Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Coldness Town....เพราะหัวใจ ไม่เคยลืม [ตอนที่ 52 Coldness Town] จบแล้วจ้า  (อ่าน 52606 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
เจนจะทำไรแล้ววินกับไกด์จะทำอะไร
อยากรู้ๆ
รอตอนต่อไปนะ
สู้ๆนะคะคนแต่ง
มาต่อบ่อยๆน้าาา

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 46 Give Me One More Day

   สเตลล่ามองประตูที่ของห้องพักสุดหรูในโรงแรม หลังจากที่เธอโดนไลโอเนลล์ลากตัวมากักตัวไว้ที่นี่ ไม่มีวินาทีไหนที่เธอไม่รู้สึกผิดหรือพยายามจะหาวิธีหนีออกไป แต่คุณวรพัฒน์ดูแลเธอดีจนไม่สามารถเรียกได้ว่านี่คือการจับตัวมา ห้องสูทของโรงแรมและอาหารหรูหราตลอดสี่วัน นับตั้งแต่วันที่ร้านเกล็ดหิมะถูกระเบิดไป เธอถูกจับขังเอาไว้ที่ห้องสูท ที่ถัดไปเป็นห้องนั่งเล่น และห้องนอนที่อยู่ถัดไปเป็นสองห้องเชื่อม เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธอเห็น ตอนที่เธอถูกลากเข้ามาตอนแรก ถึงจะยังไม่เห็นหน้า แต่เธอก็มั่นใจว่าจีโอคงถูกจับเอาไว้อยู่ห้องถัดไป แต่แค่ระยะห่างไม่เกินสองห้อง เธอก็ไม่มีวิธีออกไปจากห้องนี้ได้เลย
   เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง ยังคงเป็นไลโอเนลล์ที่เดินเข้ามา เพื่อเอาขนมมาเสิร์ฟให้เธออีกครั้ง เธอมองหน้าของไลโอเนลล์ด้วยความโกรธขึ้ง ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงข้างตัวเธอ
   “ไม่มีใครเป็นผู้ร้ายในเรื่องนี้หรอกนะ” ไลโอเนลล์กล่าว “คิดว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางนิยายรักโรแมนติกรึไง”
   “แต่คนเราก็เลือกที่จะเป็นคนที่ทำด้านดีได้” สเตลล่ากล่าว “แค่นายไม่เลือก”
   “เหมือนที่เธอไม่เลือกฉันอ่ะนะ” ไลโอเนลล์กล่าว สเตลล่าเมินหน้าหนีทันที “รู้มั้ย ตอนแรกที่เธอหายไปจากสตาร์เบิร์ก ฉันตามหาเธอให้วุ่นไปหมด จนฉันเห็นเธอขึ้นปกคอสโม่โพลิแทน ฉันก็คิดว่าเธอคงได้ดิบได้ดีที่นี่ ฉันตามหาเธอนานแค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า”
   “ฉันเบื่อฟังเรื่องนี้เต็มทีแล้ว” สเตลล่าว่า “ถ้าคิดว่านายจะเอาเรื่องนี้มาลบล้างสิ่งที่นายทำลงไปได้ล่ะก็ ฉันไม่มีความรู้สึกอยากจะให้อภัยนายซักนิดไลโอเนลล์”
   “นี่เสตลล์ ฉันมาปารีส ก็เพื่อจะมาหาเธอ ถ้าฉันไม่เจอคุณวรพัฒน์ในงานของซูเม่วันนั้น ฉันก็คงไม่ได้เข้าไปหาเธอข้างในหรอกใช่มั้ย เพราะเธอมันไม่เคยเห็นค่าคนอย่างฉันอยู่แล้ว” ไลโอเนลล์ว่า
   “คนที่มีค่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนอื่นเห็นค่าหรอก คุณค่าของเค้าจะมีในตัวเองอยู่แล้ว” สเตลล่าพูดกลับ “ดูนายจะชื่นชมเขามากเหลือเกินนะ คุณวรพัฒน์น่ะ เค้าเป็นคนยังไง นายยังไม่เก็ทอีกเหรอหลังจากรับใช้เขามาขนาดนี้แล้วน่ะ”
   “รู้สิ เพราะเค้าก็ทำเหมือนกับที่ฉันทำ” ไลโอเนลล์ว่า “เธอต่างหากที่ไม่เข้าใจ”
   สเตลล่างุนงงกับสิ่งที่ไลโอเนลล์พูดอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะหันหลังออกจากห้อง
   “ไลโอเนลล์” สเตลล่าพูดขึ้น “อย่าทำแบบนี้เลยขอร้อง อย่าทำผิดไปมากกว่านี้”
   “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่พูดให้ตัวเองดูเป็นคนดี หลังจากเรื่องทั้งหมดที่ตัวเธอทำมา” ไลโอเนลล์ว่า
   “ฉันถึงอยากขอโอกาสแก้ตัวไง” สเตลล่าพูด
   “แก้ตัวอะไร” ไลโอเนลล์หันกลับมา “เธอคิดว่าเธอทำผิดอะไร ตัวเธอเองไม่คิดว่ากำลังทำผิดด้วยซ้ำ เธอเลือก ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ นี่คือสิ่งที่เธอต้องการ เธอต้องการชีวิตแบบนี้”
   “อะไรนะ” สเตลล่าว่า “ไม่ นี่มันไม่ใช่ มันต่างกัน นั่นเพราะฉันไม่มีทางเลือก”
   “เหอะ งั้นเหรอ ไหนเมื่อกี้เธอบอกว่า คนเราเลือกได้ไง” ไลโอเนลล์ว่า “ใช่คนเราเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ แต่สำหรับเธอ เธอเลือกไปแล้ว เธออยากได้ชีวิตแบบนี้ เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมามันเป็นเรื่องจำเป็น”
   “ไม่” เสตลล่าว่า “ฉันไม่มีทางเป็นแบบนาย ฉันไม่มีทางเหยียบย่ำความรู้สึกของคนอื่น เพื่อให้ตัวเองได้ไปต่อหรอก”
   “อื้มมมม” ไลโอเนลล์พูดในลำคอ “แต่เธอก็ทำไปแล้ว.....กับฉัน และกับทุกๆคน”
   สเตลล่าเหมือนถูกความจริงกระแทกใส่ตัวเองอย่างรุนแรง เธอจ้องหน้าไลโอเนลล์ทันที
   “ม...ไม่”
   “เธอทิ้งทุกอย่างที่เราเป็นที่สตาร์เบิร์กมา มาอยู่กับแคลลี่และพี่ชายของมัน เธอทำลายชีวิตพวกเค้า” ไลโอเนลล์พูดชัดถ้อยชัดคำ “แล้วพอทุกอย่างมันพัง เธอก็ทิ้งพวกเค้าไปต่อ พอเธอเจอลูกชายคุณวรพัฒน์ เธอคิดว่าจะเขาจะพาเธอไปต่อได้ แต่ก็ไม่ แล้วดูสิ่งที่เธอเลือก เธอเลือกเอาความรู้สึกของพวกเค้าไปทำลาย เพื่อแลกกับการได้ไปต่อ”
   สเตลล่าน้ำตาคลอ พลางจ้องหน้าไลโอเนลล์
   “มีตรงไหนที่ฉันพลาดไปหรือเปล่าหึ” ไลโอเนลล์พูดซ้ำอีกที “ถ้าฉันเลวอย่างที่เธอว่า เราสองคนก็คงไม่ต่างกัน และสำหรับคำถามของเธอ ว่าทำไมฉันถึงเต็มใจรับใช้คุณวรพัฒน์ก็เพราะเค้ามีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับชั้น”
   สเตลล่าเม้มปาก หายใจเข้าลึก มองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า
   “แล้วมันอะไรล่ะ” สเตลล่าถามเสียงสั่น
   “เพื่อให้ใครบางคนไม่ลืมว่า ยังมีครอบครัว ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพียงลำพัง” ไลโอเนลล์พูดกลับ “จริงไหม...น้องสาวสุดที่รัก”
   สเตลล่าก้มหน้าลงทันที ไลโอเนลล์ยืดตัวขึ้น
   “ก็อย่างที่ฉันบอก ไม่มีใครเป็นตัวร้าย เลิกงอแงได้แล้ว อีกแค่วันเดียวทุกอย่างก็จะเรียบร้อย แล้วฉันก็จะปล่อยเธอไป” ไลโอเนลล์ว่า “ฉันจะได้ค่าตอบแทนจากคุณวรพัฒน์ แล้วหลังจากนั้น ฉันก็จะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก ถ้าเธอคิดว่าการมีพี่เลวๆแบบฉันมันจะทำให้เธอไปต่อไม่ได้ ฉันก็จะกลับไปสตาร์เบิร์กแล้วขาดกันกับเธอ อย่างที่เธอต้องการ”
   ไลโอเนลล์มองหน้าสเตลล่าอีกครั้ง เขากัดฟันพลางหลับตาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
   “รู้ไวนะ ถึงร้านนั้นไม่ถูกเผา อีกไม่นานตำรวจก็จะบุกเข้าทลายร้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้” ไลโอเนลล์พูด ขณะที่สเตลล่ายังคงเงียบสนิท “เธอคิดว่าเกล็ดหิมะจะอยู่ได้นานแค่ไหนกับระบบช่วยเหลือแบบผิดกฎหมาย เธอคิดจริงๆเหรอ ว่าสิ่งที่เธอวิ่งตามหาอยู่ ทำเพื่อมันอยู่มีอยู่จริง ดินแดนแห่งความฝันเหมือนปราสาทที่ดีสนีย์แลนด์ที่พวกเธอทุกคนได้ไปเที่ยวมาน่ะ”
   ไลโอเนลล์หันมามองสเตลล่า
   “ฉันจะบอกให้ ถึงมันมี ปราสาทก็เหมาะกับเจ้าหญิง เจ้าหญิงจริงๆที่เป็นคนดี ไม่ใช่แบบเธอ คนที่เกิดมาในที่ที่เดียวกับฉัน คนชั้นล่างสุดของสังคมที่ไม่มีใครเห็นหัว” ไลโอเนลล์ว่า “ในขณะที่เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อวิ่งหนีมัน แต่ฉันโตมากับมัน ฉันยอมรับมัน”
   สเตลล่าหายใจเข้าช้าๆ
   “ปารีส ไม่ใช่เมืองในฝันอย่างที่นายคิดว่าฉันคิดหรอก” สเตลล่าว่า “มันไม่ใช่เมืองที่จะมีเพลงโมซาจดังคลอไปทุกอย่างก้าวเวลาเราเดินไปตามท้องถนนหรอกนะ ฉันไม่เคยวิ่งตามหาปราสาท ฉันก็ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง”
   “ก็ดี ถ้ามันเป็นอย่างนั้น เราจะได้คุยภาษาเดียวกันง่ายหน่อย” ไลโอเนลล์ยิ้มให้ ก่อนจะเปิดประตูห้อง แต่ทันใดนั้น ประตูก็เด้งกลับมาใส่หน้าของเขาทันทีไลโอเนลล์เซถลา จากการถูกกระแทก ก่อนจะถูกร่างๆหนึ่งที่รอจังหวะอยู่หยิบโคมไฟมากระแทกด้านหลังของศรีษะของเขา ทำให้ไลโอเนลล์แน่นิ่งไป
   “ไลโอเนลล์” สเตลล่าร้องด้วยความตกใจ ก่อนมองคนที่จัดการไลโอเนลล์ไปได้
   “จีโอ!!!”
   จีโอและพนักงานโรงแรมนั่นเองที่พังประตูเข้ามา
   “How about him?” พนักงานถามขึ้น จีโอมองหน้าสเตลล่า
   “เธอตัดสินใจเอาเอง” จีโอพูด พลางออกเดิน
   “Put him on the bed” สเตลล่ากล่าว พลางพนักงานคนนั้นประคองตัวไลโอเนลล์ตามคำสั่งของเธอ ขณะที่สเตลล่าวิ่งตามจีโอออกไปจากห้อง
   “ออกมาได้ยังไง” สเตลล่าร้องถามทัน
   “โรงแรมนี้เจ้าของเป็นเพื่อนฉัน” จีโอว่า “ตื่นขึ้นมาเห็นห้องก็รู้แล้ว แค่พยายามหาวิธีใช้โทรศัพท์ให้ได้ ก็เรียกคนขึ้นมาช่วยเนี่ย”
   พนักงานโรงแรมปิดประตูห้องก่อนจะมองทั้งสองคนหน้าเลิ่กลั่ก
   “Told your manager I need a cap immediately, but don’t let anyone know this thanks” จีโอกล่าว ก่อนพนักงานคนนั้นจะรีบออกจากห้องไป
   “จีโอฉัน” สเตลล่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
   “ไม่ต้อง” จีโอตัดบท “ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว ได้ยินหมดแล้ว”
   “ฉันเสียใจ” สเตลล่าพูด
   “ไม่ เธอยังไม่เสียใจหรอก ยังหรอก” จีโอว่า
   “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย....” สเตลล่าพยายามอธิบาย
   “ฉันเบื่อฟังคำนี้เต็มทนแล้วสเตลล์ ตอนแคลลี่ตายเธอก็พูดแบบนี้ มาครั้งนี้เธอก็เกือบจะฆ่าคนตายไปอีกหลายคนแล้ว” จีโอว่า สเตลล่าก้มหน้าลง “สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือคนที่เรารัก เพื่อนที่เรารัก พวกเขากำลังถูกบีบให้จนตรอกอยู่ข้างนอกนั่น และฉันจะต้องช่วยพวกเค้า”
   จีโอหลับตาลง พยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
   “ฉันต้องการพบวินกับเอิร์ธ หรือไม่ก็เจน” จีโอพูด “ถ้าฉันจัดการเรื่องนี้ไม่ทัน เธอจะได้ทำลายความฝันของคนเพิ่มอีกหลายคน”
   สเตลล่ามองกลับไปยังห้องที่พี่ชายเธอสลบอยู่ ภายหลังประตูบานนั้น ความจริงที่เธอเลือกจะทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ถ้าหากสิ่งที่ไลโอเนลล์พูดเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิดว่าเรื่องนี้ไม่มีตัวร้าย ถ้าเกิดเรื่องนี้เป็นเพียงแค่การพยายามทำตามความต้องการของตัวเองของทุกๆคน
   “ถ้าเกิดว่า เรากำลังอยู่ข้างผิดล่ะจีโอ” สเตลล่าพูด
   “พูดบ้าอะไรของเธออีกเนี่ย” จีโอพูดขึ้น
   “ถ้าเกิด เราเลือกที่จะช่วยคนคนนึง แล้วทำให้อีกคนนึงแพ้ไปตลอดล่ะ” สเตลล่าว่า
   จีโอหายใจเข้าช้าๆ
   “ฉัน....ฉัน...ฉันจะทิ้งเค้าไว้แบบนี้น่ะเหรอ” สเตลล่าชี้ไปยังห้องที่เธอเพิ่งจะออกมาได้ “ฉันจะหนีไปได้อีกเหรอ”
   “มันไม่ได้เกี่ยวกับหนีไม่หนีหรอกสเตลล์ มันเป็นความทรงจำของเธอ มันเป็นอดีตของเธอ” จีโอว่า “เจ้าไลโอเนลล์มันก็แค่ภาพสะท้อนตัวตนของเธอ เธอหนีมันให้ตายยังไงก็ไม่พ้น เธอจะหนีไปไหนได้อีก ในเมื่อเขายังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ ต่อให้เธอหนีไปอีกค่อนโลก มันก็ตามเธอไปทุกที่ได้อยู่ดี”
   สเตลล่าฟังอย่างนิ่งสนิท
   “แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือถ้าเธอเลือกอะไรไปแล้ว เธอไม่ควรจะลังเล เธอจะเดินไปซ้ายสองก้าว แล้วก็รู้สึกลังเล แล้วกลับเดินไปขวาอีกสองก้าวงี้เหรอ เธอจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน” จีโอว่า “แล้วการทำแบบนี้ของเธอ ทำให้คนอื่นต้องพังมากี่ครั้งแล้ว”
   จีโอเม้มปากอย่างร้อนรน เขารู้ว่าข้างนอกนั่นกำลังต้องการตัวเขามากแค่ไหน แต่ถ้าวรพัฒน์กลับมาตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสหนีอีกเป็นครั้งที่สองแน่ๆ และวันนี้ก็จะผ่านไป โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรเจนจิราได้เลย
   “สเตลล์ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเธอเลือกจะเข้าข้างพ่อของวิน เข้าข้างไลโอเนลล์พี่เธอ” จีโอว่า “ฉันรู้ว่าทุกๆคนมีเหตุผล ถึงแม้ว่าเหตุผลนั่นจะงี่เง่าสุดโต่ง ถึงขนาดต้องลุกขึ้นมาทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ถ้าเธอเชื่อว่าสิ่งที่ไลโอเนลล์มันบอกเธอ เชื่อในสิ่งที่พ่อของวินเค้าทำ คือสิ่งที่ใช่สำหรับเธอ เธอกดโทรศัพท์ได้เลย”
   จีโอเดินไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายแล้วยื่นให้กับสเตลล่า
   “เธอจะหนีไปได้ ไลโอเนลล์มันก็อาจจะรอด ฉันก็กลับไปติดอยู่ในห้องนั้น แต่นั่นก็คือสิ่งที่เธอเลือก เพราะเธอทำในสิ่งที่เธอเชื่อ ฉันจะไม่ว่าอะไรเธอทั้งนั้น” จีโอว่า “ฉันรู้ว่าไลโอเนลล์มันพูดถูกทุกอย่าง เรื่องของเธอ ของพ่อวิน ของร้านเกล็ดหิมะ แต่ฉันไม่ต้องการให้คนลังเลเดินทางออกจากที่นี่ไปกับฉัน เพราะฉันไม่รู้ว่าเธอจะแว้งกัดฉันอีกเมื่อไหร่ ถ้าเธอจะเลือกข้าง ก็ทำซะตรงนี้”
   สเตลล่ากำโทรศัพท์เอาไว้มือสั่นเทา ภาพของทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นตีวนเข้าในหัวเธอ ภาพของทุกๆคนที่ผ่านมาในชีวิต มันบีบคั้นเธอจนอยากทำให้เธอกรีดร้องออกมาสุดเสียง ถ้าเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ใช่กับสิ่งที่ง่ายมันเป็นขั่นบันไดที่สูงเกินกว่าเธอจะปีนป่าย นั่นก็อาจจะเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่เธอต้องตัดสินใจ
   “นายทำให้ฉันไม่มีทางเลือก” สเตลล่าพูดเสียงเข้ม จีโอหลับตาลงเบาๆ
   หญิงสาวกดโทรศัพท์ทันที
   “ทุกคนมีเหตุผล ไม่เป็นไร” จีโอว่าพลางหันหลังกลับ “หวังว่านั่นคือทางที่ดีสำหรับเธอ”
   จีโอหันหลังกลับพลางเปิดประตูห้อง พร้อมกับได้ยินเสียงของสเตลล่าดังไล่หลังมา
   “วิน.....นี่ฉันเอง สเตลล่า” สเตลล่าพูดขึ้น “ฉันเจอจีโอแล้ว”
.........
   วินวางโทรศัพท์ลงก่อนจะมองหน้าไกด์ โรงแรมที่สเตลล่าบอกมาไกด์รู้จักดีและอยู่ไม่ไกลจากถนนทอร์ควิลนัก ดังนั้นก่อนวันพรุ่งนี้จะมาถึง ทั้งคู่คงต้องดึงจีโอกลับเข้ามาในเกมส์ให้ทันก่อน เพื่อเคลียร์ทุกๆอย่างให้เรียบร้อย
   “ไปหาเค้ากันเถอะไกด์” วินพูดกบไกด์ ก่อนจะออกเดินออกมาจากตึกห้องพักของถนนทอร์ดควิล
   “ยังคิดว่าจะหนีไปได้อีกเหรอ” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น วินมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาที่แข็งกร้าว “จากทั้งหมดที่เกิดขึ้น มึงคิดว่าแผนมึงยังสำเร็จได้อีกใช่ไหม....ไอ้วิน”
   ไกด์เหมือนจะตรงรี่เข้าไปหาเจ้าของเสียงทันที แต่วินก็ห้ามเอาไว้ ก่อนจะเดินนำหน้าออกมา
   “แล้วถ้าคำตอบกูคือใช่อ่ะ” วินว่า “มึงจะยังช่วยกูอยู่หรือเปล่า”
   เอิร์ธมองข้ามไหล่วินไปหาไกด์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
   “ไอ้วิน มึงรู้ใช่มั้ย ว่าทุกอย่างมันจะไม่ง่าย มึงกะกูรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครทั้งหมด” เอิร์ธพูดเสียงเข้มพลางขยับตัวเดินเข้ามาหาวิน “มึงเดินไปกับมันหนึ่งก้าว พ่อมึงจะเดินตามมาอีกสองก้าว มึงรู้ดี”
   “เอิร์ธ มึงกับกูยกเลิกสัญญากันไปแล้ว” วินว่า “กูจะไม่ขอให้มึงเดินตามกูอีก มึงไม่จำเป็นต้องเอาทั้งหมดมาเสี่ยงเพื่อกูนะเอิร์ธ”
   “วิน” เอิร์ธพูด “สัญญาพังลงได้ แต่ความเป็นเพื่อน พังลงไม่ได้ป่ะวะ”
   วินยิ้มกว้างให้เอิร์ธทันที
   “ที่ผ่านมากูแม่ง งี่เง่าเองอ่ะ แต่ตอนนี้กูรู้ละ ว่าบางที กูน่าจะลองทำเพื่อคนอื่นดูบ้าง เหมือนอย่างที่มึงทำ เหมือนอย่างที่มันทำ” เอิร์ธว่า ขณะที่วินพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับไปหาไกด์เช่นเดียวกับเอิร์ธ
   “ตอนนี้กูรู้แล้ว ว่าจีโอเค้าอยู่ไหน” วินว่า “กูกำลังจะไปหาเค้า แล้วตามเค้ากลับมา”
   “เดี๋ยวก่อน” เอิร์ธเดินตรงรี่ไปหาไกด์ พลางมองเข้าไปในดวงตาอันเย็นเฉียบนั้น วินมองตามไปอย่างงงงวย “ฉันรู้ว่านายรู้เรื่องทั้งหมดดี นายต้องรู้ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นนายคงไม่กลับมาหามันหรอกใช่มั้ย”
   วินสงสัยในคำถามของเอิร์ธ ก่อนจะมองไปยังไกด์ที่ยืนนิ่งมองเอิร์ธกลับอย่างท้าทาย
   “ใช่ผมรู้” ไกด์ตอบ
   “แล้วนายคิดเหรอ ว่านายจะหลบพ่อของเค้าอยู่ตรงนี้ไปได้ตลอด” เอิร์ธว่า “ถึงผมกับวินจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น”
   “ผมถึงบอกคุณเจนไง ว่าผมต้องพบพ่อของเค้า” ไกด์ตอบเสียงนิ่ง
   “อะไรนะ” วินร้อง “ไม่ ไม่ได้ นายจะไปพบเค้าไม่ได้นะ”
   ไกด์มองวินที่ถลาเข้ามาหาเขาทันที
   “นายสัญญากับฉันแล้ว ว่าถ้าเป็นตาของฉัน นายก็จะเดินตามที่ฉันเดินบ้าง” ไกด์ว่า
   “ต..แต่ว่า” วินร้อง
   “นายคิดว่าพ่อนายไม่รู้เหรอ” ไกด์ว่า “เรื่องของเราน่ะ”
   วินเงียบสนิท
   “การที่เค้าทำแบบนั้นกับร้านเกล็ดหิมะได้ นั่นก็หมายความว่าเรื่องของเราเขาต้องรู้ดี” ไกด์พูด “ฉันถึงบอกนายไง ว่าครั้งนี้คงต้องเป็นฉัน ที่ต้องจัดการเอง”
   “ไกด์ นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นยังไง นายไม่....”
   เอิร์ธจับแขนของวินทันที
   “ไอ้วิน ไกด์พูดถูก” เอิร์ธว่า “ไม่ช้าก็เร็ว มึงก็ต้องเผชิญหน้ากับเขา ถ้ามึงเป็นห่วงมัน มึงก็ไปกับซะ”
   “อ..อะไรนะ” วินว่า
   “อีกแค่วันเดียวเองนะเว่ย” เอิร์ธว่า “มึงจะปล่อยให้ความขัดแย้งของมึงกับพ่อมึงเป็นอย่างนี้เหรอ แล้วมึงจะทำยังไงต่อไป ถึงเราลากจีโอกลับมาแล้ว พ่อมึงถูกหักหน้าอีกครั้งเหมือนตอนที่เราเข้าซูเม่วันแรก แล้วพ่อมึงก็จะทำเรื่องที่เลวร้ายกว่าเดิม กูว่าครั้งต่อไป อาจจะไม่โชคดีแบบครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไป กูว่าจะต้องมีคนตาย”
   วินหายใจหอบถี่
   “ไปเคลียร์กับพ่อมึง พามันไป เรื่องจีโอ เดี๋ยวกูจัดการเอง” เอิร์ธว่า วินมองหน้าไกด์ก่อนจะหันมามองเอิร์ธอีกครั้ง เอิร์ธเอื้อมมือไปจับไหล่ของเพื่อนรัก “ไปจบเรื่องนี้ซะไอ้วิน ทำความรักของมึงให้จบอย่างสวยงามเหอะ”
   “เชี่ย”
   วินกระชากเอิร์ธมากอดเอาไว้ทันที เพื่อนคนนี้ยังคงครองตำแหน่งที่ดีที่สุดของวินเอาไว้ได้เหมือนเดิม
   “กูขอโทษเอิร์ธ กูขอโทษ” วินพูดอยู่ในอ้อมกอดนั้น “กูขอโทษที่พามึงไปถึงจุดหมายไม่ได้ กูขอโทษ”
   “ไม่เป็นไร”เอิร์ธพูดเสียงสั่น “ไม่เป็นไร”
   กอดกันอย่างนั้นอยู่นาน ก่อนจะผละออกจากกัน เอิร์ธยิ้มให้วินอีกครั้ง ในขณะที่วินมองไปตามถนนทอร์ควิล ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และออกเดินไปทันที
   ไกด์มองตามคนรักไป ขณะที่เอิร์ธเดินเข้ามาหาเขา
   “มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน” เอิร์ธว่า “ถ้าจบไม่สวย ฉันเอานายตายแน่”
   ไกด์หัวเราะในลำคอก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองให้เอิร์ธทันที
   “หาทุกอย่างจากในนี้ละกัน”
   ก่อนจะเดินตามวินไป เอิร์ธรู้สึกได้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอเจ้าบาริสต้าคนนี้...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2014 18:53:19 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ
คนแต่งสู้ๆนะ!!!
เค้ารออยู่จ้า

