บทที่ 69 ขาดเสบียง
ปัญหาเสบียงถูกปล้นชิงระหว่างการขนย้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้มีการเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงเพื่อหลบเลี่ยงอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่ค่อยได้ผล ราวกับทุกฝีก้าวย่ำอยู่ในสายตาของแคว้นหนานเหมิน
เสบียงเก่าร่อยหรอ เสบียงใหม่ไม่มาเติม ในที่สุดทัพหลักของแคว้นเป่ยชางก็ประสบกับปัญหาขาดแคลนเสบียงทัพ เห็นได้ชัดว่าเฮ่อสวินคิดอาศัยวิธีนี้กดดันให้เป่ยชางอ๋องต้องถอนทัพกลับไป
การขอเสบียงจุนเจือจากทัพหยงเซี่ยงเป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำ เพราะทัพหยงเซี่ยเองก็ต้องเลี้ยงทหารเรือนหมื่น และไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าระหว่างการขนย้ายจะไม่ถูกปล้นชิงไปอีก
ทุกๆที่ที่ก้าวผ่านในแคว้นหนานเหมินล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามอย่างแท้จริง สายในกองทัพต่อให้ขุดรากถอนโคนทิ้งไปได้ แต่ยังคงมีชาวบ้านตามรายทางมากมายที่ยินดีเป็นหูตาส่งข่าวถึงเฮ่อสวิน ระบบส่งข่าวอันยอดเยี่ยมที่เกิดจากการชำนาญพื้นที่ ความภาคภูมิทุ่มเทอย่างลึกซึ้งที่ชาวหนานเหมินมอบให้แผ่นดินเกิด ทำให้แม้เป็นชาวบ้านธรรมดาก็ยังมีพิษสงก่อกวนจนฉีเซี่ยงหยวนปวดหัวได้
แคว้นเช่นนี้ตีแตกยากเย็น คิดปกครองยากเย็นยิ่งกว่า บารมีของหนานเหมินอ๋องนับว่าหลอมสร้างแคว้นหนานเหมินจนเป็นปึกแผ่นน่าดูชม คิดกลืนกินแคว้นหนานเหมินในตอนนี้ถือเป็นความเพ้อฝันขนานใหญ่ ฉีเซี่ยงหยวนทราบแล้วว่ามันยังไม่ถึงเวลา ความมุ่งหมายหลักในตอนนี้คือกดดันให้หนานเหมินอ๋องยอมวางมือจากแคว้นโหยวเฉิง ถอยทัพกลับมา เพียงแต่แม้คิดช่วยผู้อื่นหากตัวเองยังจะยากจะเอาตัวรอดได้
ถ้าทุกอย่างยังดำเนินไปเช่นนี้พวกเขามีสิทธิ์จะอดตายทั้งกองทัพ !
