Merry Married Christmas
(Lately Merry Christmas )
คำเตือนก่อนอ่าน
เนื้อเรื่องด้านล่างเป็นตอนพิเศษที่อยู่นอกเหนือจากตอนหลักนะคะ ไม่มีส่วนเกี่ยวเนื่องใดๆ ต่อกัน โปรดอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน “กูจะไปดูไฟ”
นั่นคือคำขาดที่ผมยื่นให้ตั้งแต่ตื่นนอนโดยที่คู่สนทนายังไม่ทันแม้แต่จะถามด้วยซ้ำว่าวันนี้ผมจะไปไหนรึเปล่า มันเป็นการเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจครับ ผมรู้แต่ผมก็รู้อีกด้วยว่าไอ้คนตรงหน้ามันไม่ขัดใจผมหรอก ผู้ชายไทยแท้ตาไม่ตี่แต่สูงและขาวหล่อยิ้มกว้างให้กับคำร้องขอกึ่งบังคับนั้น มันขยับตัวเปลี่ยนท่าจากนั่งบนเตียงแล้วเอนตัวไปทางด้านหลังมานั่งห้อยขากับขอบเตียง ก่อนจะดึงผมลงไปนั่งตรงหว่างขา ทีมมันกอดผมเอาไว้หลวมๆ
“ไปดูไฟ?...มึงดูไฟนีออนในห้องนี่ก็ได้ คล้ายกันเลย” ไม่ว่าเปล่า มันขยับหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ “หรือถ้าอยากให้มันสว่างวิบๆ เหมือนบนถนน เดี๋ยวกูสร้างบรรยากาศให้ได้นะ”
พูดแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ ไม่รู้เลยเนอะว่ามึงกำลังคิดอะไรน่ะ ไอ้หื่น
“ลามปามว่ะมึงอะ” ผมผลักหน้ามันออก ทีมมันก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ กอดผมแน่นขึ้นแล้วร้องเพลงพลางโยกตัวไปมา
“You better watch out. You better not cry. You better not pout. I’ll tell you why…” มันร้องเพลงด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแบบที่ผมชอบฟัง เว้นระยะเอาไว้ไม่ยอมร้องจนจบ เริ่มอีกละ เด็กน้อยในตัวมันเริ่มอยากเล่นอะไรพิเรนทร์อีกแน่ๆ
“why shouldn’t I cry?” เล่นมาก็ถามกลับได้ครับ
“Santa Team is coming for you~” โห ไอ้เสี่ยวววววววววว
“กูจะอ้วก” ผมหัวเราะในคอแล้วทำท่าจะลุกหนีไปอาบน้ำ ตั้งแต่ตื่นมาก็บ่ายกว่าแล้วครับ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย เหนียวตัว
“แพ้ท้องเหรอ กูใส่ถุงยางตามที่มึงสั่งตลอดนะ แอบมีชู้เหรอที่รัก” มันดึงข้อมือผมไว้ แกล้งถามด้วยสีหน้าจริงจัง ขมวดคิ้วย่นเข้าหากันจนเป็นรอยคลื่นเลยครับ
“ทีม มึงอย่าย่นคิ้วแบบนี้ดิวะ เห็นทีไร กูนึกขึ้นได้ทุกทีว่ามึงแก่”
“พูดแบบนี้เอาสิบล้อทับหน้ากูเลยดีกว่า” มันบอกแล้วทำปากยื่นใส่ผม แม่ง น่าเอาแม็กซ์มาเย็บปากจริงๆ
“กูจะอาบน้ำ หิวแล้วด้วย” สั่งไว้เผื่อครับ เพราะมันตื่นตั้งแต่เช้า อาบน้ำแล้วไปตักบาตรที่หน้าบ้าน นั่งดูการ์ตูน ให้อาหารเซ็กส์ซี่แล้วค่อยมากวนใจผมเมื่อไม่นานนี้เองครับ ทีมมันทำท่าตะเบ๊ะใส่
“ทันทีครับเจ้านาย!”
ผมใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเสื้อลงมาที่ชั้นล่าง ข้าวต้มง่ายๆ ถูกจัดเตรียมไว้หอมฉุยอยู่บนโต๊ะ มีไอ้ทีมมันนั่งยิ้มกว้างอยู่ที่ฟากหนึ่งของโต๊ะ วันนี้มันใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดาสกรีนลายธรรมดาแต่ความพิเศษของมันอยู่ที่ผมเองก็มีเสื้อตัวนี้ด้วยเหมือนกัน จะเรียกว่าเสื้อคู่ก็ดูจะไม่เลี่ยนจนเกินไปนะ
“เสื้อใส่พอดีตัวป่ะวะ” มันถามผมก่อน ถูกแล้วครับ วันนี้ผมเองก็จงใจใส่เสื้อแบบเดียวกับมัน คริสต์มาสทั้งที อยากทำอะไรดีๆ ให้ไอ้ตัวดีมันชื่นใจบ้าง แหะๆ เขินเหมือนกัน ปกติไม่เคยทำอะไรแบบนี้
“อืม หลวมนิดหน่อย” ผมบอกแล้วจับขอบเสื้อแถวๆ เอวให้มันดู ช่วงนี้ผมเรียนหนัก ต้องเตรียมสอบด้วยน้ำหนักเลยลดไปหลายกิโลอยู่
“ไม่ได้หลวมหรอก กูจงใจซื้อไซส์นี้ มันจะได้ไม่รัดตัวมึงมากไง”
“ถ้ามึงใส่เสื้อยืดหลวมๆ เหลือจากตัวมึงเป็นเมตรแบบนี้ ก็ไปเต้นฮิปฮอปเถอะทีม” ผมบ่นอย่างจนใจแล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามมัน โต๊ะกินข้าวที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่เหมือนบ้านหลังเก่า ขนาดของมันเพียงพอแค่สำหรับคนสองคนเท่านั้น ผมกับทีมเลยนั่งห่างกันแค่เอื้อมมือถึง
“ไหนมึงว่ากูแก่ กูคงเต้นฮิปฮอปไม่ไหวหรอกมั้งเด็กน้อย” ผมหัวเราะหึหึ กับท่าทีเลียนแบบคนแก่ของมัน แล้วลงมือตักกุ้งในชามขึ้นใส่ปาก ทีมมันรู้ดีครับว่าผมชอบทานข้าวต้มกุ้งตอนเช้า รสเค็มนิดๆ แบบนี้แหละ ทำให้ผมค่อนข้างเจริญอาหาร ที่จริงจะว่าผมน้ำหนักลงก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว ก่อนหน้านี้ผมน้ำหนักขึ้นมาหลายกิโลเพราะมันเอาแต่ทำกับข้าวขุนผมจนแก้มย้วย มาช่วงนี้ถึงได้กลับไปน้ำหนักเท่าตอนเพิ่งกลับจากอเมริกาใหม่ๆ
“เตะปี๊บไม่ดังแล้วสิมึงอะ กูถึงว่า พักนี้มึงเรือล่มปากอ่าวบ่อยๆ”
“เฮ้ยๆ พูดให้ดีๆ กูล่มปากอ่าวตอนไหน ไม่เคยเหอะ” มันทำท่าเคืองๆ ใส่ แล้วลุกไปหยิบช้อนอีกคันมาแย่งข้าวต้มผม “ฝุ่น”
“อะไร”
“ตอนมึงอยู่เมกา ซานตาคลอสเข้ามาในบ้านทางไหนวะ” ห่า..ถามไรของมึงเนี่ย ปัญญาอ่อนกว่านี้มีอีกมั้ย
“ประตูมั้ง” ผมตอบแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่ แบบว่าไม่ว่างกำลังเคี้ยวกุ้ง คริคริ
“อ่าว บ้านเก่ามึงไม่มีปล่องเตาผิงเหรอวะ”
“มี แต่ถ้าซานต้าโง่เข้าทางนั้น ป่านนี้คงโดนย่างสดไปแล้วมั้ง”
“งั้นมึงคิดว่าซานต้าจะเข้ามาบ้านเราทางไหน”
“หน้าต่างห้องกูล่ะมั้ง เผื่อได้ลองของแปลก” ตอบไปงั้น ทีมมันเลยทำปากจี๊จ๊ะที่ผมไม่เล่นตามน้ำ จนสุดท้ายมันก็ยอมบอก
“แต่กูว่ากูเห็นซานต้าแวบๆ แถวๆ เครื่องซักผ้านะ มึงกินข้าวเสร็จลองไปเปิดดูดิ เผื่อมีของขวัญ” แม่ง เด็กสามขวบยังรู้เลยว่ามึงเอาของขวัญไปใส่ไว้ในเครื่องซักผ้าให้กู ไอ้บ้า!!!
แล้วกูก็บ้าตามมัน....
ผมเดินมาเปิดเครื่องซักผ้าดูตามที่มันบอกจริงๆ แหละครับ แล้วแม่งก็เป็นอย่างที่เด็กสามขวบทาย มีกล่องของขวัญกล่องไม่ใหญ่มากอยู่ในนั้นพร้อมสำลีที่ขยำๆ อีกจำนวนนึง ผมเลี่ยงที่จะหยิบของขวัญขึ้นมาเมื่อปลายหางตาแอบเห็นไอ้ทีมมันเดินมา แต่หยิบสำลีก้อนๆ นั่นขึ้นมาแทน
“ห่าไรเนี่ย!! กูเจอซานต้าจะเตะตูดให้ เอาสำลีมาทิ้งไว้ในเครื่องซักผ้าทำไม!!!” ผมแกล้งโวยวายขึ้นมาเสียงดัง ทีมแม่งรีบวิ่งทั่กๆ ออกมาจากหลังประตู แล้วบอก
“เห้ย กู เอ้ย ซานต้าให้มึงดูของขวัญไม่ใช่หิมะ”
“หิมะพ่อมึง หน้าตาแบบนี้เหรอ” ผมถามเสียงโหด หน้ามันเลยหดเหลือสองนิ้ว ก้มลงหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาจากถังเครื่องซักผ้าส่งให้ผม
“ไม่เปิดดูเหรอ”
ผมไม่พูดอะไร แต่รับมาแล้วค่อยๆ แกะสก็อตเทปออกทีละจุดอย่างระมัดระวัง ข้างในเป็นกล่องแข็งเรียบสีขาว มีสติ๊กเกอร์ยี่ห้ออะไรผมไม่แน่ใจสีทองๆ แปะอยู่บนกล่องเพิ่มความหรูให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากแคร์ ของต้องสงสัยที่อยู่ข้างในนี้คืออะไรนี่แหละคือสิ่งที่ผมจะหาคำตอบเอาเดี๋ยวนี้
กล่องถูกผมเปิดขึ้นอย่างเบามือ ผ้าพันคอไหมพรมนุ่มมือสีเทาเข้มแบบที่ผมชอบและแม่กุญแจจำนวนสองลูกวางอยู่ในนั้น...