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
เข้ามารอตอนต่อไปค่ะ
คนแต่งสู้ๆนะ!!!
เค้ารออยู่จ้า

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ยาวไป. ยาวไป. โอยหามรุ่งหามค่ำ. งานการไม่เป็นอันทำ. กินนอนไม่ตรงเวลา. จะเศร้า เหงา อบอุ่น หวานละมุน อะไรอย่างนี้ งอมแงม ความรู้สึกของมนุษย์ ยากแท้หยั่งถึง. เสียจริง. สนุกมาก

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
            เสียงฝนสาดกระหน่ำลงที่ห้องพักของโรงแรมแชงกรีลาปารีส นักธุรกิจวัยกลางคนนั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มันเป็นวันที่ดูขุ่นมัว ซึ่งก็เป็นปกติของปารีส สำหรับเขาแล้ว เขารู้จักเมืองนี้ดีพอพอกับหลังมือของตัวเอง อะไรก็ตามที่เขาอยากให้มันเป็น ไม่มีทางผิดไปจากสิ่งที่เขาคิด และมันก็จะเป็นอย่างนั้น ในตอนจบ

            เสียงเปิดประตูเดินเข้ามาขัดจังหวะความคิดที่กำลังล่องลอย

            “พวกเขาหนีไปแล้ว คุณจะเอายังไงต่อ ให้ผมตามไปหรือเปล่า” ไลโอเนลล์กล่าวขึ้น

            “ไม่ต้อง ก่อนคืนนี้จะผ่านไป พวกเขาจะมาหาฉันเอง ที่นี่” วรพัฒน์กล่าวเสียงเยียบเย็น

            “แล้วมีเรื่องอะไรให้ผมทำอีกหรือเปล่า” ไลโอเนลล์ถามขึ้นอีก

            “เรื่องของนายไง” วรพัฒน์กล่าว “ฉันจะโอนเงินให้นายภายในสองวัน ไปได้แล้ว”

            เกิดความเงียบสงัดขึ้นทันที ไลโอเนลล์เม้มปาก

            “งั้น ถ้าไม่มีอะไรให้ผมแล้ว ผมจะกลับเยอรมันเลยละกัน” ไลโอเนลล์ว่า “หวังว่าคุณคงไม่ทำให้ตัวเองโดนจับหรอกใช่มั้ย”

            วรพัฒน์ไม่ได้ตอบอะไร ไลโอเนลล์มองนักธุรกิจคนนั้น พลางฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

 

            .......ปารีสไม่ใช่เมืองในฝันอย่างที่นายคิดว่าฉันคิดหรอก.......

 

            “คุณวรพัฒน์” ไลโอเนลล์ถามขึ้น “เรื่องที่คุณบอกผม มันจริงหรือเปล่า”

            “เรื่องอะไร” วรพัฒน์ตอบ

            “เรื่องที่คุณบอกผมตอนเราเจอกัน ก่อนที่คุณจะให้ผมทำงานให้” ไลโอเนลล์ว่า “ผมสงสัยว่า....ถ้ามันไม่ใช่....”

            “หึ” วรพัฒน์หัวเราะในลำคอ “นายตามรอบลูกชายฉัน หักหลังน้องสาว เผาร้านอาหาร มาจนป่านนี้แล้ว เพิ่งจะมากลัวว่าโดนหลอกใช้รึไง”

            “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ไลโอเนลล์ถาม “ผมหมายความว่า ถ้าเรื่องที่เราทำอยู่ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถ้าเราทำเกิน...”

            “เกินไปงั้นเหรอ” วรพัฒน์หันมากัดฟันใส่ไลโอเนลล์ “ให้ตายสิไลโอเนลล์ ฉันควรจะไม่ให้เงินนายซักยูโรด้วยซ้ำ ที่นายปล่อยให้น้องสาวนายกับเจ้านักธุรกิจคนนั้นหนีไปได้  และนายก็กำลังยืนชี้หน้าฉัน แล้วตัดสินฉันว่า สิ่งที่เราทำมันเกินไปงั้นเหรอเหอะ”

            “ผมไม่...”

            “ไปซะ” วรพัฒน์ว่า “ไปได้แล้ว”

            ไลโอเนลล์หายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะถอยหลังเดินกลับออกไปจากห้อง

           

            ปึง!!!!

 

            ไลโอเนลล์ผงะออกจากประตู เมื่อพบว่าคนที่พังประตูเข้ามาคือตำรวจ สองนาย พร้อมกับกลุ่มคนที่เดินนำหน้าเข้ามา คนที่ทำให้ไลโอเนลล์ต้องผงะทันที

            “เค...เคลวิน” ไลโอเนลล์หันไปมองหน้าวรพัฒน์

            “C'est lui. Le capturer s'il vous plaît” เคลวินพูดกับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่ตำรวจทั้งสองนายจะเข้าจับกุมไลโอเนลล์

            “ไม่ ไม่ ปล่อยนะ ไม่ใช่แค่ผม จับเค้าสิ เค้าเป็นคนสั่ง” ไลโอเนลล์ทำการขัดขืน แต่ตำรวจทั้งสองนาย ก็จับตัวเขาล็อคแขนไว้ได้สำเร็จ “เคลวิน บอกพวกเขาเซ่ นายก็รู้”

            “ถึงฉันจะไม่มีเรื่องอะไรคุยกับนายนะไลโอเนลล์ แต่ฉันว่าจีโอกับสเตลล่ามี” ไกด์พูดเสียงเข้ม พลางมองผ่านไลโอเนลล์ไปยังวรพัฒน์ที่กำลังยืนจ้องหน้าเขาเขม็ง

            “อะไรนะ” ไลโอเนลล์พูด

            “น้องสาวนาย เพิ่งให้การกับตำรวจฝรั่งเศสเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ว่าเธอถูกสะกดรอยตามจากพี่ชายของตัวเองมาหลายเดือนแล้ว เธอยื่นรูปของนายให้กับตำรวจแล้วมันดันตรงกับคำให้การของเจ๊ใหญ่ถึงชายที่เข้ามาติดต่อขอซื้อร้านเกล็ดหิมะ คนที่เจ๊เค้าสงสัย เมื่อหลายเดือนก่อนพอดี” เคลวินพูด โดยยังคงไม่มองหน้าไลโอเนลล์แต่มองไปยังวรพัฒน์ โดยไม่ละสายตา

            “ไม่” ไลโอเนลล์ว่า “ฉันไม่ได้ทำ มีคนสั่งให้ฉันทำนะ เคลวิน นายก็รู้”

            “ไม่ว่าใครก็ตามที่สั่งนาย มันบังเอิญว่าไม่มีหลักฐานอะไรที่ซัดทอดไปถึงตัวของเค้า” ไกด์พูดเสียงชัดเจน “ทุกๆปากคำของคนที่เสียหาย มีแต่พูดถึงนาย ไม่มีใครพูดถึงคนอื่น ถ้านายคิดจะซัดทอดใครต่อโดยไม่มีหลักฐาน ฉันว่าความผิดนาย จะเพิ่มขึ้น”

            ไลโอเนลล์หันกลับไปมองหน้าวรพัฒน์

            “คุณหลอกใช้ผม” ไลโอเนลล์ตะโกน “คุณหลอกใช้ผม”

            เสียงตะโกนของไลโอเนลล์ดังก้องไปทั่วพร้อมกับตำรวจที่ลากตัวของเค้าออกไป ไกด์ยังคงยืนมองวรพัฒน์อยู่อย่างนั้น

            “คุณรู้ว่าถ้าสเตลล่าจะกลับคำให้การ คุณจะพ้นผิดทันที” ไกด์พูดต่อ หลังจากอยู่กันสองคน “คุณบีบเธอ เพราะถ้าเธอสารภาพ เธอจะโดนไปด้วย”

            “ใช่” วรพัฒน์พูดเสียงเย็นเฉียบ เหมือนว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อซักครู่ไม่ได้ทำให้เขาตกใจใดใดเลยแม้แต่น้อย ”ฉันรู้นิสัยของคนที่พร้อมจะโบ้ยความผิดให้กับคนอื่นดี”

            วรพัฒน์เดินไปยังโต๊ะเล็กในห้องรับแขก พร้อมกับรินน้ำชาลงแก้วกระเบื้องลายงามสองใบ

            “เข้ามาสิ มาดื่มกับฉัน” วรพัฒน์ว่า “มาถึงนี่ก็เพราะอยากจะพูดกับฉันไม่ใช่รึไง”

            “ผมไม่ดื่มชาครับ ขอบคุณ” ไกด์พูดต่อ

            “ฉันไม่ได้พูดถึงนายไอ้บาริสต้า” วรพัฒน์ว่า “ฉันหมายถึงลูกชายของฉัน ที่มันยืนอยู่หน้าห้องต่างหาก”

            ไกด์มองไปทางประตูทันที วินค่อยๆก้าวเข้ามาในห้องหลังจากสิ้นเสียงของพ่อ ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าพ่อของเค้าอยู่อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

            “อย่าให้ฉันต้องเชิญแกเป็นครั้งที่สอง เจ้าวิน” วรพัฒน์ออกเสียงเข้ม วินมองหน้าไกด์ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อของเขาทันทีและนั่งลงที่โต๊ะ

            “ฉันมีเรื่องจะพูดกับลูกของฉันสองคนเท่านั้น” วรพัฒน์พูด

            “ถ้าพ่อจะพูดอะไร พูดต่อหน้าเราสองคนเลย” วินพูดชัดเจน ก่อนจะเอื้อมมือไปหงายแก้วชาอีกแก้วนึง และเทชาลงไป “สำหรับผมเขาไม่ใช่คนอื่น”

            วินมองหน้าพ่อของเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว

            “ผมไม่สน ว่าพ่อจะมองว่าเขาเป็นคนอื่นหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเถียงกับพ่อเรื่องเค้า เพราะพ่อก็คงรู้เรื่องของผมกับเค้าแล้ว” วินพูด “ผมมาที่นี่ เพื่อจะพูดเรื่องซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล”

            วรพัฒน์มองหน้าไกด์อยู่พักนึง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าลูกชาย

            “ฉันไล่ต้องทุกอย่าง เพื่อให้แกได้สิ่งที่ดีที่สุดในซูเม่ไป แกได้ห้องเช่ากลางปารีสไปแต่แล้วแกก็ตุกติกกับฉัน” วรพัฒน์พูดกับลูกชาย “ฉันก็เลยไม่กลับเมืองไทย เพื่อจะดูว่าแกจะทำยังไง แล้วแกก็ไม่ทิ้งลายเดิม แกปล่อยให้เจ้าเอิร์ธสวมรอยแทนแก แล้วก็วิ่งตามคนที่แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นใคร”

            วินนั่งเงียบสนิท

            “ฉันจะถามแกง่ายๆ แบบไม่มีวิชาการเลย” วรพัฒน์กล่าว “มันยากมากใช่หรือเปล่า ในการทำในสิ่งที่ฉันขอน่ะ มันยากมากนักใช่มั้ย ในการเดินตามทางที่ฉันวางไว้ให้ แกอึดอัดมากใช่หรือเปล่า”

            “พ่อ” วินพูด “พ่อโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่โดนซัดทอด กับสิ่งที่พ่อทำไปทั้งหมด พ่ออย่าทำอะไรไปมากกว่านี้อีกเลยเหอะ ผมขอล่ะ”

            “ตอบคำถามฉัน” วรพัฒน์พูดเสียงดังกึกก้อง วินเงียบสนิท

            “ช....ใช่” วินพูดออกมาในที่สุด “ผ....ผม....ม....ไม่อยากทำ”

            “แล้วแกจะทำอะไรเพื่อฉันบ้างล่ะหะ” วรพัฒน์พูด “แกเคยคิดจะรับผิดชอบอะไรบ้าง แกโตขึ้นทุกวัน แล้วตอนนี้ มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตแกบ้างห๊ะ”

            วินเงียบสนิท

            “แกใช้เวลาไป 7 ปีตั้งแต่เรียนมหาลัยมาจนตอนนี้ แกทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างที่ลูกชายโสภณนภา ควรจะทำบ้าง มีอะไรบ้าง” วรพัฒน์พูด “ฉันนั่งดูแกขับรถตะลอนไปทั่วกรุงเทพ สร้างปัญหาไปวันๆ กว่าจะเรียนจบ ฉันทนกับแกมาทุกอย่าง แม้แต่กับเรื่องของแม่แก ฉันก็......”

            “เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับผม” วินลุกขึ้นยืนทันที ไกด์ฟังเหตุการณ์ตรงหน้าพลางสงสัยอะไรบางอย่าง “มันไม่ใช่ความผิดของผม”

            “แต่แกก็เป็นคนทำ” วรพัฒน์แผดเสียง วินเงียบเสียงลงในที่สุด วรพัฒน์หายใจเข้าไม่เป็นจังหวะพลางมองหน้าลูกชาย “รู้มั้ย ทำไมไลโอเนลล์มันถึงยอมทำทุกๆอย่างแทนฉัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ง่ายมากในการทำให้คนเชื่อ แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มหัวว่าตัวเองโดนหลอกใช้ เพราะฉันเล่าเรื่องแม่แกให้มันฟังไงล่ะ ฉันเล่าเรื่องของฉันให้มันฟัง เจ้าเด็กเยอรมันที่ไม่มีแม้แต่บ้าน ยินดีทำอะไรก็ได้ เพราะมันเห็นใจฉัน มันรู้ว่าฉันทำทุกๆอย่างไปเพราะอะไร”

            วินเงียบสนิท พลางหลบตาพ่อของเค้า ไกด์เดินเข้ามาหาวินทันที

            “วิน....” ไกด์เรียกชื่อของเขาเบาๆ

            “แม่หนูสเตลล่าบอกฉันว่า ลูกชายตัวดีของฉันเป็นคนเข้าไปเยียวยาอดีตของแกเมื่อต้นปีใช่มั้ย” วรพัฒน์ว่า “บาดแผลครอบครัวใช่หรือเปล่า แล้วมันเคยเล่าให้แกฟังหรือเปล่า ว่ามันต้องมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร มันเล่าหรือเปล่า”

            วินยืนตัวแข็งทื่อ

            “งั้นฉันจะเล่าให้ฟัง” วรพัฒน์พูด

 

            ……..“แกไม่มีฝีมือเท่าคนอื่นๆงั้นใช่มั้ย ได้.....ฉันให้แกไปเรียนต่อดีไซน์ที่เมืองนอก และแกต้องไป เพราะฉันจะไม่ให้เงินแกใช้อีกแล้ว และแกก็อย่าหวัง ว่าจะหางานทำได้ที่สตูดิโอในกรุงเทพ ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกนั้นรับแกเข้าทำงาน นอกจากแกจะทำให้กับคอสโมเท่านั้น.......สิ้นปีเมื่อไหร่ แกขึ้นเครื่องไปปารีสซะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง"

            “อะไรกันอ่ะพ่อ พ่อไม่มีสิทธิมาบังคับผมแบบนี้นะ"

            “ก็ลองดูกันมั้ยล่ะเจ้าวิน

            “พ่อ!! “

            “ฉันจะให้แกไปเจอชีวิตลำบากๆ อันน่าเห็นใจ แบบที่แกสงสารพวกดีไซน์เนอร์พวกนั้นนัก ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าแกก็ไม่มีเงินติดตัวเหมือนดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ เงินมันยังจะซื้อแกได้อยู่ไหม แกยังจะคิดแทนพวกเค้าอยู่ไหม"

            “ได้....งั้นเราจะได้เห็นกันพ่อ งั้นผมจะไปเรียนให้พ่อ ผมจะไป ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย"

            “วิน.....ไอ้วิน.....วิน!!!

            วินเดินออกจากห้องนอนไปโดยไม่รีรอ ไปจนถึงบันไดของบ้าน

            “วิน นั่นลูกจะไปไหนอ่ะ”

            “ไปให้พ้นจากที่นี่ อย่างที่เค้าต้องการไงแม่”

            “ไม่นะ คุณ คุณจะปล่อย.....วิน วินเดี๋ยวก่อน วิน”

            “แม่ปล่อยผม ปล่อยผมสิแม่”

            “ถ้าอวดดีนัก ก็ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไปเลย ไปซะเลย”

            “ไปแน่ แม่ ผม...บอก....ให้....ปล่อย..........ปล่อยสิแม่!!!!!!!!

            แรงเหวี่ยงของวินผลักให้ร่างร่างหนึ่งพลัดตกจากบันไดขั้นบนสุด ร่างๆนั้นร่วงหล่นไปทีละขั้น ทีละขั้น จนกระทั่งศรีษะของเธอกระแทกกับมุมโต๊ะที่อยู่ด้านล่าง จนเธอแน่นิ่งไป

            “แม่!!!!!!!!!!!”

            .......

           

            “เมียฉันไม่เคยกลับมาอีกเลย” สิ้นเสียงวรพัฒน์ วินทรุดนั่งลงกับพื้น “สมองได้รับการกระทบกระเทือน กระดูกสันหลังถูกกระแทกและเป็นอัมพาต”

            วินหลับตาลง น้ำตาของเขาไหลออกมาเบาๆ

            “สิ่งสุดท้ายที่มันทำ ก็คือหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะขึ้นเครื่อง มันเคยสำนึกในสิ่งที่มันทำไปบ้างหรือเป....”

            “พ่อคิดว่าผมไม่เสียใจเหรอ” วินพูด “พ่อคิดว่าตัวเองเสียใจเป็นคนเดียวรึไง!!!”

            เป็นวรพัฒน์บ้าง ที่เงียบสนิทหลังจากถูกว่ากลับ

            “ผมหัวเสียก่อนขึ้นเครื่อง พ่อคิดว่าผมไม่ยอมรับผิดเรื่องแม่งั้นเหรอ แล้วพ่อล่ะเคยโทษตัวเองบ้างหรือเปล่า” วินร้องขึ้นทันที “ทำไมถึงต้องเป็นผมที่ผิดอยู่คนเดียว ในเมื่อถ้าเราสองคนไม่ทะเลาะกัน แม่ก็คงไม่เป็นแบบนี้”

            วรพัฒน์มองหน้าลูกชาย

            “ก็เพราะแกมันไม่เคยฟังฉัน...”

            “พ่อก็ไม่เคยฟังผมเหมือนกัน” วินว่า “ผมเดินตามสิ่งที่พ่ออยากให้ทำมาทุกอย่างแล้วอ่ะ ผมขอทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำบ้างไม่ได้รึไง ผมแค่อยากจะขอสนุกกับชีวิตบ้างไม่ได้รึไง ทำไมผมต้องเป็นลูกชายโสภณนภาอยู่ตลอดเวลาด้วย ผมอยากได้ชีวิตของผมบ้าง”

            “แกก็เลยมาขอเอาชีวิตแกคืนที่นี่ บนเส้นทางของฉันน่ะเหรอเหอะ” วรพัฒน์ว่า “ฉันกับแม่แก ทำทุกๆอย่างกว่าเราจะมีวันนี้ แล้วแกจะมาพังทุกอย่างไปง่ายๆแบบนี้ ฉันไม่ยอมหรอก”

            “ผมไม่ได้พังอะไรเลยนะ” วินร้อง “ผมทำให้พ่อหมดทุกอย่าง ผมเรียนให้พ่อ ผมทำงานให้พ่อ และถ้าพ่อดูให้ดี ผมเข้าซูเม่ให้พ่อไปแล้วด้วย พ่อต่างหากที่ไม่เคยมองว่าผมทำอะไรไปบ้าง พ่อเห็นแต่แม่เวลาที่พ่อมองผม ทุกครั้ง สายตาพ่อมันฟ้อง ว่าผมเป็นคนผิด”

            วรพัฒน์เงียบสนิท

            “ใช่.....มันยากสำหรับผมแล้ว เพราะตอนนี้ผมไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง จนอายุป่านนี้แล้ว ก็เพราะผมอยากทำในแบบของผมไง” วินว่า “แม่ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ผมเลยยอมมาที่นี่ เพราะผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนที่ต้องแบกความผิดอยู่ที่กรุงเทพ ผมอยากเป็นคนใหม่แล้ว”

            วรพัฒน์หลับตา พลางมองหน้าลูกชาย

            “ไหนตอนแรกพ่อบอกว่า แค่อยากให้ผมใช้ชีวิตไง แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ก่อนเรื่องโปรเจ็ค ก่อนเรื่องการโอนย้าย ก่อนเรื่องทั้งหมดที่ซูเม่ ทำไมถึงต้องเป็นผมที่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยล่ะ” วินว่า “ทำไมพ่อไม่ปล่อยผมไปซักที”

            “ก็เพราะแกเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่ไง” วรพัฒน์แผดเสียงทันที “ทุกครั้งที่ฉันมองตาแม่แก ฉันรับรู้แล้วว่าฉันไม่มีวันได้เค้ากลับมา เพราะงั้นฉันเลยเลือกจะมาหาแกไง เพราะแกเป็นคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่”

            วินยืนนิ่งสนิท

            “ไลโอเนลล์มันเข้าใจชั้น!!!!” วรพัฒน์ร้องเสียงดัง “มันรู้ว่าคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมันเป็นยังไง มันเลยช่วยฉัน แล้วแกล่ะ แกหายไปไหน แกมัวไปทำอะไรอยู่ห๊ะ”

            วรพัฒน์หลับตาลงทันที

            “ฉันแค่ต้องการให้สิ่งที่ฉันรักที่ยังเหลืออยู่มันเหมือนเดิม ทั้งบริษัท ทั้งแก” วรพัฒน์พูดเสียงสั่นเครือ “ตอบฉันสิ ถ้าฉันจะทำผิด ฉันทำผิดต่อใคร ผิดต่อชีวิตของแก ความฝันของแก หรือผิดต่อแม่แก”

            วินเม้มปากเบาๆ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง

            “เอาล่ะ” วรพัฒน์ลูบหน้าของตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะตั้งสติ “ชาชืดหมดละ แกไม่จิบซักหน่อยล่ะ”

            วินกระพริบตาที่ระเรื่อไปด้วยคราบน้ำตา

 

            นี่คือความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด เรื่องนี้ไม่มีใครเป็นตัวร้าย และเขาเองก็รู้มันมาตั้งแต่แรกแล้ว เขารู้จักพ่อของเขาดีกว่าใครที่สุด เพราะอย่างนั้นเขาถึงหนีมา และนี่คือเหตุผลที่เขาตอบไกด์ไม่ได้ในตอนแรก

            .....เขามาทำอะไรที่นี่ เขามาปารีสทำไม....

            เขาหนีมา ใช่แล้ว แต่เขาไม่ได้หนีพ่อของเขา เขาหนีตัวเขาเอง

            และทุกๆคนหนีความจริงไปไม่ได้

            เขาไม่อยากเจอพ่อ ไม่อยากคุย ไม่อยากฟัง โดยเฉพาะความคิดเชิงเม็ดเงินงี่เง่าพวกนั้น ที่ดูถูกคนในสายงานดีไซน์ ความขัดแย้งของสองวงการที่เขาอยากจะหนีมันไปให้ไกล และนั่นคือเหตุผล เหตุผลที่ทำให้เขาอยากลืมทุกๆอย่าง แล้วฝากตัวเองไว้กับไกด์ คนที่อยู่ข้างนอกเรื่องทุกเรื่อง คนแปลกหน้าที่เขาไม่ควรแม้แต่จะไว้ใจ

            ทุกครั้งที่มีเงาของไลโอเนลล์ตามตัวของเขา นั่นมันทำให้เขารู้สึกถึงตาของพ่อ สายตาที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดในอดีต เขาอ้าแขนรับอดีตของไกด์ได้ แต่กับอดีตของตัวเอง เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึง เพราะความจริงที่ยิ่งกว่าคือ...