---------------------
ห้องกว้างเปิดหน้าต่างบางส่วนให้อากาศถ่ายเท และให้แสงอาทิตย์ยามกลางวันลอดเข้ามา มีเหล่าหมอในกองทัพทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทุกครั้งที่เปิดศึกจะมีคนไข้ใหม่เข้ามา ส่วนคนไข้เก่าก็ยังไม่หายดีค้างคาอยู่เต็มโรงหมอชั่วคราวแห่งนี้ เสียงพูดคุยจอแจ ช่วงสองสามวันนี้คนไข้ใหม่ยังไม่มี มีแต่คนไข้เก่าที่นอนพักฟื้นข้างกันมาสามสี่วันจนก่อเป็นความรู้จักมักคุ้น
เหลียนอันสุ่ยเดินดูร่องรอยการบาดเจ็บของทหารที่ได้รับแผลเหวอะหวะขนาดใหญ่ เพื่อตรวจดูว่ามีแผลเน่าหรือไม่ เมื่อพบว่าไม่มีก็พันกลับคืน แต่หากพบว่ามีก็จำเป็นต้องล้างทำความสะอาด นาบด้วยความร้อน หรือคิดถึงการตัดขาทิ้ง เสียงพูดคุยจากทหารบาดเจ็บนอนบนเสื่ออยู่ไม่ไกลดังมาให้ได้ยิน ปกติเหลียนอันสุ่ยจะชมชอบฟังพวกเขาคุยกันเรื่องสถานการณ์ในกองทัพ เพราะมันจะทำให้เขาทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร ทว่าวันนี้สิ่งที่ได้ยินดูเหมือนจะมิใช่เรื่องธรรมดา
“จริงรึเปล่าที่ว่าทัพเราตกอยู่ในช่วงขาดแคลนเสบียง ? ”
“นี่เจ้าเสียงเบาๆหน่อย ทราบหรือไม่ว่าปัญหาแบบนี้ห้ามพูดเพราะมันทำลายขวัญกำลังใจ”
“หา อย่างนี้แสดงว่าเราจะอดตายกันจริงๆใช่หรือไม่ เรื่องเสบียงฝ่ายเราถูกปล้นชิงเป็นความจริงสินะ” เสียงอุทานดังไปหน่อย คนรอบข้างจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจ แม่ทัพที่สูญเสียขาไปข้างหนึ่งกวาดสายตาคมกริบมาด้านนี้ ทำให้คู่สนทนาหุบปากฉับ หันหน้าไปคนละทาง ทำราวเมื่อครู่มิได้เอ่ยสิ่งใด
“...ท่านหมอ ท่านหมอ จะให้ข้าน้อยพลิกตัวเขาหรือไม่ ท่านี้ดูแผลลำบาก”
เหลียนอันสุ่ยดึงสติกลับมาเนื่องจากได้ยินเสียงเรียกดังกล่าว พยักหน้าให้กับทหารที่อาสามาช่วยงานโรงหมอออกแรงพลิกตัวทหารที่บาดเจ็บไม่ได้สติ
เหลียนอันสุ่ยทำหน้าที่ในส่วนของเขาจนเสร็จ ล้างมือให้สะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปตักน้ำมาดื่ม แต่ละวันเขาจะมีเวลาว่างเป็นช่วงดื่มน้ำสั้นๆที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ตัวเองคิดถึงเรื่องของฉีเซี่ยงหยวน
หลายวันมานี้ข่าวทำนองขาดแคลนเสบียงถูกพูดถึงบ่อยเหลือเกิน ที่แท้แล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่
ปลายหางตาของเหลียนอันสุ่ยเหลือบเห็นเงาร่างคุ้นๆ เดินไปที่เตียงของแม่ทัพที่เสียขาผู้นั้น กลับเป็นเถี่ยเจิ้ง นายทัพจากแคว้นเหลียนที่เหลียนอันสุ่ยเคยสนับสนุนต่อฉีเซี่ยงหยวน ...เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาจะได้รับทราบสถานการณ์ที่แท้จริงจากคนผู้นี้
“ที่แท้เถี่ยเจิ้งเป็นพวกใช้ไม่ได้ ความลับทางทหารที่สำคัญเขากลับเอามาเปิดเผยต่อท่านง่ายๆ” คำพูดนี้ดังขึ้นเมื่อเหลียนอันสุ่ยเดินผ่านปลายเตียงของแม่ทัพแซ่กู่ผู้สูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยชะงัก ดูเหมือนการสนทนาที่เขาเข้าใจว่ามิดชิดดีแล้วยังคงมีคนบังเอิญเห็น ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวต่อว่า
“ข้าน่ะ อย่างอื่นก็ปกติธรรมดา มีเพียงหูคู่นี้ที่ดีเป็นพิเศษ ข้าสังเกตมานานแล้วว่าท่านดูเหมือนจะอยากทราบความเป็นไปของกองทัพเราเหลือเกิน นับว่าเป็นหมอที่ใส่ใจสถานการณ์บ้านเมืองจนน่าชื่นชม”