“ซานต้าบ้ารึเปล่า ส่งผ้าพันคอมาให้กูทำไม อากาศร้อนจะตายห่าแบบนี้ ให้เสื้อกล้ามตราห่านกูยังไม่โกรธเลย” ผมแกล้งตวัดตาใส่ ทีมมันเลยรีบกุลีกุจอหยิบผ้าพันคอกับแม่กุญแจขึ้น มีซองสีม่วงเข้มของสายการบินหนึ่งวางอยู่ในนั้น..
“ซานต้าให้มึงเอาผ้าพันคอไปใส่ที่นี่ต่างหาก” มันเปิดซองนั้นออกแล้วหยิบกระดาษเอสี่สีขาวข้างในออกมา เป็นอีทิคเก็ตสองใบ ปลายทางมุ่งสู่โซล ประเทศเกาหลีในวันที่ 30 ธันวาคมนี้
“ที่จริงซานต้าทีมก็อยากพาน้องฝุ่นไปเที่ยวที่อื่นนะ แต่กูก็อยากเอาแม่กุญแจไปคล้องไว้บนนัมซานทาวเวอร์กับมึงอะ”
“มึงดูหนังมากเกินไปรึเปล่าวะทีม” ผมถาม ทีมมันหน้าม่อยลงไปนิดหน่อย ถือตั๋วไว้ในมืออย่างเสียเซลฟ์ขั้นสุด
“ไม่ชอบเหรอ แต่กูซื้อมาแล้วอะ”
“ไม่...ได้บอกว่าไม่ชอบ” คริคริ สะใจ แกล้งคนแก่
ผมหัวเราะออกมา ทีมมันเลยยิ้มกว้างดึงมือผมไปจูบเบาๆ
“มึงแม่งชอบแกล้งกู รู้ว่ากูยอมรู้ว่ากูตามใจ แล้วทำไมชอบแกล้งกูจังวะ” มันบอกเสียงอ่อย แล้วงับมือผมเต็มแรง
“เหี้ย เจ็บ!” แม่ง จากแกล้งเดี๋ยวกูจะโกรธจริงแล้ว
“ตอนมึงด่า กูเจ็บกว่านี้อีก”
“ยิ่งแก่ยิ่งเสี่ยวนะมึงอะ”
“ถึงเสี่ยวแต่ก็รักมึงคนเดียวนะ” หึหึ ดูแม่ง วนเข้าตัวกูอีกละ ผมหัวเราะในลำคอ ยอมให้ทีมมันจับจูบเอาได้ง่ายๆ ถือว่าให้รางวัลกับผู้ชายนิสัยดีที่ทำดีกับผมเสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันอย่างที่มันเคยสัญญาเอาไว้
แต่ดูเหมือนไอ้คนโลภมากมันไม่ยอมหยุดอยู่แค่จูบน่ะสิครับ มือเริ่มเลื้อยไปกองแถวๆ สะโพกผม ออกแรงขยำเนื้อตรงก้นผมกระตุ้นอารมณ์เป็นจังหวะ..แต่ขอโทษนาทีนี้ กูจะออกไปฉลองคริสต์มาสโว้ย
“พอๆ กูจะออกไปดูไฟแล้ว”
“นี่เพิ่งบ่ายสองกว่าๆ เอง รีบไปทำไมวะ เค้ายังไม่เปิดไฟไห้มึงดูหรอก” มันยังกอดผมเอาไว้หลวมๆ ไม่ยอมให้ผมเดินออกจากห้องซักผ้าอย่างที่ต้องการ
“กูจะไปซื้อเสื้อเตรียมไปเที่ยวเกาหลี!” เท่านั้นแหละครับ ทีมมันหัวเราะก๊ากออกมา เออ อายแต่ที่พูดก็มีส่วนจริงนะ
สรุป ผมเห่อกว่าไอ้ห่านป่าทีมอีก!