            พ่อคือครอบครัวคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ ความว่างเปล่าในดวงตาของแม่ที่นอนตาเบิกโพลงบนเตียงผู้ป่วย บอกเขาแล้วว่าเธอไม่มีทางกลับมา เขาทิ้งทุกอย่างมาง่ายดาย ทิ้งให้ผู้ชายที่หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง กราดเกรี้ยว โมโหร้ายอยู่เพียงลำพัง

            ชายคนที่ส่งคนที่เหมือนตัวเอง ติดตามเฝ้าดูลูกชายของตัวเอง

            ชายคนที่เผาทำลายความหวังของคนอื่น เพียงเพราะตัวเองไม่เหลือความหวังอะไรแล้ว

            ชายคนที่อยากให้ลูกชายได้สิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะต้องกลายเป็นตัวร้าย

            ชายคนที่เรียกว่าพ่อ....

            เขาเข้าใจแล้ว.....

 

            “พ่อ........” วินเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆเก้าอี้ของพ่อเค้า “ผม....ผม....ผมขอโทษ”

            วินก้มลงกราบพ่อของเค้าทันที วรพัฒน์ดึงตัวลูกชายมาโอบไว้เบาๆ ก่อนจะร่ำไห้อย่างคนเสียสติ

            “แกมัน...ไอ้ตัวแสบ” วรพัฒน์พูดเสียงสั่น “แกรู้มั้ยว่าฉันต้องทำอะไรไปบ้าง เพื่อให้แกรู้ว่าฉันต้องการอะไร ไอ้วิน ไอ้ลูกหมาเอ๊ยยยยย”

            “ผมขอโทษพ่อ...ผมขอโทษ” วินร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของพ่ออยู่อย่างนั้น

            วรพัฒน์มองไกด์ผ่านหลังของวิน  ก่อนจะผละตัววินออก

            “คุณน่าจะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ไกด์ว่า “มีอะไรหลายอย่างที่มันพังไปเพราะสิ่งที่คุณทำ ผมว่า...”

            “นายไม่ต้องมาสอนฉันหรอก” วรพัฒน์พูดเสียงขรึม ก่อนจะมองหน้าลูกชาย ที่พยายามหลบสายตา “เจ้าวิน ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ไม่อยากให้แกต้องลำบาก ถ้าแกทิ้งซูเม่ นั่นเท่ากับแกจะต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากมาก และฉันไม่มีวันยอม”

            วินมองหน้าพ่อของเค้า พลางขมวดคิ้ว ก่อนจะหันหลับไปมองไกด์ที่ก้มหน้าลง

            “ถ้าแกคิดว่างานดีไซน์บ้าบออะไรนั่น คือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินของฉัน พิสูจน์ให้ฉันเห็น แล้วฉันจะปล่อยเงินลงโปรเจ็คของแกกับเจ้าเอิร์ธทันทีก่อนแฟชั่นวีคจะเริ่ม” วรพัฒน์กล่าว “แล้วฉันจะแสดงความรับผิดชอบอย่างที่แกต้องการ”

            “หมายความว่ายังไงพ่อ” วินถาม

            “หมายความว่า ฉันไม่ยอมให้แกออกจากซูเม่ไปไหนทั้งนั้น” วรพัฒน์พูดพลางมองไปที่ไกด์ “ฉันพูดชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้น การประชุมปันงบวันพรุ่งนี้ ที่ห้องประชุของซูเม่ ฉันจะต้องเห็นผลที่ฉันพอใจ”

            “พ่อ....ผมนึกว่าเราพูดกันเข้าใจแล้วนะ” วินว่า

            “แต่ฉันเป็นพ่อแก ฉันต้องการให้ลูกชายของฉันได้สิ่งที่ดีที่สุด” วรพัฒน์มองไกด์ด้วยสายตาแข็งกร้าว “อะไรก็ตาม ที่เป็นแค่ความเพ้อฝันลมๆแล้งๆ เดาเอา วาดเอา ฉันไม่เอาด้วย ฉันต้องการหลักประกัน”

            “พ่อ....”

            “แกสองคนออกไปจากห้องฉันได้ละ” วรพัฒน์พูด พลางหยิบชาขึ้นมาจิบ “ฉัน...ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีก”

            “พ่อ....”

            “ฉันบอกให้ออกไป” วรพัฒน์ว่า “พรุ่งนี้สิบโมงค่อยว่ากันที่ซูเม่”

            “พ่อ....ผม...พ่อ”

            ไกด์ลากตัววินออกมาจากห้องของโรงแรมได้สำเร็จ ไกด์มองหน้าวรพัฒน์ที่จ้องเขาด้วยความหมายมากมาย ก่อนประตูจะปิดลง วินทรุดตัวลงอยู่ตรงนั้น ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกทิ้งไว้อีกครั้งด้านหลังประตู ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่น เหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มันเป็นวันที่ดูขุ่นมัว ซึ่งก็เป็นปกติของปารีส สำหรับเขาแล้ว เขารู้จักเมืองนี้ดีพอพอกับหลังมือของตัวเอง อะไรก็ตามที่เขาอยากให้มันเป็น ไม่มีทางผิดไปจากสิ่งที่เขาคิด และมันก็จะเป็นอย่างนั้น ในตอนจบ......

            มันจะเป็นอย่างนั้น.....

.............

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
โอ๊ย กำลังเข้มข้นสุดๆ
มาต่อไวไวนะคะ
เรารออยู่จ้า

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
คิดถึงไกด์กับวินแล้วววว

ออฟไลน์ MeganMP

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
คิดถึงคู่นี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


คนแต่งหายไป  :hao5: :hao5: :hao5:


กลับมา กลับมา กลับมา มีคนรออยู่นะ


เนื้อเรื่องกำลังสนุกอ่ะ  :z3: :z3: :z3: :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 48 Resistant

   ฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง เช้าวันนี้อากาศไม่สดใสเอาเสียเลย เจนยืนมองหน้าต่างจากห้องประชุมของคณะกรรมการและหุ้นส่วนของซูเม่อินเตอร์เนชั่นอล สาขาปารีส เธอมองออกไปนอกหน้าต่างไปยังเบื้องล่าง ถนนของปารีสที่ทอดไปท่ามกลางความขุ่นมัวของสภาพอากาศ มันเป็นแบบนี้มาเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนเลย เธอเคยคิดว่าปารีส คือเมืองที่สวยงาม เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอมตะ ดีไซน์ แฟชั่น แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เธอเรียนรู้ได้หลังจากนั้นไม่นานว่าเมืองนี้เย็นชา มันโหดร้ายและทารุณอย่างแสนสาหัส กับการพยายามอยู่รอดที่นี่ คำพูดของเจ๊ใหญ่แห่งร้านเกล็ดหิมะทำให้เธอนึกถึงตอนที่เธอเข้าใจปารีสตอนนั้น เข้าใจเมืองนี้ เข้าใจชีวิต เธอทิ้งทุกๆอย่างที่ไทยมาที่นี่ เธอดิ้นรนที่นี่ เธอล้มเหลวที่นี่ เธอเลิกกับคนรักที่นี่ และใช่ เธอประสบความสำเร็จที่นี่เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้เธอเข้มแข็งขึ้น บางที เข้มแข็งเกินไปด้วยซ้ำ
   เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อม กายเดินเข้ามาพร้อมกับนัท ห้องประชุมที่ว่างเปล่า เก้าอี้และโต๊ะประชุมที่ทอดยาว กายมองความว่างเปล่าที่มีเพียงแก้วกาแฟวางเตรียมเอาไว้อย่างไม่สบายใจนัก นัทยิ้มให้กายก่อนจะนั่งลงประจำที่ที่เก้าอี้ตัวนึง กายวางกระเป๋าลงก่อนจะเดินไปหาเจนที่มุมห้อง ที่ที่เธอยืนมองหน้าต่างบานนั้นอยู่
   “เห้....” เสียงของคนรักเก่าปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากภวังค์
   เจนหันไปมองกายก่อนจะยิ้มให้เบาๆ พลางมองออกไปตามเดิม
   “เจนร้ายกาจมาก” เจนพูดขึ้นในที่สุด พลางส่ายหน้า “เจนจำได้นะ กายเคยพูดว่ากายจะตามล่าเจนจนพลิกแผ่นดิน ไม่ว่าเจนจะไปอยู่ไหน เพราะเรื่องของคุณนัท”
   กายยังคงเงียบสนิท
   “เจนเคยคิดว่า เจนจะแคร์ทำไม เจนจะมาปารีส แล้วทุกอย่างจะเหมือนกับ ปูพรมรอเจนอยู่ที่นี่ กายต่างหากที่เลือกใช้ชีวิตอยู่กับคนรัก เลือกชีวิตที่เดินช้าลง เดินไปพร้อมกับคนที่คุณรัก” เจนว่า “เพราะงั้น คุณไม่มีทางตามเจนมาแน่ เจนจะเดินนำหน้าทุกคน นำทุกคนไป ทุกๆคน........”
   น้ำตาหยดลงบนใบหน้าของเจนเบาๆ กายจับตัวเธอไว้
   “จนวันนี้เจนมารู้ว่า...... เจนไม่เหลือใครเลย” เจนพูดเสียงสั่น “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ร้านเกล็ดหิมะ เจนไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เจนทำมาตลอด จนสร้างรอยแผลได้ขนาดนั้น เจนกำลังทำร้ายคนที่เจนควรไว้ใจ เจน......”
   “คุณช่วงพวกเค้าแล้ว”  กายพูดขึ้นในที่สุด “คุณได้ช่วยพวกเค้าอย่างเต็มที่ และวันนี้ เราจะมาดูกัน ว่าสิ่งที่คุณทำ มันจะเป็นยังไง”
   “ถ้ามันพังล่ะคะ” เจนหันมาหากาย “ถ้าทุกอย่างพัง ถ้าสิ่งที่เราวิ่งแก้ปัญหามา มันไม่เป็นไปตามนั้น....”
   “มันจะเป็นไปตามนั้น....” กายว่า “คุณต้องเชื่อในตัวคนอื่นบ้างแล้วล่ะ”
   เจนมองหน้ากายพลางอมยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงประตูก็เปิดออก สุเมธเดินนำเข้ามาพร้อมกับจูเนียร์ดีไซน์เนอร์และเลขาสองคน เขาเอ่ยทักทายนัท และชำเลืองมองกายและเจนอยู่ครู่นึง ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ เจนหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินตรงรี่เข้าไปหาสุเทธทันที
   “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่” เจนกล่าว “หวังว่าเรื่องที่เราคุยกันไว้ พี่จะพิจารณาคำร้องของหนู ของกาย แล้วก็ของนัท”
   “มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เธอได้หาเงินเข้ามาลงทุนตามเปอร์เซนต์นั้นไว้หรือเปล่า” สุเมธพูดเรียบๆก่อนจะก้มลงอ่านแฟ้มตรงหน้า
   “เจนได้....”
   ไม่ทันที่เจนจะได้พูดจบ เสียงประตูเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นคุณวรพัฒน์และผู้ติดตามสองคน ชายหนุ่มนักธุรกิจก้าวเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
   “โทษทีสุเมธ อากาศแย่เอามากๆเลยอ่ะ พพี่ออกจากโรงแรมแทบไม่ได้เลยน้อง” วรพัฒน์กล่าวเสียงเข้ม ขณะที่สุเมธรุดเข้าไปสวัสดีทักทาย
   “ไม่เป็นไรพี่ พอดียังไม่ได้เริ่มอะไรกันเลย ฝนตกก็เลยช้ากันไปหมดเหมือนกันครับ” สุเทธกล่าวพลางเชิญให้วรพัฒน์นั่งลง
   “แล้ววันนี้ อะเจนด้าคืออะไรล่ะ” วรพัฒน์ถามขึ้น พลางมองไปหาเจน กาย และนัท
   “เอ่อ..... เรามีรายงานความคืบหน้าของสองโปรเจ็คค่ะ เรื่องโปรเจ็คแฟชั่นวีคกันยานี้ แล้วก็เรื่องสขยายสาขาที่อังกฤษ เราต้องเคลียร์กันเรื่องสโคปงานทั้งหมด ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับเอ่อ ค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ” เจนพูดโดยพยายามไม่ให้เสียงสั่น ขณะที่นัทเริ่มจดสิ่งที่เธอพูด ขณะที่กายเริ่มกดไอแพดของตัวเองเพื่อเริ่มบันทึก
   “งั้นก็ว่ามาเลย” สุเทธเริ่มกล่าว
   “คือเอ่อ.... มันบางอย่างที่ต้องปรับเปลี่ยนค่ะ” เจนพยายามค่อยๆพูด ขณะที่วรพัฒน์จ้องหน้าเจนอย่างพินิจ
   “เปลี่ยนเหรอ อะไร” วรพัฒน์กล่าวเสียงเข้ม
   “คนคุมโปรเจ็คค่ะ วิน เค้าขอถอนตั......”
   “ผมขอไปขยายสาขาที่อังกฤษครับ” เสียงเอิร์ธเปิดประตูเข้ามาทันที ทุกๆคนในห้องหันไปมองเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว เจนจ้องหน้าเอิร์ธอย่างไม่เชื่อหู เอิร์ธหันไปยิ้มให้เจนครั้งนึง
   “อะไรนะ...... เมื่อกี้นายว่าอะไรนะเอิร์ธ” สุเมธกล่าวทวนคำถามอีกครั้ง
   “ผมจะไปอังกฤษเอง ผมอยากจะขอถอนตัวจากโปรเจ็คแฟชั่นวีค ผมอยากให้พี่เจน เป็นคนรับผิดชอบโปรเจ็คนี้ครับ” เอิร์ธพูดชัดถ้อยชัดคำพลางเดินไปตรงไปหากาย นัท วรพัฒน์และสุเมธ “นี่เป็น Pproposal รายละเอียดโปรเจ็คทั้งหมด รวมถึงค่ามใช้จ่ายที่ผมต้องการ”
   “เดี๋ยวๆ พี่ยังไม่เข้าใจ เราสองคนจะไปอังกฤษ งานนั้นมันเอ่อ...ไม่รู้สิ พี่ยังไม่ชัวร์ว่า เรากับวินจะ....” สุเมธพยายามพูดต่อ
   “ไม่ครับ ไม่เกี่ยวกับวิน ผมเองคนเดียว ผมจะทำโปรเจ็คนี้คนเดียว” เอิร์ธพูดเสียงใส “ผมใช้เวลาศึกษางานของซูเม่มาตั้งแต่ตอนที่ผมฝึกงานและทดลองงานที่ Lovable Studio การขยายสาขาที่นั่น เรายังต้องเริ่มต้นด้วยสตูดิโอที่เล็กก่อน และพร้อมที่จะเป็นซีเนียร์ดีไซน์เนอร์ คอนเซปต์ Coldness Town ที่ผมใช้เมื่อตอนอยู่ Esmod จะถูกใช้เป็นการเปิดตัวของที่โน่นครับ”
   “แล้วทายมีทีมงานหรือเปล่า” สุเมธถาม “ทีมงานพวกนั้นพี่จำเป็นต้องตรวจสอบก่อน พี่ไม่ต้องการพวกมือใหม่หรอกนะ”
   “ผมติดต่อพี่สาเอาไว้แล้ว ผู้ช่วยช่างภาพของพี่ที่เบอร์ลิน เมื่อเธอเสร็จงานเอ็กโปที่โน่น เธอจะบินตามไปได้ทันทีครับ พร้อมกับนายแบบแฟนพี่เค้าด้วย” เอิร์ธพูดเสียงชัดเจน
   เกิดความเงียบขึ้นในห้องประชุมหลังจากที่เอิร์ธพรีเซนต์จบ การรัวหมัดใส่สุเทธและวรพัฒน์ของเอิร์ธเพียงลำพัง ทำให้หลายๆคนจ้องไปที่เค้าเป็นสายตาเดียว เอิร์ธมองไปรอบๆอย่างไม่หวั่นเกรง
   “เจน....นี่คือ เธอ เห็นด้วยหรือว่ายังไง กาย นัท ว่าไง......” สุเทธหันไปมองรอบๆโต๊ะ
   “เอ่อ....เจนว่ามันก็ดีนะคะพี่ คือ..... เจนเชี่ยวงานแฟชั่นวีคที่นี่มาก่อนแล้ว เจนมีคอนเนคชั่นที่ดี การเปิดตัวเราในแฟชั่นวีคที่นี่ เจนว่า เป็นเจนจะดีกว่าค่ะ” เจนพูดต่อคำ
   “กายว่าไง...” สุเมธหันไปมองกาย ที่นักไหล่เบาๆ
   “ผมยังไงก็ได้พี่ ถ้าน้องมันไปได้ ผมก็โอเค ถ้าพี่กังวล เดี๋ยวผมตามไปตรวจงาน หลังจากเราเสร็จเรื่องแกลที่เมืองไทยก็ได้ครับ” กายยิ้ม
   “ผมยังไงก็ได้เหมือนกันพี่เมธ” นัทต่อคำกาย
   “งั้นก็คงไม่มีปัญหาในประเด็น....”
   “แต่ผมมี.....” วรพัฒน์พูดเสียงเยียบเย็น พลางหันไปที่เอิร์ธทันที เจนหันไปมองเอิร์ธด้วยความกังวล ขณะที่เอิร์ธมองหน้าวรพัฒน์อย่างไม่หวั่นเกรง
   “แกไปคนเดียว กับทีมงานที่โตกว่า แล้ว.....แกต่อกับพวกเค้าติดเหรอ แกน่าจะลองคิดทบทวนดูใหม่มั้ยเจ้าเอิร์ธ” วรพัฒน์เริ่มพูด “วินเค้า ไม่อยากไปหรือว่ายังไง แกถึงไม่เอามันไปด้วย”
   “คือเอ่อ......” เอิร์ธไม่รู้จะตอบยังไงดี เขาหันไปมองเจนที่มองหน้าเขาอย่างตื่นๆ “คือมัน......”
   “ลุงคงไม่อาจจะเชื่อมั่นได้ว่า ถ้าการทำงานไม่คลิ๊กกันแล้ว จะฝากอนาคตสาขาใหม่ไว้กับแกคนเดียวมันก็ออกจะเสี่ยง ลุงคงไม่อยากจะลงทุนไปกับ......เอ่อ มือใหม่น่ะเอิร์ธ เข้าใจลุงนะ” วรพัฒน์เอ่ยต่อ “แล้วสุเมธ ก็คงหมุนไม่พอ ที่จะสนับสนุนสาขาใหม่ ไปพร้อมๆกับแฟชั่นวีค แล้วก็การตลาดที่นี่ ได้ข่าวว่ากำลงจะเปิดแกลอรี่ที่ไทยด้วย มันก็แล้วใหญ่”
   “แต่ทุกๆคนในที่นี้เห็นด้วยไม่ใช่เหรอฮะ” เอิร์ธว่า
   “แต่ลุงเป็นคนลงทุนเอิร์ธ โปรเจ็คทั้งสองตัวที่เราคุยกันวันนี้ ที่ดูเหมือนมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายกันโดยไม่บอกกันก่อนด้วย มันก็ยากที่ลุงจะยอมรับได้ง่ายๆอ่ะ เข้าใจกันนะ” วรพัฒน์พูดต่อ ในขณะที่เจนกำลังคิดว่านี่เป็นการรุกร้ำการตัดสินใจของพี่สุเมธอย่างดุดัน ทุกๆคนในโต๊ะกำลังอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าวรพัฒน์ไม่เห็นด้วยซะแล้ว การหมุนเงินไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าทุกๆคนกำลังพยายามช่วยเอาวินออกจากเกมส์ ก็ดูเหมือนเป็นการปาดคอตัวเอง
   “พี่ก็คงต้องขออนุญาติไม่เห็นด้วยนะเมธ ไม่เคืองนะ พวกเรา ผมไม่อาจหมุนเงินไปให้เอิร์ธได้จริงๆ” วรพัฒน์หันไปหาเอิร์ธ “ขอโทษนะเอิร์ธ รอโปรเจ็คหน้าละกันนะ”
   “ทำไมลุงไม่พูดออกมาเลยอ่ะ ว่าอยากให้ลูกชายเป็นหัวหน้าโปรเจ็คซักตัว” เอิร์ธพูดขึ้น เจนหลับตาลงเบาๆ คิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าเอิร์ธต้องระเบิดก่อนแน่นอน
   “แกว่าอะไรนะ” วรพัฒน์ทวนคำ
   “ลุงไม่ละอายใจบ้างเหรอ เอาเงินมาค้ำคอเพื่อดันลูกตัวเองเนี่ย ลูงทำได้ไงอ่ะ” เอิร์ธว่า วรพัฒน์หันไปมองสุเมธพลางเลิกตากว้าง
   “เอ่อ..... เอิร์ธ นายไม่ควรพูดอย่างนั้นกับคุณ.....”
   “แต่เอิร์ธพูดถูกค่ะพี่เมธ” เจนขัดขึ้นทันที ก่อนจะมองไปหาพี่สุเมธทันที วรพัฒน์หันมามองหน้าเจน “เอิร์ธเค้ามีประสบการณ์ที่แน่นพอ เค้าทำงานหนักมาก่อนที่จะเรียนจบที่ไทย เค้ามีคอนเนคชั่นที่ดีกับคนในวงการ เข้าเป็นคนในวงการเรา เจนไม่คิดว่าจะมีคนอื่น เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”
   “นี่กำลังจะพูดว่า ลูกชายฉัน ไม่เหมาะกับที่นี่งั้นเหรอ” วรพัฒน์พูดขึ้น
   “คุณลุง เราต่างรู้กันดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น วิน อย่างน้อยลุงจะเคารพการตัดสินใจของมัน” เอิร์ธว่า  “วินมันจะถอนตัว มันจะไป.....”
    “จะไม่มีใครถอนตัวทั้งนั้นเอิร์ธ” วินเปิดประตูห้องเข้ามาทันที วรพัฒน์ยิ้มกริ่มอย่างมีชัย เอิร์ธมองหน้าวินทันที
   “ไอ้วิน มึง....เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ” เอิร์ธถลาเข้ามาหาวิน วินจับเข้าที่ไหล่ของเพื่อนพลางยิ้มให้
   “ขอบใจมึงมากนะเว่ย กับสิ่งที่มึงทำ แต่กูจะไม่ถอนตัว” วินพูดเสียงเข้ม พลางหันไปมองพ่อ และคนอื่นๆในห้อง เจนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด “ถูกแล้วครับ เอิร์ธมันอาจจะด่วนสรุปไปหน่อย แต่ผมจะไม่ถอนตัวจากโปรเจ็คไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่เอง”
   “แต่เห้ย.......แล้วความฝันมึงอ่ะ ไอ้ไกด์อ่ะ” เอิร์ธปรี่เข้ามากระซิบที่ข้างหูวินเบาๆ วินสายหน้า พลางยิ้มให้เอิร์ธ
   “ไม่เป็นไรเว่ย ไม่เป็นไร” วินว่า
   “อื้อ......งั้นก็ค่อยยังชั่ว” วรพัฒน์หันไปมองเจนและเอิร์ธ “แบบนี้ ผมค่อยกล้าเสี่ยงลงทุนหน่อย ก็พอที่จะเป็นไปได้ว่พี่จะอนุมัติโครงการนี้แล้วล่ะเมธ ถ้าเกิดว่าเจ้าวินมัน...”
   “เดี๋ยวนะพ่อ.....” วินว่าพลางหันไปหา “พ่อจะลงทุนอะไรเหรอครับ”
   “ก็ลงในโปรเจ็คที่แกทำอยู่ไง ขยายสาขาที่อังกฤษ” วรพัฒน์ว่า “เอิร์ธมันอยากให้ฉันพูดตรงๆ ฉันก็จะพูดตรงๆ ฉันจะสนับสนุนที่นี่ต่อไป ตราบใดก็ตามที่แกยังอยู่ที่นี่และเป็นหัวหน้าโปรเจ็คซักตัวที่นี่ แล้วสุเมธเองก็คงจะยินดีตามข้อเสนอนี้ของฉันอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกๆคนที่นี่ในซุเม่ต้องการฉัน และฉันก็ต้องการให้แกอยู่ วินนี่เป็นอนาคตที่ฉันอยากจะปูเอาไว้ให้แก แกจะได้สบาย ไม่ต้องลำบากอีก ใช่แล้ว แกคิดถูกแล้วที่ทำตามที่ฉันบอก”
   ทุกอย่างในห้องเงียบสงบ วินมองหน้าพ่อของเค้า ขณะที่เอิร์ธมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา อะไรกัน นี่เขาลงสู้จนหมดตัวแล้ว แต่ทำไมไม่มีใครลุกขึ้นสู้ไปกับเขาเลยล่ะ ไหนบอกว่าะทำเพื่อวินกันไง นี่มันเกิดอะไรขึ้น
   สิ่งที่อยู่ในหัวเอิร์ธตอนนี้เต็มไปด้วยไฟที่พร้อมจะระเบิดเขากัดฟันกรอดขณะที่ต้องเก็บอาการเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียมารยาท เขาโปรธทุกๆคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ ทำไมทุกคนถึงพาทุกอย่างมาจบลงตรงนี้ได้ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรก แล้ว..... แล้วเขาจะต่อสู้มาทำไม
   ต่อสู้ไปเพื่อเพื่อนรักไปทำไม....
   “เอาล่ะ หัวข้อต่อไปอะไรล่ะหึ” วรพัฒน์กล่าว “แล้วผมต้องเซ็นอะไรบ้าง”
   เจนมองพี่สุเมธแว้บนึง ก่อนจะหันไปมองวรพัฒน์
“งั้นก็ได้ค่ะ ตกลงตามนั้น” เจนว่า พลางลุกขึ้นหยิบแฟ้มเดินตรงไปหาวรพัฒน์
“เดี๋ยวๆ อะไรกันอ่ะ พี่เจน ไม่นะพี่ ไหนว่า.......” เอิร์ธพยายามจะพูดบางอย่าง แต่เจนหันมาส่ายหน้าให้เค้า ก่อนจะวางแฟ้มลงและยื่นปากกาให้กับวรพัฒน์ทันที
วรพัฒน์ยิ้มกริ่มอย่างมีชัยก่อนจะหยิบปากกาแล้วเริ่มอ่าน.....
“นี่มันอะไรกัน” วรพัฒน์แผดเสียง ก่อนจะหันไปมองเจนและสุเมธ รวมถึงคนรอบๆโต๊ะ เจนถอยกรูออกมา ขณะเดียวกับที่กายลุกขึ้น
“ผมแนะนำให้คุณเซ็นซะ แล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลงที่นี่” กายพูดเสียงชัดเจน วรพัฒน์หันไปมองหน้ากายเขม็ง “เงินลงทุนของคุณ ดูเหมือนจะไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่ว่าวินจะถอนตัวหรือไม่ การตัดสินใจเรื่องหมุนเวียนเงินลงทุน ไม่จำเป็นต้องพึ่งคุณอีกต่อไปแล้ว”
วรพัฒน์จ้องหน้ากาย ก่อนจะหันไปหาสุเมธ
“มันหมายความว่ายังไงสุเมธ” วรพัฒน์แผดเสียง
“ผมเคยชื่นชมพี่มาตลอดนะ แต่พี่ไม่ได้ทำตามที่พี่เคยพูดอ่ะ พี่ไม่ได้เห็นแก่งานศิลปะ หรือเห็นแก่เรา พี่ทำเพื่อตัวเองอ่ะ พี่คิดว่าพี่จะบีบเราด้วยเงินลงทุนได้งั้นเหรอ” สุเมธกล่าว
“แต่ถ้าฉันไม่ลง แล้วแกจะมีปัญญาไปหาเงินมาจากไหน แบรนด์หน้าใหม่อย่างนี้ จะไปหาผู้ลงทุนในปารีสได้จากไหนหะ” วรพัฒน์กล่าว
“เราหาได้แน่ค่ะ และเราก็หาแล้ว” เจนจิรากล่าว
“อ้อ.....” วรพัฒน์หันไปหาเจนที่ยืนอยู่ข้างๆ “เธอคิดว่าเธอชนะแล้วสินะ เจนจิรา..... เธอนึกว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าเธอติดต่อใคร ไม่รู้เหรอว่าลูกชายตัวดีของฉันกับเพื่อนมัน ไปติดต่อใครมาลงทุนให้แก ไม่ ไม่ ไม่ใช่ มันไม่ง่ายอย่างนั้น”
เจนหันไปมองหน้าคุณวรพัฒน์อย่างตื่นตระหนก
“จีโอ ชื่อนักลงทุนเยอรมัน นักลงทุนที่กล้าจะมาแหยมกับฉัน ที่มาก่อน เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรู้อะไรบ้าง” วรพัฒน์ว่า “เธอไม่สามารถให้มันมาลงทุนแทนฉันได้ มันเป็นชาวต่างชาติ มันไม่สามรถถือหุ้นเกิน 30% ในบริษัทที่ตั้งในฝรั่งเศส ใช่ ฉันจับตัวมันมา เพื่อจะให้ฝ่ายกฎหมายทำประวัติมัน มันเป็นเงื่อนไข ที่เด็กอมมือบางคนไม่รู้”
เจนหายใจเข้าถี่ ก่อนจะมองไปยังเอิร์ธและสุเมธ
“ทำกันแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้” วรพัฒน์เดินไปยังสุเมธ “งั้นพี่จะทำให้มันง่ายขึ้นนะ จะเป็นยังไงถ้าพี่จะขอให้วิน เป็นรองประธานบริษัท แลกกับการไม่ถอนเงินออกจากโปรเจ็คของซูเม่ก่อนจะถึงแฟชั่นวีค”
ทุกๆคนมองไปที่สุเมธเป็นสายตาเดียว
“ง่ายขึ้นมั้ย” วรพัฒน์ว่า “น่าจะง่ายขึ้นนะ ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันที่เราประชุมกันเรื่อง อะไรนะ.... ปรับโครงสร้างหุ้นส่วนไม่ใช่เหรอ ก็ปรับมันซะตรงนี้เลย เพราะฉันจะได้เซ็นเอกสารตัวใหม่ ที่หนูเจนจิรา น่าจะไปพิมพ์มาใหม่ให้ฉันได้แล้ว”
“เอกสารเหล่านั้นถูกต้องแล้ว” เสียงอันเยียบเย็นดังขึ้นทันที ทุกๆคนหันไปมองไกด์ ที่ยืนอยู่ประตูสุดทางของห้องประชุม ทุกๆคนเงียบสนิท วินยิ้มกว้างทันที
“ผมยังอยากย้ำคำพูดของคุณกายอีกครั้ง ว่าคุณควรเซ็นซะ แล้วให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ เพราะคนที่จะมาลงทุนแทนคุณทั้งหมด ไม่ใช่จีโอ แต่เป็นผม.......เคลวิน วอลลีแอร์” ไกด์พูดเสียงชัดเจน “ผมเป็นคนฝรั่งเศส ผมถือสัญชาติที่นี่มาหลายปี และยิ่งไปกว่านั้นเป็นผมมีเชื้อคนไทย ผมยินดีที่จะสนับสนุนผลงานศิลปะในแบรนด์คนไทยของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล”
“อะ...อะไรนะ” วรพัฒน์พูดเสียงสั่น “เป็นไปไม่ได้ แกไม่ใช่นักลงทุน แกเป็นแค่ บาริสต้าในร้านกาแฟง่อยๆ”
“ความจริงข้อนั้น เป็นความจริงที่ผมไม่เคยบอกใครทั้งนั้น ความจริงที่ไม่ได้อยู่ในเอกสารในร้านตอนที่ถูกระเบิด ไม่ได้อยู่ในบ้านของจีโอที่คุณส่งไลโอเนลล์ไปค้น ไม่ใช่เค้า แต่เป็นผม ผมต่างหาก คือคนที่จะลงทุนให้วิน” ไกด์พูดชัดเจน
“แกหลอกชั้น” วรพัฒน์หันไปหาวิน วินที่ก้มหน้าลงทันที “แกหลอกชั้น!!! เมื่อวานเราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้”
“เราตกลงกันไว้แบบนี้พ่อ พ่อบอกให้ผมอยู่ที่ซูเม่ เพราะเป็นห่วงผม ผมก็ยังอยู่นี่ไง” วินว่าพลางมองหน้าพ่อ “ผมยังไม่ได้ไปไหน”
“คุณไม่ต้องการความฝันลมๆแล้งๆ คุณไม่ต้องการให้ลูกชายคุณไปอยู่กับอะไรที่ไม่มีหลักประกัน” ไกด์ว่า “แต่ผมนี่แหละ หลักประกัน”
วรพัฒน์ส่ายหน้า
“งั้นก็ลองดูสิ ว่าเงินใครมันจะหนากว่ากัน แกคิดว่าฉันไม่กล้าสู้เหรอ หุ้นไม่กี่แสนยูโรแบบนี้ ฉันจ่ายได้สบายอยู่แล้ส แกต่างหาก จะจ่ายได้เท่าไหร่” วรพัฒน์ขู่กรอด
“จ่ายเรื่องลงทุน คุณน่ะอาจจะจ่ายได้ แต่จ่ายเพื่อประกันตัวเองในศาลอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ” เสียงของจีโอดังขึ้น พร้อมกับร่างของเขาที่เดินเข้ามาในห้องประชุม พลางส่ง USB อันนึงให้ไกด์ “ได้มาแล้ว”
ไกด์รับมันมาจากจีโอทันที
“เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณเป็นคนบงการการระเบิดร้านเกล็ดหิมะ แต่นี่เป็นเทปกล้องวงจรปิดของอาคารที่จีโออยู่ วันที่คุณส่งไลโอเนลล์ไปค้นเอกสารของเค้า” ไกด์พูดต่อ “เหตุผลที่คุณบงการระเบิดเกล็ดหิมะอาจจะไม่เมคเซนส์ แต่การทำอันตรายและบุกค้นเอกสารส่วนตัวของคู่แข่งทางธุรกิจ ผมว่ามันอาจจะฟังขึ้น”
“และผมจะฟ้องเรื่องการลักพาตัวต่อด้วย ถ้าคุณคิดว่ายังไม่หนำใจพอ” จีโอพูดต่อ
“ผมขอพูดป็นครั้งสุดท้าย” ไกด์ว่า “ผมอยากให้คุณเซ็นเอกสารนั่นซะ แล้วทุกอย่างจะจบลงที่ห้องนี้ จบจริงๆ”
   และแล้วก็เข้าสู่ความเงียบ วรพัฒน์มองไปรอบๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขามองไปยังลูกชายของเขาที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
   “แกเลือกคนอื่นมากกว่าครอบครัว แกทำลายแม่แก” วรพัฒน์ว่าเสียงดัง
   “แม่ไม่อยู่แล้วพ่อ” วินหันมาหาวรพัฒน์ “แม่ไม่อยู่แล้วครับ ........... และผมก็อยู่กับโสภณนภาไปตลอดชีวิตไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมรัก จะอยู่กับผมไปตลอดนะพ่อ”
   วินมองพ่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เขาเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารและปากกามาจากโต๊ะประชุม แล้วเดินไปหาพ่อของเขา
   “จบเรื่องนี้ซะนะครับ”

