My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 172885 ครั้ง)

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
มารอ มารอ  :z10:

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
ยังรออ่านอยู่นะคะ  :mc4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
มา ต่อ ไวไว น่ะ คร้าบบบบบบบบบ




รออ่าน อยู่

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หลอกให้อยากแล้วจากไป  :z3: :z3:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 23

ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งเลื่อนมาซุกอยู่ซอกคอของผม เดียร์จูบและหอมตรงนั้น ก่อนจะใช้ปากและเล็มที่ใบหูรวมถึงติ่งหูผมเล่น จนกระทั่งผมใจอ่อน ยอมให้เขาลวนลามแต่โดยดี

ความตั้งใจที่จะนอนพักมลายไป กลายเป็นว่าบนเตียงกลับกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง ผมเลยไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี เพราะเอาตัวลงไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการแห่งความรักด้วยกันกับเขา

เด็กหนุ่มมอบความรักให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ซุกซบอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่นนั้น

ใบหน้าแนบกับแผ่นอกของเดียร์ นอนฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวจนกระทั่งมันค่อยๆสงบลง โชคดีที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นวันหยุดยาวเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แถมซ้ำไม่มีงานอะไรวุ่นวายมากนัก ทำให้ผมสามารถนอนหลับและตื่นสายได้

เมื่อกลางวันผมโทรไปถามไถ่งานจากจุ๋มเป็นระยะเพื่อมอบหมายงานแต่ละอย่างให้ลูกน้องของผมทำ ถึงจะลางาน แต่ผมก็ยังเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าที่แผนกสามารถทำงานกันได้ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลผมก็เลยเบาใจ

จากนั้นผมก็โทรไปขออนุญาตเจ้านายลาป่วยต่อและลาพักร้อนช่วงปีใหม่พร้อมกันโดยผมได้ส่งอีเมล์ไปยังเจ้านายและฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้รับทราบด้วย เป็นการใช้สิทธิ์ของตัวเอง ไม่เอาเปรียบผู้อื่นโดยการหยุดไปเฉยๆและเก็บวันลาเอาไว้

เจ้าหนูของผมนอนหลับไปแล้ว ทั้งที่กอดผมเอาไว้แนบแน่น เดียร์คงจะเหนื่อยมาก เพราะทั้งช่วยผมทำงานบ้านแล้วยังจะมาออกแรงกับผมอีกในยามค่ำคืน เสียงลมหายใจของเขาดังสม่ำเสมอ

ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเปลือกตาของเด็กหนุ่มปิดสนิท แพขนตางอนยาวดกหนาคลี่ทาบทับกับโหนกแก้มสีน้ำตาลทอง ผมมองภาพเดียร์ที่กำลังหลับอย่างเพลิดเพลิน

รู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง ผมรักเด็กคนนี้มากมายเหลือเกิน อยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด ตั้งใจไว้แล้วว่าเวลาที่เหลืออยู่ จะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างเราขึ้นมา

ปรารถนาที่จะเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีไว้ ก่อนที่จะเลิกร้างจากกันไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถึงแม้ผมจะกลับไปรักผู้หญิง ผมก็ไม่อยากจะลืมเด็กหนุ่มคนนี้ เขาเป็นเด็กดี แล้วก็น่ารักเกินกว่าที่จะลบเลือนเขาออกไปจากใจ

ผมปิดเปลือกตาลง ไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว เริ่มล้ากับการต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งอยากอยู่ใกล้ ทั้งอยากหนีหายไปจากเดียร์

ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการอย่างแท้จริง ผมคล้ายคนบ้าเข้าไปทุกทีที่เอาแต่คิดวนเวียนไม่จบไม่สิ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปมากกว่าเดิมการหลีกลี้ความเป็นจริงเข้าสู่โลกแห่งความฝันในห้วงนิทราจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ผมหลับตาลงและแนบหน้าเข้ากับหน้าอกของเดียร์ ฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นเป็นจังหวะต่อเนื่อง จนกระทั่งหลับไป
อากาศเริ่มหนาวเย็นลงทุกที ฤดูหนาวครั้งนี้ทำให้คนกรุงเทพได้มีโอกาสใส่เสื้อกันหนาวอยู่หลายวัน วันนี้เป็นวันเสาร์สิ้นปี ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ เพราะมัวแต่ป่วยกันทั้งสองคน ทำให้ทั้งผมและเดียร์ไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ กว่าจะคิดได้ก็ล่วงเข้าสู่เทศกาลแล้ว

“เดียร์ อยากไปไหนบ้างหรือเปล่า”

ผมถามเด็กหนุ่มขณะทำความสะอาดอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก เด็กหนุ่มกำลังปัดกวาดฝุ่นอยู่ตรงแถวๆโซฟา ในขณะที่ผมเอาผ้าเช็ดถูทีวีและเครื่องเสียง เดียร์เงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ แล้วหันมาหาผม

“เรียวไปไหน ผมก็ไปที่นั่นล่ะครับ”

“ไม่ต้องมาหวานใส่เลย อยากไปเที่ยวไหนวันปีใหม่ก็บอกมา จะได้พาไป”

“จริงหรือครับ เรียวใจดีจังเลย”

เดียร์เดินเข้ามาใกล้ผมและทำท่าจะกอด แต่ผมเดินหนีด้วยรู้สึกเขิน พลางดุเขา

“พูดมาก ตอบคำถามมาสักทีสิ มัวแต่โยกโย้ อยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่พาไปซะเลยนี่”

“โอ๊ยยยย อย่าทำอย่างนั้นนะครับ”

เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน พลางเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วคว้าผมมากอดไว้ก่อนจะทันหนี

“งั้นก็บอกมา”

“ที่ไหนก็ได้ครับเรียว คุณไปที่ไหนผมก็ไปที่นั่นอ่ะครับ”

“เอ๊ะ ที่ที่ฉันชอบ กับที่ที่นายชอบอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ไหนๆก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทั้งที ฉันก็อยากจะตามใจนายสักครั้งพาไปที่ไหนๆก็ได้ที่นายชอบน่ะ”

“ผมอยากไปทุกที่ที่มีเรียวอยู่ด้วยนะครับ เรียวอยู่ที่ไหน ผมก็ชอบที่จะอยู่ที่นั่น ความสุขของผมคือการที่ได้อยู่ใกล้ๆเรียวครับ”

คำพูดอ้อนๆของเดียร์ทว่าแฝงไปด้วยความจริงใจนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มไม่เพียงพูดจาหวานหูให้ผมเคลิบเคลิ้ม การแสดงออกของเขากลับมีความหมายมากยิ่งกว่า เขาทำให้ผมตระหนักว่าความรักที่มีให้ผมนั้นมากมายเพียงใด

“ช่วงหยุดยาวปีใหม่แบบนี้ ถ้าออกต่างจังหวัดก็คงไม่มีที่พักแล้วล่ะ แล้วคนก็คงจะเยอะแยะไปหมดทุกที่ ทางที่ดี เราควรจะฉลองปีใหม่กันในกรุงเทพนี่แหละ นายว่าไงล่ะ”