“...ท่านสงสัยว่าข้าเป็นไส้ศึก ? ” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ มองชายไว้เคราที่ยังดูหนุ่มฉกรรจ์ตรงหน้า
“ข้าอยากฟังว่าท่านมีข้อแก้ตัวอะไร” ยกสองมือขึ้นกอดอก เพ่งมองกลับนิ่งๆ
“แม่ทัพกู่” เสียงแทรกกะทันหันดังมาพร้อมกับการประสานมือคารวะของหม่าหลง ส่วนต้วนจินที่เดินตามมาด้วยหันไปถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“พระมาตุลา มื้อเที่ยงข้าน้อยยกมาให้ท่านแล้ว จะได้ไม่ต้องไปแย่งชิงกับผู้อื่น”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางกล่าว
“ขอบคุณ” ทราบว่าต้วนจินเห็นว่าเขามักไปแย่งชิงไม่ทันเพราะมัวแต่ทำงานไม่ค่อยสนใจเวลาอาหารจึงตักมาให้ก่อน
“ท่านคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน ? ” ชายไว้เคราบนเตียงถามขึ้นกะทันหัน
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า
“ความจริงท่านเรียกข้าเป็นท่านหมอแบบคนอื่นๆในโรงหมอก็ได้” กล่าวพลางทำท่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ปลายเตียง ทว่าผู้ป่วยเจ้าของเตียงกลับเอ่ยปากห้าม
“ถ้าท่านเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็อย่านั่ง เก้าอี้ปลายเตียงข้ารับรองเชื้อพระวงศ์ระดับนี้ไม่ไหวจริงๆ และตัวข้าเองก็ป่วยเกินกว่าจะรับมือพายุหึงของใครได้”
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไป ส่วนหม่าหลงกับต้วนจินหันไปหัวเราะให้แก่กัน เหลียนอันสุ่ยมองสายตาที่เพ่งพิจารณาเขาอย่างละเอียด พลันทราบว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ใบหน้าจึงแดงซ่านขึ้นเล็กน้อย
“ข้าก็ว่าทำไมไม่เห็นพวกเจ้าอยู่ใกล้ๆต้าอ๋อง ที่แท้มาทำงานเฝ้า ‘ของ’ อยู่แถวนี้เอง” ปกติเหลียนอันสุ่ยไม่ค่อยชอบความรู้สึกถูกเฝ้า หม่าหลงกับต้วนจินจึงมักเฝ้าประจำการอยู่นอกโรงหมอแทน
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แม่ทัพกู่จึงเลิกซักไซ้เหลียนอันสุ่ยไป ทว่าคนที่ยังมีเรื่องจะถามกลับเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียน
---------------------
ลมยามเย็นพัดอย่างหงอยเหงา บุรุษที่ทุกผู้คนเรียกติดปากเป็นว่าแม่ทัพกู่ใช้ไม้ค้ำพาตัวเองมาถึงนอกโรงหมอ ได้ยินเสียงสงบนุ่มนวลเสียงหนึ่งถามขึ้นว่า
“สถานการณ์เรื่องเสบียงหนักหนาสาหัสเช่นที่พวกเขาพูดกันจริงหรือ” เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากถามเพราะทราบว่าคนตรงหน้าเขาไม่แน่ว่าทราบเรื่องราวละเอียดกว่าเถี่ยเจิ้งอีก แม่ทัพกู่เป็นผู้บังคับบัญชาของเถี่ยเจิ้ง ตอนที่เขาถูกฟันจนขาเป็นแผลเหวอะหวะคนที่พยุงเขาเข้ามาคือฝงเป่า และเป็นแม่ทัพที่ทำให้เป่ยชางอ๋องมาเยี่ยมไข้ด้วยตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ตื้นเขินอย่างเด็ดขาด และข่าวสารที่เขาทราบก็ต้องไม่ตื้นเขินอย่างแน่นอน
คนถูกถามเพ่งมองเหลียนอันสุ่ยอยู่ครู่หนึ่งก็ยินยอมอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้ฟัง เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วใจหายวูบ ทุกอย่างดูเหมือนจะคับขันกว่าที่เขาคิดเสียแล้ว
“ตอนอยู่ที่แคว้นเหลียนข้าเคยมีบุญคุณต่อเถี่ยเจิ้ง เขาปฏิเสธไม่บอกข้าไม่ได้ ขอท่านอย่าถือสาเขา ที่ข้าถามเขาเป็นเพราะข้า...เอ่อ...ข้า...”
ชายไว้เครามองสีหน้าคู่สนทนาแล้วหัวเราะ
“ท่านเป็นห่วงคนรักของท่านเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อีกอย่างข้าไหนเลยสามารถถือสาหาความเถี่ยเจิ้ง ตอนนี้ข้าเป็นแบบนี้...งานในกองทัพได้แต่อาศัยเขารับช่วงต่อ” ก้มหน้ามองขาที่ถูกตัดทิ้งของตัวเอง แค่นหัวเราะเบาๆ
ในเสียงหัวเราะนี้แฝงความเจ็บปวดไม่ยินยอมพร้อมใจ ทั้งๆที่บุรุษตรงหน้ายังหนุ่มแน่น แต่อนาคตทางการทหารของเขาถูกพรากไปพร้อมกับขาข้างนี้แล้ว
ในความเจ็บปวดของบุรุษตรงหน้าเหลียนอันสุ่ยกลับมองเห็นความเจ็บปวดของฉีเซี่ยงหยวน บัญชาครั้งนี้ของเขากลับทำลายอนาคตของสหายร่วมเป็นร่วมตายผู้นี้ตลอดกาล
ผู้ที่เข้าใจสงครามอย่างลึกซึ้งไม่มีผู้ใดปรารถนาจะก่อสงคราม ฉีเซี่ยงหยวนอยู่กับสงครามมาเป็นเวลานาน ไม่มีทางไม่ทราบรสชาติของความสูญเสีย ทว่าสงครามครั้งนี้กลับไม่ก่อไม่ได้ หากปล่อยให้หนานเหมินอ๋องยึดแคว้นโหยวเฉิงไปตามใจชอบ หลังจากนี้แคว้นเป่ยชางได้แต่นับเวลาถอยหลังรอคอยถูกกลืนกินสถานเดียว
นับตามจำนวนคนแคว้นหนานเหมินใหญ่กว่าแคว้นเป่ยชางอยู่แล้ว นับความเจริญแคว้นหนานเหมินก็เหนือล้ำกว่าแคว้นเป่ยชางมากนัก นับเรื่องความเป็นปึกแผ่นแคว้นหนานเหมินแม้ด้อยกว่าแคว้นเป่ยชางแต่ในด้านอำนาจบารมีกลับเหนือกว่ามานานปี หากฉีเซี่ยงหยวเคลื่อนทัพช้ากว่านี้นั่นคือความไม่ตระหนักรู้ตัว
การตัดสินใจของเป่ยชางอ๋องกอบกุมชะตาของแว่นแคว้นเอาไว้ ลิขิตชะตากรรมของผู้คนนับหมื่น ผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด แรงกดดันนี้ชวนให้ผู้คนเหนื่อยล้านัก ที่น่าเจ็บปวดคือไม่ว่าจะตัดสินใจผิดพลาดหรือไม่สุดท้ายก็ต้องมีผู้สูญเสีย และการสูญเสียบางประการแม้ยังมีชีวิต แต่นั่นเป็นยิ่งกว่าการฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น
เหลียนอันสุ่ยหาที่นั่งทรุดตัวลงช้าๆ
“ข้าจะไม่บอกว่ามันง่ายดาย เพราะข้าไม่ได้ยืนอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับท่าน แต่ข้าเคยเห็นคนไข้ขาพิการมากมาย พวกเขาแม้สูญเสียความฝัน แต่ก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณค่า เพราะฝันในชีวิตคนเราไหนเลยจำกัดว่ามีได้เพียงหนึ่งเดียว และข้าก็เคยเห็นคนที่พยายามจะทำตามความฝันนั้นต่อไปแม้จะต้องพยายามด้วยความยากลำบาก สุดท้ายเขาก็สามารถทำตามความฝันนั้นของเขาได้จริงๆ ท่านจะเหลือเชื่อถ้าท่านได้รู้ว่าคนพิการทำอะไรได้บ้าง คนบางคนเกิดมาไม่มีแขนมีขา แต่กลับสามารถลุกขึ้นยืนได้ ตีลังกาได้”
คนฟังส่งเสียงเหอะในลำคออย่างขมจัด พึมพำว่า
“บางทีพิการแต่กำเนิดอาจจะยังดีกว่า อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องลิ้มรสของการได้มาแล้วสูญเสียไป” ซึ่งมันเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
“จะไปดีกว่าได้อย่างไร เพราะอย่างน้อยท่านก็ยังเคยได้มา แต่ตั้งแต่เกิดมาเขากลับไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของการเป็นคนปกติ ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนพิการ” เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก ระงับความรู้สึกหดหู่ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เหม่อมองออกไปไกลแสนไกลขณะพึมพำว่า “มีคนมากมายถูกกลบฝังอยู่ข้างนอกนั่น อย่างน้อยท่านก็สมควรดีใจที่ท่านยังมีโอกาสได้กลับบ้าน ในขณะที่พวกเขาไม่อาจมีแล้วชั่วนิรันดร์”
“...อย่างนั้นหรือ”
ตะวันของวันนี้ค่อยๆลับขอบฟ้าอย่างแช่มช้า
เหลียนอันสุ่ยหวังว่าคำพูดของเขาจะพอช่วยอะไรได้บ้าง ...ไม่ต้องให้คนผู้หนึ่งสิ้นหวังไปมากกว่านี้ ...และไม่ต้องให้คนอีกผู้หนึ่งรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ อำนาจตัดสินเป็นตายของผู้อื่นหนักหนาเสมอ วันที่เหลียนอันสุ่ยเกลียดที่สุดคือวันที่มีการปะทะกันในสมรภูมิ เพราะในวันนั้นคนเจ็บจะมีมากมายเกินไป ท่านเพียงสามารถเลือกช่วยได้แต่คนที่มีโอกาสรอดมากกว่า
การ ‘เลือก’ บางครั้งเจ็บปวดเหลือเกิน เพราะท่านรู้ดีว่าเมื่อท่านเลือกแล้วคนที่ไม่ถูกเลือกจะไม่มีโอกาสรอดอย่างเด็ดขาด
บางทีฉีเซี่ยงหยวนคงกำลัง ‘เลือก’ อยู่เช่นกัน เลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าทางเลือกนั้นผิดพลาด ถ้าหากว่า...ถ้าหากว่าทางออกนั้นไม่มีอยู่ ผู้รับผิดชอบคือชาวเป่ยชางทั้งแคว้น!
เหลียนอันสุ่ยเดินกลับเข้าไปในโรงหมอ เริ่มต้นลงมือทำงานของเขา แม้ใจเป็นห่วงเป็นอย่างมากแต่กลับทราบดีว่าหน้าที่ช่วยเหลือฉีเซี่ยงหยวนในการรบมิใช่ของเขา การศึกมิใช่เรื่องของคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการนำทัพ แต่เป็นศาสตร์ที่มีรายละเอียดลึกล้ำกว้างขวางของมันเอง เวลาที่เคยศึกษาส่งผลต่อความชำนาญ หมอมีประสบการณ์ดูสีหน้าคนไข้ก็เดาอาการของโรคได้ แม่ทัพมีประสบการณ์ดูรอยฝุ่นทรายก็ทราบว่าทัพที่ยกมาเป็นทหารราบ ทหารม้า หรือรถศึก
ในมือฉีเซี่ยงหยวนมีคนมีความสามารถมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเขาเข้าไปอีกคนหนึ่ง งานของเขาอยู่ที่นี่ต่างหาก ส่วนหัวใจของเขา...อยู่กับอีกฝ่ายตลอดกาล
---------------------
เวลาใกล้พลบเป็นช่วงเวลารับแจกอาหาร เหล่าทหารเดินเรียงแถวยื่นชามรับข้าวต้มที่ตักจากหม้อใหญ่ด้วยสีหน้ากังวลใจ ข้าวต้มนับวันจะใสขึ้นทุกที ใช้ช้อนควานจนทั่วชามช้อนได้เม็ดข้าวไม่กี่เม็ด
ข้างกระโจมใหญ่ นายกองสองคนที่เพิ่งเข้าไปประชุมรับมอบคำสั่ง กำลังกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก แม้ทางกองทัพจะพยายามหามันและผักที่ขึ้นในรัศมีรอบตัวเมืองมาชดเชยก็ยังไม่อาจทดแทนได้เพียงพอ ทัพใหญ่ที่มีทหารหลายหมื่นอาหารการกินแต่ละมื้อสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง
“ท่านว่าพวกเราต้องกินแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“จนกว่าเสบียงรอบต่อไปจะมา”
“หวังว่าเสบียงรอบนี้จะไม่ถูกปล้นอีก” คู่สนทนาพึมพำ แต่พวกเขาทั้งสองต่างทราบดีว่านี่เป็นเรื่องยาก รถเสบียงอุ้ยอ้ายเทอะทะเดินทางได้ช้าเป็นเป้าที่จู่โจมง่าย ต่อให้ศัตรูไม่มีความสามารถเอาชนะทหารที่คุ้มกันเสบียงก็ยังคงมีความสามารถเผาเสบียงทิ้ง พวกเขาต้องทนฟังข่าวอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องถูกเผาไปคันรถแล้วคันรถเล่าด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
อีกคนฟังคำสหายร่วมรบแล้วถอนหายใจ กล่าวว่า
“กลัวแต่ว่ากินเช่นนี้ทุกวัน ทหารจะเอาแรงที่ไหนไปรบกับข้าศึก”
“ข้าว่าสวรรค์คงแก้เผ็ดที่อยู่ที่บ้านข้าชอบกินทิ้งกินขว้างเลยต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“บ้าน...เหอะ พูดถึงบ้านแล้วพวกเราจะได้กลับไปรึเปล่าก็ยังไม่รู้” น้ำเสียงมีแววหวนคิดถึง
“ท่านมิใช่บอกว่าเมียที่บ้านตั้งแต่คลอดลูกก็ขี้หึงหวงจนน่ารำคาญมากหรือไร ไฉนตอนนี้กลับมาทำสีหน้าเช่นนี้เล่า” คู่สนทนาสงสัย เลยถูกผู้มากวัยกว่าตบกะโหลกไปหนึ่งที
“เจ้าเด็กนี่ชักจะลามปาม ...แต่จะว่าไปนางบ่นอยู่ทุกวัน หูชาอยู่ทุกวัน ตอนนี้ไม่ได้ยิน...รู้สึกไม่คุ้นชินยังไงไม่รู้แฮะ”
“นั่นแน่ ที่แท้ท่านก็...โอ๊ย” ถูกถีบไปเต็มๆหนึ่งเท้าจึงจำต้องหยุดปากกะทันหัน
“ข้าคิดถึงบ้านโว้ย มีใครไม่คิดถึงบ้านบ้าง”
คำโวยวายที่ดังลอดเข้ามาในกระโจมทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงัน
...มีใครไม่คิดถึงบ้านบ้าง...
มือใหญ่กำแน่น เขาควรตัดสินใจอย่างไรดี เมื่อครู่มีข่าวสอบถามมาว่าจะให้เปลี่ยนเส้นทางการลำเลียงเสบียงอีกหรือไม่ และถ้าเป็นจะให้เปลี่ยนเป็นเส้นทางไหน ตัวควรจะเลือกเส้นทางใดจึงจะไม่ลงเอยเช่นเดียวกับสองครั้งที่แล้ว วินาทีนั้นฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าตัวเขาจะสามารถรู้อนาคตล่วงหน้า หากรู้ว่าแต่ละทางเลือกจะให้ผลเช่นไร คงไม่จำเป็นต้องมานั่งลังเลตัดสินใจไม่ถูกอยู่เช่นนี้
รสชาติอาหารวันนี้ทำให้เขานึกถึงประสบการณ์ที่ไกลแสนไกล ประสบการณ์ที่เกือบจะอดตายตอนยกทัพไปปราบแดนเหนือ
ความหวาดประหวั่นต่อความตาย
การพยายามกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด
ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะกระเสือกกระสน
...ไร้เรี่ยวแรงจะเอาชนะความหิวโหยที่เกิดขึ้น
หลังจากครั้งนั้นฉีเซี่ยงหยวนบังคับให้ตัวเขารับประทานเช่นเดียวกับเหล่าทหาร ลิ้มรสชาติเช่นเดียวกับกองทัพของเขา นี่มิใช่การสร้างภาพเพื่อให้เกิดความยอมรับนับถือ แต่เป็นการให้ตัวเองรู้จักมองจากมุมของทหารเหล่านั้น ความรู้สึกที่ได้จากข้าวแต่ละคำบอกอะไรมากมายและหนึ่งในนั้นคือความจริงในหัวใจที่ไม่มีใครสามารถตีแผ่ออกมาได้หมด
ข้าววันนี้ไม่อร่อยเลย จางอย่างยิ่ง และยากจะอยู่ท้อง
มีข้อเสนอเรื่องหนทางแก้ไขมามากมายหลายอย่าง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือถอยทัพแคว้นหนานเหมินเพียงต้องการให้พวกถอยทัพดังนั้นสมควรไม่ตามตอแย แต่ถ้าหากถอยทัพกลับการยกทัพมาครั้งนี้จะเป็นการสูญเสียโดยสูญเปล่า แต่หากยืนหยัดต่อไปปัญหาเสบียงสมควรแก้ด้วยวิธีใดจึงจะเหมาะสม
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าที่เขายังลังเลตัดสินใจไม่ได้เป็นเพราะถูกความหวาดหวั่นครั้งเก่าก่อกวนจนไม่อาจสงบใจครุ่นคิด ทางที่เขาหาได้ดูเหมือนจะยังมิใช่ทางแก้ที่ดีที่สุด
กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
กลัวว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการส่งเหล่าคนที่เชื่อมั่นต่อเขาไปตายโดยไร้ค่า
เขาจะต้องหาทางเลือกที่ดีกว่านี้ เพียงแต่เมื่อคิดถึงปัจจัยที่ต้องคำนึงกลับรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเหม่อมองแผนที่ที่ระบุชัยภูมิต่างๆ ในห้วงเหม่อลอยนั้นมีประโยคหนึ่งแทรกเข้ามา
‘หลายสิ่งหลายอย่างที่ยากเย็นท่านล้วนผ่านมันมาได้ ครั้งนี้ท่านย่อมต้องผ่านมันไปได้แน่นอน ไม่มีทางตนสำหรับผู้ที่คิดหาหนทาง ข้าไม่กลัวสิ่งอื่นใดเพียงกลัวท่านท้อแท้’ คำเหล่านี้เหลียนอันสุ่ยเคยกล่าวตอนที่เขานั่งปวดหัวกับราชกิจ
ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วเขาผ่านมันมาได้ ครั้งนี้เขาโตขึ้นมากมายย่อมต้องผ่านมันไปได้เช่นกัน ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนฉายประกายคมกล้า
อันที่จริงแล้วศัตรูของความสำเร็จมิใช่ความล้มเหลว แต่คือความท้อแท้
---------------------
หลังประสบปัญหาขาดเสบียงอย่างหนัก ในที่สุดกองทัพแคว้นเป่ยชางก็ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการบุกยึดเมืองที่เก็บเสบียงของแคว้นหนานเหมิน ใช้เสบียงศัตรูจุนเจือกองทัพ!