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 49 Backstap

   ล่วงเลยเวลาไปกว่าสี่ชั่วโมง กว่าเหตุการณ์อันวุ่นวายในห้องประชุมจะสงบลง เสียงเอะอ่ะโวยวายดังขึ้นมาเป็นระยะ ระหว่างที่วินและเอิร์ธเดินกลับเข้ามาในสตูดิโอประจำของตัวเอง วินไม่ได้ไปส่งพ่อของเขาอย่างที่ควรจะเป็น หลังจากที่วรพัฒน์ยอมเซ็นเอกสาร ถอนตัวเองออกจากการถือหุ้นทั้งหมดของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล เขาไม่ได้แม้แต่จะสบตาลูกชายของเขาเอง นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น เดินออกจากห้องประชุมไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีการแจ้งจับกุมหรือซัดทอดจากใครจนทำให้วรพัฒน์ไม่สามารถกลับประเทศไทยได้
   เสียงเปิดประตูสตูดิโอ เจนจิราเดินเข้ามาพร้อมกับไกด์และจีโอ เอิร์ธและวินลุกขึ้นมองทั้งสาม
   “คุณพ่อของเธอ จะบินกลับไทยเย็นวันนี้” เจนพูดขึ้น “เค้าฝากมาบอกเธอว่า เขาไม่อยากเห็นหน้าเธออีก เธอไม่ต้องไปส่งเค้า หรือแม้แต่กลับไปที่ไทยอีก”
   วินหลบสายตาช้าๆ เอิร์ธเอื้อมมือมาจับไหล่เพื่อนรักของเขาเอาไว้ทันที
   “มันก็แค่ช่วงนี้แหละ พ่อมึงคงต้องใช้เวลา” เอิร์ธพูดขึ้น “แล้วเรื่องโปรเจ็คทั้งหมดล่ะครับ”
   เจนมองไปหาไกด์ที่ยืนมองหน้าวินอยู่ แค่ลายเซ็นไม่กี่ตัวในหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้ไกด์กลายเป็นผู้ถือแทนที่วรพัฒน์ทั้งหมดแล้ว เขามองหน้าวินอย่างมีความหมาย
   “ผมไม่ได้เก่งเรื่องดีไซน์หรืองานศิลปะขนาดนั้น แต่ผมรู้จักเมืองนี้ดี” ไกด์ว่า “ผมอยู่ปารีสมานาน ผมรู้การตลาด ดีมานต์ซัพลายทั้งหมด ผมน่าจะช่วยคุณได้”
   “ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณตัดสินใจช่วยฉัน” เจนกล่าว
   “เดี๋ยวก่อนนะ ตอนแรกไหนว่าจะเป็นจีโอไงพี่เจน นี่ผมกลายเป็นตัวตลกไปเลยอ่ะ ในห้องนั้นอ่ะ” เอิร์ธโวยวายขึ้นมา “พวกพี่เล่นไรกันไม่เห็นบอกผมก่อนเลย”
   เจนหันมาทำหน้าดุใส่เอิร์ธ
   “ก็เธอไม่อยู่นี่ไอ้ตัวแสบ” เจนว่า “สิ่งที่เธอรู้ ก็คือสิ่งที่วินรู้ และสิ่งที่วินรู้ คิดเหรอว่าพ่อเค้าจะไม่รู้ ถ้าเราจะเอาชนะเค้า เราต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามแผนของเค้า แล้วค่อยตลบหลังเค้าอีกที”
   “งั้นผมก็ต้องไปอังกฤษจริงจริงใช่มั้ย” เอิร์ธว่า
   “ก็เธอพูดเอง” เจนตอบ วินหันไปมองหน้าเพื่อนรักทันที ทั้งสามหัวเราะกันอย่างนั้นโดยไม่ตั้งใจ
   “ขอบคุณทุกๆคนมากนะครับ ผมขอบคุณจริงๆ” วินพูดขึ้น พลางมองไปยังเจน เอิร์ธ และจีโอ
   “กูบอกแล้วไง เดี๋ยวกูทำเพื่อมึงเอง” เอิร์ธยิ้มกว้าง เจนมองภาพตรงหน้าอย่างอิ่มเอมใจ ในที่สุดหน้าที่ดูแลเด็กแสบสองคนนี้ก็มาถึงปลายทางเสียที เอิร์ธและวิน กลายเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมทำงานอย่างจริงจัง กลายเป็นคนฝั่งของเธอ คนเธอจะไว้ใจได้ เป็นอย่างที่กายพูดเอาไว้
   ถึงเวลาที่เธอต้องเปิดใจเสียที.......
   “ถ้าหมดเรื่องแล้ว ฉันต้องขอตัวนะ” จีโอพูดขึ้น ทุกๆคนหันไปมองเขาเป็นสายตาเดียว “ก็ขอบคุณมากๆที่เอ่อ ช่วยเหลือกัน แล้วเอ่อ.... ในเมื่อไม่ได้ให้ฉันช่วยอะไรแล้ว ก็ว่าจะกลับสตาร์เบิร์ก มีอะไรต้องกลับไปสะสางอีกเยอะ โชคดีนะเคลวิน ฉันเอ่อ....ไปก่อนล่ะ”
   เจนหันไปมองจีโอที่มองหน้าเธออย่างมีความหมาย เธอยังคงมองหน้าเขานิ่ง ขณะที่ทุกๆคนกำลังลุ้นให้เธอพูดอะไรบางอย่าง
   “แล้วถ้ามีโอกาส คงได้เจอกันอีกนะครับ คุณเจน” จีโอยิ้มให้เธอครั้งนึง ก่อนจะเปิดประตูออกจากสตูดิโอไป เจนจิราหันกลับมาหาคนอื่นๆ ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจ เหมือนกับว่าเธอทำอะไรพลาดไปบางสิ่ง อาจจะเพราะเธอยังไม่ได้ขอบคุณจีโอเป็นจริงเป็นจรัง หลังจากที่เขากลับมาแล้ว แต่ถ้าเธอก้าวขาเดินตามเขาไป เธอจะยังคงเป็นเจนจิราได้เหมือนเดิมไหมนะ ตัวตนที่เธอมีอยู่ตอนนี้มันจะยังใช้ในครั้งนี้หรือเปล่า
   การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง....
   “โอ่ยยยย ไม่ต้องคิดแล้วพี่” เสียงของเอิร์ธปลุกเจนขึ้นมาจากภวังค์ เจนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ที่กำลังยิ้มกว้างให้เธอ “เราทำอะไรกันมาตั้งมากมายแล้วนะพี่ พี่เป็นแม่มดนะฮะ กะอีแค่เรื่องนี้ มันไม่มีอะไรยากหรอกฮะ”
   เจนมองหน้าเอิร์ธพลางยิ้มกว้าง
   “พี่เอ่อ...มีอะไรต้องไปสะสางเหมือนกัน แล้วไว้คุยกัน เธอทั้งคู่ พรุ่งนี้ สิบโมงที่นี่” เจนพูด พลางรีบรุดเปิดประตูห้อง “แล้วก็....... อย่าบอกกายเรื่องนี้นะเอิร์ธ”
   เอิร์ธเลิกคิ้วให้เจนครั้งหนึ่ง
   “แน่นอนครับ” เจนปิดประตูห้องไปขณะที่เอิร์ธรีบไปกระซิบข้างหูวิน “ไม่บอกก็โง่ดิ”
   วินและเอิร์ธหัวเราะกันอย่างอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางรอยยิ้มของไกด์ที่มองทั้งคู่อยู่ เอิร์ธมองเหตุการณ์ตรงหน้า พร้อมกับรู้ซึ้งอะไรบางอย่าง
   “ฉันก็คง ต้องออกไปด้วยเหมือนกัน” เอิร์ธพูดเช่นกัน “เจอกันข้างล่างละกันมึง”
   เอิร์ธพยักหน้ารับรู้กับวินก่อนจะเปิดประตูออกไปอีกคนนึง เมื่อเสียงประตูปิดลง วินถลาเข้ากอดไกด์ทันที เขาปล่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้ กลิ่นอายที่ได้จากไกด์แบบนี้ โอบคลุมตัวของเขาเอาไว้ วินกอดไกด์แน่นอย่างที่ไม่เคยกอดมาก่อน ตัวของเขาสั่นเทา ไกด์ประคองตัวของวินออกมาจากอ้อมกอด ดวงตาของวินระเรื่อไปด้วยน้ำตาที่วินพยายามฝืนกลั้นเอาไว้
   “ขอบใจนายมากนะไกด์” วินว่า “ขอบใจนะ”
   “ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจนาย” ไกด์ว่า วินทำหน้าสงสัย “ถ้าไม่นาย ฉันคงไม่มีทางกลับมาเป็นตัวเอง เคลวิน”
   วินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปาดน้ำตาตัวเอง
   “แล้วฉันต้องเรียกนายใหม่อีกหรือเปล่า” วินว่า
   ไกด์ประคองตัววินเข้ามาในอ้อมกอด พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของวินอย่างแผ่วเบา
   “เรียกว่าที่รักดิ น่าง่ายกว่านะ” ไกด์พูดจบพร้อมกับดึงตัววินเข้ามากอดอีกครั้ง มันอาจจะเหมือนกับอ้อมกอดก่อนหน้านี้ ที่ไกด์ให้เค้ามาเสมอ แต่วินกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันพิเศษมากกว่านั้น  เพราะนี่เป็นอ้อมกอดแห่งการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงที่เขาพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง
   “ฉันรักนายนะ....ไอ้บาริสต้า” วินพูดทั้งน้ำตา
.................
   เจนจิราวิ่งตามจีโอออกมาถึงชั้นล่างของซูเม่ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าของโถงทางเดิน เธอมองไปรอบๆอย่างหมดหวัง เธอคงมาช้าไป ไม่ใช่สิ เธอเร็วไป เร็วไปจนไม่มีใครวิ่งตามเธอทัน ใจของเจนรู้สึกเบาโหวง มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เมื่อหลายปีก่อน หลังจากเสร็จงานแฟชั่นวีคตอนเธอเรียนจบ เธอกลับออกมาด้านหลังเวที แฟนเก่าของเธอก็หายตัวไปแล้ว วินาทีนั้นเธอรับรู้ได้ว่าเธอได้ทิ้งชีวิตเดิมมาเริ่มต้นใหม่เป็นเจนจิราคนใหม่ มาวันนี้เธอได้ทำให้อีกหลายชีวิตได้เริ่มต้นใหม่แล้ว แต่ภายในใจของเธอยังเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ เธอยังติดค้างอะไรหลายๆอย่างที่อยากบอกจีโอ ความรู้สึกที่เธอมีให้เค้า
   “ไอ้คนบ้า” เจนพูดกับตัวเอง “ทีอย่างนี้ล่ะรีบกลับจังนะ สตาร์เบิร์กมันมีอะไรนักหรือไง”
   “ก็มีหลายอย่างนะคุณ” เสียงของจีโอดังมาจากทางออกของห้องน้ำชั้นหนึ่ง เจนจิราหันไปมองจีโอทันที “มีที่สวยๆเยอะเลย ถ้าคุณจะไป บอกผมได้นะ เดี๋ยวผมนำเที่ยว”
   เจนจิราถอนหายใจ พลางมองหน้าของจีโอโดยไม่พูดอะไรซักคำ จีโอเห็นสภาพเจนจิราอย่างนั้นก็หยุดชะงักด้วยความตกใจ เขามองหน้าเธอกลับ
   “แล้วเอ่อ...... คุณมีอะไรหรือเปล่า.... อย่าบอกนะว่านี่วิ่งตามผมลงมาอ้ะ” จีโอว่า
   เจนจิรายิ้มกริ่มพลางน้ำตาเอ่อคลอ จีโอเห็นสภาพนั้นก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ชายหนุ่มมาดกวนมองหน้าของเธอพลางยิ้มกว้าง
   “เอ่อ...... มีอะไรหรือเปล่าคุณ” จีโอพูดเสียงสั่นๆ
   เจนจิรากระพริบตาถี่ พยายามเปลี่ยนอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะกระแอมหนึ่งครั้ง แล้วเดินเข้าไปหาจีโอ
   “คุณยังติดค้างฉันบางอย่าง” เจนว่า “เพราะงั้น คุณเลยยังกลับไม่ได้น่ะ”
   “ผ...ผมเนี่ยนะ ติดค้างคุณ” จีโอตอบ “เรื่องอะไรอ้ะ”
   “เรื่องที่ดีสนีย์แลนด์” เจนว่า “คุณบอกกับฉันว่า คุณจะทำวันนั้นให้เป็นวันหยุดที่ดีที่สุดของฉัน แต่แล้วมันก็ล้มไม่เป็นท่า”
   “เอ่อ..... ก็แหม..... มันไม่ได้เกิดจากผมซะทีเดียว แล้วอีกอย่างคุณเองก็ไม่ฟังอะไรเลยนี่” จีโอร้อง “แต่ถ้าคุณไม่พอใจ ผมขอโทษก็แล้วกัน”
   “ฉันไม่อยากได้คำขอโทษ” เจนพูด จีโอเงียบสนิท “แต่ฉันอยากได้วันดีดีแบบวันนั้นอีก”
   จีโอยิ้มกริ่มให้เธอ
   “แล้วเอ่อ....จะนัดทุกๆคนไปใหม่เหรอครับ มันจะไม่.....”
   “ฉันไม่ได้อยากไปกับคนอื่น แล้วก็ไม่ได้อยากไปดีสนีย์แลนด์แล้ว” เจนจิราพูด “ฉันอยากไปไหนก็ได้ ไปกับคุณ”
   จีโอยิ้มกว้างทันที เขาเอาชนะใจผู้หญิงคนนี้ได้แล้วในที่สุด ชายหนุ่มมาดกวนเกาจมูกเบาเบา ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแก้เก้อ
   “แล้วจะให้ผมเริ่มจากตรงไหนละครับ” จีโอถามขึ้น
   เจนก้มหน้าลงพลางอมยิ้ม
   “ศุกร์นี้ ฉันว่าง ฉัน.....อยากไปสตาร์เบิร์ก คุณจะเป็นไกด์ให้ฉันได้มั้ยคะ” เจนพูดเสียงชัดเจนพลางยิ้มกว้างให้จีโอ
   “ด้วยความยินดีครับ” จีโอพูด ขณะที่เจนจิราเดินตัดเขากลับไปทางขึ้นตึก ขณะที่จีโอกำลังยิ้มกริ่มกับตัวเองอยู่นั้น เจนจิราก็โผเข้าจูบจีโออย่างไม่ทันตั้งตัวทันที เธอยิ้มกว้างให้กับเขาอีกครั้ง
   “แทนคำของคุณ สำหรับทุกๆอย่างนะ” เจนกล่าว ก่อนจะหายตัวไป ทิ้งให้จีโอยืนเป็นรูปั้นหินอยู่ตรงนั้น
   เจนจิราเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เธอได้คำตอบแล้ว การเริ่มต้นไว้ใจคนอื่น การเริ่มต้นเปิดใจรับคนอื่นเข้ามา มันไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายขนาดนั้น เธอทำมันได้แล้วในที่สุด เจนจิราเปิดประตูห้องทำงานของเธอด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเธอ ชายคนนั้นทำให้เวลาของเธอหยุดหมุน และอุณภูมิลดลงอย่างฮวบห้าบทันทีที่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร
   มิก......
   มิกหันมามองหน้าเจนแว้บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปนั่งตามเดิม เจนพอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่ว่ามิกมาเพราะสาเหตุอะไร เธอเดินกลับไปนั่งที่ที่นั่งเดิมของตัวเองและพยายามไม่ให้ตัวเองในอารมณ์ที่ดีเกินจำเป็น
   “สวัสดี” เจนเอ่ยขึ้นก่อน “ไม่รู้ว่าจะเข้าออฟฟิศ ไม่งั้นก็จะได้เชิญเข้าประชุมเมื่อเช้าด้วย”
   “ไม่ต้องอ่ะ” มิกว่า “ผมไม่อยากเข้า”
   เจนเลิกคิ้วพลางพยายามไม่หงุดหงิดในอารมณ์มาคุที่มิกส่งมาใส่
   “แล้ว มีอะไรกับเจนหรือเปล่า” เจนพูดต่อ
   “เอิร์ธจะไปอังกฤษ” มิกว่า “ตามความเข้าใจของผม งานนี้เป็นหน้าที่ของคุณกับกายไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นเอิร์ธที่ต้องไป”
   “การตัดสินใจนี้พี่เมธอนุมัติไปแล้วเมื่อเช้า” เจนพูดต่อ “โปรเจ็คสองตัวของบริษัท มันมีผลกระทบกับหลายๆคน การจะปรับเปลี่ยนโยกย้าย ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้.....”
   “ไม่ต้องมาวิชาการใส่กันเจน เอาภาษาไทย ง่ายๆนี่แหละ” มิกเริ่มเสียงแข็งใส่เธอ เจนถอนหายใจใส่มิกทันที “บอกมาตรงๆเลยดีกว่าว่าอยากทิ้งกันไว้ข้างหลัง กายจะได้อยู่กับนัทที่นี่สบายๆ คุณได้แฟชั่นวีคไปทำ แล้วส่งเอิร์ธไปไกลๆ”
   “นี่ไม่ได้ตั้งใจพูดออกมาใช่มั้ยเนี่ย” เจนพูดเสียงเข้ม “รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
   “แล้วจริงหรือเปล่า” มิกพูดเสียงชัดเจนกับเธอ “ไหนว่าจะดูแลเค้าไง ไหนสัญญาแล้วว่า....”
   “ให้ตายเถอะมิก ฉันไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าแฟนใครนะ” เจนว่า “ฉันรับปากว่าจะดูแลเอิร์ธให้โตพอที่จะเข้าใจชีวิตในแบบที่พวกเราเป็นและฉันก็ทำแล้ว อย่ามาเรียกร้องอะไรใส่กันนะ ฉันไม่ได้อะไรเลยจากการช่วยเหลือเอิร์ธ”
   “จริงเหรอ ไม่ได้อะไรเลยงั้นเหรอ คุณวรพัฒน์ออกไปจากคณะกรรมการสำเร็จแล้ว เธอได้แฟชั่นวีคกลับไปทำ เนี่ยนะไม่ได้อะไร” มิกว่า
   “การปรับโครงสร้างเมื่อเช้ามันวินวินกันทุกฝ่าย ก็ถ้านายเข้ามาอยู่ในที่ประชุมบ้างล่ะก็ นายก็จะเห็นว่าไม่มีใครได้ประโยชน์เกินไป” เจนพูด
   “แล้วทำไมถึงกลายเป็นฉันที่ต้องเสียอยู่คนเดียวล่ะ” มิกว่ากลับอย่างเผ็ดร้อนเขาลุกขึ้นเท้าลงบนโต๊ะทำงานของเธอ “ทำไมถึงกลายเป็นฉันที่ต้องวิ่งตามทุกคนอยู่ตลอดล่ะหะ”
   เจนเมินหน้าหนี
   “มีความสุขกันมากเลยหรือเปล่าที่ซูเม่นี่น่ะ รู้อะไรมั้ยเจน ตั้งแต่เธอกับกายแล้วก็พี่เมธตั้งบริษัทนี่เมื่อปีที่แล้ว มันทำลายชีวิตมาหลายคนแล้ว” มิกว่า “ทุกๆคนต้องทิ้งชีวิตสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็นมาเพื่อที่นี่ สากับมาร์ค เธอรุ้มั้ยว่าเค้าสองคนนั่งเครื่องกันวันละกี่ชั่วโมง กายกับนัทได้กลับไปบ้าน ไปเจอหน้ากันกี่คืนต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ตอนนั้นไม่มีใครได้ชีวิตที่สงบสุขอีกเลยเจน ไม่มีเลย”
   เจนหันไปมองหน้ามิก
   “ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล เกิดขึ้นมาเพราะความตั้งใจจริงของพวกเราทุกคนในวงการนะ พวกเราทุกคนต้องการขยายขอบเขตผลงาน ก็เลยหอบตัวเองกันมาที่นี่” เจนพูดต่อ “นายเองก็หอบตัวเองมาที่นี่เหมือนกัน รถเก่าๆของนายก็ด้วยไม่ใช่หรือไง”
   “ก็เพราะฉันเดิมพันทุกอย่างไว้ที่นี่แล้ว ฉันเชื่อกาย เชื่อนัท แล้วก็เชื่อเธอ ว่าฉันจะเจอความสุขที่นี่ นี่คือชีวิตที่จบแล้วของฉันกับเอิร์ธ ”โดยเฉพาะตอนที่รับปากว่าจะดูแลเค้าให้ฉันด้วยอีกแรง เพราะฉันไม่คุ้นเคยที่นี่เท่าเธอ”
   “นั่นก็เลยเป็นความผิดของฉันใช่มะ ที่เอิร์ธกลายเป็นคนที่ตัดสินใจได้ด้วยตัวเองแล้ว?” เจนร้องกลับ “ฉันไม่เข้าใจประเด็นนะมิก นายต้องการอะไรจากที่นี่กันแน่อ่ะ ความฝัน หรือความสุขแบบไหนที่นายต้องการงั้นเหรอ”
   “ที่นี่ไม่มีความฝันของใครทั้งนั้น นอกจากของเธอกับของพี่เมธ ดีไซน์เนอร์ที่นี่มีชื่อเสียงใหญ่โตคับเมืองกันซะเปล่า แต่หาคนมีความสุขจริงๆซักคนก็ไม่มี ทุกคนแบกความทุกข์เอาไว้ใต้แสงแฟลชข้างแคทวอร์คกันหมด เธอเองก็เหมือนกัน” มิกพูดเสียงดังฟังชัด “และถ้าฉันรู้มาไม่ผิดเธอก็เพิ่งแยกลูกแยกพ่อสำเร็จไปเมื่อเช้า ทำลายไปอีกหนึ่ง อีกครอบครัวแล้ว สิ่งที่ฉันพูดไป มันผิดไปจากความจริงตรงไหน”
   เจนเงียบสนิท
   “เธอเคยทำอะไรเพื่อคนอื่นด้วยเหรอเจน ทำจริงๆเหรอ” มิกว่า “เธอไม่ทำอะไรหรอก ตราบเท่าที่เธอไม่ได้ประโยชน์ไปด้วย คนอย่างเธอเคยเสียสละอะไรเพื่อให้คนอื่นได้ไปต่อเหรอ เคยยอมอยู่กับที่พอรอใคร ยอมหยุดเพื่อใครจริงๆเหรอ ไม่หรอก เธอแค่โชคดีที่ผ่านสามวันนี้มาได้ และเธอก็แค่มีคนคอยช่วย คอนเนคชั่นที่คนอย่างเธอก็หาได้ไม่ยากหรอก นอกนั้นเธอมันก็ไม่มีอะไรที่ดีอย่างที่กายมันบอกฉันเลยซักอย่าง ไม่มี”
   มิกกัดฟันมองหน้าเธอทันที
   “มีเรื่องจะพูดกันแค่นี้ใช่มั้ย” เจนถามเสียงนิ่ง “ฉันมีงานต้องทำต่อ”
   “หึ” มิกหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะก้มหยิบสิ่งๆหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และวางลงตรงหน้าของเจน ซองกระดาษสีขาว “แฟชั่นวีคปีนี้ เธอหาอาร์ทไดคนใหม่ก็แล้วกัน”
   มิกหันหลังกลับพลางเดินไปยังประตู
   “ให้ตายเถอะมิก อย่าทำแบบนี้” เจนพูด
   “ใช้เจ้าวินสิ” มิกพูดก่อนจะเปิดประตูห้อง พร้อมกับกายและวินที่ยืนอยู่หน้าห้องพอดี ทั้งสองคนยืนนิ่งทำหน้าตาตื่น เพราะได้ยินสิ่งที่มิกพูดในห้องมาทั้งหมดแล้ว
   มิกมองหน้ากายหนึ่งครั้ง เขาไม่มีอะไรจะพูดกับกายอีก พอกันทีกับพ่อมดคนเก่งที่ทำให้ชีวิตเขาเดินทางมาถึงจุดนี้ เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“เธอได้วินมาแล้วนี่” มิกหันกลับไปพูดกับเจน “ใช้เจ้าเด็กนี่ให้คุ้มกับเงินที่เธอได้ติดตัวเค้ามาด้วยละกัน”
   มิกหายไปตามโถงทางเดิน ทิ้งไว้เพียงความเงียบอันน่าเศร้าสลด กายเดินเข้าไปหาเจนทันที หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ สิ่งที่มิกถาโถมให้เธอเป็นความจริงอันเจ็บปวดและหนักอึ้ง
   มิกพูดถูกทุกอย่าง.....
   ทุกอย่างเลยจริงๆ....
   “ปล่อยเค้าไปเถอะ เดี๋ยวเค้าก็ทำใจได้เอง” กายว่าพลางหยิบซองลาออกของมิกขึ้นมา ก่อนจะพยายามฉีกมัน
   “อย่านะกาย” เจนว่า “ถ้าทำแบบนั้น จะยิ่งเป็นการตอกย้ำกันว่า เราไม่เคารพการตัดสินใจของคนอื่น”
   “แต่เราเสียมิกไปไม่ได้ เค้าเป็นอาร์ทิสมือดีที่สุดที่เรามี” กายพูด
   “คุณเสียเค้าตั้งแต่คุณได้ตัวนัทมาแล้วค่ะ” เจนตอบกายเงียบสนิท “เขาพูดถูก เขาเป็นคนเดียว ที่ยอมสละตัวเองเพื่อสิ่งที่เขารัก เค้าทำในสิ่งที่เราสองคนทำไม่ได้ เขามาที่นี่ ก็เพราะคุณนัท เขาอยู่ที่วิลแลตกับคุณก็เพราะคุณนัท สิ่งที่เดียวที่ผูกเค้าไว้ที่นี่คือคนรักเก่ากับคนรักใหม่ ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีแล้วทั้งสองสิ่ง”
   กายมองสิ่งที่เจนพูดอย่างไม่เชื่อหู
   “ผมคิดว่าก่อนที่จะมาที่นี่ เราจะเข้าใจกันทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมหมั้นกับนัท” กายว่า “วันนั้นผมคิดว่าทุกๆคนเข้าใจกันแล้ว”
   “ไม่ใช่เลยกาย” เจนว่า “งานหมั่นของคุณเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ของทุกคนรอบๆตัวคุณ ปลายทางความรักของคุณ คือจุดเริ่มต้นของคนอื่นๆทั้งหมดค่ะกาย”
   วินมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด สิ่งที่พี่เจนพูดเมื่อกี้เป็นสิ่งเดียวกับที่เขารู้สึกมาตลอดวันนี้
   ปลายทางของเขา อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของคนอื่นๆทั้งหมด....
   “พี่เจน” วินพูดขึ้น “วันนี้ขอกลับก่อนนะ แต่พรุ่งนี้สิบโมงผมขอนัดคิวพี่”
   วินปิดประตูห้องทันทีแล้วรีบวิ่งไปตามโถงทางเดินของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล หรือว่าบางที จะเป็นเขาเอง ที่ต้องลงมือทำสิ่งไม่มีใครที่ซูเม่ทำมาก่อน ใช่แล้ว....
   สิ่งที่วิน ลูกคุณหนูตัดสินใจเอาไว้ ก่อนหน้าเรื่องทั้งหมดนี้ ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่ซูเม่
   ตอนที่เขาหนีพ่อของเขามาหลบซ่อนอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะตั้งแต่แรก
   คงต้องเป็นเขาแล้ว ที่จะทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ......
   เขาคนเดียวเท่านั้