“ดีครับ ผมเองก็ไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ อยากอยู่ที่บ้านนี้ กับเรียวและฉลองกันสองคนก็พอแล้ว”

“ไม่เบื่อหรือไง อุดอู้อยู่แต่ในบ้านแบบนี้น่ะ”
“การได้อยู่กับเรียวไม่ใช่อะไรที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม เรียวทำให้ผมอยากอยู่กับบ้านมากกว่าอ่ะครับ ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัวซึ่งผมไม่เคยมีมาก่อนเมื่อได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคุณ ก่อนหน้านั้นผมต้องร่อนเร่ไปมาอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เป็นนักมวย และนักแสดงโชว์คาร์บาเรต์ พอมาเป็นแดนเซอร์ก็ต้องไปเต้นในที่ต่างๆไม่ได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พอได้เจอกับเรียวมันทำให้ผมคิดที่จะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวเล็กๆของผมขึ้นมา ตอนนี้ผมเฝ้ารอเวลาที่จะให้มันสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมอยากได้บ้านที่สมาชิกครอบครัวอยู่กันอย่างถาวรไม่ใช่ชั่วคราวนะครับ”

น้ำเสียงของเดียร์ขณะที่พูดกับผมก่อให้ความรู้สึกหลายอย่างขึ้นมา ถึงแม้โดยรวมแล้วสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังบอกเล่ากับผมจะให้ความรู้สึกหงอยเหงาเศร้าสร้อย ทว่ากลับแฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง เด็กหนุ่มคงคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆกับเขา

ผมฟังแล้วรู้สึกสะท้านในอก สงสารเดียร์อย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มที่ขาดความรักความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รู้ความหมายของคำว่าครอบครัวอย่างแท้จริง พ่อแม่และญาติมิตรที่แท้ไม่เคยมีใครดีกับเขา ทำให้เด็กหนุ่มต้องแสวงหาความรักไปเรื่อยๆ โชคดีที่เขาได้รู้จักคนดีๆที่คอยหยิบยื่นความรักให้ แต่มันก็ยังดูไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนกระทั่งมาเจอผมเข้า เด็กหนุ่มก็ทำดี เอาอกเอาใจ หวังให้ผมตอบรับรักเขาบ้าง ผมเป็นเสมือนบ้านหลังสุดท้ายที่เขาจะขอพักพิงอาศัย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมยังจะกล้าทิ้งเขาไปได้ละหรือ

“สักวันนายคงจะได้เจอคนดีๆที่จะทำให้ครอบครัวในฝันของนายสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”

“คงไม่ต้องรอหรอก เพราะตอนนี้ผมเจอแล้วครับ แต่คนที่ผมต้องการให้เขาเป็นสมาชิกถาวรในครอบครัวของผมยังไม่ยอมรับใจตัวเอง ผมเลยต้องพยายามอย่างสุดความสามารถครับที่จะทำให้เขารักผมให้ได้”

พูดแบบนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเดียร์หมายถึงใคร สิ่งที่เขาอยากได้ ผมก็ดันลังเลที่จะให้ ผมได้แต่แอบทอดถอนใจอยู่คนเดียว ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดขึ้นกับผมหนอ เด็กที่น่ารัก น่าสงสารคนนี้ ทำไมถึงไม่เป็นผู้หญิงนะ ผมคงไม่ต้องให้เขาง้องอนผมถึงขนาดนี้หรอก เพราะผมนั่นแหละจะเป็นฝ่ายร้องขอให้เขาอยู่กับผมไปตลอดชั่วชีวิต แต่เพราะเดียร์กับผมเป็นเพศเดียวกัน ผมถึงได้วุ่นวายใจแบบนี้ แล้วผู้ชายกับผู้ชายรักกัน มันจะจีรังยั่งยืนเหมือนผู้หญิงกับผู้ชายละหรือ ในเมื่อไม่มีอะไรที่จะผูกพันกันไปตลอด โซ่ทองคล้องใจอย่างเช่นลูกก็มีให้แก่กันไม่ได้ แล้วมันจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ไปได้อย่างไร

“ขานายค่อยยังชั่วหรือยัง....”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ เดินได้คล่องแล้วล่ะ .......จะชวนผมไปตระเวณที่ไหนเหรอ”

“อื้ม จะชวนนายไปเดินเล่นซะหน่อย อาจจะไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ซื้อของขวัญของฝากไปทานข้าวนอกบ้านสักมื้อ ต่อจากนั้นอาจจะดูหนัง หรือโยนโบล์ เดินดูไฟยามค่ำคืน รอเวลาที่เขาจะนับเวลาถอยหลังไปสู่ปีใหม่กัน นายคิดว่าเป็นไง ไอเดียนี้”

“โอ๊ย ดีครับ ไป ไป ไป ที่ไหนที่มีเรียว ผมไปทั้งนั้นครับ แล้วไปกันตอนนี้เลยหรือเปล่า”

เดียร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขากอดผมไว้แน่น และใช้ปากซุกไซร้อยู่แถวซอกคอของผม เบี่ยงตัวหนียังไง ก็ไม่พ้น โดนเขาทั้งจูบทั้งกอดแบบนี้ เล่นเอาผมอารมณ์กระเจิดกระเจิง

“นี่นี่นี่ ปากบอกว่าไป แต่ทำไมยังมากอดมาจูบอยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี หมกตัวอยู่แต่ในบ้านนี่แหละ เจ้าเด็กลามก”

ผมเอ็ดเขาเสียงดัง พลางแกะไม้แกะมือที่ยุ่มย่ามเป็นปลาหมึกออกจากตัว เดียร์หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ตีหน้าทะเล้นใส่

“ก็แหม มันอยากทำทั้งสองอย่างนี่ครับ ช่วยไม่ได้นี่ เรียวอยากน่ารักทำไมล่ะ ให้ผมขลุกอยู่กับเรียว กุ๊กกิ๊กกันทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลยก็ยังได้อ่ะ ชอบมาก เวลาอยู่กับเรียวสองต่อสอง ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหม”

เอาอีกแล้ว พูดแบบนี้ผมก็เสร็จนะสิ ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลย นี่หน้าผมคงแดงก่ำด้วยความอายปนความสุขต่อหน้าเขาแน่ๆ เพราะผมรู้สึกร้อนวาบๆด้วยเลือดที่ฉีดพล่าน เจ้าบ้าเอ๊ย จะพูดทำไมกันนะ แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่เปล่งออกมา ก็สามารถโยกคลอนภูเขาน้ำแข็งในใจของผมได้แล้ว ขืนฟังบ่อยๆต้องใจอ่อนเข้าสักวันแน่เลย
“รีบๆทำงานบ้านเข้าเถอะ แล้วแต่งตัวออกจากบ้านกันได้แล้ว โปรแกรมเยอะแบบนี้ขืนไปช้า จะทำได้ไม่หมดทุกอย่าง”