ทีมกับผมตัดสินใจจะเดินซื้อเสื้อที่สยามเพื่อรอพระอาทิตย์ตก จากนั้นก็เดินดูไฟถ่ายรูปกันแบบชิวๆ ดีที่ไอ้ทีมมันเอารถไปจอดทิ้งไว้ที่บ้านเพื่อนตรงสามย่าน แล้วเราก็นั่งแท็กซี่ย้อนกลับมาที่สยามกันครับ ผมเองก็เรียนอยู่ไกลจากแหล่งวัยรุ่นแถวนี้ ทีมมันก็ต้องทำงานเลยไม่ค่อยได้มีเวลาเข้าเมืองมาแถวๆ นี้เท่าไหร่ นานๆ มาทีก็แปลกตาไปอีกแบบครับ
“ทีม รอแป๊ปนึง” ผมบอกแล้วให้มันหยุดยืนรอ ไม่ไหวแล้วครับ ร้อนมาก ผมวิ่งข้ามถนนแคบๆ แค่เลนเดียวไปซื้อน้ำเปล่าเย็นๆ กับฝรั่งแช่บ๊วยหนึ่งลูก ไม่ใช่น้ำแข็งไสก็ไม่เป็นไรครับ นาทีนี้อะไรเย็นๆ ฝุ่นวิ่งเข้าหาหมดล่ะ
“กินน้ำก่อนมึง ร้อนจะตายห่าอยู่แล้ว” ผมบ่น ทีมมันเลยยิ้มขำๆ รับน้ำจากมือผมไปเปิดฝาออก เสียบหลอดแล้วยื่นมาจ่อปาก
“มึงกินก่อน” ไม่อยากขัดใจครับ เลยก้มลงดูดอั่กๆ ลงคอ จากนั้นทีมมันเลยรับไปกินต่อ
ผมกับมันเดินเลือกเสื้อกันไป กินฝรั่งแช่บ๊วยเย็นๆ กันไปไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มตกเย็นครับ สมกับที่เป็นฤดูหนาวจริงๆ พระจันทร์มาทำหน้าที่ไวมาก แต่ขอโทษอากาศโคตรจะร้อนเลยครับ เดินไปนี่เหงื่อไหลเหมือนอาบน้ำได้อะ
“มึงจะเดินไปที่ไหนก่อนเซ็นทรัลเวิล หรือโรงแรมxx” มันบอกชื่อโรงแรมหนึ่งมาครับ ชื่อดังในย่านนั้นเลย
แต่เดี๋ยวนะ...กูจำได้ว่ามันละแวกเดียวกันไม่ใช่เหรอวะ??
“มันใกล้ๆ กันไม่ใช่เหรอวะ”
“อืม แต่กูแนะนำว่า ไปเดินตรงเซ็นทรัลเวิลก่อน แล้วไปจบที่โรงแรมดีมั้ย” มันเสนอพร้อมยิ้มกว้าง แม่ง ไม่ต้องยิ้มกูก็เห็นไส้ติ่งมึงแล้ว คิดได้แต่อะไรหื่นกามว่ะ สมองพัฒนาส่วนเดียวรึไง
“ค-ย” ผมด่ามันเต็มปากเต็มคำแล้วเดินหนีครับ ไอ้เหี้ยทีมหัวเราะดังลั่นแล้วเดินตามผมไป สรุปว่าวันนี้เราไม่ค่อยได้ซื้ออะไรมากมายเท่าไหร่ ได้เสื้อมากันคนละสองสามตัว จะหนักไปที่ของกินมากกว่า เต็มท้องเลยอะเดินไม่ไหว หนักพุง เอิ้กกก
วันที่เดินทางมีแต่ผมที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาจนคนที่มันนอนกอดผมอยู่ครางออกมาอย่างรำคาญอยู่หลายรอบเหมือนกัน แต่ฝุ่นแคร์มั้ย...ไม่ ก็มานอนกอดกูเองนี่หว่า กูไม่ผิด~!!