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 50 Sacrificed

   วินเปิดประตูห้องพักบนถนนทอร์ควิลหลังจากกลับมาจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่ซูเม่ในตอนเย็นของวัน ตลอดทางเดินกลับมาถึงห้องเขาคิดทบทวนถึงหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดที่ปารีสนี่ นับตั้งแต่วันแรกที่เราก้าวลงที่แอร์พอร์ต 
   เขามาที่นี่ทำไม....
   คำตอบนั้นได้หลังจากนั้นไม่นานนัก แล้วเขารู้ดีว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปมากมายแค่ไหนแล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ บางทีสิ่งที่ทุกๆคนพยายามทำอยู่ อาจจะไม่ถูกต้องเลยก็ได้ บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดไป อาจจะเป็นตัวเขาเองที่ผิดพลาดไป เขาน่าจะต้องทำอะไรยางอย่าง บางอย่างที่เขาทำแล้วรู้สึกดีมากๆ แต่กลับทำไม่ถูกที่ถูกทาง เขาควรจะรับผิดชอบสิ่งที่เขาเริ่มเอาไว้ตั้งแต่ต้น
   สองเท้าก้าวขึ้นไปยังทาวเฮาส์บนถนนทอร์ควิลที่คุ้นเคย เดินขึ้นไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องของไกด์ ใช่แล้ว....
   อาจจะมีบางอย่างที่เขาทำไม่ถูกต้องนัก...
วินเปิดประตูห้องเข้าไปสิ่งที่เขาพบเห็นไม่ต่างไปจากสิ่งที่เขาคาดว่าจะได้เจอมากนัก กลิ่นของต้มยำกุ้งลอยมาติดจมูก ซิงค์ครัวของห้องปรากฎร่างของไกด์กำลังทำอาหารอยู่ตรงนั้น วินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอย่างอบอุ่น ไกด์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน บาริสต้าหนุ่มสุดเย็นชาคนนี้ ทำทุกๆอย่างเพื่อเขามาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้ ไกด์ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งเพื่อตัวเขา วินไม่คิดเลยว่าจะเจอคนที่รักเขาได้มากมายขนาดนี้
ไกด์จะยังเข้าใจการตัดสินใจของเขาเหมือนทุกครั้งไหมนะ.....
“เห้” ไกด์ร้องเรียกชื่อของเขา “เป็นอะไร ทำไมไม่เข้ามาอ่ะ”
“อ้อเปล่า....คือเอ่อ.....หิวจนก้าวขาไม่ออกน่ะ” วินตอบพลางยิ้มกว้าง เขาถอดรองเท้าเดินไปเก็บเสื้อคลุมเข้าตู้ แต่เมื่อหันกลับมาไกด์ก็โผเข้ากอดเข้าไว้ทันทีโดยไม่ทันจะได้ตั้งตัว
“อ....อะไรเนี่ย” วินพูดเสียงสั่นในอ้อมกอดไกด์
“กอดแฟนไม่ได้เหรอ” ไกด์พูดหยอดใส่ วินยิ้มกริ่มก่อนจะพยายามรั้งตัวเองก่อน
“เดี๋ยวก่อนเลย ใครบอกนายหะ ว่าฉันเป็นแฟนนาย” วินพูดพลางอมยิ้ม
“นี่นาย ทุกคนรอบตัวนายเค้ารู้กันหมดแล้วนะ” ไกด์ว่า
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นายจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะเว่ย” วินว่า “พอเลยพอเลย หิวแล้ว มีไรกินมั่งอ่ะ”
“ต้มยำกุ้งกับไข่เจียว” ไกด์ว่า “เมนูเดียวกับวันแรกที่นายมาที่นี่”
วินมองหน้าไกด์ที่ใกล้ให้ชัดๆอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเงียบไป ไกด์ขมวดคิ้วพลางมองหน้าวิน
“เป็นไรอ่ะ คิดไรอยู่ ไหนว่าหิว” ไกด์ถาม
“ก็สงสัยไง ว่าเมื่อไหร่จะปล่อยซะทีเนี่ย” วินพูด ไกด์จึงปล่อยตัววิน ก่อนจะหอมแก้มเป็นการส่งท้าย และเดินกลับไปจัดการเตรีนมอาหารให้เรียบร้อย วินมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยใจหวิวอย่างประหลาด
บนโต๊ะอาหารที่จัดวางเอาไว้แทบไม่ต่างไปจากวันนั้น วินนั่งทานต้มยำกุ้งรสชาติแสนอร่อย พร้อมกับความคิดที่แล่นไปมาในหัว เขามองหน้าไกด์ที่กำลังพูดถึงสิ่งที่เขาต้องทำต่อในวันรุ่งขึ้นกับซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลและเจนจิรา วินยอมรับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจสิ่งที่ไกด์พูดมากเท่าไหร่นัก สิ่งที่ไกด์พูดเขารู้อยู่แล้ว เขารู้เรื่องพวกนี้ดีซะจนไม่คิดว่าไกด์จะกลายเป็นคนที่นั่งพูดเรื่องนี้ซะเอง วินนั่งฟังขณะที่ตักซุปเข้าปาก
“....แล้วหลังจาก ฉันอยากขอให้นายทบทวนเรื่องของเรา” สิ่งที่ไกด์พูดกระทบเข้าหูของวินอย่างจัง วินเงยหน้าขึ้นมองไกด์ทันที
“อะไรนะ” วินว่า
“ฉันว่า....ฉันพร้อมแล้ว” ไกด์พูดทันที “ถ้านายยังไม่เปลี่ยนใจ ยังอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน กับฉัน ฉันว่าตอนนี้ฉัน....ฉันพร้อมแล้ว”
วินมองหน้าไกด์อีกครั้ง ใช่สินะ..... ทั้งหมดที่เขาทำมา คือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้ ได้หนีทุกอย่าง มาอยู่กับอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บและโหดร้ายของเมืองนี้ ในที่สุดก็มาถึงตอนนี้ซะที ตอนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแล้ว
ใช่ เขารอให้วันนี้มาถึงซะที.......

...............
   ความเงียบสงัดเกิดขึ้น หลังจากเกมส์รักอันร้อนแรงของเขาและไกด์จบลง ภายใต้ผ้านวมอันหนานุ่มไกด์นอนหลับสนิท แน่ล่ะ ครั้งนี้วินไม่ยอมให้ไกด์เป็นฝ่ายได้เปรียบหรอก เขาพลิกมาเป็นผู้คุมเกมส์รักของเขากับไกด์ได้สำเร็จแต่ก็นั่นแหละ ไกด์ยังคงมีแต้มต่อมากกว่าเขา ไกด์นำหน้าเขาอยู่เสมอ วินนั่งนิ่งในร่างที่เปลือบเปล่า เขาคิดทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งหมดที่เขาพยายามทำมาเพื่อให้ได้อยู่กับไกด์ การพยายามถอนตัวออกจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนั้น เขามองภาพทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว มันมีอะไรที่ยังติดค้างอยู่ในใจ อะไรบางอย่างที่เขาจะไม่สามารถไปต่อกับไกด์ได้ ถ้าเขายังไม่จัดการมัน
   ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เดินออกมาจากห้องนั่งเล่น หยิบกระเป๋าของตัวเองมาจากโต๊ะทำงานควานหากระดาษหนึ่งแผ่น พร้อมกับปากกาด้ามหนึ่ง เขามองไปยังห้องของไกด์ทุกาตรางนิ้ว ห้องแห่งนี้มีความหมายกับเขามากๆ ความหมายที่ดีจนมันกลายเป้นการบีบคั้นความรู้สึกของเขา วินหลับตาลงก่อนจะลงมือเขียนจดหมาย

   .....ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบอกนายยังไงดี ฉันรู้ว่าฉันต้องทำไม่ได้แน่ๆ ถ้าฉันพูดเรื่องนี้กับนายตรงๆ นายจะต้องรั้งฉันไว้แล้วหาวิธีแก้ปัญหานี้ให้ฉันอีก และนายก็จะทำสำเร็จซะด้วย แต่ครั้งนี้ปัญหานี้ฉันขอเป็นของแก้มันด้วยตัวเอง คือฉันต้องไปแล้ว........

   ไกด์เปิดประตูห้องนอนออกมาในตอนเช้า พบเพียงความว่างเปล่าของห้องพัก ความว่างเปล่าที่แปลกประหลาด ความเย็นยะเยือกพัดเข้ามาให้เขารู้สึกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่จากอดีตของเขา แต่เป็นจากความจริงบางอย่าง ไกด์เดินเข้าไปหยิบจดหมายที่วางอยู่ข้างรูปถ่ายใบนึงบนโต๊ะ รูปถ่ายตัวเขาเองใส่แว่นนั่งนิ่งบนรถไฟ สายฝรั่งเศสสตาร์เบิร์ก ไกด์เปิดจดหมายนั้นออกอ่าน

   ....จำวันที่นายพาฉันไปเที่ยวที่สตาร์เบิร์กได้มั้ย ตอนนั้นฉันได้รู้ความจริงของก้อง น้องชายของนายอ่ะ มันทำให้ฉันนึกอยู่ตลอดเลยว่า ครอบครัว สำคัญสำหรับนายมากแค่ไหน และฉันก็คิดว่าฉันรู้ดีว่าฉันทำสิ่งที่แย่มากๆกับครอบครัวของฉันเอง อย่างที่นายก็รู้แล้ว เรื่องแม่กับพ่อของฉัน เพราะงั้น ฉันเลยรู้สึกแย่โคตรๆที่จะอยู่กับนาย เป็นครอบครัวใหม่ของนาย ทั้งๆที่ฉันไม่ใช่สมาชิกที่ดีของครอบครัวตัวเองเท่าไหร่เลย....
เอิร์ธเปิดประตูห้องทำงานของเจนที่เธอกำลังคุยงานกับกายอยู่อย่างเร่งร้อน เด็กหนุ่มวางแฟ้มแฟ้มนึงลงตรงหน้าของเจน เธอเงยหน้าขึ้นมองเอิร์ธอย่างสงสัยก่อนจะหยิบแฟ้มออกมาเปิดดู เจนมองหน้ากายและเอิร์ธพลางถอนหายใจ

   .....แต่นายไม่ได้ทำอะไรผิดนะไกด์ การที่ฉันไปครั้งนี้ ฉันไม่อยากให้นายโทษตัวเองแล้วกลับไปเป็นคนเดิม ฉันหมายถึงเป็นบาริสต้าหน้าเศร้าที่ฉันเคยเจอตอนนั้น นายเป็นคนดี เป็นคนดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ และถ้าฉันจะรักใครซักคนเป็น นายคือคนที่ฉันรักและนายเองก็รู้อยู่แล้วนี่ เพราะงั้นมีชีวิตต่อไปไกด์ มีชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอย่างที่นายเคยสอนให้ฉันทำ ฉันก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน ฉันไม่อยากให้ปลายทางของเราเป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดของคนอื่น ฉันคิดว่านายก็คงอยากให้เป็นแบบนั้น....

   ไกด์ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้อง ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านข้อความสุดท้าย

   ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่เลยไม่อยากสัญญา
ไม่ต้องห่วง.....ฉันจะไม่มีวันลืมเรื่องของเราสองคน ซักนาทีก็ไม่ลืม

วิน

ปล.สำหรับที่นายให้ฉันทบทวนเรื่องของเรา คำตอบของฉันคือตกลง

ไกด์พับจดหมายลงก่อนจมลงสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่ว่างเปล่าที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัสมา ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ก่อนจะหายใจเข้าอย่างหอบถี่รัว น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในคอพลางยิ้มให้กับตัวเอง
เขาลุกขึ้นพลางมองไปรอบๆห้อง และเริ่มต้นทำสิ่งที่วินทิ้งไว้เขา แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
ชินกับการอยู่คนเดียว..........
................
   