ชิ่งหนีก่อนดีกว่า ขืนอยู่ใกล้มากๆ เดียร์คงปล้ำผมในห้องรับแขก ไม่ต้องออกไปไหนกันเลย เจ้าเด็กบ้านี่ยิ่งไว้ใจไม่ได้อยู่ ชอบทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ตลอดเวลา เผลอเป็นไม่ได้ ทั้งปาก จมูกมือไม้ลวนลามผมไม่หยุด นับวันผมก็ยิ่งต่อต้านเขาน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ แถมซ้ำบางทีก็ออกอาการรู้เห็นเป็นใจให้เขาทำกับผมเสียอีก คิดแล้วก็ให้เหงื่อตก นี่ผมกลายเป็นเกย์ไปแล้วหรือยังนะ ทำไมเวลาที่เด็กหนุ่มนัวเนียเข้าใกล้ มันถึงได้มีแต่ความสุขไม่มีความรังเกียจหลงเหลืออยู่เลยล่ะ
เสียงเดียร์หัวเราะลงคอเอิ๊กอ๊าก ทำท่าเหมือนรู้เท่าทันความคิดของผม โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ทำดึงดันกลั่นแกล้งเหมือนที่เคยยามที่อยากได้ตัวผม เขาแค่ยิ้มล้อเลียนจากนั้นก็ทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารที่รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติก่อนจะหันไปง่วนอยู่กับงานที่ทำคั่งค้างอยู่

ในเวลาไม่นานนัก เราสองคนก็ช่วยจัดการงานทุกอย่างในบ้านเสร็จตั้งแต่กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำให้เจ้าหญิง เอาข้าวให้มันทาน รดน้ำต้นไม้ และซักผ้า ผมกับเดียร์แข่งกันทำเวลาเข้าห้องน้ำ เขาเข้าห้องข้างล่าง ส่วนผมเข้าห้องข้างบน กว่าจะตกลงกันได้ ก็นานพอสมควร เพราะหนุ่มน้อยของผมงอแง จะขออาบน้ำด้วย อ้างว่าจะช่วยผมขัดเนื้อตัว จะได้เร็วขึ้น แต่เมินเสียเถอะผมไม่หลงกลหรอก ขืนเชื่อเขากว่าจะได้ออกจากห้องน้ำก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่

ผมเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อเลือกหาอาภรณ์ที่จะใส่ไปเที่ยวกับเดียร์ แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มที่ผมวางไว้ข้างนอกตอนที่เขาไปทัวร์คอนเสิร์ตได้กลับเข้ามาแขวนเหมือนเดิม แต่แขวนไว้มุมในสุดถ้าไม่รื้อไปด้านในก็จะไม่เจอ ผมนึกละอายใจที่วางเสื้อผ้าเขาทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี เดียร์คงมาเห็นเข้าแล้วคงจะสะเทือนใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองออกมาให้เห็น กลับแอบเอามาแขวนไว้ตามเดิมเงียบๆ ผมเอามือลูบไล้ไปตามเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มแล้วกล่าวคำขอโทษในใจที่ทำลงไปอย่างนั้น
เสื้อผ้าที่มีอยู่ในตู้ส่วนใหญ่เป็นโทนสีขาวดำ ยกเว้นแต่เสื้อเชิ้ตที่ผมซื้อมาใหม่สี่ห้าตัวที่มีสีสันสดใส ผมเปิดลิ้นชักออก เสื้อยืดที่เดียร์ซื้อให้ยังพับเรียบร้อยอยู่ในนั้น คราวที่แล้วผมใส่ตัวสีชมพูไป คราวนี้ ผมจะใส่เสื้อของเขาอีกดีไหมหนอ เดียร์จะดีใจมากแค่ไหนกันนะ ที่รู้ว่า ของที่เขาให้ผมมา ไม่ได้ถูกทิ้งขว้างไปไหน

หลังจากลังเลใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็หยิบเสื้อยืดตัวสีฟ้าอ่อนละมุนตาขึ้นมาสวม เป็นเสื้อคอกลมมีลายเล็กๆอยู่ตรงหน้าอกเป็นรูปหมีสองตัวกอดกัน ผมเลือกกางเกงยีนส์สีซีดๆตัวหนึ่งมาใส่ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงไปข้างล่าง ยังไม่ทันจะลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงผิวปากวิ๊ดวิ้ว มาจากคนหน้าทะเล้นที่ยืนมองผมตาเป็นประกายแพรวพราว เดียร์จ้องเอาจ้องเอาจนผมแทบจะเดินตกบันได เพราะเขินอายและวางตัวไม่ถูก

“มองอะไร เจ้าเด็กบ้า ไม่เคยเห็นกันเลยหรือไง มองอยู่ได้”

ผมแสร้งทำหน้าบึ้งใส่ กลบเกลื่อนอาการเขินจัดของตัวเอง เดียร์ยิ้มยั่วเย้า

“ทุกวันว่าน่ารักแล้ว แต่วันนี้กลับน่ารักมากมายกว่าเดิม นึกแล้วไม่มีผิด คนหน้าหวานแบบเรียว ยิ่งใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส ยิ่งดูดีมากยิ่งขึ้น หวานจนจะอดใจไม่อยู่แล้ว เปลี่ยนใจได้ไหมครับ ไม่อยากไปกินข้าวนอกบ้านแล้วอ่ะ อยากกินของหวานที่อยู่ในบ้านมากกว่า”

“นี่นี่นี่ ตื่นได้แล้ว....เพ้ออยู่ได้ ฉันจะออกไปข้างนอกล่ะ ถ้าจะไปก็ตามมา ถ้าไม่อยากไป ก็เชิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วนั่งพล่ามไปเถอะ”
พูดจบก็เดินหนีเด็กหนุ่มตรงไปยังประตูหน้าบ้าน เดียร์รีบกระวีกระวาดตามมา จัดการปิดประตูบ้านให้ผมเสร็จสรรพ แล้วก็ขึ้นไปนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในรถ ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่น ดูๆไปเจ้าเด็กหน้าทะเล้นนั่นก็น่ารักใช่เล่น ยิ่งเวลาดีอกดีใจก็จะแสดงออกมาโดยไม่ปิดบังคล้ายกับเด็กๆ ทำให้ผมซึ่งเก็บงำความรู้สึกตัวเองมาตลอดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นคนที่แก่ต่างจากเด็กหนุ่มโดยสิ้นเชิง

“ไปเดินสวนจตุจักรกันไหม ที่นั่นมีของเยอะดี น่าจะซื้อหามาเป็นของฝากได้ อากาศคงไม่ร้อนสักเท่าไหร่ เพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาว”

ผมเสนอความคิดกับเดียร์ เด็กหนุ่มพยักหน้า เดียร์เคยบอกผมมานานแล้ว ว่าเขาชอบไปเดินสวนจตุจักร ผมออกไปเที่ยวกับเขาครั้งแรกก็ที่นี่เหมือนกัน เมื่อเดียร์ไม่มีความเห็นขัดแย้ง ผมเลยขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังถนนพหลโยธินทันที รถไม่ติดมาก เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี คนออกไปฉลองกันที่ต่างจังหวัดส่วนหนึ่ง ทำให้ถนนโล่ง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ถึงสวนจตุจักรแล้ว

