Chapter 8
นารินทร์เผลอหลับไปข้างบ่อน้ำทั้งคืนวารินทร์ที่เดินมาตามก็เห็นพี่ดำนอนขดเป็นวงแล้วมีนารินทร์นอนอยู่ข้างในเพื่อบังลมเพราะตอนกลางคืนบริเวณแถบนี้จะหนาวมาก วารินทร์เห็นนารินทร์นอนอยู่ก็เลยถือโอกาสถามพี่ดำว่านารินทร์มาทำอะไร พี่ดำก็เล่าให้ฟังคร่าวๆว่านารินทร์ร้องไห้แล้วพูดว่าเกลียดใครสักคน จากนั้นนารินทร์ก็นอนกอดเค้าจนหลับไป…ไม่มีใครรู้ว่าวารินทร์สามารถคุยกับงูได้ แม้แต่นารินทร์…วารินทร์เห็นว่านารินทร์มีเรื่องทุกข์ใจอยู่จึงปล่อยให้นารินทร์นอนอยู่ตรงนั้นแล้วตัวเองนั่งเฝ้าแทนที่จะอุ้มกลับไปเหมือนทุกที
“…” นารินทร์รู้สึกตัวขึ้นมองไปรอบๆก็เห็นวารินทร์กำลังนั่งมองน้ำตกอยู่ ส่วนตัวเค้าเองนอนอยู่โดยมีพี่ดำม้วนตัวคลุมกันลมไว้ให้ส่วนพี่ดำก็นอนหลับยังไม่ตื่น
“ไงน้องชายตัวดี หลับหมดเรี่ยวหมดแรงมาจากไหน” วารินทร์กล่าวหยอกๆใส่น้องชาย นารินทร์ก็แค่ยิ้มแหยๆแต่ไม่ได้ตอบอะไร วารินทร์จึงพานารินทร์กลับเข้าบ้านแต่เมื่อจังหวะที่นารินทร์จะก้าวขาขึ้นบันได นารินทร์เกิดอาการหน้ามืดและปวดหัวอย่างรุนแรงจากการร้องไห้โชคดีที่วารินทร์เดินตามน้องชายตัวเองมาติดๆจึงรับร่างของน้องชายไว้ได้ทัน ไม่กลิ้งตกลงไปเสียก่อน
“พี่รินทร์…นาไม่ไหว” พูดจบนารินทร์ก็หลับไปคาอ้อมแขนของวารินทร์ วารินทร์จึงนำร่างของน้องชายขึ้นไปนอนบนห้องแล้วจัดการโทรบอกเพื่อนๆของนารินทร์ว่านารินทร์ป่วย วันนี้คงจะไม่ไปมหาวิทยาลัยซึ่งเพื่อนของนารินทร์ก็รับทราบและรับปากว่าจะลาอาจารย์ให้
ทางด้านของสาเมื่อวางสายกับนารินทร์ก็แจ้งข่าวที่ได้รู้มาให้เพื่อนๆทราบทันที ซึ่งเพื่อนๆก็ไถ่ถามอาการของนารินทร์ว่าเป็นอย่างไรบ้างแต่ทุกอย่างโอเค ทุกคนจึงนัดกันว่าเดี๋ยวตอนเย็นจะเข้าไปเยี่ยมนารินทร์ด้วยกัน วายุที่ยืนแอบฟังการสนทนาอยู่ก็รีบโทรหาพายุทันทีเพื่อถามทางไปบ้านของนารินทร์ซึ่งเจ้าตัวได้รู้มาว่าตอนที่เค้าไปเข้าค่ายรับน้องนั้นพี่ชายของเค้าแอบดอดไปหาวารินทร์คนสวยถึงที่บ้าน
“พี่พายุ ทางไปบ้านวารินทร์ไปยังไง” วายุถามด้วยน้ำเสียงนิ่งทั้งที่ในใจเร่าร้อนเป็นไฟ เพราะวายุคิดว่าสาเหตุของการไม่สบายของคนตัวเล็กก็เป็นเพราะตัวเค้าเอง
“แกจะไปบ้านหลังนั้นทำไม” พายุถามอย่างสนอกสนใจไม่ใช่ว่าอะไรหรอก เพราะตัวเค้าเองก็อยากไปเหมือนกันและพายุก็มั่นใจเป้าหมายของวายุไม่ใช่เป้าหมายเดียวกับตัวเองแน่นอน…วายุเล่าให้พี่ชายของตัวเองฟังคร่าวๆว่าน้องของวารินทร์ป่วยจึงอยากจะไปเยี่ยมพายุได้ยินดังนั้นก็บอกให้น้องชายมาเจอที่บริษัทแล้วไปพร้อมกัน…ภายในเวลาไม่นานวายุก็มารอผู้เป็นพี่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ เรียกสายตาจากพนักงานบริษัทที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างมากมายเพราะหน้าตาที่เป็นจุดเด่นของวายุ ไม่นานนักพายุก็ลงมาพบน้องชายเพื่อไปบ้านของวารินทร์ตามที่ตกลงกันไว้แต่จุดประสงฆ์ของทั้งคู่ต่างกัน วายุต้องการไปเยี่ยมคนป่วยที่นอนซมไปเรียนไม่ไหวเพราะเป็นไข้ แต่พายุต้องการไปพบกับคนดูแลคนป่วยที่แสนเย็นชาคนนั้น
“พี่…สรุปพี่จะเอาคนนี้จริงๆอ่ะหรอ” วายุถามพี่ชายของตัวเองเพราะวายุเองก็ไม่เคยเห็นพี่ชายตามตื้อใครแบบนี้เหมือนกัน
“ก็คงงั้น…ว่าแต่ฉันแกเถอะ เสียลายจนต้องคอยไปเยี่ยมคนนั้นทีคนนี้ทีตั้งแต่เมื่อไหร่” วายุไม่ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มน้อยๆให้เท่านั้น พายุขับรถเร็วมากจนแทบจะบินเพราะตอนนี้ใจของเค้ามันไปอยู่หน้าบ้าน ‘วารีรินทร์’ เรียบร้อยแล้ว
“ไม่กดกริ่งหรอพี่” วายุท้วงขึ้นเมื่อเห็นพายุจอดรถหน้าบ้านแล้วถือวิสาสะเปิดรั้วด้วยตัวเอง
“เค้าไม่มาเปิดให้แกหรอก” พายุพูดจบพร้อมกับสั่งให้วายุหิ้วของเยี่ยมคนป่วยมาด้วย ในจังหวะที่พายุและวายุกำลังเดินเข้าไปในตัวบ้านระหว่างทางก็พบว่ามีงูมากมายอยู่ในพื้นที่บริเวณบ้านหลังนี้แถมงูพวกนั้นยังจ้องมองมาที่พวกเค้าอย่างคาดแค้น ซึ่งทั้งสองก็แปลกใจว่าเพราะอะไรโดยเฉพาะวายุที่เกือบจะถูกงูชนิดหนึ่งโจมตี แต่ก็สามารถวิ่งหนีขึ้นมาบนบ้านได้อย่างรวดเร็ว
“หูย…นี่คนบ้านนี้อยู่กันได้ยังไงเนี่ย” วายุพูดเสียงเหนื่อยอ่อนเพราะพึ่งวิ่งหนีจากการจู่โจมของงูมา แต่วายุไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเค้าตรงนี้หน้ากลัวกว่างูเหล่านั้นยิ่งนัก
“วารินทร์…ผมได้ข่าวว่าน้องคุณป่วยเลยพาน้องชายมาเยี่ยมน่ะเห็นว่ารู้จักกัน” พายุพูดขึ้น วารินทร์ที่ยืนอยู่ก็นิ่งแต่ในใจก็สงสัยว่าสิ่งที่นารินทร์กำลังเป็นตอนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสองพี่น้องนี่หรือเปล่า
“คุณไม่ควรมาที่นี่ คุณน่าจะรู้…ผมไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก” วารินทร์พูดเสียงเย็นพร้อมกับเหล่าบรรดางูมากมายที่เกาะขอบกระจกอยู่ทางด้านนอก บางตัวก็กำลังเลื้อยเข้ามาด้านในจวนจะถึงตัวสองพี่น้องวายุเทพแล้ว พายุและวายุเหงื่อแตกพลั่กอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่ยักรู้…ว่าคุณสองคนกลัวแค่งูตัวเล็กๆ” วารินทร์พูดจบก็อุ้มงูขึ้นมาเล่นหนึ่งตัว มันจะไม่ทำให้พายุและวายุตกใจเลยถ้างูในมือของนารินทร์ไม่ใช่งูจงอางขนาดยาวพันตัววารินทร์ได้หลายรอบ วารินทร์ตวัดหางตามองสองพี่น้องที่กำลังยืนหน้าตื่นๆโดยเฉพาะวายุที่แทบจะเก็บอาการกลัวไว้ไม่อยู่ต่างกับพายุที่พยายามรักษามาดนิ่งเอาไว้ แต่ก็มีหลุดบ้างซึ่งวารินทร์สามารถรับรู้ได้ว่าทั้งคู่กำลังกลัวไม่น้อย วารินทร์แค่สบตากับเหล่าบรรดากองทัพงูแวบเดียว งูเหล่านั้นก็พากันกลับเข้าป่าไป