   เสียงเคาะประตูสตูดิโอดังขึ้น เอิร์ธลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็พบกับกายที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าที่เอิร์ธคุ้นเคยกายคงอยากเข้ามาปลอบใจเขา แต่เอาเถอะ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากคุยกับใครมากแค่ไหน เอิร์ธเชิญกายเข้ามาในสตูดิโอของเขา
   “โทษทีนะพี่มันรกไปหน่อยอ่ะ ผมกำลังแยกว่าอันไหนของผม อันไหนของวิน” เอิร์ธพูดขึ้น ขณะพยายามจัดของต่อ
   “วุ่นวายกันแต่เช้าเลยสิ” กายว่า “น่าตกใจเหมือนกัน ที่อยู่อยู่วินก็หายไปอีกคน”
   “มันก็แบบนี้อ่ะพี่” เอิร์ธว่า “ผมรู้นิสัยมัน มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว งานหนี งานโกยอ่ะ ทางมัน....”
   “นายคิดว่าเค้าหนีงั้นเหรอ” กายพูด
   “ไม่รู้พี่ ผมหมายถึง อยู่ดีดีก็หาย หายไปเลย วินมันชอบทำแบบนี้” เอิร์ธว่า “แล้วพี่มีอะไรหรือเปล่า....”
   “ก็มีอ่ะ” กายว่า “พี่จะมาขอให้เรายกเลิกเรื่องที่จะไปอังกฤษ”
   เอิร์ธหันหน้ามากายพลางทำหน้าขมวดคิ้ว
   “ผมนึกว่าเราคุยเรื่องนี้กันจบแล้ว” เอิร์ธว่า “ผมเป็นเจ้าของโปรเจ็คนะพี่”
   “ใช่พี่รู้ พี่ไม่ได้ดูถูกฝีมือแกนะเอิร์ธ แล้วพี่ก็ไม่ได้มาเพื่อสั่ง พี่มาเพื่อขอร้อง” กายพูดเสียงชัดเจน
   เอิร์ธหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า
   “ผมยังไม่เข้าใจอ่ะพี่” เอิร์ธว่า
   “รู้ใช่มั้ยว่ามิกเค้าเอ่อ....กลับเมืองไทยไปแล้ว” กายพูดเสียงเรียบ เอิร์ธเมินหน้าไปทางอื่น
   “ครับ” เอิร์ธพูดสั้นๆ “พี่เจนบอกผมเมื่อคืน ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไงเหมือนกัน ในเมื่อเค้าอยากทำงั้น ก็.....”
   “ตอนแรกพี่คิดว่าถึงไม่มีมิก ก็ยังจะมีวินเข้ามาเสียบแทน แต่เอ่อ.....พอวินก็มาไม่อยู่ด้วยแบบนี้พี่ก็เลย...” กายพูดต่อ
   “เข้าใจละ กลัวไม่มีคนอยู่ช่วยพี่เจนใช่มั้ยฮะ ผมเข้าใจนะ แต่โปรเจ็คมันอนุมัติไปแล้ว ยังไงผมก็ต้องไปนะพี่” เอิร์ธว่า “ผมเองก็ไม่อยากให้งานของซูเม่ได้รับผลกระทบนะ”
   “เปล่า พี่ไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เมธได้รับผลกระทบหรือเปล่าแต่ พี่เป็นห่วงแก” กายพูด
   “เป็นห่วง....ผม ...... อารมณ์ไหนเนี่ยพี่” เอิร์ธว่า
   “พี่มาคิดคิดดูแล้ว ตั้งแต่พี่หมั้นกับนัท มันเหมือนกับพี่ทำให้คนอื่นๆรอบตัวมีปัญหา มันดูเหมือน..... พี่กับนัท มีความรักที่เห็นแก่ตัวเกินไป มันอาจจะไม่ได้กระทบกันตรงๆแต่ มันก็ต่อกันเป็นโดมิโนมาเรื่อย” กายว่า “พี่ก็เลยคิดว่า พี่อยากจะทำอย่างที่วินเค้าทำ”   
   “พี่จะขออะไรผมกันแน่อ่ะ” เอิร์ธพูดเสียงเรียบ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้
   “ที่พี่จะพูดก็คือ พี่คิดว่าพี่เข้าใจสิ่งที่วินทำ” กายตอบ “เค้าคงทนไม่ได้ที่จะทิ้งให้พ่อเค้าเป็นคนแพ้ แล้วตัวเองก็มีชีวิตที่ดีอยู่ที่นี่ เหมือนปลายทางของเรื่องนี้ เป็นพี่พี่ก็คงทำไม่ได้หรอก”
   “แต่พ่อไอ้วินอ่ะ เค้าชนะมาหลายครั้งแล้วนะพี่ คนเราอ่ะอยู่คนแพ้บ้างก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตใครนะพี่” เอิร์ธพูด
   “มันก็ใช่ แต่ถ้าเกิดว่าคนคนนั้นสำคัญกับเรามากๆล่ะ ถ้าคนคนนั้นเป็นครอบครัวเดียวที่เราเหลืออยู่ เราจะทิ้งเค้าได้เหรอ” กายพูดกลับ เอิร์ธถึงกับชะงักกับสิ่งที่กายพูดออกมาทันที
   กายเอื้อมมือไปแตะไหล่เอิร์ธ
   “พี่อยากไปอังกฤษแทน พี่อยากให้แกอยู่นี่” กายพูด “พี่อยากเสียสละบ้าง เพื่อคนอื่นจะได้ไม่แพ้”
   “ถ้าพี่ทำแบบนั้น ก็แสดงว่าพี่คิดว่าเพราะปลายทางของพี่ ทำให้ผมแพ้......ใช่มะ” เอิร์ธว่า
   กายมองหน้าเอิร์ธแล้วก้มหน้าลง
   “พี่ขอโทษว่ะ” กายพูด “ในมุมของพี่ พี่กับนัท แล้วแกกับมิก เราเริ่มต้นมาพร้อมๆกัน มันแย่มากๆเลยอ่ะ ที่พี่มาไกลถึงนี่ ในขณะที่แกกับเค้าล้มไม่เป็นท่า”
   เอิร์ธอมยิ้มน้อยๆในใจ
   “ผมคงทำอย่างที่พี่ขอไม่ได้” เอิร์ธว่า “เสียสละเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดครับพี่กาย ผมยินดีและชื่นชมกับการกระทำแบบนั้นเสมอ แต่คนเสียสละจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าคนที่อยู่ข้างหลังรู้สึกยังไงเมื่อคุณจากไป มันจะไม่มีทางอื่นเลยเหรอครับ ที่เราจะมีปลายทางที่ดี ไปพร้อมๆกับที่ทุกๆคน ไม่มีใครแพ้เลย”
   กายมองหน้าเอิร์ธอย่างไม่เคยมองมาก่อน เด็กฝึกงานคนนี้โตขึ้นมากแล้วจริงๆ
   “พี่ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้” กายพูด
   “ความรักต้องอาศัยความเชื่อพี่” เอิร์ธตอบ “ถ้าเราเชื่อว่ามันเป็นไปได้ มันก็จะเป็น แต่....แค่อาจจะอยู่ในรูปแบบที่แปลกๆ ไม่ใช่ในแบบที่เราคาดหวัง”
   เสียงมือถือดังขึ้น เอิร์ธหยิบขึ้นมาดูเป็นการแจ้งเตือนกำหนดการ เอิร์ธกดอ่านมัน
   “เพราะรัก....ออกแบบไม่ได้” เอิร์ธว่า “พี่น่าจะเข้าใจมันดีที่สุดนะ.....ผมต้องไปก่อนล่ะ พี่เมธตามตัวว่ะ แล้วไว้คุยกันพี่”
   กายมองเอิร์ธวิ่งจ้ำอ้าวออกจากห้องไป กายมองสตูดิโอของเอิร์ธและบรรยากาศรอบๆตัว ชุมชนไร้รักที่เขาคุ้นเคยมาเติบโตอยู่ที่นี่อย่างกับความฝัน เขาไม่คิดว่าการตัดสินใจโยกย้ายดีไซน์เนอร์และครีเอทีฟตอนนั้น จะทำให้อะไรอะไร มาไกลได้ถึงขนาดนี้  กายยิ้มให้กับตัวเอง ขณะที่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับ
   “ฮัลโหลว่าไงครับนัท” กายพูดพลางลุกขึ้นออกจากห้อง “อื้อ เสร็จธุระแล้วล่ะ ....ครับ แล้วคุณอยากทานไรอ่ะ”
..................
   บ่ายวันพฤหัสพายุที่พัดเข้าปารีสอ่อนกำลังลงแล้ว พอให้เห็นแสงแดดสาดลงมายังเมืองแห่งดีไซน์นี้บ้าง ในบ่ายๆแบบนี้จึงเป็นกิจวัตรอันดาษดื่นของผู้คนในการนัดหมายพบปะกันที่ร้านกาแฟ จีโอเดินเข้ามาในคาเฟ่ริมทางแถวถนนรูเซนต์ ลา แซร์ เขายืนนิ่งมองไปรอบๆเพื่อหาคนที่นัดเอาไว้ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นหญิงสาวที่โบกมือเรียกเขาจากโต๊ะฝั่งนึง จีโอยิ้มกว้างให้กับหญิงสาวที่เขาเคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้
   เสตลล่า.....
   เขาเดินเข้าไปหาเธอที่อยู่ในชุดโค้ดสบายๆ ใบหน้าของนางแบบสาววันนี้ไม่ได้ลงเมคอัพหนาๆอย่างที่เคยเป็นมา เธอยิ้มกว้างทักทายจีโอ ขณะที่ชายหนุ่มปลดเสื้อโค้ดและพาดลงที่เก้าอี้และนั่งลงตรงข้ามเธอ
   “ไง แม่ตัวแสบ” จีโอกล่าวทักทายขณะที่โบกมือเรียกพนักงาน
   “ก็ดี....ขอบคุณที่มาหาฉัน” เสตลล่ายิ้มกว้าง
   “เอาลาเต้ไขมันต่ำไม่ตีฟอง แล้วก็ครัวซองค์สองที่” จีโอสั่งก่อนจะกลับมายิ้มตอบเธอ “เห้ย ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย เธอมีอะไรเธอโทรหาฉันได้ตลอดแหละ เพื่อนกันนะเว่ย”
   เสตลล่ายิ้มก่อนจะก้มหน้าลง
   “จากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา ฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ฉันยังเป็นเพื่อนนายกับเคลวินอยู่” เสตลล่าพูด “ฉันมัน....”
   “ตัวแสบ” จีโอต่อคำเธอจนจบ “แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ประเด็น ฉันก็เคยบอกเธอไปแล้ว ว่าฉันไม่ตัดสินเธอ เธอจะเลือกอะไร นั่นคือเหตุผลที่เธอคิดแล้ว ฉันโอเค แล้วตอนนี้ ทุกๆอย่างก็โอเคยิ่งกว่าโอซะอีก”
   “นายนี่มีเรื่องอะไรที่จะเครียดกับเค้าบ้างไหมเนี่ยเหอะวันวัน” เสตลล่าพูด
   “รู้จักกันมาตั้งนาน ยังไม่เก็ทอีกเหรอว่า....”
   “ไม่มี” ทั้งคู่พูดพร้อมกันก่อนจะหัวเราะกันอยู่อย่างนั้น
   “แล้วเรียกมามีอะไรล่ะเสตลล์” จีโอถาม
   “ฉันมาลาอ่ะ” เสตลล่าพูด จีโอจิบกาแฟก่อนจะตาโตมองเธอ
   “ไปไหน” จีโอถามเสียงสูง
   “อังกฤษ คือ.... เอิร์ธโทรหาฉันเมื่อหลายวันก่อน เค้าอยากได้ฉันไปร่วมงานเปิดตัวซูเม่ที่โน่น แล้วฉันก็ตกลง” เสตลล่าตอบ “ไลโอเนลล์ไม่ได้ซัดทอดใคร เพราะงั้นเค้าเลยโดนแค่ข้อหาทำลายทรัพย์สิน มันติดคุกไม่กี่ปี ฉันก็อยากได้เงินมาประกันตัวเค้าเร็วๆเหมือนกัน”
   “เธอโอเคใช่มั้ย” จีโอถามเสียงเป็นห่วง
   “โอเค” เสตลล่าว่า “ฉันไม่เป็นไร เค้าเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันมี ยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันไป”
   จีโอยิ้มกว้างให้เธอ
   “ดีใจที่เธอคิดได้” จีโอว่า “แล้วไปเมื่อไหร่อ่ะ”
   “อาทิตย์หน้า ไฟล์ทวันจันทร์ ช่วงสุดสัปดาห์นี้คงต้องใช้เวลาเก็บของแล้วก็เตรียมตัว” เสตลล่าตอบ “นายอ่ะ ได้ข่าวว่ากำลังเดท”
   “อ่าห้า ข่าวไวนี่ ก็...นะ.....” จีโอตอบแบบเก้อเขิน “ฉันชอบเค้ามาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ลองดูๆกันไป วันพรุ่งนี้ว่าจะพากลับไปเที่ยวสตาร์เบิร์ก”
   “พรุ่งนี้เหรอ งั้นก็ไปพร้อมเคลวินน่ะสิ” เสตลล่าว่า
   “หะ อะไร...เคลวินจะกลับสตาร์เบิร์กเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”  จีโอว่า
   “เมื่อวานฉันไปหาเค้ามาที่ห้อง” เสตลล่าว่า “เกิดเรื่องขึ้นล่ะรู้มั้ย วินไปแล้ว...”
   “เห้ย จริงดิ ฉันไม่รู้เลยนะเนี้ย ไป ไปไหน.....” จีโอพูด
   “ไม่รู้ เค้าไม่ได้บอก เคลวินดูแย่มากๆเลย คือ เขาพยายามทำตัวว่าปกติ แต่ฉันดูออก” เสตลล่าว่า “เค้าเป็นเพื่อนยูนะ ไม่ไปดูเค้าซะหน่อยล่ะ”
   “โอ่ยย ถ้ามันไม่ปกติจริงอย่างที่เธอว่า ก็ยิ่งไม่ควรไปดูมัน” จีโอว่า “มันไม่ชอบให้ใครไปทำเหมือนว่ามันอ่อนแอ”
   “แต่ฉันไม่เข้าใจเลยอ่ะ คุณวินจะไปไหนอีก ในเมื่อทุกอย่าง พวกเราก็ช่วยกันเคลียร์ให้หมดแล้ว” เสตลล่าพูด “คุณวรพัฒน์ก็กลับไปแล้ว เค้ากับเคลวินก็น่าจะ”
   “ก็เหตุผลเดียวกับที่เธอทำกับไลโอเนลล์อยู่นี่ไง” จีโอพูด “ไม่ทิ้งครอบครัว”
   “แต่สำหรับเคลวิน วินคือครอบครัวเดียวที่เค้ามีนะ” เสตลล่าพูด “ถ้าไม่มีวินแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าเคลวินจะไปต่อได้อีกไกลมั้ย.....”
   จีโอเงียบเสียงลงทันทีพลางเม้มปากอย่างครุ่นคิด ก็จริงอย่างที่เสตลล่าว่า เค้ารู้จักเพื่อนผู้เงียบขรึมของเขาคนนี้ดี จะเป็นยังไงต่อไปก็เดาได้ไม่ยาก ดีไม่ดีเดี๋ยวก็จะซ้ำรอยตอนที่เสียน้องชายไปอีก
   “ฉันว่าฉันมีวิธีอยู่...” จีโอว่า
   “ยังไงอ่ะ” เสตลล่าพูด
   “ไม่ต้องรู้หรอกเธออ่ะ ไปเตรียมตัวเถอะไป เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง” จีโอว่า เสตลล่าส่ายหน้าพลางอมยิ้ม
   “เอาให้ได้เรื่องละกันนะยู” เธอว่า
   “แน่นอนอยู่แล้ว” จีโอพูดพลางยักคิ้วให้กับเธอ
   บางทีเมืองที่หนาวเหน็บโหดร้ายนี้ ก็น่าจะต้องการสีสันบ้าง มันไม่ได้หม่นหมองไปขนาดนั้นซะหน่อย
...............