ร้านรวงบางร้านปิดไปบ้าง ทว่าคนก็ยังคึกคักสำหรับการมาจับจ่ายซื้อของ ผมเดินชมสินค้าไปเรื่อยๆ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไรบ้าง ก่อนออกมาจากบ้าน ผมลิสต์รายชื่อ คนที่ผมจะต้องให้ของขวัญไว้แล้ว มีตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่เจ้านายของผม ลูกน้องในแผนก เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่สนิทกันสมัยเรียน และ เพื่อนข้างบ้านด้วย โดยกำกับลักษณะนิสัยและความชอบของแต่ละคนเอาไว้ เพื่อที่ผมจะได้ซื้อของให้เหมาะสมกับแต่ละคน
ผมเลือกของขวัญที่ทำจากพวกไม้ เช่นพวกแจกัน โคมไฟที่มีรูปทรงแปลกๆให้กับพวกผู้ใหญ่ เจ้านายโดยตรงของผมชอบสะสมรูปภาพ ผมจึงเลือกงานเขียนพระพุทธรูปลงบนไม้ให้ ส่วนน้องๆในฝ่าย ผมซื้อชุดสำหรับใส่เครื่องเขียนที่ทำจากดินเผาให้

จากนั้นก็มาถึงบรรดาเพื่อนร่วมงาน ถ้าเป็นผู้หญิง ผมจะให้ของน่ารักๆเช่นพวกกรอบรูป กระปุก หรือ ตุ๊กตาต่างๆ ทั้งที่ทำจากเรซิน หรือผ้า ส่วนเพื่อนผู้ชาย ก็จะได้เสื้อยืดที่พิมพ์ข้อความกวนๆแต่สื่อความหมายถึงเพื่อนแต่ละคนได้ดี อย่างเช่นเสื้อที่เขียนว่า “don’t u know I’m a good gay” และ “รักใสใสหัวใจสีรุ้ง” ผมเลือกซื้อให้เจ้าสันต์ ตั้งใจจะแหย่มันเล่นๆ ส่วนเสื้อที่เขียนว่า “เมียจ๋าผมสับสน” ผมดันนึกถึงศักดิ์ชายขึ้นมาทันที เดียร์เลือกเสื้อ “หญิงแท้หรือจะสู้กระเทยไทย”ให้น้อย “ได้หลังลืมหน้า” ให้สมฤทัย และ “โปรดเข้าเยี่ยมชมทางประตูหลัง”ให้ โสภิตนภา ผมเลือกซื้อเสื้อที่พิมพ์คำว่า “I’m not a perfect guy” สำหรับตัวเอง ส่วนเดียร์ซื้อเสื้อสีขาว สกรีนสีดำตัวเป้ง สองแถวว่า “I’m your man”

ตอนที่จ่ายเงิน ผมเห็นคนขายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางตุ้งติ้งเหมือนกระเทย เขามองเราสองคนเขม็ง และมองเสื้อที่พวกเราเลือกซื้อ ผมหน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย เมื่อนึกได้ว่า เสื้อแต่ละตัวมันสื่อไปในความหมายของชายรักชายทั้งนั้น ทั้งๆที่ร้านนี้มีเสื้อยืดที่มีข้อความต่างๆเยอะแยะ ไม่เกี่ยวกับเกย์ก็มี แต่เรากลับเลือกซื้อแต่ข้อความที่ระบุความเป็นเพศที่สามออกมาอย่างชัดเจน ก็สมแล้วที่คนขายจะมองด้วยสายตาแบบนั้น

“มีอะไรเหรอครับ”

เดียร์ถามโพล่งออกไป คงจะสังเกตเห็นเหมือนกันว่า คนขายมองเราอยู่ ชายท่าทางตุ้งติ้งจีบปากจีบคอโต้ตอบทันที

“เปล่าค่ะ คือเห็นว่าคุณสองคนหน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่เลย มาด้วยกันด้วย ก็เลยสงสัยว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เหมาะสมกันมากเลยค๊า”



anna1234

  • บุคคลทั่วไป


ผมก้มหน้าลงทันที อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เพราะเสียงคนพูด ดังไม่ใช่น้อย เล่นเอาคนที่เลือกซื้ออยู่หันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว

“ขอบคุณนะครับที่ชม แบบนี้น่าจะได้เสื้อฟรีมาใส่นะครับ เพราะคุณเอาแต่จ้องพวกผมสองคน นี่ถ้าเป็นข้าวของคงจะสึกหรอหมดแล้วละครับ”

เดียร์กล่าวยิ้มๆ ไม่มีทีท่าโมโหแต่อย่างใด เขาดึงข้อศอกของผมให้เดินออกมาจากที่นั่น ยังไม่ทันพ้นร้านดี ผมก็ต้องตกใจเป็นซ้ำสองเมื่อเห็นอรจิรา ยืนอยู่ที่ร้านถัดไป ในลักษณะที่หันหน้ามามองผมกับเดียร์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ผมไม่รู้ว่าเธอได้ยินคำโต้ตอบอันดังพอสมควรเมื่อกี้หรือเปล่า

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจริงๆนะคะ”

อดีตคนรักกล่าวขึ้นมาก่อน เธอปรายตามองเดียร์แล้วหันมาทางผมเหมือนจะให้แนะนำ แต่ผมทำเป็นเฉย ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปอธิบายว่าเด็กหนุ่มคือใคร ผมไม่อยากโกหกพอๆกับไม่ยอมรับความจริง
“อื้มใช่ ไม่นึกว่าจะเจอคุณเหมือนกัน ผมมาซื้อของที่จะใช้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับแจกคนที่บริษัทครับ แล้วอรล่ะ”

“อื้ม อรมาซื้อเสื้อผ้าและของกระจุ๊กกระจิ๊กบางอย่างค่ะ แล้วนี่มากับใครคะเนี่ย”

ในที่สุดอรจิราก็ถามผมจนได้ ในขณะที่ผมยืนนิ่ง กำลังนึกว่าจะตอบว่าอะไรดี เดียร์ก็เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาเอง

“ผมเป็นญาติผู้น้องของเรียวครับ มาเที่ยวกรุงเทพฯ เลยมาขอพักอาศัยที่บ้านของเรียว แล้วนี่ก็ออกมาช่วยพี่เขาถือข้าวของครับ เพราะเรียวเขาซื้อของเยอะแยะกลัวจะหอบไปไม่หมด”

กล่าวจบเดียร์ก็ยิ้มหวานให้กับอรจิรา แฟนเก่าของผมมองเราสองคนอย่างสำรวจตรวจตรา เดาได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เธอคงได้ยินข้อความที่คนขายท่าทางตุ้งติ้งคนนั้นพูด แล้วก็นำมาโยงเข้าด้วยกันเมื่อเห็นผมเดินคู่มากับเดียร์ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอเห็นเราสองคน

“คุณอนันต์ไม่มาด้วยหรืออร”

ผมเปลี่ยนเรื่องเป็นถามถึงคนรักของเธอ พลันดวงตาของอรจิราก็หม่นวูบลง หน้าตาเศร้าหมอง ดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น

“คุณอนันต์เขากลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวเขา ที่เมืองนอก อีกไม่นานก็คงกลับมา เอ้อ.....อรขอตัวก่อนนะ”