นักรบแคว้นเป่ยชางทรหดอดทนที่สุดในหล้า ทัพม้าแคว้นเป่ยชางรวดเร็วยิ่งกว่าสายลม ในขณะที่เฮ่อสวินเข้าใจว่าทหารเป่ยชางกำลังอดเสบียงจนกระปลกประเปลี้ยเมืองที่ยุ้งฉางใหญ่สามเมืองกลับถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ความจริงประจักษ์ชัด ต่อให้ระบบส่งข่าวของแคว้นหนานเหมินยอดเยี่ยมกว่านี้แต่หากไม่มีสายภายในก็ไม่มีปัญญาคาดการณ์การบุกตีของกองทัพม้าแคว้นเป่ยชางได้ทัน
ฉีเซี่ยงหยวนให้ทหารม้าใช้เกราะเบาทั้งหมด พันธ์ม้าของแคว้นเป่ยชางปราดเปรียวจนเลื่องลือ อาศัยความคาดไม่ถึงของศัตรูเป็นหลักกุมชัย
หลังแก้ปัญหาเรื่องขาดแคลนเสบียงได้ทัพเป่ยชางก็บุกตีติดต่อกัน ยึดเอาเมืองไปได้หลายเมือง เฮ่อสวินแม้มีความสามารถตั้งรับได้ยอดเยี่ยม แต่เฮ่อสวินมีเพียงคนเดียว หัวเมืองของแคว้นหนานเหมินกลับมีมากเกินไป ระวังป้องกันอย่างไรก็ยังคงระวังป้องกันได้ไม่หมด อย่าว่าแต่ยังมีหยงเซี่ย เฮ่อสวินตรึงฉีเซี่ยงหยวนไว้ได้ หยงเซี่ยก็เคลื่อนไหว พอเฮ่อสวินหันไปจัดการหยงเซี่ย ฉีเซี่ยงหยวนก็เคลื่อนไหว
แม่ทัพใหญ่ของแคว้นหนานเหมินผู้นี้อาศัยการยินยอมปล่อยเมืองเล็กเมืองน้อยคุ้มกันเฉพาะเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเอาไว้ และอาศัยการทราบชัยภูมิเส้นทางหลบหลีกมากกว่า พยุงสถานการณ์เอาไว้อย่างลำบากกินแรงยิ่ง
เรียกได้ว่าหากแคว้นหนานเหมินไม่มีเฮ่อสวินคิดหาหนทางกัดฟังยันไว้ สภาพจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่านี้มากนัก
รุกไล่หาช่องทางที่ศัตรูเปราะบางบุกทะลวงเข้ามาโดยตลอด ในที่สุดทัพเป่ยชางก็เจอเข้ากับปราการแข็งของเมืองหน้าด่านที่ระยะทิ้งห่างกับเมืองอื่นพอสมควร ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจสั่งให้ตั้งค่าย ส่วนหยงเซี่ยหยุดทัพไว้ในเมืองที่ห่างออกไป รอคอยหนุนเสริมและตรึงให้บรรดาเมืองที่ยึดมาได้ไม่กล้าลุกฮือต่อต้าน
ในที่สุดจากสถานการณ์เสียเปรียบ แคว้นเป่ยชางก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง
=========
เขียนตอนนี้จบแล้วรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่รักที่แปลกดี
พวกเขาสามารถอยู่เคียงข้างกันโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน
เหมือนกับที่คนอ่านอยู่เคียงข้างคนเขียนตลอดมา ฮิ้วววว
เห็นตั้งใจคอมเมนท์กันมากมาย ปลื้มปริ่ม ตอนต่อไปจะพยายามปั่นมาให้ในเร็วๆนี้