“คุณกลับไปเถอะ ผมไม่รับรองว่าจะห้ามพวกเค้า…ไม่ให้ทำร้ายคุณได้หรือเปล่า” วารินทร์พูดจบก็สะบัดตัวเดินขึ้นห้องไปทันที แต่พายุยังไม่ยอมแพ้เดินตามวารินทร์ขึ้นไปชั้นสองติดๆวายุจึงเดินตามพี่ชายของตัวเองขึ้นไปบ้าง วารินทร์ก็รู้ว่าสองพี่น้องกำลังเดินตามมาอยู่แต่ก็ไม่อยากทำอะไรมาก วารินทร์ไม่อยากจะสร้างกรรมต่อไปอีกก็เลยปล่อยเลยตามเลย
“ผมไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ…ผมให้เวลาคุณห้านาทีเท่านั้นและคนเดียวเท่านั้นเพื่อเยี่ยมนารินทร์” สิ้นเสียงของวารินทร์พายุก็พยักหน้าให้วายุเข้าไปเสีย วายุก็พยักหน้าตกลงแล้วเดินเข้าไปในห้องทันที วารินทร์จึงเดินหนีออกไปที่ระเบียงแต่ก็ไม่วายพายุยังคงตามเค้าออกมาอีกจนวารินทร์อดที่จะพูดบางสิ่งบางอย่างไม่ได้
“ผมขอเตือนคุณว่าพวกคุณไม่ควรจะมายุ่งกับพวกวารีรินทร์อีก”
“ทำไมล่ะ ผมก็แค่สนใจแล้วก็อยากรู้จักคุณก็แค่นั้น”
“บางสิ่งบางอย่างในตัวพวกคุณจะทำให้พวกเราเจ็บปวด” วารินทร์พูดหน้านิ่ง แต่พายุไม่เข้าใจในสิ่งที่วารินทร์พูดซึ่งพายุแสดงออกทางสีหน้า
“ไม่…ผมไม่มีวันทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจหรอก” พายุยังคงพยายามเถียงวารินทร์ นารินทร์จ้องตาพายุส่วนพายุก็จ้องตาวารินทร์อย่างมุ่งมั่น สองตาสบกันจ้องมองกันอย่างไว้เชิงจนวารินทร์เอ่ยคำพูดบางอย่างออกมาอีกครั้ง
“ในเมื่อคุณยังจะดื้อรั้นผมก็คงห้ามอะไรพวกคุณไม่ได้…แต่ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ เราก็จะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยแน่แม้พวกเราจะทานอำนาจของพวกคุณไม่ได้ก็ตาม” วารินทร์พูดบางสิ่งเป็นปริศนาไว้ทำให้พายุรู้สึกงงเข้าไปอีกแต่ก็ไม่ท้วงติงอะไรเพียงแต่ยืนฟังนิ่งๆเท่านั้น
“เกินเวลาที่ตกลงกันไว้แล้ว” วารินทร์เดินเข้าไปในห้องของน้องชายที่นอนพักอยู่ทันทีก็พบว่าน้องชายของเค้านั้นตื่นแล้ว แต่สายตาว่างเปล่าไม่มองวายุแม้แต่หางตาทำให้เค้าเริ่มแน่ใจแล้วว่าวายุต้องทำอะไรสักอย่างกับนารินทร์แน่ๆ
“พี่รินทร์จ๋า นาอยากพักผ่อน” นารินทร์บอกวารินทร์เสียงแหบพร่า วารินทร์มองหน้าวายุทำให้วายุรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนที่ไม่ต้องการจึงยอมเดินออกมาง่ายๆ ถึงแม้ในใจจะโกรธอยู่มากก็ตาม…นารินทร์ไม่คุยกับเค้าไม่มองแม้แต่หน้าทำเหมือนวายุเป็นธาตุอากาศซึ่งนี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างที่นารินทร์อยู่ในห้องกับวายุสองคน
“เป็นยังไงบ้าง…ดีขึ้นหรือเปล่า” วายุไถ่ถามอาการของนารินทร์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับ แต่นารินทร์หันหน้าหนีออกมองไปนอกระเบียงของห้องแทน วายุที่ตอนแรกนั่งอยู่ข้างเตียงฝั่งหนึ่งก็ย้ายไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้หนีเค้าไม่พ้น
“พี่ถาม” วายุพยายามใจเย็นแต่นารินทร์ก็ยังคงไม่ตอบอีก วายุยื่นมือไปจับมือนารินทร์ คนตัวเล็กก็สะบัดออกอย่างไม่ใยดี วายุถึงกับกำมือตัวเองแน่น
“จะเอายังไงนารินทร์…จะเอายังไงกับพี่!!!” วายุเริ่มเสียงดังใส่นารินทร์แต่นารินทร์ก็ยังคงเฉยไม่โต้ตอบ
“พี่ขอโทษ…ขอโทษที่พี่ทำอะไรไปโดยไม่ได้คิด ยกโทษให้พี่ได้ไหม” วายุพยายามตีหน้าเศร้าสำนึกผิดและพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง นารินทร์ก็โต้ตอบกลับไปอย่างเจ็บแสบ
“แค่ครั้งเดียว…ทำทาน!!!” จังหวะที่นารินทร์พูดจบวารินทร์ก็เข้ามาในห้องพอดี นารินทร์จึงพูดบอกพี่ของตัวเองแทนว่าต้องการพักผ่อนทำให้วายุต้องล่าถอยกลับไปเพราะถูกวารินทร์จ้องมองอย่างกดดัน
‘อย่ากลับมาที่นี่อีก!!!’ เสียงพูดที่เกรี้ยวโกรธดังไล่หลังทั้งคู่มาทำให้สองพี่น้องต้องหันกลับมองแต่ก็พบเพียงวารินทร์ที่ยืนมองพวกเค้านิ่งจากระเบียงด้านบนเท่านั้นเสียงของวารินทร์ไม่น่าจะดังมาถึงพวกเค้าได้ วายุคิดว่าตัวเองหูแว่วจึงไม่สนใจอะไรแต่พายุกลับไม่คิดอย่างนั้นเพราะมาบ้านนี้กี่ครั้งขากลับออกไปต้องมีเสียงแปลกๆเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งพายุคิดไม่ผิดเพราะสิ่งที่สองพี่น้องเทพวายุได้ยินคือสิ่งที่จิตของวารินทร์คิดออกไปแบบนั้น
“แกเป็นอะไรของแกไอ้วายุ นั่งทำหน้าเหมือนจะไปฆ่าคน” พายุถามน้องชายที่หลังจากออกมาจากบ้านวารีรินทร์ก็นั่งทำหน้าอมทุกข์ไม่พูดไม่จา
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” วายุปฏิเสธกับพายุ…แต่เปล่าเลยในใจของเค้าตอนนี้กลับเคียดแค้นนารินทร์ที่ไม่ยอมสนใจในตัวของเค้า ไม่รับคำขอโทษจากเค้า วายุจึงคิดว่าในเมื่อถนอมกันดีๆไม่ชอบก็คงต้องทำลายกันแทนเสียแล้ว วายุคิดจะเปิดสึกกับบ้านวารีรินทร์แม้ว่าจะต้องสู้กับกองทัพงูนับหมื่นตัวหรือปีศาจอะไรที่น่ากลัวมากกว่านี้ แต่คนอย่างวายุฆ่าได้แต่หยามไม่ได้!!!