กล่าวจบอรจิราอดีตคนรักของผมก็เดินจากผ่านเราสองคนไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับที่ผมและเดียร์จะไป ท่าทางเหมือนไม่อยากสนทนาด้วยเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เลิกกันอรจิราก็แทบไม่อยากคุยกับผมเลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่แฟนเก่าของผมจากไปแล้ว เดียร์ก็หันมาถามผมว่าคนนี้คือคนรักเก่าของผมใช่ไหม เขาจำได้ว่าเคยเดินควงกับผมพักหนึ่ง ตอนที่เด็กหนุ่มเข้ามากรุงเทพและสะกดรอยตามผม

หลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นผมไปไหนมาด้วยกันอีกเลย ผมพยักหน้าเนือยๆ เล่าให้เดียร์ฟังคร่าวๆว่าผมกับเธอเลิกกันแล้ว และตอนนี้เธอก็มีแฟนใหม่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท และอีกไม่นานเธอคงมีข่าวดีเรื่องวิวาห์

เดียร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แต่เขาก็พูดกับผมเหมือนที่เจ้าสันต์เคยพูดว่า ดูท่าทางอรจิรายังคงรักผมอยู่ เพราะสายตาตอนที่เธอเห็นผมกับเดียร์อยู่ด้วยกันมันแฝงไว้ด้วยความปวดร้าว

ผมเลยแสร้งพูดกับเดียร์ว่า ถ้ายังงั้นผมกลับไปรักกับอรจิราดีไหม ถ้าเธอยังคงมีเยื่อใยกับผม เด็กหนุ่มก็ทำเสียงเข้มใส่ บอกว่าอย่าแม้แต่คิดจะทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะผมผูกพันกับเขาแล้ว อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นแฟนกันไปจนกว่าจะครบหกเดือน ตามข้อตกลงของเรา

ระหว่างที่เป็นแฟนกัน ห้ามมีคนอื่นเด็ดขาด เขายังบอกว่าอรจิรามีแฟนใหม่ไปแล้ว เรื่องก็ควรจะจบลงแค่นี้ ไม่ควรสานต่อ

ผมไม่มีเวลาจะครุ่นคิดเรื่องของอรจิรา เพราะเดียร์จูงมือผมเดินไปเลือกซื้อข้าวของต่อ ในที่สุดผมก็ได้ข้าวของจนครบ โดยไม่ลืมซื้อมาฝากพี่สมชาย และคุณแคทลียาด้วย ผมซื้อต้นไม้ฝากเพื่อนบ้าน ส่วนคุณแคทลียา

ผมซื้อชุดปลอกหมอนทำจากผ้าไทยๆให้กับเธอ เพราะเห็นว่าเธอเป็นลูกครึ่งฝรั่งที่สนใจในผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้านของไทยมาก สังเกตจากการแต่งเนื้อแต่งตัวของเธอที่ใช้ผ้าไหมไทยมาตัดสูท และของประดับโต๊ะตั้งแต่หมอนรองหลัง ที่ใส่ปากกา กล่องทิชชู่ ถังขยะล้วนแต่เป็นของที่ทำจากงานช่างฝีมือชาวไทยทั้งสิ้น
หลังจากเลือกซื้อของเสร็จ แล้วเอาใส่รถเรียบร้อย ผมก็พาเดียร์ไปห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เพื่อที่จะดูหนังกับเขาสักเรื่อง ก่อนจะทานอาหารค่ำ รอเวลาที่จะเคาท์ดาวน์ด้วยกัน

หลังอาหารค่ำ ยังพอมีเวลาเหลือ ผมพาเดียร์เดินเล่นในห้างเพื่อย่อยอาหาร เราเดินกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้านแห่งหนึ่ง ชื่อของร้านดูคุ้นหูเหลือเกิน สินค้าในร้านเรียกความสนใจของผม ให้เดินเข้าไปดู มันเป็นร้านเพชรของนายทรงพล

ผมตั้งใจพาเดียร์มาเดินที่ห้างนี้ เพราะจำได้ว่า นายทรงพลเคยบอกว่าเขามีร้านจิลเวลลี่ อยู่ที่นี่ ก่อนออกจากบ้าน ผมเอากระดุมที่เขาให้ติดมือมาด้วย ตั้งใจว่าจะเอาไปคืนนายทรงพล เพราะผมคงไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์อะไร ผมไม่นิยมของฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นอยู่แล้ว

พนักงานขายหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เป็นคนเดินเข้ามาต้อนรับเราทั้งสอง แล้วพาเดินไปดูที่ตู้โชว์อัญมณีเพื่อให้พวกเราได้เลือกดูตามความพอใจ ผมกล่าวขอบคุณ และเดินมองของที่อยู่ตามตู้ด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้คิดอยากจะซื้อหาของจำพวกนี้มาใส่

อันที่จริงอยากจะคืนกระดุมข้อมือให้กับเจ้าของร้าน แล้วรีบเดินกลับออกไป แต่เห็นเดียร์ให้ความสนอกสนใจกับพวกแหวนในตู้ ผมก็เลยรีรออยู่ อีกอย่างผมอยากคืนให้กับนายทรงพลโดยตรง ไม่อยากฝากใครไว้ ถ้าหากเขาไม่อยู่ที่ร้าน ผมอาจจะเอากลับไปบ้านแล้วมาคืนเขาในวันหลัง

แต่ผมไม่ต้องรอนานเลย ในขณะที่ผมกำลังนั่งเลือกดูแหวนกับเดียร์ เสียงของนายทรงพลก็ดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเขาเดินออกมาจากห้องด้านในที่มีผนังกั้นขวางอยู่ ตรงนั้นคงจะเป็นห้องทำงานส่วนตัวของนายทรงพลกระมัง ตามติดเขาออกมาคือแซ่บ คนรักใหม่ของชายวัยกลางคนแฟนเก่าของเจ้าสันต์ และเพื่อนของหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างผม

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ครับคุณเรียว”

นายทรงพลทักทายผมด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ผมยิ้มให้ แล้วล้วงกระดุมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นส่งให้ นายทรงพลทำหน้างงๆ

“ผมเอากระดุมข้อมือมาคืนนะครับ เพราะว่าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ผมไม่ค่อยได้ตัดสูทใหม่นะครับ จะเก็บไว้ก็เสียดาย หากมันไม่ได้ใช้ประโยชน์ เลยคิดว่าน่าจะเอามาคืนคุณ จะได้เอาไปให้คนอื่น ไปขาย หรือไปทำอะไรที่น่าจะดีกว่าเอามาเก็บไว้เฉยๆครับ”

ผมตอบไปด้วยท่าทางสุภาพ นายทรงพลแย้มเยื้อน ทำหน้าเหมือนไม่ได้โกรธอะไร แต่ดวงตาของเขาฉายแววไม่พอใจให้เห็น

“ถ้าเหตุผลที่คุณว่ามา ไม่ได้เกิดจากความรังเกียจข้าวของที่ผมให้ ผมก็ยินดีรับคืนครับคุณเรียว บอกกันตามตรงนะ ตอนที่ผมเอามันมาให้คุณ ก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะหาอะไรมาตอบแทนความมีน้ำใจของคุณดี จะให้เป็นสร้อย แหวน หรือนาฬิกาก็ดูจะไม่เหมาะสม