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 51 Coming Tomorrow

   ชายหนุ่มนักธุรกิจในชุดสูทเปิดผ้าม่านของห้องพักให้กว้างออก ปล่อยให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังมากว่าสามเดือนแล้วในห้องพักนี้ ถอดชุดสูทของตัวเองออกและวางลงที่โซฟา ช่วงนี้การจัดการงานหลายๆอย่างในชีวิตของ เคลวิน อี วอลลี ค่อนข้างวุ่นวาย ปารีสแฟชั่นวีค กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และเขาในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ของแบรนด์ซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล แบรนด์ไฮเอนด์สัญชาติไทย ที่เขาได้เข้าไปร่วมลงทุนกำลังงอกผลกำไรมหาศาลให้กับเขา และการเปิดตัวในงานแฟชั่นวีคนี้นั้นมีความหมายกับเขาอย่างมาก
   หลังจากใช้เวลาตลอดอาทิตย์ในการเข้าพบกับลูกค้า และประชุมกับกลุ่มดีไซน์เนอร์ หลายเดือนกับการทำงานซ้ำๆแบบนี้ทำให้เขาค่อยๆเข้าใจโลกที่กว้างขึ้นหลังจากหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับอดีต อดีตที่เลวร้ายและไม่มีความสุข จนกระทั่งมีคนคนนึงเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเขา คนสำคัญที่ตอนนี้เขาทำได้แค่คิดถึง ส่งผ่านความหนาวเย็นของเมืองนี้ไปจนไกลแสนไกล คนคนนั้นทำเอาโลกแห่งการดีไซน์เขามาหาเขา เขาไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าเขาจะรับรู้มันได้ เขารีบปลดเนคไทของตัวเองออกเพื่อลดความอึดอัดที่สะสมมาทั้งวัน ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองสำหรับออกไปข้างนอกต่อ
   ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นนักธุรกิจแฟชั่นเท่านั้นที่เขาทำ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ ซึ่งก็หนักหนาไม่แพ้กัน Flocon de neige สาขาใหม่ ที่เปิดอยู่แถวๆพิพิทธภัรฑ์ลูฟว์ เป็นอีกงานหนึ่งที่เขาต้องแวะเวียนไปหา ร้านเกล็ดหิมะ ที่เกิดจากการร่วมกันเปิดขึ้นใหม่ของเขา จีโอ และเจนจิรา เพื่อเป็นการทดแทนสาขาเก่า ณ เลขที่ 4 ถนนเซนต์จอร์จ ที่น่าจะกำลังปรับปรุงใหม่และกลายเป็นร้านขายซีดีเพลงเก่านั้น กำลังไปได้สวย เจ๊ใหญ่ ผู้จัดการร้านยังคงกลับมาทำหน้าที่ตามอุดมการณ์เดิมที่เธอตั้งใจเอาไว้ ให้ร้านเกล็ดหิมะ เป็นสถานที่พักพิงและช่วยเหลือคนไทยที่มาปารีส แม้ว่าครั้งนี้จะมีเสียงคัดค้านจากเจนจิราที่ไม่อยากให้ร้านกลับไปสู่สภาพเดิมของการช่วยเหลือที่ผิดกฎหมาย แต่ชีวิตก็แบบนี้ บางครั้งมันไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราต้องการนัก
   เคลวินค่อนข้างเข้าใจข้อนี้ดี เพราะไม่มีวันไหนเลยที่จะทำให้เขาลืมเรื่องของ วิน เด็กหนุ่มตัวแสบที่เคยเข้ามาป่วนชีวิตของเขาเมื่อตอนต้นปี เด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง จากที่เขาต้องโกหกตัวเองเป็นน้องชาย ทำงานเป็นบาริสต้าในร้านเล็กๆ คนคนนั้นทำให้เขารับรู้ว่า การกล้าจะยอมรับความจริงและอดีตของตัวเอง มันไม่ได้ทำให้ใครตาย เขาเข้มแข็งมากขึ้น และทำให้วินเป็นคนเข้มแข็งขึ้นเช่นกัน เข้มแข็งเสียจนวินตัดสินใจทิ้งเขาเอาไว้ เพื่อกลับไปเผชิญหน้าความจริงในอดีตของตัวเขาเอง เขาไม่เป็นไรเลยที่วินตัดสินใจแบบนั้น ตามคำขอร้องของวิน เขายังคงทำหน้าที่หุ้นส่วนแทนวินได้เป็นอย่างดี เขาพยายามทำความเข้าใจงานศิลปะและงานดีไซน์ต่างๆ ไม่กดดันและมีข้อแม้เหมือนอย่างที่หุ้นส่วนคนก่อนเป็น ยังไม่รวมเรื่องที่จีโอพยายามชวนเขาออกไปดูเกล็ดหิมะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหมือนกับวันนี้ที่เขายังคงต้องออกไปเหมือนทุกอาทิตย์ การที่เขามีอะไรทำเสมอๆแบบนี้ ทำให้เขาสบายดี เขาไม่ได้เป็นอะไร....
   มันเป็นสิ่งที่จีโอและเจนจิราเข้าใจผิด....
   เขายังคงเจ็บปวดและคิดถึงวินทุกวัน.....
   ความจริงข้อนี้ทำให้เขาใช้เวลาไปกับการนอนอยู่ตรงโซฟาในห้องไปเปล่าๆอย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เขาคิดถึงวินเกินกว่าจะออกไปทำอะไรได้ โดยไม่ได้กลิ่นอายของเดิมเพื่อเติมกำลังใจให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน เขาทำไม่ได้แม้แต่จะย้ายโต๊ะดราฟและกองกระดาษของวินออกไปจากห้อง เขาทำใจไม่ได้แม้แต่จะลงมือทำต้มยำกุ้งและไข่เจียวให้ใครทานเวลามีแขก เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองไปต่ออยู่หรือเปล่า บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวของเขามันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา เขายังอยู่ที่เดิม
   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นจีโอที่แวะมารับเขา สะบัดหัวไล่ความคิดถึงร้ายๆออกไป สร้างรอยยิ้มแล้วออกไปเปิดประตู
   “มาก็ดีละจีโอ ฉันอยากจะยกเลิกพอดี วันนี้ฉันไม่อยากออกไป........ คุณเจน” เคลวินพูดเสียงค้างขณะที่ยืนมองหญิงสาวที่ยิ้มกว้างให้เขา
   “เอ่อ....จีโอเค้าอยู่ที่ Carrousel du Louvre ค่ะ พอดีเจนมีปัญหากับโรงแรมที่เราพักกันอยู่นิดหน่อย จีโอเค้าเลยไปจัดการให้” เจนว่า “เค้าให้เจนมารับคุณไป Flocon de neige ค่ะ”
   “ผมเอ่อ.... ไม่อยากไปเท่าไหร่ ผมเหนื่อยมากเลย อยากพักมากกว่า พรุ่งนี้แฟชั่นวีคแล้ว งานสำคัญของคุณด้วย” เคลวินตอบ
   “ของเราค่ะ” เจนตอบพลางยิ้มกว้าง “เอ่อ...เจนเข้าไปได้มั้ย”
   “เอ่อ ได้ครับ...โทษที” เคลวินเชิญเจนเข้ามา เธอถอดเสื้อคลุมขณะที่เคลวินรับมันไปแขวนเอาไว้
   “ว้าว.....เจนไม่เคยมาห้องคุณเลย มันเอ่อ....สวยมากเลยค่ะ” เจนมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม
   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คุณจะดื่มอะไรมั้ย กาแฟ ชา....” เคลวินถาม
   “กาแฟก็ได้ค่ะ ขอบคุณ” เจนตอบ พลางนั่งลงที่โซฟา หญิงสาวมองไปยังโต๊ะดราฟท์ที่ตั้งอยู่ กองกระดาษเหล่านั้น ขณะที่เธอหันกลับมามองไกด์ที่กำลังชงกาแฟให้เธอ
   “คุณไม่เคยลืมเค้าเลย ใช่หรือเปล่า” เจนถามขึ้น เคลวินหยุดชะงักไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มชงกาแฟต่อ
   “อะไรเหรอครับ” เคลวินถาม
   “เรื่องวิน” เจนจิราพูดต่อ “โต๊ะดราฟนั้นเป็นของเค้า เจนจำได้ เพราะมันเป็นของที่ Esmod”
   เคลวินเดินกลับมาหาเธอพร้อมกับยื่นกาแฟให้ และนั่งลงข้างๆเธอ
   “ครับก็เอ่อ...... ผมไม่เคยเปลี่ยนอะไรในห้อง คือ ผมชอบให้มันตั้งอยู่ในแบบที่มันเป็น” เคลวินว่า เจนมองหน้าเคลวินอย่างเข้าใจดี “จริงๆผมก็คิดถึงเค้าแหละ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ผมโอเค”
   “คุณโกหก” เจนจิราว่าพลางยิ้มกว้าง เคลวินหันมาหาเธอทันที “ที่คุณไม่เป็นอะไร เพราะคุณเป็นคนอื่น คนที่ไม่ใช่ตัวคุณ”
   เคลวินฟังคำพูดของเธออย่างตั้งใจ
   “ฉันสนุกมากที่ได้เจอหุ้นส่วนที่ทุ่มเทอย่างคุณ ตั้งแต่ทำซูเม่มาพวกเรายังไม่เคยเจอคนนอกที่เปิดใจ แล้วก็เต็มที่กับงานที่ยากแก่การเข้าใจได้อย่างคุณ คุณเป็นคนที่....”
   “แปลก” เคลวินต่อคำของเจน “คุณไม่ใช่คนแรกที่พูดแบนี้หรอก”
   “ซึ่งมันเป็นข้อดีค่ะ งานของเราราบรื่น จนถึงตอนนี้แฟชั่นวีควันพรุ่งนี้มันจะต้องออกมาดีอย่างแน่นอนค่ะ” เจนว่า
   “ขอบคุณครับ ผมจะพยายามเต็มที่กับซูเม่ต่อไปแน่นอน” เคลวินว่า
   “ในฐานะเคลวิน เจนว่าคุณทำได้ดีแล้ว แต่ในฐานะของไกด์ เจนว่าคุณน่าจะให้เวลากับตัวเองบ้างนะคะ” เจนพูดต่อ “เจนเคยผ่านมาแล้ว เลือกงาน เลือกตัวเองมากกว่าคนอื่น มากกว่าคนรัก มันดีค่ะ ดีมากๆเลย แต่พอถึงจุดจุดนึง เราจะไม่เหลือใครเลย”
   “ผมสบายดีครับคุณเจน” เคลวินตอบเธอ “เพราะถึงไม่สบาย มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน เขาไม่อยู่แล้ว เขาไปต่อ แล้วผมก็ต้องไปต่อเหมือนกัน ไปกับคุณ ไปกับซูเม่ เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้”
   “งั้นก็ไปต่อกันเถอะค่ะ” เจนว่า เคลวินถอนหายใจเบาๆ ใช่ แบบนี้ดีแล้ว...
   “ผมเอ่อ....ขอเวลาแป้บนึงได้หรือเปล่า ผมแค่เอ่อ....” เคลวินก้มหน้าลงทันที เขายกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง เจนเอื้อมมือไปจับไหล่ของเขาเบาๆ
   “เห็นมั้ย .... คุณไปต่อได้อีกไม่นานหรอก” เจนพูด
   “ผม...ผมแค่.......คิดถึงเค้าน่ะ” เคลวินพูด “ผมใช้ชีวิตต่อไปแล้วในแบบที่เค้าขอแล้ว ผมแค่สงสัยว่า เค้าจะรู้บ้างมั้ยว่าตอนนี้ผมเป็นยังไง ผมคิดถึงเค้าแค่ไหน การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวท่ามกลางความหนาวในเมืองนี้มัน แย่ขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าเป็นยังไง พ่อของเค้าจะควบคุมเค้าเหมือนเดิมมั้ย เค้ากลับไปเป็นคนเดิมหรือเปล่า หรือมีใครไปหรือยังผม...... ผมแค่.....”
   เจนยิ้มครั้งหนึ่ง เธอเคยเจอใครคนนึงที่เป็นแบบนี้มาแล้ว เธอรู้ดีว่านี่คือความรัก ความรักที่งดงามและอบอุ่น มันสวยงามท่ามกลางความหนาวเหน็บของเมืองนี้ ผู้ชายคนนี้มีความรับผิดชอบต่อความรักสูงมากเหลือเกิน สูงเสียจนเธออดชื่นชมไม่ได้ เมื่อคิดได้อย่างนั้น เธอหัวเราะออกมาเบาๆ
   “โทษทีครับ ผมเอ่อ....” เคลวินใช้มือขยี้หัวตาเบาๆ เพื่อไม่ให้เจนเห็นน้ำตาของเค้า “มันเป็นเรื่องงี่เง่า ผมเข้าใจ”
   “เปล่าค่ะ เจนแค่สงสัยว่า.....ถ้าคุณอยากรู้อ่ะ ทำไมคุณไม่ถามล่ะ” เจนว่าพลางยิ้มกว้าง “จากที่ร่วมงานกันมา เคลวินคุณเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเอามากๆ คุณพยายามเป็นเคลวิน หุ้นส่วนธุรกิจที่ดี คุณเป็นอย่างที่เราต้องการทุกอย่าง แต่บางทีคุณลืมไปหรือเปล่าว่าพวกเราทุกคนที่ซูเม่รู้ดีว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณเข้ามาเป็นเคลวินให้พวกเราได้ยังไง”
   เคลวินมองหน้าเจนอย่างมีความหมาย
   “เราเห็นวินในแววตาคุณ” เจนจิราพูด “คุณมาเจอเราได้ก็เพราะเรื่องของเค้ากับคุณ คุณจะพยายามเป็นคนอื่นไปทำไม ในเมื่อทุกๆคนที่ซูเม่ หรือแม้แต่เพื่อนคุณเองจีโอ เราช่วยคุณได้ เพียงแค่คุณถามอ่ะ......”
   “ผมไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอ...” เคลวินว่า
   “คุณไม่ได้อ่อนแอค่ะ” เจนตอบ “การยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ เป็นการแสดงความเข้มแข็งอย่างนึงนะคะ”
   เขายิ้มกว้างตอบเธอ
   “เจนก็เพิ่งเรียนรู้อะไรบางอย่างมาเหมือนกัน สามเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วินเค้าไป” เจนพูด “เจนค้นพบว่าที่ซูเม่ เราเป็นบริษัทที่เย็นชาเอามากๆ เราไม่เคยคิดเลยว่าดีไซน์เนอร์กับครีเอทีฟในบริษัทต้องเสียอะไรไปบ้างกับการสร้างอาณาจักรนี่ หลังจากที่เอิร์ธและทีมงานส่วนนึงไปอังกฤษ กายกลับดูงานแกลอรี่ที่ไทย เจนมีคุณแล้วก็ดีไซนเนอร์หน้าใหม่หมุนเข้ามา เจนบอกกับตัวเองว่า หลังจากนี้ เจนจะไม่ยอมให้ซูเม่เป็นอย่างที่ผ่านมาอีก”
   “ยังไงครับ” เคลวินถาม
   “ในสมัยที่คุณวรพัฒน์อยู่ เราคิดถึงแต่การจะเอาชนะเค้า เราก็เลยเอาแต่ทุ่มกับงาน พิสูจน์ตัวเอง ไม่มีใครมีชีวิตเป็นของตัวเองเลยและใช่ เราสูญเสียไปเยอะค่ะ” เจนจิราพูด “แต่ตอนนี้ตั้งแต่มีคุณ เราเปิดตลาดปารีสได้เต็มตัวแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมง แฟชั่นโชว์ของซูเม่ก็จะเปิดตัวเป็นแบรนด์ที่ดีของปารีส แต่เมื่องานนี้จบเจนคิดแล้วว่า เจนจะเลือกซื้อใจทุกๆคนไว้ดีกว่า เจนไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วกับแค่ การพยายามที่จะเอาชนะ”
   เคลวินจับมือของเธอไว้แน่น
   “คุณไม่ได้เสียใครไปหรอกนะ” เขาพูด “ถ้าพวกเค้าสำคัญกับคุณจริงๆ หัวใจคุณจะไม่มีทางลืมเค้า เหมือนที่ผมไม่เคยลืมวิน เค้าจะยังอยู่ และวิ่งกลับมาหาคุณเสมอ”
   “แล้วคุณเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า” เจนว่า “คุณเชื่อหรือเปล่าว่าวิน เค้าจะกลับมาหาคุณ”
   เคลวินนิ่งเงียบ เขาเองก็คงไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้เหมือนกัน เจนจิราจิบกาแฟพลาวางแก้วลงและลุกขึ้น
   “ไปกันเถอะค่ะ ความจริงก็คือที่เกล็ดหิมะ เราจัดงานปาร์ตี้กันเล็กๆ ก่อนจะลุยงานกันพรุ่งนี้ เราอยากให้คุณไป” เจนจิราว่า
   “โอเคครับ ขอผมเอ่อ...เปลี่ยนเสื้อแปปนึงนะ” เคลวินเดินเข้าไปหยิบเสื้อที่ตู้เสื้อผ้า ขณะที่เจนมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เธอเดินไปที่หน้าต่างของห้อง และมองออกไป
   ถ้าสิ่งที่เคลวินพูดเป็นความจริง เธอไม่ได้เสียใครไป และทุกๆคนก็จะกลับมาหาเธอ
   เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆใช่มั้ย.......
   กายน่าจะอยู่ข้างๆเธอในเวลานี้.....
   “เสร็จแล้วครับ” เคลวินตอบ “ไปกันเถอะ”
......................
   เสียงเพลงเบาๆเปิดคลอระหว่างที่เหล่าดีไซน์เนอร์ร่วมดื่มกัน ตามธีมของปาร์ตี้ที่เจนวางเอาไว้ที่ร้านเกล็ดหิมะ เธอหวังว่านี่จะเป็นปาร์ตี้เพื่อขอบคุณทีมงานกันก่อนที่วันรุ่งขึ้นโชว์จะออกมาอย่างประสบความสำเร็จแน่นอน มันเป็นเพียงแค่งานเล็กๆเหมือนการเลี้ยงข้าวกันเท่านั้น ก่อนที่ทุกคนจะต้องกลับไปที่ Carrousel เพื่อเตรียมงานให้เรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น เคลวินและเจนมาถึงตอนสองทุ่ม ขณะที่จีโอเริ่มสาธยายว่าอาหารวันนี้รสชาติแปลกๆ ซึ่งมันไม่ได้แลกสำเร็จเจนนัก อาหารวันนี้เป็นอาหารไทย แบบรสชาติไทยจริงๆที่จีโออาจะไม่คุ้น เคลวินและเจนใช้เวลาอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งเพื่อทานข้าว เขานั่งมองเจนและจีโออย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ความรักของสองคนนี้เป็นอะไรที่น่ารักมากสำหรับเขา จีโอยังคงเป็นคนตลกและร่าเริงเหมือนที่เคยเป็น ในขณะที่เจนจิราเองกลับเป็นคนที่ดูอ่อนโยนลง ต่างจากแม่มดตัวร้ายที่เอิร์ธและวินเคยพร่ำบอกเขาเมื่อนานมาแล้ว หรือบางทีเขาก็อาจจะคิดผิด เจนจิราอาจจะร้ายขึ้นมาจริงๆก็ได้ ถ้าจับได้ขึ้นมาว่าจีโอแอบซุกกิ๊กเอาไว้ที่สตาร์เบิร์กหลายคนก่อนหน้าที่จะตกลงเดทกับเธอ เคลวินภาวนาในใจหวังว่าจีโอน่าจะจัดการเคลียร์สาวๆในสต๊อกให้หมดซะที
   “น้องไกด์” เสียงของเจ๊ใหญ่เรียกเขา ขณะที่ตัวเธอเดินเข้ามาหาที่โต๊ะ
   “หวัดดีครับเจ๊” เคลวินสวมกอดเธอเหมือนทุกๆครั้ง
   “โอยยย ตายละดูสิ โหมงานสินะช่วงนี้” เจ๊ใหญ่ยังคงเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นอย่างที่เธอเคยเป็น
   “ก็นิดหน่อยครับ แล้วเจ๊อ่ะ ที่ร้านโอเคนะ เด็กเสิร์ฟชุดใหม่คนไหนทำเจ๊ปวดหัวบ้างเปล่า?” เคลวินถามเสียงกวน
   “โอ๊ยยย ตั้งแต่ทำร้านมานะ ไม่มีใครกวนได้เท่าเจ้าวินแล้วล่ะ” เจ๊ใหญ่พูดพลางหัวเราะ เคลวินหลบสายตาและยิ้มน้อยๆให้เธอ เขาเหลือบเห็นเจนที่หันมายิ้มให้เค้าเมื่อเจ๊ใหญ่พูดถึงวินขึ้นมา
   “แล้วคุณเจนเป็นยังไงบ้างล่ะ” เจ๊ใหญ่ถาม
   “ก็โอเคค่ะ พรุ่งนี้อาจะหนักหน่อย แต่ทุกคนพร้อมแล้วล่ะค่ะ บางคนก็กลับไปสเตนบายที่งานละ” เจนตอบ
   “เห้อ......เจ๊ขอบคุณ คุณทั้งสามคนมากที่ทำให้เกล็ดหิมะกลับมามีชีวิตอีกครั้งนึง” เจ๊ใหญ่พูด “เจ้าวินก็ด้วย ถ้าวินไม่ได้ยกร้านนี้ให้เจ๊ เจ๊ก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง”
   “ไม่เอาน่าเจ๊” จีโอพูดขึ้น “พูดถึงอดีตเป็นคนแก่ไปได้ คนเรามันต้องพุ่งทะานไปข้างหน้าสิเจ๊”
   เจนหัวเราะพลางตีจีโอไปเบาๆหนึ่งครั้ง ขณะที่ทั้งสามหัวเราะกันอยู่นั้น ซีเนียร์ดีไซน์เนอร์คนนึงก็วิ่งมาที่โต๊ะของเจนทันที
   “พี่เจนเกิดปัญหานิดหน่อยค่ะ” เบลล่าพูดขึ้น
   “อะไร” เจนถามขึ้น
   “ภาพ Loveless Society ที่พี่ให้หนูไปเอาที่วิลแลตอ่ะค่ะ มันไม่เห็นมีเลยพี่” เบลล่าว่า
   “หะ...ได้ยังไง มันจะไม่มีได้ยังไง มันแขวนอยู่กลางบ้านเลย หาดูดีหรือเปล่า” เจนพูดเสียงดุ
   “หาทั่วแล้วค่ะ ไม่มีเลยค่ะพี่ หนูว่าคุณกายอาจจะเอากลับไทยไปก็ได้นะคะ แล้วให้ทำยังไงดีคะเนี่ย” เบลล่าถาม
   เจนถอนหายใจอย่างหงุดหงิดครั้งหนึ่ง
   “ยังไงครับเนี่ย” เคลวินถามขึ้นมา
   “คือภาพนั้นอ่ะ เจนตั้งใจจะแสดงเอาไว้ตรงกลางแคทวอร์คในโชว์อ่ะค่ะ เพราะภาพนั้นเป็นแรงบันดาลใจของคอนเวฟท์นึงในโชว์ แต่ถ้ามันไม่มี ก็เดี๋ยวยิงสไลด์ภาพจากไฟล์เอาก็ได้ค่ะ” เจนว่าพลางหันไปหาเบลล่า “ไม่เป็นไรเบลล์ ยิงสไลด์เอาละกัน หาทันนะ”
   “ทันค่ะพี่” เบลล่ากล่าว “เอ้อ.....มีส่งนี้เข้ามาที่ออฟฟิศอ่ะค่ะเมื่อบ่าย พอดีเราไปยุ่งกันที่งาน เลยไม่มีใครไปเซ็นรับ นี่ค่ะ ถึงพี่”
   “ขอบใจจ้ะ” เจนจิรารับซองน้ำตาลมาไว้กับมือ ก่อนจะแกะมันออกมาดู จีโอและเคลวินมองดูเธอ
   “หนังสืออาร์ทเวิร์คของซูเม่อังกฤษ เอิร์ธเข้าส่งมาให้น่ะ” เจนพูด พร้อมกับเปิดออกดู หนังสืออาร์ทเวิร์คสวยและเนี๊ยบตามแบบที่เธอต้องการ เจนยิ้มให้กับตัวเองครั้งหนึ่ง
   “ลูกศิษย์ได้ดีสินะ” จีโอพูดขึ้น
   “ใช่ค่ะ” เจนจิราว่า “เจนเห็นเค้ามาตั้งแต่ที่ไทยอ่ะ ไม่คิดเลยว่า จะมาถึงจุดนี้ได้อ่ะ”
   ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เจนหยิบขึ้นมาก่อนจะกดรับ
   “ฮัลโหลว” เจนพูด “คุณนัทคะ”
   “เจน” เสียงนัทดังขึ้นมาในโทรศัพท์ “ผมเพิ่งทราบว่าคุณจะใช้ Loveless Society ผมเลยให้ส่งกลับไปให้แล้วนะ”
   “โอ๊ยยย ขอบคุณนะคุณนัท แต่มันคงไม่ทันแล้วล่ะ เจนใช้พรุ่งนี้ค่ะ เจนให้เด็กใช้ภาพดิจิตอลฉายขึ้นสไลด์ไปแล้ว” เจนตอบ
   “ไม่ไม่ ทันครับ ผมเห็นบรีฟในกูเกิ้ลไดร์ฟเมื่อสองวันก่อน เลยรู้ว่าคุณจะใช้ ป่านนี้ภาพถึงปารีสแล้วล่ะ คุณไปรับที่แอร์พอร์ทเถอะ” นัทตอบ
   “โหลดมาใต้เครื่องเหรอคะ” เจนว่า
   “ก็มีคนเค้าอยากกลับไปปารีสด้วยอ่ะ ผมเลยฝากให้เค้าดูแลกลับไปด้วยน่ะ คุณรีบไปเอาเหอะ เผื่อจะทันนะ” นัทตอบ
   “ขอบคุณมากนะคะคุณนัท” เจนตอบ “แล้วอยู่ไหนคะเนี่ย”
   “งานศพครับ” นัทตอบ “ภรรยาของคุณวรพัฒน์เสียแล้วครับ เมื่อวาน”
   เจนเงยหน้าขึ้นมองเคลวินทันที
   “ค่ะ...เอ่อ...ขอบคุณมากนะคะเรื่องภาพ แล้วก็เอ่อ...ฝากแสดงความเสียใจให้คุณวรพัฒน์ด้วย” เจนกดวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะมองเคลวินที่จ้องเธออย่างตระหนก
   “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แม่ของวินเสียแล้ว เมื่อวาน” เจนพูด เคลวินผ่อนลมหายใจลงทันที ก่อนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
   “เจนกำลังจะไปแอร์พอร์ทไปรับภาพ ถ้าคุณอยากจะไปร่วมงานศพที่ไทย คุณจะไปแอร์พอร์ทพร้อมเจนก็ได้นะคะ ทางนี้คงไม่มีอะไรจะรบกวนคุณแล้ว” เจนว่าเสียงเรียบ
   เคลวินยังคงไม่ตอบอะไรทั้งนั้นเขามองออกไปนอกหน้าต่างร้าน มองไปยังปีรามิดแก้วของพิพิทธภัณฑ์ลูฟว์
“ไปก็ดีนะเว่ย จะได้กลับบ้านบ้าง นายไปซะหน่อยก็ดีนะ” จีโอพูดเพิ่มเติม “ทางนี้เดี๋ยวฉันดูแลเอง”
เคลวินยังคงครุ่นคิด ถ้าแม่ของวินเสียแล้ว วินก็คงหมดหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัวแล้ว ถ้าเขากลับไปไทย วินจะเป็นครอบครัวใหม่ให้เขาได้มั้ยนะ เหมือนที่เคยเป็นมา เหมือนที่เคยเป็นที่นี่ตลอดมา....
   “ไม่อ่ะ” เคลวินพูดพลางหันกลับมาหาเจน “ไม่เป็นไรครับ”
   “ทำไมล่ะคะ” เจนถาม
   “พรุ่งนี้เป็นความสำเร็จของคุณ วินคงอยากให้ผมอยู่แทนเค้าที่นี่” เคลวินตอบ “ผมไม่มีอะไรผูกพันกับที่ไทยอีกแล้ว ผมทิ้งทุกอย่างมานี่แล้ว และผมจะอยู่ ที่นี่คือบ้านผม”
   จีโอและเจนมองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมามองเคลวิน
   “เชื่อเหอะ ผมไม่เป็นไร” เคลวินตอบ “แล้วผมก็เชื่อว่าวินก็ไม่เป็นไร เราต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ นี่คือสิ่งที่เขาเลือก ผมต้องเคารพการตัดสินใจของเค้า”
   “แน่ใจนะเว่ย” จีโอพูดพลางตบไหล่เพื่อน “ไม่เป็นไร ฉัน....ไม่เป็นไรเว่ย คุณเจน ไปแอร์พอร์ทกันเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
   “ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยวฉันไปส่งแฟนฉันเอง แกอ่ะแหละ กลับไปพักผ่อนไป พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ” จีโอว่า
   “จริงด้วย กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ แล้วก็...อย่าคิดมากนะคะ” เจนยิ้มให้เคลวิน
   “ขอบคุณครับ”
   หลังจากทั้งคู่อ่มเอมกับอาหารครั้งสุดท้ายแล้ว จีโอและเจนบึ่งรถมุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อรับภาพ Loveless Society กลับไปที่งานแฟชั่นวีคให้ทันก่อนวันรุ่งขึ้น ในขณะที่เคลวินออกเดินทางกลับไปยังสถานที่แห่งเดิม ถนนทอร์ควิล.......
ใจของเขาสั่นไหวระรัว เขาอยากจะโทรหาวิน อากจะได้ยินเสียงของวินอีกซักครั้ง เพื่อยืนยันว่าวินไม่เป็นไร เขาไม่ได้รู้สึกดีใจที่ภาระของวินหมดลงแล้ว การสูญเสียเป็นเรื่องโศกเศร้า เค้าเป็นห่วงวินมากกว่า มากเกินกว่าจะเอาความเจ็บปวดของเขาไปถาโถมใส่วินอีกคน แต่เขาอดคิดถึงวินไม่ได้ เขาอย่างดึงร่างอันอ่อนไหวของวิน มากอดไว้ มาเติมเต็มที่สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตตอนนี้
สองเท้าก้าวขึ้นไปถึงห้องพักในอีกครึ่งชั่วโมงหลังจากกลับมาจากร้านเกล็ดหิมะ ชายหนุ่มเปิดประตูห้องก็พบกับหน้าต่างที่เขาเปิดทิ้งไว้ อากาศเย็นๆจากข้างนอกพัดวูบเข้ามาทำเอาเขาสะท้าน จึงรีบเข้าไปปิดหน้าต่างและรูดท่านกลับเข้าที่เดิมก่อน เมื่อหันกลับมาร่างร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบทำเอาเค้าตกใจ
“Mr.Bayard” เคลวินร้อง เป็นคุณเบย์ออดเจ้าของตึกนั่นเอง “Oh hi.... What’s going on?”
“I just come to say goodbye” คุณเบย์ออดกล่าว
“Huh… Goodbye foe what? Where are you going?” เคลวินถาม
“Coming home” คุณเบย์ออดว่า “My son graduated and he will take my place here”
“Oh sound great, I ah….. I’ll miss you mr.” เคลวินกล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้ม
“Thanks you Kevin and I need to tell you something please told a new password to your housemate too” คุณเบย์ออดว่า เคลวินนึกอยู่ซักพัก ก็คิดไว้ว่าเค้าคงหมายถึงเจนที่เพิ่งมาห้องเค้าเป็นครั้งแรก เลยยังไม่รู้พาสเวิร์ดขึ้นตึกอันใหม่
“err…. Ok I will. Thanks” เคลวินกล่าว คุณเบย์ออดโบกมือลา ก่อนจะเดินจากไป เคลวินจึงปิดประตูห้องลง
น่าตลกอยู่เหมือนกันที่คุณเบย์ออดยังคิดว่าเขามีรูมเมท เข้าไม่มีเพื่อนร่วมบ้านมานานมากแล้ว ใช่ เขากลับมาอยู่ดนเดียว เบย์ออดคงจะอยากใช้ชีวิตที่สบายกับภรรยาที่นอกเมืองและให้ลูกชายมาทำหน้าที่ดูแลตึกแทน ครอบครัวของเขาน่าจะอบอุ่นอยู่แถบชนบท เคลวินนึกในใจแล้วก็ใจหายเหมือนกัน จริงๆแล้วเบย์ออดกรุณาเขากับก้องมากตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่ปารีส เขาน่าจะทักทายลูกชายของเบย์ออดซักหน่อย เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในตึกนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแบบไม่ทันหมดจากความคิด คงเป็นลูกชายคุณเบย์ออดมาแนะนำตัว เคลวินถอดเสื้อคลุมวางลงก่อนจะเดินไปเปิดระตูทันที
“Hi You could be a……”
และแล้วเวลาก็หยุดหมุนลง เมื่อเคลวินเห็นสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า
คนที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยินเสียง คนที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อการได้พบหน้าอีกซักครั้ง
เด็กหนุ่มตัวแสบที่เอาหัวใจเขาทั้งดวงแล้วหายไป
วิน.....
วินเลิกตากว้างพบางกระพริบตาปริบๆด้วยหน้าเหวอ
“เอ่อ.....” วินส่งเสียงเบาๆ ขณะที่เคลวินยืนนิ่ง “พาสเวิร์ดไม่ใช่ 4422 แล้วอ่อ?”
เคลวินยังไงไม่ตอบอะไร
“มาหาเมื่อเย็น ไม่เห็นมีคนอยู่เลยออกไปซื้อของ ขึ้นตึกไม่ได้สองรอบแล้วอ่ะนาย” วินพูดต่อ เคลวินก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรอีก “เข้าไปได้ยังอ่ะ ของหนักนะ”
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ เมื่อเคลวินกระชากตัววินเข้ามากอดเอาไว้ ทำเอาของที่วินซื้อมาร่วงหล่นลงพื้นหมดทุกอย่าง เขากอดวินเอาไว้แน่น แน่นมากๆ และปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่อย่างนั้น เขาร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างควบคุมไม่ได้
วินรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ไกด์พยายามจะบอกเค้า เค้าเอื้อมมือไปกอดไกด์กลับ กอดเอาไว้ด้วยความนุ่มนวลที่สุด
“ทำไมทิ้งกันแบบนี้” ไกด์พูดเสียงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดวิน “ทำไมทิ้งกันอ่ะวิน ทิ้งกันทำไมอ่ะคับ“
วินหลับตาลงน้ำตาของเขาไหลลงมาเป็นทาง เขากอดไกด์แน่นขึ้นอีก
“แต่ฉันกลับมาแล้ว” วินว่า “ฉันกลับมาแล้วไง....... ฉันบอกแล้ว....... ว่าฉันตกลง”
กอดกันนานอยู่อย่างนั้น จนกาลเวลาผ่านพ้นไป
.....................