“มึงนอนเฉยๆ สิวะ กูง่วงนะ” มันบอกผมเป็นรอบที่ร้อยแล้วครับ แต่ก็ยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นโดยไม่สนใจว่าผมจะอึดอัดมั้ย เสียงหัวใจมันดังตึ่กๆ อย่างข้างหูผม..แหะๆ โคตรโรแมนติกเลยเนอะ
เราเตรียมตัวเดินทางออกจากบ้านกันตอนช่วงเย็นของวันที่สามสิบครับ ที่จริงตั๋วที่ไอ้ทีมมันซื้อเอาไว้เป็นไฟลท์ตอนประมาณเกือบเที่ยงคืน เท่ากับว่าเราจะไปถึงเกาหลีตอนเช้าพอดี ผมที่มีฤทธิ์เพลียๆ จากการอดนอนเมื่อคืนก็เดินสะโหลสะเหลเข้าไปนั่งในหวานใจของไอ้ทีมมันครับ ปล่อยหน้าที่จัดการล็อคบ้านดูแลสถานที่ให้เป็นของมัน แล้วให้ผมพักเถอะครับ ตาจะปิดอยู่แล้ว
“นี่ตกลงเมื่อคืนมึงหลับรึเปล่าเนี่ย” มันถามขึ้นตอนยัดอีย่นจากหลังรถใส่มือผม เพื่อที่จะเผื่อที่ไว้วางกระเป๋าเดินทาง...คืออีย่น เป็นสรรพนามไว้เรียกตุ๊กตาเหี่ยวๆ ตัวหนึ่งที่อยู่ในรถไอ้ทีมมัน คือผมก็ชอบนะครับอีย่นน่ะ มันเหี่ยวๆ นุ่มๆ มือดีครับ เอาไว้กอดเวลาเคลิ้มๆ จะหลับเนี่ยเจิดสุดๆ
“หลับๆ ตื่นๆ” ผมตอบตามจริง
“แน่ะ ตื่นเต้นสิ”
“เออ คิดว่าจะได้มีเซ็กส์กับหนุ่มเกาหลีแล้วตื่นเต้น” สงสัยสมองผมจะพัฒนาต่อมเดียวตามไอ้เชี่ยทีมแล้วล่ะครับ
“จัดเลยมั้ย บนนัมซานทาวเวอร์น่ะ เดี๋ยวกูจัดให้ชุดใหญ่ๆ เอาลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เลยมึง” มันพูดไปก็หัวเราะไป ก้มลงมาจูบผมทีหนึ่ง “นอนไปก่อนก็ได้ ถึงสุวรรณภูมิแล้วเดี๋ยวปลุก”
แล้วมัน...ก็ทำหน้าที่เป็นแฟนที่ดีอีกตามเคย...
ตอนที่เท้าเหยียบเกาหลีอุณหภูมิก็ประมาณลบห้าได้ครับ สำหรับผมที่ไม่ได้สัมผัสอากาศหนาวๆ มานานก็ถึงกับสั่นแม้ว่าจะใส่เสื้อมาค่อนข้างหนาพอสมควร ทีมที่เดินหน้ามึนๆ มาข้างๆ ก็คงสังเกตได้เลยถาม
“มึงหนาวเหรอ”
“นิดหน่อย”
“สั่นอย่างกับองค์ลงงี้ไม่นิดแล้วมั้ง มึงมานี่” มันถอดผ้าพันคอของตัวเองออกครึ่งหนึ่งมาพันเอาไว้ที่คอผม กลายเป็นว่าเราสองคนเดินโดยมีผ้าพันคอเชื่อมกันเอาไว้...คือก็ซาบซึ้งนะ แต่กูอายครับ!
“ทีม หนาวแค่นี้กูทนได้ มึงเอาออกเหอะ เด็กมองด้วยอะ”
“อะไร แค่นี้มึงอายเหรอ กูยังไม่เห็นอายเลย” มันบอกพลางหันไปแลบลิ้นใส่เด็กที่ยืนตาแป๋วมองมาทางพวกผม จนเด็กอายุประมาณสามสี่ขวบคนนั้นเริ่มเบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นทุกที
“เฮ้ยๆ มึงพอ เดี๋ยวแม่งเกิดร้องไห้แหกปาก ซวยตาย” ผมเอามือจับตรงกรามให้ทีมมันหันหน้าหนีจากเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้น ทีมแม่งก็ยอมเดินจากมาแต่ยังไม่วายหันไปส่งจูบให้ด้วยหน้าตากวนตีนจนสุดท้าย...ผมว่าผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ลอยมาไวๆ นะ...
จากอินชอนเข้าโซลก็กินเวลาไปชั่วโมงกว่าๆ ครับ ไอ้เหี้ยทีมทำตัวอเลิทตลอดเวลาที่อยู่บนรถบัสชี้นั่นดูนี่จนผมอดตื่นเต้นตามไม่ได้ ทั้งๆ ที่สองข้างทางเป็นแค่ที่โล่งๆ ไม่มีอะไรเลยครับ จนเข้าเขตเมืองนั่นแหละถึงได้เห็นตึกรามบ้านช่อง
ที่พักของเราอยู่แถวๆ อินซาดงครับ เห็นไอ้ทีมมันโฆษณาว่าเป็นแถบที่คนไทยนิยมมาพัก ราคาปานกลางแถมอยู่กลางเมืองไปเที่ยวค่อนข้างสะดวก สถานที่ก็เกสท์เฮ้าส์ธรรมดาครับ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็กว้างพอจะอยู่กันสองคนแบบไม่ตบตีแย่งพื้นที่กัน ผมกับทีมทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้อย่างนั้น พกแต่ของสำคัญออกมาเพื่อเตรียมจะตระเวนทัวร์โซลในวันสุดท้ายของปี
ที่แรกที่ทีมมันพาผมไปแบบผิดๆ ถูกๆ ก็คือเอเวอร์แลนด์ครับ แม่งมาวันแรกก็ให้กูเดินขาลากเลยทีเดียว
สวนสนุกใหญ่ดีครับ ตอนแรกผมก็กะว่าจะไม่เล่นอะไร เพราะกำลังหนาวขั้นสุด แค่ให้กูยืนเฉยๆ ก็จะแข็งตายแล้ว แต่ไอ้ทีมแม่งลากไปเล่นนั่นเล่นนี่ ไปยืนบีบแกะอย่างหมั่นเขี้ยวอยู่พักใหญ่ สุดท้ายสิ่งที่มันชี้ก็คือ...
“ไม่เอา กูไม่เล่น ถ้ามึงจะขึ้นก็ขึ้นไป เดี๋ยวกูรอข้างล่าง”
“โหย ไหนๆ ก็มาแล้วมึง ซักครั้งในชีวิตไง”
“กูไม่ชอบเล่นเครื่องเล่นพวกนี้” ผมบอกมันเสียงแข็ง พยายามเอาความเหี้ยมเข้าขู่แต่นาทีนี้ไอ้เหี้ยทีมเอาความเลวเข้าถมลากผมแบบไม่สนใจใครหน้าไหนเข้าไปในแถวของเครื่องเล่นชนิดนึง
“ทีม กูพูดจริงๆ นะว่ากูไม่เล่น”
“มึงอะ เข้ามาไม่คุ้มค่าเข้าเลย เล่นๆ ไปเหอะ เป็นเพื่อนกูไง”
“อ๋อ มึงอยากให้กูเป็นเพื่อนเหรอ” ผมพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครับ อะไรขายได้กูทำหมด
“เฮ้ย ไม่ใช่ เล่นรถไฟเหาะเป็นเพื่อนกู แต่สถานะมึงอะแฟนเหมือนเดิม”
“กูไม่เล่นนนนนนนนนน” ผมแหกปากแล้วจะเดินหนี แต่แม่งไม่ทันแล้ว ทัวร์ไทยมาจากไหนไม่ทราบเดินมาต่อแถวแล้วครับ แล้วทางขึ้นที่พวกผมกำลังยืนอยู่มันแคบมาก ถ้าเดินสวนกันก็ต้องเบี่ยงๆ ตัวเดินเลยล่ะครับ ยิ่งเจอพี่ไทยที่เดินมาออกันอยู่ตรงนั้นประมาณสิบกว่าคนก็ไม่ต้องอธิบายเลยครับว่าอนาคตผมหลังจากนี้จะเป็นยังไง จึงหันไปโวยวายเอากับไอ้ทีมที่ยิ้มแป้นสู้ “เพราะมึง!!”
บอกได้คำเดียวว่า กูอยากอ้วก....
“มึงไม่ชอบเล่นเครื่องเล่นพวกนี้จริงๆ เหรอวะ”
“กูโกหกมึงแล้วกูจะมีนมมั้ยไอ้เหี้ย”
“ตอนนี้มึงก็มีนะนมอะ กูก็จับอยู่ทุกวัน” มึงยังจะเล่นนะไอ้เหี้ย เดี๋ยววันนี้มึงจะโดนกูคิดบัญชีทบต้นทบดอก แสรดดด
ทีมมันพยุงผมไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง คือจะเรียกว่าร้านก็เรียกได้ไม่เต็มปาก ดูเผินๆ คล้ายๆ เพิงหมาแหงนมากกว่า ไอ้ห่านป่ามันทิ้งผมนั่งอยู่คนเดียวพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมโกโก้ร้อนในมือ
“ค่อยๆ กินนะมึง โกโก้หวานๆ น่าจะทำให้มึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง” มันบอก คงรู้สึกผิดแล้วล่ะสิ
ผมรับมาจิบทีละนิด มีไอ้ทีมนั่งมองด้วยสายตาเป็นห่วงอยู่ข้างๆ มันลูบหลังผมเบาๆ .... อย่าลูบสิห่าน เดี๋ยวกูยิ่งอยากอ้วกกว่าเดิมหรอกแม่ง
รถไฟเหาะปกติผมก็ไม่ค่อยชอบนั่งอยู่แล้วครับ แต่นี่รถห่าเหว-อะไรไม่รู้สูงมาก เร็วด้วย แล้วมันเป็นลูกคลื่นอะครับ ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ชวนอ้วกสุดๆ ผมจำได้ว่าตอนเดินเข้ามาในเอเวอร์แลนด์ใหม่ๆ ยังเดินเล่นตามแผนที่กันอยู่ ไอ้ทีมมันบอกว่ารถไฟเหาะอันนี้เป็นเครื่องเล่นที่ทำจากไม้ที่สูงที่สุดหรืออะไรนี่แหละครับ แม่งเอ๊ยยย กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับกินเนสบุ๊ค ไม่ต้องมาชวนเล่นนนนนนน
พักอยู่ราวๆ สิบห้านาทีผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเลยบอกให้มันเดินเล่นต่อ ห่างไปไม่มาก เป็นลานกว้างๆ ครับคล้ายๆ ลานแสดงโชว์อะไรทำนองนั้น จัดบรรยากาศแบบคริสต์มาสเลย สวยมากครับ เพราะเป็นฤดูหนาวพระอาทิตย์เลยตกเร็วกว่าปกติ ตอนที่พวกผมเดินมาถึงลานตรงนั้นก็หกโมงได้แต่รอบๆ บริเวณเริ่มมืดแล้ว เลยได้ดูไฟกับจุใจไปเลยครับ
มันเดินลากผมไปถ่ายรูปที่มุมนั้นมุมนี้อย่างมีความสุข(อยู่คนเดียว) ผมเริ่มเหนื่อยจากการเดินตามมัน ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่แก่เนอะ
“มึงๆ เล่นม้าหมุนกัน”
“ห่า อายุเท่าไหร่แล้วมึง” ผมบ่น
“เด็กกว่าคู่นั้นละกัน” ไอ้ทีมมันชี้ไปที่ลุงกับป้าคู่หนึ่ง อายุอานามน่าจะราวๆ ห้าสิบได้แล้วครับ จูงมือกันขึ้นไปนั่งบนม้าหมุน..เอ่อะ กูหมดปัญญาเถียง “ตกลงนะ..ขึ้นไปนั่งกัน กูอยากถ่ายรูปบนนั้นด้วย”
นี่วิญญาณช่างกล้องเข้าสิงมึงตอนสะดุดที่หน้าเอเวอร์แลนด์รึเปล่าวะ บ้าถ่ายรูปจริง!!
“โอะ โอะ..” ผมอุทานเล็กน้อย เมื่อต้องขึ้นไปนั่งบนม้า...คือ ม้าอะครับ ม้าอะ!! นี่กูไม่ได้อายุยี่สิบเดือนนะ จะได้มานั่งคร่อมบนม้าหมุน แล้วมีไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้มายืนจับให้ผมทรงตัวได้ ยิ่งตอนเครื่องเริ่มเดิน แล้วม้าเริ่มเคลื่อนที่ ผมก็งกๆ เงิ่นๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไงได้แต่เอื้อมมือไปจับไหล่ไอ้ทีมเอาไว้...ไม่กล้าจับหัวม้าอะ เขิน เอิ้กก
“มึง มึง...กูว่ามันแปลกๆ”
ทีมมันยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปดังแชะ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอายตัวเองมากขึ้น เหมือนกลับกลายไปเป็นเด็กน้อยตัวเล็กยังไงก็ไม่รู้
“อะไรแปลก” มันถามผมยิ้มๆ เอามือนึงเอื้อมมากอดเอวผมเอาไว้
“ไม่รู้อะ แม่งเหมือนเด็กโข่ง”
“แต่กูชอบที่มึงเป็นแบบนี้”
ควักหัวใจให้ตอนนี้เลย มีใครจะว่าอะไรผมมั้ยครับ!!
เกือบสี่ทุ่มแล้ว กว่าเราจะกลับมาเหยียบใจกลางโซลกันอีกครั้ง ผมกับไอ้ทีมเดินตามหาร้านของกินกันท่ามกลางฝูงคนไทยจำนวนมาก ผมเริ่มสงสัยแล้ว นี่กูมาฉลองปีใหม่กับแฟนที่เกาหลีหรือเดินตลาดนัดคนเดินที่เชียงใหม่วะครับ คนไทยเยอะมากกกกกกกกกกก ไม่สามารถด่าหรือนินทาใครได้ เพราะเค้าฟังกูรู้เรื่องหมดเลยครับ โอ้กกก
“มึง กูว่ากลับไปกินข้าวกระเพราหมูสับ อร่อยกว่าป่ะวะ” ทีมมันบอกพลางคาบก้อนแป้งในซอสสีแดงอมส้ม ที่เค้าเรียกกัน ต๊อกโบกกีไว้ในปาก
“กูว่ากูกินข้าวเปล่ายังอร่อยกว่าเลยนะ” ผมทำหน้าเอียนๆ คือมันไม่มีอะไรเลยครับในต๊อกที่ว่า มีแค่ก้อนแป้งยาวๆ แล้วก็ลูกชิ้นปลาแบนๆ แค่นั้นเอง ไม่ได้อร่อยอย่างที่รายการทีวีหรือละครพูดถึงเลย แม่ง ได้ค่านายหน้าเท่าไหร่วะ
“แม่งดีนะ กูตัดสินใจมาแค่สี่วัน ถ้ามานานกว่านี้คงคล้ายๆ โปรแกรมลดน้ำหนัก”
“เออ มึงพูดถูก” ผมกินไปแค่นิดเดียวแหละครับ กะว่าถ้าหิวค่อยเดินหาของกินอย่างอื่นต่อ ทีมเองมันก็เต็มใจที่จะทิ้งต๊อกโบกกีไว้ที่ร้านแบบเหลือบานเต็มถ้วยอย่างนั้นล่ะฮะ ไม่สนใจแล้วครับ สามพันวอนที่เสียไป เอิ้กก
หลังจากหาอะไรกินรองท้องกันเสร็จ พวกผมก็มุ่งหน้าสู่นัมซานทาวเวอร์ทันทีครับ ทีมมันดูหลั่นล้าเป็นพิเศษกับการเดินทางด้วยแท็กซี่คราวนี้ สงสัยว่าจะตื่นเต้นที่มันบอกทางลุงแกไม่ผิด
พื้นที่รอบๆ นัมซานเป็นอย่างที่ผมคาดไว้ คู่รักเยอะมากครับ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติขึ้นมาคล้องกุญแจกันเหมือนในหนังเลยครับ แม่ง ไม่อยากจะพูดให้เขินตัวเองว่าผมสองคนก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แหะๆ
“มึงเขียนชื่อบนแม่กุญแจมารึยัง” ทีมมันหันมาถามผม ลมแรงมากเลยครับ ผมปลิวเปิดเถิกกันถ้วนหน้า
“ยังอะ มึงเขียนดิ กูหนาว” ผมสั่นหงึกๆ แล้วยื่นแม่กุญแจทั้งสองลูกให้พร้อมปากกาที่เตรียมมา(ที่จริงทีมมันเป็นคนเตรียมแหละครับ แต่คนแบกมาน่ะผม)