ผมเองก็ไม่อยากให้คุณคิดมากด้วย เลยให้เป็นพวกกระดุมข้อมือดีกว่า เพราะน่าจะเอาไว้ใช้ได้ คุณเอามาคืนแบบนี้ ผมเองก็รู้สึกแย่ครับ เหมือนกับว่าไม่ได้ตอบแทนในสิ่งที่คุณทำให้สักที”
น้ำเสียงเหมือนตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ผมเลยต้องกล่าวขอโทษขอโพยเขาที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี ผมขอบคุณเขาที่ให้ของล้ำค่าแก่ผม ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องให้เลย เพราะผมทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้ทำดีอะไรให้เป็นพิเศษ นายทรงพลก็บอกว่า เขาตั้งใจแล้ว ว่าเขาจะให้ผม เพราะผมเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาที่สุด แต่ในเมื่อผมไม่รับเป็นของ เขาก็ยินดีที่จะให้เป็นส่วนลด 70 % สำหรับผมหากมาซื้ออัญญมณีที่ร้านของเขา

ในระหว่างที่ผมกับนายทรงพลคุยกันอยู่นั้น ผมแอบเห็นนายทรงพลลอบสังเกตเดียร์กับแซ่บที่กำลังคุยกันอย่างสนิทสนม เดียร์เอาแหวนมาลองใส่ ในขณะที่แซ่บก็เชิญชวนให้ลองวงนั้นวงนี้เป็นที่สนุกสนาน สักพักเศรษฐีร้านเพชรก็หันมาหาผม

“เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ มาด้วยกันกับคุณหรือเปล่าครับ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ นายทรงพลทำตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที
“ไม่อยากจะละลาบละล้วงถามหรอกครับ ว่าเด็กคนนี้เกี่ยวพันกับคุณยังไง แต่คงจะเป็นคนที่รู้ใจคุณแน่นอนใช่ไหมครับ”

ถามมาอย่างนี้ก็เหมือนพยายามจะล้วงความลับน่ะแหละ แต่ผมไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ให้นายทรงพลเก็บไปคิดเอาเอง หากเขาคิดว่าผมกับเดียร์มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกันก็ช่างเขาเถอะ ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องมาวอแว แทะโลมผม

“ท่าทางแซ่บกับเพื่อนคุณคงจะสนิทสนมกันมาก นี่เขารู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“คงงั้นมั๊งครับ”

“ต้องคุยกับแซ่บเสียหน่อยแล้ว รู้จักกับคนหน้าตาดีเยอะแยะไม่เห็นบอกกันมั่งเลย”

พูดจบ นายทรงพลก็เดินไปยืนใกล้ๆกับแซ่บ จ้องมองเดียร์ก่อนจะหันไปมองที่แซ่บแล้วมองมายังผมอีกครั้งทำท่าทำทางเหมือนอยากให้แนะนำให้รู้จักว่า เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนเลือกแหวนอยู่เป็นใคร ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆเดียร์แล้วกล่าวแนะนำขึ้น

“เดียร์นี่คุณทรงพล เจ้าของร้านนี้นะ คุณทรงพลครับ นี่คือเดียร์ เพื่อนของผมครับ”

นายทรงพลยิ้มกว้าง เขายื่นมือออกมาให้เดียร์จับ แต่เด็กหนุ่มกลับพนมมือไหว้ ผู้เฒ่าทรงพลก็เลยหดแขนกลับไปวางไว้บนตู้โชว์อย่างเก้อๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แหม เพื่อนคุณเรียวนี่ยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลย หน้าตาหล่อจัง ชื่อก็น่ารักดีแปลได้ว่าที่รัก เวลาเรียกชื่อแล้วให้ความรู้สึกดีจัง เอ้อ ไม่ทราบว่าเป็นลูกครึ่งหรือเปล่าครับ”

“ครับ”

เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะก้มลงไปดูแหวนต่อ

“สนใจแหวนเหรอครับ”
นายทรงพลถามต่อ เดียร์เงยหน้าขึ้นมองคนถาม ก่อนจะหันมามองผม มีแววฉงนอยู่ในดวงตาคู่นั้น คงนึกสงสัยว่าตาคนที่ยืนพูดกับผม มาให้ความสนใจกับเขาทำไม

“ที่ถามเพราะจะได้แนะนำให้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าสนใจจะซื้อก็บอกกันได้ สำหรับคุณเรียวและเพื่อน ทางร้านยินดีลดให้ 70%ครับ”

“จริงเหรอครับ ดีจังเลย ไม่ยักรู้ว่าเป็นเพื่อนเรียวแล้วจะได้อะไรพิเศษแบบนี้”

เด็กหนุ่มทำตาโต แต่ใบหน้ากลับเฉยเมย เหมือนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นจริงจัง ตามคำพูดที่ออกไป นายทรงพลมองหน้าเด็กหนุ่มยิ้มๆ
“เรียวครับแหวนวงนี้สวยดีนะ”

เด็กหนุ่มยื่นมือซ้ายที่ใส่แหวนไว้ตรงนิ้วนางมาให้ผมดูอย่างอวดๆ
“เสียดายที่มันหลวมนิดหน่อย”

เดียร์ถอดแหวนออกวาง นายทรงพลจึงเอาที่วัดซึ่งเป็นลักษณะแท่งยาวๆ แล้วเอาแหวนสวมเข้าไป พลางบอกว่า เดียร์ต้องใส่ไซส์ที่เล็กลงมากว่านี้อีกเบอร์หนึ่งถึงจะพอดี

ผมยืนมองอย่างสนใจและแอบจำเบอร์แหวนของเดียร์ไว้ ตอนทำสัญญากัน เดียร์ให้แหวนผม แลกกับสร้อยคอรูปตัวอาร์ แต่เขาได้ทำมันหายไป ซึ่งเด็กหนุ่มเสียดายมาก

ผมเลยคิดว่าจะซื้ออะไรให้เขาสักหนึ่งชิ้น อาจจะเป็นแหวน หรือสร้อยคอเหมือนเดิมก็ได้ และเป็นการให้ของขวัญปีใหม่กับเขาด้วย ผมยังไม่เคยให้อะไรกับเขาเป็นชิ้นเป็นอันเลย มีแต่รับจากเด็กหนุ่มมาตลอด นี่อาจจะเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ผมให้เขาโดยไม่ต้องร้องขอ

“อยากได้หรือครับ ขนาดนิ้วของคุณสั่งได้ด้วยนะครับ”

“ไม่เอาดีกว่าครับ มันแพงจัง ซื้อไม่ไหวหรอก”

“งั้นผมให้แล้วกัน”

“เอ๋……”

เด็กหนุ่มทำหน้างงงัน

“ทำไมต้องให้ผมด้วยครับ ....”

“อันที่จริงผมต้องการให้ของบางอย่างกับคุณเรียวแต่เขาไม่ยอมรับ ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของเขา ผมเลยอยากให้คุณรับแทนน่ะครับ”

“มันยิ่งไม่สมเหตุสมผลใหญ่ ผมไม่รับหรอกครับ ผมกับคุณไม่ใช่เพื่อนหรือญาติกัน แล้วของซื้อของขายแบบนี้ ผมจะมาฉกฉวยเอาจากคุณฟรีๆได้ไง”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 24

หนุ่มน้อยของผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเล่นเอานายทรงพลถึงกับอึ้ง คงไม่ค่อยมีใครปฏิเสธของขวัญล้ำค่าจากเขาสักเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนเจ้าของร้าน มองผมกับเดียร์สลับไปมา แล้วก็ยักไหล่ ใบหน้ายิ้มละไม

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากจะให้เท่านั้นเอง เพราะคิดว่าคุณเรียวเป็นเพื่อนที่ผมค่อนข้างจะชอบนิสัยใจคอ แถมซ้ำคุณเองก็ยังเป็นเพื่อนกับน้องแซ่บคนรักของผมด้วย ในโอกาสที่คุณสองคนมาเยี่ยมร้านเราวันปีใหม่ ผมก็แค่อยากให้ของขวัญเท่านั้นเองนะครับ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย”

“ขอบคุณมากครับ ไม่เป็นไรหรอก แค่น้ำใจที่คุณมีให้ ก็ซาบซึ้งมากเลยครับ เอ้อ ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่ายังต้องไปธุระกันที่อื่นต่อนะครับ ไว้วันหลังจะแวะมาเยี่ยมใหม่”

ผมรีบตัดบท ไม่อยากจะอยู่ในร้านนี้ต่อไป เกรงว่าจะมีปัญหาตามมา เพราะท่าทางเดียร์จะเริ่มไม่พอใจเท่าไหร่ที่เห็นทรงพลตอแยกับผม

การถูกปฏิเสธซึ่งหน้าและทีท่าไม่ใส่ใจใยดีกับสิ่งของที่เขาพยายามจะยัดเยียดให้เราทั้งสองส่งผลให้นายทรงพลเกิดอารมณ์โกรธนิดๆ สังเกตได้จากแววตาที่แข็งกร้าว

แต่เศรษฐีร้านเพชรลูกค้าวีไอพีของบริษัทก็เลือกที่จะตีหน้ายิ้มใส่เราสองคน และทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

เขากล่าวขอบคุณเราสองคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเขา และเน้นย้ำในคำพูดเดิมว่า ถ้าเรามาซื้อสินค้าในร้านเขาเมื่อไหร่ ไม่ว่าเวลาไหน หรือของชิ้นนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ทั้งผมและเดียร์จะได้รับส่วนลดตามที่บอกอย่างแน่นอน

ผมกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นก็สะกิดเดียร์ให้เดินออกจากร้านมาด้วยกัน

“คุณทรงพลนี่เป็นใครกันหรือครับเรียว คนรู้จัก หรือลูกค้าของบริษัท ดูๆแล้วอีตาลุงคนนี้ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย ท่าทางหื่นกามลามกยังไงไม่รู้

ผมเห็นที่เขามองคุณมันเป็นแววตาของคนเจ้าชู้ โลมเลียคุณแทบจะทั่วตัวเลย สงสัยอยากจะฟันเรียวแหงๆ เรียวอาจจะไม่ทันสังเกต แต่ผมน่ะเห็นเต็มสองตาเลย หนอยแน่ะ จะมายุ่งกับคนรักของผมเหรอ เดี๋ยวได้ซวยกันไปข้างหนึ่งหรอก”

เด็กหนุ่มบ่นอย่างไม่พอใจ ท่าทางคงไม่ค่อยชอบขี้หน้านายทรงพลเอามากๆ ผมแอบหัวเราะเมื่อได้ฟังเขาพูด เจ้าเด็กบ้านี่ เที่ยวได้ว่าคนอื่นว่าทำตาเจ้าชู้ใส่ผม

แล้วตัวเขาล่ะ ทั้งสีหน้าแววตา กริยาท่าทางออกแนวหื่นชัดเจนเวลาอยู่ด้วยกัน แถมซ้ำยังมือไม้ว่องไวเป็นปลาหมึก ล่วงเกินผมแทบทุกครั้ง ตัวเองทำน่ะไม่รู้สึก

พอคนอื่นจะทำมั่งก็ไม่พอใจ พอได้ยินเสียงหัวเราะเด็กหนุ่มก็ทำแก้มพองหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ ถามงอนๆว่าผมหัวเราะอะไร หัวเราะที่เขาหวงและหึงผมน่ะเหรอ

แล้วก็บ่นต่ออีกว่า เขารักผมมาก เขาก็ย่อมหวงผมเป็นธรรมดา ใครจะมาวุ่นวายกับผมไม่ได้ นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น ผมเห็นเขายิ่งบ่นผมก็ยิ่งหัวเราะ

เด็กหนุ่มก็หน้างอขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยต้องเล่นบทบาทเป็นฝ่ายง้อเฉลยสิ่งที่ผมคิดให้เขาฟัง เขาก็เลยหัวเราะก๊ากหน้าตาแช่มชื่นขึ้น บอกว่าใครอยู่ใกล้ผมไม่มีทางอดใจได้หรอกเพราะผมน่ารักน่ากินไปทั้งตัว เล่นเอาผมเขินจัดเมื่อเขาชมซึ่งหน้า
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เขาไม่มาวุ่นวายกับฉันหรอก มีน้องแซ่บอยู่ข้างกายทั้งคน จะไปยุ่งกับคนอื่นก็แปลกไปล่ะ”

บอกเพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำหน้ายุ่งๆอยู่ดี

“ถึงยังไงผมก็ยังคงไม่ไว้ใจตาลุงหื่นนั่นอยู่ดี นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นลูกค้าของบริษัทเรียวนะ ผมจะด่าให้สติแตกไปเลย หรือถ้ายังดื้ออีกก็จะตั๊นหน้ามัน

เรียวก็อย่าไปใจดีกับเขามากนักนะครับ คนบางคนก็ไม่เหมาะสมจะไปดีด้วย เกิดเขาคิดร้ายขึ้นมาแล้วเรียวจะลำบาก”

แล้วตัวเองล่ะ ทำมาพูดดีว่าคนอื่น ชิชะ นายเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกันแหละ พอฉันทำดีด้วยแบบคนทั่วไปพึงจะทำกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

นายก็กลับมาบีบบังคับให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพการเป็นแฟนของนายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วอย่างนายนี่ควรจะใจดีด้วยไหมนะ

เปล่าหรอก ผมแค่คิดในใจ ไม่กล้าพูดดังๆออกไป เพราะเดี๋ยวเดียร์จะงอนใส่ แล้วก็จะมาทำตาแดงๆ หน้าเศร้าๆซึ่งผมไม่อยากเห็นในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้

อยากเห็นใบหน้าที่ร่าเริงของเขามากกว่า แต่ดูเหมือนว่าผมจะซ่อนยิ้มบนใบหน้าไม่มิด เพราะทันทีที่เด็กหนุ่มมองเห็นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าใจผมคิดอะไร