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 52 Coldness Town

   เสียงชัตเตอร์กัดรัวไปมาขณะท่เช็ทแฟชั่นโชว์ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลดำเนินไป เจนจิรานั่งอยู่แถวหน้าสุดริมแคทวอร์ค เฝ้ามองนางแบบของเธอแต่ละคนอวดเสื้อผ้าที่ประณีตบรรจงของแบรนด์ออกสู่สายตาผู้ร่วมงาน Paris Fashion Week เธอและพี่สุเมธนั่งมองความสำเร็จของตัวเองอย่างมีความสุข หลังจากเวลายี่สิบนาทีของโชว์สิ้นสุดลงเสียงปรบมือดังกึดก้อง แสงแฟลชสาดกระจายไปยังเบลล่าที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่านางแบบ โดยมีภาพ Loveless Society ตั้งอยู่กลางเวทีเป็นฉากหลัง นัทส่งภาพมาให้เธอได้ทันเวลา และทำให้งานแสดงของซูเม่ ตามความตั้งใจดั้งเดิมของเธอเป็นไปอย่างสมบูรณ์ งานศิลปะและแฟชั่นเดินทางไปพร้อมกัน เธอและพี่สุเมธลุกขึ้นปรบมือให้กับความสำเร็จของตัวเองชิ้นนี้
   After Party หลังเวทีเป็นไปย่างวุ่นวาย เหล่าช่างภาพ ด๊ไซน์เนอร์ นักเขียน นางแบบ เดินไปมาให้ควักอยู่หลังเวทีที่ถูกเซ็ทเป็น After Party อย่างมีสไตล์ทำให้ดูเหมือนทุกๆคนได้เข้ามาสัมผัสการทำงานของซูเม่จริงๆ สุเมธจับมือทักทายกับสไตลิสจากทั่วทุกแบรนด์ในโลก ขณะที่เจนจิราเหนื่อยกับการแปบกร่างของตัวเองเอาไว้บนส้นสูง และการฉีกยิ้มบนเมคอัพเต็มทนแล้ว จึงปลีกตัวเองมานั่งลงที่เก้าอี้มุมหนึ่งเพื่อนวดน่องของตัวเองอย่างโอดโอย แฟนตัวดีของเธอจึงปรีเข้ามาหาเธอทันที
   “จะกลับหรือยังครับเจ้าหญิง” จีโอพูดขึ้นเสียงหวาน เจนจิราอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าเขา
   “เจ้าหญิงยังกลับตอนนี้ไม่ได้ ยังมีราชทูตจากอีกหลายแบรนด์ที่ต้องเข้าเฝ้า” เจนพูดติดตลก “พระเจ้าหลุยห์ วิคตองค์พระองค์นั้นด้วย”
   เจนชี้ไปยังเอเจนซี่จากหลุยห์ที่แวะมาชมแฟชั่นโชว์ในงานนี้ จีโอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลับมาช่วยเธอนวดเท้า
   “ผมไม่นึกเลยว่าคุณทำทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว” จีโอว่า “ผมแบบ ไม่เห็นโกลด้านนี้เลยอ่ะ มาปารีสก็บ่อยแต่ไม่เคยมาแฟชั่นวีคเลยอ่ะ”
   “งั้นคุณก็ไม่รู้จักเมืองนี้เลยน่ะสิ” เจนว่า “นี่เบาแล้วค่ะ เมื่อก่อน เจนต้องขึ้นไปฟินาเล่เองด้วยซ้ำ หนักกว่านี้อีกเยอะค่ะ”
   จีโอลุกขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เธอ
   “แล้วจุมพิตจากเจ้าชายจะช่วยให้หายเหนื่อยได้มั้ยนะ” จีโอว่า เจนขำเบาๆ
   “ขอเป็นพันช์เย็นๆซักแก้วจะดีกว่านะ” เจนตอบพลางชำเลืองไปยังคอกเทลล์บาร์ที่เธอหมดปัญญาจะหอบร่างเดินไปเอง
   “งั้นรอแปป” จีโอว่า “คงต้องฝ่าฝูงคนเข้าไปน่ะ”
   “สู้ๆค่ะ” เจนยิ้มให้จีโอก่อนที่เขาจะหายเข้าไปกลุ่มผู้คนที่เดินไปเดินมาในงาน เจนกลับมานวดขาต่ออีกหน่อย เพื่อบรรเทาอาการเกร็งของส้วนสูง
   “แหม..... แม่มดเจนจิรา สิ้นลายแล้วเป็นแบบนี้นี่เองเหรอยะ” เสียงอันคุ้นหูที่ปลุกสัญชาติญาณความแกร่งของเจนให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เจนเหลือกตาขึ้นด้วยความเหยื่อยหน่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันไปประจันหน้ากับเจ้าของเสียง ที่ยืนมองเธออยู่พักนึงแล้ว
   “มันก็ไม่ได้ต่างกันซะเท่าไหร่หรอกจริงมั้ย” เจนว่ากลับ “คุณสา...”
   ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักนึงก่อนนะกรีดร้องใส่กัน
   “เซอร์ไพร์สสสสสส” สากระโจนเข้าหาเจนขณะที่เธอยิ้มกว้างอยู่ในวงแขนของไม้เบื่อไม้เมาของเธอคนนี้ เจนได้รับข่าวมาเดือนกว่าๆแล้วว่าสากำลังมีโปรเจ็คถ่ายงานแถบชานเมืองปารีสอยู่ แต่ก็ไม่มีโอกาสเจอกันซักที
   “นึกว่าจะไม่เจอวะแล้วคุณสา” เจนว่า
   “จะบ้าเหรอหร่อน ความสำเร็จหล่อนทั้งที ไม่มาได้ยังไงยะ เผื่อหล่อนเดินตกส้นสูง ฉันจะได้เป็นคนแรกที่หัวเราะทัน” สาว่า เจนส่ายหน้าใส่เธอทันทีก่อนจะหัวเราะ
   “แล้วทานอะไรหรือยังอ่ะ คืนนี้พักที่ไหน” เจนถามขึ้น
   “เรียบร้อยหมดแล้ว คนนี้เค้าจัดการให้” สาเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่ยืนซ้อนหลังเธออยู่ ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่ได้เจอมากว่าสี่เดือนแล้ว ตั้งแต่เขาเข้ามาในห้องเธอพร้อมกับวีนใส่เธอเป็นชุดแล้วทิ้งเพียงจดหมายลาออกเอาไว้ให้
   มิก...
   “เห้...... คุณกลับมา” เจนกล่าวเบาๆ ขณะที่มิกเดินเข้ามาหาเธอ
   “อย่านะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาหาคุณวะทีเดียวหรอก” มิกว่า สาหันมายิบตาให้เธอเพื่อเป็นการส่งซิก
   “อ่าหะ” เจนว่า “ก็มีไม่กี่เรื่องหรอก ที่จะลากคุณออกจากถ้ำได้น่ะ”
   มิกหัวเราะเบาๆพลางเกาหัวตัวเอง
   “ผมเอ่อ....อยากจะขอโทษ” มิกว่า “เรื่องที่ผมพูดกับคุณวันนั้น ผมคิดว่าผมเรียนรู้แล้วว่าที่จริง คุณเองก็ทำเพื่อคนผมมาตลอดเหมือนกัน เพียงแต่ มันเป็นรูปแบบที่ผมไม่เข้าใจ”
   “ไม่ใช่รูปแบบที่คุณคาดหวังน่ะสิ” เจนจิราว่า “แต่เดี๋ยวนะ.... คุณเป็นคนเอา Loveless Society มาเหรอ แล้วทำไมฉันไม่เจอคุณที่แอร์พอร์ทเมื่อวานล่ะ”
   “เค้ามาหาฉันไงยะ” สาพูดขึ้น
   “อ้อ....” เจนว่า “ขอบคุณมากนะมิก ไม่อย่างนั้น งานวันนี้แย่แน่เลย”
   “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เธอเชื่อใจคนอื่นเป็น” สาหันมาพูดกับเจน “เธอไม่เหมือนกับยัยตัวร้ายที่ฉันเคยรู้จัก”
   “ฉันก็ยังร้ายอยู่นะคุณสา จะว่าไปแล้ว” เจนตอบ
   “อ้อข้อนั้นฉันเชื่อ เชื่อสนิทใจเลยย่ะ” สาว่าพลางหัวเราะเสียงดัง จีโอเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วให้กับเจนทันที
   “ขอบคุณค่ะ” เจนว่า
   “อ้าว พวกคุณ” จีโอพูด “ยินดีต้อนรับครับผม”
   สาและมิกมองหน้ากันอย่างรู้ดี พลางเหล่ไปทางเจนจิราเป็นนัยๆ
   “หยุดเลย ไม่ต้องแซวเลย” เจนพูดเสียงแข็งก่อนจะรับพันช์มาดื่ม
   “เออเจน เซลม่าอยู่ไหน ฉันอยากได้เธอไปเป็นแบบอ่ะ อยากคุยกับเธอหน่อย” สากล่าว
   “อ้อ...อืมมม” เจนมองไปรอบๆงาน “นั่นไง ตรงนั้น....... คุยได้เลย แต่ระวังหน่อยนะ ยัยนี่เรื่องเยอะน่าดูเลย”
   “โอ๊ยยย ฉันผ่านเธอมาได้ ที่เหลือเด็กๆย่ะ พูดเลย” สาส่งสายตาค้อนเจนไปแว้บนึง
   “ค่ะ แม่คนเก่ง จีโอคะ รบกวนพาคุณสาไหาเซลม่าหน่อย ปล่อยไปเอง เจนว่าเดี๋ยวโดนคนเหยียบตายแน่นอน คุณนำเธอไปหน่อยนะ” เจนว่า
   “ด้วยความยินดีค้าบบบบ” จีโอนำสาเดินไปหาเซลม่าที่มุมหนึ่งของงานขณะที่เจนนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม มิกจึงนั่งลงข้างๆ
   “ขอโทษนะที่ทิ้งงานไป ผมเอ่อ...งี่เง่าเอง” มิกพูดขึ้น เจนส่งเสียงในลำคอครั้งนึง
   “ช่างมันเถอะค่ะ เจนเข้าใจ บางทีคนเราก็อยากได้เวลาไปพัก” เจนว่า “เจนไม่ได้อนุมัติการลาออกของคุณนะ ถ้าคุณอยากจะกลับมาทำงาน เจนก็ยินดี”
   “กายก็บอกผมอย่างนั้น” มิกว่า “แต่ผมอยากสะสางเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
   “เรื่องเอิร์ธ...ใช่มั้ย” เจนพูด มิกก้มหน้าลงเบาๆ
   “คุณคิดว่า ผมจะดูแลเค้าได้มั้ย ผมกลัวว่า ผมจะไม่ดีพอ ไม่เจ๋งพอสำหรับเค้า เค้าเคยคิดว่าเค้าวิ่งตามผม แต่จริงๆแล้วผมต่างหากที่กำลังวิ่งตามเค้า” มิกว่า “ผมไม่รู้ว่าผมจะวิ่งตามเค้าทันมั้ย”
   เจนหันมามองหน้ามิก
   “กายเคยบอกฉันว่า เมืองนี้น่ะมันแปลกประหลาด คนที่จะไว้ใจกันได้มันมีแค่พวกเรากันเองเท่านั้น” เจนพูด “สิ่งที่กายพูดหมายความว่า ที่นี่เรามีคนไทยอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการเรา ยังไงซะเรื่องมันก็ต้องวนกันเอง”
   “หมายความว่าไง” มิกถาม
   “หมายความว่า คุณวิ่งไล่จับกันในเมืองที่มันไม่ได้กว้างเลยค่ะ” เจนตอบ “เอิร์ธไม่ได้วิ่งไปไหน คุณก็เหมือนกัน คุณสองคนแค่ ไม่ได้ให้เวลากับกันและกัน แล้วก็ชอบห่างกันบ่อยๆ เจนว่าถ้าลองคุกันดีดี ถอยให้กันบ้าง ก็น่าจะโอเค”
   “ให้ตายเหอะ ผมกำลังโดนแม่มดร่ายมนต์ใส่อีกแล้ว” มิกพูด
   “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณละกัน เจนไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าแฟนให้ใครค่ะ” เจนตอบ
   “ขอบคุณมากนะเจน สำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่มาที่เมืองนี้อ่ะ” มิกพูด “ขอบคุณมากจริงๆ”
   เจนยิ้มให้มิกครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
   “ฉันมีงานอย่างนึงให้คุณทำ” เจนพูดเสียงชัดเจน มิกเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที
   “อะไรอ่ะ” มิกว่า
   “เมื่อวาน เอิร์ธส่งอาร์ทบุ๊ตมาให้เจนตรวจ จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรต้องแก้แล้วล่ะ เพราะถ้ามันต้องแก้ ก็ต้องมีการส่งกลับไปอังกฤษกันอีกรอบซึ่งเจนก็ไม่มีเวลา” เจนยิ้มกว้าง “แต่...ถ้าคุณอยากให้เจนแก้ แล้วจะลำบากทำตัวเป็นคนส่งของ ส่งเล่มกลับไปแก้ที่อังกฤษอีกรอบ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”
   มิกมองหน้าเธอพลางอมยิ้มก่อนจะมองหน้าไปทางอื่น
   “แล้วเอ่อ....อ่ะฮึ่ม” มิกกระแอมในคอ “อาร์ทบุ๊คอยู่ไหนล่ะ”
   เจนยิ้มกว้างให้กับมิก เป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอมาที่นี่ ที่เธอรู้สึกว่าเมืองนี้เธอได้ไว้ใจมิกอย่างเต็มหัวใจแล้ว เธอนึกขอบคุณกายอยู่ในใจ และแอบหวังเล็กๆว่า มิกน่าจะลงเอยกับเอิร์ธอย่างมีความสุขได้ไม่ยากนัก
   เธอหวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ....
.............
   ออฟฟิศเล็กในลอนดอน เอิร์ธกำลังบิดขี้เกียจ ขณะที่อีเมล์เด้งขึ้นมาจากซูเม่ฝรั่งเศสว่าอาร์ทบุ๊คของเขาไม่ผ่าน และพี่เจนสั่งให้เค้าแก้มันใหม่ทั้งเล่ม เขาเริ่มรู้สึกกลับมาโมโหเจนอีกครั้งหลังจากความรู้สึกนี้หายไปนาน จะเป็นไปได้ไหมนะที่เขาจะเด็ดหัวเธอมาจิ้มน้ำพริกอีกครั้งหนึ่ง เขาปิดหน้าจอแมคลงขณะที่เดินไปยังหน้าต่างมองไปยังนาฬิกาบิ๊กเบนใจกลางเมืองที่อยู่ไกลออกไปหน่อย
   เขาคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่เขาออกจากเมืองไทยมา เขาเดินทางมาไกลมาก เพื่อวิ่งหาคนคนนึง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาวิ่งแซงมาวะจนตอนนี้เขาไม่เหลือใครซะแล้ว เขาเคยปฏิเสธตัวเองว่าจะไม่มีวันเป็นแบบกาย พ่อมดของวงการออกแบบที่สมบูรณ์แบบแต่ขาดความรัก เขาไม่เอาด้วย
ใช่เขาทำสำเร็จ เขาไม่ได้เป็นกาย แต่เขากลับกลายเป็นเจนจิราเสียเอง ผู้หญิงที่เขาแค่นึกถึงหน้าเธอตอนนี้ก็โมโหสุดขีดแล้ว คิดตลกๆในใจว่าการแก้งานครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายซักที เขาทำอะไรในอาร์ทบุ๊คนั้นพลาดไปงั้นเหรอ ถ้าเค้ายังมีความเป็นครีเอทีฟไม่มากพอ อาจจะต้องใส่ความอาร์ทลงไปอีกนิด
ถ้าพี่มิกอยู่กับเค้าที่นี่ด้วยก็คงดีสินะ.........
สะบัดหัวไล่ความคิดงี่เง่าออกไป พี่มิกคงไม่มีทางมาหาเค้าอีกแล้ว และเค้าก็จะเดินหน้าที่นี่ต่อไปโดยไม่เค้า
ไม่มีใครเลย....
.................
   กาแฟแก้วนึงวางลงที่หน้าโซฟา ขณะที่ร่างเปลือยเปล่าร่างนึงกระโจนขึ้นไปบนโซฟา และซุกตัวในผ้านวมกอดอีกร่างนึงเอาไว้ ไกด์หันมามองหน้าวินที่ซบลงบนตัวของเค้า หลังจากเมื่อวานทั้งคู่ได้มอบความรักให้กันเหมือนทุกๆครั้ง และครั้งนี้เป็นเหมือนคำปฏิญาณว่าเค้าทั้งคู่จะอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกันตามที่ตกลงกันเอาไว้
   วินมองหน้าไกด์ที่โอบเค้าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ลมหายใจอันอบอุ่นส่งมาหาเค้าผ่านร่างอันเปลือยเปล่าข้างใน วินแตะนิ้วลงบนจมูกของไกด์หนึ่งครั้ง
   “ฉันแค่อยากกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดี” วินพูดขึ้น “อย่างน้อยๆก็ทำสำเร็จแล้ว”
   ไกด์มองหน้าวินพลางยิ้มน้อยๆ
   “ก็เข้าใจ แต่มันออกจะใจหายไปหน่อย ที่วันนึงตื่นนมาไม่เจอนาย” ไกด์พูดเสียงสั่น “แล้ววันต่อๆมา ก็ไม่เจออีกเหมือนเดิม”
   “ตอนที่ฉันไม่อยู่ นายเป็นใคร กลับไปเป็นคนเดิมอีกหรือเปล่า” วินถามอีก
   “ก็ไม่เชิง” ไกด์ตอบ “เป็นเคลวิน นักธุรกิจที่ดีให้กับแบรนด์แฟชั่น เป็นก้องที่ดีให้กับร้านเกล็ดหิมะแห่งใหม่”
   “แล้วตอนนี้อ่ะ นายเป็นใคร” วินถามต่อ
   “ตอนนี้เหรอ” ไกด์โอบตัววินเอาไว้อีกครั้ง “เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เป็นคนที่รักนายตลอดไป”
   “แน่ใจนะ ว่ากลับมาอยู่ได้แล้วอ่ะ จะไม่ไปไหนแล้วนะ” ไกด์ถาม
   วินยิ้มให้ไกด์ก่อนที่จะซบลงไปที่อกของเขา ไออุ่นแบบนี้ที่ทำให้ใจของวินสั่งสะท้าน ไออุ่นแบบนี้แหละที่เขาต้องการมากที่สุดในโลก

   
   .....“พี่เจน” วินพูดขึ้น “วันนี้ขอกลับก่อนนะ แต่พรุ่งนี้สิบโมงผมขอนัดคิวพี่”
   วินปิดประตูห้องทันทีแล้วรีบวิ่งไปตามโถงทางเดินของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล หรือว่าบางที จะเป็นเขาเอง ที่ต้องลงมือทำสิ่งไม่มีใครที่ซูเม่ทำมาก่อน ใช่แล้ว....
   สิ่งที่วิน ลูกคุณหนูตัดสินใจเอาไว้ ก่อนหน้าเรื่องทั้งหมดนี้ ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่ซูเม่
   ตอนที่เขาหนีพ่อของเขามาหลบซ่อนอยู่ที่ร้านเกล็ดหิมะตั้งแต่แรก
   คงต้องเป็นเขาแล้ว ที่จะทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ......
   เขาคนเดียวเท่านั้น.......
   ณ ล๊อบบี้ของโรงแรมแชงกรีลาปารีส วินเดินเข้ามาทันเวลาที่พ่อของเขากำลังเช็คอินออกจากโรงแรม เขาเดินเข้าไปหาพ่อ ที่เดินตัดผ่านเค้าไปราวกับมองไม่เห็นตัวเขา
   “พ่อผมขอโทษ” วินพูด วรพัฒน์หยุดชะงัก ก่อนจะหันหลังกลับมาหาลูกชาย
   “บอกฉันสิ ว่าแกไม่ได้ตั้งใจ” วรพัฒน์พูดเสียงสั่นเครือ “บอกฉันสิว่านี่คือเหตุผลที่ตกลงมาปารีสตั้งแต่แรก อิสระแบบนี้ใช่มั้ยที่แกอยากได้ อิสระที่แลกมากับความรับผิดชอบที่แกควรมีให้ฉัน”
   “พ่อ..... ถ้าพ่อยังอยู่ในซูเม่ มันจะยิ่งเลวร้ายลงกว่านี้นะพ่อ” วินว่า
   “แล้วแกก็จะอยู่ต่อ โดยใช้นามสกุลฉันงั้นเหรอ” วรพัฒน์ถามกลับ “แกทำโปรเจ็คแฟชั่นวีคต่อ โดยใช้นามสกุลฉันงั้นเหรอ แกคิดเหรอว่าคนในนั้นจะยอมรับแกได้”
   วินเงียบสนิท
   “แล้วพ่อจะให้ผมกลับไปเป็นลูกพ่อที่บ้านเหมือนเดิมหรือไง” วินว่า “ไหนพ่อบอกว่าอยากให้ผมทำอะไรสำเร็จซักอย่างไง”
   วรพัฒน์ก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้ามองลูกชาย
   “ไขสันหลังแม่แกติดเชื้อ กล้ามเนื้อกำลังค่อยๆตายและหยุดทำงาน” วรพัฒน์พูดเสียงเข้ม “สิ่งที่ฉันทำ คืออยากให้ไอ้ลูกชายตัวดี กลับไปดูแม่มันเป็นครั้งสุดท้าย และก่อนที่มันจะปีกกล้าขาแข็งออกจากบ้านไป ฉันก็อยากแน่ใจว่ามันจัดการทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยก่อน”
   วินตกตะลึงกับสิ่งที่พ่อเขาพูด เขาเมินหน้าไปทางอื่น
   “ใช่ แม่แกตายไปแล้ว” วรพัฒน์ว่า “แต่ความรักของแม่แกยังอยู่ กับฉันน่ะไม่เป็นไร แต่ขอร้อง อย่าทำร้ายความรู้สึกแม่แกไปมากกว่านี้”
   “งั้นผมจะกลับไปกับพ่อ” วินพูด “ผมจะกลับไป ถ้ามันจะช่วยให้อะไรดีขึ้น”
   “อย่ามาพูดส่งๆวิน” วรพัฒน์ว่า “ถึงฉันจะเลว แต่ฉันไม่เคยผิดคำพูด ถ้านี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะสอนแกได้ แกต้องไม่พูดอะไรเพราะจะเอาชนะฉัน พูดออกมาด้วยความรับผิดชอบ พูดและทำ อย่างที่ลูกผู้ชายควรทำ”
   วินมองหน้าพ่อของเค้า
   “ฉันได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว และฉันก็แพ้แล้ว” วรพัฒน์ว่า “ฉันไม่เสียดายสิ่งที่ฉันทำกับเมืองนี้ด้วยเงินไม่กี่แสน ระเบิดแค่ลูกสองลูก กับคนไม่กี่คน แต่แก...ถ้าแกมีอะไรผูกพันกับที่นี่เยอะมากนักถึงขนาดกลับไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดให้ตัวเองดูดี ฉัน.......ฉันดูแลทุกอย่างได้ ดีกว่าแกด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดกัน”
   “พ่อ” วินพูดขึ้น
   “ไปได้แล้วฉันจะกลับ”
   วรพัฒน์พูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินขึ้นรถไปพร้อมกับคนติดตาม และแล่นออกจากโรงแรมไปทันที ทิ้งให้วินยืนคิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ หรือบางทีเขาควรจะกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
   หวังว่าไกด์ จะเข้าใจเขาอยู่นะ....


   เขามาปารีสเพราะอะไร เขาที่นี่ทำไมตอนนั้น.......
   แต่คำตอบมันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว ว่าเขาจะมาปารีสตอนนั้นทำไม...
   เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามาปารีสทำไม เขามาเพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่กับไกด์ มาเพื่อเริ่มต้นใหม่ที่นี่ เริ่มต้นใหม่กับไกด์ หรือใครก็ตามที่กอดเค้าอยู่ตรงนี้
“ไกด์” วินพูดขึ้น
   “หืมมม” ไกด์พูดเสียงสั่น “ว่าไงคับ”
   “ไม่อยากรู้เหรอ ว่าฉันไปไหน” วินถาม “ไม่โกรธกันเหรอ ที่ทิ้งนายไป”
   “ไม่อ่ะ ไม่อยากรู้แล้ว” ไกด์ว่า “รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยน ถ้านายจะไป นายก็ไปอยู่ดี รู้ไป มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกที่ฉันมีให้นายซะหน่อย”
   วินยิ้มให้ไกด์ทั้งน้ำตา
   “นายเป็นคนบอกเองนี่ ว่าไม่ว่าฉันจะเป็นใคร นายก็จะอยู่กับฉัน” ไกด์ว่า “ในจดหมาย นายบอกว่านายตกลง ฉันก็เลยรอ แล้วก็รอมาตลอด....แล้วตอนนี้ นายก็กลับมา”
   ไกด์ยิ้มกว้างตอบวิน
   “นายคงไม่กลับมา ถ้ารู้ยังกลับมาไม่ได้ ฉันเคารพการตัดสินใจของนาย” ไกด์ตอบ “ฉันอยู่นี่ก็ทำตามที่นายขอ ฉันเชื่อใจนาย........ฉันรักนาย”
   ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้น ไกด์กระชับตัววินเข้ามาหาตัวมาขึ้น
   “รักกันแค่ไหนเนี่ย” วินถามเสียงอ้อน ไกด์หัวเราะเบาๆ
   “ยังต้องถามอีกเหรอหึ” ไกด์ว่า
   “เอาน่า...รักมากแค่ไหนอ่ะ” วินยิ้มให้ไกด์อีกครั้ง
   ไกด์มองหน้าวินก่อนจะเอื้อมมือไปแตะจมูกของวิน
   “ก็แค่อยู่ด้วยกัน ก็มีความสุขแล้วไงล่ะ”
   ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนที่ไกด์จะดึงใบหน้าของวินเข้ามาจูบ เขาปล่อยเอาความอบอุ่นที่หลบซ่อนอยู่ในตัวผ่านริมฝีปากไป ความอบอุ่นนี้จะยังคงอยู่ ท่ามกลางความหนาวเหน็บของเมืองที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ความอบอุ่นที่สวยงามที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด ความอบอุ่นที่วินจะไม่หนีหายไปไหนอีกแล้ว
ตลอดไป.......

จบบริบูรณ์

ออฟไลน์ duck-ya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบมากก อ่านรวดเดียวเลย
สนุกมากจริงๆ
วินกับพ่อก้เข้าใจกัน :hao5:

ออฟไลน์ MeganMP

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
มาปักรอไว้ก่อน......

เย่ๆๆๆๆๆๆๆๆ   จบแล้วๆ เรารอนานมากเลยยยยยยยยยย

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด