Chapter 9
หลังจากนั้นสองสามวันนารินทร์ก็หายจากอาการพิษไข้และกลับมาเรียนได้ปกติ ถึงแม้ว่าจะต้องตามงานในส่วนที่ตัวเองขาดเรียนไปบ้างนิดหน่อยแต่ก็อาจารย์แต่ละรายวิชาก็เข้าใจและให้นารินทร์ส่งงานย้อนหลังได้เพราะนารินทร์เป็นเด็กที่ใส่ใจในการเรียนดีในสายตาของอาจารย์ทุกคน
“หายดีแล้วใช่ไหมถึงมาเนี่ย” สาถามนารินทร์ทันทีเมื่อเห็นหน้า
“หายแล้ว…ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” นารินทร์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โต๊ะกับพวกเพื่อนๆก่อนเข้าเรียนเพื่ออัพเดทข่าวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนและตอนนี้ข่าวใหม่ที่นารินทร์ได้รู้มาก็คือวายุเริ่มออกเที่ยวควงผู้หญิงอีกแล้ว แต่นั่นก็ทำให้นารินทร์คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะวายุจะได้ไม่มาตามรังควาญตัวเค้าอีก
“กูค่อยสบายใจหน่อยที่เค้าเลิกยุ่งกับมึงแล้ว…กูยังกลัวอยู่ว่าถ้าเค้าได้มึงแล้วล่ะก็ พี่วายุต้องทิ้งมึงแน่ๆ แต่นี่มึงยังมีบุญนะถ้ามึงยังไม่เสร็จเค้าแล้วลามือไปเอง” โอพูดอย่างโล่งใจโดยไม่รู้เลยว่าในจิตใจของนารินทร์กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงที่เสียท่าให้วายุไปแล้ว แต่ก็ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน
“ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวเจอกันหลังเลิกคลาสนะ” พูดจบทุกคนก็แยกย้ายไปตามตึกคณะของตัวเอง ตลอดการเรียนในคลาสของนารินทร์ทุกอย่างเรียบร้อยเป็นปกติดีจนกระทั่งถึงเวลาเลิก นารินทร์ก็กะว่าจะไปพบกับเพื่อนๆอีกครั้ง แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่าเพราะตัวเค้ารู้สึกไม่ดีจึงโทรบอกเพื่อนๆแล้วขึ้นรถกลับบ้านทันที…เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบๆห้าโมงเย็นแต่นารินทร์ได้รับโน้ตจากวารินทร์เขียนแปะตู้เย็นไว้ว่ามีงานจะกลับดึกหน่อย พร้อมกับทำอาหารวางไว้ให้ที่โต๊ะมีฝาชีครอบไว้อย่างดี นารินทร์ยกยิ้มอย่างมีความสุขยังไงเสียคนที่รักเค้าที่สุดก็คือวารินทร์ญาติเพียงคนเดียวที่นารินทร์เหลืออยู่
ทางด้านของวายุหลังจากเลิกเรียนแล้วก็ทำทีมาหาโอแต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบคนที่ต้องการเจอ วายุจึงซักไซ้ไล่เรียงจนได้คำตอบมาว่านารินทร์กลับบ้านไปแล้วเพราะรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย วายุยกยิ้มหน่อยๆก่อนจะเดินจากมา ทำให้โอ สาและโจ้ งงกับพฤติกรรมของวายุที่ยังคงมาตอแยเพื่อนตัวน้อยของเค้าอีก
