก...ผู้กองถึงปากหวานแบบนี้”ต้นธาราเอ่ยเย้าเบาๆ

ภานุหัวเราะก่อนจะย้อนคืน “ผิดแล้วล่ะ...ล่อด้วยตำแหน่ง ‘ลูกเขย’ต่างหาก” คำพูดเย้าหยอกไม่สมนิสัยดุดัน แข็งกร้าว เรียกรอยยิ้มจากต้นธาราได้พอควร

“ธาร คราวนี้คงไม่กลัวอะไรแล้วใช่ไหม? จำไว้ ผจะอยู่ข้างๆคุณตลอดเวลา”ชายหนุ่มย้ำสัญญา ต้นธาราผงกหัว มองร้อยเอกหนุ่มคลี่ผ้าห่มให้ด้วยกิริยาอ่อนโยน“นอนซะนะ ผมจะนั่งอยู่ข้างๆคุณจนกว่าป้าสมจะกลับมา”

ดวงตาอ่อนล้าค่อยๆปิดเปลือกตา จมอยู่ในห้วงนิทราอย่างง่ายดาย ภานุนั่งเงียบๆมองรอบๆห้องพักฟื้น ฟังเสียงลมหายใจสงบในความเงียบงัน

...ยังแข็งแรงดีอยู่ ดีใจเหลือเกิน....

มองดวงหน้าที่ในเมื่อก่อนไม่เคยคิดมองด้วยซ้ำ แต่หัวใจกลับติดบ่วงรัก อยากสัมผัส อยากมองดวงหน้านี้เช่นนี้ตลอดไป ค่อยๆวางแขนลงทาบลำตัวเอาไว้ เกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติ เฝ้ามองด้วยสายตาอ่อนโยนที่สุด

....นาคี ฉันขอร้องให้แกช่วยธารด้วยเถอะ....

นึกถึงเพื่อน ขอให้ดวงวิญญาณเพื่อนรักช่วยเหลือ เสียงนาฬิกาข้อมือดังติ๊กๆ อยากให้เข็มนาฬิกาหยุดเดิน หยุดทุกอย่างเอาไว้ให้ยาวนาน

“ผู้...กอง”

ภานุสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงพร่ำละเมอเรียก มือหนาแตะแก้มซีดขาวเอาไว้ด้วยอาการทนุถนอม

“ธาร...ผมอยู่นี่”ภานุเรียกเบาๆ หากสิ่งที่ทำให้ร้อยเอกหนุ่มตัวแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนแปร...คือคำละเมอ เรียกชื่อของคนที่ตายจากไม่หยุด

“ผู้กองนาคี ผม...ผมขอโทษ”

หงุดหงิดเรื่องของนาคี ทั้งๆที่เคยเป็นเพื่อนรัก รู้แน่แก่ใจว่ารักต้นธารา เขาได้แต่ถอยห่างๆเก็บความรักเอาไว้เมื่อรู้ว่าเพื่อน ‘รัก’ ใคร คุณหมอผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยน อิทธิพลการตายของนาคีทำร้ายจิตใจต้นธาราโดยมีเขาเป็นตัวจุดชวน ได้แต่ยิ้มหม่นๆด้วยความรู้สึกว่ากรรมสนอง ป้าสมเปิดประตูเข้ามาพอดี ทำให้ชายหนุ่มหยุดคิดเรื่องนี้ได้ชั่วคราว

“ขอโทษเจ้าค่ะที่ป้าหายไปนาน”

ภานุลุกขึ้นปั้นยิ้มประดับสีหน้า“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ ผมจะกลับแล้วล่ะครับ”

ภานุยกมือไหว้รีบผลุนผลันออกจากห้องไป ทิ้งให้ป้าสมงงงวย นางมองคุณหนูที่ขมุบขมิบปากก่อนนิ่งไป

...ละเมอ? ถึงใคร?...นางสงสัย อดีตแม่นมจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้คุณหนูของนางเงียบๆ เมื่อเสียงละเมอแผ่วๆหายไปเมื่อต้นธาราหลับลึก

------------------------------------------------

ภานุหยุดอยู่ใต้ลานจอดรถอันสงบเงียบ มองความมืดมิดรอบตัว เดินไปเงียบๆขึ้นรถที่นายพลอรุณจัดไว้ให้ เอนหน้าซบพวงมาลัย ก่อนลูบใบหน้าแกร่ง มองเงากระจกส่องหลัง

“หากธารเป็นอะไรไป กูตามมึงลงไปถึงนรกแน่ไอ้นาคี”

พึมพำราวกับคนบ้าอยู่คนเดียว หัวเสียกับความคิดตัวเอง หึงหวง ริษยากระทั่งคนที่ตายไปแล้ว....ขับรถกลับโรงแรมที่เข้าพัก หลังจากอาบน้ำก็นั่งดูโทรทัศน์ ไม่นานความง่วงจู่โจม ภานุม่อยหลับไปทั้งๆที่ยังไม่ปิดโทรทัศนื รีโมทเลื่อนหลุดจากมือกองไว้บนเตียง

------------------------------------------------

เสียงปืนยังคงดังก้อง เสียงร้องตะโกน ภาพน้ำตาไหลหลั่งริน มองดูร่างไร้ชีวิตของเพื่อน เลือดในกายเย็นเฉียบ ดวงตาเบิกโพลงจับจ้องยังร่างที่นั่งร่ำไห้ ได้แต่กลืนน้ำลาย เบือนหน้าหนีก็มิอาจทำได้

“ไอ้นาคี...”

พึมพำเบาๆ หางตาปรากฏน้ำตาไหลริน ภาพต่างๆหมุนเวียนไป ทั้งเรื่องที่เขาเคยทำร้ายต้นธารา จมอยู่กับปลักความแค้นไม่อาจถอดถอน อยากเอื้อมมือไปหา แต่ทำไมมันช่างห่างไกลไปทุกที ความฝันที่สมจริง มันทำภานุกลัว ตกอยู่ในอาการหวาดหวั่น อยากตื่นจากฝันร้ายเหมือนถูกถ่วงไว้ด้วยหินหนักๆ ปลายแสงจัดจ้า ภาพที่เพื่อนรักตายมันเล่นซ้ำซาก วนเวียน นอนกระสับกระส่าย เหงื่อแตกพลั่งทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศยังทำงานของมันปกติดี สิ้นสุดภาพแห่งความฝันกลายเป็นคำถามที่ดังจากรอบทิศ พยายามมองหน้าในความมืด เห็นเพื่อนรักยืนยิ้มเงียบๆด้วยท่าทีกวน เดินไปหามัน เรียกชื่ออย่างดีใจ

“นาคี..”

ภานุหลงลืมเสียแล้วว่าเพื่อนรักตัวเองตายไปแล้ว ท่าทีของร้อยเอกนาคีเหมือนคนปกติทุกอย่าง เค้าหน้า รอยยิ้ม หากดวงตามันช่างเศร้าสร้อย....นายทหารหนุ่มชะงักเมื่อเอื้อมมือไปแตะบ่าของเพื่อน ภานุมองผิวซีดเซียวและสัมผัสเย็นชืด เสียงหัวเราะในลำคอบาดลึกไปในจิตใจ สั่นสะท้านและเย็นเยือก!

“แกจะปกป้องเขาได้ไหมวะ แกจะเสียสละให้เขาอย่างกูได้ไหม?”นาคีถาม ดวงตามันกังขา เหมือนกับสมัยที่มันยังอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน ภานุอ้าปากจะตอบ ปากเหมือนถูกรูดซิบไว้

“ถ้าแกปกป้องเขาไม่ได้ กูไม่อยากจะบอกว่ะว่ามึงต้องเสีย ‘เพชร’ ในมือไป แต่กูว่า คนอย่างมึงเอา ‘ก้อนกรวด’ไปเหอะ แกคงไม่รู้ว่าต้องดูแลเขายังไง”เจ้าเพื่อนรักเอ่ย หรี่ตามมองใบหน้า ‘กลัว’ เขม็ง ภานุมองสายตาเศร้าๆแตะมือคอยตบบ่าราวกับปลอบใจ

“ฝากดูแลที ฉันไว้ใจแกว่ะ....อย่าทำให้เขาเสียใจ เพราะว่าคุณหมอ...”เสียงเย็น....จับขั้วหัวใจ ภานุไม่ทันฟังจบ เสียงอะไรบางอย่างรบกวนเสียก่อน เหมือนเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังแว่วๆในห้วงฝัน สะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมาปาดเหงื่ออกจากหน้าผาก กายเย็นเฉียบ

“ฝันบ้าอะไร รึว่าไอ้นาคีมาเข้าฝัน ไอ้บ้าเอ้ย!”

สบถอย่างหงุดหงิด ยังจดจำแววตาเศร้าๆได้ และคำพูดสุดท้าย...ดูแล?... แม้จะรู้ว่าเป็นฝันก็ตาม มองที่มาที่เข้าไปรบกวนความฝัน เสียงโทรทัศน์นั่นเอง ภานุคว้านหารีโมทปิดมันก่อนโยนลงบนเตียง ชายหนุ่มเดินมายังมินิบาร์ เปิดจุกเหล้าสาดเข้าคอ ดับอารมณ์กรุ่น มองแสงไฟสีส้มที่เปิดไว้เพียงหัวเตียง ปิดตาให้สนิทนานหลายนาทีก่อนลืมตาตื่นขึ้น ทรุดนั่งเสยผมจนหัวเหอยุ่งเหยิง มองเงาสะท้อนในกระจก มันช่างมืดมัว คำถามดุจเงาตามตัวดังก้องในหัว

ในช่วงระยะที่เข้าใจกัน เขายังมีอะไรไม่ดี นั่งคิด ก่อนยกแก้วเหล้าจิบเพียงอึกเดียว ตั้งแก้วเหล้าลง มองดูน้ำสีอำพันแล้ววาบขึ้นมา

เขาไม่ควรดื่มอีก....

มองน้ำสีอำพันอย่างนึกรังเกียจ แต่มันก็อดไม่ได้ เอื้อมมือแตะแก้วเหล้าที่ยังเหลือครึ่งแก้ว เตรียมจิบให้หายเครียด สุดท้ายเดินเททิ้ง ทรุดนั่งกุมขมับ เงยหน้าสำรวจตัวเอง ดูเถื่อนๆ ดวงตาก็แข็งกร้าว นิสัยก็กระด้าง ไม่เหมือนกับผู้พันชานเนน คนที่เคยอยู่ในกำลังใจต้นธาราช่วยเวลาหนึ่ง ชายผู้นั้นสุภาพทุกกระเบียดนิ้ว ลูบหนวดแข็งๆตัวเอง ดวงตาลึกโหล ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันแน่น เพียงแค่อ่อนโยนเอาอกเอาใจยังไม่พอ เขาต้องเปลี่ยนเพื่อให้ท่านนายพลพิภพที่ไม่เคยไว้วางใจให้มั่นใจตัวเขาด้วย ชีวิตในสมัยอดีตที่มีเพียงตัวเอง มันต่างกันแล้วในตอนนี้... ความทรงจำรางเลือนย้อนไปในวันเก่าๆหลังจากเลิกกับคู่หมั้น จนมาถึงปัจจุบัน เขาเคยทำอะไรให้ใครถึงขนาดนี้บ้างนะ ? อยากทำให้ใครสักคนมีความสุข....ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ลุกขึ้นไปล้างหน้า มองเงาสะท้อนอีกครั้ง

...กูรู้แล้วล่ะว่าต้องทำไงไอ้นาคี กูขอโทษที่มันเป็นแบบนี้ แต่กูก็รักเขา ขอให้กูดูแลเขาแทนมึงนะ...

ภานุกล่าวในใจ ล้มตัวนอน คราวนี้มันช่างหลับง่ายดาย ภานุไม่ได้ยินเสียงแว่วหัวเราะหึๆราวกับไว้วางใจ

------------------------------------------------

รุ่งเช้าภานุตื่นแต่เช้า โกนหนวดออก แต่งตัวเรียบร้อย ผมหวีเรียบร้อย ผิดไปจากทีเคย มองดูในเงากระจกเหมือนกับไม่ใช่ตัวเองเลยแฮะ ตื่นเต้นแบบแปลกๆไม่รู้ปฏิกิริยาของต้นธาราจะเป็นเช่นไร เดินรีบเร่งถือดอกกุหลาบที่ซื้อระหว่างเดินทางมาหาคุณหมอ ลอบมองผ่านกระจก ก่อนเปิดเข้าไปหา ต้นธารายังหลับอยู่ เหลียวหาอดีตแม่นมของต้นธารา พอรู้ว่าไม่อยู่ก็ก่อนก้มจูบหน้าผากเร็วๆ สัมผัสแผ่วๆปลุกให้ต้นธาราลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาพร่าเลือน จมูกได้กลิ่นกรุ่น

...ใคร...ไม่คุ้นตาเลย...ใครนะ...

พยายามเบิกตากว้างพอปรับโฟกัสภาพได้ต้องนิ่งงัน หลับตาลงอีกครั้งอย่างทึ่งๆ ลืมตาขึ้นมา สีหน้าของต้นธาราเป็นไปตามที่ภานุคาดไว้ไม่ผิด

“ผีเข้าเหรอครับ?”ถามอย่างไม่แน่ใจนัก ภานุก็ชักเก้อๆ แก้ขัดเขินด้วยการวางดอกไม้ให้ ต้นธารามองกุหลาบก้านตรงวางไว้ข้างหมอน จับก้านแข็งๆไว้ มองริบบิ้นตกกระทบแก้มอย่างนุ่มนวล

“สวยดีนะครับ ดอกใหญ่ด้วย สีเหมือนเลือดเลย”

วางดอกไว้ที่ได้รับไว้ข้างกาย เชื้อเชิญให้ร้อยเอกหนุ่มนั่ง ภานุทรุดนั่ง ยังไม่พูดโต้ตอบ รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้น เอื้อมมือออกไปหา ภานุจับมือนุ่มเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่สากสัมผัสผิวสะอาด

“ยังไม่ตอบผมเลย ผีเข้ารึเปล่าเนี่ย วันนี้แต่งตัวเหมือนกับไม่ใช่คุณเลย”

“ไม่ใช่ผมหรือไม่ใช่คนล่ะ?”

ต้นธาราพยายามข่มอารมณ์ขัน“เอาเถอะครับผู้กอง...แต่วันนี้คุณ เอ่อ ผู้กอง เอ้อ...”ตั้งใจจะชมวันนี้ดู ‘หล่อ’ แบบผู้ดีไม่เหมือนที่ถูเถื่อน แข็งกร้าวอย่างทุกครั้งก็กระดากปาก ภานุเอียงหน้าเข้ามาใกล้ๆ

“ถ้าเปลี่ยนเป็นจูบจะดีใจกว่าที่คุณออกปากชมอีก”

คุณหมอไม่ยอมทำตาม ใบหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นดวงตาอ้อนออด ลุกขึ้นมองแม่นมแก้เขิน ซึ่งนางเข้ามาได้จังหวะพอดี

“อ้าว นั่นใครเจ้าคะคุณหนู?”

ป้าสมมองชายหนุ่มแต่งตัวได้เนี้ยบ ต้นธาราหัวเราะ ภานุยืนขึ้น

“จำผมไม่ได้หรือครับ”สีหน้าภานุดูกระเรี่ยกระราดชอบกล มองการแต่งตัวของตัวเอง

“อุ้ยตาย!ผู้กองเหรอเจ้าคะ”ป้าสมทำหน้าเหมือนเห็นผี นางก้มมองจรดเท้า วันนี้ผู้กองหล่อเหมือนพระเอกหนังเลย ท่าทีดิบๆเถื่อนไม่มีแม้สักกระผีก

“วันนี้หล่อยังกะพระเอกแน่ะเจ้าค่ะ”

ป้าสมชมเปาะ ภานุเพียงข่มใบหน้าในนิ่งเฉยกับคำชม ดวงตาของคุณหมอเฝ้ามองแล้วแอบยิ้ม....ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ต้นธาราก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ...ผู้กองคงทำเพื่อเขาใช่ไหมนะ? ดวงตาคมดุฉายแววอ่อนโยน รอยยิ้มละมุนตา ย้ำ...ความคิดในใจของต้นธารา ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 14-12-2008 18:15:26
หวานกันนะ  :กอด1:

อยากหยุดแค่นี้จิงๆไม่อยากอ่านต่ออีกแล้ว  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 15-12-2008 11:10:37
อ๊ายยยยยยยยย

ผู้กองโรแมนติก

55555555+

ชอบๆ

ผลตรวจเลือดตรงกันแต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

แหะๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 15-12-2008 13:08:06
ดันๆๆ  ให้คนโพส สุดสวยยยยยยยย

รีบมาต่อนะๆๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-12-2008 18:11:28
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 30 Sweet Memorial/ ความทรงจำแสนรัก (Part 2)

“เราได้ที่พักแล้ว ไปเถอะ”

กิ่งไผ่เอ่ย เมื่อติดต่อกับคนที่ทางหัวหน้าหมู่บ้านได้สำเร็จ ธีรเดชแบกของเดินตามหลัง

“ไว้ใจได้สักแค่ไหน”

กิ่งไผ่หันมาจ้องสีหน้าเปี่ยมเค้าสงสัย ระแวง

“พอที่จะฝากชีวิตได้และพาคุณไปถึงปลายทางที่คุณต้องการ”

ธีรเดชนิ่ง ตามไปเงียบๆ เมื่อพบหน้าคนที่ติดต่อด้วย

“เขาเป็นคนพม่าแต่มาทำงานในชายแดนไทย หากคุณต้องการให้เขาส่งข่าวหาคนของคุณก็สามารถจัดการได้”

ธีรเดชสำรวจท่าทีของอีกฝ่าย

“กระผมชื่อนายจัน มีอะไรให้เรียกใช้เชิญได้ทุกเวลา”นายจันเอ่ยด้วยสำเนียงไทยชัดเจน

ธีรเดชผงกศีรษะ คาดว่ากิ่งไผ่คงจัดการให้แล้ว ไพล่มองใบหน้าเหนื่อยอ่อน นายจันไม่พุดอะไรมากเชื้อเชิญให้กิ่งไผ่และธีรเดชไปยังบ้านพักซึ่งจัดเตรียมให้ เป็นบ้านหลังเล็กๆ พออาศัยซุกหัวได้

“ข่าวที่ฝากไปรับรองจะส่งถึงให้ในไม่ช้านี้ พักให้สบายใจนะขอรับ”

นายจันไม่พูดมาก หลังจากส่งเข้าบ้านก็รีบเดินอย่างเร่งร้อน กิ่งไผ่ทรุดนั่งยังเตียงแคบๆที่มีเพียงหลังเดียวภายในบ้านหลังนี้ ธีรเดชหาที่นั่ง สุดท้ายต้องนั่งกับพื้นแทน มองกิ่งไผ่ที่เหม่อๆไป ธีรเดชจะเอ่ยปากถาม ทว่าร่างกิ่งไผ่กลับลุกขึ้นเดินตรงมายังเขาและผ่านไปยังริมหน้าต่างเอาแต่นั่งนิ่งเงียบมองแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า สีหน้าเหม่อๆปล่อยให้แสงอาทิตย์อาบไล้กลายเป็นสีทอง มองธีรเดชนั่งขัดสมาธิจ้องร่างตน

“ตอนนี้อยู่ในเขตของคุณแล้ว คราวนี้คุณจะกำหนดทิศทางผมอย่างไร”กิ่งไผ่เอ่ย

ธีรเดชเงียบงัน ใบหน้าเหนื่อยอ่อนหมุนตัวไปยังเตียง รื้อของออกจากกระบุงเป็นชุดที่ใส่แล้วขยับกายได้คล่อง ธีรเดชมองชุดที่ร่วงบนพื้น เบือนสายตาหนีจากมัน เคยแนบกอดร่างไว้ในอ้อมแขน มาบัดนี้ต้องทำไม่รู้สึกอะไร กิ่งไผ่แต่งตัวเสร็จล้มตัวนอนนิ่งๆ ทำเหมือนกับว่าหลับ ฝ่ายธีรเดชไม่อยากกวนจึงนั่งมองออกไปข้างนอกเงียบๆ มาถึงยังฝั่งไทยแล้ว เขาจะทำเช่นไรต่อ? มองร่างหลับสนิทด้วยใจอันหนักอึ้ง คิดหนัก ทั้งๆที่รู้แน่แก่ใจว่าควรทำอะไร รู้...แต่มันยังอึดอัด หรืออาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ แสงอาทิตย์สนธยาค่อยๆลาลับ ธีรเดชลุกขึ้น สายตาที่มองผ่านเงาของผมปกปิดเป็นสายตาอ่อนล้า ดวงตาเหม่อลอย ธีรเดชออกไปข้างนอก กิ่งไผ่ลุกขึ้น ชันเข่า ซุกหน้ากับหัวเข่า ปรายตามอง ถอนใจกับความเงียบงันที่เกิดรอบกายตัวเอง

“อ้าว ตื่นแล้วรึ นอนไปนิดเดียวเองไม่ใช่เหรอ?”

ธีรเดชโผล่หน้าออกมา เปลือยท่อนอก ช่วงล่างมีผ้าขาวม้าพันลวกๆ กิ่งไผ่สะดุ้งโหยง ตกใจที่มีคนมาขัดจังหวะ

“อากาศร้อนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร”กิ่งไผ่บ่นเบาๆ

นิ้วแกร่งชี้ไปยังโอ่งข้างบ้านหลังเล็ก“อาบน้ำสิ น้ำเย็นดีนะบางทีอาจจะช่วยคลายร้อนได้”

กิ่งไผ่มองตามมือ รับคำในลำคอ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง หยดน้ำบางส่วนไหลสู่พื้น เรือนผมเปียกชื้นเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน กิ่งไผ่ลงจากเตียงแคบๆ ผ่านชายหนุ่มไป เสี้ยวหน้าดูเหน็ดเหนื่อย ยิ่งล้า

“หน้าตาคุณดูไม่ดีเลย ผมว่าพักสักหน่อยน่าจะดี”

กิ่งไผ่ครางฮือ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”หันมาถามอย่างเป็นห่วง

“เปล่า”

ตอบเสียงเบา เดินผ่านชายหนุ่มไปยังโอ่งน้ำ ธีรเดชเดินมาดู ใบหน้าแกร่งโผล่พ้นขอบประตู มองกิ่งไผ่ตักน้ำล้างหน้าซีดๆ

“อะไร?”

ใบหน้าชุ่มน้ำเงยขึ้น ดวงตาสีดำหยีมอง ธีรเดชส่ายหน้า เดินไปเปลี่ยนเสื้อ นั่งคิดเรื่องที่ทำให้อึดอัดใจต่อ

------------------------------------------------

กิ่งไผ่มองราตรีสีดำ ทรุดนั่งยังตั่งไม้ตัวเล็กๆ มองน้ำไหลเจิ่งนองอยู่บนผิวดิน ความมืดค่อยๆครอบงำรอบกาย เสียงแมลงที่เคยร้องระงมกลับเงียบเชียบ ปล่อยให้รู้สึกโหวงเหวง ดวงตาสีดำมองแสงสว่างภายในบ้าน ธีรเดชโผล่หน้าออกมาเมื่อเห็นว่ากิ่งไผ่อาบน้ำนานเกินไป เดินมาดูตัวความเป็นห่วง แตะต้นแขนของคนที่นั่งเหม่อ

“อ้าว ยังไม่อาบน้ำอีกหรือ”

ธีรเดชถาม มองใบหน้าในเงาสลัว กิ่งไผ่ลุกขึ้นตามแรงดึง บิดมือออกอย่างนุ่มนวล

“เดี๋ยวก็จะอาบเอง มีธุระอะไรล่ะ?”

เสียงเบาคล้ายระโหยโรยแรง ธีรเดชเป็นห่วง ยกมือแตะหลังหน้าผาก

“ว่าแต่คุณเถอะ แผลคงไม่เจ็บแล้ว”มือบางแตะบาดแผลของธีรเดช

“ไม่ มันไม่เจ็บหรอก”

กุมมือบางเอาไว้ ยิ้มให้ มือบางเลื่อนแตะบ่า ดวงตาอ่อนโยน

“ดีแล้วล่ะ”ลดมือลง หันไปทางโอ่งน้ำ ธีรเดชเขยิบเข้าไปใกล้

“หิวหรือเปล่า เห็นว่านายจันเตรียมของแห้งไว้ในครัวให้ ทำทานซะ”กิ่งไผ่บอก เดินเข้าบ้าน ธีรเดชเดินตามไม่ห่าง กิ่งไผ่หยิบผ้าเช็ดตัว มองธีรเดชที่ยืนอยู่เบื้องหลังตัวเอง

“มีอะไร ไม่หิวข้าวรึ?”กิ่งไผ่ถาม ขมวดคิ้ว แต่แล้วก็พูดเหมือนนึกอะไรได้”หรือว่าทำไม่เป็น”ดวงตาของกิ่งไผ่ฉายด้วยความประหลาดใจ

“เป็น แต่ว่าคุณ....”ธีรเดชเอ่ย

กิ่งไผ่ยิ้ม“ผมทำไม?”

ธีรเดชพูดไม่ออก ชายหนุ่มกะว่าจะพูด พอเห็นดวงตาสีดำสนิทแล้วเกิดอาการพูดไม่ออก

“เปล่า ไม่มีอะไร หิวแล่วใช่ไหม งั้นผมไปทำกับข้าวก่อนนะ”เดินเลี่ยงไปเงียบๆ กิ่งไผ่มองตามร่างสูง อยากรู้...ว่าชายหนุ่มจะพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าหากรู้ก็คงเจ็บปวด

ธีรเดชมองหม้อหุงข้าว โชคดีที่ยังมีหม้อไฟฟ้าให้ใช้ หุงข้าวเสร็จก็หันไปมองของแห้งและไข่ที่นายจันจัดไว้ให้ ลงมือทำกับข้าว ทอดไข่ ทอดปลาแห้งตั้งไว้บนโต๊ะ กิ่งไผ่เดินเช็ดผมตามกลิ่นหอมเข้ามา


“ผมทำได้แค่นี้ หวังว่าคงกินได้นะ?”

ธีรเดชถือกระทะ ท่าทางดุเขินๆที่เห็นสายตากิ่งไผ่จับจ้องมายังจานสังกะสี

“ได้ อันที่จริงผมก็ไม่ได้หิวเท่าไรหรอก”

ทรุดนั่งยังเก้าอี้ ชายหนุ่มมองดูนายทหารหนุ่มจัดแจงตักข้าวสวยร้อนๆตั้งไว้ตรงหน้าให้

“เพิ่งเคยมีคนทำให้กินนะนี่”

ธีรเดชถือช้อนสังกะสีชะงักค้างไว้“ปกติทำกินเองรึ แล้วพ่อแม่ไม่...”จะเอ่ยถามต่อ เห็นแววตาเศร้าๆจึงเงียบเสีย

“ไม่มี ท่านเสียไปแล้ว”

กิ่งไผ่พูดห้วนๆ ธีรเดชผงะไป

“ผมขอโทษ”

รู้ว่าคงทิ่มแทงใจ กิ่งไผ่วางช้อนลง ดวงตาสีดำขุ่นมัวพยายามทำให้สดใส ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของพ่อแม่ ความแค้นพวยพุ่งจนอยากกลับเวียงนวรัฐะทันที

“ช่างมันเถอะ”

ในที่สุดกิ่งไผ่ก็สูดลมหายใจลึกๆ เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเคย นายทหารหนุ่มวางช้อนลง มองสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความคลั่งแค้น

“มีอะไรก็พูดออกมาได้นะ ผมยินดีรับฟัง”

“ถ้าผมอยากกลับฝั่งไหนล่ะ?”

ธีรเดชหน้าเสียทันที

“แค่พูดเล่น ในเมื่อผมรับปากไว้แล้ว ผมก็จะทำตามที่ให้สัญญาไว้”

กิ่งไผ่ตักข้าวเข้าปาก ธีรเดชมีสีหน้าโล่งใจ ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ

หลังจากเสร็จมื้อเย็น นายทหารหนุ่มจากไทยก็เป็นฝ่ายล้างจาน เดินออกจากครัว มองเสี้ยวหน้าเหม่อออกไปยังเบื้องนอกที่มืดมน ดวงดาวประดับท้องฟ้า แม้เปล่งแสงแต่มันคงด้วยความเหงา เปล่าเปลี่ยวใจ

“ผมจะนอนแล้วนะ”ธีรเดชบอกเบาๆ พลางล้มตัวนอนบนพื้นห้องโดยมีเพียงผ้าผวยเล็กๆคลุมกายใหญ่

“ขึ้นมานอนบนนี้ก็ได้ผมไม่อยากเห็นแก่ตัว”กิ่งไผ่กล่าว มองที่นอนที่ยังว่างพอที่จะให้คนร่างใหญ่ได้หลับใหล

“ไม่ล่ะ ผมนอนบนพื้นแหละดีแล้ว”

ธีรเดชปิดเปลือกตา ไม่อยากพูดมาก กิ่งไผ่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร เขายังคงมองออกไปเบื้องนอก ดวงตาหรี่ลงคล้ายกับจะมองข้ามฝากฟ้า ดวงตาคู่นั้นร้อนแรง เคลือบด้วยความแค้นใจ ลุกขึ้น ปิดหน้าต่าง วางแผนอนาคตตัวเอง มาถึงที่นี่ เขารู้ว่าคงยากที่จะสลัดหลุด และอีกฝ่ายคงคุมเขาไม่ปล่อย มองเสี้ยวหน้าหลับใหล ความรู้สึกตอนนี้ มีแต่งานที่ต้องปฏิบัติอยู่เต็มหัว ความรู้สึกส่วนตัวได้แต่เก็บไว้ส่วนลึก

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-12-2008 18:12:17
“บัดซบ พวกมึงทำงานกันยังไง คนแค่คนเดียวยังตามจับไม่ได้”นายกฤษดาอารมณ์เสีย ได้รับรายงานการทำงานล้มเหลวของลูกน้อง

“แบบนี้กูจะไปรายงานนายยังไงห๊า”นายกฤษดาตวาดลั่น เคืองขุ่นกับการที่ลูกน้องทำงานสะเพร่า

“พวกผมพยายามเต็มที่แล้วครับนาย”

“มึงพยายามทำเต็มที่กันแล้วเรอะ ตั้งแต่พวกมันถล่มค่าย หนีไปได้รู้ไหมกูเสียหน้าขนาดไหน”กฤษดามองดูลูกน้องด้วยสายตาน่ากลัว

“นายครับให้พวกเราเริ่มใหม่เถอะครับ”ลูกน้องตัวสั่นระริก

“เริ่มใหม่รึ มึงจะให้กูเริ่มอะไรใหม่ มึงจับลูกชายนายพลมาไม่ได้ ปล่อยให้มันหนีไปไหนไม่รู้ มึงรุ้ไหมว่ามันกระทบต่อธุรกิจเราเพียงใด?”

ลูกน้องหลบสายตากันวูบ

“เดี๋ยวกูจะไปพบร้อยเอกราเชนทร์ พวกมึงก็อย่าให้กูเห็นหน้าอีกสักระยะ ไม่งั้นหน้าพวกมึงจะกวนต่อมยั๊วะกูอีก”กฤษดากระแทกเท้าจากไป
------------------------------------------------

นายกฤษดามาพบกับร้อยเอกราเชทร์ สีหน้าหลุกหลิกของราเชทร์ กฤษดาจับจ้องอย่างเย็นชา

“มีอะไรกฤษดา”

กระแทกกายนั่งยังโซฟา มองอดีตทหารจากไทยที่หลบหนีเข้ามาในพม่าในคดียาเสพติด อาศัยใบบุญของนายพลคะฉิ่นคุ้มหัวจึงรอดพ้นจากการจับกุมและเข้ารวมกลุ่มกับเขาส่วนลูกชายยังรับราชการอยู่ที่ไทย ถือได้ว่าเป็นลูกน้องแต่บัดนี้ดูหยิ่งผยอง

“มีข่าวแจ้งจากนายพลอินคาน”นายราเชนทร์ว่า พลางนั่งอย่างคนที่เหนือกว่า ทั้งๆที่ซมซานมาพึ่งใบบุญกลับทำท่าเหมือนคางคกขึ้นวอ นายกฤษดาโกรธแต่อีกฝ่ายบอกว่ามีเรื่องมารายงานจำต้องนิ่ง

“อะไร?”

ดวงตากฤษดามองใบหน้าเจ้าเล่ห์ หงุดหงิดที่อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ เขาทำงานพลาด มันจึงได้เจ็บใจที่ราเชนทร์เหมือนเยาะเย้ย

“ตอนนี้พบตัวนายพลอินคานแล้ว รอเวลาจับหนูใส่กรงเท่านั้น”

ดวงตาของกฤษาดาโพลง“ว่าอะไรนะ?! เจอตัวนายพลอินคานแล้ว?”

ราเชนทร์ผงกศีรษะ นั่งอย่างผึงผายเพราะได้รับความชอบใจจากนายพลคะฉิ่นเต็มๆ

“ใช่ เราได้รับจดหมายจากนายพลอินคานที่ส่งไปหาสหายเก่า ระบุว่าอยู่ที่ไหน”

รอยยิ้มคลี่ออกราวกับเยาะหยัน กฤษดากำมือแน่น

“เรื่องนี้นายพลคะฉิ่นรู้รึยัง”

“รู้แล้ว ตอนนี้กำลังสอบถามคราวข่าวเพิ่มเติมจากบริษัทอีสต์เอเชียที่เป็นคนได้รับจดหมายฉบับนี้อยู่ แล้วเรื่องลูกชายของนายพลอินคานเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

หลิ่วตาให้กับคนที่แพ้ กฤษดาขบฟันกรอด


“ยังไม่ได้ตัวมัน มีข่าวอะไรอีกไหม?”เอ่ยถามเสียงห้วนสั้น

นายราเชนทร์ยิ้มกระหยิ่มกระย่อง“ตอนนี้ทางฝั่งไทยกำลังร่วมมือกับรัฐบาลพม่าเกี่ยวกับเรื่องทางทหารไทยถูกโจมตี คงไม่พ้นเรื่องของแกอย่างแน่นอน”

กฤษดามอง นายราเชนทร์ลุกขึ้น ปฏิบัติคนที่เคยช่วยเหลืออย่างเย็นชา

“มีข่าวมาบอกแค่นี้แหละ แล้วอย่าลืมรายงานข่าวแกให้กับนายพลด้วยแล้วกันล่ะ”สายตาทิ้งท้ายหยันๆ

กฤษาดาแค้นแทบกระอักเลือด ทำอะไรมันไม่ได้เพราะมันย่อมได้รับความคุ้มครองจากนายพลคะฉิ่น

“กูจะเข้าเมืองเอารถจิ๊ปออก”

นายกฤษดาตะโกนลั่น ลุกน้องทำตามอย่างหวาดๆ

“นายจะออกไปไหนครับ”ลูกน้องถาม

“กูจะออกไปพบนายพลคะฉิ่น”สั่งแค่นั้นก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

------------------------------------------------

“คุณยังมีหน้ามาพบผมด้วยรึคุณกฤษดา”นายพลคะฉิ่นได้รับแจ้งว่ากฤษดามารายงานเรื่องของกิ่งไผ่และท่านนายพลอินคานมองอย่างระอา “ลูกน้องของคุณมันยังทำงานได้ดีกว่าคุณเลย มาบอกเรื่องของนายพลอินคานแก่ตัวผมเองทั้งๆที่ไม่ได้ร้องขอ”

คำต่อว่าต่อขานทำให้กฤษดากำมือแน่นต่อลูกน้องทรยศ

“ผมทำพลาดไป ต้องขออภัยแก่ท่านด้วย”

นายพลลุกขึ้น มองสีหน้าหล่อเหลาอย่างเพ่งพิจ ดวงตาดั่งอสรพิษจับจ้องท่าน

“ผมอุตส่าต์ช่วยเปิดทางการค้ายาเสพติดให้กับคุณ ผมได้รับค่าตอบทนยังไม่คุ้มเท่าที่ต้องเสี่ยงเลย”นายพลคะฉิ่นกล่าว จ้องมองชายหนุ่มยื่นทำหน้านิ่งเฉย

“เรื่องนายพลอินคานผมไม่เดือดร้อนอะไรแล้ว แต่เรื่องของลูกชายของเขา กิ่งไผ่...มันเป็นหนามเสียดแทงใจผมน่าดูเลยทีเดียว”
“ผมรับรองว่าจะจับมาให้ได้ครับ เพื่อเป็นของกำนัลสำหรับท่าน”

“ผมจะคอยรับฟังข่าวดีก็แล้วกัน”

สายตาของนายพลคะฉิ่นบ่งบอกถึงความไม่ไว้วางใจในตัวของกฤษดาเท่าไรนัก

“ขอบคุณครับท่าน”

มองนายพลทรราชเดินเข้าไปยังห้องชั้นใน ผู้พันฮามซึ่งจับจ้องแขกที่ขอเข้าพบตลอด ผายมือเชิญให้ออกไปทางอ้อม กฤษดาเดินออกจากห้องโดยมีฮามตามติดออกม สีหน้าของกฤษดานายหน้าค้ายาเสพติดดูไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฮามหยุดมองเมื่ออีกฝ่ายกระแทกเท้าเดินขึ้นรถจิ๊ปอย่างอารมณ์เสีย ก่อนขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ฮามก้าวกลับเข้าห้องทำงานของนายพลคะฉิ่น เสียงหัวเราะต่อกระซิกยังแว่วๆมา ท่านนายพลคะฉิ่นมิวายเย้าหยอกกับสาวๆเช่นเคย สายตาของฮามมองบนโต๊ะเอกสาร เหลือบมองทหารที่อยู่อารักขาหน้าห้อง จึงทำท่าทีปกติเสีย สายตาทหารอารักขาจับจ้องตามจังหวะก้าวเดิน ผู้พันฮามทำท่าว่าร้อนใจในบางเรื่องจนหนึ่งในทหารอารักขาอดถามไม่ได้

“ผู้พันเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร”

รู้ดีว่าควรออกไปได้แล้ว ผู้พันหนุ่มจึงเดินออกจากห้องทำงานของนายพลคะฉิ่น มองประตูปิดสนิท นายพลคะฉิ่นไม่ชอบให้ใครไปยุ่งกับห้องทำงานสักเท่าไร ทั้งยังมีทหารอารักขาเข้ม ถอนใจเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำมันยากเกินควร

------------------------------------------------

แม้จะดึกขนาดไหน กิ่งไผ่ก็ยังไม่อาจข่มตาหลับ...เพราะอะไร ได้แต่ถามตัวเอง ลุกขึ้นจากเตียงมองธีรเดชที่หลับเป็นตาย ลุกจากเตียงย่องออกไปจากห้องเงียบๆ

“หากจะหนีตอนนี้ทางสะดวกสินะ”

พึมพำกับตัวเอง ความคิดที่อยากหนีผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆที่เคยตัดใจ มองจันทร์เสี้ยวประดับฟ้า

“พ่อ...พ่อคงปลอดภัยดี”

พึมพำอย่างปวดใจ ความกังวลที่ห้ามเก็บไว้เผยออก...เจ้าขิ่นเอ็งคงดูแลพ่อข้าเป็นอย่างดี...กิ่งไผ่มองท้องฟ้า หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน ธีรเดชนอนพลิกกาย ผ้าพวยผืนเล็กหลุดจากตัว ก้มไปห่มให้ มองเสี้ยวหน้าอ่อนโยน นึกถึงรสจูบแผ่วละมุนราวปลอบประโลม หัวใจมันก็ด้านชา ทรมานใจ เพราะต้องเลือกแล้วว่าจะอยู่ตรงนี้รึยอมทรยศคำมั่นสัญญา หนีจากไปไม่ต้องหวนมาพบกันอีก... เมินหน้าหนีจากใบหน้าอ่อนโยน ความรู้สึกดีๆที่เอ่อล้น มัน...ทำใจอ้างว้าง ไม่น่ามีความรู้สึกนี้ขึ้นมาเพราะมันทำให้ตัดสินใจทรยศได้ยากขึ้น เหม่อชั่วขณะ.... กิ่งไผ่ลุกขึ้นทอดถอนใจ ในความเงียบงันเขาได้แต่อยู่กับความในใจอันมืดมน

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 15-12-2008 20:15:22
คู่นี้ก็นะ สงสารไผ่  :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 15-12-2008 23:29:35
ลูกผีลูกคนมากมายคู่นี้ :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 16-12-2008 19:02:51
คู่หมอธารกับหมวดภาณุก็ไปด้วยดี หวังว่าคงจะไม่มีอะไรอีกแล้ว จะได้หวานกันสักทีแบบเต็มๆ
แต่คู่กิ่งไผ่กับธีเดชเนี่ย ความในใจยังลึกลับดำมืด ยังต้องลุ้นกันจนตัวโก่ง แถมยังเค้นอารมณ์
คนอ่านอีกตามเคย โอ๊ยๆ เครียดๆๆ กับคู่นี้ หวานอมขมกลืนกับคู่นี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-12-2008 19:28:02
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 31 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART3)

ต้นธาราดูกระสับกระส่ายไม่น้อยเมื่อต้องเข้ารับการปลูกถ่ายไขกระดูก แม้ว่าเขาจะรู้ล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์แล้วก็ตาม ในใจก็อดประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ ภานุได้แต่ปลอบ ตัวชายหนุ่มเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ทั้งคู่รอนายแพทย์อดิเรกซึ่งเป็นแพทย์รับผิดชอบต่อการรักษาของต้นธารา นายแพทย์อดิเรกยิ้มมาแต่ไกล สีหน้าเซียวๆจับจ้องยังใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มซึ่งเข้ามาดูและเอ่ยอธิบายเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้แก่คนขี้กังวลเป็นครั้งสุดท้าย ภานุรับฟังหลายรอบแล้วแต่เขาก็ยังกลัวว่ามันอาจล้มเหลว เขาได้แต่เก็บความรู้สึกนี้ไว้เงียบๆ นับตั้งแต่สิ้นกระบวนการบริจาคไขกระดูกของเขาแล้ว......ความเครียดที่น่าจะลดลงกลับเพิ่มมากขึ้น

“”เดี๋ยวคุณหมอธารต้องไปตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำBMTนะครับ”

ต้นธาราตามนางพยาบาลไป เขาหันมองภานุและป้าสมเป็นครั้งสุดท้าย ภานุสบสายตาด้วย สายตากร้าวมั่นคงสบมองให้กำลังใจ รอยยิ้มบนสีหน้าแม้ว่ามันจะดูเครียด สำหรับต้นธาราแล้ว มันอุ่นใจไม่น้อย เขามองจนกระทั่งภานุลับตาจึงอยู่นิ่งๆ

“คุณหนูจะหายไหมคะ ป้ากลัวเหลือเกิน”ป้าสมเป็นกังวล นางบิดมือไปมา ดวงตาของนางจับจ้องยังทิศทางที่คุณหมอต้นธาราไป

“ทีมแพทย์ชำนาญครับ ไม่ต้องกลัวว่าธารจะไม่หาย”ภานุพูดราวกับจะปลอบตัวเองด้วย สายตาปรายมองไปทางที่ต้นธาราหายไปเช่นกัน

“เดี๋ยวป้าโทรไปรายงานท่านนายพลก่อนนะคะ”

ป้าสมเดินไปยังห้องพักผ่อนของต้นธารา ภานุเดินตามหลัง ชายหนุ่มเอามือล้วงกระเป๋ามองตัวเองในกระจก ใบหน้าเข้มดูกังวลจนเห็นได้ชัด ชายหนุ่มจัดผมเรียบแปล้ เขาต้องอดทน ...ชายหนุ่มไปนั่งรอที่ห้องผ่าตัดคิดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากการบริจาคไขกระดูกให้ มันไม่เท่าความเครียดขรึมและกลัวความเจ็บปวดของต้นธาราที่อยู่ในใจเลย เขารอคอย บางทีก็ลุกขึ้นเดินไปมา ป้าสมเดินมาหายิ้มอ่อนๆ

“ผู้กองไปพักก่อนเถอะค่ะ ดูสีหน้าสิ”

ภานุเงยหน้ามองนาง“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ อยากรออยู่ที่นี่”ชายหนุ่มตอบ หากป้าสมทำหน้าไม่สบายใจ

“เอ่อ แล้วท่านนายพลท่านว่าอย่างไรบ้างครับ”

“ท่านขอบคุณผู้กองมากค่ะที่ช่วยชีวิตลูกชายท่านเอาไว้ค่ะ ท่านโล่งใจเหลือเกิน”

ภานุยิ้มเซียวๆกับคำพูดนั้น เขาก้มหน้ามองพื้น อย่างน้อยๆก็ลดข้อขุ่นเคืองใจในใจของท่านนายพลได้บ้าง

“อีกกี่ชั่วโมงหนอที่คุณหนูจะผ่าตัดเสร็จ”

นางทรุดนั่งข้างๆ ภานุมองไฟห้องผ่าตัดสว่างวาบ เวลาเคลื่อนไป รู้สึกอึดอัดในใจ ภานุเดินไปเดินมา มองป้าสมเป็นระยะๆซึ่งอดีตแม่นมของต้นธาราก้มหน้าเงียบๆ

“ขอให้คุณหนูผ่าตัดสำเร็จเถอะ”

นางภาวนาซ้ำซากอยู่แบบนั้น ภานุคำนึงถึงความฝันที่เพื่อนรักมาหา ความกังวลยิ่งเพิ่มขึ้น

...ไอ้นาคี กูขอให้มึงช่วยเขาเถอะ....

ชายหนุ่มเครียดเคร่งจนรู้สึกปวดกระเพาะ ยามรบเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย มาเวลานี้เขากลับรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก พอรู้สึกว่าใกล้จุดระเบิดเต็มทน เขาก็เตรียมเดินออกไประงับสติ ไฟห้องผ่าตัดดับลง ภานุจึงชะงัก

“คุณหมอเป็นอย่างไรบ้างครับ”

ถามหมอที่ออกมาจากห้องผ่าตัด นายแพทย์อดิเรกยิ้มเป็นสัญญาณของข่าวดี

“การปลูกถ่ายไขกระดูกประสบความสำเร็จครับ”

ป้าสมยิ้มโล่งใจยกมือพนมขึ้นสูง ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์วุ่น ภานุยิ้มออกมาได้ เหมือนภูเขาหนักๆถูกยกออกจากอก เขาทรุดนั่งลงคล้ายอาการเข่าอ่อน

“ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มพึมพำเสียงแห้งแล้ง

“คุณหมอธารอาจจะต้องอยู่ห้องปลอดเชื้อเพื่อดูผลการปลูกถ่ายและกันไม่ให้ติดเชื้อ ญาติอาจเข้าเยี่ยมไม่ได้สักระยะนะครับ หลังการปลูกถ่ายไขกระดูก คนไข้อาจจะรู้สึกโดดเดี่ยว ญาติต้องให้กำลังใจมากนะครับ”

ภานุและป้าสมรับคำ มองเตียงซึ่งถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด สีหน้าซีดเซียวที่ได้เห็น ภานุสงสารจับใจ ป้าสมตามติดไปยังห้องปลอดเชื้อ มองเตียงต้นธาราถูกเข็นเข้าไปภายในนั้น ภานุที่ตามหลังมาติดๆมองผ่านกระจกเข้าไป คอตก

“อีกกี่วันถึงเข้าเยี่ยมได้ค่ะ?”ป้าสมถามนางพยาบาล

“สองอาทิตย์ค่ะ”

นางพยาบาลตอบ ก่อนปฏิบัติหน้าที่ของตน ภานุมองหน้าป้าสม

“นานจังเลยครับ”เขาพึมพำเพราะไม่อาจอยู่นานถึงขนาดนั้นได้

“ผู้กองรีบหรือคะ ถ้าอย่างนั้นกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเข้าเยี่ยมคุณหนูได้เมื่อไร ป้าจะบอกให้ค่ะ เอ่อ...แล้วก็ขอบคุณผู้กองมากเลยนะคะที่ช่วยชีวิตคุณหนู”

ชายหนุ่มผงกหัว มองห้องปลอดเชื้อก่อนอำลาป้าสมทั้งๆที่ไม่อยากจากไปตอนนี้

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-12-2008 19:29:30
รู้สึกมึนหัว ทุกอย่างเบลอ...ดวงตาสีน้ำตาลลืมขึ้นมา มองรอบๆกาย ถอนใจเล็กน้อย รู้สึกขยับตัวไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก กระพริบตาถี่ๆเมื่อรู้สึกว่าอยู่คนเดียว แทนความกลัวเขากลับรู้สึกสงบ มันสงบเงียบคล้ายกับความรู้สึกที่ก้าวข้ามความตาย ความเหนื่อยล้าเกาะตามร่างกาย รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ มองประตูเปิด นางพยาบาลชุดขาวกก้าวเข้ามาพร้อมกับยา ต้นธารามองเธอยิ้มให้ เขานอนนิ่งๆไปปล่อยนางพยาบาลตรวจ

“ช่วงสอง-สี่สัปดาห์หลังปลูกถ่ายอาจทรมานหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะมาดูอาการทุกสองชั่วโมงนะคะ”

ต้นธาราผงกศีรษะ เขาได้รับฟังจากปากนายแพทย์อดิเรกแล้ว และเขาต้องอดทนเพื่อให้ผ่านช่วงนั้นไป

“อาจจะต้องอยู่ตามลำพังสักระยะโดยที่ญาติยังเข้าเยี่ยมไม่ได้”

รอยยิ้มของนางพยาบาลอ่อนโยน ดวงตาต้นธาราดูหมองๆขึ้นมา

“พักนะคะจะได้หายเร็วๆ”

พอเสร็จการตรวจนางพยาบาลออกไป ต้นธาราอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาเลือกที่จะหลับมากกว่าที่จะตื่น เพราะกลัวความเงียบเหงา
------------------------------------------------

ต้นธาราหลับไปและตื่นขึ้นมาหลายรอบ เขาหลับไปค่อยสนิทเลยเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มันเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา จะนอนก็นอนไม่เต็มตา เขาทรมาน หากต้องอดทน มองความมืดสลัว เหลียวหาป้าสมก็นึกออกว่าตัวเองอยู่ในห้องปลอดเชื้ออยู่ กระวนกระวายเหมือนถูกทิ้งอยู่ตัวคนเดียว คิดถึงภานุ คนๆนั้นไปไหนนะ? ถามตัวเองในใจ อยากได้คำตอบแต่ก็เหลือเพียงความเงียบงัน ต้นธาราอ่อนล้า เขาลองขยับมือจะฝืนลุกขึ้นก็ไม่อาจทำได้ นอนนิ่งๆ ดวงตาสีดำสนิทกระพริบถี่ๆ อาการคลื่นไส้อาเจียนถาโถมมาเป็นระรอก ได้แต่นอนร้องไห้เงียบๆ นางพยาบาลเข้ามาดูเมื่อได้ยินต้นธาราเรียก เธอเรียกนายแพทย์อดิเรกมาดูอาการ ซึ่งนายแพทย์อดิเรกตรวจอาการด้วยความรวดเร็ว

“คงเป็นอาการขับอวัยวะแปลกปลอม เตรียมเลือดและยาด่วน”

นางพยาบาลรีบจัดเตรียมตามที่นายแพทย์อดิเรกสั่ง

“อดทนหน่อยนะครับ”

ต้นธาราไม่รับฟัง เขาร้องด้วยความเจ็บปวด เขามองรอบข้างอย่างเบลอๆ เห็นเงาคนรอบกาย มองด้วยสายตาพร่าเลือน ต้นธารารู้สึกเจ็บตรงแนวข้อมือ เขากลั้นน้ำตา เห็นเงานายแพทย์อดิเรกก้มมองลงมา พลางเอ่ยปลอบโดยที่ต้นธาราก็ฟังไม่ออกเพราะในหัวมึนงง

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

นางพยาบาลบอก นายแพทย์อดิเรกผงกศีรษะ มองใบหน้าตีความเจ็บปวด ท่อนแขนเกร็ง สีหน้าซีดเหมือนซากศพที่ยังหายใจ

“คอยดูอาการไปอีกสักระยะ”

พอทุกอย่างจบลง ต้นธาราอยู่ตามลำพังเช่นเคย เขาตาปรือ อาการจากฤทธิ์ยาทำให้สมองเบลอและพร่าเลือน น้ำตาไหลออกจากหางตา

“พ่อ...”เรียกขานชื่อของบิดา ต้นธาราเหลียวมองหา เขาอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่ที่ค่ายนั้น พ่อกำลังติดงาน “แม่...”เขาร่ำร้องหามารดาเหมือนกับเด็กๆที่โหยหามารดาจับใจ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

------------------------------------------------

ภานุเดินทางกลับไปยังค่าย เขาถือกระเป๋าลายพรางกระชับแน่น มองดูรถโดยสารที่จะขึ้นไปยังเหนือ ในใจก็คิดถึงต้นธารา เขาก้าวขึ้นรถ เกือบบ่ายที่เขาได้ออก ชายหนุ่มทรุดนั่งที่ริมหน้าต่างมองดูอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า รู้สึกว่าวันเวลามันผ่านไปช้าๆ

“ธาร...เอาไว้ผมเสร็จงานก่อนนะ คุณต้องเข้มแข็ง เพื่อผมนะธาร...”