“ครับๆ รับทราบครับ” มันบอกยิ้มๆ แล้วบรรจงเขียนชื่อตัวมันเองลงไปที่แม่กุญแจลูกหนึ่ง ส่วนอีกลูกก็เป็นชื่อผม ห่านป่าแม่งทำอาร์ตแตกวาดหัวใจลงไปด้วย เขียนเป็นประโยคภาษาอังกฤษว่า Everlasting Love...you will never walk alone
นี่มึงเป็นหุ้นส่วนอะไรของทีมฟุตบอลรึเปล่าครับ!! อ๊ะๆ ไม่ได้เขินนะ สาบานได้ =//= ที่หน้าร้อนวาบขึ้นมาผมแค่ซาบซึ้งเท่านั้นเอง!!
“ล็อคมันพร้อมกันนะ” ทีมหันมาบอกผมอย่างนั้น บวกลบความดีที่มันทำให้ผมมาตลอด เลยไม่อยากขัดใจมันแม้รู้สึกเหมือนกำลังจะแข็งตายได้อยู่แล้ว
“อืมๆ” ผมรับคำ
“ฝุ่นๆ เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งล็อค”
“อะไรอีกวะ กูหนาว” ผมหันไปมองหน้ามัน กูอยากจะลงไปจากบนนี้แล้ว ไม่ไหวแล้วคร้าบ ลมแรงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะจับแม่กุญแจอยู่กูคงปลิวไปแล้วคร้าบบบบ
“ซารังแฮ”
“อะไรของมึง” ก็รู้หรอกครับความหมายน่ะ แต่มึงจะมาพระเอกเกาหลีอะไรแถวนี้ กูไม่ได้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนะ ไม่ต้องมาทำเกาหลีใส่ กูไม่ติ่งโว้ย
“โห มึงอะ เก็ทง่ายๆ หน่อยดิวะ” มันทำหน้าย่นแบบไม่พอใจหน่อยๆ ที่ผมไม่ยอมสนใจมุขภาษาเกาหลีบ้าบอของมัน
“มึงก็พูดมาดิวะ เอาที่คนกระโหลกหนาแบบกูเข้าใจง่ายๆ น่ะ” ผมยิ้มออกมา ไอ้ห่านป่าแม่งเลยเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้จับแม่กุญแจของตัวเองมาจับมือผมที่อยู่ข้างๆ กัน
กริ๊ก...
เสียงแม่กุญแจลั่นพร้อมกันทั้งสองลูก กุญแจถูกโยนทิ้งไปตอนไหนผมไม่รู้ แต่ดวงตาของผู้ชายตรงหน้ากำลังตรึงผมเอาไว้ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น..
“กูรักมึง”
ทำตัวน่ารักขนาดนี้ เสียปากให้มันจูบตรงนี้คงไม่เสียหายเท่าไหร่มั้ง..?
End for Special part [Merry Married Christmas]
Eiizes’s talk
สวัสดีค่า มาอัพแล้วเนอะ เอิ้กๆ
เมอร์รี่คริสต์มาสแบบเลทมากๆ (ที่จริงแต่งเลทลงเลทมากกว่านะ 555)
เอาจริงๆแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับคริสต์มาสเท่าไหร่เนอะว่ามั้ย แต่เหตุการณ์มันต่อเนื่องกันอะ 55555555555
หวังว่าตอนพิเศษนี้จะถูกใจหลายๆ คนนะคะ ใครที่รอพี่ทีมกลับจากโรงพยาบาลก็....รอต่อไปค่ะ (คนเขียนโดน
)
ที่จริงเรื่องคอมเม้นก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนะคะ ติดนิสัยนักเลงของน้องฝุ่นมา
ตอนนี้อาการไข้ของเราดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ แต่ยังเห่า เอ้ย ไอไม่หยุดเลย ขอบคุณทุกกำลังใจค่า
เอาภาพจากเอเวอร์แลนด์มาฝากด้วยค่ะ ถือซะว่าเป็นหนึ่งในภาพที่พี่ทีมถ่ายมาฝากทุกคนก็แล้วกันนะคะ
สุดท้าย ภาพม้าหมุนที่พี่ทีมพาน้องฝุ่นไปนั่งค่ะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ
Eiizes