ทางด้านของวารินทร์ที่ได้รับว่าจ้างจากคนรู้จักให้ช่วยไปรำในงานมงคลงานหนึ่ง วารินทร์รับงานเพราะเห็นว่าเป็นคนรู้จักแต่วารินทร์ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอพายุในงานนี้อีก และตอนนี้พายุก็กำลังเดินตามวารินทร์มาข้างหลังจนแทบจะเป็นเงาของวารินทร์แล้ว
“คุณมีอะไร” วารินทร์หยุดฝีเท้าแล้วหันไปประจันหน้าตรงๆทำให้พายุเกือบจะหยุดเดินไม่ทัน
“ก็เปล่า…แค่ไม่คิดว่าจะได้เจอกับนางฟ้าของผมในงานนี้…โชคดีจังเลยนะครับ” พายุพูดหยอกใส่วารินทร์เพื่อหวังว่าจะให้อีกฝ่ายได้เขินบ้างแต่เปล่า…วารินทร์หมุนตัวกลับแล้วเดินไปยังห้องแต่งตัวของนักแสดงที่มีนักแสดงชุดอื่นรวมอยู่ด้วย
“ขอโทษนะคะ ส่วนนี้เฉพาะนักแสดงค่ะ” วารินทร์ยื่นบัตรบางอย่างให้พนักงานที่ยืนอยู่หน้าห้องดูจึงผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนพายุที่เห็นดังนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องงานเลี้ยงเพื่อเฝ้ารอคอยเฝ้าดูการแสดงของวารินทร์อย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากวารินทร์เข้ามาในส่วนของนักแสดงแล้วก็ถูกจับตามองจากทุกๆคนไม่ว่าจะตัวนักแสดงคนอื่นๆ ช่างแต่งหน้าทำผมหรือพนักงาน ด้วยรูปร่างบอบบางอย่างน่าทะนุถนอมกับหน้าที่สวยอย่างเย่อหยิ่งแต่เป็นธรรมชาติ ผมยาวดำขลับอย่างธรรมชาติจนถึงกลางหลัง ทำให้วารินทร์ดูเด่นสะดุดตา…วารินทร์จัดการแต่งหน้าตัวเองและมัดผมรวบขึ้นไว้เป็นมวยแล้วจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างใจเย็น และเมื่อวารินทร์เดินออกมาอีกครั้งหนึ่งทุกสายตาก็ต้องจดจ้องไปที่วารินทร์อีกครั้งจากที่ตอนแรกก็เด่นพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้วารินทร์ช่างงดงามราวกับนางฟ้าในสายตาของทุกคนในห้องนั้นและแน่นอนว่าเมื่อมีคนชอบย่อมต้องมีคนเกลียด
“หึ…ฉันเห็นเค้าว่ากันว่านะน้องคนนี้รำได้สวยหยดย้อยเลยนี่ น้องช่วยแซมเปิ้ลให้พวกพี่ดูก่อนได้ไหมคะ พวกพี่นี่ตื่นเต๊นนนนนน ตื่นเต้น” นักแสดงคนหนึ่งเปิดฉากแขวะวารินทร์ทันที เมื่อมีคนเริ่มก็ต้องมีคนตามอยู่แล้ว แต่วารินทร์ไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนพันธุ์นั้นอยู่แล้ว ไม่สิต้องบอกว่าวารินทร์ไม่คิดว่ามีคนพวกนี้อยู่ในห้องเลยด้วยซ้ำ
“เชิ่ด…หยิ่ง เหลือเกินนะ อีกระเทย!!!!” มีช่างแต่งหน้าคนหนึ่งจงใจเดินเฉียดหน้าวารินทร์แล้วก็กระแทกเสียงดังใส่ ซึ่งก็มีทั้งคนที่สงสารเห็นใจและสมน้ำหน้า แต่แล้วช่างแต่งหน้าคนนั้นก็เกือบถึงฆาตโดยไม่รู้ตัว
“กรี๊ดดดดดดดด…งูกัดฉัน!!!!” ช่างแต่งหน้าที่ด่าวารินทร์ถูกงูพิษมากมายซึ่งมาจากไหนไม่รุมรู้กัดมีทั้งงูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ และบรรดางูสารพัดที่มีพิษอีกมากมาย ทำให้คนในห้องนั้นแตกตื่นร้องกรี๊ดกันอย่างหวาดกลัว ต่างกับวารินทร์ที่ยังคงนิ่งสงบจนดูน่ากลัวในสายตาของคนอื่นที่คอยจับปฏิกิริยาของวารินทร์
“…” วารินทร์ไม่พูดอะไรเพียงแค่ลุกไปตรงบริเวณงูแล้วจัดการงูเหล่านั้นด้วยการจ้องมอง งูทั้งหมดก็ค่อยๆเลื้อยออกไปอย่างสงบเสงี่ยม พนักงานด้านนอกที่เตรียมจะมาจัดการงูจึงไม่จำเป็น
“คุณหาเรื่องเองแท้ๆนะครับ คุณรีบไปหาหมอจะดีกว่า” วารินทร์ไม่ได้เป็นคนสั่งงูให้กัดช่างแต่งหน้าคนนั้นเพราะวารินทร์ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วกับคำพูดของคนไม่มีหูรูด แต่เห็นทีบริวารพวกพ้องของวารินทร์จะไม่ยอม
“คุณวารินทร์ครับ เชิญเตรียมตัวหลังเวทีครับ” วารินทร์เดินออกไปโดยไม่สนใจคู่กรณีที่นอนเหมือนคนใกล้จะตายไปทุกทีเพราะพิษของงูกำลังแล่นไปทั่วร่างกายของเธอ คนอื่นๆก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต้องรอรถพยาบาลเท่านั้น
พายุที่ยืนรอการแสดงชุดของวารินทร์อยู่นานอย่างใจจดใจจ่อในที่สุดความฝันของเค้าก็กำลังจะกลายเป็นจริงเมื่อพิธีกรบนเวทีเกริ่นถึงการแสดงชุดต่อไปซึ่งเกี่ยวกับความเป็นไทย พายุมั่นใจทันทีว่าจะต้องเป็นวารินทร์แน่นอน
“ได้เวลาอันสมควรแล้ว ไปรับชมพร้อมกันเลยครับ!!!” พูดจบแขกในงานต่างก็ปรบมือกันตามมารยาทและไม่ได้สนใจการแสดงของวารินทร์เลย ต่างกับพายุที่เพ่งเล็งมองที่เวทีตั้งแต่นางรำยังไม่ก้าวขาออกมา
“คุณพายุขา ชอบดูรำไทยหรือคะ เอาไว้ไปดูกับนุชสองคนไหมคะ นุชรู้จักที่ที่มีการรำไทยสวยๆอยู่ค่ะ” หญิงสาวที่พยายามพูดคุยกับพายุกำลังเรียกร้องความสนใจแต่มันไม่มีผลเลยสักนิด
“…” พายุไม่ได้สนใจคนรอบข้างเสียแล้ว เค้าสนใจแต่คนสวยที่อยู่บนเวทีกำลังเริ่มการร่ายรำอย่างอ่อนช้อย…ไม่ว่าจะดูสักกี่ครั้งก็ยังคงน่าหลงใหลไม่เปลี่ยนแปลง…หลังจากวารินทร์เริ่มการร่ายรำไปได้ไม่นาน ทุกสายตาก็จับจ้องไปยังวารินทร์เพียงคนเดียว ทำให้พายุรู้สึกหวงวารินทร์ขึ้นมาดื้อๆทั้งที่ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัววารินทร์เลยหลังจากจบการแสดงก็เกิดเสียงปรบมือเกรียวกราวอย่างชื่นชมผิดกับตอนแรก
“โอ้โห เป็นการร่ายรำที่งดงามมากๆครับ ขอบคุณมากๆครับที่ได้มาร่ายรำให้เราได้ชมกันส่วนการแสดงชุดต่อไป…” พิธีกรก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปส่วนวารินทร์ก็รีบเก็บของเพื่อจะกลับบ้านเพราะเริ่มรู้สึกได้ถึงบางอย่างกำลังคืบคลานบ้านของตัวเอง วารินทร์จะไม่ร้อนรนสักนิดถ้านารินทร์ไม่ได้อยู่บ้าน!!!
“ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะครับ…จะเป็นเกียรติมากถ้าคุณยอมไปทานข้าวกับผม” พายุดักหน้าวารินทร์ไว้ เพื่อชวนไปทานข้าวด้วยกันแต่วารินทร์ก็นิ่งไม่ตอบเพราะกำลังร้อนใจกับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่บ้านของตัวเอง
“เดี๋ยวสิครับ…ปล่อย” เมื่อพายุคว้ามือของวารินทร์เพื่อให้หยุดเดิน วารินทร์ก็สะบัดมือของพายุออกได้ด้วยแรงมหาศาลจนทำให้พายุรู้สึกได้ถึงความชาที่มือเพราะถูกสะบัดอย่างแรง พายุคิดในใจว่าทำไมคนดูบอบบางเยี่ยงวารินทร์ถึงได้มีแรงมากมายขนาดนี้
“ผมจะเตือนคุณอีกครั้ง…ครั้งสุดท้าย อย่ามายุ่งกับพวกเราอีก!!!” วารินทร์พูดเสียงดังฟังชัดแล้วรีบเดินไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้านทันที ทิ้งให้พายุที่รู้สึกหมดหวังยืนนวดมือที่ถูกสะบัดอย่างแรงอยู่คนเดียว
บ้านวารีรินทร์กำลังถูกบุกรุกโดยคนกลุ่มหนึ่งถึงห้าคน ซึ่งทั้งห้าคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำแข็งแรงซึ่งได้งัดประตูบ้านด้านนอกออกและสามารถเข้าไปในตัวบ้านได้แล้ว พวกเค้ามาเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง…นายของพวกเค้าสั่งให้มาอุ้มหนุ่มน้อยตัวเล็กในรูปซึ่งหน้าตาคล้ายคลึงกับนารินทร์อย่างมาก
“มึงไปดูชั้นบน เดี๋ยวกูเฝ้าต้นทางเอง…อ้อ นายสั่งมาอีกอย่างถ้าเจอคนผมยาวให้จัดการได้เลย” อีกสี่คนที่เหลือพยักหน้าแล้วรีบขึ้นไปข้างบนแต่เมื่อขึ้นมาแล้วก็พบกับจำนวนห้องถึ
สี่ห้อง…ผู้บุกรุกทั้งสี่จึงแยกกันเปิดทีละห้องเพื่อความรวดเร็วแต่ในห้องทั้งสี่กลับว่างเปล่าไม่มีร่องรอยของมนุษย์เลยสักนิด
“ห้องนู้นมีไหมวะ ห้องนี้ไม่มีว่ะ…ห้องนี้ก็ไม่มีว่ะ” ผู้รุกตะโกนถามกันเพื่อหาตัวเป้าหมายของพวกเค้าในครั้งนี้ เมื่อสำรวจแน่นอนแล้วว่าไม่มีทั้งสี่คนก็พากันมารวมตัวข้างล่าง
“ไม่มีเลยว่ะ เหมือนจะไม่มีคนอยู่นะ” ผู้บุกรุกจึงปรึกษาหารือกันว่าควรจะเอายังไงดี แต่ในระหว่างการสนทนากันอยู่นั้นก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้น ทำให้ทั้งห้าคนเงียบเพื่อตั้งใจฟังเสียงนั้น
“ฟ่อ…ฟ่อ…ฟ่อ…ฟ่อ…ฟ่อ…ฟ่อ…ฟ่อ” เสียงประหลาดนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งพวกเค้ารู้สึกว่ามันอยู่รอบๆตัวพวกเค้าแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะบ้านมืดมาก
“มึงก็ส่องไฟสิ…พรึ่บ เฮ้ยยยยยย…คว้ากกกกก” เมื่อแสงไฟสาดส่องไปตามพื้นก็พบกับงูจำนวนมากจนเต็มพื้นที่แทบจะไม่มีทางเดินกำลังจ้องขู่พวกเค้าอย่างเอาเรื่อง ทั้งห้าคนวิ่งไม่คิดชีวิตแต่ก็ถูกฉกกันไปคนละหลายสิบที แต่ด้วยความตกใจทำให้ทั้งสี่รีบวิ่งไปจนถึงถนนหน้าบ้าน
“แฮ่ก แฮ่ก เหนื่อย มันงูเหี้ยอะไรวะเยอะแยะขนาดนั้น” ระหว่างที่พวกเค้ากำลังพักเหนื่อยกันอยู่พวกเค้าก็ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกงูขนาดใหญ่ล้อมรอบพวกเค้าไว้หมดแล้ว
“เฮ้ย อะไรวะ เฮ้ย…อ๊ากกกกกกกก อย่า!!! ก็อบ ก็อบ ก็อบ”