เขาพึมพำ รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีกรุงเทพฯ สายตาคมเข้มจับจ้องออกไปเบื้องนอกตลอดเวลา เย็นย่ำรอบกายเงียบสงบ ภานุเอาแต่คิดถึงคนที่อยู่ที่โรงพยาลก็คงไม่ต่างอะไรจากคนที่นอนพักอยู่.....ชายหนุ่มมองความมืดนอกรถ หลับไปเพราะอ่อนเพลีย สะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อรถจอดส่งผู้โดยสารตามรายทาง เขาหรี่ตาลงเมื่อประสบกับไฟสว่างจ้า

“คงถึงนั่นราวๆตีสาม”

มองนาฬิกาข้อมือ กะเวลาไว้ในใจ รถเคลื่อนตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มเอนหลังติดเบาะ กอดกระเป๋าแน่นเพื่อจะหลับให้สบายต่อ ภานุกลับนอนไม่หลับเสียแล้ว ตื่นเต้มตามองดูความมืดมิด ใบหน้าของต้นธาราโผล่ขึ้นมา กลัว...ที่จากกันมาโดยที่ยังไม่ได้พบหน้าหลังผ่าตัด คิดอยู่แบบนั้น วนเวียนไปมาจนตัวเองง่วงงุนผล่อยหลับไป

------------------------------------------------

ถึงสถานีเชียงราย ชายหนุ่มขนกระเป๋าลงจากรถ ห่อไหล่เพราะลมหนาวพัดอู้ ชวนให้นึกถึงร่างอุ่นๆของต้นธารา ตอนนั้นเขายังไม่ได้พาต้นธาราไปดุประเพณีของชาวเขา เอาแต่ทะเลาะกัน กว่าจะเข้าใจ มันก็เกือบสายไป เขารัก...ยิ่งรักมากขึ้นเมื่อรู้ว่าต้นธารานั้นรอคอยเขามานานแค่ไหน หารถกลับไปยังค่าย นั่งซึมไปตลอดทาง มองท้องฟ้ากระจ่างด้วยประกายดาว หวนคิดถึงอดีต

ความรักของต้นธาราก็เปรียบเหมือนดาวหม่นแสงคอยมองดูอยู่เงียบๆ ก่อนเรียกร้องหาความรัก เอาจริงเอาจังกับมัน เขาทอดถอนใจ นั่งคิดเรื่องในอดีตทีไร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำเลวเอาไว้เยอะ ระลึกถึงคำสัญญาระหว่างเจ้าเพื่อนรักเขาก็ปวดใจยิ่งนัก

รถแล่นจอดหน้าค่าย ภานุจ่ายเงิน ก่อนมองรถรับจ้างแล่นหายไปในความมืด เขาตบฝุ่นตามลำตัว เดินแบกกระเป๋าเข้าไปในค่าย มองตัวค่ายเงียบสงบ เขาไปรายงานตัวกับท่านนายพลก่อน ซึ่งท่านนายพลพิภพยังไม่นอน เห็นหน้าภานุท่านก็ทำหน้าเครียด ภานุยกมือไหว้ท่าน นายพลพิภพรับไหว้ด้วยสีหน้าดุๆ ภานุก้าวขึ้นเรือนพักของท่าน วางกระเป่าลง

“อาการของลูกข้าเป็นไงบ้างวะ”ท่านถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ


“ตอนนี้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นผลสำเร็จครับท่าน”

ท่านนายพลงกศีรษะ เรื่องนี้ได้รู้มาจากแม่บ้านประจำครอบครัวแล้ว ท่านอยากรู้มากกว่านี้ รอให้ชายหนุ่มรายงาน

“ก่อนที่ผมจะกลับมาคุณหมออยู่ที่ห้องปลอดเชื้ออยู่ครับท่านเลยยังไม่รู้อาการอะไรมาก”

ภานุตอบไปอย่างสุภาพ สายตามองไปยังประตูที่เปิดออกกว้าง พันเอกหนุ่มชานเนนเดินออกมา ทักทายผู้กองหนุ่ม ท่านนายพลหันไปสนทนาด้วย

“การปลูกถ่ายกระดูกไขกระดูกของธารประสบความสำเร็จ”

สีหน้าของพันเอกหนุ่มมีแววยินดี

“เห็นผู้พันบ่นเป็นห่วง ลองขึ้นไปเยี่ยมธารดูไหมครับ?”

ร้อยเอกหนุ่มเหมือนถูกลืม พันเอกหนุ่มผงกศีรษะ

“ก็ดีเหมือนกันครับ”

ภานุก้มหน้าทำความเคารพผู้ที่มียศสูงกว่าคล้ายอำลา

“ขอบใจเอ็งมาก”

ภานุถือกระเป๋าเดินลงจากเรือนพักของนายพลชรา หันไปดูเห็นท่านคุยกับพันเอกหนุ่มด้วยใบหน้าสดใสก็รู้สึกหงุดหงิด

...เขาเป็นคนบริจาคไขกระดูกให้ธารแท้ๆ ไม่ใช่มัน...

อาการขุ่นเคืองกำเริบ ชายหนุ่มระงับสติ ไม่อยากให้ความโกรธเข้าครอบงำ เดินไปยังบ้านพักที่เงียบงันและมืดมิด ชายหนุ่มโยนกระเป๋าลงบนขั้นบันได ทรุดนั่งฟังเสียงลมหวีดหวิว

....ธารเป็นของเขา ไม่มีใครที่จะเอาไปได้....

พิษรักกำเริบ โดยที่ภานุยังไม่รู้สึกตัว มองบ้านที่เคยกกกอดร่างบอบบาง มองที่ที่เคยทำให้ร้องไห้ ยิ่งมีความรุ้สึกนี้ก่อขึ้นในใจมากเท่าไร เขาก็ไม่อาจปล่อยมือจากต้นธาราไปได้เลย สัญญาของเขาและต้นธาราจะมั่งคง...แม้กระทั่งความตายก็พรากมันไปไม่ได้...ลุกขึ้นเดินเข้าบ้านโดยที่หัวใจติดอยู่กับต้นธาราอย่างไม่อาจถอดถอน
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-12-2008 19:33:35
ดันๆ  :z1:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 17-12-2008 01:46:45
โอ้ววววววววววววววว เข้ากันได้

*ดีใจมากอ่ะ*

คุณหมอกำลังจะหายดีใช่ไหม

กำลังใจอยู่ห่างจัง  เข้มแข็งนะหมอ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 17-12-2008 22:25:21
ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นจริงๆแล้ว โล่งอก
แต่ใครก็ได้ขจัดผู้พันชาเนนไปซะที
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 18-12-2008 01:20:53
เย่ๆๆ แบบนี้ต้องฉลอง :mc4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-12-2008 18:20:12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 32 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART1)

แสงยามเย็นๆค่อยๆอ่อนลง ธีรเดชเปิดประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูเรียกห็นสายของกิ่งไผ่ยิ้มอ่อนๆ

“ผมติดต่อทางกรมฯของคุณไปแล้ว เขาบอกว่าจะส่งคนมารับในวันนี้”

ธีรเดชทำหน้าโล่งใจ หันมองไปยังร่างของกิ่งไผ่ซึ่งหลับสนิท

“ขอบคุณครับ”

พอสายของกิ่งไผ่รายงานเสร็จก็ขอตัวกลับ ธีรเดชเดินไปยังเตียงซึ่งกิ่งไผ่ซุกกายใต้ผ้าห่ม ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ธีรเดชนั่งมองดวงหน้าผ่อนคลาย ยกมือแตะข้างแก้มเบาๆกันไม่ให้อีกฝ่ายตื่น คนที่ไวสัมผัสลืมตาขึ้นปัดมืออก ธีรเดชกุมท่อนแขนอย่างเจ็บปวด ดวงตากิ่งไผ่ตกใจ

“ขอโทษที่กวนคุณตอนหลับ”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงอ่อนเบา กิ่งไผ่ถอนใจเฮือก

“มีอะไร?”

เขามองเข้าไปในดวงตา ดูเหมือนว่าธีรเดชจะมีเรื่องพูดกับเขา

“อีกไม่นานจะมีคนมารับ เรา ”

กิ่งไผ่มีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจจนถอนใจหนักหน่วงแทน เขารู้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้แต่อดไม่ได้ที่จะอ่อนล้า

“ต้องเตรียมตัว”

กิ่งไผ่ลงจากเตียงเดินเซเล็กน้อย ธีรเดชรู้สึกอึดอัดที่สุด มันเหมือนมีอะไรมาจุกตรงคอหอย ที่เขากลัวมันกำลังเป็นจริง เขาต้องผลักไสกิ่งไผ่สู่การเป็นเชลย กิ่งไผ่เดินกลับมาใบหน้าชุ่มฉ่ำ หยดน้ำไหลรวมกันตรงคาง ทำให้เส้นแนวโค้งแถวคางดูละมุนละไม สายตาสีดำมองใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ ยิ้มเจือจาง

“มันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

กิ่งไผ่เอ่ยราวกับล่วงรู้ความในใจของชายหนุ่ม ใบหน้าก้มลง เผยให้เห็นความอึดอัด

“ผม..”

ธีรเดชพูดไม่ออก ไม่อยากโกหก ดวงตาสีดำสนิทยิ้มอ่อนเบาเช่นเคยแต่หากมองลึกๆมันเจ็บปวดไม่น้อย

“ที่ผ่านมาขอบคุณคุณมาก”

“ขอบคุณหรือ?”

ธีรเดชงุนงง มองใบหน้าผงกลงเชื่องช้า

“ใช่ ขอบคุณในทุกสิ่งที่ผ่านมา....”หันมองยังประตู

“ผมต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณคุณ”

ธีรเดชว่า ไม่รู้ถึงความนัย กิ่งไผ่ทำหน้านิ่วเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ ในที่สุดชายหนุ่มก็เอื้อนเอ่ยออกมา

“รู้อะไร คุณเป็นคนนอกคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกไว้วางใจและก็....รู้สึกอบอุ่น ผมอยากพูดมาตลอด มันเป็นความรู้สึกเหลือเชื่อ...ใช่เหลือเชื่อ”

ดวงตาของกิ่งไผ่มีร่องรอยเคลิ้มฝัน ทั้งรอยจูบ ทั้งอ้อมกอด และความทรมานที่อีกฝ่ายไม่ได้รักก็ตาม หยุดความรู้สึกนี้ไว้

“ที่ผ่านมาผมอึดอัดใจทุกครั้งที่ต้องทนในสิ่งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ”

ธีรเดชรับฟังอย่างไม่เข้าใจนัก มองเสี้ยวหน้าซึ่งถูกเรือนผมล้อมกรอบ ริมฝีปากขยับเขยื้อนเปล่งเสียงราวกับมาจากห้วงฝัน

“ผ...ผมไม่เข้าใจ”

ใช่...ธีรเดชไม่เข้าใจหรอก เพราะในสิ่งที่เขาทำลงไปเพราะอะไร และชายหนุ่มก็ตอบสนองเพราะคิดว่าเป็นตัวแทนของใครสักคนเท่านั้น แม้จะเศร้าสร้อยขนาดไหน เขาก็ต้องทน

“คุณไม่เข้าใจหรอกในเมื่อสักวันเราต้องจากกัน”

ธีรเดชได้ยินคำพูดเหล่านั้นคว้าจับมือทันใด ไม่อยากให้ตัดใจ ทำไมกันนะ ทั้งๆที่ไม่คิดจะเกี่ยวข้องกันอีกแท้ๆ

“แต่ว่าผมไม่เคยทำอะไรให้คุณต้อง...”

“ธี...คุณไม่รู้หรอก”ลมหายใจที่เหลือเพียงแผ่วเบา มันอยู่เพื่อคนอื่นแต่ไม่ใช่ตัวเอง

“นั่นเป็นเพราะสิ่งที่คุณถูกบีบให้หนีมาใช่ไหม?”

ธีรเดชถาม เขาอยากในตอบออกมา ในเมื่ออีกฝ่ายยอมเอ่ยแบบนี้ก็แสดงว่ายอมรับตัวเขาหรือ

“มันก็ถูกส่วนหนึ่ง”

“ไผ่...คุณมีหลายด้านที่ยังไม่รู้จัก เปิดให้กับผมได้ไหม?”ธีรเดชร้องขอ

กิ่งไผ่ขยับปากถาม“เพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์ของคุณหรือ?”

ธีรเดชเงียบงัน คิดถึงอ้อมกอดนั่นเหลือเกิน แม้ว่าที่ผ่านมามันจะมีแต่ความไม่ไว้วางใจก็ตามแต่

“ใช่”ธีรเดชผงกหัว

กิ่งไผ่เงียบงัน คนที่ไว้ใจกลับ....ธีรเดชเบือนหน้าหนีอย่างเจ็บปวด กิ่งไผ่ก็รู้นับตั้งแต่ก้าวตามชายหนุ่มมายังเขตแดน

“รู้ไหมว่าทำไมผมถึงตามคุณมา”

ธีรเดชส่ายหน้า

“นั่นก็เพื่อให้ทางฝ่ายคุณได้เข้ามาช่วยเหลือคนสำคัญของผม ช่วยโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรเลย ช่วงชิงในสิ่งที่ผมเสียไปคืนกลับมา”

ดวงตาของกิ่งไผ่แข็งกร้าวขึ้น

“เป็นผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้ใช่ไหมล่ะ?”

ริมฝีปากของธีรเดชเม้มแน่นก่อนคลาย มันเป็นความจริงจะโกรธเคืองไปก็ใช่ว่าจะดีขึ้น ก้มหน้าลงอย่างยอมจำนน เงยหน้าจะพูดออกไป

“...”

พูดออกไปไม่ได้ ธีรเดชสลด เขาควรจะพูดดีกว่านี้

“บอกผมเพื่ออะไร ทั้งๆที่มันไม่จำเป็น”

กิ่งไผ่ไม่ได้ตอบอะไร ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ท่าทางเหนื่อยล้าและจำนน

“นั่นสิ...”

ธีรเดชนิ่งงันคำพูดเพียงคำเดียวทำให้เขาเจ็บลึก

“บอกคุณไป เผื่อสักวันที่เราต้องจากกัน ในเมื่อถึงวันนั้นผมคงต้องเสียใจที่ไม่พูด”

กิ่งไผ่ผละจาก ธีรเดชนั่งทื่อ...เผื่อสักวันที่เราจากกัน มันช่างทำให้ธีรเดชรวดร้าวอยู่ลึกๆ แล้วต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ธีรเดชลุกขึ้น พบกับรอยยิ้มของร้อยเอกภานุ ธีรเดชนิ่งงัน หันมองคนที่เดินออกมา เรือนผมหนาปรกคลุมเสี้ยวหน้าซีกหนึ่ง พอหันมาร้อยเอกภานุและนายทหารคนอื่นๆต่างนิ่งงัน มองใบหน้างดงามแฝงด้วยความเย็นชา

“ผมได้รับข่าวจากว่าคุณอยู่ที่นี่”

ธีรเดชยิ้มโล่งใจออกมา

“ผมถูกเขาช่วยเหลือมาน่ะ นั่นกิ่งไผ่ เขาเป็นคนช่วยผมออกมาจากฝั่งพม่า กิ่งไผ่นี่คนที่จะช่วยเหลือคุณ”

พอกิ่งไผ่เข้ามาใกล้ ภานุก็สังเกตเห็นความแตกต่างได้ ช่างเป็นคนที่งดงามเปี่ยมด้วยความเข้มแข็ง กิ่งไผ่ก้มหัวเนิบๆให้แก่คณะทหารจากฝั่งไทย

“เอ่อ ผู้กองภานุบาดเจ็บคงไม่เป็นอะไร?”

ภานุยิ้มบอกว่าตัวเองสบายดี ระหว่างการเดินทาง กิ่งไผ่อยู่ในการควบคุมของเหล่าทหาร ธีรเดชก็อยู่กับกิ่งไผ่ไม่ห่าง ฝ่ายภานุซักเรื่องราว ธีรเดชตอบไปทุกถ้อยความ เล่าถึงการพบกับกิ่งไผ่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่

“เดี๋ยวผู้กองธีคงได้รู้ครับ”

ภานุตอบ มองใบหน้างามที่เม้มริมฝีปากแน่น หากเปรียบเทียบกับคนรักของเขา...ต้นธาราคงสวยเยือกเย็นเหมือนดอกมะลิขาว แต่คนๆนี้คงจะเป็นกุหลาบแดงแฝงด้วยความรู้สึกที่ยากจะบ่งบอก และภานุก็รู้ว่าสายตาของหนุ่มหน้าสวยจ้องเขาเขม็ง เคยเห็นที่ไหนนะ? ภานุพยายามนึก

“ว่าแต่ผู้กองมานี่ได้อย่างไร?”

ภานุหันกลับมาสนใจธีรเดช ตอบไปก็พยายามนึกในความทรงจำรางเลือน เคยเจอที่ไหน?

“ผมได้รับคำสั่งจากท่านนายพลอรุณให้ตามเรื่องของคุณและก็เงื่อนงำการถุกลอบโจมตี เห็นคุณบอกว่าเขาเกี่ยวข้องด้วยก็จะได้สะดวกขึ้น อ้อ จริงสิ เรามีคนประสานงานเรื่องนี้จากทางฝ่ายพม่าด้วย คือผู้พันชานเนน”

ชื่อผู้พันหนุ่มหลุดจากปาก กิ่งไผ่เม้มปากแน่นทันที ธีรเดชมองเห็นพอดี เคลือบแคลงใจแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก

“เอ่อ...แล้วผู้พันชานเนนนั่น...”ธีรเดชอยากถามที่มาที่ไปของพันเอกจากพม่า

“อ้อ เป็นนายพลพิภพติดต่อมาน่ะ เห็นว่าต้องการความรวมมือ ท่านเลยติดต่อมา”

ขณะนั่งอยู่บนรถ ธีรเดชก็ยังไม่หยุดชะถาม ผิดกับกิ่งไผ่นั่งเงียบๆอยู่ทางเบื้องหลัง ในใจของธีรเดชดูมืดมนจากความรู้สึกที่ว่ากิ่งไผ่ต้องรุ้จักผู้พันชานเนน มันอึดอัดเหมือนที่กิ่งไผ่บอกว่าจะจากไป เกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก

“ธารเป็นอย่างไรบ้าง?”

ชายหนุ่มนึกถึงคุณหมอขึ้นมาได้ สีหน้าภานุอ่อนลงเมื่อกล่าวถึงคุณหมอ

“ธารน่ะรึ ตอนนี้ฟักฟื้นอยู่หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนไขกระดูกสำเร็จ”

“”ผ่าตัด?”ธีรเดชงุนงง

“ครับ ธารเข้ารับการรักษาระหว่างที่ผู้กองธีไม่อยู่ ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ธีรเดชมองดวงตาเหมือนคนได้ชัยชนะ

“ใครเป็นบริจาคไขกระดูก”ธีรเดชถามเสียงแผ่ว ไม่อยากเชื่อเลย...

“ผมเอง”

คำพูดของภานุทำให้ธีรเดชงุนงง ไม่อยากเชื่อว่าผู้กองภานุจะเป็นคนบริจาค เขาจากต้นธาราไปนานจนทั้งคู่ก้าวหน้าในความสัมพันธ์ที่เขาคาดไม่ถึงแล้วรึ?

“ผมกับเขาดีกันแล้ว”

คำกระซิบบอกทำให้ธีรเดชเหมือนถูกทุบหัว อ้าปากค้าง คนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆได้ยินทุกถ้อยคำพูดแม้จะรู้สึกเศร้าแต่ในใจก็อดสงสารไม่ได้

“ธารน่ะรึ”

ธีรเดชพึมพำ ภานุไม่ได้สนใจ พาทั้งคู่กลับไปถึงค่าย จนพบกับท่านนายพลทั้งสองต้อนรับ ผู้พันชานเนนยืนอยู่เบื้องหลังพิศมองเสี้ยวหน้ากิ่งไผ่ที่อยู่เบื้องหลังธีรเดช

“ผมดีใจที่คุณกลับมาผู้กอง”

นายพลอรุณเอ่ย ธีรเดชปราายตามองไปทางนายพลพิภพ สายตาของนายพลเฒ่ามองทส.เก่าของตน

“ฉันดีใจที่แกกลับมาธี”นายพลพิภพกล่าว

ธีรเดชยิ้มให้แก่ผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วท่านก็ให้ความสนใจกับคนที่อยู่เบื้องหลัง

“นั่นเป็นคนที่ผู้กองภานุรายงานมาสินะ?”

ทุกสายตาจับจ้องมายังกิ่งไผ่เป็นจุดเดียว กิ่งไผ่เมื่อรู้ว่าโดนจับจ้องเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งนั้น

“ขอเชิญไปคุยที่ห้องหน่อย”

นายพลอรุณกล่าว พันเอกชานเนนมองดูร่างที่ยืนทรนง

“เชิญครับ”

กิ่งไผ่ได้รับคำเชื้อเชิญเป็นภาษาบ้านเกิดของตัวเองก็ก้าวตามไปในห้อง ธีรเดชจะก้าวตามก็ถูกภานุดึงไหล่ไว้

“ผู้กองธีพักดีกว่าครับ”

“แต่ว่า...”

เขาชี้นิ้วไปทางกิ่งไผ่ ซึ่งใบหน้างามหันมองใบหน้าร้อนรนของเขาเอง อยากจะตามไป ใบหน้านั้นเมินหนี ธีรเดชเหมือนถูกทิ้ง

“ไม่ต้องห่วงเขาหรอกครับผู้กองธี เขาน่ะ ไม่ใช่คนกระจอกๆหรอก ไม่อย่างงั้นท่านนายพลไม่ต้อนรับดีแบบนี้แน่”

ธีรเดชงุนงง“ยังไงครับ?”

“เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของนายพลแห่งเวียงวนรัฐะ พ่อถูกโค่นอำนาจจากน้องชายแท้ๆ ต้องการกำลังพลเลยซ่องสุ่มกำลังพล ร่วมมือกับทางนายกฤษดาพ่อค้ายาเสพติด เพื่อเงินที่นำมาใช้ในกองกำลัง ตอนที่เราถูกโจมตี เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยต้องสอบสวนดู”

“แต่ผมว่าไผ่ไม่ได้ทำแบบนั้นแน่ เพราะตัวเขาถูกถามล่า”ธีรเดชเถียงอย่างร้อนใจ

“ผู้กองธีครับจะผิดหรือถูกเดี๋ยวเขาก็พิจารณากันอีกที ผู้กองไปฟังก่อนเถอะ”

ภานุเอ่ยบังคับกรายๆ ธีรเดชยืนมองอย่างอึดอัดใจก่อนต้องถอยหนีเมื่อภานุพูดซ้ำ

“เอาไว้ผมได้ข่าวอะไรจะเรียนผู้กองธี ดีไหมครับ”

ธีรเดชถูกกันออกมาโดยสมบรูณ์ ทั้งๆที่คิดจะช่วยกิ่งไผ่แท้ๆ ภานุถอนใจดูท่าผู้กองธีจะมีอะไรเกินกว่าความเป็นเพื่อนกับหนุ่มรูปงามแน่ๆ ร่างสูงก้าวเข้าห้อง แปลกใจเล็กน้อยที่คนหน้าสวยราวกับอิสตรีนั่นจะเป็นถึงชั้นเจ้าแต่ต่ำแหน่งนั้นก็ถูกเด็ดปีกรวงหล่นสู่พื้นเสียแล้ว

“กองกำลังคุณมีส่วนร่วมกับขบวนค้ายาเสพติดหรือไม่”

พันเอกชานเนนคุย กิ่งไผ่เม้มปาก ภานุได้รับข่าวมาบ้างว่าคนๆนี้เป็นหัวหน้ารองในกองโจรกู้แผ่นดิน ยืนฟังคำสอบสวนเงียบๆ ร่างโปร่งนั่งตัวตรง เรือนผมยาวแผ่กระจายเต็มหลัง ยิ่งทำให้ดูบอบบางไม่เหมือนกับคนที่แบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้กับตัว

“เราไม่ส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้น”กิ่งไผ่ตอบ วางท่าได้งามสง่าดั่งชนชั้นสูง

“แล้วทางคุณลอบโจมตีคนในกองทัพเราหรือ?”

“คิดว่าเราโจมตี คนของท่านจะรอดมาจนถึงปานนี้หรือ ท่านก็รู้นี่ท่านผู้พัน เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย!”

พันเอกชานเนนผงกศีรษะ

“ร้อยเอกภานุรายงานที่คุณช่วยเหลือคนของกองทัพไทยแล้ว”

กิ่งไผ่นิ่งเงียบ

“แล้วการที่ท่านหนีออกมาเป็นเพราะสาเหตุใด”

“เราถูกนายกฤษดาทรยศ ค่ายของเราถูกยึด”

ฟังคำตอบที่แสนเย็นชา นายพลชานเนนปรึกษาเรื่องนี้กับนายพลอรุณและนายพลพิภพ

“แล้วบิดาคุณล่ะ?”

“ไม่ทราบ เราถูกถล่มจนต้องแยกกันหนี”ตอบด้วยสายตาเศร้าๆ

ภานุมองเห็นก็รู้สึกชอบใจ สายตาหยิ่งผยอง...เคลือบด้วยรอยเศร้า มันสวยงามและน่าชื่นชมในคราเดียวกัน

“งั้นรึครับ”

ผู้พันชานเนนสืบสวนเพียงเท่านี้ ก่อนสั่งให้คนพากิ่งไผ่ไปพัก ร่างโปร่งยืดตัวตรง สายตาของกิ่งไผ่ก็ปะทะกับคนที่ดูแลมองหน้าร้อยตรีอานุภาพ เหมือนกับคุ้นเคย นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก คุ้นๆหน้าคุ้นตา ร้อยตรีอานุภาพเห็นกิ่งไผ่ ครั้นแรกก็ชะงักก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“เป็นเกียรติเหลือเกินครับที่ผมได้ดูแลดีขนาดนี้”

“นั่นเป็นเพราะศักดิ์ของท่านเป็นเจ้าเมือง”

กิ่งไผ่ยิ้มขันๆราวกับจะหยันในโชคชะตาของตัวเอง

“มันก็แค่อดีตเท่านั้นแหละ”

ตอบไปขณะก้าวตามร้อยตรีอานุภาพที่แนะนำตัวเอง สายจากิ่งไผ่ลอบมองเสมอไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

“ผู้กองธีล่ะ”

เอ่ยถามหาธีรเดช ร้อยตรีอานุหันมามองอย่างพิศวงที่ได้ยินคำพูดภาษไทยชัดเจน

“เอ่อ ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่”

กิ่งไผ่หยุดนิ่ง เดินไปหาท่านนายพลที่กำลังเดินออกมาก่อน

“หากเราต้องการเปลี่ยนคนดูแลเป็นธีรเดชได้หรือไม่ ผมไว้ใจเขา”

กิ่งไผ่เอ่ยตรงๆ นายพลอรุณเงียบไปก่อนจะอนุญาต

“จะจัดการให้ทีหลัง”กิ่งไผ่กล่าวขอบคุณก่อนตามร้อยตรีอานุภาพไป

ธีรเดชดูไม่สบายใจเท่าไรนัก ชายหนุ่มมองผู้กองภานุเดินมาหาตนก็รีบออกไปต้อนรับ

“ว่าอย่างไรบ้างครับ?”

“ผู้กองมีหน้าที่ดูแลเขาครับเห็นเขาบอกว่าเชื่อใจคุณ”

ธีรเดชโล่งใจที่กิ่งไผ่ยังเชื่อใจเขาอยู่

“ขอบคุณ”ชายหนุ่มมองหน้าร้อยเอกภานุ

“เอ่อ ที่บอกว่าธารเข้ารับการผ่าตัด...”

“เขาสบายดีครับ ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องปลอดเชื้อ คุณไม่ต้องห่วง”

“ผมอยากพบเขา”

“คุณหมอธารพักรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพครับ”

“ผมอยากไปเยี่ยมเขา”

ภานุเกาต้นคอ“ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้กองธีต้องขึ้นกรุงเทพแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมพาไปพบเอง”

ดวงตาธีรเดชดูอบอุ่นเมื่อนึกถึงใบหน้าของต้นธารา ซึ่งภานุเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย

“วันพรุ่งนี้น่าจะได้”

ธีเดชกล่าวขอบคุณ มองภานุที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกคล้ายกับพ่ายแพ้....

------------------------------------------------

การลาในครั้งนี้แม้จะทำให้ท่านนายพลพิภพอึดอัดใจต่อการที่ภานุขึ้นไปหาบุตรชายตนอีกครั้ง แต่ท่านก็พูดอะไรออกไปไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเป็นคนให้ชีวิตลูก ทั้งยังเป็นคนที่บุตรชายรัก แต่ท่านก็ชังเหลือแสน

“ครั้งนี้ท่านจะขึ้นไปดูธารด้วยใช่ไหมครับ?”

ธีรเดชถามอดีตนายเก่า นายพลผงกหัว

“อื้ม...”

นายพลอรุณก็แทรกขึ้น

“งั้นก็ไปกันหมดนี่สิ จะได้ประหยัด เยี่ยมเสร็จจะได้กลับมาทำงานต่อ”

คนที่ทำสีหน้าขัดใจคือท่านนายพลพิภพ ท่านเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ให้เงียบที่สุด

“ผมดีใจที่คุณหนูธารพ้นจากขีดอันตราย”

ธีรเดชเอ่ยขึ้น ท่านยนายพลยิ้มให้แก่อดีตทส.

“ฉันก็ดีใจ...”

ดวงตาของคนเป็นพ่อเปี่ยมด้วยความสบายใจ ภานุที่มองดูเงียบๆก็รู้สึกซึ้งดีอยู่หรอก หากพ่อตาไม่เอื้อมิตรภาพให้เสียเลย หากไปเยี่ยมด้วยกันเกรงจะทำให้ธารลำบากใจจริงๆ นั่น...คือสิ่งที่ภานุอยากจะหลีกเลี่ยงที่สุด

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 18-12-2008 18:21:02
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังกรุงเทพในเวลาเช้ามืด ภานุเป็นฝ่ายนั่งเงียบแถมยังนั่งห่างคนที่เป็นพ่อตาเสียอีก ฝ่ายพ่อตาก็ไม่สนใจ นั่งนิ่งเงียบจนกระทั่งถึงบ้านของท่าน ซึ่งกำหนดพักเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ท่านรีบไปโรงพยาบาลทันทีที่มาถึง คณะที่มาเยี่ยมเลยตามติดไปด้วย

“ท่านนายพลามาถึงเมื่อไรคะ”

ป้าสมที่มาดูแลคุณหนูธารลุกขึ้นต้อนรับผู้เป็นนาย นายพลพิภพยิ้มเครียดๆ

“ธารล่ะเป็นไง?”

ท่านนายพลตามอดีตแม่นมของลูกชายไปยังห้องปลอดเชื้อ

คุณหมอธารที่ยังอยู่ในห้องปลอดเชื้อ เขาหันมองป้าสมที่จ้องมาอย่างนึกห่วง ชายหนุ่มมองผ่านกระจกออกไป พบกับร่างของภานุและธีรเดช เอ่ยเรียกเสียงอดีตผู้ดูแลเวียงแผ่ว

“ธี...”

ผุดลุกขึ้นจากเตียงทว่าสายน้ำเกลือและเลือดกลับรั้งไว้ ธีรเดชกำมือแน่น เข้าไปเยี่ยมไม่ได้ในตอนนี้ ภานุมองท่าที่ของชายหนุ่มแล้วกระแอม ธีรเดชรู้ว่าตัวจริงคงจะหวง เขาจึงถอยห่างเสียดีกว่า แล้วท่านนายพลก็เข้ามาแทนที่

“พ่อ...”

ต้นธาราอุทานแผ่วนายพลพิภพซึ่งขอเยี่ยมลูกเป็นพิเศษนั่นได้แต่งตัวด้วยชุดปลอดเชื้อเข้าไปหาท่ามกลางสายตาอิจฉาของภานุ

“ธารขอโทษที่พ่อไม่ได้อยู่ข้างๆลูกตอนนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

ต้นธาราขยับริมฝีปากตอบ คนเป็นพ่อลูบศีรษะบุตรอย่างถนอม

“ลูกพ้นขีดอันตรายแล้ว พ่อดีใจเหลือเกิน”

ต้นธารายิ้มบางๆ

“ต้องขอบคุณผู้กองภานุด้วยครับ”

“เออ ต้องขอบใจมันด้วย”ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ มองไปยังคนที่จ้องผ่านกระจก

“ผมดีใจที่พ่อมาหาครับ”ต้นธาราเอ่ย

“พ่อเพิ่งเสร็จงานลูก ธีเขากลับมาพอดีเลยวุ่นๆ ”

“ดีจังเลยครับ ธีกลับมาแล้ว”

รอยยิ้มอ่อนล้าของคุณหมอผุดขึ้น คนเป็นพ่อยิ้มเช่นกัน

“พ่อก็ดีใจ...เสร็จงานนี้จะได้อยู่กับลูก”นายพลพิภพกล่าว

ต้นธาราทำหน้าเหมือนนึกอะไรออกได้

“พ่อครับผมอยากย้ายตัวเองไปรักษาตัวอยู่ที่เชียงรายน่ะครับ”

ท่านนายพลพิภพนิ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด

“ธารที่นั่นการแพทย์ไม่พร้อม อีกอย่างลูกก็ไม่สมควรที่จะเดินทางไกล ลูกอยู่พักที่นี่เถอะ”

“เอาไว้ผมออกจากโรงพยาบาลก็ได้ครับพ่อ ผมไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯคนเดียว ผมขอโทษที่เอาแต่ใจครับ แต่...”

มือของนายพลชรากำเข้าหากันแน่น

“ธาร...”ท่านกล่าวเสียงอ่อนอยากให้บุตรชายยอมเชื่อฟัง

“พ่อครับ ผมขอร้อง”

ในที่สุดท่านก็ถอนใจเฮือก

“เอาไว้ลูกออกจากห้องปลอดเชื้อก่อนแล้วเราค่อยพูดถึงเรื่องนี้กัน”ท่านเอ่ย

ต้นธารายิ้มออกมา มองพ่ออย่างขอบคุณสำหรับท่านที่ยอมให้เอาแต่ใจ

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 18-12-2008 18:33:28
สงสารกิ่งไผ่

ธีรเดช ช่วยดีกับกิ่งไผ่ ได้มั้ยยยยยยยยยยยยย :beat:

 :กอด1:กิ่งไผ่
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 19-12-2008 11:36:35
^
^

มิ้อนี้มาก่อนเราว้อยยยย

---------------------------

อยากให้หมอธารแข็งแรงๆ แล้วย้ายไปรักษาต่อที่เชียงรายจัง

ส่วนธี...ดูแลกิ่งไผ่ดีๆ หน่อย เค้าเหลือคุณคนเดียว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-12-2008 18:11:49
แอร๊ยยยยยยยยยยส์ มาดันค่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 19-12-2008 22:16:13
+เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ+
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 19-12-2008 22:42:22
 :oo1: :oo1: :oo1:

ยังไม่ได้อ่านแต่ขอประทับรอยรักไว้ก่อนนะครับ

สงสารกิ่งไผ่จัง  :o7:

เมื่อไหร่หนอจะสมหวังกับเค้าสักที

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 19-12-2008 23:43:42
รอคนสวย มาโพสๆๆ จงมาๆๆ :call:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 20-12-2008 00:14:02
 :m19: :m19: :m19:

อ่านจบแล้วก็ยังสงสารกิ่งไผ่อยู่ดี

แต่ว่ามันก็แหม่ง ๆ นะ

จากการสันนิฐานขอสรุปว่า ร้อยตรีอานุภาพ เป็นสายให้นายกฤษดา confirm  o8

ปล.นู๋จะโดนแจ้งจับข้อหาหมิ่นประมาทหรือโดนฟ้อง 50 ล้านไม๊อ่ะถ้านู๋ตอบผิด  :try2:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: TinaJunior ที่ 20-12-2008 13:22:52
เอาใจช่วยกิ่งไผ่คับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-12-2008 16:24:48
55 Asahi โดนฟ้องแน่ๆ 50 ล้านเลย  พี่หน้าเลือด  :laugh:
ส่วน Tina เพิ่งเคยเห็นชื่อในกระทู้ครั้งแรกนะเนี่ย รอติดตามจนจบแล้วกันน้า
19NT ยังไงๆก็ต้องเร็วกว่าป้าแป๋วอยู่แล้ว  ป้าแกแก่แล้ว 55 ทำใจดีกว่า
ขอบคุณคุณเคนแล้วก็หนึ่งจ้า ที่คอยให้กำลังใจตลอด  น้องเรนคงดีใจ

ต่อเลยแล้วกันน้า ไว้ตามอ่านกันเอาเองเน้อ  :กอด1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 33 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART2)



ภานุที่ไม่อาจเข้าเยี่ยมได้หงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว คนที่ปลอบนั่นคือธีรเดช มันไม่ทำให้ผู้กองหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นมาเลยกลับยิ่งรู้สึกแย่ลงเสียด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวอีกอาทิตย์คุณหมอก็จะออกมาอยู่ห้องพักฟื้น ถึงคราวนั้นผู้กองก็ไปเยี่ยมก็ได้”

นั่นเป็นสิ่งที่ผู้กองภานุไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด

“คุณหนูธารเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ธีรเดชลุกขึ้นเมื่อท่านนายพลออกมาจากห้องปลอดเชื้อ

“ดูแข็งแรงดี”ท่านว่าอย่างขรึมๆ สายตาจับจ้องยังผู้กองหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ห่างๆ

“เฮ้อ คุณพระคุ้มครอง”ท่านนายพลอรุณเอ่ย

“อืม”

นายพลพิภพกล่าวสั้นๆเดินไปหาหมอที่ดูแลต้นธารา ภานุไม่ได้เดินตามไปด้วย เขาลุกขึ้นมองตรงเข้าไปในห้องปลอดเชื้อ สายตาของชายหนุ่มเป็นห่วงจน คนอยู่ในห้องปลอดเชื้อรู้สึกถึงสายตามองตรงมา ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องตรงประตูเห็นเป็นภานุก็ยิ้มแย้ม รอยยิ้มมอบให้เป็นสัญญาณรู้ว่าชายหนุ่มมาเยี่ยม ภานุเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน ถึงจะเข้าไปไม่ได้ อย่างน้อยๆขอให้อยู่เป็นกำลังใจตรงนี้ “หายไวๆนะ ผมรักคุณ”ภานุเอ่ย ต้นธาราอ่านริมฝีปากขยับเขยื้อน เขายิ้มอย่างมีความสุข

“ผู้กองภานุครับ ท่านนายพลเรียก”

ธีรเดชมาตามชายหนุ่ม ภานุหันมอง เขาไม่อยากไปเลยแต่ก็ต้องไป คนภายในห้องปลอดเชื้อเห็นร่างสูงเดินจากจะรั้งก็รั้งไว้ไม่ได้ การที่ภานุเดินห่าง มันทำให้รู้สึกอ้างว้าง นอนนิ่งๆ บอกตัวเองให้อดทนเสีย แต่การที่เขาต้องอยู่ภายในนี้พร้อมกับความเงียบเหงาและเจ็บปวด ต้นธารามองเพดาน มองสิ่งที่ยึดร่างตัวเองไว้ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้คงได้อยู่ด้วยกัน สายตาสีน้ำตาลรื้นขึ้น เขาหันมองเมื่อเสียงประตูเปิด ร่างสูงคุ้นเคยก้าวเข้ามาในชุดเขียวด้าน

“ภานุ”อุทานแผ่ว

ร่างของภานุหยุดอยู่ข้างเตียง เขากุมมือคนรักแน่น ใบหน้ากร้านอ่อนลง

“เข้ามาได้เสียที ตื๊ออยู่ตั้งนาน”ภานุบ่นพึม หงุดหงิดที่กว่าจะเข้ามาได้ก็ต้องพูดแทบตาย ดีที่ได้ท่านนายพลอรุณหนุนจึงทำให้เขาเข้ามาเยี่ยมต้นธาราได้อย่างสะดวก

“ลำบากแย่”

ต้นธารางึมงำ เขาถอนใจอย่างเป็นสุขเมื่อมือหนาลูบผมเพียงแค่แป๊ปเดียวก็หยุด เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับต้นธารา

“ลำบากผมก็ต้องทน เพื่อคุณ”คำกล่าวมันช่างหวานละมุน

“ธาร...คุณบอกว่าจะย้ายไปรักษาตัวอยู่ที่เชียงรายหรือ คุณจะไปอยู่กับผมหรือธาร?”ภานุถามอย่างตื่นเต้น

“อืม”ต้นธาราตอบเบาๆ

“พ่อบอกหรือ?”

ชายหนุ่มผงกหัว“ใช่และท่านให้มาบอกคุณว่าท่านยอมให้ย้ายไปหลังธารออกจากห้องปลอดเชื้อ”

ริมฝีปากซีดเซียวคลี่ยิ้ม“อื้ม”

ดีใจ...เหลือเกิน ภานุพยายามจะไม่ยิ้มมากแต่ก็อดฉีกยิ้มไม่ได้กับความสุขที่คนรักจะขึ้นไปอยู่ทางเชียงรายด้วยกัน

“แล้วอาการคุณละธาร เห็นท่านนายพลคุยกับแพทย์ว่าธารต้องรักษาตัวน่ะ แพทย์ทางนั้นไม่เจริญสักเท่าไร ธารทนได้หรือครับ”

ต้นธาราพยายามเอื้อมมือมากุมภานุไว้

“ผมอยากไปอยู่กับพ่อ อยากไปอยู่กับคุณ ผมจะอดทน”

ภานุบีบมือแน่น สีแดงริ้วปรากฏบนใบหน้าซีดเมื่อภานุก้มหน้าลงคล้ายกับจะจูบแต่ชะงักงัน ธีรเดชเดินมาตามผู้กองภานุนั้นต้องชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้าตัวเอง หลบแทบไม่ทัน ใจหายกับการที่ตัวเองไม่อยากเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของคนทั้งสองเลย

“ธารเดี๋ยวใกล้หมดเวลาเยี่ยมแล้ว ผมจะมาหาคุณใหม่นะ”ภานุเอ่ยอย่างเสียดายนิดๆ

“อื้ม”

ต้นธารารับคำ ปรายตามองอย่างหงอยๆ ภานุเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก เขาต้องตัดใจเดินออกมาโดยมีสายตาโหยหาตามติดไม่ห่าง

------------------------------------------------

แม้ว่าภานุจะเสียดายที่ไม่มีเวลาอยู่กับต้นธารามากนัก เขาก็มีความสุข เฝ้าคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้า สีหน้ามีความสุขของเขาทำให้ใครบางคนอิจฉาได้โดยไม่รู้ตัว ธีรเดชรู้ว่าใจของตัวเองริษยาผู้กองภานุอยู่ก็พยายามหักห้ามอารมณ์ที่จะปะทุขึ้นทุกครา ชายหนุ่มมองใบหน้าคมกร้าว ในสายตาคู่ดุดันเปี่ยมประกายความสุข

“ผู้กองครับ ตอนนี้ท่านนายพลกำลังรออยู่รีบหน่อยครับ”

ธีรเดชกล่าว สุดท้ายก็เผลอเสียงห้วนจนได้ ภานุจ้องธีรเดชเขม็ง ผุ้กองธีรีบทำหน้ากลบเกลื่อน ภานุตามไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น พออกจากโรงพยาบาลชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ ภานุมองออกไปข้างนอกตลอดเวลา

“ผู้กองดูท่าจะใจลอยไปถึงคุณหมอจริงๆนะครับ”

ภานุยิ้ม แน่ล่ะก็คนรักนี้...หากชายหนุ่มไม่ได้พูดออกไปแบบนั้น

“เห็นว่าคุณหมอจะขึ้นมารักษาตัวอยู่เชียงรายนี่ครับ”ธีรเดชคุยต่อ

“ใช่ครับ ธารจะขึ้นมาพักรักษาตัวที่เชียงราย เห็นว่าเป็นความต้องการของตัวธารเอง “

ในใจธีรเดชปวดแปลบ เขาไม่อาจทนรับรู้ถึงความรักของคนทั้งสองได้เลย

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-12-2008 16:25:46
ท้องฟ้าที่อยู่ไกลลิบตา สายตาสีดำที่มองดูมัน สลับกับคนที่นั่งเฝ้า ในใจของกิ่งไผ่คิดถึงพ่อ เขาเบือนหน้ามายังคนที่นั่งเฝ้า

“ผู้กองธีไปไหน?”

“เอ่อ...ขึ้นไปยังกรุงเทพครับ”

กิ่งไผ่ถอนใจเฮือก รู้ดีว่าธีรเดชไปหาใคร แผ่นหลังพิงเก้าอี้ ความเงียบเหงาค่อยๆโอบล้อม...ทั้งๆที่รักแต่ก็พูดออกไปไม่ได้ กลัวใจตัวเองเจ็บ เฝ้าอดทนให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดงั้นหรือ มันน่าเศร้าใจยิ่งนัก

“แต่ดูเหมือนว่าจะกลับมาแล้วนะครับ”

กิ่งไผ่ช้อนตาขึ้นมองร่างสูง ซึ่งมองตรงมายังเขาเช่นกัน ผู้กองหนุ่มไล่ทหารที่เฝ้าออกไป เหลือเพียงตัวเขาและกิ่งไผ่เท่านั้น สายตาจับจ้องใบหน้าที่วางบนเข่า กลุ่มผมที่ได้รับการสระอย่างดีทิ้งตัวปกคลุมแผ่นหลัง

“ไปดูเขาแล้วสินะ?”

กิ่งไผ่ถามหลังจากทราบว่าธีรเดชหายไปไหน เบือนหน้ามองธีรเดชที่ทำหน้าขรึมๆ

“ครับ”

“แล้วอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

แม้แปลกใจที่กิ่งไผ่ถาม ชายหนุ่มก็ตอบไปตามตรง

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“เป็นอะไรนะ? ลูคีเมียใช่ไหม?”กิ่งไผ่เอ่ย ทำหน้าครุ่นคิด

“ใช่ ใครบอกคุณกัน”

“ก็คุยกันในรถไง ผมได้ยินน่ะ น่าสงสารนะทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยผมจากคนที่ยิงผมแท้ๆ”กิ่งไผ่เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ กอดตัวเองแน่น

“ใครยิงคุณกัน?”

“ฝีมือผู้กองภานุ แต่ช่างเถอะผมก็ไม่ได้แค้นเคืองอะไร มันเป็นหน้าที่นี่นะ”

ธีรเดชอ้าปากค้าง“ว่าอะไรนะ?”ชายหนุ่มสืบเท้าเข้ามาใกล้

“แสดงว่าคุณอยากรู้...”มุมปากยกขึ้น สายตาเหม่อลอย

“ผมถูกผู้กองภานุยิง บาดเจ็บหนัก คุณหมอมาช่วยผม แต่มันทำให้ผู้กองนาคีต้องตาย ทั้งๆที่ทิ้งไว้ก็ดีแล้วแท้ๆ”

ใบหน้าของกิ่งไผ่ดูขื่นขม บางทีเขาอาจเหนื่อยก็ได้ที่ทำให้เขาหลุดปากไป กิ่งไผ่หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ทั้งๆที่ในใจลึกๆแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย

“ผู้กองภานุน่ะหรือยิงคุณ?”ธีรเดชถามอย่างไม่เชื่อเท่าไร

“ว่าแต่คุณเถอะ ไปเยี่ยมเขามาแล้วทำสีหน้าเจ็บปวดแสดงว่ามีบางอย่างไม่ตรงกับใจสิน่ะ”เอ่ยทิ่มจิตใจของธีรเดฃเข้าเต็มๆ
“ก็เล่นทำหน้าดูอารมณ์เสียมา เขาคนที่คุณรักทำอะไรให้เจ็บปวดใจกันล่ะ?”

ทั้งๆที่ท้องฟ้าในยามนี้สดสวย ในใจกลับรู้สึกเศร้าสลด

“หึ...พูดไปก็เหมือนกับหนามแทงใจผมดี คนที่ผมรัก ผมไม่อาจครอบครอง”

ธีรเดชพรูออกมา ชายหนุ่มรู้สึกริษยาจนทนไม่ไหวจึงโพลงออกมา กิ่งไผ่ทำหน้าเย้ยหยันแต่พอรู้สึกตัว เขาเองก็คงไม่ต่างกับชายหนุ่มสักเท่าไร

“ทั้งๆที่ผมรักมานานเขาแต่ผม...”

ธีรเดชหยุดไป กุมมือเข้าหากันแน่น รู้สึกหายใจไม่ออก ก้มหน้าลงโศกสลด

“คุณก็ไม่ใช่คนที่เขาเลือกใช่ไหม?”กิ่งไผ่กล่าว

สายตาคมมองหน้า ดวงตาสีดำฉายความรู้สึกล้ำลึก

“คุณเจ็บปวดกับการที่เขาไม่เลือก โวยวายกับผมแล้วมันได้อะไร ทำไมคุณไม่แย่งเขามา การที่คุณเป็นสุภาพบุรุษก็สมควรแล้วล่ะที่จะโง่!”

ธีรเดชได้ฟังเขารู้สึกโกรธที่กิ่งไผ่เอ่ยเช่นนั้น ชายหนุ่มคิดว่าจะเล่าความรู้สึกในใจให้คนที่เข้าไว้ใจได้แท้ๆ

“โง่...ที่สุด”มือกำแน่นคลายออก

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมทำให้ธารเจ็บปวดไม่ได้”

เสียงหัวเราะเสียดสี ยิ่งฟังมากเท่าไรยิ่งเจ็บเท่านั้น

“แสนดีมาก...แสนดีจนต้องน่าหัวเราะให้ฟันหักเสียจริง!”

กิ่งไผ่หยัน มือกำเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆ คำพูดเพียงแค่นั้น...เป็นการทำร้ายจิตใจกันอีกครั้ง ทั้งๆที่พยายามไม่คิดอะไร มันก็เพิ่มความชิงชังให้กับคนที่เป็นผู้มีพระคุณ สายตาของธีรเดชมีแต่คนๆนั้นอยู่เต็มหัวใจ รักเพียงข้างเดียวแล้วยังมานั่งฟังคำรำพัน ไม่คิดหรือว่าใจเขาจะเจ็บไปด้วย...แต่ชายหนุ่มยังไม่รู้สิน่ะว่าเขารู้สึกเช่นไร

“ทั้งๆที่ผมคิดว่าคุณจะ...”ธีรเดชพึมพำ มองใบหน้าและดวงตาทอแววชอกช้ำ

“ให้ผมมานั่งฟังคำรำพันทั้งๆที่คุณไม่เคยทำอะไรนะหรือ มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่ทำ คนโง่ๆ...”

มองกระจก เงาที่สะท้อนมากลับเป็นตัวเขาเองที่เปราะบาง น่าสมเพช คนที่โง่ก็เป็นเขาเช่นกัน โง่ที่ไม่ยับยั้งช่างใจเอาไว้จนต้องเจ็บปวด ธีรเดชมองเสี้ยวหน้าของกิ่งไผ่ มันช่างไร้อารมณ์หากบาดหัวใจลึกเมื่อพิศเข้าไปในแววตาสีดำที่ร้าวรานไม่แพ้เขา

“ผมอาจจะเป็นคนโง่ คุณไม่รู้ความรู้สึกของผม...”

“ไม่รู้หรือ? ถ้าไม่รู้ผมจะมานั่งรับฟังคุณอยู่แบบนี้รึไง? คุณต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย เป็นคนเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดที่สุด”

เสียงเพี๊ยะดังขึ้น กิ่งไผ่ไม่คาดว่าธีรเดชจะตบหน้าเขา ชา...เจ็บแปลบในอก ช้อนสายตาขึ้นมอง

“เจ็บใจสินะครับที่คุณนะ...ที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพูด”

ธีรเดชมองมือตัวเอง เขาถูกอารมณ์ชั่ววูบครอบงำ ไม่ฟังคำที่กิ่งไผ่เอ่ยประชด คนอ่อนใจทรุดนั่งลง หลับตาแน่นสะกดกลั้นน้ำตา

“ไผ่”

ธีรเดชเตรียมขอโทษ กิ่งไผ่ยกมือห้าม

“หยุดกับนิสัยแบบนั้นของคุณได้แล้ว ผมเกลียด ไม่อยากฟังมันถ้าคุณจะขอโทษ รู้ไหมผู้กองธีรเดช เวลาคุณทำอะไรผิดคุณมักจะขอโทษ...ผมรู้ว่ามันดีต่อคนอื่น สำหรับผมแล้วมันให้ความรู้สึกน่าสมเพชมากกว่า”

ธีรเดชนิ่ง มองสีหน้าเหน็ดเหนื่อย

“คนที่คุณรักทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีปัญญาจะรักก็ยังรักเอาคนอื่นมาเป็นตัวแทน สำหรับคุณมันคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยมั้ง มีความสุขไหมที่ได้ตัวปลอมปลอบขวัญ”

กิ่งไผ่กัดริมฝีปากล่าง หลับตาลง...เคยได้รับอ้อมกอดแกร่ง มาบัดนี้มันกัดกร่อนทำลายความรู้สึกให้ร่วงกราว พังลงช้าๆ กิ่งไผ่มองท้องฟ้าอยู่ชั่วครู่ด้วยสีหน้าเศร้าล้ำลึก ก่อนหันมองใบหน้าแกร่งตรงๆ

“ที่ผมพูดกับคุณก่อนที่จะมาที่นี่คุณไม่เข้าใจเลย หรือว่าผมต้องการจะสื่ออะไรทั้งๆที่ผมคิดจะอดทนเก็บความรู้สึกไว้ เพราะสักวันเราต้องจากกัน ธีผมรู้ว่าสิ่งที่คุณทำกับผมก็เพื่อผลประโยชน์ แต่ผมก็อดรู้สึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า...ว่าในใจของคุณจะมีผมบ้างแต่ก็เปล่าเลย ผม...บ้าไปเองที่คาดหวัง”เอ่ยออกไป ในเมื่อเจ็บปวดจนทนไม่ไหวได้แต่ตัดด้ายที่เกี่ยวพันใจให้ขาด

“ผมน่าจะพูดไปตรงๆนะว่าผมรู้สึกอิจฉาคนที่คุณรัก”

ธีรเดชได้ฟัง ชายหนุ่มก็อึ้งไป สีหน้าและดวงตาไม่เปลี่ยน มีเพียงสายตาเท่านั้นที่อ่อนลง

“นั่นเพราะอะไรรู้ไหม เป็นเพราะผมรักคุณ!”

บอกความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจออกไปก่อนรับความผิดหวัง ไม่น่ากลัวสำหรับกิ่งไผ่หรอก..ใช่ ไม่น่ากลัวเลย ชีวิตที่อยู่บนความหวัง หลายครั้งที่มันไม่ได้ดังใจ เขาก็ได้แต่ทอดถอนใจ ธีรเดชได้ฟัง เขาตกใจยิ่งกว่ารู้ว่ากิ่งไผ่เป็นอดีตลูกเจ้าเมือง สายตาสีดำฉายความรักต่อเขาอย่างมากมาย ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ

“คุณจะรักผมได้ไง...”

ธีรเดชอึกอัก กิ่งไผ่ยิ้มเศร้า

“นั่นสินะ...ว่ามันจะเป็นความรักได้อย่างไรในช่วงระยะเวลาสั้นๆ”

ธีรเดชไม่เคยเชื่อ แม้จะทำให้เจ็บแปลบ หากกิ่งไผ่เม้มปากแน่น เขารู้ดีหากพูดออกไป อีกฝ่ายย่อมปฏิเสธและมันก็จริง ไม่อาจห้ามได้อีกแล้วกับความรู้สึกรักที่รุนแรง พร้อมยอมรับการสูญเสีย

“ผมไม่เคยรู้”

ธีรเดชปฏิเสธ ไม่ยอมรับ กิ่งไผ่พอเข้าใจมองธีรเดชที่ทำหน้าไม่ถูกกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชายหนุ่ม

“คุณกลับไปเถอะ ในเมื่อผมพูดแล้วรั้งให้คุณลำบากใจละก็ ผมขอบคุณสำหรับความอ่อนโยนที่มีให้ผมทั้งหมด ขอบคุณ”

เอ่ยเสียงแผ่ว มองธีรเดชที่เดินจากไปจริงๆ ภายในดวงตาของชายหนุ่มเปี่ยมด้วยความสับสน แล้วกิ่งไผ่ร้องไห้เงียบๆ ให้น้ำตารินรดลงบนแผลใจ

------------------------------------------------

ธีรเดชไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคนั่นรักเขา รักรึ...คำๆนั่นซ่านลงไปในจิตใจ หันมองไปยังทิศทางที่จากมาอีกครั้ง คิดถึงริมฝีปากขยับไหวเอ่ยความรู้สึก มันลบเลือนความเศร้าที่เกิดจากเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลได้ เดินไปเรื่อยๆจนพบกับผู้กองภานุยืนสูบบุหรี่อยู่

“คิ้วขมวดเชียวครับผู้กองธี มีอะไรคิดไม่ตกหรือ?”

ธีรเดชเงยหน้ามองผู้กองภานุ

“แล้วผู้กองละครับมายืนคิดอะไรอยู่ตรงนี้”

ไม่ตอบคำถามกลับตั้งคำถามแทน

“คิดถึงคุณหมอธาร ผมเป็นห่วงเขาอยากให้งานเสร็จสักทีจะได้ไปอยู่ดูแล”

ภานุตอบตรงๆ ธีรเดชสะอึก

“งั้นหรือครับ”

สายตาคมจ้องใบหน้าอึดอัด

“คุณจะดูแลดีไหม”

ภานุมองเสี้ยวหน้า จำคำพูดของธีรเดชตอนออกลาดตระเวนร่วมกันได้ฝังใจ

“แน่นอน...”

ชายหนุ่มเอ่ยมั่นใจ ธีรเดชเยาะ

“คุณทำได้ไม่ดีหรอกผู้กอง ผมนะดูแลธารมาตั้งแต่เป็นทส.ผมรู้เรื่องของเขาทุกอย่าง รู้...เรื่องที่เขารักคุณและเจ็บปวดมากขนาดไหน ผู้กองภานุคุณไม่มีทางทำให้เขามีความสุขได้หรอก”

ภานุนำบุหรี่ออกจากปาก จ้องธีรเดชเขม็ง ก่อบรรยากาศตึงเครียด

“คุณดูแลเขาในสมัยอดีต นั่นมันจบลงแล้ว ในปัจจุบันนี้ ผมจะทำให้เขามีความสุข ขอให้ผู้กองธีตัดใจเถอะการที่ผมทำให้เขาเจ็บปวดใจผมจะรับผิดชอบเอง”ภานุพูดตรงๆ

ธีรเดชเงื้อมือขึ้น สุดท้ายก็ลดมือลงอย่างผู้แพ้

“จริงสิ...ธารรักคุณมาก...รักจนตามหา เป็นเช่นนั้นแล้วผู้กองอย่าทำให้ธารเจ็บปวดใจอีกล่ะไม่อย่างงั้นผมเอาคุณตายแน่”

เอ่ยจบก็เดินผ่านภานุอย่างผู้พ่ายแพ้แม้จะโกรธที่รู้ว่าตัวเองแพ้แต่ในใจกลับสงบ...สงบจนน่าประหลาด ภานุสูบบุหรี่ต่อพ่นควันขาวเป็นทาง

หึ...ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเด็ดขาด!

ภานุเอ่ยกับตัวเองแล้วเดินหนี สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้ ภานุมองเข้าไปภายในเห็นใบหน้าซบลงกับฝ่ามือ น้ำตารินไหลผ่านร่องนิ้วหยดลงสู่พื้น สังเกตอยู่เงียบๆว่าเหตุใดกันอดีตบุตรเจ้าเวียงนวรัฐะถึงร่ำไห้ ดูเหมือนว่ากิ่งไผ่ไม่เห็นเงาของภานุ เงยใบหน้าเปื้อนด้วยคราบน้ำตาขึ้นจับจ้องยังประตู ดวงหน้าสวยงามตอนมีน้ำตาคลอในดวงตา ระริกไหว...ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งจนทำให้ภานุรู้สึกหวั่นไหวไปเลยทีเดียวถ้าไม่นึกถึงสายน้ำที่คอยชโลมใจ ไม่อยากเข้าไปรบกวนหรือทำให้เสียความรู้สึก กำลังเดินหนี ได้ยินเสียงร้องไห้สั่นเครือ...มันทำให้ภานุหยุดลงด้วยความใคร่รู้ทันใด

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-12-2008 16:42:01
คงไม่มีใครเร็วเท่าเรา  :laugh: ได้จิ้มพิมอีกแว้ว  :z2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 20-12-2008 16:48:18
มาลงซะอ่านแทบไม่ทัน
คู่ธีกับไผ่ก็เศร้าจัง อีกคู่ก็ยังอึมครึมอยู่
ไงขอมาจิ้มไว้ก่อนนะครับ
รับรองมาอ่านแน่นอน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 20-12-2008 17:42:56
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

มาตบหน้ากิ่งไผทำไมนิ

คนใจร้าย..โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 21-12-2008 10:19:44

55 Asahi โดนฟ้องแน่ๆ 50 ล้านเลย  พี่หน้าเลือด  :laugh:


 :m17:ถ้าพี่ต้องการจริง ๆ ผมก็คงไม่มีจ่ายให้หรอกครับ

นอกจะชีวิตและหัวใจของผมที่พี่จะได้ไป

ปล.เน่าจังแว๊ ~~~~~  :m29:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 21-12-2008 11:42:18
ผู้กองธีรเดชเอ๊ย...

ระวังเถ๊อะ...

กว่าจะรู้ใจตัวเอง

ระวังจะสายไปน่ะนั่น

ผู้กองภานุก็พยายามต่อไปน๊า สู้ๆ

ปล. หมั่นไส้อิพ่อตา(นายพลพิภพ) จริงๆ เลย น่าตบหัวนัก  :beat:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 23-12-2008 18:18:46
 :z3: :z3: :z3:

มีใครอยู่บ้างม๊าย |||~
 :pig4:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-12-2008 18:59:56
หนึ่ง  ไวปานวอก จะมาจิ้มตูดเราทำไมเนี่ย ไม่ค่อยได้ล้างตูดด  o22
Pupper  ลงเยอะไปหน่อย 55  จริงๆ ตอนแรกกะว่าจะลงก่อนไปเที่ยวไง ไว้ตามอ่านแล้วกันนะ
19NT  เนอะ  ใจร้ายจริงๆ ด้วย  มาตบหน้ากิ่งไผ่ทำม้ายยย  เรื่องนี้กิ่งไผ่ของเราออกแนวเศร้า กดดัน อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
Asahi  555 ถ้าคุณน้องจะให้ชีวิตและหัวใจพี่  พี่ก็จะรับไว้ในอ้อมใจจ๊ะ  กรี๊ดดดดดดดดดด  เน่าพอก้านน เอิ๊กๆ
Xeroz  คุณน้องมาแนวโหดนะ  อยากตบหัวท่านนายพล  แต่มันก็น่าหมั่นไส้เหมือนกันเนอะ 55

อ่ะ  มาต่อกันเลย  วันพรุ่งนี้อาจจะมาต่ออีกครั้ง แล้วจะหายหน้าไปซัก 4 วันนะ  :z2:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 34 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART3)

ฟังเสียงร้องไห้ ราวกับว่าสูญสิ้นทุกสิ่ง มันเย็นสะท้านใจ ฟังอยู่เงียบๆ แบบนั้น คำพูดที่บอกออกไปทำให้ต้องห่าง พอภานุได้ยินเสียงร้องไห้เงียบงันไป เขาคิดจะเดินหนีหากต้องชะงักฝีเท้าเมื่อพบกับสายตาที่จับจ้องรงมาอย่างเครียดขรึม....

สิ่งที่ธีรเดชได้รับฟัง มันทำให้ตัวเขาสับสน คิดด้วยใจไม่สงบ คำบอกรัก ความหวั่นไหว ดวงตาที่โกรธขึ้ง ในใจอ่อนล้า มองไปทางบ้านพักของกิ่งไผ่ เขาตัดใจลุกขึ้น ตั้งใจจะไปหา หากสุดท้ายลังเล ทรุดนั่งกุมมือแน่น ชั่งใจ สุดท้ายแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปหากิ่งไผ่ เขาชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุย

“I can’t take it any more...”

ธีรเดชรับฟัง น้ำเสียงเจือความสั่นเครือ ใคร....สงสัยว่าใครหนออยู่ในห้องของกิ่งไผ่

“คุณทนรับอะไรไม่ได้ล่ะ?”

น้ำเสียงคุ้นหู ธีรเดชปวดแปลบอยู่ในใจ ผู้กองหนุ่มกอดอกรับฟังคำสนทนาระหว่างคนทั้งคู่

“ที่คุณพูดแบบนี้แสดงว่าคุณไว้ใจในตัวผม อะไรที่ทำให้คุณทนไม่ได้ โปรดบอกผม”

น้ำเสียงภานุนุ่มนวล หนักแน่น มั่นคง

“ความเป็นอยู่รึ ไม่ได้รับความสะดวกใจขอให้บอกทางเราจะจัดการให้”

“ไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น....”

กิ่งไผ่เอ่ย ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีกับสิ่งที่อยู่ในอก เขาไม่อยากพูดกับสิ่งที่ไม่อาจหวนคืน

“เกี่ยวกับเรื่องผู้กองธีหรือเปล่า?”

ใบหน้าของอดีตลูกเจ้าเวียงวนรัฐะเงยขึ้นสบดวงตาคมดุ

“ใช่ไหมครับ?”

ภานุถามย้ำ กิ่งไผ่มองดูท่าที เขายังไม่ตอบในตอนนี้ สายตาแกร่งกร้าวมองใบหน้าสวยงามดั่งเทพธิดาจำแลง

“ครับ ถ้าคุณรู้สึกดีขึ้นแล้วผมคงต้องขอตัว อ้อ และขอโทษด้วยที่เสียมารยาทมาแอบฟังคุณแบบนี้”

ผู้กองภานุยืดตัวขึ้น

“ยังไงก็ขอบใจในความห่วงใยของผู้กองนะครับ”

อดีตลูกเจ้าเวียงวนรัฐะเอ่ย ภานุยิ้มตรงมุมปาก ออกไปนอกห้องพบกับร้อยเอกธีรเดชซึ่งกอดอกมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“คุณกับเขาคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันยาว ผมก็ไม่รู้ว่าคุณกับเขามีเรื่องอะไรกัน แต่คิดว่าน่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง”

เอ่ยจบภานุเดินออกไป ทิ้งให้ธีรเดชนิ่งอึ้ง ชายหนุ่มมองร่างที่นั่งนิ่ง มองตรงมายังเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ชายหนุ่มทำท่าจะถอยห่าง แต่ตัดใจก้าวเข้าไปในห้อง ก่อเกิดความเงียบงัน ห่างกันเพียงก้าว...รู้สึกว่ามันดูห่างไกลหลายโยชน์

“คุณมาที่นี่ทำไมอีก?”

กิ่งไผ่ถาม ธีรเดชอึ้งไปพักใหญ่ๆ

“ยังไงผมก็มีสิทธิ์เข้ามามิใช่หรือ?”

อดีตลูกเข้าเวียงเงียบ ผู้กองหนุ่มจ้องใบหน้าอึดอัดเล็กน้อย ทั้งคู่คล้ายถูกบังคับให้อยู่ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วต่างฝ่ายต่างอย่างหลีกหนี

“ที่บอกว่าคุณรักผม จริงรึ?”

“ผมไม่โกหกความรู้สึกของตัวเอง เพราะผมรู้ว่ามันรั้งแต่จะทำให้สูญเสียในสิ่งที่เราต้องการ หรือคุณโกรธผมที่ผมบอกกับคุณไปแบบนั้น ความรู้สึกของผมทำให้หนักใจหรือ แค่อยากให้รับรู้ไว้เท่านั้น คุณไม่ต้องจำ ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะรำคาญ”

“ผมแค่ตกใจ...”ธีรเดชเอ่ย

รอยยิ้มกิ่งไผ่ช่างมัวหมองดั่งตะวันถูกเมฆฝนบดบัง

“ผู้กองยังห่วงความรู้สึกผมหรือ มัน...ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”

ไม่อยากให้ชายหนุ่มมาสมเพชกับสิ่งที่ตัวเองกระทำลง เพราะบางครั้งแล้วการสงสารมันอาจทำให้เกลียดตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม

“ผม...”

ธีรเดชไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร จะหนีจากสถานการณ์นี้ไม่ได้ มันต้องจัดการให้เรียบร้อย หากยืดเยื้อไป ต่างฝ่ายต่างต้อง ‘เจ็บ’

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก กลับไปเถอะครับ ผมขอร้อง”

ธีรเดชก็ยังยืดเยื้อกับความรู้สึกของชายหนุ่ม ยิ่งทำแบบนี้ไม่รู้เลยรึไงว่าทำให้ใครต้องปวดร้าว สายตาที่มองมามันตอบอะไรให้กับเรื่องราวนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีทางแล้ว อดคาดหวัง คิดเข้าข้างตัวเองว่าหากอีกฝ่ายยังห่วงอาทร ในใจยิ่งหวั่นไหว ผู้กองธีส่งสายตาอ่อนล้าราวกับขบคิดปัญหาไม่แตก กิ่งไผ่เห็นสายตานั่น ชายหนุ่มได้แต่นั่งลง เพราะไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลย

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-12-2008 19:02:07
ใบหน้าแหงนมองท้องฟ้า สีดำมืดฉาบโลกไว้พาใจให้หม่นมืด ธีรเดชนั่งใจลอย ในที่สุดเขาก็เดินออกมาโดยที่ทิ้งไว้ให้กิ่งไผ่นิ่งเงียบ สีหน้าที่ซ่อนใต้เรือนผมหนาเหลือเพียงความว่างเปล่า

“คิดไม่ตกเรื่องของอดีตลูกเจ้าเมืองรึไงผู้กองธี”

ภานุที่เดินมาหยุดข้างๆถาม ธีรเดชเหลือบตามอง

“ผู้กองภานุไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ?”

ธีรเดชไม่ตอบ ย้อนถามกลับ ร้อยเอกภานุถอนใจเฮือก

“ผมแต่เข้าไปถามเขาเผื่อว่าเขาจะใจอ่อนยอมบอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องการโจมตีหน่วยลาดตระเวนเราเท่านั้นเอง”

“แค่นั่นเองรึ”น้ำเสียงของธีรเดชดูเครียด

“แล้วผู้กองคิดว่ามันจะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”

ธีรเดชนิ่งเงียบ หลับตาลง ภานุยิ้มเยาะ

“คงไม่คิดว่าผมไปทำอะไรเขาหลังจากมีเรื่องกับผู้กองธีหรอกนะ?”

ธีรเดชลืมตาที่มีแต่ความคิดมากขึ้นกระชากคอร้อยเอกภานุขึ้น

“ผู้กอง!”

แรงกระชากทำให้ร้อยเอกภานุเกือบเสียหลัก โชคดีที่มันทำให้วางมาดผู้ที่เยาะเย้ยได้ ธีรเดชมองอย่างขุ่นเคืองสุดท้ายแล้วก็จำต้องปล่อยมือเมื่อได้ยินคำพูดของภานุ

“ผู้กองธีโมโหเรื่องอะไรกันแน่ครับ”

ธีรเดชที่ได้แต่เก็บความขุ่นเคืองใจ รู้ว่าภานุเข้าใจ

“หรือเคืองที่ยังไม่อาจแก้ไขเรื่องยุ่งยาก?”

ธีรเดชทรุดนั่งลงเมื่อผู้กองภานุนั่งลง มองดูท้องฟ้าไร้แสงดาว

“ผมไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงดี”

“รำคาญรึ”

ภานุตีความหมาย ธีรเดชส่ายหัว ชายหนุ่มกำมือแน่น ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

“ดูท่า...เขาจะมีความรู้สึกพิเศษต่อผู้กองธีนี่”

“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นได้เลย ว่าเขาจะรักผม”

“ผู้กองรังเกียจความรู้สึกนั่น?”

ธีรเดชถอนใจออกมา

“เปล่า ผมนั่นแหละที่ผิด ที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น...รักจนไม่อาจตัดใจ”

ภานุนึกถึงต้นธาราขึ้นมาทันทีทันใด มือกร้านถูไปมาอย่างเหม่อๆ

“ถ้าคุณไม่ได้รักเขา ก็อย่าให้ความหวังเลย ตัดให้ขาดแล้วเขาจะได้รู้สึกตัวสักที”

“ผมทำไม่ได้ ผม....”ธีรเดชก็ยังจะรั้งความเจ็บปวดเอาไว้

“ทำแบบนั้นไม่ดีต่อใครหรอกนะครับผู้กองธี”ภานุเอ่ยก่อนลุกขึ้น

“ผผมเคยเจ็บปวดจนเกือบจะเสียของสำคัญไป มันเป็นเพราะการตัดสินใจผิดแท้ๆ ผู้กองก็อย่าเป็นแบบนั้นก็แล้วกัน...”

กล่าวทิ้งท้ายก่อนให้ธีรเดชนั่งอยู่ตามลำพัง

------------------------------------------------

ความรู้สึกที่จางไป มันทำให้กิ่งไผ่เศร้าได้แค่ครั้งเดียว เพราะรุ่งเช้า เขาตื่นขึ้นมา เขาพยายามลืมเลือนความรู้สึกนั่น ชายหนุ่มเข้ารวมการประชุมสืบสวนกับทางการไทย บางคำถามทำให้เขาต้องเงียบงัน

“การที่คุณหนีมากับผู้กองธีนั่นก็เพราะว่าโดนตามล่าตัวรึ จากกลุ่มของนายกฤษดา รายนี้เป็นนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ เขามีส่วนเกี่ยวอะไรกับกองกำลังของฝ่ายคุณ ทำไมถึงได้สนับสนุนและเข้าร่วมโดยที่คุณไม่รู้ปูมหลังเขา?”

“เขาสนับสนุนกองกำลังเราด้านอาวุธ เราจำต้องร่วมมือโดยที่ไม่รู้ว่าเขาได้เงินส่วนนั้นมาจากไหนแต่...มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี้สำหรับการช่วยเหลือทางด้านการเงิน”กิ่งไผ่ตอบ

“ทำไมเขาทรยศคุณ”

“นั่นก็เพราะว่าต้องการคุมค่ายและเราก็มีปัญหากับนายพลคะฉิ่นมานานแล้ว นายกฤษดาน่ะเป็นแค่หนอนบ่อนไส้ คิดช่วงชิงและทำลายกองกำลังเรา”

ผู้พันชานเนนที่สอบถามหันไปกล่าวกับสองนายพลที่รับฟัง

“เวียงวนรัฐะเกิดจารจลในการช่วงชิงอำนาจครับ ทำให้สองขั้วอำนาจคือนายพลคะฉิ่นกับนายพลอินคานแตกคอกัน อีกอย่าง...สองท่านนี้เป็นพี่น้องกัน”

คำกล่าวของนายพลชานเนนทำให้กิ่งไผ่ที่มีสีหน้าเรียบเฉยตลอดขุ่นเคืองใจ

“กลายมาเป็นสงครามที่แย่งยิงเมืองคืน”

นายพลพิภพผงกหัว

“ตอนนี้ท่านนายพลอินคานอยู่ที่ไหน?”

“ไม่ทราบ เราแยกจากกันตอนช่วงที่กำลังชุลมุนเป็นตายร้ายดีอย่างไรผมไม่อาจตอบได้”

คำกล่าวห้วนๆทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ

“งั้นตอนนี้กองกำลังคุณก็คงไม่มีเหลือ?”

กิ่งไผ่ผงกหัว สีหน้าเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณพอจะช่วยเหลือเราในการสืบต้นตอไปถึงขบวนการขนส่งของกฤษดาได้ไหม?”

“เรื่องนั้นผมช่วยแน่ เพราะเกี่ยวพันถึงตัวนายพลคะฉิ่นด้วย”

กิ่งไผ่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาลุกขึ้นเมื่อเสร็จสิ้นการประชุม พอเดินผ่านธีรเดชซึ่งมองหน้า อดีตลูกเจ้าเวียงเดินคอเชิดตรงท่ามกลางผู้คุ้มกัน

------------------------------------------------

เมื่อความรู้สึกมันเปลี่ยนไป มันไม่มีทางไหนที่จะทำให้เหมือนเดิมได้อีกแล้ว พอคิดแบบนี้ธีรเดชราวกับถูกเข็มทิ่มในอก ชายหนุ่มได้แต่มองร่างสูงเดินผ่านด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก ยิ่งดูห่างไกลเสียทุกทีๆ ชายหนุ่มกลับที่พัก นั่งพิงขอบเตียงคิดเงียบๆ

...ที่ผ่านมาผ่านความลำบาก เผชิญกับเรื่องต่างๆ เขาได้เห็นการกระทำของกิ่งไผ่ เหมือนกับจะหลอกหลวงเขา เจ็บปวด โดดเดี่ยว...

สีหน้าของผู้กองหนุ่มคิดไม่ตก เขามีสัมพันธ์กับอีกฝ่าย สัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดไว้ คิดแค่เพียงการหลอกใช้ ทำไม...สายตาเจ็บปวด เศร้าถึงได้มองมาให้เขาได้สับสน ดวงตาสีน้ำตาลของต้นธาราคล้ายๆกับจะเลือนไป ทดแทนด้วยดวงตาสีดำที่จ้องด้วยความร้าวราน ต้นธารา...คนที่เคยรักมีความสุขกับคนที่ตามหา เหลือแต่เขาซึ่งได้แต่เก็บความรักเงียบๆ เคยคิดว่าเจ็บปวด ทว่ามันไม่เหลือความรู้สึกนั้นอีกแล้ว ธีรเดชลุกขึ้น ความรู้สึกในใจเอ่อล้นกับคำบอกรักที่ละลายในอก น้ำที่พร่างพรม มีเขาคนนั้นเท่านั้นที่ร้องไห้เพื่อเขา ดวงตาสั่นไหวเพียงคู่เดียวที่มอบให้เขา เปี่ยมด้วยความอ่อนหวาน และเศร้าสร้อยที่สุด เขาเองที่เป็นฝ่ายทำร้ายอีกฝ่าย อยากพบอีกครั้ง...ชายหนุ่มลุกขึ้น อาจจะสายไปแต่เขาต้องกลับไปแก้ตัวใหม่ ทบทวนว่าหัวใจในตอนนี้ เขารักใคร เมื่อตัวเองสับสนอยู่แบบนี้ ร้อยเอกหนุ่มเดินไปหากิ่งไผ่ที่ห้อง อดีตลูกเจ้าเวียงวนรัฐะกำลังนั่งคุยกับภานุ สีหน้าไร้ซึ่งความเจ้บปวดและไร้ซึ่งคำบอกรัก รอยยิ้มที่ไม่ค่อยปรากฏเผยออก ธีรเดชได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าคนทั้งคู่คุยอะไรกัน เหมือนกับว่าสถานที่ที่กำลังจะก้าวเข้าไปกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามทันที

...ทำไม ภานุมาอยู่ที่นี่?...

พยายามคิดในแง่ดี มองหาทหารที่น่าจะเป็นเวรยามก็ไม่พบ พอกำลังลังเล สายตาดุดันมองเห็นตัวเขาพอดี

“อ้าว ผู้กองธีมีอะไรครับ?”

ภานุเดินตรงมาที่ประตู สายตาของธีรเดชมีคำถามในดวงตา


“แล้วผู้กองละครับ?”

“ผมรึ ผมถูกใช้ให้มาเฝ้าเวรยามแทนหมวดอานุภาพน่ะ”

“คุยอะไรกันเอ่อ...เขา?”สอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เรื่องทั่วๆไปน่ะ พูดไทยเก่งทีเดียวนะ แถมประวัติน่าสนใจด้วย”

“ยังไงครับ?”ธีรเดชไม่เข้าใจอะไรเลย

“ผมอ่านประวัติที่ผู้พันชานเนนนำมา เห็นว่าเคยอยู่โรงเรียนทหารเวสพอยท์ด้วย เป็นคนเก่งทีเดียว มีเรื่องดำมืดเยอะทีเดียว”

“ผม...”เขาไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ภานุยิ้มอ่อนๆ

“ผู้กองคงไม่ได้อยู่ร่วมประชุมอีกรอบตอนที่ให้คุณกิ่งไผ่กลับไปแล้วสิ?”

ธีรเดชผงกหัว

“แล้วผู้กองธีมีอะไรหรือเปล่าครับ”

ธีรเดชมองเข้าไปในห้อง เห็นสายตาทอดมองมา สายตาที่กลายเป็นสิ่งสูงค่าจนไม่กล้าเอื้อมถึงมันทำให้ชะงัก

“อ้อ เปล่า...เปล่า...แค่มาดูความเรียบร้อยเท่านั้น”

“อ้อ...ครับ ที่นี่เรียบร้อยดี”

“เอ่อ...ผู้กองภานุดูสนิทกับเขาเร็วจริงๆ”

ภานุหัวเราะในลำคอ

“ก็ชวนคุยไปตามประสาแหละครับ ผู้กองธีมีอะไรอีกไหมครับ หรือว่าจะคุยกับคนในห้อง”

ธีรเดชส่ายหัว ก่อนขอตัวออกมาเสีย ในใจรู้สึกเจ็บหนึบ แต่...เป็นตัวเขาเองที่ทำตัวเองมิใช่หรือ?

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 23-12-2008 19:03:54
 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:
มาแร๊ว !!!~
ขอบคุณค๊าบ
 
 :pig4:

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-12-2008 19:07:40
วันนี้ไม่ได้จิ้มเท่ร๊าาาาาก  :z3: :z3: โดนตัดหน้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 24-12-2008 14:55:49
เอาให้แน่นะคุณธี

ถ้ารักเขาก็รีบบอก  ก่อนที่มันจะสาย
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-12-2008 17:58:02
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 35 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART4)

http://media.imeem.com/m/hiwfC4paZr

ต้นธาราได้ออกจากห้องปลอดเชื้อแล้ว ชายหนุ่มมองเพดานห้อง....อีกไม่นานเขาก็จะได้ไปอยู่กับภานุ ในใจสุข ขณะคิดอะไรเพลินๆนั้นประตูห้องก็เปิดออก หันมองเป็นร่างป้าสม ใบหน้าของนางแจ่มใสขึ้นมาก นางมองดูใบหน้าของคุณหนูดูเปี่ยมสุข

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ป้าดีใจมากที่คุณหนูออกจากห้องปลอดเชื้อได้แล้ว”

รอยยิ้มของหญิงชราเผยให้เห็นถึงความโล่งใจ ต้นธารากระพริบตาปริบๆ มือเหี่ยวย่นวางทาบต้นแขน

“ผู้กองธีมาเยี่ยมคุณหนูค่ะ คอยอยู่ข้างนอก ทำหน้าเศร้าเชียวไม่รู้ว่าเป็นอะไร”

สีหน้าของคนป่วยดีใจ ผุดลุกจากเตียง

“ธีมาเหรอครับ มากับใคร?”

ใบหน้าซีดราวกับมีสีเลือดซับอ่อนๆ ประตูเปิดออก สีหน้าดีใจพลันมลายเมื่อเห็นร่างที่ก้าวเข้ามา

“ผมมาคนเดียวน่ะ”

ธีรเดชตอบก้าวเข้าใกล้เตียง สีหน้าดีใจค้างยิ้มอ่อนเพลีย

“ธี...”

“ป้าสมครับผมขอคุณกับธารตามลำพังสักครู่นะครับ”ธีรเดชร้องขอ

แม่นมของตนธาราผงกหัว คุณหมอมองเสี้ยวหน้าครึมๆก็เอ่ยปากถามอย่างป็นห่วง

“ธี...ไม่เป็นอะไรนะครับ?ตอนผมป่วยธีก็หายไปผมเป็นห่วง”

ธีรเดชยิ้มอ่อนๆ“ผมไม่เป็นอะไรหรอก ว่าแต่ธารเถอะสบายดี มาเยี่ยมคราวนั้นไม่ได้เข้ามาหาเลย”

“ผมสบายดีครับธี ไม่เป็นอะไรแล้ว เอ่อ...แล้ว...”

อยากถามถึงคนที่อยู่ในใจแต่ก็เกรงใจ ดูเหมือนธีรเดชจะเข้าใจ

“หมายถึงผู้กองภานุน่ะรึ ตอนนี้เขาติดงานน่ะ ผมลามาดูธารเท่านั้นแหละ”

ดวงตาคล้ายดั่งหมอกรางเลือนในแววตาคู่อ่อนโยน ต้นธาราเอื้อมมือแตะต้นแขนของชายหนุ่มเบาๆ

“ธีเงียบไปแบบนี้ เป็นอะไรไป”ถามเสียงเบา

ธีรเดชเงยหน้ามองผู้ที่ตัวเองรัก...มาเนิ่นนาน สายของอีกฝ่ายมอง...เป็นแค่เงา

“ที่จริงผมมานี่ตามลำพังเพราะมีเรื่องจะบอกธารน่ะ ถ้ามากับผู้กองภานุผมคิดว่าไม่สะดวกนัก”

“บอก?ธีจะบอกอะไรผมเหรอ?”

สายตาของชายหนุ่มมองใบหน้าซีดเซียว ไม่สดใส ธีรเดชกุมมือของต้นธาราไว้ คุณหมอสัมผัสถึงบรรยากาศแปลก

“ผมรักคุณ”เกิดความเงียบงันไปชั่วขณะ ธีรเดชเอ่ยตอบ “รักมานานแล้วตั้งแต่ผมเป็นทสของพ่อคุณ.”

ต้นธาราชักมือกลับ สีหน้าหนักใจ

“ธี...ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาธีก็รู้นี่ว่าธีเป็นได้แค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น”

ธีรเดชถอนใจเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ

“ผมรู้แล้วละธารว่าใจคุณไม่ได้รักผมเลย แค่ผมได้บอกคุณไปผมก็สุขใจแล้วล่ะ”

ต้นธาราเงียบงัน เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดๆมากล่าวดี

“ธาร...คุณไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องของผมหรอกนะ ขอให้คุณฟังคำบอกรักของผมแล้วให้มันจางหายไปกับสายลมเถอะ”

ธีรเดชบอกไปแบบนั้นแต่ในใจของต้นธาราราวกับมีคลื่นพายุลูกใหม่สาดกระทบเข้าฝั่ง มือหนากุมมือบอบบางไว้ความเย็นเยียบผ่านสู่ปลายนิ้ว

“ธาร มือเย็นเจี๊ยบเชียวไม่เป็นอะไรนะครับ?”

ธีรเดชเป็นกังวล ต้นธาราส่ายศรีษะ

“ไม่ครับ...”ต้นธาราตอบด้วยสีหน้าพยามทำให้สดใส

ธีรเดชลุกขึ้น“ผมมารบกวนธารพอแล้วล่ะ”ชายหนุ่มลุกขึ้น นั่นหมายถึงธุระจบลง

“ธี อยู่นานๆก็ได้นะ”

ธีรเดชยิ้ม“อยากอยู่ครับ แต่หนีงานมาแบบนี้เดี๋ยวแย่เอา”

มือที่กุมไว้ปล่อยออกอย่างเสียดาย สายตาสีน้ำตาลมองร่างที่เดินจากไป ป้าสมเข้ามาเมื่อธีรเดชบอกว่าเสร็จธุระแล้ว

“อะไรกันคะ ผู้กองธีมาแค่แป๊ปๆก็ไปแล้ว”

“ผู้กองมีธุระน่ะครับ มาบอกเรื่องธุระสำคัญเท่านั้นแหละ”

ป้าสมขมวดคิ้ว ต้นธาราก็ไม่ได้อธิบายมากความ

“เเออ จริงสิ ป้าเกือบลืมไปแล้วเชียว คุณท่านโทรมาหาเจ้าค่ะ ท่านดีใจที่คุณหนูออกจากห้องปลอดเชื้อแล้ว ท่านว่าจะให้ผู้กองภานุมารับไปที่นู่นน่ะค่ะ ตอนนี้กำลังทำเรื่องย้ายอยู่ คงสักเสาร์นี้แหละค่ะถึงเสร็จ”

ต้นธารารับฟังเงียบๆ

“ไปอยู่ที่เหนือป้าคงไม่ได้อยุ่ดูแลคุณหนูอีก”

ดวงตาสีน้ำตาลฉงนฉงาย“ทำไมครับป้า”ริมฝีปากซีดพึมพำ

“ป้าต้องอยู่ดูแลบ้านที่กรุงเทพนี่แหละค่ะ คุณหนูก็ไปอยู่กับคุณท่านที่นั่น...”

ต้นธารารับฟังก่อนนอนเงียบๆ รู้สึกว่าทุกอย่างมันกำลังเปลี่ยนไปให้กังวลใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

“ป้าไม่ไปกับผมหรือครับ?”

“ป้าแก่แล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างคุณท่านก็บอกว่าคุณหนูไปอยู่ที่นั่นก็มีคนดูแล ป้าเลยวางใจ”

ต้นธาราพิศมองร่างหญิงชราที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆจนกระทั่งเติบใหญ่ ในใจมีความรู้สึกหลากหลาย...อาจเป็นเพราะเหงารึเปล่าที่คิดว่าตัวเองเหมือนอยู่โดดเดี่ยว ทั้งเรื่องที่ผู้กองธีรเดชบอกรักอีก แม้จะรู้...แต่อดคิดถึงเรื่องที่เกิดมานานแสนนานแล้วอีกไม่ได้ ความรักแม้ว่าไม่ได้ครอบครอง ขอแค่ได้บอก มันดีแล้วหรือ? คุณหมอนอนคิด ยิ่งเย็นย่ำ ความกลัวราวกับเอ่อล้น...ทำไม? มองป้าสมที่นั่งอ่านหนังสือ ดวงตาเหม่อลอย

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-12-2008 17:59:05
ใกล้วันเสาร์เข้ามาในใจของต้นธาราก็กระวนกระวาย เรื่องที่ผู้กองธีรเดชบอกรักไม่เลือนลบไปจากใจ ความรู้สึกที่มีให้แก่ธีรเดชของเขาก็แค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ธีรเดชเคยเป็นที่พักพิงทางใจเมื่อเข้าหัวใจร้าวรานทั้งเรื่องพ่อและภานุ เขาเห็นแก่ที่ดึงรั้งความรู้สึกของธรเดชเอาไว้

“คุณหนูคะ เดี๋ยวคุณหมอมาดูตรวจดูอาการอีกรอบเจ้าค่ะ”

ป้าสมมารายงาน ต้นธารามองนายแพทย์ประจำตัวเดินเข้ามาตรวจดูความสมบูรณ์พร้อมของร่างกาย

“สุขภาพของคุณหมอธารแข็งแรงดีครับ”นายแพทย์อดิเรกเอ่ย “ต้องพักผ่อนมากๆไปอยู่ที่เหนือก็ทำตามทีหมอสั่งนะครับ”

ต้นธารารับคำ แล้วเเขาก็ได้ย้ายเตียงไปขึ้นรถที่รอรับ

“ฝากคุณหนูด้วยนะคะผู้กอง”

ภานุซึ่งประคับประคองให้ต้นธารานั่งให้เรียบร้อยนั้น ยิ้มให้กับป้าสม

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มรับปากก่อนจะขึ้นรถหลังล่ำลาเสร็จ ต้นธารานั่งกุมมือผอมๆของตัวเองไว้ สีหน้ากังวลใจ

“เป็นอะไรรึธาร นั่งทำหน้าบึ้งเชียว”

ต้นธาราไม่ได้ตอบคำถามอะไรเอาแต่ก้มหน้ามองดูมือตัวเอง ภานุเหลือบสังเกตอยู่ตลอดเวลา พอสบโอกาสจึงละมือจากพวงมาลัยเอื้อมกุม สายตาสีน้ำตาลเหลือบมองแม้ว่าจะสะดุ้งเล็กน้อย

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าธาร?”

ต้นธารายิ้มนิดๆเพียงเท่านั้นเอง

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

แล้วต้นธาราก็เงียบไป ภานุรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนักที่เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มปล่อยไว้ก่อนที่จะยุ่งเกี่ยวเรื่องที่ติดค้างในหัวใจอีกฝ่ายภายหลัง

“ไปถึงธารอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?”

ภานุชวนคุย หากต้นธาราส่ายหัวทื่อๆ

“เหนื่อยก็นอนได้นะธาร ถึงแล้วผมจะปลุกเอง”

ต้นธาราผงกหัว ก่อนพิงพนักหลับ มือวางพาดอยู่กับหน้าท้อง ใจของภานุดูเจ็บปวดเมื่อเห็นใบหน้าซูบๆ ข่มอารมณ์ไว้ ทั้งๆที่ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก

------------------------------------------------

เมื่อต้นธารามาถึงยังบ้านพักในค่ายใครๆต่างมาเยี่ยมคุณหมอ ต่างต้องตกใจเมื่อรู้ว่าต้นธารานั้นเป็นลูกใคร

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะคุณหมอธารว่าคุณหมอจะเป็นลูกชายของนายพลพิภพ”

คุณหมอมาริสาเอ่ย ต้นธาราได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ จ่าแม้น ร้อยเอกรังสรรค์วางดอกไม้ซึ่งเป็นของเยี่ยมให้

“เห็นว่าผู้พันมีทรัพย์จะมีแขกสำคัญมาไม่คิดว่าจะเป็นคุณหมอเลย”ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ย

ต้นธารายิ้มอ่อนๆ“ครับ...เอ่อ..แล้วผู้กองกับจ่าเป็นอย่างไรบ้างครับ?เห็นว่าบาดเจ็บ”

“สบายๆครับคุณหมอ”

จ่าแม้นตอบ สายตาของต้นธาราสอดส่ายหาอดีตคนเคยร่วมงาน

“แล้วหมวดอานุภาพล่ะครับ?”หันมองรอบๆห้อง แล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“อ้อ หมดอานุภาพเขาดูแลแขกพิเศษอยู่น่ะ”

หัวคิ้วของต้นธาราย่นเข้าหากัน

“แขก?”แต่แล้วผู้พูดก็เปลี่ยนเรื่องเสีย

“ท่านนายพลมาแล้ว”

นายพลพิภพเดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึม

“งั้นพวกเราแยกย้าย”

ผู้เข้ามาเยี่ยมทยอยกลับ คงเหลือแต่ผู้พันมีทรัพย์และร้อยเอกภานุ

“ธีล่ะ?”

ต้นธารากระซิบถาม ไม่มีใครให้คำตอบ นายพลพิภพเดินเข้ามาดูบุตร

“ธาร...ลูกเก่งมากนะที่อดทนได้มาถึงป่านนี้”

มือสากจับมือขาวซีดของบุตรขึ้น สายตาของเสือเฒ่ามองลูกชายด้วยความห่วงใยเปี่ยมล้น

“ครับพ่อ ได้กำลังใจจากพ่อแล้วก็ทุกๆคน มันทำให้ผมมีช่วงเวลานี้ได้ครับ”

ต้นธาราตอบพลางถอนใจ นายพลตบหลังมือบุตรชาย

“งั้นก็นอนพักซะลูก ตอนนี้พ่อมีงานเยอะเหลือเกิน”

พอทุกคนออกไป ภานุที่รั้งรออยู่คนท้ายสุดก็สืบเท้าเข้ามา ต้นธารายิ้มอ่อนๆให้แก่คนรัก

“เหนื่อยมากไหมธารนั่งรถมานานคงเมื่อยขบไปหมดสินะ”ภานุนวดบ่าให้เบามือ

“ธีล่ะ? มาถึงนี่ ผมไม่เห็นเขาเลย”

“เอ่อ...ผู้กองธีออกไปทำงานน่ะ ธารมีเรื่องอะไรล่ะ”ภานุตอบพลางทรุดนั่งยังเก้าอี้ข้างเตียง

“แล้วคุณละ ไม่ไปทำงานรึไง?”ต้นธาราถาม

“ผมรึ ก็ทำงานเสร็จแล้วไไง”

คนป่วยย่นคิ้ว“งานอะไร?”

“ก๊องานรับคุณไง”

ต้นธาราคลี่ยิ้มออกมา ภานุใช้มือแตะใบหน้าของต้นธาราเบาๆ ลูบไล้นุ่มนวลก่อนใช้นิ้วเกลี่ยริมฝีปากไร้สีเลือด คนป่วยจ้องใบหน้าดุดันเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยคำบอกรักของธีรเดชให้ภานุฟัง

“ผู้กองธีเขามาสารภาพรักกับผม”น้ำเสียงอ่อนล้า แผ่วเบาราวกับดอกไม้แล้งน้ำ

“ทุกข์ใจหรือ?” ภานุภาม

ต้นธารากลับยิ้มเศร้าๆ ผงกศรีษะ

“ธีน่ะ ผมเห็นว่าเป็นพี่ชายมานาน ให้ความเคารพเขา...ไม่เคยคิดว่าเขาจะรักผมจริงๆ ทั้งๆที่เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าผมรักใคร”

สายตาที่เอ่ยคำว่ารักทอดมองใบหน้าคมกร้าว ภานุเห็นสายตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่ก็ก้มจูบหน้าผากแผ่วๆ ต้นธาราดันไว้ทำให้ใบหน้าแกร่งที่โน้มเข้าหาชะงัก ก่อนจะเอ่ยต่อ

“ผมทำให้เขารักมานาน....แต่ก็ไม่อาจตอบสนองไปได้ เหมือนกับความรักของผู้พันนาคี”

ดวงตาสีน้ำตาลมีแววคะนึงหาเรื่องสมัยอดีตที่ควรลืมเลือนไปเสียที มันทำให้ภานุดูไม่สบายใจไปด้วย

“ธาร...เราไม่อาจย้อนเวลาไปไขอดีตได้อีก เราต้องอยู่ปัจจุบัน อย่าคิดถึงอะไรอีกนะธาร คิดถึงผม แค่ผมเท่านั้น”

ภานุเอ่ย ลุกขึ้นโอบกอดร่างของคนป่วยในอ้อมแขน แสงแดดยามเย็นสอดผ่านมุ้งลวดกระทบโต๊ะไม้ เงาของชายหนุ่มแข็งกร้าว โอบรอบเงาที่อ่อนไหวไปกับอารมณ์

“อื้ม...”ต้นธารารับคำ

ภานุปล่อยร่างคนป่วยออกจากอ้อมอก

“แล้วเรื่องของธีรเดชน่ะคุณไม่ต้องห่วงหรอก อาจเป็นเพราะเขายังสับบสนอยู่ก็เป็นได้”

“สับสน?”ต้นธาราทำหน้าฉงน

“อื้อ...แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะธาร”

คนป่วยอยากจะถามว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่ หากชายหนุ่มตัดบทก่อน ภานุเหลือบมองนาฬิกาแล้วทำหน้ามุ่ย

“ธารอยู่นะเดี๋ยวผมมา”

มองร่างสูงเดินห่าง ต้นธาราล้มตัวนอน ค่อยๆระงับอารมณ์กลัวที่เข้าเกาะกุม ท้องฟ้าฉาบสีส้ม เงาตัดกับกับท้องฟ้า ชีวิตที่ได้เกิดใหม่เฝ้ามองท้องฟ้า ผู้ให้ชีวิต...มีอยู่สองคน...หนึ่งคือร้อยเอกนาคีหรือว่าผู้พัน...และอีกหนึ่งชีวิตคือผู้กองภานุ สีหน้าอ่อนเพลียปรากฏ อย่างไรเสียก็ไม่อาจปล่อยอารมณ์ให้สบายใจได้เลย

------------------------------------------------

ภานุเดินออกมาจากห้องของต้นธารา พบเห็นนายพลซึ่งพิงเสาบ้าน ใบหน้าเสือเฒ่าดูอึมครึ้ม แม้ภานุจะเกร็งขนาดไหนชายหนุ่มก็อุตส่าห์กัดฟันเดินเข้าไปหา

“ขอบใจมากเรื่องที่ไปรับลูกฉันให้ ที่นี่ก็วุ่นๆยุ่งๆ ส่งร้อยเอกธีรเดชไปที่เวียงนวรัฐะกับพันเอกชานเนนเสร็จก็ไม่มีเวลาเลย”

ภานุรู้ว่าท่านอยากไปรับลูกเองกับมือมากกว่า ไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากนิ่งเฉย

“ผมยินดีรับใช้ท่านครับ”

“มีเรื่องอยากคุยด้วย”นายพลพิภพเรียก

ชายหนุ่มยืนตัวตรง

“ท่านมีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ?”

ดวงตาจ้องมองเสือเฒ่าขรึมๆ ดูท่าทีท่านนายพลอึดอัดใจเมื่ออยู่กับเขา

“เรื่องของธารนั่นแหละ อันที่จริงฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าแกเท่าไรนักหรอก แต่แกก็เป็นทีพึ่ง เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตธารแล้วฉันก็ได้แต่ภาวนาให้แกดูแลเขาให้ดี”

ภานุไม่แสดงอาการดีใจใดๆออกไป ได้แต่รับคำด้วยเสียงหนักแน่น

“ครับผม!”

รู้ดีว่าไม่ง่ายนักที่ท่านนายพลจะยกธารให้ง่ายๆ เป็นเพราะท่านไว้ใจ ท่านจึงกล่าวเช่นนี้

“อย่าให้มันเกินงามไปนักล่ะ”

นายพลพิภพกล่าวทิ้งท้าย ภานุมองท่านจนลับตาแล้วแวะเข้าไปหาต้นธารา

“ไปไหนมาหรือ เหมือนได้ยินเสียงพ่อ แต่จะใช่รึเปล่าก็ไม่รู้”

ภานุยิ้มบางๆ“ใช่ท่านจริงๆนั่นแหละ”

“อ้าว แล้วพ่อไปไหนแล้วล่ะ?”

“อ้อ ท่าน..เอ่อ...รีบไปทำธุระน่ะ”ภานุเอ่ย

คนป่วยทำหน้างุนงง

“ธาร...คืนนี้ออกไปกับผมได้ไหม?”

“ออกไป?”

ภานุยิ้มอย่างมีเลศนัย

“อะไรทำให้แปลกใจอีกแล้วสิ?”ต้นธาราว่า มองมือหนาห่มผ้าให้

“นอนพักเถอะครับ เอาไว้คืนนี้เดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละ”

ต้นธาราปิดเปลือกตาตามที่ชายหนุ่มบอก พอหลับไป ภานุพรูลมหายใจ สีหน้าหนักหน่วง

...งานที่เริ่มทำ มันอาจทำให้ต้องห่างต้นธาราสักระยะ ขอแค่ช่วงนี้...อยู่กับสายน้ำที่คอยโชลมใจ

ภานุยกแขนข้างหนึ่งของคนป่วย ประทับหลังมือเย็น ถ่ายทอดไออุ่นอ่อนโยนให้แก่อีกฝ่าย สีหน้าราวกับคนใกล้ตาย อยากแนบไว้ในอ้อมแขนไม่ให้หายไปไหน กุมผู้เป็นชีวิตครึ่งไว้แนบแน่นอย่างไม่มีวันปล่อย

------------------------------------------------

ตกดึกดวงตาสีอ่อนลืมขึ้นมา มองเห็นภานุเดินเข้ามาใกล้ ค่อยๆประคับประคอง ต้นธารามองรอบๆ เห็นว่าเบื้องนอกดึกจึงฉงนว่าทำไมภายในบ้านเงียบผิดปกติ

“พ่อ คนอื่นๆล่ะ? จริงสิ ผมลืมผู้พันชานเนนไปเลย เขากลับบ้านเมืองเขาแล้วรึ?”

ต้นธาราตั้งคำถาม ภานุรินน้ำให้ คุณหมอรับมาดื่ม ร่างสูงอาศัยช่วงนั้นอธิบาย

“ยังไม่เสร็จงานกันน่ะ”ตอบสั้นๆ

ต้นธาราไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก

“แล้วผู้กองภานุไม่ทำงานรึไง?”

“...งานผมอีกอย่างคือดูแลคุณช่วยคราวน่ะ มานี่สิ อาศัยช่วงที่ยังไม่มีใครมานี่แหละ ผมจะพาไปดูอะไร”

ต้นธาราถูกฉุดขึ้นจากเตียงจนต้องร้องอย่างตกใจมื่อร่างอยู่ในวงแขนหนา

“ป...ไปไหน”

ต้นธารามองไปยังที่ทิศทางที่ร่างสูงพาเดิน ดิ้นเล็กน้อยก่อนจะหยุดเสีย วงแขนแกร่งค่อยๆประคับประคองร่างอ่อนล้า

“ตัวเบานะ ต้องกินเยอะๆรู้ไหมจะได้บำรุง”ชายหนุ่มเอ่ย

ต้นธารามอง คนที่เคยเย็นชาอ่อนโยนยิ่งนัก วงแขนบอบบางกอดแน่น ผู้ที่บอกยิ้มน้อยๆ ภาพของทั้งคู่ มันทำให้คนที่มองมาจากหน้าต่างห้องพลันชะงัก ใบหน้าตื่นละลึงในสิ่งที่เห็น

“พาไปไหน”

ต้นธาราถามเพราะรู้สึกหนาว ภานุบอกให้อดทน ก่อนจะพามายังทุ่งโล่ง แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นดาวนับล้านดวง ท้องฟ้าสีกำมะหยี่สีดำถูกหว่านด้วยเพชรนับล้านดวง

“ดูสิ...”

ต้นธารามองตาม แสงดาวอยู่บนฟากฟ้า สวยสดงดงามประดุจอัญมณีเลอค่า ภานุวางร่างต้นธาราลงอย่างแผ่วเบา คนที่อยู่ในวงแขนซบกับอกอยู่เงียบๆ

“ไม่คิดว่าเซรไพรส์ของผู้กองช่างไม่เข้ากับนิสัยเอาเสียเลย”

ภานุหัวเราะ

“ยังมีอีกเยอะที่ธารยังไม่รู้เกี่ยวกับผม”

“ก็ยังหวานเลี่ยนได้ทั้งๆที่แต่ก่อน...”

ต้นธาราอ้าปากหาว ดวงตาปรือๆ ภานุจูบแนบหน้าผาก นั่งมองดาวด้วยกัน ได้หัวเราะ อยู่ในช่วงความสบายใจที่มีกันและกัน วงแขนโอบล้อมกายไว้แนบอก ภานุรู้สึกตัวเมื่อศีรษะเอนซบต้นขา ต้นธาราหลับใหลไป ชายหนุ่มปลดเสื้อนอกห่มให้ นั่งลูบผมสีน้ำตาลนุ่มมือเล่นอย่างใจลอย ผ่านไปนาน....ชายหนุ่มมองนาฬิกา พรายน้ำบ่งบอกว่าดึกแล้วจึงเขย่าตัวต้นธาราให้ตื่นขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลงัวเงีย ร่างสูงชวนขึ้นบ้านเสีย จูงมือเดินไปเงียบๆ จนถึงที่พัก หันมองอีกครา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากกอดเหลือเกิน ต้นธารายอมให้กอด เขานิ่งชั่วครู่ก่อนจะยกมือโอบรอบแผ่นหลังแกร่ง ริมฝีปากถูกแนบประกบทันที จูบ...เนิ่นนาน....จนต้นธาราต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแทน ทิ้งให้ภานุได้แต่อาลัย...กับรสจูบที่หวานล้ำ

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 24-12-2008 18:04:35

o14 ขอบคุณค๊าบ!!!~
คิดว่าวันนี้จะไม่ได้อ่านซะแล้ว
สุขสันต์วัน Christmas eve ครับ
 
:pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 24-12-2008 18:10:59
^
^
มาตามสัญญานะน้อง Asahi ขอบคุณที่เม้นต์นะ

คนอื่นๆ อ่านตามกันให้ทันเน้อ  อีก 4 วันจะมาต่อให้จ้า
ขอไปเที่ยวแป๊บบบบ  แล้วกลับมาจะมาต่อให้ทันทีเลย ขอโทษที่ต้องให้รอนะ


Wishing everyone a Merry Christmas na !!!

:L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-12-2008 18:12:36
(http://i200.photobucket.com/albums/aa319/teerak_photos/Merry_Christmas_Glitter_Wreath.gif)
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 24-12-2008 18:42:59
อ่านทันแล้วค๊าบบบบบบบ
คู่หมอธารกับภาณุก็ไปได้ด้วยดี
พ่อตาก็รับได้แล้ว
แต่ปัญหาที่สำคัญคือ ไผ่กับธี
จะยังไงกันต่อไปละครับ
ในเมื่อธียังสับสนกับรักฝังใจ
แต่ความรู้สึกในปัจจุบันที่กำลัง
จะมีใครมาแทนที่ และสำคัญสำหรับเขา
กว่าจะรู้ใจธีจะสายเกินไปไหม
น่าห่วงจริงๆคู่นี้
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 25-12-2008 10:08:10
Merry X'mas  

 :กอด1: :beat:

ที่รัก เที่ยวเผื่อเค้าด้วยนะ

รีบกลับมาล่ะ ไม่งั้น เค้าจะกินน้องซีให้หมดตัว :laugh:

ปล.เค้าพูดหวานมะตัวเอง..อิอิ หวานเนอะ..
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: menano ที่ 25-12-2008 11:01:16
^

^

^

โย่ววววววววว

มาจิ้มรีบน

 :z2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 25-12-2008 11:37:01
(http://i367.photobucket.com/albums/oo111/taan19/st2.jpg)

เดี๋ยวมาอ่าน

มาส่งการ์ดก่อนค่า

merry x'mas na ka



----------------------------

เย้..ดีใจที่พ่อคุณหมอยอมอ่อนลงแล้ววววววววววว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-12-2008 18:15:39

(http://i132.photobucket.com/albums/q8/oaw_eang/Catoon/x-mas.jpg)

นะคะคนสวย

อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 25-12-2008 20:26:33
(http://image.dek-d.com/15/605493/14352107)


MERRY CHRISTMAS ค่ะ พี่พิม ^_^
  :mc3:

:mc1:   :mc2:  :pig3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 25-12-2008 22:11:12
สุขสันต์วันพระคริสตสมภพครับ
ขอให้มีความสุขกันมากๆนะ
แล้วมาต่อตอนต่อไปนะครับ
ได้จิ้มคนแต่งด้วยอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-12-2008 13:40:17
กลับมาแล้ว  เย้ๆ  :กอด1:

ผ่านคริสต์มาสไปแล้ว  วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของปี 
สุขสันต์วันปีใหม่นะทุกคน  แฮปปี้ๆ  ขอให้ปีหน้าเป็นปีแห่งโชคนะจ๊ะ
 :L2:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 36 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART5)

“ไอ้ขิ่นโว้ย...”

เสียงของนายพลอินคานดั่งก้องกระท่อมหลังเล็ก เจ้าขิ่นโผล่หน้าออกมา เจ้าขิ่นมองเจ้านายที่นั่งกุมหน้าอก

“นาย...นายเป็นอะไรไป!”

ไอ้ขิ่นแตะบ่าร่างชราอย่างแผ่วเบา มองใบหน้าซีดขาว นางยะไข่ที่ออกหาผักนั้นรีบวิ่งเข้ามาดูอาการเช่นกัน

“ไม่เป็นไร...เอายา...ยามา”

ไอ้ขิ่นลุกขึ้นวิ่งตื๋อไปเอายามาให้ พร้อมกับน้ำ สายตาทอดมองกังวล

“นายพักก่อนเถอะ”

มันว่าพลางประคับประคองร่างชราภาพขึ้นไปนอนบนฟูกที่นางยะไข่ปูไว้ ดวงตาอ่อนล้าปิดสนิท ไอ้ขิ่นมองหน้ามารดา

“ท่านเครียดเกินไป”

นางยะไข่ว่าด้วยน้ำเสียงสงสาร ไอ้ขิ่นมีสีหน้าเศร้าๆเช่นกัน

“แต่ท่านก็ทำเพื่อพวกเราชาวเวียงวนรัฐะ”

แผ่นหลังของเด็กหนุ่มพิงพนังบ้านที่สร้างจากไม้ เก่าคร่ำคร่า

“ถ้าไอ้ทรราชมันไม่ทรยศ วันนี้ก็คงไม่มีแท้ๆ”

สายตาเศร้าสร้อยของไอ้ขิ่นเป็นประกายเพลิงวาวโรจน์จากความแค้นที่สั่งสม นางยะไข่มีสีหน้าซึมๆเซื่องๆ

“ฉันจะฆ่ามันแทนนาย แทนพ่อ แทนทุกๆคนที่ถูกมันกดขี่”

เจ้าขิ่นด่าว่านายพลคะฉิ่น นางยะไข่เช็ดน้ำตาคิดถึงสามี แต่แล้วต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืน ใบหน้าของนางลอกแลก นางยะไข่จับต้นแขนของบุตรชายไว้

“ใคร...ใครยิงปืน?”นางถาม

ไอ้ขิ่นเงี่ยหูฟัง“เสียงอยู่ไม่ไกลนี้เองจ้ะแม่”

ทั้งสองระแวดระวัง

“ฉันออกไปดูเองจ้ะ”

ยังไม่ทันไร มีกกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาใกล้นอาณาเขตลานบ้าน เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง สายตาไม่เชื่อ

“บ้านมันอยู่นั่น จับไปตัวเป็นๆคนอื่นฆ่าทิ้ง”

ไอ้ขิ่นบอกให้แม่และท่านนายพลที่เจ็บอยู่หนีไป ทว่ามันสายไปเสียแล้ว ร่างถูกตรึงด้วยปืนหลายกระบอก ชายฉกรรจ์ใบหน้าเหี้ยมเกรียมเดินมาใกล้ยังสามชีวิตที่คู้คุดอยู่ชิดผนัง

“มาหลบตัวแถวนี้เองรึท่านนายพลอินคาน”เสียงคุ้นหูเอ่ยทัก

ร่างของท่านนายพลถูกมัดไว้พร้อมๆกับนางยะไข่และไอ้ขิ่น ไม่มีสิทธิ์ที่จะดิ้นรนหนี

“ไอ้กฤษดา!”

นายพลอินคานที่ถูกจับมัดไว้ตวาด ไอ้ขิ่นก็เช่นกัน มันมองคนทรยศด้วยสายตาโกรธ แค้นเคือง

“ไอ้ชาติหมา!”

กฤษดาเดินเข้ามาใกล้ใช้เท้ายันหน้าอกของเด็กหนุ่มจนหงายหลังชนฝา

“เดี๋ยวมึงได้แดกลูกปืนแน่ไอ้เด็กปากดี”

เด็กหนุ่มไอโขลกๆ นางยะไข่มองดูบุตรที่ถูกคนชั่วถีบ ดวงตาหวาดหวั่นของนางกรุ่นขึ้น

“หึๆน่าสงสารท่านนายพลเหลือเกิน ถูกจับมัดไว้เหมือนกับหมาแบบนี้ คงไม่เชื่อสินะครับว่าข่าวรอดออกไปได้ไง คนที่ท่านส่งจดหมายไปให้ไง”กฤษดาซ้ำเติมเมื่อเห็นร่องรอยความรวดร้าวในแววตา

“แก...”

“คิดถึงสหายเก่าสินะครับ”

เสียงหัวเราะราวกับปีศาจชั่วช้าสามารย์ดังระคายหู นายพลอินคานหลับตาลง ในอกปวดแน่นทันทีจนตัวงอ ท่านไม่รับรู้อะไรแม้แต่เสียงกรีดร้องที่นางยะไข่และไอ้ขิ่นเรียกท่าน เสียงหัวเราะก้องกังวานดุจดังปีศาจร้ายเย็นยะเยือก

------------------------------------------------

ท่านลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกขังในคุก ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ เหลียวมองตามเสียงและเงยหน้าไล้จากปลายเท้าไป พบเห็นรอยยิ้มแสยะพร้อมกับผู้ติดตามเบื้องหลังใบหน้าขึ้งโกรธ

“แก....”

นายพลอินคานสบถ เจ็บปวดเมื่อเห็นนายพลคะฉิ่นซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายมองดูผู้เป็นพี่น้องหลงอยู่ในอำนาจจนถึงกับโค่นล้มบัลลังก์ของพี่ชาย

“ดูท่าสบายดีนะครับพี่?”นายพลคะฉิ่นมองพี่ชายที่กระเสือกกระสนลุกขึ้น

“อ้ายชาติหมา! แม้กระทั้งพี่น้องแกยังฆ่าได้....แล้วไอ้ขิ่นกับแม่มันล่ะ?”สีหน้าของท่านนายพลหวาดหวั่นเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง

สีหน้าท่านนายพลคะฉิ่นผู้เป็นน้องเยียบเย็นเล่นเอาคนเป็นพี่รุ่มร้อนใจ มือกุมหน้าอก

“ถ้ามันตายพี่คงจะกระอักเลือดเลยสินะ?”นายพลคะฉิ่นเอ่ย มองดวงตาพี่ชายที่เหมือนมีเพลิงพิโรธแผดเผา

“ไอ้ขิ่นมันยังเป็นเด็ก ส่วนแม่ของมันไม่รู้อะไร ปล่อยมันไป!”นายพลอินคานตวาด

“ถ้าผมไม่ปล่อยล่ะพี่?”ดวงตาฉายความชั่วช้า จนพี่ชายเจ็บหัวใจขึ้นอีกระรอกจนต้องเอามือกุมหน้าอก

“ท่านครับ...อย่ากดดันท่านนายพลอินคานมากไปเลยนะครับเดี๋ยวจะกระเทือนถึงแผนการ”

นายพลคะฉิ่นจึงระงับอารมณ์“ก็ได้...”ร่างของนายพลผู้ชั่วช้าเดินสะบัดหนี

“ไอ้ฮาม...กูไม่อยากจะเชื่อว่าแกจะทรยศ!”

ฮามชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตัดใจเบือนหน้าหนี

“จัดการมัน เดี๋ยวเอามันไปต่อรองกับทางการไทย ไว้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับลูกชายมัน”

นายพลอินคานได้ยินก็เกาะกรงแน่น“ไอ้คะฉิ่น แกคิดจะทำอะไรไผ่!”

สีหน้าของเสือชราเป็นห่วงบุตรยิ่งนัก นายพลคะฉิ่นหันหน้ามองผู้เป็นพี่ชาย

“จะบอกพี่ให้เอาบุญก็ได้ ลูกชายของพี่มันคิดว่ามันฉลาดที่จะอาศัยยืมมือทางฝั่งไทยให้เข้าช่วย...แต่ว่ามันคงจะโง่ที่เดินเข้ามาหากับดัก ถึงตอนนั้นทั้งพี่ทั้งลูกชายพี่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย! ฮาม! อย่าลืมทำตามที่สั่งล่ะ”

ผู้พันฮามค้อมศรีษะให้เจ้านาย มองอดีตนายเก่าที่นั่งในกรง ไร้เค้าความสง่าใดๆหลงเหลือ

“แกจะทำอะไร?”นายพลอินคานถาม

ฮามก้าวเข้ามา สีหน้าปรากฏแววสำนึกเสียใจ

“ไอ้ขิ่นกับนางยะไข่ล่ะ?”

นายพลอินคานถาม ทว่าฮามไม่ตอบอะไร สีหน้าของท่านนายพลซีดเผือดไป

“ฮาม...แก...”

ท่านนายพลอุทาน ก่อนที่ฮามจะใช้หลังมือฟาดสันคอนายพลจนสลบ ฮามมองดูผู้คุมก่อนจะแบกร่างท่านนายพลขึ้น สายตาสีดำเรียบเฉยจนไร้ความรู้สึกใดๆ

------------------------------------------------

ความสุข...เรียกได้ว่ามีความสุขจนล้นอก ต้นธารานั่งอยู่ภายในห้องอันแสนเงียบงัน ฟังเสียงราตรีผ่านพ้น ยิ้มกับความสุขที่อาจจะเริ่มในไม่ช้า....เพราะเขารู้ว่าความสุขมันมักลงเอยด้วยความเศร้าเสมอ ล้มตัวนอน จนกระทั่งเข้าสู่นิทรารมณ์ รุ่งสาง ต้นธาราออกมาข้างนอก มองค่ายที่เงียบสงบ อาการหนาวจนต้องกลับไปเอาเสื้อกันหนาวมาคลุมกาย มองเห็นคุณหมอมาริสาเดินมาหาพร้อมรอยยิ้ม

“ตื่นเช้าจังนะครับ”ชายหนุ่มทักมื่อเห็นคุณหมอสาวมาเยี่ยมตั้งแต่เช้า

“ค่ะ มาเยี่ยมคุณหมอธารก่อนออกไปทำงานน่ะค่ะ คิดว่าอาจจะมาเสียเทียวซะอีก”

“อ้อ....”

“แล้วคุณหมอธารเป็นอย่างไรบ้างคะ ดีขึ้นไหมคะ?”สายตาของหญิงสาวมองใบหน้าซีดๆของต้นธารา

“ก็ดีขึ้นครับ...ยังดีที่ได้รับบริจาคไขกระดูกเลยอาการดีขึ้น”

ตอบไปก็เงียบเมื่อเห็นสายตาสำรวจดูใบหน้าซีดๆ

“เห็นคุณหมอธารหายไปนานเลยนะคะ”หญิงสาวเอ่ย

ต้นธารายิ้มยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร คุณหมอมาริสาเหลือบสายตามองนาฬิกาก่อนจะลุกขึ้น หยิบกระเป๋าคล้องไหล่

“เดี๋ยวขอตัวก่อนนะคะ ได้เวลาไปทำงานแล้วน่ะค่ะ”

ต้นธาราผงกศีรษะ มองหญิงสาวออกไปจากห้อง

“ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะครับ”

ต้นธาราเอ่ยขอบคุณ ใบหน้าสวยหวานหันมายิ้มให้ ก่อนร่างเล็กจะหายไปตรงโค้งมุมประตู ต้นธาราทรุดนั่งยังเก้าอี้ไม้ตามเดิม ยกมือแนบหน้าอก ฟังจังหวะหัวใจที่เต้นแผ่วๆ เหม่อมองท้องฟ้าสดใสกับสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตัวเอง

“ธารตื่นเช้าจังเลย”

สีหน้ายิ้มระรื่นของผู้กองภานุโผล่มาให้เห็นก่อน พร้อมกับขายาวๆกระโดดขึ้นมาบนบ้าน

“ก็...นอนไม่ค่อยหลับน่ะครับแล้วเมื่อเช้าคุณหมอมาริสามาเยี่ยมด้วย”

“อ้อ เห็นคุณหมอมาริสาบอกผมแล้วครับ”

ต้นธาราเขยิบให้ภานุนั่ง ทว่าก็นึกอะไรบางอย่างได้

“พ่อ...”

“ท่านออกงานราชการครับ”

ภานุตอบให้เสร็จศัพท์มองดวงตาสีน้ำตาลอย่างนึกรัก ยกมือลูบแก้มซีดเบามือ

“ว่าสิบ้านถึงเงียบๆ”

ต้นธาราซึ่งเบี่ยงตัวออกอย่างสุภาพมองใบหน้าขรึมๆของอีกฝ่าย

“แล้วที่ว่างานราชการ คืองานอะไรครับ คือ...ผมรู้สึกว่ามันวุ่นวายเหลือเกิน”

ภานุปล่อยมือที่แนบแก้มเปลี่ยนมากุมมือบางแทน

“งานทหารน่ะครับ ยุ่งยากแบบนี้แหละ”

ภานุกลบเกลื่อนด้วยการยิ้มให้ ต้นธาราก็ชักมือออกอย่างสุภาพจนแววตาคมดุฉายความสงสัย ต้นธาราทำสีหน้าเฉยๆ

“แล้วคุณไม่ทำงานล่ะ?”

“ก็บอกแล้วงานผมคือดูแลธารไง ท่านนายพลสั่งมา”

ภานุพูดด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์ ต้นธาราถอนใจ

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ ห่วงงานของผู้กองเสียมากกว่า เกรงว่าจะทำให้งานผู้กองเสีย”

ภานุหัวเราะร่วน“งานผมไม่ได้ยุ่งวุ่นวายอะไรหรอก”

ต้นธาราแย้มยิ้มนิดๆ พิศมองใบหน้ากร้าน

“ดูเหมือนว่าผู้กองจะปกปิดผมเหลือเกินนะครับ”

ต้นธาราเอ่ยอย่างสังเกตพลางเอียงคอให้ดูเหมือนตัวเองกำลังพูดเล่น ภานุได้ฟังก็ตีหน้าเรียบเฉย ต้นธาราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถ้าหากเป็นงานที่ไม่อาจจะยุ่งได้ เขาก็จะไม่ยุ่ง

“ผมไม่ได้ปกปิดอะไรเลยนะ”ภานุว่าเอ่ยพร้อมมองต้นธาราด้วยสายตาเปี่ยมรัก

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-12-2008 13:43:35
เป็นแค่เงาจริงๆสินะ...กิ่งไผ่รู้สึกขมขื่นใจ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่อารมณ์ที่จะเอามาคิดเล็กคิดน้อย แต่...มันทำให้เศร้ายิ่งกว่าคำพูดใดๆ คนที่ธีรเดชชอบกลับเป้นคนที่เคยช่วยเหลือ เหม่อมองฟากฟ้าสีดำมืด สิ่งที่สำคัญกับหัวใจตอนนี้คงเป็นครอบครัว หน้าที่บ้านเมือง ตัวเขาเองที่ไร้สาระกับความรู้สึก มันพอแล้ว...พอ....ใบหน้าเหม่อเลื่อนลอย ลุกขึ้นจากเตียงมองดูทหารที่คุมอยู่หน้าห้อง ทรุดตัวจมอยู่กับเก้าอี้ กลุ่มผมสลวยพาดบนขอบโต๊ะไม้ หลายๆสิ่ง
รุมเร้าให้อึดอัด ลุกขึ้นมาคล้ายกับจะหาทางออกของสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในจิตใจก่อนที่จะนั่งลงตามเดิม เหม่อ...อยู่แบบนั้นจนกระทั่งประตูเปิดออก อาหารวางไว้บนถาดควันร้อนฉุยอยู่ในมือของร้อยตรีอานุภาพ

“อาหารครับ”

ร้อยตรีหนุ่มเอ่ยเรียกคนที่นั่งเหม่อราวกับเป็นสิ่งไร้ชีวิต สายตาของกิ่งไผ่เพียงแต่ชายมองเท่านั้น ร้อยตรีอานุภาพจ้องเสี้ยวใบหน้าด้านข้างพลางเรียกอีกรอบ

“อาหารครับ”

ไร้ปฏิกิรยาโต้ตอบ อานุภาพมองแล้วจึงเฉยเสีย เตรียมฉวยถาดออกไปข้างนอก ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อพบว่าร่างของกิ่งไผ่ลุกกะทันหัน

“ทำไมวันนี้มันเงียบนัก”

เอ่ยถามผู้ที่ควบคุมตนเอง ร้อยตรีหนุ่มไม่ตอบอะไรเพียงแต่ผายมือมาทางอาหาร กิ่งไผ่เมินเสีย มองร้อยตรีอานุภาพที่เดินออกจากห้องไป ทรุดนั่งไม่แตะต้องอาหารใดๆทั้งสิ้น รู้สึกถึงในใจมันอึมครึม อึดอัด มองด้านนอก เห็นแค่ร้อยตรีอานุภาพเท่านั้น เหลือบมองไปทางหน้าต่าง กิ่งไผ่ก้าวไปบนเตียง ล้มตัวนอนโดยที่ไม่แตะต้องอาหารใดๆเลยแม้แต่น้อย ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเข้ามาใกล้

“อ้าว ผู้กองธีกลับมาแล้วหรือครับ”ร้อยตรีอานุภาพทัก

เสียงทักทายทำให้กิ่งไผ่ลุกขึ้นจากเตียง สีหน้าของร้อยเอกหนุ่มยุ่งยากใจ ไม่ได้ทักร้อยตรีอานุภาพตอบ ธีรเดชเข้าไปในห้อง เหลียวมองหาร่างโปร่ง ชายหนุ่มพบว่านั่งเงียบๆจ้องหน้าอยู่แล้ว

“มีธุระอะไรครับ?”กิ่งไผ่ถาม สำเนียงอ่อนล้า

สายตาของร้อยเอกหนุ่มเหลือบมองอาหารที่ไม่พร่องเลย อยากจะถามด้วยความเป็นห่วงแต่มีเรื่องเร่งด่วนกว่าเลยไม่พูด กิ่งไผ่มองหน้าธีรเดช คนที่เขารัก...คนที่หัวใจดวงนี้ยอมรับแต่อีกฝ่ายไม่เคยมองเขา

“ผู้กอง คุณมีธุระอะไร?”กิ่งไผ่ถามเสียงห้วนเล็กน้อย

ธีรเดชจึงตื่นจากภวังค์หันมองใบหน้าบึ้ง“เรื่องของพ่อคุณ...”

ท่าทีบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นสนใจทันที“ทำไม? ท่านเป็นอะไร?”กิ่งไผ่เอ่ย ใบหน้ากังวลเมื่อเห็นแววตาหนักใจ

“ทางเราออกไปสืบเรื่องของบิดาคุณมาแล้วได้รับข่าวว่าตอนนี้ตกไปในอุ้งมือของทางนายพลคะฉิ่น”

“ไม่จริง!”

“ข่าวที่สืบมาเป็นความจริงครับ ผมจำเป็นต้องรายงานต่อคุณ”

“พ่อไม่มีทางที่จะถูกจับไป ท่าน...”

ราวกับหินถล่มลงสู่ใจ กิ่งไผ่เม้มปากแน่น ใบหน้าขาวซีด ธีรเดชที่เป็นผู้มาบอกข่าวร้ายรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ทว่าเขาไม่อาจทำอะไรไปมากกว่า

“คุณควรจะอยู่อย่างสงบ รู้สึกว่าทางนั้นจะรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ เห็นเรียกร้องตัวคืนเพื่อทำการลงโทษ ผมก็ยังไม่รู้รายละเอียดลึกๆหรอกข่าวเพิ่งส่งมาถึง”

กิ่งไผ่ลุกขึ้น“หึ...ไอ้พวกเลวมันเล่นอย่างนี้เองรึ”สายตากร้าวแค้นเคือง

ธีรเดชกลืนน้ำลายเมื่อเห็นท่าทีเลือดเย็นเฉกเช่นที่เคยเห็นตอนหลงอยู่ด้วยกันสองคน “คุณควรใจเย็น”

สายตาหวานคมตวัดมองผู้กองผู้แสนอ่อนโยน รอยยิ้มราวกับจะเชือดเฉือนพาดบนริมฝีปาก

“ผมควรใจเย็นได้หรือ?”

กิ่งไผ่พยายามระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง มองใบหน้าของธีรเดชซึ่งยังไม่รู้เบื้องหลังของตัวเขาเอง

“ผมอาจจะไม่พูดอะไรได้มาก แต่ไม่อยากให้คุณผลีผลาม”

ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาสีดำสนิทจ้องดวงตาที่คิดถึง’คนที่ช่วยเหลือตน’ ในใจพยายามสงบแต่คลื่นลมที่ปั่นปวนมันย่อมสงบไม่ง่ายนัก

“ผมไม่เคยผลีผลาม...”

ธีรเดชมองใบหน้าเด็ดเดี่ยว ธีรเดชกังวลใจ เขาก้มหน้าลงไม่อยากเอาความรู้สึกมาปนกับหน้าที่ รู้ว่าพูดไป กิ่งไผ่ก็คงเจ็บปวด แต่...มันไม่อาจห้ามแล้วจริงๆ

“ผมห่วงคุณนะไผ่”

กิ่งไผ่มองหน้าธีรเดช ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยคำๆนั้นออกมา ทำไมเขาถึงคิดว่ามันลำบากยากเย็นนักกว่าชายหนุ่มจะพูดออกมาได้สักคำ

“ห่วงหรือครับ?...ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของผู้กอง แต่ว่าผมไม่อาจอยู่ในฐานะที่จะรับความห่วงใยนั้นได้หรอก”

เอ่ยตัดเยื่อใยอย่างเยือกเย็น ให้อีกฝ่ายร้อนรน ธีรเดชอึดอัดใจ เป็นยิ่งกว่ามีดคมกริบ เป็นยิ่งกว่าเกราะอันแข็งแกร่งและธีรเดชก็ไม่กล้าที่จะฝ่าเข้าไป ในเมื่ออีกฝ่ายเจ็บแล้วจำ!

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 30-12-2008 14:21:16
กิ่งไผ่ทำไมชีวิต  ถึงได้มีแต่เรื่องทุกข์

จะสมหวังกับเค้าบ้างม้ายยยยยยยยยยย :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 30-12-2008 16:05:53
จะปีใหม่แล้ว ไม่มีหวานๆให้อ่านบ้างหรอ สงสารไผ่  :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-12-2008 18:00:06
555  งั้นลงอีกทีหลังปีใหม่แล้วกันนะ

 :impress3:

 :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 30-12-2008 18:11:23
แปลว่าเศร้าต่อไปอีกชิมิ  :o12:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 30-12-2008 18:15:54
^
^

ก็นะ  อย่างว่า...........  ไม่บอกหรอก  แบ่ๆๆ เดี๋ยวก็ไม่ลุ้นดิ

 :m20:



ปล  รักนะ เด็กโข่ง มีความสุขมากๆน้า :กอด1:


หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 30-12-2008 18:29:04
รัก ฝาโอ่ง เหมือนกัน  :laugh: มีความสุขเช่นกันจ้า   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 30-12-2008 19:21:02
มันจะมีอะไรอีกละเนี่ย ภาณุปิดบังอะไรหรือเปล่า
แล้วกิ่งไผ่อีก โหย กิ่งไผ่กับธีรเดชเนี่ย อุปสรรรค
เยอะนะครับ อ่านแล้วปวดใจ อย่ารู้ตัวเมื่องต้อง
เสียเธอไป ไม่งั้นละก็คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว
ขอบคุณที่มาต่อนะครับ เมื่อไหร่อุปสรรคต่างๆนานา
จะหมดสิ้นไปสักที
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 30-12-2008 20:32:14
สถานการณ์ตึงเครียดสุดๆ อีกแล้วกิ่งไผ่

 :o12:   :o12:

ปล. สุขสันต์ปีใหม่ด้วยนะค้าบ

มีความสุขมากๆ นะฮะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 31-12-2008 06:17:04
(http://i200.photobucket.com/albums/aa319/teerak_photos/hny3.gif)
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 31-12-2008 18:22:38
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 01-01-2009 02:53:54
Happy New Year 2009

      สุขกายสุขใจ  
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 01-01-2009 18:19:19
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

ท่านนายพลโดนกฤษดาจับตัวไปแล้ว

กิ่งไผ่นอนหลับมะเนี่ย  สงสารจัง

หมอธารช่วงนี้แฮบปี้ดีเนอะ

ผู้กองเอาใจตลอดเลย





(http://i367.photobucket.com/albums/oo111/taan19/z1.gif)

กินเบียร์มั้ย

*ดื่ม*
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 01-01-2009 19:01:00
เศร้ารับปีใหม่
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-01-2009 20:42:11
pupper  ชอบอ่านคอมเม้นต์ของ pupper จัง ยาวดี  อิอิ  ดูถ่ายทอดความรู้สึกของคนอ่านดี ชอบๆๆ ขอบคุณที่เม้นต์เช่นกันนะ
xeros  สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกันจ้า หายไปนาน นึกว่าอ่านไม่ทันซะแล้ว  กิ่งไผ่ทำอะไรก็ผิดตลอดอ่ะนะ น่าสงสาร
Ken_krub ขอบคุณคุณเคนเหมือนกัน  ที่คอยให้กำลังใจมาตลอดเลยทุกเรื่องเลย  น่ารักมากมาย
RN  ที่จริงเราก็ HNY กันไปหลายรอบแล้วเนอะป้าเนอะ 555  ขอบคุณมากนะ
19NT  คุณน้องขี้เมา ปีใหม่นี้ไปเมาที่ไหนป่าวเนี่ย เอิ๊กส์สสสส  หมอธารเหมือนจะดีเนอะ  อ่านกันต่อไปจ้า
Poes  อิอิ  ว่าเราเป็นฝาโอ่ง แบร่ๆๆๆ ไม่รับเว้ยยยยย

อ่านต่อเลยแล้วกัน เพิ่มความตึงเครียดวันปีใหม่  :impress3:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 37 Timeless / ทรยศ (PART 1)

ก็รู้...ว่ามันต้องลงเอ่ยเช่นนี้ มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยหัวใจทรมานกับหน้าที่ที่ทับถม แม้ว่าจะขอคุยแต่อีกฝ่ายกลับเมินเฉยไปอย่างไม่ไยดี เฉยชา เครียดขรึม

“ดูท่าผู้กองจะเจอกับศึกหนักแล้วสินะ?”ภานุเอ่ยเย้า

คนที่กำลังเครียดทำหน้าหงิก“ผู้กองภานุไม่เคยโดนไม่รู้หรอกครับว่ามันเจ็บแค่ไหน”

ภานุหัวเราะหึๆก่อนตอบธีรเดช“ผมเจ็บมาเยอะ โดนมาเยอะ ทำไมจะไม่รู้ว่าความเจ็บปวดมันคืออะไร”ผู้กองภานุตอบกลับไปเบาๆ มองดูแผนที่เขตแดนเวียงนวรัฐะ

ธีรเดชถอนใจเล็กๆ หลังจากที่ผ่านพ้นการประชุม ชายหนุ่มนั่งถูมือใจเหม่อลอย มองร่างของกิ่งไผ่คุยเรื่องรายละเอียดกับผู้พันชานเนนเกี่ยวกับเรื่องของบิดา เสี้ยวหน้างดงามสงบ พอร่างของผู้กองภานุเดินออกมาจากห้อง ธีรเดชจึงลุกขึ้น

“ไม่เข้าไปคุยล่ะ?”ภานุเอ่ย มองใบหน้าเซื่องซึมราวกับจะรู้ถึงเรื่องราว

ธีรเดชส่ายหัว“ผมไม่กล้า แล้วเรื่องคุณหมอละครับเป็นยังไง?”เปลี่ยนเรื่องถามไถ่เรื่องความรักของอีกฝ่าย สายตาคู่ดุดันฉายร่องรอยความสุขบ่งบอกเป็นอย่างดี ธีรเดชแอบถอนใจเล็กๆ

“เรื่องของคุณหมอกับผมคุณไม่ต้องห่วงหรอกผู้กอง เรื่องของคุณเถอะน่าเป็นห่วงกว่า ไม่จัดการความรู้สึกให้ไวละก็....”ภานุเงียบไป ไม่พูดอะไรต่อ

ธีรเดชเข้าใจดี เขามองท้องฟ้า

“เกี่ยวกับงานในครั้งนี้ ผมจะจัดการความรู้สึกตัวเอง ว่าแต่ผมขอไปเยี่ยมคุณหมอได้ไหม อาการของคุณหมอเป็นไงบ้าง นับตั้งแต่มาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ผมไม่ได้เจอเขาเลย”

ภานุนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “คุณหมอสบายดี ถ้าหากผู้กองธีอยากไปเยี่ยม คุณหมออยู่ที่บ้านครับ”

ธีรเดชได้ยินคำพูดตอนรับ แม้ว่ามันแสดงความยินดีต่อการให้พบ แต่ส่วนหนึ่งในใจของธีรเดชก็ไม่กล้าไป ในที่สุดก็เลี่ยงเสีย

“ถ้าสบายดี ผมก็หายห่วง”

สายตาคมกริบเหลือบมองคนข้างกาย ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆตอบโต้ เพียงหยุดมองดวงตากังวล

“ผมไม่คิดว่าคุณจะ...”

ธีรเดชถอนใจเฮือก“ผมรู้ดีว่าผู้กองภานุจะพูดอะไร แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้ธารมันไม่มีวันแปรเปลี่ยน ถึงคนรับนั้นนั้นเขาคิดในความหมายอื่นก็ตาม”ดวงตามั่นคงกล่าวมองฟากฟ้ายามค่ำ

“แล้วไม่คิดว่าจะเปลี่ยนใจบ้างรึ?”

ธีรเดชกลืนน้ำลาย“การเปลี่ยนใจไม่ใช่เวลาเพียงแค่ระยะเดียว ผมรักธารมานานกว่าคุณซะอีก!”

“ผู้กองธี บางทีคุณน่าจะมองคนอื่นบ้าง”ภานุเอ่ยแนะ

ธีรเดชหัวเราะแผ่วๆ“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เอ่อ...ผมขอตัวก่อน”

ธีรเดชเดินไปอีกทาง ปล่อยให้ภานุมองอย่างเห็นใจ อีกฝ่ายปราชัยในความรักในขณะที่เขาได้ครอบครองความรักของต้นธาราทั้งหมด

------------------------------------------------

“ขอโทษที่รบกวนครับ”

ผู้ที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างปิดสมุดในมือ เหลือบมองผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ ลุกขึ้นต้อนรับ

“ผู้กองภานุ...มีอะไรอีกหรือ?”วงหน้าผุดผาดฉายรอยสงสัย

ภานุวางซองสีน้ำตาลลงตรงหน้า“เอกสารเกี่ยวกับเรื่องของพ่อคุณ”

มือบางหยิบซองเอกสารมาถือไว้แล้วยืนนิ่งไม่ไหวติง ภานุอาศัยช่วงนั้นกล่าวต่อ

“ทางฝ่ายนั้นรู้แล้วว่าคุณอยู่กับเรา ทางนั้นต้องการเรียกตัวกลับ”

สีหน้าของกิ่งไผ่เครียดขรึม “ข่าวไปเร็วจริงๆนะครับ”เอ่ยอย่างเรียบๆ แต่ดวงตาเป็นประกายเจ็บแค้น

“แล้วทางคุณจะทำเช่นไร?”

ร่างโปร่งฉายความอ่อนล้าในดวงตา

“ทางผู้พันชานเนนบอกให้นิ่งเฉย เพราะเรื่องนี้กระเทือนต่อหลายๆฝ่าย”

กิ่งไผ่ถอนใจเฮือก เขามองดูสมุดที่บันทึกข้อความบางสิ่งลงไป

“นิ่งเฉยงั้นรึ?”พอย้อกย้อนได้ก็ถามกลับ“แล้วคิดว่าผมสมควรจะทำเช่นไรล่ะ?”

ดวงตาส่อเค้าคิดบางอย่างในใจ ภานุเงียบไป กิ่งไผ่เชิญให้ผู้กองหนุ่มนั่งลงจ้องใบหน้ากร้านนิ่งๆ

“ผมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ แต่ผมในตอนนี้ไม่มีกำลังอะไร การที่อยู่นิ่งเฉยแบบนี้แม้ไม่อาจทนก็ต้องทน เป็นผู้กองจะทำอย่างไรล่ะ?”กิ่งไผ่ย้อน

ภานุได้แต่มองใบหน้างามอย่างอับจน

“ผู้กอง...ตอนนี้คุณกำลังคบหาอยู่กับบุตรของท่านนายพลพิภพอยู่ใช่ไหม?”

นายทหารหนุ่มจ้องเขม็ง รอยยิ้มรู้ทันผุดบนสีหน้างดงาม

“หมายความว่าอย่างไร คุณถึงถามคำถามนั้น?”ภานุถามเสียงเข้ม

“แปลกใจสินะครับว่าผมทราบได้ไง ได้ยินตอนที่คุณพูดในครั้งแรกนะครับ ไม่คิดว่าคนที่ผู้กองปลงใจจะเป็นคนๆเดียวที่ได้ช่วยผมให้รอดตายจากการถูกผู้กองยิง...ได้ข่าวมาว่าเขาเป็นลุคีเมีย ตอนนี้หายดีรึยัง?”

ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ดวงตาหวานคมจ้องเขม็งจับสังเกต ภานุอึ้งไปในบัลดล สายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาเยียบเย็น

“ตอนนี้คุณหมอได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้ว คงเหลือแต่รอการพักฟื้นเพียงเท่านั้น”ภานุตอบไปตรงๆแล้วสังเกตอากับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

“งั้นก็...คงหายดี?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ยังคงอยู่ในระหว่างพักฟื้น”

คำตอบของภานุทำให้กิ่งไผ่ผงกหัว ดวงตาคู่นั้นไม่ส่อแววคำถามใดๆอีก

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัว”

ภานุลุกขึ้น กิ่งไผ่ยิ้มส่งให้ รอยยิ้มนั่นดูจะไม่เป็นที่ไว้วางใจเลยในความรู้สึกของชายหนุ่ม

“เออ จริงสิครับ เห็นผู้กองธีระยะนี้ดูซึมๆบางที...เขาอาจจะคิดมากเรื่องของคุณ”ชายหนุ่มบอก

กิ่งไผ่เงยหน้ามองดวงตาเฉยเมย ภานุเอ่ยธุระจบเดินออกจากห้องปล่อยให้ดวงตาสีดำครุ่นคิดกับคำพูดที่ผู้กองภานุกล่าว ...เรื่องที่ต้องคิดมาก มันคือเรื่องอะไร?กิ่งไผ่ปัดความคิดที่คิดไปทางเรื่องร้ายทิ้ง

------------------------------------------------

สายตาสีน้ำตาลมองผู้ที่ก้าวขึ้นบ้านอันเงียบเหงา รอยยิ้มพิมพ์ใจมอบให้เป็นการต้อนรับ คล้ายกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ร่างผอมบางลุกขึ้นมาตอนรับ วงแขนแกร่งกอดกระชับก่อนจะปล่อยออกอย่างเสียดาย มือหนาแตะใบหน้าขาวจัด

"ไม่มีงานแล้วหรือครับ"ดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก

ภานุรั้งร่างผอมบางให้นั่งลง“ก็เลิกงานแล้ว”ใบหน้ากร้านยิ้มอย่างมีความสุขเฝ้ามองใบหน้าขาวซีดอย่างไม่รู้หน่าย

ต้นธารามองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างขึ้นมาอ่านต่อ

“น่าสงสารผู้กองธีนะ”ภานุเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

ดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างสงสัย“ทำไมล่ะ?”

คุณหมอปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ มองผู้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมบ่อยๆ ภานุถูมือพลางเอ่ย

“ก็ยังไม่หยุดที่จะรักคุณทั้งๆที่มีคนให้ห่วงใยแท้ๆ”ผู้กองหนุ่มรำพึง

“ใครครับ?”คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างใคร่รู้

“ธารเคยพบกับเขาแล้วล่ะมั้ง”

พอพูดถึงตรงนี้ ต้นธาราพบกับความอึดอัดใจบนใบหน้ากร้านแต่แล้วผู้กองหนุ่มก็เสไปเรื่องอื่นเสีย

“แต่ก็ช่างเถอะ วันนี้ธารอาการเป็นอย่างไรบ้าง เหงาไหมที่ท่านนายพลไม่ว่างอยู่ด้วย?”

รอยยิ้มบางๆฉายบนสีหน้า“ไม่หรอกก็พ่อติดธุระนี่ อีกอย่างก็มีคุณหมอมาริสามาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว อ่านหนังสือไปแก้เบื่อ ไม่เหงาสักเท่าไร ยังดีกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”

คำตอบทำให้ภานุลูบมือคนรักสัมผัสถึงความบอบบางราวกับจะแตกหัก

“ผมดีใจที่ธารมาที่นี่”

คุณหมอยิ้มน้อยๆกับคำพูดเหล่านั้น“รู้สึกว่า...ผู้กองชักจะหวาน ใจดีขึ้นนะ”

“ยังไม่ชินอีกหรือธาร เห็นคุณถามอีกแล้ว”

ต้นธาราเอียงคอนิดๆ“อยากจะชินแต่มันก็เขินนิดๆด้วยกับที่คุณใจดี”

“ผมจะใจดีกับคุณ ยอมทุกอย่างเลยดีไหม?”

ต้นธาราหัวเราะก่อนส่ายหัว

“ทำไมล่ะธาร?”

ภานุทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆที่ถูกขัดใจ เอนศีรษะซบอยู่กับตักดึงวงแขนมากอดไว้

“ก็...เป็นแบบเดิมละดีแล้ว เปลี่ยนมากไปไม่ใช่คุณ”

“ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณนะธาร”

ต้นธาราได้ฟังก็ชักมือหนี ดึงรั้งร่างผู้องให้มองหน้าตน

“ผมขอบคุณกับทุกอย่างที่คุณมีให้นะครับ แต่การที่ทำทุกอย่างให้ผม ผมไม่อาจเห็นแก่ตัวได้”

“ธาร...พูดอะไรอย่างนั้น ผมเต็มใจทำนะครับ”

มือหนากุมมือบางไว้แนบริมฝีปากประทับเบาๆ ลมหายใจระบายออกอย่างเชื่องช้า

“ผมไม่อยากรั้งผู้กองไว้แบบนี้เลย”

ภานุเงียบไป จ้องดวงตาสีน้ำตาลหม่นๆ

“รั้งไว้หรือ?”

ริ้วความไม่เข้าใจปรากฏ ทำไมถึงไม่เข้าใจ ทั้งๆที่อีกฝ่ายโหยหา ทั้งๆที่รัก เหตุใดถึงพูดจาคลุมเครือไปในแง่ร้าย

“ผมก็แค่กังวล แม้ว่าจะเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกแล้วกลัวว่ามันไม่หาย ผมกลัวทำให้ผู้กองเสียใจที่ความพยายาม...มันไม่สำเร็จ”เสียงแผ่วเบาหวิว

มือหนาลูบหน้าทุกข์ทนเบามือ“ธารต้องหาย ไม่ต้องกังวลไปนะธาร “มองใบหน้าขาวขัดขมวดคิ้วมุ่น

“อย่ากังวลใจไปเลย คุณกังวลใจแบบนี้อีกแล้ว สัญญาแล้วไม่ใช่รึไงว่าคุณไปไหน ผมจะตามคุณไป ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยมือจากคุณไปไหน ผมไม่ให้ใครช่วงชิงคุณไปเด็ดขาดแม้กระทั่งความตาย จำไม่ได้แล้วรึ?”

ต้นธาราผงกหัว เขาจำได้ดีก่อนตรวจองค์ประกอบเลือดชายหนุ่มก็พูดให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย มือบางถูกจับลูบคางสาก

“รุ้อะไรไหม ผมก็ลุ้นตัวโก่งเหมือนกันนะ ถ้าธารไม่หายผมจะทำไง ผลการรักษาอีกล่ะ ผมคงโทษตัวเองอีกแน่ๆถ้าช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย”

“ผู้กองช่วยผมได้เรื่องกำลังใจ”ต้นธาราเอ่ย

ภานุเอ่ยต่อราวกับคนเพ้อ“ตอนที่คุณอยู่ในห้องปลอดเชื้ออีก อยากอยู่ อยากให้กำลังใจมากกว่านี้ ถ้าไม่ติดงาน....”

“ผู้กองครับ งานมาก่อนน่ะถูกแล้ว”

ดวงตาทอดมองท้องฟ้าอมสีส้ม ยามเย็นที่หมดไปอีกวัน เงาของแสงอาทิตย์สาดต้องร่างที่นั่งอยู่บริเวณระเบียง สายลมพัดพลิ้วเบาๆให้เส้นผมบางส่วนปลิวไสว ภานุซบอยุ่บนตักผุดลุกขึ้น ลูบนิ้วนางบนข้อมือขาวซีด ก่อนมือหนาจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบตลับกล่องสีแดงหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่เปิดฝาออกนำของที่บรรจุอยู่ภายในขึ้นมาสวมใส่นิ้ว ต้นธารามองการกระทำออกจะตกใจจนเกือบชักมือหนีด้วยซ้ำ ดวงตาสีน้ำตาลฉายถึงความประหลาดใจอย่างยิ่ง

“ธารอาจจะไม่ชอบ แต่ผมก็อยากให้มันอยู่บนนิ้วของธาร อย่าถอดออกนะ”

ภานุวิงวอนเมื่อเห็นอีกฝ่ายจะถอดแหวนออก ทองคำเนื้อเกลี้ยงสะท้อนเข้าแววตายามกระทบกับแสงยามเย็น

“ผู้กองไปหาซื้อจากไหนครับนี้ ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร?”ต้นธาราถามอย่างกังขา รู้สึกถึงแหวนเย็นชืดติดนิ้ว

ภานุหัวเราะในลำคอ“ของแม่ผมน่ะ มันนานมาแล้ว...พ่อผมให้แม่น่ะ”

“แต่มาให้ผมมันจะดีหรือ?”ต้นธาราถามทำท่าว่าจะถอดออกอีก

“ดีแล้ว...ที่จริงท่านบอกให้คู่หมั้นน่ะ แต่ผมก็ดันเลิกกับเธอเสียก่อน”

สีหน้าของคนที่หวนถึงอดีตทำให้สายตาที่เฝ้าดูอ่อนล้า

“แล้วตอนนี้คุณยังคิดถึงเธออยู่ไหม?”

“นิดหน่อยน่ะ”

คำตอบของชายหนุ่มทำให้ต้นธารารู้สึกปลาบแปลบใจ

“แต่คนที่ผมรักมากที่สุดคือคุณ”จับมือที่สวมแหวนให้

ต้นธารายิ้มทอดรอยยิ้ม“แล้วตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ภานุถอนใจ“ผมก็ไม่รู้หรอก นานแล้วที่ไม่ได้เจอหน้า เก็บแหวนวงนี้ให้ดีๆนะธาร”

สายตาสีน้ำตาลมองร่างสูงลุกขึ้น

“เดี๋ยวผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ช่วงเย็นๆจะมาอยู่เป็นเพื่อน วันนี้ท่านนายพลคงกลับดึก”

ต้นธาราผงกหัว มองร่างสูงที่เดินลงจากเรือน ก้มมองแหวนทองคำ ไม่ได้ดีใจ หรือตื่นเต้นใดๆเมื่อได้สิ่งแทนค่าหัวใจอีกฝ่าย ลูบคำเนื้อแหวนแข็งๆยกขึ้นมาแนบอก บางอย่างที่อยู่ในใจบอกให้ถอดมันออกเสียแม้ว่าจะนึกถึงใบหน้าแกร่งเสียใจถือมันไว้อย่างชั่งใจ จู่ๆแหวนวงน้อยก็ร่วงสู่พื้นเพราะความเผอเรอ เสียงแหวนหล่นร่วงลงบนพื้นสะท้อนในความสงัด ต้นธาราชายตามองดูทองคำเนื้อเกลี้ยง หยิบมันขึ้นมา สีของมันสะท้อนแดดเป็นประกาย สัญญา...ที่มอบให้แทนหัวใจ รอยยิ้ม สีหน้าใจดีของผู้ให้ทำให้ต้นธาราต้องสวมกลับคืนตามเดิม ลุกขึ้นเก็บหนังสือเข้าบ้าน หูได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆจึงออกมาดู เห็นบิดาและผู้พันชานเนนคุยกัน สักครู่ผู้พันชานเนนก็ทำความเคารพและเอ่ยอำลา

“พ่อกลับมาแล้วหรือครับ?”ต้นธาราถาม มองดูบิดาวางกระเป๋าเอกสารลงใบหน้าเครียดเคร่ง

“อื้ม...”ท่านนายพลพิภพกล่าว ต้นธาราเหลียวมองหาผู้พันหนุ่ม

“แล้ว...ผู้พันชานเนนละครับ?”

“ตอนนี้พักอยู่กับลุงอรุณน่ะลูก ปรึกษางานกัน ลูกเป็นไงบ้าง?”

“ผมสบายดีครับพ่อ เหนื่อยไหมครับ?”ต้นธาราถอยเข้ามาในตัวบ้าน

“นิดหน่อย เดี๋ยวพ่อก็ต้องไปที่เวียงวนรัฐะอีก ยุ่งเหลือเกิน ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวอีก”สีหน้าของนายพลพิภพดูอ่อนล้า

“ผมอยู่ได้ครับพ่อ”

บิดามองดูบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านเข้ามาจับบ่า“ลูกเป็นสมบัติเดียวของพ่อ พ่อจะทำให้ลูกมีความสุขก็ยังไม่ได้”

“ผมมีความสุขครับพ่อ”

ไม่อยากนับเรื่องในอดีตเลย...เพราะมันรั้งจะขุดความขมขื่นใจของตัวเขาเองและบิดาขึ้นมาใหม่

“แล้วภานุล่ะ มันมาดูลูกรึเปล่า”ท่านรู้ถึงคำพูดนั่นจึงเปลี่ยนเรื่องเสีย

“ก็มาดูแลนี่ครับ ทำไมหรือครับ?”คนเป็นลูกถามอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวพ่ออาบน้ำแล้วจะออกไปหาลุงอรุณสักหน่อย คืนนี้ลูกนอนคนเดียวได้นะ?”

“ครับ...”

มองดูแผ่นหลังที่ดูวุ่นวายของบิดา ต้นธาราจัดเตรียมของให้ท่านซึ่งอาบน้ำได้ไม่นานก็มีคนมาเรียก

“จ่าแม้นครับพ่อ บอกว่ารถเตรียมพร้อมแล้ว”

นายพลผงกหัวรีบแต่งตัว

“โชคดีครับพ่อ”

ต้นธารายืนส่งบิดาขึ้นรถก่อนผลุบหายไปในบ้าน แสงไฟนีนอนสว่างจ้า มีแต่ความเงียบงันรายล้อมทรุดนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด ไม่ได้กลัวความมืดแม้แต่น้อย มองดูแหวน นั่งเงียบๆแบบนั้นก่อนจะผล่อยหลับไป

------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-01-2009 20:43:16
รุ้สึกถึงผ้าห่มอันอบอุ่น งัวเงียตื่นขึ้นก็มองเห็นภานุนอนเฝ้าอยู่ที่เก้าอี้ นอนคอพับคออ่อนดูท่าจะนอนไม่สบายนัก ลุกขึ้นจากเตียง กำลังงุนงง สงสัยว่าอีกฝ่ายเข้ามาได้อย่างไรเห็นท่านอนและผ้าห่มเลื่อนหลุดออกจากร่างไปก็ลุกจากเตียงหยิบขึ้นมาพาดท่อนแขน เขย่าตัวคนนอนหลับให้ตื่นจากนิทรารมณ์ ภานุงัวเงียตื่นขึ้นมาจ้องดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นนุ่มนวล

“นอนบนเตียงเถอะครับ”

ภานุขยับตัว บิดกายเมื่อยขบ

“มาตั้งแต่ตอนไหนครับ ผมจำได้ว่าตัวเองหลับอยู่ข้างนอก”ต้นธาราถามเบาๆ

“คุณนอนหลับตากยุงอยู่ ผมเลยอุ้มเข้ามาเองแหละ นี่ก็ดึกแล้วนอนเสียเถอะ เรื่องที่นอนของผมไม่ต้องจัดแจงให้หรอก”ภานุมองนาฬิกาพรายน้ำ หน้าปัดเรืองแสงสีเขียวเรืองๆในความสลัวราง

“ได้ไง ไม่เมื่อยคอแย่หรือครับ?”ต้นธาราว่า

ภานุบีบคอ“เอาเถอะ ธารเข้านอนซะ เรื่องเตียงอะไรนั่นเดี๋ยวผมก็หาเองแหละ”บอกปัดความช่วยเหลือ

ต้นธาราถอนใจเฮือก “ครับ”เขาถอยกลับไปนอน

ภานุห่มผ้าให้“หลับฝันดี”

ดวงตาสีน้ำตาลปิดลง ด้วยความอ่อนเพลียจึงผล่อยหลับไปในเวลาไม่นานนัก ภานุมองแล้วยิ้ม ชายหนุ่มออกไปนอนอีกห้อง แต่ก็หลับไม่ลง ลุกขึ้นมาดูคนที่หลับสนิท นอนเฝ้าอยู่เช่นเดิม จนกระทั่งผล่อยหลับไปทั้งสภาพนั้น รุ่งเช้า ชายหนุ่มจำต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด สายตาเหลือบมองผู้ที่ยังหลับอยู่ อดไม่ได้ต้องจูบหน้าผากลา รีบผลุนผันออกไปทำงาน เมื่อคืนหากไม่ได้ท่านนายพลไหว้วานเขาก็คงไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับต้นธาราจนถึงรุ่งสาง ขณะเดินก็นวดบ่าไปด้วยเพราะนอนตรงโซฟาทั้งคืน มองนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้า รีบสาวเท้าเข้าทำงานอย่างกระฉับกระเฉงทันทีด้วยรอยยิ้มฉาบหน้า

------------------------------------------------

“ว่าอะไรนะ ทางเวียงวนรัฐะ ปฏิเสธไม่ให้เราเข้าไป บอกให้ส่งนักโทษไปแทน?”

เสียงอุทานปดังขึ้นตั้งแต่เช้า สีหน้าเครียดขรึมของท่านนายพลทั้งสองปรากฏทันทีทันใด

“เราส่งคำขอไปแล้วว่าขอเข้าไปในพื้นที่ ทำไมทางฝ่ายนั้นปฏิเสธ?”

“ทางฝ่ายนั้นต้องการให้ส่งคุณกิ่งไผ่เข้าแดนไปอย่างเดียว”

กิ่งไผ่ที่รับฟังหน้าเปลี่ยนสี ความตึงเครียดก่อขึ้นทันใด ภายในวงประชุมต่างมองหน้ากัน

“คำขอถูกปฏิเสธไปเพียงแค่พริบตาเดียว”

เรื่องหนักใจก่อเกิด ธีรเดชที่ทำงานกับผู้พันชานเนนอธิบายให้ฟังโดยที่จ้องใบหน้าขาวเชิด

“เราพยายามประณีประนอมกับทางฝ่ายนั้นแล้ว”

กิ่งไผ่ได้ฟังก็กำมือแน่น

“นับตั้งแต่ส่งข่าวไป ขอทำเรื่องเข้าเวียงนวรัฐะและชะลอการส่งตัว ดูท่าทางฝ่ายนั้นจะเคี้ยวยากกว่าที่คาด มันรู้แผนเรา”ผู้พันชานเนนเอ่ย

“ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนายกฤษดาและพรรคพวก กล่าวหาว่าทางนายพลอินคานเป็นกบฏต้องการนำตัวไปส่งโทษ”

ทุกคำพูดทำให้กิ่งไผ่ทำหน้าเหมือนมีน้ำแข็งบางๆปกคลุม

“ทางนั้นบีบบังคับเรามาหรือ?”นายพลพิภพรำพึง

“เรื่องนี้ท่าจะยากกว่าที่คิด ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าทางนั้นขอตัวไป เราก็ไม่อาจขัด”

ธีรเดชโพล่งขึ้นมาทันทีทันใด“จะให้ส่งตัวไปจริงๆหรือครับ ท่านก็ทราบดีว่า...”

ผู้พันชานเนนถอนใจ เอ่ยขัด“อย่างไรเสียทางคุณกิ่งไผ่ก็ถือว่าเป็นกบฏอยู่ดี หากไม่ส่งตัวอาจจะเกิดปัญญาทั้งสองฝ่าย”

“เขาจะเป็นกบฏไปได้อย่างไร แล้วเรื่องที่ทางนายพลคะฉิ่นเจ้าเมืองนวรัฐะสบคบกับนายกฤษดาเพื่อค้ายาเล่า”

“เรื่องนั้นเป็นปัญหาที่เราจะจัดการต่อไป หากแต่เรื่องการเมืองในเวียงวนรัฐะเราไม่อาจสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว”

“ท่านนายพลครับทำไมท่านถึงตัดรอนน้ำใจผู้ที่ให้ข่าวเราเกี่ยวกับการค้ายาแบบนี้”ภานุที่นั่งฟังเงียบๆช่วยคัดค้าน

นายพลพิภพทำหน้าหนักใจ“เราไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่มันจำเป็น เราเลือกไม่ได้ เรายังต้องรักษาสถานภาพของสองเขตแดนไว้ หากบุ่มบ่ามผลีผลามทางเรานั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายผิดพลาดและไม่อาจช่วยเขาได้เลย”

สายตาเย็นเยียบจ้องใบหน้าของท่านพลพิภพซึ่งทำสีหน้าเครียดเคร่ง

“เราควรคิดหาทางวิธีกว่านี้”นายพลอรุณเอ่ย มองกิ่งไผ่อย่างมีเมตตา

“ถ้าเป็นแบบนั้นคงต้องยืดการส่งตัวไปอีกสักระยะ เอาละเลิกประชุมได้”นายพลพิภพเอ่ย

กิ่งไผ่ลุกจากที่ประชุม เขาทรุดนั่งเงียบๆยังซอกมุมหนึ่ง ธีรเดชเข้าไปหา แต่เขากลับชะงักเมื่อเห็นสายตาเย็นชาทอดมองมา เขาได้แต่มองคนที่เหน็ดเหนื่อยสิ้นหวัง กลับเข้าห้องโดยที่เขาได้แต่มองห่างๆ

“ผมควรทำอย่างไร?” ธีรเดชอ่อนใจ“ทั้งๆที่ผมสัญญาว่าจะช่วยเขาแท้ๆ”น้ำเสียงท้อแท้ สิ้นหวัง

“ผู้กองธีช่วยเขาเต็มทีแล้วล่ะ เรื่องนี้มันกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศ ทางเวียงนวรัฐะต้องการตัวกิ่งไผ่ไปลงโทษในฐานะคิดกบฏต่อบ้านเมือง”

“หึ...เป็นการปกปิดและถอนรากถอนโคนสินะ”เอ่ยอย่างขมขื่นใจ ภานุบีบบ่าเบาๆ“ผม...”ธีรเดชพูดไม่ออกได้แต่เจ็บปวดอยู่ภายในใจ

------------------------------------------------

กิ่งไผ่นึกทบทวนแผนการในสมอง ไม่นึกเลยว่าทางเจ้าคนชั่วจะบีบรัดเขาถึงเพียงนี้ เขาห่วงใยบิดาจนแทบขาดใจ อยากร้องไห้แต่ก็ไม่มีคราบน้ำตาไหล มองฟากฟ้าผืนแผ่นเดียวกันแต่เขาก็ไม่อาจข้ามไปช่วยเหลือได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง...แต่จะอะไรดีล่ะ ในเมื่อเขาไร้อาวุธและมีกำลังเพียงหนึ่งเดียว ขณะคิดก็นึกถึงแผนการที่ไม่อยากใช้เลย เพื่อพ่อ เพื่อบ้านเมือง เขาต้องทำ!ถ้าประสบความสำเร็จ ทางการไทยต้องตามเขาไปแน่และหาข้ออ้างเข้าถึงเวียงนวรัฐะได้ แม้ว่ามันต้องแลกกับความไว้วางใจก็ตาม เขาพร้อมที่จะทรยศต่อความไว้ใจ แม้แต่ผู้มีพระคุณ! สายตาหวานคมเยือกเย็นมองออกไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดกำหนดแผนหนีทีไล่อยู่ในใจ

------------------------------------------------

ตกค่ำกิ่งไผ่รับประทานอาหารแล้วเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทว่าเขาก็แอบลอบหนีออกทางหน้าต่าง มองลู่ทางหนีทีไล่ก่อนเร้นกายในเงามืด สายตามองบ้านพักที่ได้อาศัย แสงเทียนวอมแวมดับลง ห้องทั้งห้องตกอยู่ในเงามืดทันที แสงไฟสีส้มก็ลุกโพลง เสียงร้องตะโกนว่าไฟไหม้ดังก้อง เสียงฝีเท้าสับสนวิ่งไปยังทิศทางห้องของเขา คงกันได้สักระยะ กิ่งไผ่รีบหนีออกจากที่นั่น เป้าหมายต่อไปเขาอยู่ที่บ้านพักของท่านนายพลพิภพ เขาคาดการณ์ไว้ว่าคุณหมอต้นธาราผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านนายพลต้องอยู่ที่นี่ มองตัวบ้านเงียบสงบ จึงเข้าทางหน้าต่าง เสียงฝีเท้าเบาดุจแมว ช่างเป็นโชคอะไรเช่นนี้ที่เห็นคุณหมออยู่เพียงลำพัง สายตากังวลมองออกไปข้างนอก กิ่งไผ่หยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนจานแอปเปิ้ลขึ้นมารัดคอจ่อมีดเข้ากับคอหอย ต้นธาราตกใจต่อการจู่โจมทว่าเขาถูกจับไว้ไม่ให้ดิ้นขัดขืน

“ถ้าไม่อยากตายบอกมาเก็บปืนไว้ที่ไหน”น้ำเสียงกระชาก

ต้นธาราดิ้น ส่งเสียงอู้อี้

“แกเป็นใคร!”ต้นธาราพยายามขัดขืน

“อยากตายรึไง?”ตวาดเสียงแหบ ต้นธารารู้สึกว่าคนที่จับตนไว้จะมีรูปร่างเท่าๆกัน

“บอกมาเร็วๆ”

น้ำเสียงร้อนรน มีดจ่อเข้าเนื้อจนเลือดซึม ปวดแปลบ ต้นธาราก็คิดจะขัดขืนอยู่ดี จึงถูกต่อยเข้าที่ท้องเบาๆ ร่างบางถึงกับทรุดทีเดียว ในขณะนั้นก็มองเห็นผู้ที่จับตนแล้วนัยน์ตาก็เบิกกว้าง

“ปืนอยู่ที่ไหน!”

กิ่งไผ่เดินหาดูพบกับปืนกระบอกหนึ่งในเกะเก็บของ กุมไว้พร้อมกับชี้ปลายกระบอกปืนไปทางหน้าผาก กดแนบให้ปลายกระบอกปืนเย็นเยียบติดกับผิวหนัง

“ลุกขึ้นเร็ว!”

ต้นธาราทำตามคำสั่ง

“ห้ามตุกติก ไม่งั้นคุณหมอได้กลับบ้านเก่าแน่ๆ”กิ่งไผ่ประกาศกร้าวและเขาสามารถสังหารทิ้งโดยไม่ลังเลหากเป็นตัวถ่วง ต้นธารารู้โดยสัญชาติญาณจึงเดินลงจากบ้านตามแรงกระชาก ไปยังชายป่า เดินแม้จะหกล้ม ดูท่าทางอีกฝ่ายจะร้อนรนมาก ใบหน้างามสะคราญมีรอยคิดหนัก วางแผนขั้นต่อไป ในที่สุดทั้งคู่ก็หยุด หอบหายใจถี่ๆ มองดูจันทร์เคียวลอยเด่นฟ้า ดวงตาสีดำสนิทยิ่งเจ็บปวด รำลึกถึงบทเพลงคลอริมหูได้ ตัดอารมณ์อันจะทำให้จิตใจสั่นคลอน มองใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อผุดผาดตามวงหน้า ทั้งยังแดงก่ำ กลีบปากอ้าออกหอบหายใจเหน็ดเหนื่อย กิ่งไผ่กะเวลาให้พักชั่วครู่ เอ่ยสนทนากับคนที่เขาจับมาเป็นตัวประกัน

“คุณหมอจำได้ไหมว่าคุณหมอเคยช่วยผม”

สายตาของกิ่งไผ่สบกับต้นธาราซึ่งนิ่งงัน ผงกหัวเงียบๆ

“จำได้ ผมจะจำคนที่ผมช่วยชีวิตไม่ได้ได้อย่างไร?”ต้นธาราว่า

สายตาที่จ้องมองมาเย็นเยียบเหมือนไร้ชีวิตจิตใจ“ผมขอบคุณที่คุณหมอมอบชีวิตให้ผมในวันนั้น...ผมเสียใจที่ทำให้คนที่คุ้มครองคุณในวันนั้นสิ้นชีวิตแลกกับชีวิตผม”กิ่งไผ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ต้นธารายืนตัวตรง ใบหน้าขาวซีดยิ่งซีดมากกว่าปกติเพราะเหนื่อย ดวงตาสีน้ำตาลโหยหาอดีตที่ไม่มีวันที่จะลบเลือนไป

“ผู้กองนาคีเขาตายไปแล้ว คุณยังอยู่...ก็จงอยู่ในชีวิตที่ผู้กองมอบให้เถอะ”ต้นธาราเอ่ย ความรู้สึกที่ทิ้งไปแล้วสะท้านในหัวใจ

กิ่งไม้เม้มปากแน่น ชีวิต...จุดเริ่มต้นของแต่ละฝ่ายต่างเชื่อมโยงด้วยความเศร้าโศก ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีเจตนาร้ายจนถึงกับจะฆ่า

“แล้วการที่คุณลักพาตัวผมมานี่มีจุดประสงค์อะไร?”

“ตัวประกัน”กิ่งไผ่ตอบ ในใจที่สงบค่อยๆทุกข์ร้อนเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ตัวประกันงั้นรึ?”

“ใช่คุณหมอจำเป็นต้องไปกับผม”กิ่งไผ่ว่า

“เพื่ออะไร?”ต้นธาราตั้งคำถาม สีหน้าเริ่มสงบนิ่ง

“ผมจำเป็นต้องหนีไปจากที่นี่ คุณเป็นตัวประกันชั้นดี ถ้าคุณข้ามไปถึงเวียงนวรัฐะได้พร้อมผมในฐานะตัวประกัน พ่อของคุณคงไม่ปล่อยให้ลูกชายคนเดียวไปตายในนั้นกระมัง?”กิ่งไผ่เอ่ยถึงแผนการ

สายตาสีน้ำตาลจ้องมองดวงตาสีดำสนิท“ผมเข้าใจว่าทางเราต้องยื่นมือช่วยเหลือคุณ”ต้นธาราเกลี้ยกล่อม

“ผมรอไม่ได้อีกแล้ว เวลามันบีบบังคับผม อีกอย่างทางการคุณคงไม่ยื่นมือช่วยเหลือจริงจังเพราะปัญหาการทูตระหว่างประเทศ”กิ่งไผ่ว่าพลางแนบปืนเข้ากับแผ่นหลังที่เครียดขึ้ง

“พวกเขาจะเล่นตุกติกอะไรกับคุณล่ะ?”ต้นธาราถาม พลางเดินตามแรงบังคับ

“คุณหมอรู้น้อยไป ทางผู้กองภานุคงไม่ได้พูดอะไรมากสินะ?”

ต้นธาราหันมองเมื่อได้ยินชื่อนี้

“เขาเป็นคนยิงผมให้บาดเจ็บ”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ผู้กองภานุยิงกิ่งไผ่...กิ่งไผ่บาดเจ็บ...แล้ว..ในใจเต้นรัว ในหัวมึนงง

“เป็นอะไร?”

กิ่งไผ่จับสังเกตสีหน้าเซียวๆ ริมฝีปากเม้มแน่นได้

“เขายิงคุณ?”

“มันเป็นหน้าที่ของผู้กองนี่นะ”

มืออันสั่นเทากุมแน่น สิ่งที่ไม่เคยรู้...มันก็เหมือนกับว่าบาปมันเอ่อล้นมากขึ้นไปอีก... สายตาสีดำเย็นเยียบมองแววตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง กิ่งไผ่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ลากผู้มีพระคุณต่อชีวิตตัวเองมานั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวด้วย แม้หัวใจจะรู้สึกผิดเต็มระงับ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ต้องลากคนๆนี้ไปสบทบกับผู้ที่ยังจงรักภักดี ใช้ต้นธาราเป็นข้ออ้างในการจุดชนวน เพื่อหาทางช่วยเหลือบิดาให้เร็วที่สุด!

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-01-2009 20:43:50
โห บ้าซี ขนาดเน่อ  :jul3: ยายฝาโอ่ง

 :pigha2: :pigha2: :pigha2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-01-2009 20:47:49
ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :laugh:

ก็คนมันร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก รักน้องซี อิอิ

ยัยโอ่ง  ไม่ได้เป็นฝาเฟ้ย  ไม่รับๆๆๆ  :angry2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-01-2009 20:51:45
ไปถามใครๆดิว่าฝาโอ่งจิง  พิมฝาโอ่ง

พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง

พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง  พิมฝาโอ่ง

 :pigha2: :pigha2: :pigha2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 01-01-2009 20:52:37
เข้ามาอ่านนิยาย

แต่รู้สึกหลอน หลอนนนนน

หลอนซีโว้ยยยยยยยยย

แอร๊ยยยยยย ตูหลอนนนนนนนนนนน :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 01-01-2009 20:58:58
 :m20:  :m20:  :m20:  :m20:  :m20:

แค่นี้ทำมาหลอน  เดี๋ยวๆๆๆ รอเจอเวอร์ชั่นสอง 555+
จะหลอนหนักกว่านี้อีก  เห็นมะ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีลายเซนต์ 
ในที่สุดก็มี อิอิ   หลอนนนนนนนนนนนนนนนนนได้ใจมะ 

หนึ่งโอ่งสามใบเถา  ส่วนแป๋วเจ้าเก่าเฉาก๊วยทอด
หนึ่งโอ่งสามใบเถา  ส่วนแป๋วเจ้าเก่าเฉาก๊วยทอด
หนึ่งโอ่งสามใบเถา  ส่วนแป๋วเจ้าเก่าเฉาก๊วยทอด

 :jul3:  :jul3:  :jul3:

ปล  พวกแกบ้าเท่ซู๊ดดดดดดด  นิยายกำลังเศร้าแอนตึงเครียดนะเว้ยย   :impress3:
 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 01-01-2009 21:03:41
ก็นิยายมันเศร้านิ ก็ต้องหาไรคลายเครียดดิ  :laugh: หรือบ้าเพราะนิยายเครียดไปเนี่ย  :z3: :z3:

แต่ยังมีคนบ้ากว่าเรานะ ฝาโอ่งงัย บ้าซีขนาด  :m20:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Ferfa ที่ 01-01-2009 21:07:51
 o18มา  :m20: ได้ไหมอะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 01-01-2009 21:08:36
แอร๊ยยยยยยยยย  :beat:

เศร้าได้อีกกกกกก  :o12:

ปล. หนึ่งตุ่มสามโคก เสี่ยงโชคเจอพิมพ์ลอยน้ำมา
       หนึ่งตุ่มสามโคก เสี่ยงโชคเจอพิมพ์ลอยน้ำมา

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 01-01-2009 21:33:28
 :L1:Happy New Year 2009 :L1:
ยังคงติดตามเป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 02-01-2009 11:57:54
โอ้วววววว ไหง๋มันกลายเป็นงี้ไปได้...
น่าสงสารทุกคนเลยวุ้ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 02-01-2009 14:50:25
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


เอาหมอธารไปไมเน้

โฮฮฮฮฮฮ

สงสารใครดี

------------------------------


อ้างถึง
19NT  คุณน้องขี้เมา ปีใหม่นี้ไปเมาที่ไหนป่าวเนี่ย เอิ๊กส์สสสส  หมอธารเหมือนจะดีเนอะ  อ่านกันต่อไปจ้า

กท. นี่แหละค่ะ ไม่เมาแสดงว่าตัวปลอม  55
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 02-01-2009 15:34:56
และแล้วเราก็มีความสุขได้ไม่นานเท่าไหร่
แล้วต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นอีก กดดันกัน
อีกแล้ว ธารก็ยังไม่หายดี แล้วงานนี้ภาณุ
จะไม่คลั่งเลยเหรอ แก้วตาดวงใจทั้งดวง
ถูกเอาตัวไปเป็นตัวประกันทางการเมือง
แล้วธีรเดชก็อีก ห่วงก็ห่วงเขามาตลอด
ทำไมยังคิดไม่ได้อีก จนตอนนี้จวนเจียน
จะต้องเสียความรักไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
ยังตอบคำถามของหัวใจตังเองไม่ดี
ยังยึดติดกับความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง
เฮ้อ ! กดดัน อีกแล้ว เครียดๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-01-2009 17:02:34
Poes  ป้าตุ๋มสามโคก จะดูซิว่าคราวนี้จะมาจิ้มได้ไวอีกป่าว 555+ ไอ้พวกจิ้มตรูดชาวบ้าน   :z13:
RN  ป้าแป๋ว แกจะเสี่ยงโชคลอยน้ำไปไหน  หาคำได้คล้องจองกันได้น้อ  เริ่ดค้า
Ferfa  คุณน้องนานๆโผล่มาที  อิอิ  ขอบคุณที่ขำเด้อ
ken_krub  แฮปปี้นิวเยียร์ด้วยน้าคุณเคน เชื่อมะ บางครั้งเราแอบสงสัยว่าคุณเคนอ่านอ่ะป่าว 55+ แต่เราเชื่อว่าคุณเคนอ่านนะ สังเกตุเอาจากทู้ไหนไม่มีข้อความให้กำลังใจจากคุณเคนแปลว่ากระทู้นั้นไม่ได้อ่าน ขอบคุณนะ
nartch นารทเท่ร้ากกก  หายไปนาน เรื่องนี้น่าสงสารกันทุกคนจริงๆ ด้วยอ่ะ อะไรจะขนาดนั้นเนอะ เฮ้อ
19NT  อ่านต่อเลยว่าเอาหมอธารไปไหน  สงสารธารก็น่าสงสาร แต่กิ่งไผ่ก็น่าสงสารเหมือนกันนะน้องตาล แงแง
pupper  รักน้อง pupper จริงๆ เม้นต์ได้ยาวสมใจพี่มากๆ  เริ่ดๆๆ ใกล้จบแล้วน้า แต่ละคนก็มีปมกันไปคนละแบบเนอะ

อ่านต่อเลยค้าบบ  :กอด1:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 38 Timeless / ทรยศ (PART 2)

สายตาสีน้ำตาลมองดูท้องฟ้าใกล้สาง สีน้ำเงินจางๆตัดขอบฟ้าที่ทอสีดำ สายลมหนาวโชยต้องร่างให้สั่นทะท้าน จนต้องห่อไหล่เข้าหากัน เหลือบมองผู้ที่หลับสนิทไม่สะทกสะท้านกับสายลมหนาว ต้นธาราหดกายให้เล็กลง ถึงแม้ว่าจะง่วงแต่เพราะยุงและความหนาวเหน็บทำให้ไม่อาจข่มตาหลับ ดวงหน้าที่อิดโรยยิ่งเผือดซีด วงแขนกอดรัดตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ทว่าลมหนาวยังพัดผ่านผิวราวกับจะกรีด ดูท่าเสียงขยับตัวคงจะปลุกให้ใบหน้าเยียบ
เย็นตื่นขึ้น มองดูร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม

“ไม่หนาวหรือ?”ต้นธาราตัดสินใจถาม เขาทนหนาวมาทั้งคืน นอนแทบไม่หลับ ปวดเมื่อตัวไปหมดผิดกับคนที่จับเขามาซึ่งนอนหลับได้อย่างสบาย

“ไม่...”คำตอบเย็นชา สายตาเหลือบดูฟ้า ลุกขึ้นบิดกาย

ต้นธาราหนาวจนไม่อาจขยับตัว เขาคิดว่าคงจะแข็งตายไปทั้งสภาพแบบนี้แต่ก็ยังทนมาจนถึงรุ่งสาง

“ต้องขอโทษคุณหมอที่ไม่อาจก่อไฟให้ได้ ทนหนาวสักคืนคงไม่ตาย”

คำพูดที่แฝงนัยประชด ต้นธาราสะดุ้งเลยทีเดียวเมื่อได้ฟัง เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับกิ่งไผ่ ทว่าไม่มีเสียงใดๆหลุดไปเลย สายตาสีดำมองท้องฟ้ากะเกณฑ์เวลาอยู่ในใจ

“ลุกไม่ไหวหรือ?”

หันมองผู้ที่ยังนั่งทื่อ ต้นธาราลุกขึ้น รู้สึกเหน็บชาไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว

“จะพาไปไหนกันแน่?”

มองหนทางที่มีแต่ป่ากับป่า ในใจหวาดหวั่นยิ่งนักเมื่อถูกพาเดินเข้าไปในป่าลึกโดยที่ไม่มีอะไรจำเป็นในการดำรงชีพติดตัวมา

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคุณหมอ รับรองว่าผมจะไม่พาคุณไปตายแน่ๆ”

คำว่าตายช่างเอ่ยออกจากริมฝีปากของกิ่งไผ่ง่ายดาย ต้นธารากลืนน้ำลายลงคอ

“ทำไมถึงดูไม่หวั่นเกรงกับความตายล่ะ?”ถามอย่างสงสัย

กิ่งไผ่แสยะยิ้มจนต้นธารามองแล้วเกรงในรอยยิ้มนั่น“ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาจนชาชิน มองดูคนอื่นตาย ทุกอย่างสูญสิ้น สิ่งที่ผมทำก็ทำเพื่อตัวเองและเพื่อครอบครัวที่ผมรักเท่านั้น!ความตายก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย”

“เพื่อตัวเองและเพื่อครอบครัวงั้นรึ....”

กิ่งไผ่ผงกศีรษะช้าๆ แววตาสีดำหม่นลง ต้นธาราเขยิบเข้ามาใกล้ร่างของกิ่งไผ่ สายตาสีดำสนิทมองอย่างระแวดระวัง

“ดูท่าคุณมีเรื่องให้แบกรับเยอะสินะครับ?”

ไร้ซึ่งคำตอบ กิ่งไผ่เดินหนีเสีย ปล่อยให้ต้นธาราเดินตาม คุณหมอไม่เข้าใจในตัวของคนที่จับตนมา แม้ว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะเชลยก็ตามแต่ก็ไม่ได้บังคับหรือเข้มงวด อาจจะคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาที่จะหวนกลับละมั้ง

“เราจะไปที่ไหน? คุณคิดจะเอาผมไปเป็นตัวประกันเพื่ออะไร? หากไม่เป็นอย่างที่คาดล่ะ?”

กิ่งไผ่หันมองคนที่พูดกล่อมตน ไม่รับฟังคำใดๆทั้งสิ้น เขายึดในความคิดของตัวเอง แม้ว่ามันจะล้มเหลวก็ตาม

“ผมรู้ว่าทางฝั่งไทยต้องตามมาแน่นอน”

ต้นธาราก็อับจนปัญญา เดินตามเงียบๆ รู้สึกคอแห้งผากได้แต่อดทนเท่านั้น

“คุณหมออาจจะเหนื่อย แต่เดินอีกสักสองชั่วโมงก็จะได้พัก”

ได้ฟังคำๆนั้นต้นธาราโล่งใจ เขาอดทนแม้จะเหน็บเหนื่อย เดินไปหอบไป แสงอาทิตย์ค่อยๆฉายจับฟ้า อรุณใหม่มาเยือน ต้นธาราอยากจะทรุดนั่ง แต่ในใจก็บอกให้ทน มองคนที่เดินนำเหมือนไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ต้นธาราไม่อาจเห็นเหงื่อโทรมหน้าคนเดินนำ ทั้งคู่เดินไปถึงริมธารที่ไหลเอื่อยๆ กิ่งไผ่พยักเผยิบให้ต้นธาราไปล้างหน้าพักผ่อนเสีย ส่วนตัวองทรุดอิงรากไม้ ..ที่ผ่านมาไม่เคยมีความเหนื่อย อ่อนเพลียเช่นนี้เลย ทอดมองคนที่กวักน้ำล้างหน้าและดื่มอย่างกระหาย กิ่งไผ่จึงลุกไปดื่มบ้าง

“เวียงนวรัฐะอยู่ไกลไหม?”

“ไกล...แต่เราจะไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งก่อน ที่นั่นจะเชื่อมไปถึงเวียงนวรัฐะได้สะดวก พ้นจากเขตป่านี้ก็เป็นถนน เราจะออกไปยังทิศทางนั้น”กิ่งไผ่อธิบายช้าๆในระหว่างที่กวักน้ำขึ้นมา

“แล้วพวกด่านตรวจล่ะไม่กลัวรึ?”ต้นธาราถาม

กิ่งไผ่ยิ้มน้อยๆ“ไม่...ทางฝ่ายไทยคงคิดว่าเราหลบหนีในป่า แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีแผนผมอาจถูกมองออก”

สายตาสีดำสนิทก้มมองแหวนที่ประดับอยู่บนนิ้ว ต้นธาราสังเกตเห็นสายตาคู่นั้นจึงเลี่ยงข้อมือให้พ้นจากสายตา กิ่งไผ่ไม่พูดอะไร ลุกขึ้น พร้อมอออกคำสั่ง

“เราต้องออกเดินทางก่อนค่ำนี้ไม่งั้นลำบาก”

กิ่งไผ่กล่าว เดินลุยป่าต่อเหมือนไม่เหน็ดเหนื่อย ต้นธาราเดินตามห่างๆ สภาพป่าเริ่มจะโปร่งขึ้น แสงแดดแผดแรงกล้า เหงื่อชุ่มจนเหนียวเหนอะไปหมด เดินมากี่ชั่วโมงแล้วไม่รุ้เลย สองขาได้แต่ทำตามตามสมองสั่ง จวนเจียนจะล้มหลายครั้ง ได้แต่ทน...ทนเพียงคำเดียว ฝ่ายกิ่งไผ่ที่เร่งฝีเท้าไม่สนใจคนเบื้องหลังว่าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ใจสั่งให้ออกไปจากป่าโดยเร็วเท่านั้น

“อีกไม่ไกลก็จะออกไปได้แล้ว”

กิ่งไผ่หันมาบอก มองใบหน้าเผือดไร้สีเลือดทรุดนั่งลง เหงื่อไหลท่วมใบหน้า กลีบปากบางสั่นระริกคล้ายกับจะหอบเอาอากาศเข้าไปไม่ทัน

“คุณหมอ...”กิ่งไผ่เรียก

ต้นธารารู้สึกวิงเวียน อยากอาเจียน กำมือแน่นคล้ายกับจะฝืนอาการทั้งหมด ส่ายหน้าไปมา ดวงตาพร่าพรายมองแหวนสีทองสะท้อนเข้าดวงตา

“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร”ต้นธาราฝืนลุกขึ้นโดยการพยุงของกิ่งไผ่

“แน่ใจนะ?”

แม้ว่าจะรีบร้อนสักเพียงไหน อาการของตัวประกันต้องใส่ใจ หากตายตอนนี้ทุกอย่างก็จบสิ้น ต้นธาราผงกหัวให้คำมั่นใจ กิ่งไผ่เห็นดังนั้นจึงปล่อยให้ต้นธาราเดินต่อเอง ถึงแม้ว่าจะช้าไปบ้าง

สิ่งที่ยึดเหนี่ยวในใจของต้นธาราคือการกลับไปหาผู้เป็นที่รัก ไม่อยากให้เสียใจ ไม่อยากให้โกรธเคืองผู้ที่นำตัวเองมา ด้วยล่วงรู้ว่ามันคงมีความนัยซ่อนอยู่ในการจับเป็นตัวประกัน เขาฝืนทนอาการทั้งหมดจนกระทั่งไปถึงถนนจึงทรุดยังพื้นลาดยางมะตอย มองถนนว่างเปล่า กิ่งไผ่เก็บปืนซ่อนไว้ มองดูรถที่จะผ่านมา เขาเฝ้ามองคนใบหน้าซีดนั่งหมดแรงเหลียวมองดุป่าที่จากมา ถอนใจน้อยๆ

“นั่น...คงช่วยเราได้”

กิ่งไผ่โบกรถ ก่อนเข้าไปเจรจายังรถที่จอดรับ เป็นรถขนส่งผักไปยังตลาดของพวกชาวเขา กิ่งไผ่เจรจาอยู่นาน เขาหันมองต้นธาราที่นั่งหน้าซีดกุมอดไว้ สีหน้าร้อนรนใจ ภาษาชาวเขาดูคล่องปรื๋อ ก่อนจะเข้ามาประคองร่างที่อ่อนแรง

“เก่งนะที่พูดให้เขายอมได้”คุณหมอเอ่ยชมทำนองแดกดันอย่างระโหย

“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณด้วย”กิ่งไผ่ตอบกลับหน้าตาย

“จะไปไหนล่ะ?”

เอ่ยกระซิบถามเบาๆหลังจากขึ้นรถ เขามองดูชายแก่ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับ ต้นธารายิ้มให้ ชายแก่หันมายิ้มเห็นเหงือกคล้ำแดง

“แม่ฮ่องสอน”


ต้นธาราถามด้วยความตกใจ “จะไปได้ไง?”

เดาความคิดของคนๆนี้ไม่ออกเลย มองดูด้านนอกรถ ชายแก่ขับไม่เร็วนัก กิ่งไผ่คุยกับตาแก่ด้วยภาษาชาวเขาซึ่งต้นธาราก็ฟังไม่ออก

“หลับไปก่อนเถอะ”กิ่งไผ่หันมาบอกเสียงอ่อน

ต้นธารามองใบหน้าขรึม เขาไม่กล้าหลับเลยเมื่อเห็นสายตาราวกับมีบางอย่างในใจ เขากุมมือตัวเองไว้แน่น

“กลัวว่าแหวนจะหายรึ ไม่ต้องห่วงไปหรอก”

ต้นธาราได้ฟังก็สะดุ้งโหยง ไม่กล้าที่จะหลับแต่ว่าความอ่อนเพลียทำให้เปลือกตาบางค่อยๆปิด

------------------------------------------------

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร พอต้นธาราลืมตาตื่นสิ่งที่เขาสำรวจดูก็คือแหวน พบว่ามันยังอยู่ดีอยู่จึงโล่งใจ เขามองกิ่งไผ่ที่เผลองีบหลับ มองชายชราที่ชี้มือโบ๊เบ๊บอกต้นธาราด้วยภาษาชาวเขาซึ่งคุณหมอได้แต่งุนงง พอเห็นป้ายบอกว่าเป็นเขตแม่ฮ่องสอนก็เข้าใจจึงเขย่าตัวของกิ่งไผ่ขึ้น ดวงตาสีดำตื่นจากนิททรา กิ่งไผ่ลงจากรถ เขามองต้นธาราก่อนจะหยิบเงินให้ ฝ่ายต้นธารามองสงสัยว่าอีกฝ่ายจัดการหาเงินมาได้อย่างไร พอชายแก่รับเงินเสร็จก็รีบขับรถตีกลับ กิ่งไผ่จึงหันมาเอ่ยกับต้นธารา

“ผมเอามาจากบ้านพักของคุณเองแหละ คงไม่คิดว่าผมออกมาตัวเปล่าหรอกนะ”

ต้นธาราไม่พุดอะไร เขามองดูคนที่พาเดินอีกแล้ว ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยให้เห็นเหมือนเคย กิ่งไผ่ก็พาต้นธาราลัดเลาะมายังบ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง

“เราจะพักที่นี่สักคืนก่อนออกเดินทางไปยังเขตชายแดน”กิ่งไผ่เอ่ย หยุดอยู่หน้าประตูบ้านหลังเล็ก มองดูมันแล้วหวนคิดถึงอดีตที่เคยอยู่กับธีรเดช

“บ้านใคร?”

ต้นธาราสงสัย ฝ่ายกิ่งไผ่ไม่ตอบอะไร เขาสั่งให้ต้นธาราอยู่ที่นี่ก่อนจะหายไปไม่นานนัก มาพร้อมกับชายร่างเล็ก
ยื่นกุญแจให้

“รบกวนนายจันอีกแล้ว”

“การที่ได้ช่วยนายกิ่งไผ่ผมดีใจ เออ จริงสิครับนายกิ่งไผ่รู้ยังครับว่าท่านนายพลถูกจับตัวไป”

กิ่งไผ่ผงกหัว นายจันมองดูเสี้ยวหน้าสะสมความเครียดเคร่งก่อนวัยอันควร

“แล้วนายกิ่งไผ่ถูกปล่อยมาหรือครับ”นายจันเอ่ยถามอย่างงุนงง

“เปล่า...หนีมาน่ะ ช่วยเก็บข่าวให้ดี ฉันไม่ทำให้นายจันเดือดร้อนหรอก”

กิ่งไผ่เอ่ยเมื่อเห็นแววตาตกใจของนายจัน

“ครับ...ครับได้ครับ”

กิ่งไผ่ไขกุญแจเข้าไปในบ้านหลังเล็ก บอกให้ต้นธาราที่ยืนนิ่งตามมา สายตาสีน้ำตาลสำรวจดูบ้านอย่างงุนงง

“คุณหมอคุณมีโอกาสพักสบายๆก็แค่คืนนี้ เชิญพักก่อนเถอะ พักบ้านหลังนี้ไม่ต้องห่วงหรอก”เสียงบอกติดจะห้วนๆ

ต้นธาราจำต้องนั่งลง เขามองดูนอกหน้าต่าง ก่อนไพล่มองร่างที่ล้มตัวนอนหลับเหมือนหลับสนิท ต้นธาราจึงเอนหลังพิงปลายเตียง เขาคิดจะหนีแต่พอลุกขึ้นพบสายตาเย็นชาและคำพูดข่มขู่

“ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากยิง คุณหมออยู่เงียบๆเถอะ!”

ต้นธาราจำต้องทรุดนั่งลง เกิดความเงียบเมื่ออีกฝ่ายหลับไปโดยที่ยังมีปืนข้างกาย หากขู่และก็พูดถึงขนาดนั้นแสดงว่าคงเอาจริง เขาจึงนอนเก็บเอาแรงเสียดีกว่า พอหลับก็รู้สึกระบมขาไปหมด ต้องตื่นขึ้นมานวดให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย รู้ว่ามันต้องเกิดจากการเดินทางไกล ต้นธาราเหม่อฟังเสียงลมหายใจสงบของอีกฝ่าย ชายหนุ่มลูบแหวนสีทองสัมผัสเย็นชืดติดข้อนิ้วให้ความรู้สึกโหยหาคนเคียงข้าง รู้สึกอ้างว้าง ต้นธาราถอนใจ เขาขยับกาย ผ่านมาคืนหนึ่งแล้วทางนั้นจะเป็นเช่นไรนะ คุณหมอลุกขึ้น เขากระหายน้ำ เดินหาน้ำพบกับตุ่มใบเล็กๆวางไว้บนชั้นเตี้ยๆ ภายในนั้นบรรจุน้ำฝนเย็นชื่นใจ คุณหมอดื่มน้ำแล้วคิดถึงเรื่องสำคัญได้

...ยาที่ต้องกิน หมอประจำที่ต้องไปพบ...

แววตาสีน้ำตาลเปี่ยมด้วยความกังวล อีกครา มองไปยังคนที่หลีบอยู่ คิดจะหนีพอขยับกายก็เหมือนกับจะรู้ว่าเขาจะหนี ไม่อาจทำอะไรไปได้มากกว่านั้น กอดเข่าตัวเอง หลับตาลงอ่อนแรง กิ่งไผ่ซึ่งนอนตื่นเต็มตาเห็นคุณหมอนอนพิงปลายเตียงก็ลุกขึ้นมาเขย่าตัว

“ไปนอนข้างบนก็ได้”

หากต้นธาราส่ายหัว เขามองใบหน้ากิ่งไผ่เป็นทำนองร้องขอ

“คิดจะให้ปล่อยรึ ผมบอกแล้วว่าข้อเสนอนั้นผมไม่อาจทำได้”

“รู้...ถึงขอไปคุณก็ไม่ปล่อย เพียงแต่จะบอกว่าผมป่วยอยู่ จำเป็นต้องมียารักษาอาการ ไม่งั้นคุณคงได้แต่ศพกลับเวียงของคุณ!”

“ยารึ?”

“ใช่ เอามาให้รึเปล่า?”ต้นธาราถาม เขาอุตส่าห์คิดว่าอีกฝ่ายคงนำมาให้เหมือนกับที่ขนเงิน ขนปืนมา

“อยู่ในถุง ผมเอามาไม่กี่แผงหรอกจัดการชีวิตให้ดี”

กิ่งไผ่ลุกจากเตียงออกไปล้างหน้า แล้วย้อนกลับมาหาต้นธารา

“เย็นนี้มีแต่ไข่เจียว”

อะไรเขาก็กินได้ทั้งนั้นแหละ ต้นธาราคิด เพราะกำลังกลุ้มใจอาการตัวเอง มือบางกุมแผงยาไว้...เพราะที่กิ่งไผ่นำติดมามันเหลือแค่สามแผง เขาต้องกินบำรุงเพื่อให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว

“เหม่ออะไร?”กิ่งไผ่เรียก เมื่อไม่ได้คำตอบ

“ทำอะไรมาผมก็กินได้หมดแหละ”

ต้นธาราตอบ วางแผงยาสำคัญลงในถุงก่อนลุกขึ้นไปยังโอ่งน้ำด้านนอก เงาปรากกฎบนผิวน้ำเผยให้เห็นใบหน้าปริวิตก กลับเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมหวน กิ่งไผ่ตั้งจานข้าวไว้ ต้นธาราทรุดนั่งทานเงียบๆ พออิ่มกิ่งไผ่ก็เป็นฝ่ายเก็บล้าง ต้นธารามองเฉยๆ เขารู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย การเคลื่อนไหวอีกฝ่ายแผ่วเบา แม้จะไม่ควบคุมให้อยู่ใต้อาณัติ พอขยับกายหมายจะออกไปข้างนอกก็ต้องหยุดเพราะสายตาเยียบเย็นสะกดให้หยุดไว้

“วันพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

ต้นธาราลุกขึ้น เข้านอนอย่างว่าง่ายเหมือนเด็กๆ สายตาไม่ละสำรวจผู้ที่จับตนมา กิ่งไผ่หลับลงได้ง่ายดาย ต้นธาราถอนใจ อยู่กับความเงียบเหงา เขาไม่ชอบเอาเสียเลย ต้นธารที่ไม่อาจข่มตาหลับลงนั่งเซื่องซึม หยิบยาเข้าปาก รอคอยให้ฤทธิ์ยาออกฤทธิ์จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมากนัก สายตาค่อยๆหรี่ลงพร้อมกับห้วงสำนึกสุดท้าย

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-01-2009 17:04:20
“ตื่นได้แล้ว”

ต้นธาราสะดุ้งโหยง เขามองดูท้องฟ้าก่อนลุกขึ้นไปล้างหน้า กิ่งไผ่เก็บข้าวของที่จำเป็นลงในย่าม ต้นธาราเดินเข้ามา เขาชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงชะงักทำท่าว่าจะกลับไป กิ่งไผ่ก็ปราดมาถึงหน้าประตูก่อน เปิดประตูรับอย่างระมัดระวัง พบว่าเป็นนายจันยืนอย่างระแวดระวัง

“เป็นไงบ้างจันข่าวที่ให้สืบกับของที่ฉันต้องการ”

กิ่งไผ่ถามนายจัน ซึ่งนายจันนำกระบุงที่แขวนอยู่หลังออกมาให้ สีหน้าของกิ่งไผ่ปรากฏความพึงพอใจเมื่อได้สิ่งที่ต้องการครบ

“เรื่องข่าวตอนนี้ทางการไทยออกตามหาตามป่าที่นายกิ่งไผ่หลบหนีมาจริงๆครับ ตอนนี้ดูจะรู้แล้วว่านายกิ่งไผ่ไม่ได้หลบหนีเข้าไปในป่า”

“อื้ม...แล้วฝากฝังอีกเรื่องล่ะ ถ้าหากมีใครมาถามเรื่องของฉันว่ามาพักที่นี่หรือเปล่า ปฏิเสธไปทันทีนะ”

หันมาทางต้นธาราที่ยืนมองอย่างงุนงง

“คุณหมอ”

กิ่งไผ่เรียกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ต้นธาราก้าวเข้ามาตามคำเรียก มองอย่างไม่เข้าใจเมื่ออีกฝ่ายวางกระบุงพร้อมกับนำเสื้อผ้าออกมา สายตาสีน้ำตาลมองอย่างงุนงง

“เปลี่ยนซะ จะเข้าเขตแดนเวียงนวรัฐะทั้งสภาพนั้นคงไม่ดีแน่”

คลี่เสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยออก พบว่ามันเป็นชุดชาวเขา ต้นธารามองเนิ่นนานจนกระทั่งถุกกระตุ้น

“เอาไปเปลี่ยนสิ”

ต้นธาราจำต้องผลัดเปลี่ยนชุดที่ติดตัวมาเป็นเสื้อผ้าชาวเขา เดินออกมากิ่งไผ่มองแล้วทำหน้าพอใจ ยังดีที่ว่ามันเป็นชุดของผู้ชายขยับกายอย่างอึดอัดในชุดที่ไม่คุ้นเคย

“โชคดีที่ใส่ได้พอดี”

ต้นธารามองดูกิ่งไผ่ที่แต่งชุดชาวเขาเช่นกันบนหลังสะพายกระบุง

“เราจะไปสมทบกับชาวบ้านที่เข้ามาค้าขายในเขตแดนไทย”

ใบหน้าต้นธาราถูกแต่งแต้มให้เป็นรอยดำคล้ำโดยนายจันแล้วยังนำกระบุงเปล่าๆมาให้อีกใบ

“รีบไปเถอะครับ ทางนั้นรอนายกิ่งไผ่นานแล้ว”นายจันว่า พลางเดินนำกิ่งไผ่ไปยังรถกระบะเก่าๆ คนที่ไม่เข้าใจอะไรเดินตามด้วยท่าทีตื่นๆ

“เราจะไปไหนกัน?”

“เวียงนวรัฐะ คุณหมอช่วยทำตัวสงบนิ่งหน่อยได้ไหม?”

ต้นธาราทำตัวสงบนิ่งไม่ได้ เขากังวลใจเกินกว่าที่จะนิ่ง

“ผ่านด่านตรวจไปได้ก็ปลอดภัยแล้ว”กิ่งไผ่ว่าอย่างขรึมๆพลางมองออกไปนอกรถ

“ปลอดภัย?”ต้นธาราสงสัย หมายถึงปลอดภัยจากทหารฝั่งไทยน่ะหรือ? ได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ

“ต้องลากันตรงนี้นะครับ ขอให้นายกิ่งไผ่โชคดี”

กิ่งไผ่ผงกศีรษะก่อนจะเดินไปหากลุ่มชาวบ้าน

“ต้องขอรบกวนอีกแล้วนะพ่อบ้าน”

ต้นธาราฟังคำเรียกชายแก่ซึ่งมองมาทางเขาก่อนผงกหัวเมื่อกิ่งไผ่พูดรัวเร็วแล้วชี้มาทางเขาซึ่งยืนนิ่ง

“คุณหมอเข้าไปในกลุ่ม ถ้ามีคนถามอะไรก็อย่าพูด อย่าตอบ อย่าโวยวายถ้าไม่อยากตายเร็ว”

ต้นธาราเข้าไปกลุ่มคนตามที่อีกฝ่ายสั่ง เขามองดูหญิงชายที่รายล้อมเขา แต่ละคนมีสีหน้าเครียดเคร่งอย่างเห็นได้ชัด กิ่งไผ่เข้ารวมกลุ่มนั้นดูกลมกลืนไปกับฝูงชน ไม่มีใครพูดอะไร ต่างเดินเงียบๆจนผ่านไปสักระยะจึงมีเสียงพูดคุยเบาๆด้วยภาษาที่ต้นธาราไม่เข้าใจ เขามองดูด่านที่อยู่ไม่ห่าง มีคนผ่านด่านเยอะ คณะที่ต้นธาราและกิ่งไผ่อาศัยไปนั้นต่างเร่งฝีเท้า สายตาสีน้ำตาลมองผู้คนที่เดินเข้าด่านอย่างเชื่องช้า ต้นธาราอดเกร็งไม่ได้เมื่อใกล้ถึงคณะที่ตนอาศัยมาใกล้ถึงด่าน อดคิดจะหาทางกลับ หากดวงตาสีน้ำตาลส่งประกายเย็นเยียบคล้ายบอกว่าถ้าขัดขืนคงต้องแลกด้วยชีวิต รีบก้มหน้าเดินผ่านเงียบๆ เขาหายใจโล่งอกที่ไม่มีใครถามอะไร กิ่งไผ่ที่ตามหลังมานั้นดูโล่งใจเช่นกัน

“โชคดีวันนี้คนเยอะ อีกอย่างพ่อบ้านก็ได้รับความไว้วางใจเราเลยได้ผ่านด่านมาง่ายๆ”กิ่งไผ่อธิบาย ต้นธาราเหลือบมองชายชราซึ่งเดินเร็วกว่าคนหนุ่มอย่างเขามาก

“เดินไปอีกก็จะเป็นหมู่บ้านที่พ่อบ้านอาศัยอยู่”

บ่ายคล้อยแล้ว ต้นธารามองเขตแดนไทยที่ห่างสายตา เขาสะท้านในอกดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสกลับไปอีก!

------------------------------------------------

เสียงหมาเห่าขรมเมื่อต้นธาราก้าวเข้าไปอาณาเขตบ้านที่ปัดกวาดสะอาดสะอ้าน เขามองดูกิ่งไผ่คุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน สายตาของหัวหน้าหมู่บ้านมองผู้ที่มาด้วย ต้นธาราหลบตาช่างสำรวจนั่นเสีย เมื่อกิ่งไผ่กวักมือให้เข้ามาได้เขาจึงเดินตามขึ้นไปบนบ้าน กิ่งไผ่ทรุดนั่งไม่พูดอะไรกับตัวประกันแม้แต่น้อย หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งกิ่งไผ่เรียกว่าพ่อบ้านนั้นนำเครื่องนอนมาให้ ต้นธาราบอกขอบคุณเบาๆ มองคนที่เหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ต้นธาราไม่คิดรบกวน

กิ่งไผ่จมอยู่กับความหลัง เมื่อมาถึงที่นี่เขาคิดถึงอดีตที่เคยอยู่ร่วมกับผู้กองธีรเดช...แต่อดีตมันก็คืออดีต มานั่งปวดร้าวมันก็ไม่ได้อะไร เขาร้องไห้ ทุกข์ทนกับความรักที่ไม่ได้ตอบแทนคืนมากพอแล้ว หลับตาลงพร้อมกับมองแสงยามเย็น ภายในตัวบ้านมืดครึ้มได้แสงเทียนวอมแวม เป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวสาดส่องให้เห็นร่างที่คุดคู้หลับใหลเพราะความเหนื่อย กิ่งไผ่มองดูข้างนอกต่อ ราตรีเงียบงันมาเยือนเขาอีกแล้ว เหม่อ...จนกระทั่งพ่อ
บ้านเรียกให้ไปทานข้าวเย็น กิ่งไผ่เรียกต้นธาราซึ่งคู้ตัวหลับ คุณหมอปฏิเสธ กิ่งไผ่จึงหันไปบอกกับชายชราว่าจะไปหากินเองแล้วก็ทิ้งตัวลงแนบพื้น สัมผัสหัวใจที่ชืดชาของตัวเอง ทรยศต่อความไว้วางใจ แต่นั่น...มันก็สมควรแล้วที่จะทำ กิ่งไผ่หาข้อลบล้างในใจของตัวเอง รำคาญที่ต้องมานั่งคิดถึงเรื่องนี้ มองร่างบางที่หลับสนิท ผู้ที่ได้รับความรักและความห่วงใยนั่นไป กอดตัวเอง ความอ้างว้างเข้าเกาะกุม แหวนสีทองสะท้อนเปลวเทียนวับวาวในความมืด ตัวเขาที่อ่อนแอ เหนื่อยล้าทั้งกายและหัวใจ จะคิดอิจฉาไปก็ไม่แปลก ในเมื่อชีวิตเขาอยู่เพื่อบ้านเมืองไม่ใช่ความรักตั้งแต่แรกแล้ว กิ่งไผ่ลุกขึ้นสำรวจดูร่างบอบบางของคุณหมอ เห็นหลับตาพริ้ม ริมฝีปากแห้งผาก แก้มซีดขาวกว่าปกติ แตะดูพบว่าตัวร้อนดุจมีไฟรุม

“คุณหมอ!”

พอรู้ว่าตัวประกันป่วยในใจของกิ่งไผ่ก็ทุกข์ร้อนทันที!

------------------------------------------------

ความรู้สึกมึนชาราวกับถูกทุบด้วยค้อนก่อเกิดเมื่อทราบข่าวร้ายว่าต้นธาราหายตัวไป ภานุขึ้นบ้านพักของนายพลพิภพ เห็นสภาพเงียบเชียบจึงวิ่งลงจากบ้านพักทันทีทันใด ดวงตาร้อนใจฉายชัด

“ไม่มีร่างของกิ่งไผ่ครับท่าน”

ธีรเดชตะโกนออกมาจากห้อง นายพลพิภพมีสีหน้าเคร่งเครียด หันมองยังภานุทันที

“ท่านครับมีข่าวแจ้งครับ ทางคุณหมอต้นธาราหายตัวไปเช่นกันครับ”

สีหน้าของท่านนายพลขรึมทันที ธีรเดชได้ยินหันมองอย่างตกใจ

“ว่าอะไรนะครับ! คุณหมอหายไป ไม่อยู่?”

สายตางุนงงมองใบหน้าของภานุ ท่านนายพลผงกศีรษะ เป็นเชิงรับทราบ เบือนสายตาจากเตียงไหม้ไฟ

“เรียกประชุมด่วน”ท่านสั่งเสียงเรียบ

ธีรเดชวางหมอนดำเกรียมลง วิ่งเข้ามาหาภานุ

“มันเป็นไปได้อย่างไร?ธารหายไปไหน?”

ภานุส่ายหัว สีหน้าเครียดเคร่งไม่แพ้กัน

”เชิญผู้กองธีเข้ารวมประชุมเถอะ”

ภานุเอ่ยแค่นั้นก่อนก้าวเท้าเร็วๆไปยังห้องประชุม ในใจหวาดหวั่น ธีรเดชเช่นกัน เขากังวลอยู่ลึกๆ ไม่คิดว่ากิ่งไผ่จะกล้าทำแบบนี้ เปิดประชุมอย่างรวดเร็ว ธีรเดชฟังรู้สึกอ่อนแรง คำพูดต่างๆไม่ผ่านเข้าหูเลยแม้แต่น้อย ผู้พันชานเนนเอ่ยเสนอความคิดเห็นบ้าง

“การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ย่อมมีแผนบางอย่างแน่นอน อาจเกี่ยวพันถึงเรื่องที่ทางพวกเราได้ปฏิเสธความช่วยเหลือไป”

“เราแค่บอกว่าเราไม่อาจยุ่ง ขอเวลาตัดสินใจ”ท่านนายพลพิภพเอ่ย

“แต่นั่นเป็นการปิดกั้นหนทาง ไม่ให้ทางกิ่งไผ่เลือก”ผู้พันชานเนนกล่าวขรึมๆ“มันอาจเป็นข้ออ้างให้เราเข้าเวียงนวรัฐะได้ง่ายดายเช่นกัน”

คำพูดของผู้พันชานเนนทำให้ธีรเดชที่นั่งฟังด้วยใจร้อนรนรู้สึกมีความหวัง

“เราส่งคนออกตามหาข่าวแล้ว เส้นทางที่คาดว่าจะใช้หนีกลับเป็นเส้นทางลวง คาดว่ามุ่งสู่เวียงนวรัฐะแน่นอนแต่จะใช้หนทางไหนนั้นเรากำลังเร่งสืบอยู่”ภานุที่รับข่าวมาเอ่ย ในใจร้อนรนไม่แพ้ธีรเดชเพียงแต่ชายหนุ่มพยายามสงบใจ

“ผมพอจะรู้ว่ากิ่งไผ่ใช้เส้นทางไหนเข้าเวียงนวรัฐะ”ผู้กองธีรเดชโพลงทำให้ทุกสายตาจับจ้องเป็นจุดเดียว

“ผู้กองทราบ?”

ธีรเดชผงกหัว“ครับ ตอนที่ผมหนีมากับคุณกิ่งไผ่ เขาพาผมมายังเส้นทางหนึ่ง อาจจะเชื่อมไปดูเวียงวนรัฐะได้ง่ายๆและเราอาจจะเจอกิ่งไผ่อยู่ที่นั่นก็ได้ครับ”ธีรเดชเอ่ย

ท่านนายพิภพสบตากับนายพลอรุณซึ่งนั่งฟังพร้อมกับประมวลผลเงียบๆ

“งั้นผมให้ผู้กองธีนำกำลังตามติดไปยังเส้นทางที่ผู้กองว่า ส่วนกองกำลังอีกส่วนจะตามผู้พันชานเนนไปยังเวียงวรัฐะโดยตรงเพื่อเจรจา”นายพลอรุณออกคำสั่ง

“ผู้พันคุณเป็นหัวหน้าทีม ให้ผู้กองธีเป็นคนนำทาง ผู้กองภานุกับผู้กองรังสรรค์เป็นลูกทีม ส่วนจ่าแม้นกับร้อยตรีอานุภาพตามผู้พันชานเนนไป”

หลังจากลงคำสั่งเสร็จ ธีรเดชลุกขึ้นเตรียมตัวเก็บของทันทีทันใด

“ผู้กองธีทราบหรือครับว่าคุณกิ่งไผ่ แขกพิเศษของเราหนีไปไหน”ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ยถาม

“ทราบดีครับ”

ดวงตาสีดำอ่อนโยนดิ่งลึกในห้วงความทรงจำ หนทางลำบากที่ผ่านพ้นมาด้วยกัน ฝ่าฟันด้วยความเจ็บปวด ตัวตนอีกตัวตนหนึ่งได้รู้จักในยามคับขัน ในใจปวดแปลบ ยิ่งหวนนึกถึงคำบอกรัก นึกถึงสายตาที่มองเขาอย่างร้าวราน ทำไม...คำถามก่อเกิดในใจ รู้สึกว่าอีกฝ่ายทรยศในความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วกิ่งไผ่จะทำก็ไม่เห็นแปลก

“ผู้กองธีหวังว่าเขาคงไม่ทำอะไรธารนะ”

ธีรเดชหันมองผู้กองภานุซึ่งเดินเคียงข้างมาเงียบๆ

“นั่นสิ กังวลว่าเขาจะทำอะไรกับคุณหมอ ยิ่งคุณหมอธารกำลังอยู่ในระยะพักฟื้นด้วย”

คำพูดของผู้กองรังสรรค์และผู้กองภานุเล่นเอาธีรเดชกลืนน้ำลายตอบไม่ได้

“เขาคงพาตัวประกันไปเพื่อเป็นตัวล่อ คุณหมอคงปลอดภัย”

ตอบไปแบบนั้นก็ยังไม่คลายความกังวลใจไปอย่างง่ายๆ กลัว...เกรงว่ากิ่งไผ่จะทำอะไรกับต้นธารา ภานุเม้มปากแน่นในใจนึกห่วงใยสายน้ำที่ค่อยชโลมใจอยู่เต็มเปี่ยม


------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 03-01-2009 17:06:54
แอร๊ยยยยยยส์ ใกล้จะจบภาคสองแล้ว  :sad11:

เรื่องร้ายๆกำลังจะมา  :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 04-01-2009 02:33:41
โหยยยยยยยย

เป็นห่วงคุณหมอเน้ 

ยาแค่สามแผง จะพอกะการรักษาม้ายย

นี่ไข้ก้อกินอี๊กกกกกกกกกกก

โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 04-01-2009 10:13:42
ขอบคุณคุณมูมู่ที่ยังจำกันได้และเข้าใจ  ไม่ผิดหวังเลยที่ติดตามงานของคุณมาตลอดและก็ยังคงติดตามเป็นกำลังใจให้อย่างนี้เสมอและตลอดไป  ขอบคุณอีกครั้งครับ  :L1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 04-01-2009 12:27:18
ตึงเครียดนะครับ เป็นห่วงต้นธารามากๆ ยังพักฟื้นอยู่เลย
แล้วยังจะต้องไปเจอสถานการณ์การเมืองภายในของเวียง
นวรัฐอีก สงสารกิ่งไผ่เหมือนกันนะครับ ต้องสู้กับความ
เป็นจริงและสู้กับหัวใจตัวเอง ที่น่าหนักคือ ภาณุคงห่วง
ดวงใจของตัวเองยิ่งกว่าอะไร แล้วหวังว่าธีคงจะพบคำ
ตอบของตัวเองได้สักที  อย่ากดดันคนอ่านมากเลยน๊า
มันเครียดๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 04-01-2009 17:50:47
ตามมาทันแระ

กว่าจะทัน ตาแทบแฉะ

อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-01-2009 19:03:42
Poes  อิอิ  มาคนแรกอีกตามเคยนะหนึ่ง  เรื่องร้ายๆ กำลังจะตามมา ฮือๆๆๆ
19NT  คุณหมอนี่น่าเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา  แต่...อ่านเอาเองแล้วกันนะ
ken_krub  ขอบคุณคุณเคนที่ติดตามให้กำลังใจเสมอมา อิอิ  จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ เพราะเป็นแฟนคลับไง 55+
pupper  อ่านตอนนี้ทำใจไว้ก่อนนะน้อง pupper  มันตึงเครียดกว่าอีกอ่ะ
Junrai_hyper  ก็ว่าพูห์หายไปไหน  ตามอ่านไม่ทันนี่เอง 55  ลิงค์อัพโหลดเพลงชอบคืนนี้นะ  เผื่อคนอื่นๆ อยากได้ด้วย เราอัพโหลดไว้ตามลิงค์เลยจ้า ลิงค์อัพโหลดเพลงชอบคืนนี้ (http://www.savefile.com/files/1953394)

มีอีกหลายคนยังตามอ่านไม่ทัน  จะต่อแล้วน้า   :m15:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทส่งท้าย

Timeless



อาการไข้ของต้นธาราขึ้นสูง ตัวร้อนผ่าว ใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นเทา แม้กระทั่งชายชราที่ต้มยาให้กินส่ายหัวอย่างท้อแท้ กิ่งไผ่กำมือแน่น

“ไม่อาจช่วยอะไรได้เลยรึ?”

“ต้องรอดูอาการก่อน ถ้าไข้ไม่ลดเห็นทีต้องส่งเข้าโรงพยาบาลแต่...มันอาจสายไป”

ร่างของกิ่งไผ่อ่อนแรง เอ่ยขอบคุณพ่อเฒ่าซึ่งเป็นหมอผีประจำหมู่บ้านช่วยดูอาการให้ พ่อเฒ่าลุกขึ้นหยิบยาสมุนไพรกลิ่นฉุนเฉียวออกไปนอกห้อง กิ่งไผ่ชันเข่าขึ้นคู้ร่างซบบนเข่า เขาเริ่มลังเลใจกับการกระทำตัวเองว่าตัวเองทำถูกไหมที่พาคนป่วยมาดั้นด้นแบบนี้ แต่คุณหมอก็ไม่บ่นอะไร ยอมตามมาโดยดี พอได้ยินเสียงไอจึงเข้าไปดู เห็นดวงตาแดงก่ำจ้องตรงมา สีหน้าอ่อนระโหย

“ขอน้ำหน่อยได้ไหม?”เสียงแหบแห้งเอ่ย

กิ่งไผ่เอาน้ำมาให้ คนป่วยลุกขึ้น รู้สึกวิงเวียนศรีษะ มือสั่นๆประคองขันน้ำ ดวงตาแดงก่ำจ้องหน้ากิ่งไผ่ตรงๆ

“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

กิ่งไผ่มองใบหน้าขาวเผือด ผงกหัวลงเป็นเชิงอนุญาต

“หลังจากที่คุณได้บรรลุเป้าหมายแล้วคุณจะปล่อยผมไปไหม?”

“ทำไมคุณหมอถึงถามแบบนั้นล่ะ?”

ต้นธาราขยับตัวอย่างอึดอัด สีหน้าอับจน “ผมไม่อยากให้ผู้กองภานุเขาเป็นกังวลน่ะ กลัว....”

ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงนามคนที่รักก็สะท้านในอก ร่างผอมบางพูดออกมาได้ง่ายดายนัก

“คุณหมอจะกลัวอะไรล่ะ?”

ต้นธาราไม่ยอมตอบ เขารอเอาคำตอบที่ถามไปเท่านั้น

“ผมคงไม่ทำอะไรกับคุณหมอแล้วล่ะ ถ้าจะกลับไปก็เชิญ...แต่คุณหมอจะทำได้ไหมมันก็อีกเรื่อง”

คำตอบช่างแสนเย็นชา ต้นธาราถอนใจเบาๆ

“ต่อให้ตาย...ผมจะต้องกลับไป แต่ถ้าไม่ได้ ช่วยฝากบอกเขาทีได้ไหมว่าอย่าคิดทำอะไรบ้าๆล่ะ”

กิ่งไผ่ขมวดคิ้ว มองมือขาวที่กุมประสานกันไว้แน่น สัมผัสของแหวนเย็นเฉียบราวกับวันเวลามีความสุขค่อยๆจางไปจากใจ ต้นธารากลัว...เหมือนกับเป็นลางสังหรณ์

“ตอนนี้คุณหมอพักผ่อนเถอะ เอาไว้หายเมื่อไรค่อยพูดถึงเรื่องนี้”

ยิ่งมองเห็นความรักที่อีกฝ่ายมีให้ต่อคนๆหนึ่ง หัวใจก็ปวดแปลบ ทั้งๆที่เคยคิดตัดใจแต่มันก็ยิ่งพอกพูน เหงา...เหน็บหนาว มองร่างที่นอนเงียบๆ ฟังเสียงเงียบงันของกาลเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เสียงไอแห้งๆปลุกให้กิ่งไผ่ตื่นจากภวังค์

“คุณหมออาการเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

ต้นธาราลืมตาขึ้น“อือ...ไม่เป็นอะไรหรอกครับ อย่ากังวลเลย” ต้นธาราหลับตาลง ที่เขาต้องฝืนทนก็เพื่อชายหนุ่มที่มีนามว่าภานุ

------------------------------------------------

ใบหน้าหม่นหมองเมื่อตามรอยกิ่งไผ่ได้จนถึงบ้านพักที่กิ่งไผ่เคยใช้หลบหนี ธีรเดชคว้านตามหานายจันจนกระทั่งได้ตัวนายจันขณะทำตัวลับๆล่อๆใกล้บ้านพัก นำมาสอบถามเครียดเกี่ยวกับเรื่องของกิ่งไผ่ ทว่านายจันปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น

“ไม่ได้ช่วยเหลืองั้นรึ แน่ใจนะ”ธีรเดชที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่

“ม...ไม่ได้ช่วยเหลือเลยครับ”

นายจันปฏิเสธอย่างลนลาน ธีรเดชคว้าคอเสื้อขึ้น

“ผู้กองธีไม่ทำเกินไปหน่อยหรือครับ?”

ร้อยเอกรังสรรค์เอ่ยห้าม ธีรเดชจึงปล่อยอีกฝ่ายลง

“ผมแน่ใจว่าเขาต้องมาที่นี่แน่ๆ”ธีรเดชผลักประตูบ้านเดินเข้าไปสำรวจภายในซึ่งว่างเปล่า

“อะไรที่ทำให้มั่นใจ?”ภานุถาม

ธีรเดชกัดปาก ทำทีเป็นโมโห เตะเก้าอี้เตี้ยๆล้มโครม นายจันสะดุ้งเฮือกหลบสายตา

“เส้นทางเดียวที่เขาสามารถหนีเข้าไปยังเวียงนวรัฐะได้ง่ายๆก็มีแต่เส้นทางนี้เท่านั้น แน่ใจนะนายจัน ถ้าโกหกนายจันก็จะถูกจับด้วย บอกมา!”

เมื่อได้ฟังเสียงดุ ตะคอก นายจันก้มหน้าก้มตา

“ผ...ผมไม่ทราบจริงๆครับนาย ต...ตั้งแต่ช่วยนายกิ่งไผ่คราวนั้น นาย...นายก็ไม่ได้มาที่นี่เลย”

ธีรเดชหัวเสีย ชายหนุ่มกวาดตาไปทั่วหวังว่าจะมีอะไรสามารถยืนยันได้ สายตาเขาก็ปะทะกับอะไรบางอย่างที่มีสีแวววาว พอหยิบขึ้นมาดู ก็ปรากฏว่าเป็นฟอยล์ของแผงยา

“แล้วนี่อะไร?”

ภานุเข้าดู จำชื่อยี่ห้อได้ว่าเป็นแผงยาที่ต้นธาราต้องกิน จึงบอกแก่ธีรเดชไป

“แล้วนี่อะไร ยังจะมาปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นอีก!”

นายจันมองแผงยาในมือของธีรเดชตาค้าง ก้มหน้าก้มตารับสภาพเงียบๆแต่ยังคงไม่ยอมจำนน ธีรเดชย่างสามขุมเข้าไปหา

“ยังคิดโกหกอีก!”

นายจันปิดปากเงียบไม่ยอมรับสารภาพง่ายๆ ธีรเดชถอนใจแรงๆ

“นายจัน ฉันรู้ว่ากิ่งไผ่มีบุญคุญกับแก แต่แกจะปกป้องเขาตลอดไปไม่ได้ ตอนนี้เขาจับคนๆหนึ่งซึ่งกำลังป่วยหนัก ถ้าไม่เข้ารับการรักษาโดยเร็วละก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นะ”

นายจันก็ยังปิดปากเงียบเช่นเคย

“ถ้าคนที่นายแกเอาตัวไปเสียชีวิตขึ้นมา นายของแกจะต้องโทษเพิ่ม แล้วแกจะให้ผู้มีพระคุณของแกเดือดร้อนหรือ?”

นายจันส่ายหน้าอย่างท้อแท้เหมือนบอกว่าไม่อาจพูดได้จริงๆ

“นายจัน!”ธีรเดชสำทับข่มขู่ ชายหนุ่มโมโหจนแทบลงไม้ลงมือเมื่อเห็นท่าทางเหมือนยอมตายแต่ไม่ยอมเอ่ยปาก หากไม่ถูกกันไว้เสียก่อนเขาคงได้ซัดสักหมัดแน่ๆ

“ผู้กองธี ถ้าเขาไม่รู้ก็เสียเวลาเปล่าที่จะถาม”ผู้กองรังสรรค์เอ่ย

ธีรเดชร้อนรนใจ ได้แต่ทุกข์ทรมานเพราะไม่อาจทานทน

“นายจัน....ถ้าเกิดแกบอก ฉันรับรองความปลอดภัยของนายแก”

นายจันลังเลใจแต่ก็ยังไม่ใจอ่อน

“รวมทั้งแกก็จะได้ของรางวัลที่ช่ายทางการด้วย จะไม่มีใครเอาโทษนายแกจริงๆ”

ธีรเดชพูดราวเอาขนมหวานล่อเด็ก ดวงตาของนายจันหวั่นไหวเมื่อได้ฟังข้อเสนอ

“ฉันไม่ได้โกหกหรือคิดจะหลอกลวงอะไร ขอแค่ให้บอกมาเท่านั้นเป็นการแลกเปลี่ยน”

นายจันขยับตัวอึดอัดก่อนจะเอ่ยออกมา

“นาย...นายกิ่งไผ่มาพักที่นี่จริง”

นายจันบอกไปแค่นั้น ธีรเดชก็ตบบ่า

“ขอบใจมาก”

ธีรเดชกล่าวก่อนจะเรียกให้ภานุและร้อยเอกรังสรรค์เข้าปรึกษาเรื่องเส้นทางพร้อมกับยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้แก่นายจันก่อนจะออกเดินทางต่อไป ทิ้งให้นายจันมองดูเงินที่อยู่ในมือด้วยสายตาว่างเปล่า

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-01-2009 19:05:33
เวลาเช้ามืด อะไรบางอย่างปลุกให้กิ่งไผ่ตื่นขึ้นมา เจ้าของเรือนผมยาวสลวยเพ่งมองในเงามืด เห็นคุณหมอนอนนิ่งก็ใจหายวาบรับเข้าไปดูใกล้ๆก็ต้องโล่งอกเมื่อคุณหมอยังหายใจรวยรินอยู่ ทรุดนั่งเสยผมยาวปรกหน้าออก แต่พบกับความผิดปกติจึงขมวดคิ้วแปลกใจ เงียบผิดปกติเกินไป! กิ่งไผ่ออกไปข้างนอก มองแสงจันทร์อดแสงนวลตา อาการหนาวเหน็บจนต้องห่อตัว เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืน หัวหน้าหมู่บ้านผวาตื่นขึ้นมา พาครอบครัวออกมานอกชานบ้าน


“พ่อบ้านๆมีคนบุกรุก”

กิ่งไผ่เบิกตากว้าง

“พ่อบ้านพาลูกๆหนีไปก่อนเร็ว”

ชายชราจึงสั่งให้ลูกๆกับภรรยาเก็บของที่จำเป็นหนีไปก่อนที่ตัวเองจะสั่งให้ตั้งรับก่อน กิ่งไผ่ปลุกคุณหมอที่นอนซมให้ตื่นขึ้น ทว่าดวงตาอิดโรยมองอย่างท้อแท้

“เสียงปืน มีอะไรหรือครับ?”

“คุณหมอพอจะเดินไหวไหม เราต้องหนี”

“หนี...”ต้นธารางุนงง ถามเสียงแผ่ว

“ใช่ หนีเสียงปีนนั่นฟังดูไม่ดีแน่”กิ่งไผ่มีท่าทีกังวล

เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นอีก

“พ่อบ้าน...พ่อบ้านทางนั้นต้องการให้ส่งตัวนายกิ่งไผ่ไปให้ครับ พวกผมบอกว่าไม่อยู่ที่นี่แล้วแท้ๆ”

กิ่งไผ่ได้ฟังนิ่งงัน ต้นธาราเห็นสีหน้าเครียดๆจึงเอ่ยถาม

“มีอะไร จะให้หนีไปที่ไหน ผมคิดว่าคงไปไม่ไหวหรอกนะ ถ้าเสียงปืนนั้นมันเกี่ยวกับเราละก็หนีไปก่อนเถอะ”

มือประคองร่างอ่อนล้าโรยราขึ้น กิ่งไผ่ตัดสินใจไม่ถูก ฟังเสียงพ่อบ้านตอบโต้กลับไป หากน้ำเสียงร้อนรนก็รีบเอ่ยขึ้น

“ถ้าไม่ให้พวกมันก็จะถล่มหมู่บ้านครับ”

คำพูดนั่นทำให้กิ่งไผ่ต้องตัดสินใจ

“เราจะไปกับมัน”

กิ่งไผ่หันไปพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านที่คอยให้ความช่วยเหลือ

“ไม่ได้ ไม่ได้ พวกมันต้องเอาถึงตายแน่”

“แล้วจะให้เลือกอะไรล่ะ ฉันจะปล่อยให้ชีวิตลูกบ้านตายเพราะฉันได้อย่างไร” กิ่งไผ่ลุกขึ้นเหมือนตัดสินใจแล้ว

“ดูแลเขาให้ดี”

ต้นธาราเห็นกิ่งไผ่ลุกขึ้นก็เอ่ยเรียกไว้

“ถึงคุณไปพวกมันก็คงคิดถล่มหมู่บ้านอยู่ดี”

คำพูดของต้นธาราทำให้กิ่งไผ่ชะงักเพราะมันเป็นความจริง อย่างไรเสียพวกใจเหี้ยมนั้นคงจะคิดทำอะไรกับหมู่บ้านนี้แน่ แต่เขาเลือกไม่ได้

“อย่างไรเสีย ผมก็ต้องรับผิดชอบ พวกมันคงไม่กล้าพอที่จะถล่มหมู่บ้านอย่างแน่นอน”

ต้นธาราถอนใจยาวๆ“ถ้าคุณไปแล้วสิ่งที่คุณคิดจะทำล่ะ?”

ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรต้นธาราถึงกล่าวรั้ง มองใบหน้าขาวในเงามืด กิ่งไผ่หลับตา ทั้งบ้านเมือง....ทั้งบิดา...สิ่งที่อยู่ในมือมันจะกลายเป็นศูนย์เปล่าทันที!

------------------------------------------------

“ผู้กองธี เสียงปืน...”

ธีรเดชผงกหัว เสียงปืนอยู่ใกล้ๆนี้เอง รีบรุดไปยังทิศเกิดเสียงปืน ทั้งสามต้องชะงักเมื่อเห็นชายฉกรรจ์หลายนายยืนล้อมหมู่บ้าน

“เรียกกองกำลังเสริมด่วน”

ภานุมองผู้กองรังสรรค์ออกคำสั่ง ความรู้สึกปวดมวนในช่องท้องก่อเกิดทันที อดคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้สูญเสียอดีตเพื่อนรักไม่ได้

“เอาไงดีผู้กองธี”ผู้กองรังสรรค์ถาม

“เรามีแค่สาม จะสู้กับพวกมันที่มีเป็นสิบเห็นจะไม่ไหว รอดูเหตุการณ์ต่อไปเถอะ”

ธีรเดชซ่อนตัว ดูภาพตรงหน้า เขาก็อดร้อนใจไม่ได้ เพราะถ้าหากถูกล้อมแสดงว่ากิ่งไผ่อยู่ที่นี่จริงๆ มองดูเหตุการณ์ภายใต้ราตรีที่มีแต่แสงจันทร์เป็นเครื่องชี้ทาง

“ดูนั่นสิครับผู้กองธี”

ร้อยเอกรังสรรค์ชี้ไปยังร่างๆหนึ่งเดินออกมา ใต้เงาของแสงจันทร์ทำให้ดวงตาของธีรเดชลุกโพลง

“กิ่งไผ่!ธาร!”

ร่างสองร่างที่ยืนในเงามืดดูเหมือนว่าต้นธาราจะยืนไม่ไหว ภานุจะลุกขึ้นด้วยความตระหนก หากถูกกดบ่าไว้

“อย่าบุ่มบ่าผู้กอง”

ธีรเดชกดบ่าหนาไว้แน่น ภานุมองดูทั้งสองร่าง พยายามเงี่ยหูฟังคำเจรจา ร่างของทั้งคู่เดินตามกลุ่มชายฉกรรจ์ไป สีหน้าของกิ่งไผ่เรียบเฉยยิ่งนัก โอบประคองร่างคนป่วยไว้

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหมอต้องตามมาด้วย”กิ่งไผ่ถามเบาๆ

“คนในหมู่บ้านบอกว่ามีสองคนไม่ใช่รึ?”

“คุณหมอทราบ?”

“ไม่รู้หรอกครับแต่พอจะจับท่าทางออกน่ะ ส่งไปอีกคนหนึ่ง...อีกคนที่อยู่ที่นี่ก็คงไม่รอด”

ต้นธาราตอบ เขามองดูคนที่รายล้อมตัวเองและกิ่งไผ่ไว้ ไม่มีใครพูดอะไร เหลือแต่ความเงียบงัน สีหน้าที่ซ่อนในเงามืดครุ่นคิดถึงหนทางต่อไป ขณะที่ประเมินสถานการณ์ จะพาคนที่เดินไม่ไหวหนีไปด้วยเช่นไร ต้นธาราก็ทรุดฮวบ สีหน้าเผือดสี เสียงตะคอกสั่งให้ลุกขึ้นพร้อมกับปืนกระทุ้ง แข้งขาอ่อนล้าไม่อาจพาลุกได้

“เขาป่วยหนักอยู่ให้พักไม่ได้หรือ?”

กิ่งไผ่ร้องขอ ทว่าคำขอนั่นถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ต้นธาราถูกกระชากให้ลุกขึ้น เสียงด่าทอทำให้คนที่ฟังไม่ออกขมวดคิ้ว

“แกจะใจดำมากเกินไปแล้วมั้ง ฉันอุตส่าห์ยอมมากับพวกแกแล้วนะ”

“นั่นมันมีข้อแลกเปลี่ยน”

กิ่งไผ่กำมือแน่นเมื่อคำตอบเฉยชาออกจากปาก ใช่...มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการที่ต้องรักษาหมู่บ้านไว้ กิ่งไผ่อยากหัวเสียก็ทำไม่ได้ ก้มหน้ารับชะตาที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ

------------------------------------------------

“กองกำลังเสริมใกล้มาถึงหรือยัง?”ธีรเดชถามขณะสะกดรอยตาม

“ยังครับ เราต้องหาวิธีถ่วงไว้ให้นานที่สุด”

“รบแบบกองโจร”

ภานุเสนอขึ้น ผู้กองรังสรรค์กับธีรเดชมองหน้ากัน ภานุวางแผนเส้นทางให้ แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่

“หากไม่ได้ผลควรถอยทันทีและรอจนกว่ากองกำลังเสริมจะมาถึง”ภานุบอก

ธีรเดชและผู้กองรังสรรค์รับคำแยกย้ายปฏิบัติตามแผนรบแบบกองโจรทันที

------------------------------------------------

การเดินทางที่เงียบเชียบไม่รู้ว่ามีคนตามติดอยู่ทำให้ปฏิบัติการได้รวดเร็ว ผู้กองรังสรรค์ถูกฝึกมาอย่างดี ใช้ปืนเก็บเสียงเล็งที่ศีรษะของเป้าหมาย เมื่อเล็งได้ก็ยิงทันที ร่างๆหนึ่งล้มลง ทุกคนตกใจ กิ่งไผ่เช่นกัน เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ท่าทีงุนงง เหลียวหาต้นสายปลายเหตุ เลือดสีแดงก็ไหลปรี่ออกจากขมับ และอีกร่างก็ล้มลง ความโกลาหลวุ่นวายก่อเกิด ร่างของกิ่งไผ่กับต้นธาราถูกกันไว้ และการกระจายกำลังเพื่อค้นหาเป้าหมายเริ่มต้นขึ้น ทว่าไม่นานนักก็มีคนล้มขาดใจตายไปแล้วสี่คน การกระจายกำลังค้นหาเริ่มต้นขึ้น กิ่งไผ่ที่ดูสถานการณ์แล้วยิ้มเย็น

“มีคนมาช่วยคุณแล้วล่ะคุณหมอ”

ต้นธาราปรือตาขึ้น ไม่มีอาการยินดีใดๆปรากฏ เขาเฝ้ามองเงาสับสนผ่านสายตา แต่แล้วกิ่งไผ่ก็รู้สึกว่าร่างถูกกระชากขึ้น ปืนแนบขมับ เหงื่อเย็นๆไหลทันทีทันใดหลังจากได้ยินเสียงประกาศ

“ถ้าไม่ยอมออกมาจะยิงตัวประกันทิ้ง”

ร่างของต้นธาราถูกกระชากเช่นกัน ปืนแนบขมับร่างที่ร้อนผ่าว ลำพังกิ่งไผ่ตัวคนเดียวก็พอจะเอาตัวรอดอยู่แต่นี่เล่นพ่วงคนเจ็บหนักมาด้วย ไม่มีทางไหนที่จะเอาตัวรอดได้เลย ต้นธาราถูกรัดคอไว้แน่น ตัวเขาไม่มีสติที่จะรับรู้อะไรต่อไปแล้ว

------------------------------------------------

ธีรเดชเห็นภาพที่ทั้งคู่ถูกจับก็ภาวนาให้ผู้กองภานุอย่าบุ่มบ่าม การหยุดยิงระงับทันที ทั้งสามรอคอยอย่างอดทนและฟังคำประกาศเรียก

“ออกมา อยากให้มันตายนักใช่ไหม?”

ปืนถูกแนบศีรษะมากขึ้น ยังไม่มีใครออกไป ทั่งป่าเงียบงัน ไร้ทุกสรรพเสียง ร่างของต้นธาราและกิ่งไผ่จึงถูกฉุดกระชากลากถูไปสู่ลานโล่งๆ เป็นป่าโปร่งไร้ที่กำบังกาย ร่างของต้นธาราถูกรัดคอแน่นจนดูแทบหายใจไม่ออก

“จะออกมารึยัง!”

ยิ่งแนบปากกระบอกปืนเข้ากับขมับ ความเจ็บปวดก่อเกิด เสียงใบพัดดังอยู่ไกลๆ สีหน้าของพวกโจรร้ายซีดทันใด มันไม่มีทางเลือก

“กูยิงจริงๆนะโว้ย”

มันยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าก่อนคล้ายจะลั่นไก ภานุเห็นท่าไม่ดีจึงยอมออกไปก่อน ชูมือขึ้น ต้นธาราเห็นร่างสูงคุ้นตาในความสลัวรางของยามรุ่งสาง ดวงตาสีน้ำตาเบิกกว้าง

“วางอาวุธลง พวกแกที่เหลือออกมาให้หมด!”

ภานุวางปืนลงก่อนตะโกนบอก“พวกแกวางอาวุธซะ ยังไงกองกำลังของแกก็สู้ไม่ได้ ปล่อยตัวประกันไปเถอะ”

ไม่มีใครยอมปล่อย ปืนทุกกระบอกมุ่งมาสู่ร่างสูง ก่อนจะถอยห่าง ภานุยังคงเจรจาต่อไป แต่เขาเตรียมพร้อมที่จะชักปืนที่อยู่ในซองเสมอ กิ่งไผ่มองดูใบหน้าคมกร้าวแสดงสีหน้าสงบ พยายามเจรจาอย่างใจเย็น

“อย่าเข้ามานะ”

เสียงกรีดร้องอย่างตื่นตะหนกออกจากปากคุณหมอ สายตาสีน้ำตาลมองภานุ ชายหนุ่มได้แต่รีรออย่างเจ็บใจ ลำคอเพรียวถูกรัดด้วยวงแขนแกร่งแน่น พยายามลากให้เดินไปด้วย ต้นธารารู้ดีว่าตนห้ามขัดขืนเด็ดขาดเพราะชีวิตตนและผู้กองหนุ่มอาจตายได้ง่ายๆ ภานุบอกกับตัวเองว่าไม่มีทาง แม้จะทำใจให้สงบได้ขนาดไหน เพียงเห็นต้นธาราเดินห่างไปเรื่อยๆ ในใจก็รวดร้าวเกินทน ธีรเดชที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ มองกิ่งไผ่พยายามขัดขืน ก่อนจะออกมายืนคู่ภานุเมื่อร่างของต้นธาราและกิ่งไผ่ถูกลากห่างไกลเรื่อยๆ

“เดี๋ยวผู้กองอ้อมไปทางนั้นนะครับ”

ธีรเดชชี้ไปทางที่ทหารโอบล้อมไว้อีกด้าน ภานุทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว การที่เชื่องช้าอยู่เช่นนี้อาจทำให้พวกมันจับตัวประกันหนีไปไกลได้ ขณะที่ภานุวิ่งถือปืนประจำตำแหน่ง เขาก็ได้ยินเสียงปืน เปิดฉากการต่อสู้ ชายหนุ่มใจหายวูบมองดูร่างของต้นธาราที่อยู่ในอ้อมแขนล้มลงพร้อมกับร่างของผู้ที่จับไว้

“ธาร!”

ภานุตะโกน หมายจะวิ่งไปหา หากถูกคว้าแขนไว้กระชากเข้าที่กำบัง ความสับสนวุ่นวายก่อเกิดเมื่อกิ่งไผ่กับต้นธาราถูกแยกห่างจากกัน ร่างของกิ่งไผ่ถูกพาไปอีกด้านที่ไร้การต่อสู้ ธีรเดชเบิ่งตาร่างถูกลากหายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหันมองร่างของต้นธาราที่ล้มลงพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของผู้ที่จับไว้ ภานุหมายจะไปหาร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง

“ผู้กองอย่าบุ่มบ่าม”

สายตาสีดำกร้าวมองร่างที่นอนนิ่ง เลือดไหลปรี่ออกจากร่าง เสียงปืนรัวเป็นตับก่อนจะหยุดลง ภานุรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขามองร่างล้มตายหลายร่าง เสียงตะโกนร้องเรียกโวยวายดึงสติคืนสู่ปัจจุบัน ภานุทิ้งปืนลง เขาวิ่งไปยังร่างของคนรักที่ถูกยิงทะลุแผ่นหลังโดยไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มคุกเข่าพลิกร่างของคนที่จับตัวประกันหนี ประคองร่างต้นธารา ร่างบางนอนหายใจรัวริน มุมปากมีเลือดไหลซึม มือสั่นเทาประคองร่างขึ้นแนบอก สัมผัสเลือดไหลชุ่มเสื้อสีขาวดูน่ากลัว ภานุตะโกนเรียกหมอ เปลสนามวางลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ามือขาวพยายามเกาะแขนเสื้อของร่างสูง ก่อนจะร่วงลงอย่างอ่อนแรง ริมฝีปากซีดเซียวพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้อย่างที่ใจนึก

“ผู้กองครับ เอาร่างของคุณหมอขึ้นเปลเถอะครับ”

เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังอยู่ไม่ไกล ภานุมองรางของคนรักถูกนำออกจากอ้อมอก ดวงตากร้าวมีประกายน้ำตาซึมหากไม่อาจร้องออกมาได้ มองร่างที่ถูกนำออกห่าง จะย่างเท้าไปหาก็ชะงัก มือหนาของใครบางคนตบบ่า

“ไปเถอะครับ”

ธีรเดชนั่นเอง ภานุจึงวิ่งเหยาะๆตีข้างเปลมอง ดวงตาปรือพยายามเบิ่งเหลียวหา

...ธาร...อย่าเป็นอะไรไปนะ....

เอ่ยในใจอย่างรวดร้าว มองใบหน้าที่เขารัก นอนอยู่บนเปล ลมหายใจรวยรินราวกับมันจะขาดหายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ร่างถูกส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดไว้ตรงลานโล่งๆ ภานุกระโดดขึ้นตาม ไม่สนใจสายตาที่มองมา เขากุมมือเย็นเอาไว้แน่น ในใจสวดภาวนาขอพรต่อทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกุมมือเขาแน่นราวกับจะสื่อความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกได้ ภานุมองใบหน้าซีดเผือดด้วยความรวดร้าวใจในใจเร่งให้ถึงมือหมอเร็วที่สุด

------------------------------------------------

เฮลิคอปเตอร์ลดระดับ ร่างของต้นธาราถูกนำส่งเข้าห้องไอซียูอย่างรวดเร็ว ภานุวิ่งตามทว่าเขาถูกกันออกจากห้องไอซียู ร่างสูงมองเตียงถูกเข็นหายเข้าไปภายในอย่างเคว้งคว้าง กำมือแน่นอย่างเจ็บใจเพราะมือคู่นี้ ไม่อาจปกป้องคนที่รักได้ เสียงฝีเท้าตามติดมาทีหลังทำให้ชายหนุ่มหันมอง ใบหน้าเครียดเคร่งของนายพลพิภพมองตรงยังร่างของภานุที่ทรุดอย่างอ่อนล้า มือเปื้อนเลือดคนรัก ใบหน้าเช่นกันเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ

“ธารล่ะ...”

ท่านนายพลซึ่งตามมาทีหลังนั้นถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าของคนเป็นพ่อคนเหมือนจะดับสิ้นตามบุตร ภานุใช้สายตามองตรงไปที่ห้องไอซียูซึ่งเปิดไฟฉุกเฉินสว่างวาบ ท่านนายพลมองตาม เข้าใจได้ในทันที ชายชราทรุดนั่งข้างผู้กองหนุ่มซึ่งทำหน้าเครียด มือประสานกันแนบศีรษะ ผ่านไปนานหลายชั่วโมง ภานุยังนั่งอยู่ในท่านั้นไม่มีทีท่าว่าจะเมื่อยหรือเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ท่านนายพลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอคล้ายใจเย็น แม้ว่าท่านพยายามทำใจให้สงบสักเพียงไหนก็ไม่อาจทำได้ สายตาไม่ได้สนใจที่หนังสือพิมพ์เลยสักนิด

“หนูธารเป็นไงบ้าง ปลอดภัยไหม?”

นายพลอรุณที่ก้าวเท้ายาวๆหยุดอยู่ตรงหน้านายพลพิภพและภานุซึ่งนั่งเงียบราวกับรูปปั้น

“ยังอยู่ในห้องผ่าตัดอยู่ ยังไม่รู้อาการ”ท่านนายพลพิภพตอบ

นายพลอรุณทรุดนั่งลง ส่วนผู้กองธีรเดชที่ตามหลังท่านนายพลมานั้นทรุดนั่งข้างผู้กองภานุซึ่งกำลังเครียดจวนเจียนระเบิด สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมไม่แพ้กัน

“หวังว่าคงปลอดภัย”

สีหน้าของนายพลอรุณไม่สู้ดีนัก หากว่ายังอยู่ในห้องผ่าตัดนานขนาดนี้ก็แสดงว่าอาการคงเพียบหนัก ในที่สุดไฟก็ดับลง ประตูเปิดออก ร่างสี่ร่างลุกขึ้นทันที สีหน้าหมอดูไม่ค่อยดีเท่าไรนักเท่ากับว่าเป็นลางร้าย

“หมอเสียใจด้วยครับที่ไม่อาจยื้อชีวิตเขาได้”

นั่นเป็นคำพูดจากปากของหมอ ภานุได้ฟังตัวนิ่งแข็ง เซผงะ เข่าอ่อนทรุดนั่งลง มือกำแน่นสั่นระริก น้ำตาไหลอาบแก้มสาก ดวงตาเจ็บช้ำเหมือนถูกควักหัวใจออกไปทั้งดวง ท่านนายพลนิ่งงัน ท่านนายพลพิภพลูบหน้า หลังจากรอคอยยาวนานสิ้นสุดลง สิ่งที่ได้รับคือข่าวร้าย ท่านได้แต่เบิ่งตามองไฟห้องผ่าตัดดับลง ในระหว่างนี้ไม่มีใครพูดอะไรสักคน ภานุขึ้นสะอึกสะอื้นไห้ ยังรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นความฝันเพียงชั่วขณะ ไม่รู้ว่าขาพาตัวเองก้าวไปหาเตียงที่ถูกเข็ญออกมาได้เช่นไร ตามติดไปอย่างเหม่อลอย มองใบหน้าซีดขาวที่นอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก ต้นธาราดูเหมือนกับเป็นคนที่หลับไปเท่านั้น ใช่...แค่หลับไปเท่านั้น ยกมือสั่นแตะแก้ม ความอบอุ่นที่เคยมีจางหาย เหลือแต่สัมผัสเย็นชืดติดอยู่ในใจ

“ภานุใจเย็นๆ”

นายพลอรุณเตือนสติเมื่อเห็นท่าทีสับสน ชายหนุ่มก้าวถอยหลังปล่อยให้คนเป็นพ่อมาดูต้นธาราเป็นครั้งสุดท้าย นางพยาบาลยกผ้าคลุมหน้า ผู้กองภานุผลุนผลันออกไปจากห้องทันที

“ธีตามไปดูผู้กองภานุ อย่าให้เขาทำอะไรบ้าๆเด็ดขาด”

ธีรเดชทอดตามองร่างอยู่บนเตียงอย่างรวดร้าว ใบหน้าขาวซีดมีผ้าคลุมปิดไว้ รีบวิ่งกระชากผู้กองภานุที่ทรุดนั่งลงกับพื้น สิ้นหวัง ดวงตาเหม่อลอยมองท้องฟ้าสีส้มนอกหน้าต่าง วันนี้มันคงเป็นแค่ฝัน ฝันไป...ภานุพึมพำ ก่อนจะเห็นผู้กองธีรเดชกระหืดกระหอบแตะบ่า ชักชวนเข้าไปในโรงพยาบาล ร่างสูงนั่งนิ่งเพียงชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้น

“เข้าไปลาคุณหมอเป็นครั้งสุดท้ายเถอะครับ”น้ำเสียงเศร้าๆเอ่ยเรียก

ภานุดุจดั่งคนไร้วิญญาณเดินตามธีรเดชเข้าไปในห้องซึ่งมีร่างต้นธาราหลับใหลชั่วนิจนิรันดร์ เขาไม่ได้ฟังหมอเอ่ยถึงสาเหตุการตาย ได้แต่ขยับเข้าไปใกล้ร่างของต้นธารา กุมมือเย็นเยียบประกายแหวนสีทองสะท้อนเข้าตา หยดน้ำใสๆไหลอาบแก้ม

“ธารไปดีแล้ว”

เสียงของท่านนายพลปลอบสะท้อนเข้าไปในสำนึกที่เลื่อนลอย ชายหนุ่มยังไม่หยุดสะอื้นไห้ น้ำตาชำระคราบเลือดที่เกาะกรังออก มือหนากุมมือที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจแน่น

“แล้วผมจะอยู่อย่างไร?”ภานุเอ่ยขึ้น สร้างความสะเทือนใจให้กับคนที่อยู่ภายในห้อง “ทั้งๆที่พยายามมาจนถึงป่านนี้แล้ว...ทำไมล่ะธาร...ทำไมถึงทิ้งผมไปแบบนี้”เสียงแผ่ว ขาดห้วงเอ่ยถาม มือหนากุมมือเย็นเยียบไว้แน่นราวกับจะปลุกให้ตื่นขึ้นมา น้ำตาหยดลงบนผิวเย็นเฉียบ

“ผู้กองภานุ ธาร...”

นายพลพิภพเอ่ยเรียกหมายจะให้หักห้ามใจ ทว่านายพลอรุณส่ายหน้าห้ามไว้

“ปล่อยให้เขาลาเงียบๆเถอะ”

นายพลอรุณเดินออกไปจากห้อง เปิดประตูไว้ นายพลพิภพถอนใจ เดินออกจากห้องทั้งๆที่น้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน ธีรเดชมองร่างผู้กองภานุกุมมือคนตายไปแล้วอย่างเห็นใจ ในหัวใจนึกแค้นแต่สุดท้ายแล้วได้แต่ปล่อยวาง

...กิ่งไผ่ไม่ได้ผิด เพียงแต่เหตุการณ์มันพลิกผันเท่านั้น....

แม้จะคิดแบบนั้นแต่เศษเสี้ยวหนึ่งก็อดที่จะเคียดขึ้งไม่ได้ ธีรเดชก้าวออกจากห้องเงียบๆด้วยไม่อาจฟังเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดไม่ได้

“ธารคุณใจร้ายนะที่ทิ้งผมไว้แบบนี้”

ภานุพยายามระงับอาการเศร้าเอ่ยเสียงเครือ ลูบใบหน้าขาวซีดก่อนแนบจูบยังหน้าผากและแนบลงมือที่ประดับแหวนที่เขาให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนวางลงข้างเตียง

“หลับให้สบายนะธาร...แล้วผมจะตามไปปกป้องคุณ”

บีบมือที่ไม่ได้ตอบสนอง จดจำสายตาคู่สีน้ำตาลได้เป็นอย่างดีก่อนที่เขาจะพาออกไปจากห้องนั้น พลัดพรากจากกันชั่วชีวิต....

------------------------------------------------

ที่ผ่านมา เราพยายามเพื่ออะไร ถามตัวเอง มองดูภาพในกรอบ รอยยิ้มงดงามประทับอยู่ในห้วงความทรงจำ แม้จะห้ามใจไม่ให้เศร้าขนาดไหนมันจะยังทับทม กดดันให้จมอยู่ในห้วงทุกข์ เสียงแผ่วเผาในงานศพที่จัดอย่างเงียบเหงา ร่างของท่านนายพลพิภพเดินตรงมายังชายหนุ่มที่นั่งเหม่อลอย ท่านทรุดนั่งข้างๆร่างสูง

“ขอบใจที่ดูแลธารมาจนถึงตอนนี้”

ท่านนายพลกล่าวอย่างเศร้าๆมองภานุที่เอาแต่เบิ่งตามองดูรูปและโลงศพ ท่านถอนใจเฮือกหยิบไดอารี่ที่เป็นสมบัติของบุตรชายขึ้น

“ในนี้เขาเขียนถึงคุณนะผู้กอง”

ภานุรับไว้อย่างเซื่องซึม เขาเปิดดูไดอารี่ มันมีภาพที่ถ่ายคู่กับเพื่อนรัก อ่านดูแต่ละหน้า น้ำตารื้นขึ้นมา คนๆนี้รักเขา รักมานาน เงยหน้ามองดูรูปต้นธารา เอ่ยขอบคุณท่านนายพล

“ธารคงมีความสุข แล้วผู้กองอย่ายึดติดเรื่องของธารล่ะ เขาคงไม่อยากผูกมัดคุณไว้นัก”

คำกล่าวของท่านนายพลไม่เข้าหูเลยแม้แต่น้อย มันเลื่อนลอยเหมือนกับว่าไม่ใช่ความจริง

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-01-2009 19:07:06
กลับไปอยู่บ้านของตัวเอง แผ่นหลังพิงพนัง มองดูดาวอย่างเงียบเหงาและอ้างว้าง แม้จ่าแม้นจะมาอยู่เป็นเพื่อน ชวนดื่มเหล้าให้คลายความโศกหดหู่จากหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติและเผชิญกับความสูญเสีย ภานุก็ปฏิเสธ นั่งถือไดอารี่ของต้นธาราไว้แน่น

“พรุ่งนี้ยังมีงานอยู่อีกนะครับผู้กอง อย่าลืมละครับว่าเราต้องไปเก็บกวาดส่วนที่เหลือและชิงตัวคุณกิ่งไผ่มา”

ภานุผงกหัวรับฟังเงียบๆ วันที่ไร้เงาต้นธารามันช่างเหมือนผ่านมานาน คิดถึงอดีต...รอยยิ้มเมื่อตอนอยู่เคียงกัน คืนวันที่มีความสุข ทำไมมันช่างผ่านไปเร็วนัก

“แล้วรักษาสุขภาพด้วยนะครับ คืนนี้ท่าทางอากาศจะเย็น”

“อื้ม”ผู้กองหนุ่มรับคำ ชายหนุ่มลุกขึ้นวางไดอารี่เล่มนั้นลงบนโต๊ะเตี้ยๆ

“อย่าลืมเตรียมตัวนะครับ”

จ่าแม้นเอ่ยก่อนจะลงจากบ้านหลังเล็กๆ ภานุนั่งซึม ไม่กระตือรือร้น ไม่อยากทำอะไร ทำไมเขาต้องสูญเสียต้นธารา...ทำไมนะ...ทำไมเขารู้สึกว่ามันผ่านไปรวดเร็วนัก เวลาที่มีต้นธารายังอยู่ข้างๆกาย ทั้งๆที่ในใจชืดชา แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกเช่นนั้นโอบกอดตัวเองจมอยู่กับเวลาที่ได้สิ้นสุดลง

------------------------------------------------

รุ่งเช้า

จ่าแม้สังเกตเห็นรอยดำคล้ำใต้ดวงตาก็รู้ว่าผู้กองภานุไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ได้ท้วงอะไรมองผู้กองเข้ารวมแถวเงียบๆก่อนเข้ารับฟังหน้าที่ ภานุเงียบที่สุดในกลุ่มขณะรับฟัง ไม่ออกความคิดเห็นใดๆออกไปเลยแม้แต่น้อยเมื่อฟังแผนการ

“ผู้กองภานุครับ ขืนยังเหม่ออยู่แบบนี้ก็ไม่อาจปฏิบัติงานให้ลุล่วงได้นะครับ”ธีรเดชเอ่ยเตือนอย่างอ่อนโยน

ภานุไม่สนกับคำเตือน ธีรเดชถอนใจเฮือก ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

“การปฏิบัติงานคราวนี้ก็เพื่อเข้าไปยังเวียงนวรัฐะใช่ไหม?”ภานุถาม

ธีรเดชผงกหัว ไม่เข้าใจกับความคิดผู้กองภานุสักเท่าไร

“ครับ”

“แล้วกิ่งไผ่ละเป็นอย่างไร?”

คำถามที่เล่นเอาธีรเดชใจหายวาบ

“ผู้กองแค้นเขา”

“เปล่าหรอก ผมไม่ได้แค้นอะไรเพียงแต่อยากบอกว่าเวลาที่มีความสุขนั้นแสนสั้น อย่าเดินตามรอยเท้าที่พวกผมล่ะ”

ธีรเดชงุนงงกับคำพูดนั้น แล้วอดคิดถึงคำกล่าวลาของอีกฝ่ายไม่ได้ สิ่งที่อีกฝ่ายก่อ...ความเจ็บช้ำค่อยๆกินหัวใจให้ด้านชา ธีรเดชสะบัดความคิดต่างๆออกเพื่อให้ทำงานได้อย่างราบลื่น

“ทราบเป้าหมายเป็นที่แน่นอนแล้ว ครั้งนี้ขอให้ปฏิบัติงานให้ดี”

ไม่มีใครมานั่งโศกเศร้าแม้จะสูญเสียต้นธารา แม้กระทั่งคนเป็นพ่อแท้ๆ ภานุเข้าใจ ทหาร...ต้องเก็บความเสียใจเอาไว้เพราะอาจทำให้งานเสียได้

“ทำลายรังโจรของนายกฤษดาให้สิ้นซาก!”

เสียงรับคำหนักแน่น ก่อนที่จะลำเลียงพลสู่สนามรบ

------------------------------------------------

สิ่งที่ยึดเหยี่ยวจิตใจที่ค่อยๆตายไป คือจิตใจที่มุ่งต่อหน้าที่ ภานุดั้นด้นเดินป่า บุกตะลุยพยายามลืมความรู้สึกที่กักเอาไว้ในใจ เสียงปืนดังขึ้นเป็นตับ ผู้กองหนุ่มช่วยยิงคุ้มกัน ดูบ้าคลั่ง แม้กระทั่งมีคำสั่งให้ถอย หากชายหนุ่มก็ไม่ยอมทำ บุกตะลุยเข้าดงศัตรู ทุกคนต่างร้องลั่นเมื่อเห็นผู้กองบ้าดีเดือดบุกเข้าไปในแดนศัตรูตรงๆ เสียงปืนดังก้อง กระสุนร่างของผู้กองพรุน ภานุผงะ ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น เขาไม่เสียใจเลยจริงๆ ก่อนจะล้มลงเหมือนภาพลวงตาเห็นต้นธาราอยู่ตรงหน้า...มันก็แค่ภาพลวงตา ร่างของผู้กองทรุดฮวบ ความเจ็บปวดค่อยๆบรรเทาก่อนความมืดหม่นจะครอบงำ.....

“ผู้กอง!!!”

เสียงเรียกชื่อดังก้องป่า ภานุหลับตาลง...ชีวิตของเขา เวลาของเขาคือการทำตามสัญญา แม้ว่าต้นธาราจะห้าม แต่...ทุกที่เขาจะตามไป...ไปหาสายน้ำชโลมหัวใจดวงนี้ไม่ให้เหือดแห้ง ท้องฟ้าที่ได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายเป็นท้องฟ้าสีหม่นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ดวงตากร้าวปิดลง สำนึกสุดท้ายคือความรักที่อยู่ในห้วงความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน

------------------------------------------------

ไม่มีใครรู้ว่าผู้กองภานุคิดอะไรอยู่ ถึงปล่อยตัวเองเสี่ยงอันตรายจนถึงชีวิต ไดอารี่ที่อยู่บนโต๊ะปลิวไสว รูปของผู้กองภานุล่องลอยร่วงสู่พื้นช้าๆ ร้อยเอกธีรเดชก้มเก็บสอดใส่ในไดอารี่ตามเดิม หอบหิ้วอัฐของผู้กองภานุวางคู่กับต้นธารา เงยหน้ามองท้องฟ้า เรื่องของผู้กองจบลงด้วยความเศร้าแล้วเรื่องของเขาล่ะ? มันจะจบเช่นไร
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 04-01-2009 19:09:42
ยังไม่จบ  ไว้จะมาต่ออีกนะ 

เรื่องมันเศร้า  :m15:  :m15:  :m15:

 :sad11:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 04-01-2009 21:52:19
อ่านแล้ว  :a5: มันบีบคั้น เจ็บปวดหัวใจจังนะครับ  :o12:
ขนาดเตรียมๆใจไว้แล้วจากการทิ้งระเบิดของผู้แต่งในบาง
ประโยคที่เขียนออกมาสื่อถึงสิ่งที่จะเป็นต่อไป ขนาดทำใจ
ไว้บ้างแล้วก็ยังทำใจไม่ทัน อ่านถึงตอนที่เป็นจุดวิกฤตของ
เรื่องก็ใจสั่นๆคิดว่ามันคงต้องเป็นไปตามนั้น น้ำตาร่วงเลย
สงสารต้นธาราแล้วก็ภาณุมากๆ กว่าจะผ่านอุปสรรคมากมาย
หรือแม้แต่กระทั่งรอคอยปาฏิหารย์ก็ผ่านมันมาได้แล้ว แต่สุด
ท้ายแล้วก็หนีการลาจากพรัดพรากไม่ได้ แต่ภาณุก็รักษาคำ
มั่นสัญญาที่มีต่อคนรักได้จริงๆ นับถือในหัวใจรักของภาณุจริงๆ
บทสรุปไปแล้วสำหรับหนึ่งคู่ที่ผ่านอะไรกันมามากมาย บีบหัวใจ
กับตอนส่งท้ายที่ต้องสูญเสียไปทั้งสองคน อย่างว่าแต่ละคนเป็น
ครึ่งชีวิตของกันและกันเมื่อขาดอีกครึ่งไปอีกครึ่งก็คงอยู่ไม่ได้

หวังว่าประโยคที่ภาณุทิ้งไว้ให้เป็นประโยคสุดท้ายกับธีรเดช
คงทำให้ธีรเดชคิดได้ แต่ท่าทางเขาคงจะคิดได้แล้วว่าหัวใจ
ของเขาอยู่ที่ไหน ขอให้ตามเอาหัวใจของตนเองกลับมาให้ได้
แล้วขอให้อย่าสูญเสียไปแบบภาณุและต้นธารา
เฮ้อ ปวดใจ บีบคั้น เจ็วปวด ตกตะกอน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 04-01-2009 22:27:49
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮออ

คนมันจะไม่รอดนี่เนอะ ฟ้ากำหนดไว้แล้ว

ยังไงก็อดเสียดายไม่ได้อยู่ดี

ทั้งๆ ที่กำลังจะหายดีแล้วเชียว

ผู้กองภาณุเป๋ไปเลย  จนในที่สุดก็ตามกันไป

นี่ละน้า...ความรัก

คราวนี้ก็จะไม่พลัดพรากแล้วเนอะผู้กอง คุณหมอ

-------------------

ผู้กองธี จะไปแก้แค้นกิ่งไผ่มั้ยนิ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 05-01-2009 01:24:28
 :z3: :z3: รอภาคสาม ภาคสองไม่ไหวเศร้าเกิน
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 05-01-2009 15:32:58
^
^
^

พี่1 นี่เราอ่านกันมาสองภาคแล้วหรอ

ก๊ากกกกกกกกกกกกก

ไม่รุ้ตัว
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 05-01-2009 19:50:35
 :m15:
เป็นกำลังใจให้เสมอและตลอดไปครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 06-01-2009 12:20:55
 
:a5: o22 :a5:

ตาย ต๊าย ตาย~
ไม่ได้อ่านแปบเดียวตายหมดเลยอ่ะ
แล้วงี้เรื่องของกิ่งไผ่จะเป็นไงมั่งเนี่ย
ไม่เอาแล้วนะเรื่องเศร้าหน่ะ
:o12:ใจร้าว,,,,,,, จบไปแล้วแต่ก็ยังร้าวแบบต่อเนื่อง

:pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 06-01-2009 15:48:53
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 06-01-2009 17:35:10
 :m8:
 :sad12:
 :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 06-01-2009 19:00:54
 :o12: :sad4:อะไรกันนนนนนนนน

ตายกันหมดดดดดดดดดดด :serius2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-01-2009 20:47:00
pupper  ปวดใจด้วยคน  ฮือๆ ตอนที่อ่านก็แอบน้ำตาร่วงเหมือนกัน  สงสารที่อุตส่าห์ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ แต่ก็ยังมีเหตุอีก  :sad11:
            หวังไว้เหมือนกันว่ากิ่งไผ่กับธีรเดชจะไม่เป็นแบบคู่นี้  เศร้าไม่เอาแล้วนะน้องเรน  ฮือๆๆ
19NT    เราอ่านกันมาภาคสองแล้ว 55+  ไม่รู้ว่าธีจะแค้นไผ่รึเปล่า  มันก็เป็นปมกันอยู่  จะไปต่อภาคสามจ้า
Poes     ภาคนี้ไม่ไหวเนอะ  เศร้าเกิ้น  ไม่นึกว่าจะโศกตลอดเรื่องเลย แงแง
ken_krub  ขอบคุณค่ะคุณเคนที่เป็นกำลังใจน้องเรนคนแต่งแล้วก็เรา  อิอิ  เศร้าน้อ
Asahi    ก็ว่าหายไปไหน  อ่านไม่ทันจริงๆด้วย  ไม่เอาด้วยคนอ่าเรื่องมันเศร้าเกิน  คุณน้องได้ดูใจร้าวด้วยเหรอ ร้าวววววววได้อีกนะเรื่องนี้
pongsj   หายไปนาน เย้ๆ คุณ pongsj กลับมาแล้ว  โศกหน่อยนะ  ฮือๆๆ ขอโทษที
nartch    นารทเท่ร้ากกก ก็หายไปนาน  ดีๆๆ  กลับมาเศร้าเป็นเพื่อนกัน รับวันปีใหม่ 
RN       ก็ยังดีนะป้า  ที่ไม่ตายยกเรื่อง เอิ๊กๆ เหลือไว้ให้ทั้งรักทั้งแค้นกันอีกคู่นึง  กำ

ต่อน้า  ตอนสุดท้าย  แต่ยังไม่จบนะ   :m15:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

End

ภาค เกียรติยศ กบฏหัวใจ (ภานุ-ต้นธารา)



http://media.imeem.com/m/yc6D2FvaEs

ตอนอวสาน

ซีรีย์ ห้วงรักเสน่หา....เกียรติยศ กบฏหัวใจ

หน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก



ระยะทางที่เกินเอื้อมมือหา ทำให้จมอยู่ในความโศกเศร้าที่ถ่วงให้จมลึก ดวงตาที่มองดู ลมหายใจแผ่วๆ ลมหายใจที่ต่อชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดคือหน้ากากออกซิเจนที่ครอบจมูกไว้ ลมหายใจเบาบาง ทุกวินาที...ราวกับจะบอกว่าเวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกที ดวงตาสีน้ำตาลที่ปรือมองกับริมฝีปากที่ไม่อาจขยับไว้ ภานุกุมมือบาง ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าใครจะห้ามก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังนิ่งเฉย ดวงตาสีน้ำตาลรื้นด้วยน้ำตาเมื่อได้สัมผัสไออุ่นที่มอบให้จนวินาทีสุดท้าย

“ความดันค่อยๆลดลงครับ ถูกยิงแบบนี้โอกาสรอดน้อยมาก ยิ่งสภาพร่างกายของคนป่วยไม่แข็งแรงด้วย”

ราวกับได้รับฟังเรื่องแสนโหดร้าย ดวงตากังวล ร้อนใจต่อแพทย์ที่ได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แก่ผู้บาดเจ็บที่นอนหายใจรัวริน ต้นธารากระพริบตาราวกับคำพูดเหล่านั้นได้เข้าหูตัวเองเช่นกัน

“โอกาสรอดน้อยมากหรือครับ?”ภานุถามเสียงสั่นๆ

“โอกาสห้าสิบ-ห้าสิบครับ ขึ้นอยู่กับว่าสภาพร่างกายของคนไข้จะทนพิษบาดแผลได้สักแค่ไหน”

สายตาคมกร้าวพิศมองใบหน้าซีดขาว บีบมือแน่น ส่งกำลังใจให้ยื้อชีวิตจากมัจจุราช

“อดทนไว้นะธาร อีกไม่นานก็จะถึงมือหมอแล้ว”

คนในเฮลิคอปเตอร์ต่างเฝ้ามองสายสัมพันธ์ที่ดูลึกซึ้งอย่างหดหู่ ดูเหมือนว่าคนไข้ยังไม่สลบไปก็เพราะกำลังใจที่มีให้มาตลอดทาง สายตาเฝ้ามองใบหน้าคมสัน ดุดันอย่างเลื่อยลอยจนกระทั่งเครื่องบินลดระดับ ต้นธาราเฝ้ามองใบหน้าแกร่งที่กำลังพร่าเลือน...ยังจดจำได้ดีถึงสายตาดุดัน เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จำได้ไม่มีวันลืมเลือน แม้ว่าจะนานสักแค่ไหน หรือเวลาจะผ่านไปสักเพียงใด ความทรงจำเหล่านี้ก็ไม่เคยจืดจาง เป็นห้วงความคิดของผู้ที่รู้ว่าตัวเองจะตายในไม่ช้า กุมมือหนาไว้แน่นราวกับเกรงกลัวว่ามันจะสูญหายจนกระทั่งไม่อาจตามติดต่อไปได้ กลับไปอยู่ในที่ที่มืดสนิท...มันน่ากลัว...รู้สึกถึงเครื่องบินลดระดับและเปลถูกยกลง ก่อนมือที่กุมไว้แน่นถูกปลดออกจากกัน

ใบหน้าที่เฝ้ามองอย่างอาดูรมีหยาดหยดน้ำตาไหลริน ร่างคนรักค่อยๆห่างไกลจากสายตา ดวงตาสีดำมองตามเตียงที่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินก่อนวิ่งตาม จนกระทั่งมองเห็นร่างของต้นธาราหายไปในห้องผ่าตัด ภานุทรุดนั่ง วินาทีที่ไฟหน้าห้องผ้าตัดสว่างวาบ เขาพยายามคิดในแง่ดีเสมอมาว่าต้นธาราต้องรอด กลับมีอันต้องหวั่นไหว ชายหนุ่มลูบใบหน้า เครียดเคร่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเกือบเป็นเส้นตรง ยกมือเช็ดคราบน้ำตาจนกระทั่งเลือดที่เปื้อนมือละลายติดแก้ม เหม่อมองดูแสงไฟฉุกเฉิน ทั้งๆที่มันเพิ่งเริ่มการผ่าตัดเพียงแค่นั้น หัวใจก็เหมือนจะถูกเผาให้มอดไหม้ไป

ภานุมองนางพยาบาลที่นำเลือดเข้าไปยังห้องผ่าตัดด้วยความรีบเร่ง ยิ่งบีบให้รู้สึกว่าตัวเองยิ่งเล็กกระจ้อยรอยลงทุกที อยากให้น้ำตาระบายความรู้สึกออกมาแต่มันก็สะกดอยู่ในอารมณ์ลึกๆ หลับตาลง สายตาสีน้ำตาลยังแจ่มชัดในห้วงความทรงจำ

...ไม่เคยใจหายถึงขนาดนี้ ไม่เคยที่จะรักใครได้จนๆไม่อยากให้จากลา...

ภานุคิด ความสัมพันธ์ที่เบาะบ่มมาจากความบาดหมาง เคยคิดแค้นแต่สุดท้ายแล้วก็รักจนไม่อาจถอดถอน เคยคิดอยากให้ปวดร้าว อยากให้ทั้งชีวิตนั่นได้ตายลงกับมือตัวเอง เกลียดไปทั้งใจหากสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายกลับเป็นสายน้ำที่ค่อยลูบปลอบประโลม คอยให้รัก...เกือบเดินทางผิด ปล่อยให้คนที่ใจต้องการจริงๆหายจากมือคู่นี้ไป ความรักที่ต้นธารามีให้ราวกับเป็นอ้อมแขนที่ส่งมาจากฟ้า เคยอยู่ในโลกที่มืดมิด ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายแต่พอได้มีโอกาสที่อยู่ด้วยกัน อยากใช้โอกาสที่จะแก้ไขอดีต.....มันสายไปรึเปล่า... ผู้กองหนุ่มใช้หลังมือปาดน้ำตาออก รำลึกถึงคืนวันที่มีความสุขด้วยกัน แหวนที่ประดับนิ้วให้ คิดว่าหลังจากนี้จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีความสุขอยู่เงียบๆ อยากโอบกอดร่างที่อ่อนล้าไว้ด้วยวงแขนคู่นี้ ในยามที่แต่ละฝ่ายต่างเหน็บเหนื่อยจากสิ่งรอบกาย ภานุเงยหน้าขึ้นเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง

...หากเสียต้นธาราไป เขาจะทำเช่นไรดี...

ได้แต่ถามตัวเองซ้ำเล่า กลัวเกรงกับการที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ต้นธาราจากไป ภานุประสานมือเข้าหาตัวเองแน่น

...ได้โปรดเถอะ อย่าให้เขาทรมานใจไปมากกว่านี้เลย...

ดวงตาแดงก่ำยังคงเฝ้ามองประตูห้องผ่าตัดไม่วางตา หูแว่วราวกับได้ยินเสียงกรุ่งกริ๋ง ทว่าพอเงี่ยหูฟังมีแต่ความว่างเปล่าของสายลม

...“ผมไม่อยากรั้งผู้กองไว้แบบนี้เลย”...

น้ำเสียงที่เอ่ยแผ่วเบา...สายตาคู่นั้นเป็นกังวล ไม่อยากให้ยึดติดในสัญญา

อย่ากังวลใจไปเลย คุณกังวลใจแบบนี้อีกแล้ว สัญญาแล้วไม่ใช่รึไงว่าคุณไปไหน ผมจะตามคุณไป ผมไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยมือจากคุณไปไหน ผมไม่ให้ใครช่วงชิงคุณไปเด็ดขาดแม้กระทั่งความตาย จำไม่ได้แล้วรึ?”

สัญญาในตอนนั้นสลักลึก และตอนนี้ความตายค่อยๆยื่นหัตถ์อันโหดร้ายนำตัวคนรักห่างจากมือคู่นี้เรื่อยๆ

“ถูกยิงแบบนี้โอกาสที่จะรอดต่ำมาก”

เสียงแว่วๆขณะอยู่ในเฮลิคอปเตอร์เป็นตัวถ่วงให้ใจหายวาบ ไม่...ต้นธาราต้องรอด!... ภานุเถียงในใจตัวเอง เห็นนางพยาบาลเดินออกมา ภานุลุกขึ้น

“อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

เห็นสายตาของนางพยาบาลแล้วภานุกลืนน้ำลายลงคอ

“ตอนนี้คุณหมอกำลังผ่าตัดอยู่ค่ะ คนไข้เสียเลือดมาก”

เธอเอ่ยจบก่อนจะเดินเร็วๆ เพื่อไปนำเลือดสำรองมา ภานุมองรู้สึกเคว้างคว้าง

...ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วอาการของต้นธาราก็คงจะหนักหนาสาหัส....

เข่าอ่อนยวบ นั่งเงียบๆไปพร้อมกระแสแห่งอารมณ์ตึงเครียดที่ค่อยๆเกาะกุมจิตใจอีกครั้ง สายใยความรักของเขาระหว่างต้นธาราจะจบลงด้วยรูปแบบนี้หรือ? ทุกลมหายใจที่ได้เฝ้าคิดถึงคนอย่างเขาจะไม่มีอีกแล้วรึ? ภานุได้แต่ร่ำร้อง ทรมานกับเวลาที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด ทบทวนความรักที่อีกฝ่ายมีให้เขาแม้ว่าจะถูกทำร้ายสักเพียงใด สงสัย ทำไมถึงรักได้มากมายขนาดนั้น ใช่ว่าจะรักอย่างงมงาย ต้นธาราเลือกที่จะคว้าเอาไว้ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ แม้จะถูกกดดัน แม้จะถูกรังเกียจแต่ก็จำยอมทน ช่วงเวลาที่มีความสุขต้นธาราคงอยากเลือกที่จะเก็บให้นานที่สุด!

------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-01-2009 20:52:57
“วันนี้อยู่กับผมได้ไหม?”

ร้องขอในขณะที่ต้นธารากำลังขึ้นบ้าน คุณหมอที่หน้าแดงนิดๆยิ้มเก้อๆ ภานุไม่ให้ปฏิเสธกลับดึงมือลงมาจากบ้านเองเสียด้วยซ้ำ

“ถัดจากเซอร์ไพรส์แล้วจะเป็นอะไรล่ะ?”ต้นธาราถาม รอยยิ้มอ่อนจางยิ้มกว้างราวกับแสงสว่าง

“อยากใช้เวลาอยู่กับธารนี่”ภานุเอ่ยพลางบีบมือเย็นเฉียบด้วยอากาศยะเยือกเบาๆ

“ดีใจที่ผู้กองพูดนะ...”กระซิบบอกเบาๆ

ภานุกระชากร่างที่ยืนนิ่งมากอดแน่น

“ธาร...รู้ไหมว่าผมดีใจที่คุณพูดแบบนี้ เห็นดูแปลกๆขัดเขินทุกที”

มือบางโอบกอดตอบฝังใบหน้าซีดเซียวอยู่กับแผ่นอกหนา

“ก็ไม่ชิน”ต้นธาราตอบ

ภานุดึงตัวต้นธาราออกห่างเล็กน้อย จ้องดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายเพียงเงาของชายหนุ่มเพียงผู้เดียว ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากนัก ได้แต่พาเดินเงียบๆ ต้นธารามองดูรอบกายที่มืดมิด เขามีความสุข มองร่างสูงที่กุมมือไว้แน่น ให้ความมั่นคง เดินไปถึงบ้านของผู้กองภานุ ร่างสูงเปิดประตูพาเข้าไปภายในก่อนจะกอดอีกครั้ง แม้ว่าต้นธาราจะตกใจต่อการจู่โจมกะทันหันแต่เขาก็ยกมือโอบกอดร่างแกร่งเช่นเดิม

“หนาว...ขอกอดคุณหมอไว้แบบนี้นะครับ”กระซิบคำหวาน

รอยยิ้มประดับพาดริมฝีปากบาง แสดงถึงความสุขที่สุดบนดวงหน้าขาวซีด

“ผ้าห่มมีครับผู้กอง ปล่อยเถอะครับ”เอ่ยบอกเบาๆ

ทว่าภานุไม่ยอมปล่อยซบกับบ่าจนแทบจะกลืนกินลงไปทั้งตัว

“ผู้กองครับ ผมง่วง”

น้ำเสียงติดอาการหาวเอ่ย ภานุจึงผละออกอย่างเสียดาย

“งั้นธารนอนเถอะครับ ผมขอโทษที่ดึงดันมากเกินไป”

ต้นธาราเหนื่อยที่จะตอบเขาล้มตัวนอนบนเตียงของผู้กองหนุ่ม ภานุห่มผ้าให้ ทรุดนั่งมองดูเปลือกตาที่ปิดสนิท อนาคตจะเป็นเช่นไรนะ? ชายหนุ่มหยิบตลับสีแดงในตู้เสื้อผ้าออกมา หยิบแหวนสีทองที่สะท้อนเปลวเทียน ยิ้มนิดๆก่อนจะวางลง

...แม้ว่ามันอาจจะดูแปลกแต่ก็อยากให้สัญญาลักษณ์แทนการเริ่มต้นกับคนที่รักจนสุดหัวใจ....

ภานุเก็บเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างเตียงมองใบหน้าที่หลับใหลให้นานที่สุด ก่อนถือโอกาสนอนข้างๆศีรษะนุ่มๆที่ทับต้นแขนแกร่ง ร่างที่อยู่ในอ้อมกอด ดวงตาสีน้ำตาปิดสนิท หลับสนิท ไว้วางใจ มือหนารั้งร่างหลับใหลในราตรีกาลเข้าหาอ้อมแขนเงียบๆ ก่อนจูบแนบเรือนผมสีอ่อน จูบแสนหวาน อ่อนโยน ค่ำคืนนี้อยากใช้เวลาด้วยกัน แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาแสนสั้นก็ตาม การที่ได้เฝ้ามองคนที่เรารัก อยากทำอะไรให้เหมือนกับคู่รักทั่วไป ให้สมกับละทิ้งความขมขื่นใจที่มีมานานแสนนาน

...แต่มันไม่มีอีกแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุข...

------------------------------------------------

เสียงฝีเท้าหนักๆหยุดตรงหน้าพร้อมกับน้ำเสียงถามขึ้นอย่างร้อนใจ ภานุหมดแรงที่จะเอ่ย...เขาสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อได้รับรู้ถึงข่าวร้ายที่เป็นความฝันน่ากลัวตามหลอกหลอนความรู้สึก!

ผ่านคำคืนที่เงียบเหงา ร้องไห้จนตาแดงก่ำอย่างไม่อาย มือหนาสั่นเทาขณะที่เปิดหน้าไดอารี่ที่อีกฝ่ายเขียนความรู้สึกให้ตัวเอง

สิ่งที่หัวใจคุณรู้สึก อยากจะตามหาความรู้สึกนี้ เป็นแค่ความฝัน หรือว่าคงอยู่ในโลกแห่งความจริงกัน เป็นเพราะอะไรถึงได้มีความผูกพัน เพราะโชคชะตาอย่างนั้นหรือ หรือเพราะจังหวะหัวใจที่เต้นถี่กัน...เราถึงพบกัน

...เหตุผลของคนๆหนึ่งขึ้นอยู่กับอะไรความสิ้นหวังเกิดเพราะความรู้สึกของตัวเองหรือ การตัดสินใจล่ะควรจะไปยังทิศทางไหน ถึงจะรู้ว่าเจ็บปวดก็ยังกระทำ ช่างน่าแปลกใจนักทำไมถึงกล้าทำให้หัวใจของตัวเองต้องเจ็บปวด...บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจในเหตุผลนั่น ผมโง่เกินไปหรือเปล่าล่ะ สิ่งที่บอกว่าจะลบความเจ็บทั้งหมดคือการลืม ผมน่ะไม่กล้าถึงขนาดนั้นไม่ได้มีความสามารถพอที่จะลบทุกอย่างออกจากใจหรอก ถึงจะพูดแบบนั้น ผมก็รู้ว่ายังจะรักเขาต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าสักเศษเสี้ยวหัวใจของผมจะไม่มีผมเลยก็ตามแต่...

ริมฝีปากภานุที่เม้มแน่นสะกดกลั้นเสียงสะอื้น เปิดหน้าต่อไป มองเห็นรูปของเขากับนาคี

....วันนี้พ่อพาไปที่บ้านยังผู้กองนาคี ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยที่ไปพบกับพ่อและแม่ของผู้กอง แม้ท่านจะไม่พูดอะไรแต่ในหัวใจของผมมันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี ผมทำให้ผู้กองตาย ทั้งๆที่เป็นผมแท้ๆที่น่าจะตาย การที่ผู้กองภานุเกลียดผม ผมพอเข้าใจ เขาทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมานานและผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นฝันร้ายนั่นก็คือผมได้รู้ว่าผู้กองนาคีรักผม เพราะเหตุผลใดไม่อาจรู้ได้ มันทำให้รู้สึกหดหู่จนไม่รู้เลยว่าจะจัดการเช่นใดดี....

ภานุสอดรูปเก็บปิดหน้าไดอารี่ตามเดิม ใบหน้านองด้วยน้ำตา มองแหวนที่ท่านนายพลพิภพนำมาคืนให้ภายหลังทั้งๆที่เขายืนยันอยากให้ต้นธาราเก็บไว้ ชายหนุ่มได้แต่รับมาอย่างเงียบงัน แหวนที่ถอดออกจากนิ้วมือบอบบาง เนื้อทองเย็นชืด มันไม่สลักสำคัญอะไรอีกแล้วหากคนใส่ไม่อยู่ มองดูแหวนเนื้อเกลี้ยงที่เคยอยู่บนนิ้วเรียว ต่อจากนี้ไปเขาต้องอยู่โดดเดี่ยว แหวนที่คิดจะมอบให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นกลับเป็นจุดจบ ภานุเก็บลงตลับซุกไว้บนชั้น แหงนหน้าดูความว่างเปล่ารายล้อมตัวเอง เสียใจจนกระทั่งเจ็บในอกไปหมด ลุกขึ้นยืนเคว้งคว้าง คืนวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า

...ธาร คุณจากไปโดยไม่ลาผมนะ แต่รอผมนะ รอผม...

เขาสัญญากับความเงียบงันและความสิ้นหวังที่อยู่เต็มหัวใจ!

-----------------------END!-------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-01-2009 20:57:24
Writer’s Talk

มีคำพูดอยากบอกท่านนักอ่านที่อ่านทน+ทนอ่านมาจนถึงตอนนี้และโพสต์เป็นกำลังใจให้เรนเขียนทน+ทนเขียน ....คำเดียวอาจไม่ได้อะไรมากนัก แต่อยาก”ขอบคุณ” ที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ หรือไม่ก็กดคะแนนให้ค่ะ ทุกกำลังใจให้พยายามทำคือ “โพสต์” และ “คะแนน” จากท่านนักอ่านทุกคน และขอขอบคุณพี่พิมที่ช่วยนำน้องธารและหนูไผ่ ลูกชายของเรนมาเผยแพร่ในบอร์ดไทยบอยเลิฟค่ะ ^^

ด้วยรักจากใจ

Rain-at-Rose


อธิบายผลงาน

ผลงานเรื่อง ห้วงรักเสน่หา เริ่มด้วยพลอตเรื่องสั้นเจ้าค่ะ เริ่มแรกนั้น พลอตเรื่องนี้มัน จะธีมฟีลลิ่ง SM! (เชื่อมั๊ย?) และ NC แรง (ในฉบับเรื่องสั้นที่เขียนตามความเพ้อครั้งแรกและไม่เคยลงที่ไหน) แต่ตัวอะไรมาดลใจไม่รู้ได้ ต่อมามันจึงเริ่มโครงการเป็นเรื่องยาว เปิดตัวตอนแรกใน Dek-d.com ซึ่งก็คิดว่าอยากเขียนนิยายแนวพิศาลแบบพระเอกในเครื่องแบบกับคุณหมอ (โดยเพลงธีมฟีลตอนแรกคือ “ไม่มีตัวตน” ของ JNE ชอบเพลงมันมากกระแทกใจตรงกับพลอตพอดีเป๊ะ ตรงกับหนูธารของแม่เลย แบบหนูรักคุณพี่ภานุจริงจัง แม้มันจะไม่มองหนูสักติ๊ดดดด)
และยังคงคอนเซปต์เรท ซึ่งออกได้ไม่กี่ตอน อิชั้นเริ่มทนไม่ได้ เขียนไม่ออกเลยต้องม้วนเสื่อกลับ มาแนวโศกา รันทด กดดัน (จนคนอ่านบางบอร์ดถามกลับมา นักเขียนโรคจิตเร้อ = =” ) ห้วงรักเสน่หา ในเด็กดี จะอยู่ในซีรีย์ Love All Season คือ ฤดู Autumn เป็นเรื่องสุดท้ายในซีรีย์ Love All Season แถมเป็นเรื่องที่มหากาพย์ ! (พอๆกับนิยายเปิดตัวของเรนคือ Delusion’s Romance 1,2,3 และ ซีรีย์ Missing Love ‘รัก’ ฉันเองรู้จักแค่นี้ )

ส่วนเรื่องของหนูไผ่และไอ้แพนด้าธีใน เกียรติยศ กบฏหัวใจ นั้นเป็นครอสฟิกของภาค “ห้วงรักเสน่หา” และอยู่ในซีรีย์ “อุดมการณ์ เส้นขนานแห่งความรัก” (ซีรีย์รักรันทด ระหว่าง หน้าที่-ศักดิ์ศรี-ความรัก) ซึ่งใน “เกียรติยศ กบฏหัวใจ” แม้ตัวหลักจะเป็นหนูไผ่ แต่รู้สึกน้องธารจะขึ้นแท่นนายเอกนำแฮะ = =”และจบอย่างที่หลายคนพอจะเดาได้ (และไม่อยากให้มันเป็นจริง55+) ด้วยสาเหตุเพราะหนูไผ่ จนบางคนเริ่มจะเกลียดหนูไผ่แล้วใช่ไหม ยังหรอก เรื่องของหนูยังไม่จบแค่นี้ ยัง “รันทด” ต่ออีกในภาค “ศัตรู...คู่แค้น...แสนรัก” ติดตามเรื่องย่อ และตอนแรกในเร็วๆนี้ และตอนพิเศษของหนูธารและภานุค่ะ


สปอยล์นิสัยตัวละครหลัก


ภานุ

นิสัยมันที่วางคาแรคเตอร์ไว้คือผู้ชายแบบเถื่อนๆ ที่สำคัญ ชายในเครื่องแบบ >w< ดุๆ กร้านๆ และยึดตัวเองเป็นใหญ่ (แต่แอบโรแมนติกเวลามันอารมณ์ดี) มันอาจทำร้ายจิตใจต้นธาราจนแม่ยกเคยอยากถีบมันหลายรอบ (ใช่ไหม?) แต่เวลามันรักใครมันจะรักจริง สงสัยไหมทำไมเจ้าภานุมันยอมตายตามต้นธารา....เพราะหลังจากที่มันตาสว่าง เพิ่งรู้ว่ามันรักธารมาก อยากชดเชยเวลาที่มันเคยร้ายใส่ธาร แถมมันยังอุตสาห์พยายามไม่ให้ธารเสียชีวิตด้วยลูคีเมีย เพราะไขกระดูกมันเข้ากับธารได้ มันยื้อธารไว้สุดความสามารถมัน แต่พอคนที่เชื่อมันในตัวเองอย่างมันรู้ว่าหมดหวัง อารมณ์ที่มันคาดหวังเลยระเบิดออกแบบไม่ยั้งคิด ต้นธาราถึงเคยฝากกิ่งไผ่ไว้ว่า อย่าให้มันทำอะไรบ้าๆ

อ้อ.เน้นย้ำนิด ยศมัน “ร้อยเอก” ต้องเรียกผู้กอง...สงสัยอยู่ว่าทำไมบางคนถึงเรียกมันผู้หมวด = =”

ต้นธารา

สไตล์หนูธารที่วางไว้คือหวานแบบเย็นๆ อ่อนโยน และลุคคุณหนูนิดๆ( เคะในอุดมคติในงานเขียนยุคแรกๆ)
และอาชีพของหนูคือเป็นศัลยแพทย์ (ปกติไม่ค่อยได้เขียนแฮะจนลืมไปเลยนะนี่55+ แต่เพราะว่าหนูธารป่วยไปซะครึ่งเรื่องเลยต้องหยุดงานยาวล่ะนะ) โรคประจำตัวคือลูคีเมีย เพิ่งมีอาการในระยะแรก แต่แกไม่ยอมรักษาเพราะหนูค่อนข้างมีทิฐิกับคุณพ่อ (เหมือนประชดพ่อทางอ้อม ที่ทำเหมือนไม่ใส่ใจตัวเอง) เห็นอ่อนๆแบบนี้ เวลาหนูธารแกหัวแข็งจะหัวแข็งชนิดที่ว่าจนถึงที่สุด จนคุณพ่อกับธีรเดชอ่อนใจกับนิสัยหนูธารไปนิดๆ (อย่างออกจากบ้านมาตามหารักแรกพบนี่ หนูธารแกใจเด็ดมาก ถามว่าตามหาเจอได้ไง คุณหนูเล่นอาศัยบารมีคุณพ่อกับคุณลุงอรุณเจ้าค่ะ) ต้นธาราไม่ได้บูชาความรัก แต่เพราะรู้ว่าตัวเองคงอยู่ได้ไม่นาน ครั้งสุดท้ายที่อยากไขว่คว้าคือรักแรกพบของเขา ถามว่าหนูธารรักภานุตรงไหน ตอนนี้คุณแม่ก็บอกว่า เพราะความเป็นภานุล่ะค่ะ 55+ (ประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อนานมากมาย สบตาครั้งแรกก็Fall in love กับบุคลิกชายหนุ่มในฝัน แต่สุดท้ายไม่ทันได้สานต่อความสัมพันธ์ก๊ออกหักดังเป๊าะ Y_Y )


กิ่งไผ่


คุณหนูกิ่งไผ่นี่ คลอดออกมาแบบปาฏิหาริย์ในฐานะ “ตัวประกอบ” แต่เหตุอันใดไม่ทราบได้ หนูไผ่เดินเข้ามาเงียบๆในฐานะตัวเอกคู่รอง คาแรคเตอร์ของหนูไผ่คือ ลูกชายคนเดียวของเจ้าเวียงนวรัฐะ (คุณหนูของแท้นะ เพราะแม่ของกิ่งไผ่เป็นเจ้าหญิง) แต่ต้องออกจากเวียงไปเพราะปัญหาการเมือง ตั้งแต่เด็กถูกส่งไปอยู่อเมริกากับพ่อบุญธรรม โตขึ้นมาก็เข้าโรงเรียนทหารเวสพอยท์( จบออกมาด้วยคะแนนอันดับต้นๆด้วย)
กิ่งไผ่ถูกคนรอบข้างสร้างเปลือกให้ตัวเองเข้มแข็ง แต่ตัวตนจริงๆกิ่งไผ่จะอ่อนแอกว่าต้นธารามาก กิ่งไผ่ไม่เคยรักใครเพราะถูกเคี่ยวตั้งแต่เด็กๆจนโตด้วยคำว่า “บ้านเมือง” รักครั้งแรกคือ ไอ้แพนด้าธีรเดช ที่กิ่งไผ่รักธีรเดชเพราะลักษณะความอ่อนโยนของมัน แถมเข้ามาในขณะที่สูญเสียทุกอย่างอีก แต่น่าเศร้านะ เพราะว่าไอ้แพนด้าธีรเดชน่ะรักหนูธาร

ธีรเดช

เจ้าแพนด้าธีรเดช เคยเป็นอดีต ทส.ของนายพลพิภพ พ่อของหนูธาร เลยสนิทกับธารตั้งแต่ครั้งหนูธารยังวัยรุ่น เป็นธรรมดาที่มันจะตกหลุมรักคุณหนูธาร เพราะเป็นที่ปรึกษาเรื่องพ่อแถมเรื่องหัวใจอีก น่าสงสารมันอยู่ที่รักหนูธารฉันท์ชู้สาวไปฝ่ายเดียว หนูธารมองธีรเดชแค่พี่ชายที่แสนดี มันก็รู้ตัวนะ แต่ไม่ตัดใจสักทีทั้งๆที่มันก็รู้ว่าธารรักภานุจนเข้าขั้นหัวปักหัวปำ นิสัยส่วนตัวมันคือสุภาพบุรุษมากและอ่อนโยน และไอ้ความอ่อนโยนของมันทำร้ายจิตใจหนูไผ่โดยไม่ตั้งใจ มันมีความรู้สึกดีๆต่อหนูไผ่นะ แต่เพราะว่ามันรักธารมานาน จะให้มันตัดใจก็ยาก แต่ถ้าให้มันหลอกตัวเองว่ากิ่งไผ่เป็นตัวแทนธาร มันก็ไม่ทำเพราะรู้ว่าอีกคนต้องเจ็บปวดแน่ๆมันเลยไม่ตอบรับความรู้สึกของกิ่งไผ่


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส่งท้ายอีกนิด รอติดตามเรื่องย่อ ภาคธีรเดช-กิ่งไผ่ ใน “ศัตรู...คู่แค้น...แสนรัก” ในเร็วๆนี้ค่ะ พร้อมตอนพิเศษส่งท้ายคือของ ภานุ-ต้นธารา ใน Brown Eyes
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-01-2009 21:10:52
จิ้มพิมเท่ร๊ากกกกกกก  :z13: :z13: ยังไม่เลิกเศร้าชิมิ  :z3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 06-01-2009 22:45:52
TT^TT


โอย ตาบวม น้ำตาไหลได้เขื่อนนึงเลยนะเนี่ย

ธี กับ กิ่งไผ่ สงสัยจะอารมณ์ รักรัก ชังชังแฮะ

โฮ~

 :o12:


หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 06-01-2009 23:36:40
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

เศร้า วิ่งไปกินเบียร์ดีฝ่า

รออ่านกิ่งไผ่+แพนด้าธีนะคะ

จะรันทดสู้คู่แรกได้มะ

+1 ให้พี่มู่ค่า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 06-01-2009 23:55:35
คุณคะ เศร้ามาก

จบแบบอิชั้นงงด้วยเคอะ

ตกลงคือจบจริงๆ ชิมิเคอะ

เศร้าาาาาาาาาาาาาาาาา

 :sad11:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-01-2009 18:40:39
จบแล้วสำหรับคู่ธารและภานุ   :m15:
แต่คู่กิ่งไผ่กับธียังไม่จบนะ มีต่อในภาคสาม

เอาตอนพิเศษของธารกับภานุมาฝาก  :L2:

++++++++++++++++++++++++++++++

ห้วงรักเสน่หา  ตอนพิเศษ “Brown Eyes”

http://www.ijigg.com/jiggplayer.swf?songID=V2C4DCEFPA0&Autoplay=1
 
พอภานุก้าวเข้ามาในห้องพยาบาล ครั้งแรกที่ต้นธารารู้สึกคือความโล่งใจ แต่ความง่วงงุนทำให้ไม่สามารถดีใจได้มากนัก ภานุมองใบหน้าซีดราวกับกระดาษ ชายหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ออก แตะแก้มเย็นเฉียบดูไร้พลังและห่างไกลไปจากมือตู่นี้ทุกที ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างเตียงคนป่วย ความเงียบสงบ ลมหายใจแผ่วๆ ดวงหน้าภานุสื่อถึงความรู้สึกที่ยากจะบอก สงสาร...เห็นใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะบรรเทาเบาบางความรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจได้ กุมมือไว้ขลาดกลัว
 
...นับตั้งแต่เดินทางมา ในใจมันหวั่นหวาด ในตอนนี้ใจของเขาอยู่กับต้นธารา ทั้งความรัก ทั้งความรู้สึกต่างๆนานา อยากให้มันเป็นความฝันที่มีความสุข...
 
“ผู้กอง...”เสียงแผ่วๆกล่าว
 
ต้นธาราลืมตาขึ้นมา รู้สึกถึงมือกุมกระชับ ภานุที่กำลังเหม่อ ตื่นจากภวังค์  ก้มมองใบหน้าซีดเซียว
 
“มีอะไรหรือเปล่าธาร? ”ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน
 
ต้นธาราปรายตาไปยังโต๊ะข้างเตียง
 
“น้ำหรือ?”
 
ภานุรินน้ำจากเหยือกส่งให้ ก่อนประคับประคองร่างของต้นธาราขึ้น จ่อหลอดเขาปากแห้งผาก ต้นธาราดื่มน้ำไปครึ่งแก้วล้มตัวนอนต่อ ริมฝีปากแห้งผากพึมพำขอบคุณบาๆ ภานุวางมือบนหน้าผากสัมผัสไออุ่นร้อน ยิ้มบางๆ
 
“ธาร...เก่งมากรู้ไหมที่ทนมาจนถึงตอนนี้”
 
กุมมือขาวซีดด้วยความรักใคร่ ต้นธาราดูตกใจไม่น้อยที่ได้รับคำชมที่ไม่คาดฝัน ฝ่ายผู้กองหนุ่มดึงมือขึ้นแนบกับแก้มตัวเองราวกับจะบอกว่ากลัวในบางสิ่งบางอย่าง ความรู้สึกของคนป่วยมันเต็มไปด้วยความกลัวและเต็มตื้น ภานุบีบมือคู่นั้นแน่นราวกับจะรู้
 
“ที่พูด...เพราะผมเป็นห่วง รู้ไหม?”
 
ยิ้มเรียกความมั่นใจคืนกลับ ต้นธาราสูดลมหายใจลึกๆเช่นกัน
 
“พ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านสบายดีไหม?”ถามถึงบิดา
 
 ภานุผงกหัว“ท่านสบายดี ธารไม่ต้องห่วงหรอกนะ”
 
ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองใบหน้าแกร่ง เข้มแข็ง
“ถ้าท่านสบายดีก็ดีแล้วล่ะ”
 
เอ่ยพึมพำเปลือกตาค่อยๆหรี่ปิดลง เจ้าตัวยังคงงึมงำพูดอะไรฟังไม่ชัด ภานุค่อยๆเงี่ยหูฟังดีๆแต่ในที่สุดต้นธาราก็
ผล็อยหลับไป ภานุยิ้ม ลูบเรือนผมอย่างทนุถนอมเฝ้าคิดถึงวันที่ทำให้ใจดวงนี้ปวดร้าว...
 
------------------------------------------------
 
ดอกไม้สีสดชู่ช่อไสวท่ามกลางแสงแดด ดวงตาป้องแดดจ้า สายตาสีน้ำตาลทอดมองผิวน้ำที่กระทบแสงแดดระยิบระยับ ต้นธารารอภานุอยู่หน้าโรงแรมเฝ้ามองน้ำพุพวยพุ่งไม่ขาดสายกลางสระน้ำเล็กๆ  นับตั้งแต่ถูกลากตัวออกมาจากโรงพยาบาลมาจนถึงที่นี่ ไม่เข้าใจในการกระทำ ทรุดนั่งอย่างอ่อนล้า
ทั้งๆที่บอกว่าเขาเป็นเพียงแค่คนไร้ค่า
 
ต้นธาราสะบัดความคิดที่ทำให้ใจอ่อนล้าไปให้หมด มองภานุเดินออกมาจากตัวตึก พอเบือนใบหน้าหนี ทว่าเขาก็ถูกบีบให้หันมองจนได้ เม้มริมฝีปากแน่น
 
“แม้ว่าคุณจะบอกรัก...แต่ผมก็ไม่ดีใจหรอกนะ”
 
ภานุได้ฟังชะงักไป มองใบหน้าบึ้งๆอย่างเอ็นดู เห็นท่าทีนั้นก็ยิ่งทำให้ ‘นึกรัก’ภานุทรุดนั่งมองใบหน้าที่ก้มมองพื้นขัดถูเงาวับ
 
“ไม่ดีใจก็ไม่เป็นไร ขอให้ธารแค่รับฟังไว้ก็พอ ผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง การที่ไม่ได้รับความไว้วางใจจากคุณมันก็สมควรแล้วละ”
 
ภานุว่า ทั้งๆที่สารภาพทุกสิ่งแต่เพียงคืนเดียวไม่อาจแก้ไขความเข้าใจได้หรอก ต้นธารานิ่งไปนาน เขาลุกขึ้นโดยมีภานุตามไปติดๆ ในอารมณ์ที่ขุ่นมัว มันไม่สามารถหาทางดับลงได้ง่ายดายนัก ต้นธาราก้มหน้าก้มตาเดิน เขามุ่งหวังอะไรอยู่นะถึงตามมาแบบนี้ รู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงคล้ายมองภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน เซเล็กน้อยหากไม่สังเกตดีๆก็ไม่มีวันรู้เลย ภานุเข้าไปใกล้ๆฉุดแขนดึงรั้งไว้ ต้นธารามองหน้าภานุไม่ชัดเลย ใบหน้าซีดเซียวจนภานุร้อนใจ เป็นห่วง เข้ามาแตะศอกประคับประคองอย่างนุ่มนวล ต้นธาราหยุดนิ่ง สัมผัสนิ่มนวลชวนอุ่นใจ คนเหนื่อยล้าไม่ขัดขืน มือหนากุมมือมือบางไว้ พาเดินไปตามทางแคบๆ สายตาเหม่อเลื่อนลอยมองใบไม้ที่ปลิดปลิวจากขั้วร่วงล่นบนพื้นช้าๆ นึกสะท้อนในใจชีวิตพวกเขาในที่สุดก็ต้องคืนสู่ผิวดิน
 
“กลัว...”เสียงแหบพร่าเอื้อนเอ่ย
 
ภานุกุมมือกระชับไว้“มีผมอยู่ทั้งคน มาเถอะ...”รอยยิ้มนุ่มนวลประดับเสี้ยวหน้าคมสัน
 
ต้นธาราหยุดชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลมองแผ่นหลังแกร่ง เคยหลงรัก ใฝ่ฝันบัดนี้ได้มาครอบครองแต่ก็กลัวว่าในสักวันหนึ่งหากจากไป...หลังจากนั้นผู้กองจะทำเช่นไร?
 
 “ผู้กองภานุ หากวันหนึ่งผมไม่อยู่ แล้วคุณจะทำอย่างไร?”ถามไป นิ่งรอคำตอบอย่างตื่นเต้น
 
เสี้ยวหน้าแกร่งครุ่นคิดเนิ่นนาน ไม่คิดว่าคนที่กำลังโกรธตัวเองจะถามแบบนี้ออกไป อยากฟังคำตอบ....ต้นธารามองใบหน้าแกร่ง ภานุไม่ตอบ ไม่พูดไม่กล่าวอะไร ต้นธาราจึงก้าวเดินต่อ สายตาสีน้ำตาลไม่คาดหวังอะไรแล้ว ภานุนึกเสียใจที่ไม่ได้พูดออกไป เขานึกเสียใจจริงๆ
 
ภานุที่จะพาต้นธาราออกไปข้างนอกนั้นกลับเปลี่ยนแปลงเสีย กลับเข้าสู่ห้องพัก สายตาแกร่งมองดูคนที่นั่งหงอยๆอยู่บนเตียง มือแตะศีรษะ ส่ายหน้าไปมาอย่างมึนๆจู่ๆต้นธาราก็ล้มลงบนเตียง ภานุตกใจยิ่งนักเดินมาดูพลางเขย่าตัวต้นธาราเบาๆ
 
“ธาร...ธาร...”
 
ดวงตาเลื่อนลอยลืมตาขึ้นนิดๆก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
 
“ไม่เป็นไร....แค่นอนไม่พอ เหนื่อย นอนสักพักอาการน่าจะดีขึ้น”
 
ภานุอุ้มต้นธาราขึ้นนอนดีๆห่มผ้าให้ เช็ดเหงื่อที่ผุดพราวให้ ต้นธาราหลับไปชั่วครู่ ลมหายใจจึงสงบสม่ำเสมอ ภานุทรุดนั่งข้างเตียง กุมมือไว้ ลูบเรือนผมติดเกาะผิวให้ ภานุกลัว....ระลึกถึงคำถามที่ต้นธาราถามตัวเองแต่ตัวเองก็ไม่ได้ตอบออกไป มันน่าเศร้าใจ
 
“ธารผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆนะ”เขาพูดไปแต่ต้นธาราไม่ได้รับฟังถ้อยคำเหล่านั้น
 
ต้นธาราขยับตัวอึดอัดเหงื่อแตกพลั่ก แผ่นหลังพิงเบาะนุ่มๆ ภานุจึงช้อนตัวขึ้นวางหมอนพิงหัวเตียงก่อนถอดเสื้อให้ ลุกขึ้นไปเปิดน้ำใส่ผ้าเช็ดตัวบิดให้หมาดๆมาเช็ดตามตัวให้อย่างทนุถนอม พอต้นธารารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นจึงวางตัวลงนอนบนเตียง ต้นธาราหลับสนิท ภานุลุกขึ้นไม่อยากกวน เตรียมลุกขึ้น แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็ทรุดนั่งลงที่เดิม วงแขนโอบรอบเอว คางสากซบลงบนบ่าอุ่นๆ ดวงตาหลับพริ้ม จมูกสูดกลิ่นกายหอมกรุ่น มันอบอุ่น...เต็มไปด้วยความสบายใจ ยิ่งมือลูบแผ่นหลังอย่างปลอบประโลม
 
“ผมไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รักคุณ”คำบอกกล่าว...แว่วหวานราวกับสายลมกระซิบ
 
“ขอบคุณ...”
 
ต้นธาราที่ลืมตาขึ้นมาได้ยินพอดี คิดว่าฝันจึงตอบกลับพร้อมกับจูบแก้มสากหนึ่งที ภานุนิ่งไปพักใหญ่ๆก่อนยิ้มกว้าง มองใบหน้าขาวซีด เนิ่นนาน ความอ่อนหวานค่อยๆล้นออกมาจากใจ อยากพร่ำคำรักให้สลักย้ำลึก แม้รู้ว่ามันจะน้ำเน่าไปบ้างก็ตามที แต่ภานุรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เกลี่ยกลีบปากแห้งจนแตกเป็นขุย ต้นธาราคลี่ยิ้ม คล้ายกับอยู่ในห้วงฝันแสนหวาน ดวงตาหล่อรื้นด้วยหยาดน้ำตา มือสัมผัสเรือนผมนุ่ม ทว่าต้องนิ่งเมื่อบางส่วนหลุดติดมือ เพราะผลจากการคีโม สายตาคู่กร้าวอ่อนลงโดยที่ต้นธาราไม่อาจเห็น กำมือสัมผัสเส้นผมติดมือแน่น กอดรัดราวกับจะให้กระดูกร้าวรานจนผู้ถูกกอดอุทธรณ์เบาๆ จึงคลายอ้อมกอด
 
“ผมไม่เสียใจจริงๆ...”ชายหนุ่มย้ำอีกรอบ “ผมไม่เสียใจจริงๆที่ได้รักคุณ”
 
ถ้าหากว่าต้นธาราได้ยิน คำความรักคงกลายเป็นกลีบกุหลาบแสนหวานอย่างแน่นอน
------------------------------------------------
 
รุ่งเช้าต้นธาราขยับกายอย่างอึดอัด เขารู้สึกมีอะไรหนักๆทับกาย ลืมตาขึ้นแล้วรู้สึกหนาวๆ แต่ไออุ่นของใครบางคนทำให้รู้สึกอบอุ่น ดวงตาสีดำลืมตาตื่นขึ้น ตกใจเมื่อเห็นร่างกายท่อนบนเปลือยแถมยังถูกวงแขนหนักๆพาดกาย ไม่เข้าใจ มองใบหน้ากร้านที่หลับสนิท คิดถึงเรื่องเมื่อคืนแต่ก็คิดอะไรไม่ออก ดวงตาสีน้ำตาลมองเพดาน ทั้งๆที่ไม่ได้ตอบทำไมถึงกอดอีก รู้สึกหายใจไม่ออก ดึงมือออก ภานุลุกขึ้นมาเมื่อเห็นคนข้างกายตื่นขึ้นรั้งคนที่จะลุกจากเตียงไว้
 
“ธาร อย่าเพิ่งลุกเลย ถ้าคุณอยากทำอะไรเดี๋ยวผมทำให้”ภานุกุลีกุจอลุกขึ้น
 
ต้นธารามองกับท่าทีที่เปลี่ยนไป ราวกับเขาอยู่ในห้วงฝันร้ายอยู่รึ แต่...ภานุที่อยู่ตรงหน้าคือความจริง ต้นธารานิ่งงัน ใช้ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองภานุซึ่งยิ้มอ่อนๆ มือหนายื่นมาแตะแก้ม
 
“ผมรักคุณ.”
 
คำสามคำกลั่นออกมาพร้อมรอยยิ้มหวานละมุน ทั้งๆที่ไม่เคยเชื่อ...ต้นธาราหรุบตาก่อนช้อนมองอีกครา ยิ้มครั้งนี้ให้ย้ำมั่นใจต้นธาราคลี่ยิ้ม ผู้กองหนุ่มกุมมือบางไว้ เอ่ยสัญญาอีกครา....สัญญาว่ารักตราบนิรันดร์
 
------------------------------------------------
 
ยิ้ม...เมื่อหวนคิดถึงความทรงจำที่อาจจะดูไม่สวยงามเท่าไรนัก มีหลายครั้งที่อยากจะลืมไป แต่บางความทรงจำก็อยู่ตลอดกาลดั่งเป็นเงื่อนมัดหัวใจ ภานุนั่งรำลึกถึงความหลัง บางคราเจ็บปวด...บางคราอ่อนหวาน ลูบมือบางอย่างใจลอย
 
“ผู้กองฝันหวานอะไรอยู่?”
 
ภานุมองเข้าไปในดวงตาที่มองสบมา ดวงตาสีน้ำตาลจ้องเป๋ง ภานุยิ้มอ่อนโยน
 
“เห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆที่มีทั้งสุขและทุกข์ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าวันแรกที่สายตานี้มองผมมันเป็นอย่างไร รู้สึกแบบไหนน่ะ”ภานุเอ่ยชวนคนป่วยคุย
 
ต้นธารายิ้มเนือยๆ“ครั้งแรก...ผม...มองคุณ...ด้วยอะไรนะ?”ต้นธารารำพึง คิดถึงวันที่ได้พบเจอกันครั้งแรก “ผมรักคุณตั้งแต่แรกพบ มันอาจฟังดูง่ายดาย...แต่ผมก็รู้สึกรักคุณจริงๆ รักมากมาย รู้ว่าเวลามันเหลือน้อยลงไปทุกที....ผมอยากมีความสุข แล้วผู้กองล่ะถ้าในวันหนึ่งคุณรู้ว่าคุณใกล้ตายแล้วคุณจะทำยังไง เลือกอะไร”
 
ภานุนั่งฟังคำพูดแผ่วๆ
 
“ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรผิดหรืออะไรถูก ผมรู้เพียงว่า...ผมรักคุณ”มองสายตาสีดำแข็งกร้าวอย่างจริงจัง
 
“ที่ผ่านมา...ผมขอโทษนะธาร”
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ คำขอโทษผมฟังจนพอใจแล้ว คำรักอีก ผมต้องการการกระทำ ไม่ต้องยึดติดกับผม ถ้าหากผมจากไป ผู้กองควรจะมีชีวิตใหม่”
 
 ภานุคว้ามือไว้“ไม่ครับ...”ปฏิเสธจริงจัง
 
ต้นธาราหรี่ตาลง“ผมรู้ว่าคุณรักผมมาก ผมก็รักคุณมาก แต่ผมกลัวว่าหากยึดติดกันเมื่อไรแล้ว...พอผิดหวังขึ้นมาเราทั้งคู่จะเจ็บปวด”
 
“ที่ผ่านมาเราเจ็บปวดมามากพอแล้ว จะเจ็บปวดอีกผมก็ทนได้”
 
“แต่ผมทนไม่ได้อีกแล้ว”ต้นธาราว่า ดวงหน้าซีดเซียวจริงจัง
 
ภานุกลืนน้ำลาย“ผมเป็นผู้ชายทึ่มๆแบบนี้แหละธาน”
 
คุณหมอระบายลมหายใจบางเบา ภานุก้มจูบหน้าผากเบาๆก่อนเงยหน้าขึ้น
 
“แบบนี้ถึงจะสมเป็นคุณใช่ไหม?”ต้นธาราว่า ฟังเสียงหัวเราะจากร่างสูง ดวงตาสีน้ำตาลดูเหมือนจะยิ้มตามไปด้วย
 
“ภานุ...สัญญานะ หากในวันหนึ่งที่ไม่มีผมแล้วคุณยังจะอยู่”
 
ผู้กองไม่รับปาก ต้นธาราคาดคั้นให้รับทว่าเจ้าตัวกลับนิ่งเงียบและเอาแต่ยิ้ม
 
“เราพูดเรื่องอื่นเถอะนะ”ภานุเปลี่ยนเรื่อง หมุนกายไปรินน้ำให้
 
“อะไรกัน! ฟังผมหน่อยสิ”เสียงแผ่วๆอุทธรณ์
 
 ผู้กองยิ้มกลบเกลื่อนแทน ประคับประคองร่างที่นอนอยู่ขึ้นมาจ่อหลอดกับกลีบปากเป็นเชิงบังคับกรายๆ
 
“ผมไม่หิวนะ”
 
ทว่ามือหนาขยับแก้วเป็นเชิงบังคับ
 
“ดื่มเสียนะครับ....ดื่มแล้วจะได้นอน”
 
ต้นธาราจำต้องดื่มเพราะรู้สึกคอแห้งจริงๆ เขาถูกประคับประคองให้นอนลงเป็นอย่างดี
 
“ผมรักคุณ...”
 
ภานุพูดอีกครั้ง ให้คนที่ใกล้จะหลับฟัง คำบอกรักหวานละมุนและล้ำค่า ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆปิด ต้นธารายังไม่อยากหลับ ภานุมองดวงตาสีน้ำตาลอมโศกก่อนเปลือกตาคู่นั้นจะปิดลง....ดวงตาสีน้ำตาล...ที่อยู่ในห้วงความทรงจำตลอดไป
 
------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-01-2009 18:42:52
 :เศร้า2: :เศร้า2: :เศร้า2:
ไม่อยากพูดไร
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-01-2009 18:45:21
^
^
ป้า ยังคงไวปานวอกเหมือนเคย ยังไม่จบๆๆ :sad4:

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตัวอย่างภาค ศัตรู...คู่แค้น...แสนรัก จะขึ้นกระทู้ใหม่สำหรับภาคใหม่นะจ๊ะ

ศัตรู...คู่แค้น...แสนรัก

จากผลงานที่เข้าถล่มกองโจรค้ายาเสพย์ติด ธีรเดช ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพันตรี แม้จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่มันก็แลกมาด้วยสิ่งสำคัญ เขาต้องสูญเสีย ต้นธาราไปอย่างไม่มีวันกลับ ซ้ำผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างผู้กองภานุ ก็ยังเสียชีวิตในหน้าที่อีก

กิ่งไผ่  ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด กลับเวียงนวรัฐะเพื่อชิงบัลลังก์คืน โดยไม่รู้ว่าตัวเองนั้นทำให้ต้นธารา..ผู้มีพระคุณเสียชีวิตในขณะหลบหนี บาปที่ไม่ตั้งใจทิ้งรอยโศกาจนไม่อาจลบล้าง กิ่งไผ่เป็นต้นเหตุพรากชีวิตต้นธาราไป ทำให้ความสัมพันธ์เปราะบางระหว่างธีรเดชขาดสะบั้นไม่เหลือใย ชายคนหนึ่งไม่เคยแม้แต่จะแลเหลียวเขาเลย ซ้ำกิ่งไผ่ไม่ใช่คนที่ธีรเดชรัก และเป็นไม่ได้แม้แต่ตัวแทนของต้นธารา รักครั้งแรกจึงแตกร้าวอย่างไม่ชิ้นดี

ธีรเดชได้พบกิ่งไผ่อีกครั้งเพราะหน้าที่ภาระทางการงาน แม้ไม่เคยคิดโทษกิ่งไผ่เรื่องต้นธารา แต่เสี้ยวหนึ่งในหัวใจก็อดเคียดขึ้งไม่ได้ กิ่งไผ่เองก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน ด้วยความรักทั้งหมดที่เคยให้ไม่มีค่าต่อธีรเดชแม้สักเศษธุลี เพื่อแลกค่าของความรักจากศัตรูต่างอุดมการณ์ และลบล้างรอยบาปในใจ กิ่งไผ่จะต้องเสียอะไรเพื่อแลกค่าของความรักนั้น?

 :L2:  :L2:  :L2:  :L2:  :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 09-01-2009 19:15:10
แอร๊ยยส์ ปาดหรอ

 :jul3: :jul3: :jul3:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 09-01-2009 19:26:13
ศัตรู...คู่แค้น...แสนรัก

ถ้ามาลงเมื่อไหร่แล้วขอลิ้งค์เข้าไปด้วยนะครับ
ช่วงนี้เรียนแล้วก็ปั่นการบ้านแทบไม่ได้เข้ามา
เลยยังตามอ่านไม่ทันเท่าไหร่ ยังไงก็ขอลิงค์
มาลงด้วยนะครับ จะได้ไปต่อถูก หวังว่าคงไม่
เจ็บปวดหัวใจแบบห้วงรักนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 10-01-2009 12:45:30
"ผมรักคุณ"

โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

ซึ้งง่ะตอนนี้

มารออ่านกิ่งไผ่นะคะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 10-01-2009 13:25:29
เรื่องหน้าต้องฟาดฟันกันตายแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 10-01-2009 15:23:52
คนเขียนกะคนโพสท์เรื่องนี้เป็น ซาดิสท์
คนอ่านเป็น มาโซ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 10-01-2009 22:48:29
เข้ามาเอ่ยคำขอบคุณเจ้าค่ะ อันดับแรกคือพี่พิม เรนขอบคุณมากๆเลยค่ะที่พาลูกชายมาเผยแผร่ที่บอร์ดไทยบอยฯแห่งนี้  :L2: (ช่วยหาคนหลงเข้ามาเสียน้ำตาแบบไม่ตั้งใจเพิ่ม :laugh:)
และก็พี่poes ที่ติดตามเป็นกำลังใจทั้งบอร์ดนี้และที่บ้านหลักของเรนค่ะ  :L1:

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่มาโพสต์เป็นกำลังใจให้ค่ะ เรนอ่านทุกโพสต์เจ้าค่ะ (ซาบซึ้งใจเวลามีคนโพสต์)
ภาคต่อไปรอสต็อคต้นฉบับก่อนค่ะแล้วเรนจะส่งให้พี่พิม :mc4:

รอ...ปวดใจในภาคสุดท้ายของซีรีย์ค่ะ :bye2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 10-01-2009 23:21:31
อ่านเรื่องนี้จบสามภาค กลายร่างเป็นนกกระปูดแน่นอน

T^T
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: crazykung ที่ 11-01-2009 00:05:15
ความรู้สึกของคนอ่าน
   ....อืมมมม จะให้พูดไงดีละ ประมาณว่าชอบเรื่องนี้ละมั้งครับ
บันว่ามันสอนอะไรหลายๆอย่างและก็สนุกดี มีความแค้น ความอบอุ่นไปในตัว

ฉาก บู๊ละ??
โอ้ววว สุดยอดเอฟเฟ็ค ชั้นเยี่ยมเหมือนฮอลีวูด มาเองเลยซาวน์เอฟเฟ็คกระจาย ก๊ากก
ยิงกันโป้งป้างทั้งเรื่องมันส์ๆ แต่สงสารคุณทหารทั้งหลายนะ เดินป่าแมร่งทั้งเรื่อง
เมื่อยแทนเลยอะครับฮ่าๆ แล้วคุณหมอก็ป๊วยป่วย อาไรจะได้ขนาดนี้

คุณหมอ:ยิ่งกว่ากบสุวนันท์ นางเอกเศร้าตลอดศก น้ำตานองหน้าไม่มีฉากไหนไม่ร้องไห้
คุณผู้กองภานุ:เหี้ยมแต่ก็ดูอบอุ่น ดุได้ดุดี
คุณกิ่งไผ่:นายเอกทอมบอย ว่องไว รอบสังการเก่งเว่อร์ตอนแรกๆชอบมากมาย..
คุณธี:รักแน่นรักหนารักทนนาน<<<เอาไปเลยก๊ากก ภาค3จะรับบทเป็นพระเอกแล้วเว้ย

แล้วฉากอย่างว่าละ??
ก๊ากกไม่ต้องพูดถึงเพอเฟ็คสุดๆ หมอธารรับบทหนักสุดในการเล่นฉากนี้<น้อยไปนิสนึงน้า>
มันดูวาบหวามแต่ไม่อนาจารอะ รวมๆแล้วปลื้มๆ 55+

ส่งท้าย:
บันก็พึ่งติดตามมาอ่านอะ อ่านข้ามปีเลยนะครับคุณคนแต่ง ก๊ากก
อยากบอกพี่คิดได้ไงอะตอนแรกๆอึ้งไม่เคยอ่าน ทหาร-หมอ
โห แต่โคตลงตัวอะคิดได้งายยยยยยยยยยยยยยยยยยย o13
ขอบคุณมากๆครับที่ลงมือพิมพ์เรื่องดีๆมาให้อ่าน

ท้ายสุดๆ:
จบได้แบบเอิ่มม กระชากใจมากเลยอะเกลียดนังไผ่ไปเลย
ตอนแรกๆชอบในความเก่งกาจพอหลังๆ เอื่มไม่ไหวจะเคลียร์55+
ก็พูดถึงจิงๆ ก็ทำให้หมดอารมณ์อยากอ่านไปเลยอะT^T
เหมือนเหตุจูงใจ มันหายไปถึง2 สิ่งอะ
แล้วประมาณภาค3 เหมือนภาคเสริม<ในความคิด ผม>
มันเหมือนแบบเห็นความสุขของ ธาร-ภานุ น้อยมากๆ
พอจะดี ปั๊บเท่านั้นละวอดวายไปเลย ฮื้อฮื้อ<ช่วยเอาน้ำมาดับในทรวงที>คุณหมอของช้านน

ท้ายแบบสุดๆถึงสุด
ก็จะพยายามเรียกอารมณ์มาอ่านต่อให้จบให้ได้ สู้ตาย
ขอโทดด้วยครับที่ไม่มาเม้นเพราะอ่านเรื่องยังไม่จบ
แต่นี้จบทั้ง2 ภาค + ตอนพิเศษแล้ว
ขอบคุณคนแต่งจริงๆครับ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 11-01-2009 11:35:49
อยากบอกว่าชอบเรื่องนี้มากมายๆๆ

ขอบคุณ คนแต่ง+คนโพส 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 11-01-2009 18:58:41
น้องเรนพี่รอภาคสามอยู่นะ อัพยังหว่า มาทวงทุกที่เลย  :laugh: กิ่งไผ่น่าสงสารมาก  :z3: สปอยนิสนุง

พิมเท่ร๊ากกกกก เอาเรื่องนั้นมาลงด้วยดี๊ อยากอ่าน ที่คุยกันไว้อะ ไม่เจอตะเองเลย บอกทางนี้แล้วกัน  :z1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Angel_K ที่ 18-01-2009 05:04:27
 :monkeysad:

มาอ่านจบตอนตี 5 พร้อมกับน้ำตารับยามเช้าเลย

เศร้าไปมั้ย เฮ้อ !!

แต่ก็เป็นเรื่องที่สนุกมาก ๆ

ขอบคุณทั้งคนโพสและคนแต่งนะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 20-01-2009 04:58:54
 :really2:  เข้ามาทักทายกันก่อนนะครับ สวัสดีปีใหม่นะครับคิดอะไรขอให้สมหวังทุกประการ แล้วจะเข้ามาอ่านอีกทีและจะติดตามภาคต่อของเรื่องด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: kom-kamol ที่ 23-01-2009 14:31:12
ขอบคุณผู้แต่งครับ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ในเล้านี้ครับ  :3123:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 03-02-2009 15:45:55
เรื่องภาคต่อไปถึงไหนแล้วครับ
มาต่อแล้วแจ้งลิ้งค์ด้วยนะครับ
จะรอตามไปอ่านครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: kyoshiro ที่ 03-02-2009 21:24:48
ขอบคุณคนแต่งกะคนโพสต์ด้วยนะคับที่เอาเรื่องราวอีกแง่มุมนึงของความรัก
ที่ไม่ต้องสมหวังหรือได้อยู่กับคนที่เรารักเสมอไป

 :3123: +1

วันนี้เข้า blog ของคุณ seabreeze_psu มา เจอคำพูดกินใจจากในหนังนึงมา น่าจะเหมาะกับคู่ภาณุกับหมอธารคับ
 ""ความรักแห่งหัวใจ
ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา
แม้ว่าระยะเวลาจะสั้นเพียงพริบตา
ความรักจะสถิตอยู่ชั่วนิรันดร์
ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนทิศทางมันได้
ถ้าคุณเคยมีความรัก ความรักคือคำตอบอยู่ในตัวมันเอง"

หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 06-02-2009 16:24:06
ขอบคุณค้า สำหรับการเยี่ยมชมและกำลังใจที่มีให้ตลอดมา ส่วนภาคต่อนั้นอดใจรอสักนิดนะคะ   :L1: :3123: :L2:  :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: pupper ที่ 07-02-2009 21:53:26
อย่านานนะครับ จะลุ้นกิ่งไผ่กับธีรเดช ต่อ
เพราะว่าผมถูกทำร้ายจิตใจจากธารกับภาณุ
มาแล้ว กลัวใจคนแต่งจะลุ้นไม่ขึ้นจริงๆ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 08-02-2009 04:49:48
อย่านานนะครับ จะลุ้นกิ่งไผ่กับธีรเดช ต่อ
เพราะว่าผมถูกทำร้ายจิตใจจากธารกับภาณุ
มาแล้ว กลัวใจคนแต่งจะลุ้นไม่ขึ้นจริงๆ

ปลายทางสุดท้ายของคู่ธีรเดช-กิ่งไผ่ยังอีกยาวค่ะ คงได้ลุ้นขึ้น(มั้ง? :z3:)


ช่วงนี้หัวหมุนกับกองรายงานอยู่ค่ะ   :z13: พยายามเคลียร์ตารางชีวิตมาอัพนิยายอยู่:sad4: อดทนรอสักนิ๊ดดดค่ะ  :bye2: ขอบคุณที่ติดตามเป็นกำลังใจเสมอนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: zefelozxxx ที่ 09-02-2009 02:35:35
ขอบคุณคนแต่งกะคนโพสต์ด้วยนะคับที่เอาเรื่องราวอีกแง่มุมนึงของความรัก
ที่ไม่ต้องสมหวังหรือได้อยู่กับคนที่เรารักเสมอไป
แต่ยังไงก้ออยากให้ได้กันอยู๋ดี 555555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: faareeyong ที่ 09-02-2009 20:02:21

ซุ่มอ่านอยู่หลายวัน ชอบมากมายแนวนี้   แต่พออ่านจบ :a5:  :sad2:


ฮือ  :o12: ฮือ :o12:   ม่ายยยยย  :sad4: เค้าทำอะไรผิดถึงต้องให้ธารกับภานุ ตาย  ฮือ  :o12: ฮือ  :o12:

ผมจะเป็นบ้าอยู่แล้ว พยายามทำใจแล้วน่ะ  ลุ้นกิ่งไผ่กับธี ดีกว่า  o3 หึหึ

แต่อย่าโหดร้านมากน่ะ   ไม่ไหวอ่ะ  อ่านไปน้ำตาไหลไป  (กาซิก กาซิก   o7  )

พล็อตเศร้ามากมาย  ทำร้ายจิตใจคนอ่านมากเรื่องนี้  :o7:

ผมไม่ใช่คนซาดิดส์น่ะ  แต่อ่านไปเจ็บไป รู้สึกดีเหมือนกัน ชอบอ่ะ  :o8:


ขอเป็นแฟนคลับได้ไหมครับ  o13

เป็นกำลังให้ทั้งคนโพสต์และคนแต่ง 

ขอบคุณครับ  :pig4:

 :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 09-02-2009 20:20:10
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ภาคสุดท้ายอดใจรอสักนิดนะคะ กำลังปั่นค่า~ :กอด1:

วันนี้เอารูปแฟนอาร์ตน้องไผ่มาอวดเจ้าค่ะ วาดโดยคุณ aofidius



(http://image.dek-d.com/15/605493/14611404)



ลูกชายเรนสวยไหมเจ้าคะ  :-[   
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: N19T ที่ 11-02-2009 01:11:50
เริ่มอ่านเมื่อตอนบ่ายๆ ของวันนี้ กว่าจะอ่านจบ ตี 1 ละ ( เค้าสมควรไปนอนแล้วม้ายยย 555 )

เนื้อเรื่องดีนะค่ะ แรกๆ ตบ จูบซะ ... หลังๆ เปลี่ยนมาเป็นโรแมนติดขึ้นนิดนึง ... แต่ตอนจบดันเศร้าหงะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 27-02-2009 13:51:56
เรนขออนุญาตแจ้งข่าวสารสำหรับนักอ่านที่ติดตามในบอร์ดเล้าเป็ดค่ะ

ประกาศสอบถามเรื่อง หนังสือทำมือค่ะ
ประกาศฉบับที่ 1


ด้วยว่าวิญญาณลูกชายเข้าสิง ^^”  เรนจึงคิดทำโครงการหนังสือทำมือขึ้นมาค่ะ   เรื่องที่เป็นโครงการก้าวแรกที่จะเอามาทำเลยคือ ซีรีย์  “ห้วงรักเสน่หา+เกียรติยศ กบฏหัวใจ”เหตุที่เอามาทำเองโดยไม่ส่งสนพ.เพราะ1.มันเรทนิดหน่อย 2. มันค่อนข้างมหากาพย์ (ส่วนมากสนพ.มักจะขอแค่1เล่มจบ ซึ่งตัวเรนไม่สามารถบรีฟมันได้ภายในหนึ่งเล่มจบ) ดังนั้นจึงคิดทำกันเอง จึงมาถามความต้องการค่ะ เพราะจะทำเป็นรุ่น Limited Edition ซึ่งพิมพ์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จำกัดจำนวนด้วย  เรนคิดไว้ว่าจะพิมพ์แค่ 50 เล่ม ซึ่งถ้ามียอดจองเท่ากับจำนวน Limited Edition ไว้  คือ 50เล่ม (รวม2ภาค) หรืออยากจองเกินมากกว่านั้น โครงการนี้จะไปสู่ฝันได้ค่ะ แต่ถ้ายอดไม่ถึงก็เป็นอันพับโครงการไป การที่เรนพิมพ์จำกัดจำนวนเพราะต้องการจะพิมพ์แบบ On Demand ให้เท่ากับยอดคนสั่งจอง เพราะไม่อยากเหลือเก็บค่ะ และที่สำคัญคือ อยากให้เฉพาะผู้ที่สะสมจริงๆค่ะ

 พูดถึงรายละเอียดคร่าวๆก่อนนะคะ เรื่องแรกพูดถึงจำนวนหน้าค่ะ สำหรับภาคแรกคือ ห้วงรักเสน่หา  คำนวนหน้ากระดาษเป็นขนาด A5 จำนวนหน้ากระดาษอยู่ที่ 315 หน้า ส่วนภาคสอง เกียรติยศ กบฏหัวใจ นั้น จะอยู่ที่จำนวน 379 A5 ดังนั้นราคาทั้งสองเล่มจะต่างกันสักเล็กน้อยค่ะ ซึ่งเรนประมาณราคาขายต่อปกไว้คือ 300และ320 (รวมค่าส่งเรียบร้อย) ราคาค่อนข้างแพงเพราะเรนทำน้อย อีกอย่างรูปเล่มมันหนามากด้วยค่ะ

ส่วนด้านรูปเล่ม  ปกจะพิมพ์4สี ส่วนเนื้อหาด้านใน เรนจะเลือกกระดาษถนอมสายตาให้ค่ะ เพื่อให้หนังสือมีคุณภาพ และตอนนี้ เซตตัวคนวาดภาพปกให้แล้วค่ะ   ด้านเนื้อหาจะมีการรีไรท์ใหม่ค่ะ โดยการรวมเอาตอนพิเศษใส่ในเนื้อหาหลักด้วย และสร้างเนื้อเรื่องให้ดูสมบูรณ์แบบขึ้นอีก จะให้คุ้มกับเงินที่นักอ่านที่รักต้องเสียค่ะ ^^   ส่วนของแถมหรือของขวัญพิเศษนั้น ตอนนี้คิดไว้เป็นพินอัพแต่ถ้าต้นทุนเกินจะแจ้งเปลี่ยนอีกทีค่ะ 

แจ้งรายละเอียดการจองค่ะ ท่านใดที่สนใจต้องการ ย้ำ ! นะคะว่า “ต้องการ” จริงๆ ไม่ใช่สั่งจองไว้แต่พอถึงกำหนดจ่ายเงินแล้วเปลี่ยนใจไม่เอา เรนซีเรียสจุดนี้นะคะ เพราะต้องกำหนดยอดให้ตรงต้นทุนค่ะ  ถ้าพร้อมต้องการสะสม ก็ทำตามกติกานี้เลยค่ะ   

1 ใช้ชื่อหัวข้อ สั่งจองหนังสือ
2 ชื่อผู้สั่งจอง หรือจะใช้นามปากกาอื่นๆก็ได้  (จะไว้ใช้ตอนแจ้งชื่อผู้จองค่ะ)
3 ชื่อจริง ที่อยู่ อีเมล์ที่จะติดต่อกลับค่ะ
4 ส่งเมล์สั่งจองที่อีเมล์นี้ค่ะ  kissing_in_iceอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com   
หลังจากนั้นเรนจะทยอยแจ้งประกาศชื่อผู้จองในหน้านิยายทุกหน้าค่ะ และจะแจ้งรายละเอียดการชำระเงินให้อีกครั้งค่ะ ซึ่งจะส่งรายละเอียดไปให้ตามเมล์แต่ละคน

สามารถสั่งจองได้ถึงวันที่  27 มีนาคม 2552 ค่ะ

ปล. ผู้ที่สั่งจอง10  ท่านแรกอาจจะมีของแถมพิเศษให้ค่ะ ^_^ 

มีปัญหาหรือข้อสงสัย เขียนอีเมล์หรือโพสต์ไว้ในนิยายทุกหน้าเลยค่ะ  เรนจะตามไปตอบให้ทุกข้อสงสัยค่ะ

ด้วยรัก
Rain-at-Rose
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++


 :L1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 04-01-2010 22:20:20
อยากอ่านมานานแล้วเรื่องนี้ เพิ่งหาเจอ
ชอบเรื่องของคุณเรนมาก ๆ 
หากว่างจะรีบอ่านให้จบเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + &#
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 16-01-2010 00:16:59
เป็นเรื่องที่ดีจังครับ

แม้จะปวดใจ
ภานุ กับ ต้าธารา
ต้องตาย
แต่ก็ทำให้เห็นคุณค่าจากอีกแง่มุม

ปวดใจคำพูดที่ ภานุ พูด ว่า ผมจะอยู่อย่างไร? น่าแปลกว่าประโยคนี้ถ่ายทอดความรู้สึกได้กินใจดีจริงๆ
  ผมจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีคุณ

ชอบต้นธารามาก นิสัยใจคอช่าง เย็นชุ่มช่ำใจจริง หากแต่ก็เด็ดเดียวในรักแรกนัก
คนเรา โอกาสจะได้เจอกับใครสักคน ใครบางคนที่จะทำให้เหงาจางหาย
คนเป็นร้อย บางครั้งรอจนตลอดชีวิตก็ไม่มี
คนเป็นร้อย บ่อยครั้งได้พบเจอตลอดชีวิต
คนเป็นร้อยพัน เวลา ผ่านไป ชั่วเสี้ยววินาที อาจคลาดเคลื่อนไม่ได้พบเจอกัน
หากชะตา ฟ้าลิขิตให้พบเจอ จนต้องใจ
นับถือจริง
เขียนให้รู้สึกว่า เหมือนจริงมาก เพราะทุกสิ่งอย่าง เรื่องดีเกิดได้เช่นเดียวกับเรื่องร้าย

ขอบคุณครับสำหรับเรื่องดีดี

อ่านแล้วได้รับมุมมองอะไรเยอะเลย

แต่ตอนนี้ กำลัง ปวดใจครับเรื่อง ภานุ กับ ต้นธารา


รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดสมหวัง แต่ก็เผลอ คาดหวังให้คู่นี้มีความสุข

ปวดใจจัง


เป็นกำลังใจให้ครับ
เสียดาย มาเจอช้า อยากได้หนังสือ จังครับ
ปล.เรื่อธีกับไผ่ เดี๋ยวจะตามไปอ่านครับ
กำลังอินเรื่อง ภานุ กับ ต้นธารา

ผันดีครับ


 :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 17-01-2010 00:30:37
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 18-01-2010 01:30:53
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 19-01-2010 00:32:48
ฝันดีครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 20-01-2010 00:12:25
 :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 20-01-2010 21:27:58
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 22-01-2010 01:09:28
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 23-01-2010 01:26:21
ราตรีสวัสดิ์ครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + &#
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 24-01-2010 02:05:16
เป็นกำลังใจให้ครับ ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 25-01-2010 03:27:14
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 26-01-2010 00:39:02
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ   :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 27-01-2010 01:40:50
ราตรีสวัสดิ์ครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 28-01-2010 01:38:07

 ราตรีสวัสดิ์  :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 29-01-2010 00:30:47
 :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 30-01-2010 03:13:47
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 02-02-2010 01:49:56
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 03-02-2010 01:34:25
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 07-02-2010 23:31:00
 :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 09-03-2010 06:13:52
ผมก็คิดไว้แต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีการสูญเสียคนไดคนหนึ่งแต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงสองคน
ผมอ่านแล้วเจ็บปวดมากก็ผมเกียดมัน(กิ่งไผ่)แต่เรื่องของกิ่งไผ่คงจะไม่มีใครตายหรอกนะ
แต่คงจะไม่แตกต่างจากเรื่องเดิมหรอกมั้ง
                   ขอขอบคุณคนแต่งคนโพสด้วยไว้จะติดตามผลงานต่อไปนะคร้าฟฟฟฟฟ
ผมถามจริง ๆ เถาะทำไมต้องตายด้วยอะน่าจะมาปาฏิหารย์
ผมอ่านมาหลายเรื่องละเนื้อหาไม่ค่อยแตกต่างกันมีแต่ตายทั้งคู่หรือไม่ก็คนเดียว ..... :m15:  เศร้า
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: seedsaRT ที่ 10-06-2010 02:34:26
ขอบคุนมากนะครับ


จบเส้าดีครับ เเปลกดี

^^ o13 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: noknofly ที่ 01-10-2010 14:14:49
 :m15: :m15: :m15:
ร้องไห้โฮเลยอ่ะ
แต่สนุกมากเลยค่ะ
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: yongwoongjj ที่ 12-10-2010 00:37:14
ผมอ่านจบแล้ว เศร้ามากมายครับ  :m15:

ไม่คิดว่าตอนจบจะทำให้ผมหดหู่ได้ขนาดนี้

สงสารคู่ ภาณุ ต้นธารา มาก

ขอบคุณทั้งคนแต่งและคนโพสนะครับ

ยังไงจะติดตามภาคจ่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CMKH0318 ที่ 03-06-2011 13:40:20
 :oo1: :man1: :impress2: :-[ :o8:
 :L1:

สนุกมว๊าก




ขอบคุณค่ะ  ชอบภาษาของเรื่องนี้มากอ้ะ  แต่งได้สมจริงมากมาย คริคริ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 25-07-2011 00:46:43
อักอีกครั้งเพราะหวนคิดถึง ได้ตกหลุมรักนิยายเรื่องนี้อิรอบ

อยากบอกว่า

ขอบคุณครับที่เขียนงานดีดีให้ได้อ่าน :man1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rain-at-rose ที่ 25-07-2011 00:51:16
ขณะนี้กำลังเปิดให้สั่งจองฉบับรวมเล่มและบ็อกเซตค่ะ อ่านรายลเอียดได้ที่ลิ้งก์โฆษณาบนหัวเวบค่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 22-11-2011 19:49:46
เศร้าแต่สนุกคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 23-11-2011 00:12:08
เรื่องนี้ถูกขุดขึ้นมาให้นางฟ้าได้อ่านตอนดึกๆอีกแล้ว  จบเศร้าอีกแล้ววววว
อ่านตอนดึกทีไร จบเศร้าตลอด  :sad4:  รู้มั้ยว่านอนไม่หลับ หัวใจกระสับกระส่าย  :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 21-02-2012 01:19:06
รู้สึกเศร้า และปวดร้าวไปกับเรื่องราวของคุณหมอกับผู้กองจริงๆ ทรมารจังกับการพลัดพรากของทั้งสองคน เสียน้ำตากับเรื่องนี้เยอะจริงๆ ความตายไม่อาจพรากความรักได้ ขอบคุณสำหรับนิยาย ขอบคุณที่ทำให้ร้องไห้ บางทีการได้ร้องไห้ออกมาก็ทำให้ได้ระบายสิ่งที่เครียดออกมาได้ดีเหมือนกัน เฮ้อ!
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: Aimmie88 ที่ 27-03-2012 20:40:15
ทั้งๆที่คิดไว้แล้วว่าต้องมีสักคนตาย
แต่พอตายจิงๆก็อดเสียน้ำตาให้ไม่ได้ T_____T

ว่าแต่ไม่ลงภาคสามต่อเหรอคะ อยากอ่านคู่กิ่งไผ่ต่ออ่ะ พลีสสส
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 02-04-2012 11:59:24
ไม่ไหวจะเคลียร์ :serius2:
มันจะปวดตับกันไปถึงหนาย
นึกว่าจะจบแบบแฮปปี้เอนด์์
ที่ไหนได้  :m15:
ขอเวลาทำใจสักนิดนะ
แล้วจะไปอ่านภาคต่อไป
ขอบคุนนะเจ้าคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 09-04-2012 07:40:08
เศร้ามากมายเลยฮ๊าฟฟฟฟ
แต่ก็ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: SungMinKRu ที่ 21-04-2012 11:44:18
 :m15: :m15: :m15: :m15:


อ่านจบไปหลายวันแล้ว เพิ่งมาเม้น

เศร้ามากเลยค่ะ


แล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบมาก

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะค่ะ

 :o12: :o12: :o12: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 22-04-2012 12:37:14
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 :L2: :L2: :L2: :L2:
 :L2: :L2: :L2: :L2:
 :L2: :L2: :L2: :L2:
 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 18-01-2013 20:03:20
อยากจะบอกคนเขียนว่า ขอบคุณมากๆ เลยครับ
ถึงพอจะเดาตอนจบได้ว่าจะจบอย่างไร
คนเราก็คงเหมือนเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง
ทั้งที่รู้ว่าเจ็บปวด แต่ก็อยากจะรู้ อยากจะเห็น อยากจะรู้จัก
ผมเคยได้ยินจากนิยายเรื่องหนึ่งที่เขียนประมาณว่า
"พระเจ้าท่านไม่สนับสนุนความรักที่ไม่เกิดประโยชน์ ความรักที่ไม่สามารถสืบเผ่าพงศ์พันธ์ได้"
ผมก็อยากจะถามพระเจ้าของเขาเหมือนกันว่า แล้วท่านจะสร้างพวกเรามาเพื่ออะไรกัน

ขอบคุณคนเขียนอีกครั้งนะครับ ที่เขียนเรื่องราวดีมาให้อ่าน แล้วจะติดตามในเรื่องต่อๆ ไปนะครับ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 21-01-2013 15:55:43
คุณนักเขียนจบเศร้าอีกแล้วอ่ะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: alaantam ที่ 27-01-2013 12:10:47
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ 
อ่านแล้วเศร้า
แต่ก็ดีใจที่ผู้กองภานุตาย
เพราะมันคงทรมานมากกว่ามีชีวิตอยู่มากนัก  ถ้าต้องอยู่แบบนี้
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 01-09-2013 04:44:37
น้ำตาเล็ดเลย เสียใจกับความเป็นไปของผู้กองภานุและต้นธารามาก ทำไม!!!!!! ว้ากกกกก
กดดันยาวนานตลอดการอ่าน เฝ้าหวังว่าเมื่อไหร่จะได้หายใจหายคอคล่องบ้าง...แต่ก็ไม่มี
มองว่าตัวเร่งปฏิกิริยาแห่งความยุ่งเหยิงในทุกสิ่งอย่างคือ ธีรเดช กับ กิ่งไผ่ ขออนุญาตไม่ปลื้มนะคะ
ถ้าไม่เพราะธีรเดช ภานุกับธารอาจจะคลิ๊กกันง่ายกว่านี้, ถ้าไม่มีกิ่งไผ่ ธารก็ไม่ต้องแวะช่วย นาคีไม่ตาย...และเรื่องไม่เดิน ฮ่าๆๆๆๆ
อินและรู้สึกจริงจังกับเรื่องราวเหลือเกิน ชื่นชมคุณ Rain-at-Rose อย่างมากมายมหาศาล ขอบคุณๆมูมู่น้อยผู้โพสท์เช่นกัน
"...ธาร คุณจากไปโดยไม่ลาผม แต่รอผมนะ รอผม..." เจอประโยคนี้เข้าไป เหมือนโดนย้อนศร แผลเปิด เลยร้องมันซะอีกรอบ
เรื่องนี้ทำเอาคนอ่านเศร้าหนักหนา เศร้าจริงเศร้าจัง คิ้วขมวด หน้าอมทุกข์โศกตรม...สุดยอดมาก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-10-2013 23:46:10
เศร้าจนไม่รู้จะอธิบายยังไง
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: doudoh ที่ 03-10-2013 23:02:48
รู้สึกเศร้ามาก  สงสานต้นธารา มาก พยายามจะไม่โกดนั้งกิ่งไผ่ทำไม่ได้ (อินมากอ่ะ) ไม่ชอบกิ่งไผ่
เราอ่านแต่คู่ ธารากะ ภานุ เฮ้อออ  ขอบคุณนักเขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
ขอติดตามผลงานของนักเขียนตลอดไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: cst.seenam ที่ 25-11-2013 13:33:44
โอ๊ยยยย  ไม่ไหว ตาแดงหมดเลย  :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 19-12-2013 15:25:24
อ่านกว่าจะจบมันอบบมหากาพย์มาก มีหลายตอนที่คิเว่า...หรืิอสุดท้ายจะตายกันนะ?

สุดท้ายก็เป็นงั้นจรืงๆด้วย....เฮ้อพอลองคิดถึงเวลาที่คุณหมดกับผู้กองมีความสุขด้วยกันแล้วมันเศร้าจริงๆนะ
ยอมรับเลยว่าไม่ได้อ่านตอนพิเศษเพราทำใจไม่ได้(ฮา)ชอบการเขียนมากเลยค่ะเขียนได้ดีมากๆ ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน
หลังจากนี้คงเศร้าไปอีกสามวัน(ห้าๆ)

เรื่องของธีไม่รู้จะอ่านไหมเพราะยังแอบแค้นกิ่งไผ่ แต่ก็นะมันก็มีทั้งเกี่ยวและก็เป็นเหตุที่คาดไม่ถึงถ้ากิ่งไผ่ไม่พามาก็ไม่ต้องป็นแบบนี้ .แต่ถ้าไม่พามาพ่อของกิ่งไผ่หล่ะ
ขอบคุณอีกทีนะคะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: rukmak ที่ 02-07-2014 14:47:51
เรื่องนี้เคยอ่านในเด็กดีมาแล้วค่ะ เขียนได้ดีมาก เศร้ามากมาย เคยอ่านไปแล้วหยุด เลยมาอ่านอีกรอบจนจบ :sad2:
สงสารหมอธารที่สุดอ่ะ  อ่านไปแทบร้องไห้ :m15: ผู้กองภาณุมาสงสารหลังๆ 
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 16-01-2016 03:19:41
สนุก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 17-01-2016 23:02:59
จบทั้งน้ำตาจริงๆ อ่านไปร้องไห้ไป ตาบวมจนเป็นแพนด้าธีรไปแล้วค่ะ  นาทีอยากบอก กิ่งไผ่ว่า รักนะ จุ๊บๆ แล้วก็ ภาคสาม พี่ธีรอย่าทำตัวเหมือนผู้กองภานุตอนแรกๆนะเธอ ความรักไม่ได้จะมีเข้ามาง่ายๆนะเธอ ดูซิ หมอธารกับผู้กองภานียังสายเกินไปเลย อย่าเลียนแบบเขาล่ะเธอ

      สุดท้ายขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านกันต่อ สนุกค่ะ แล้วก็ดีใจที่จะมีภาคต่อรอๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ╰Äρρłәßәѓѓÿ╮ ที่ 26-02-2016 02:03:06
นิยายเก่าๆล้วนแต่มีคุณค่าแก่การสะสมทั้งนั้นเลย
กลับมาอ่านกี่ครั้งก็เรียกน้ำตาได้เป็นเขื่อนเหมือนเดิม  :hao5:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 14-03-2016 11:31:18
มาอ่านตอนทีรจบมาหลายปีแล้ว คุณเขียนดีมากเลยค่ะ อ่านถึงตอน 11
แต่สงสัยว่าจะมีคนตาย เลยอ่านคอมเม้นตอนจบ ละมันก็จริง
ส่วนตัวแล้วอ่านนิยายที่ พระ -​ นาย ตายไม่ได้อะ เลยต้องหยุดอ่าน

จะติดตามผลงานอื่นๆ อีก นะคะ  ภาษาดี เนื้อหาแน่นมาก
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 17-04-2016 06:38:09
เรื่องมันตื้อๆไปหน่อย อ่านแล้วรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้องตลอดเลย

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 22-04-2016 11:34:18
เพิ่งเจอซีรีส์นวรัฐะ ชุดนี้ และได้อ่านไปแค่ ห้วงรักเสน่หา+เกียรติยศกบฏหัวใจ  จะบอกว่า มัน.....งือออออ ชอบมากกกกกก  เศร้าที่สุด หนักหน่วง ลุ้นและบีบหัวใจเป็นที่สุด อ่านเคล้าน้ำตากันเลยทีเดียว เลยทำสารบัญมาให้ เป็นกำลังใจให้นักเขียนและคนโพสนะคะ ขอบคุณมากๆ เลย

สารบัญ  ห้วงรักเสน่หา

ห้วงรัก:1 First Sight/แรกพบ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg189667#msg189667)   l*l    ห้วงรัก: 1.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg190257#msg190257)   l*l    ห้วงรัก: 1.2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg191108#msg191108)   l*l    ห้วงรัก:2 Mistake/เข้าใจผิด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg192075#msg192075)   l*l    ห้วงรัก:3Lust/เสน่หา  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg193286#msg193286)   l*l    ห้วงรัก: 3.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg193694#msg193694)   l*l   
 ห้วงรัก4 Retrospection /หวนรำลึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg195114#msg195114)   l*l    ห้วงรัก: 4.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg195358#msg195358)   l*l    ห้วงรัก: 4.2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg195943#msg195943)   l*l   ห้วงรัก5 Sorrowful/ความเศร้าเสียใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg197126#msg197126)   l*l    ห้วงรัก: 5.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg198448#msg198448)   l*l   
 ห้วงรัก: 6 charades/ปริศนาแห่งความรู้สึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg201693#msg201693)  l*l   ห้วงรัก:7 meet with/พบเจอกันอีกครั้ง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg203256#msg203256)  l*l    ห้วงรัก:8 Task/ภารกิจ(Part)1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg204379#msg204379)  l*l 
 ห้วงรัก:9 Task/ภารกิจ(PART2)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg205657#msg205657)   l*l    ห้วงรัก:10 h-hour /แผนการโจมตี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg208081#msg208081)   l*l    ห้วงรัก:10-1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg209153#msg209153)   l*l    ห้วงรัก:12 hack/แผนปะทะ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg210024#msg210024)   l*l 
 ห้วงรัก:ตอนพิเศษ 1First Sight:.: Once Day Once Dream  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg211813#msg211813)   l*l    ห้วงรัก:ตอนพิเศษหนึ่งหน้าในสมุดบันทึก หน้าที่1 : Douceur memoire (sweet memory)   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg212636#msg212636)   l*l   
 ห้วงรัก:ตอนพิเศษ หนึ่งหน้าในสมุดบันทึก(จบตอนพิเศษ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg214922#msg214922)   l*l    ห้วงรัก:13 Harmful/เผชิญหน้า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg217282#msg217282)   l*l    ห้วงรัก:14 Absolve/สำนึกแห่งความรู้สึกผิด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg217961#msg217961)   l*l   
 ห้วงรัก:15 combat/เสียที  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg219040#msg219040)   l*l    ห้วงรัก:16/risk/ฝ่าวงล้อม  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg221092#msg221092)   l*l    ห้วงรัก17 lacerated/หัวใจที่แสนทรมาน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg223224#msg223224)   l*l    ห้วงรัก:18 sabotage/หลีกหนี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg224489#msg224489)   l*l   
 ห้วงรัก:19 Fabian /สิ้นสุด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg225846#msg225846)   l*l    ห้วงรัก20 lachrymal/ความจริง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg226943#msg226943)   l*l   ห้วงรัก21 dream/ ความฝันหนึ่งและความเป็นจริงของหัวใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg229193#msg229193)   l*l   
 ห้วงรัก22 Back To home/กลับสู่ฐาน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg231559#msg231559)   l*l    ห้วงรัก23 keepsake/สถานที่แห่งความทรงจำ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg233537#msg233537)   l*l    ห้วงรัก24/loveless/ หัวใจที่ว่างเปล่า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg234652#msg234652)   l*l   
 ห้วงรัก25 Estimated time of departure/ การจากลาของความรู้สึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg235988#msg235988)   l*l   ห้วงรักเสน่หา  ตอนพิเศษ “Brown Eyes”  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg400059#msg400059)   l*l   


สารบัญ  เกียรติยศ กบฏหัวใจ (Fire of the Desire)

 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 1 Fate/ พบเจอบนพรหมลิขิต  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg237877#msg237877) l*l  เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 2 Trust/ ไว้วางใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg239369#msg239369) l*l  เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 3  Trust/ ไว้วางใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg245524#msg245524) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 4 Pain/ ความปวดร้าว  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg262022#msg262022) l*l  เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 5 sensibilité/ หวั่นไหว [Part1]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg264291#msg264291) l*l  เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 6 sensibilité/ หวั่นไหว  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg268871#msg268871) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 7 sensibilité/ หวั่นไหว [Part3]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg271780#msg271780) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 8 sensibilité/ หวั่นไหว [Part4]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg278636#msg278636) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 9 confession / คำสารภาพ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg280460#msg280460) l*l
 เกียรติยศ  กบฏหัวใจ 10 Confession/ คำสารภาพ [Part2]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg281457#msg281457) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 11 Confession/ คำสารภาพ [Part3]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg288224#msg288224) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 12 Kill/ตามล่า  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg293623#msg293623)   l*l    เกียรติยศ กบฏหัวใจ 13 Kill/ตามล่า [Part2]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg296111#msg296111) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 14 Under The Rose/ความลับในความรู้สึก [Part1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg302325#msg302325) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 15 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part 2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg311249#msg311249) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 16 Under The Rose: ความลับในความรู้สึก [Part3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg312193#msg312193) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 17 L'honneur - L'amour: เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 1]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg313887#msg313887) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 18 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg320719#msg320719) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 19 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg331828#msg331828) l*l เกียรติยศ กบฏหัวใจ 20 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 4]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg334076#msg334076) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 21 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 5] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg340108#msg340108) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 22 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 6] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg342317#msg342317) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 23 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 7]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg348481#msg348481) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 24 I Will Farewell : คำตอบในหัวใจ [Part 1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg352414#msg352414) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 25 Enemy : ศัตรู [Part 1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg353748#msg353748) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 26 Enemy : ศัตรู [Part 2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg360245#msg360245) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 27 Enemy : ศัตรู [Part 3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg361619#msg361619) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 28 Enemy : ศัตรู [Part 4] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg363015#msg363015) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 29 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg365472#msg365472) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 30 Sweet Memorial/ ความทรงจำแสนรัก (Part 2)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg367037#msg367037) l*l เกียรติยศ กบฏหัวใจ 31 Sweet Memorial / ความทรงจำแสนรัก (PART3)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg368628#msg368628) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 32 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg371553#msg371553) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 33 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg374260#msg374260) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 34 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg379115#msg379115) l*l เกียรติยศ กบฏหัวใจ 35 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART4)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg380437#msg380437) l*l
 เกียรติยศ กบฏหัวใจ 36 Once Time Last Night / แค่คืนหนึ่ง (PART5) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg388135#msg388135) l*l  เกียรติยศ กบฏหัวใจ 37 Timeless / ทรยศ (PART 1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg390971#msg390971) l*l
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 38 Timeless / ทรยศ (PART 2)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg392721#msg392721) l*l  บทส่งท้ายTimeless  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg393994#msg393994) l*l  End ตอนอวสาน หน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg396695#msg396695) l*l Writer’s Talk  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4152.msg396712#msg396712) l*l   
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 27-08-2016 19:28:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: ╰Äρρłәßәѓѓÿ╮ ที่ 05-11-2016 06:49:27
กลับมาอ่านอีกรอบ น้ำตาแตกเหมือนเดิม    :o12: :hao5: :sad4: :m15: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 27-02-2017 01:41:12
 :mew6: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 25-12-2017 19:35:37
ค้างงงงคามาก ตายหมดเลย เศร้าสุดๆ