“ไม่เหมือนกันน๊า.....เรียวห้ามเอาผมไปเปรียบเทียบกับอีตาลุงบ้ากามนั่น ผมไม่ได้แค่หวังจะฟันเรียวเฉยๆ แต่ผมรักเรียวจริงๆ อยากอยู่ด้วยตลอดไป

เรามีอะไรกันแล้ว ผมก็ไม่คิดทิ้งขว้างเรียวนะ ตั้งใจจะรับผิดชอบชีวิตเรียว อยากดูแลให้มีความสุข ถ้าเรียวจะยอมให้ผมทำแบบนั้น”

เด็กหนุ่มรีบพูดแก้ความเข้าใจผิดของผม แต่ก็นั่นแหละ ผลที่ได้ก็เหมือนกันแหละว้า ในที่สุดเขาก็ปล้ำผมจนได้ แล้วดูพูดเข้าสิ จะรับผิดชอบชีวิตของผม

ทำยังกับผู้ชายที่ได้กับผู้หญิงแล้ว แสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษยอมรับต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เอาเถอะ ผมกำลังรื่นรมย์อยู่ เลยไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงสักเท่าไหร่ พึงพอใจกับภาพที่เห็นตรงหน้ามากกว่า

เวลาเห็นผู้ชายหึงนี่มันดูตลกและน่ารักแบบแปลกๆดีเหมือนกันนะ โดยเฉพาะเด็กเจ้าเล่ห์ขี้อ้อนแบบนั้นที่วันๆคอยแต่ออดออเซาะผม แต่บทที่จะหวงขึ้นมาก็ทำท่าฉุนเฉียวได้น่าเอ็นดูจริงเชียว

ผมเคยมีช่วงเวลาแบบนี้บ้างไหมหนอ หึงหวงใครสักคนที่เรารัก และพาลโกรธเวลาที่เขาไม่ค่อยเชื่อเรา อื้มมมม ...มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ยักจะจำได้เลย

สงสัยผมคงเลิกร้างห่างไกลจากบรรดาแฟนๆในอดีตของผมมากไปหน่อย เหตุการณ์ต่างๆมันถึงได้ลางเลือนขนาดนั้น

“เรียวอ่ะ....ทำหน้าหัวเราะเยาะผมอีกแล้ว ใจร้ายมากเลยอ่ะครับ ผมไม่เหมือนตาลุงนั่นนะ มองตาก็รู้แล้วว่าลุงแก่บ้ากามเป็นพวกชอบความสัมพันธ์ฉาบฉวย มีอะไรกันแค่เบื่อแล้วก็จากกันไป

แต่ผมอ่ะรักจริงหวังแต่งนะ ไม่เชื่อเหรอ ให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะ เราสองคนมาแต่งงานกันไหม ที่ไหนก็ได้ที่เขายินยอมให้เราแต่งงานและจดทะเบียนกันได้

แล้วผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าผมจะดูแลปกป้องเรียวได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าไม่แต่งกันอยู่เฉยๆกันก็ได้นะ ผมน่ะพร้อมพิสูจน์ความจริงใจอยู่แล้ว ว่าแต่เรียวอ่ะ อยากให้ผมพิสูจน์หรือเปล่า”
เดียร์เริ่มงอแงอีกแล้ว เมื่อเห็นผมยังคงยิ้มค้างอยู่ เขาพยายามพูดหว่านล้อมให้ผมเชื่อคำพูดเขาให้ได้ แต่ใครจะไปบ้าตามล่ะ มีที่ไหนจะให้ผมแต่งงานกับเขา

ที่ไหนเขาจะยอมรับกันล่ะ หรือถ้ามี ผมจะกล้าไปแต่งกับเขาหรือ แค่นี้ผมยังไม่แน่ใจเลย ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาจะยืนยาวแค่ไหน

ขนาดผมมีแฟนเป็นผู้หญิงแท้ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องเลิกราจากกันไป แล้วนี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ไปกันไม่ได้อยู่แล้ว

“จะบ้าเหรอ ใครจะไปแต่งงานกับนายหือ เจ้าเด็กฝันเฝื่อง”

ต่อว่าเขาอย่างขำๆ ไม่ได้นึกโกรธหรือรำคาญใจแต่อย่างใด รู้ดีว่าเด็กหนุ่มกำลังหึงผม ก็เลยพาล แล้วก็เฉไฉไปพูดเรื่องแต่งงงแต่งงาน เจตนาจริงๆก็คือจะผูกมัดผมให้อยู่กับเขานั่นแหละ

ผมแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจดีกว่า ทำเป็นเรื่องตลกไปซะ ให้รู้กลายๆว่าผมไม่เอาจริงแบบเขา จะได้เลิกพูดเสียที เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย เจ้าคนไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก ฝันไปเถอะ

“ก็ด้ายยยยยย ......”

เด็กหนุ่มหน้างอ เมื่อเห็นผมไม่เออออด้วย ที่จริงเขาก็คงรู้ดีแก่ใจว่าถึงไง ผมก็ไม่หลงกลไปกับคำพูดของเขา แต่ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้ต่างหากที่ทำให้เดียร์พยายามตอดนิดตอดหน่อย ด้วยหวังว่าจะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้ในสักวัน

“ยังไม่แต่งตอนนี้ก็ได้ รอเอาไว้ให้เรียวพร้อมก่อน แล้วค่อยมาคุยกันอีกที แต่พูดจริงๆนะครับ ผมน่ะไม่ชอบอีตาคนนี้เลย กลัวว่าเขาจะทำเรื่องเดือดร้อนให้เรียวในวันหลัง ระมัดระวังตัวอย่าเข้าใกล้เขามากนักนะครับ ผมเป็นห่วง”

สีหน้าและแววตาที่มองมา บอกให้รู้ว่าเขาห่วงใยผมจริงๆ ผมอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูกว่าคำเตือนของเดียร์จะเป็นจริงในสักวัน

อย่าว่าแต่เดียร์เลยที่จะรู้สึกไม่ไว้วางใจลูกค้าสูงวัยของบริษัทคนนั้น ผมเองก็อดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นพิกลเมื่อต้องมีเหตุให้เผชิญหน้ากับเขา

“เจ้าแซ่บนี่ก็แปลกพิลึก ระหว่าง ตาลุงบ้ากาม กับ นายสันต์จอมจุ้น เพื่อนเรียวยังจะน่ารักแล้วก็ดูจริงใจกว่า นายคนนี้ ท่าทางเจ้าชู้ และชอบคิดว่าเงินคือพระเจ้า

พอใจใครก็จะเอาเงินมาฟาดหัว คงมีแต่พวกสิ้นคิดนั่นแหละ ที่จะรับเงินจากเขาเพื่อบำรุงบำเรอความสุขตนเอง แซ่บไม่น่าคิดสั้นเลย สักวันน้ำตาต้องเช็ดหัวเข่าแน่”

เดียร์ยังบ่นไม่ยอมหยุด จนผมต้องหัวเราะออกมาดังๆด้วยความขำ หมอนี่เป็นเอามากแฮะ นี่หึงหวงผม ไม่ชอบหน้านายทรงพลถึงขนาดนี้เชียวหรือ ตลกจัง

แล้วไปยุ่งอะไรกับชีวิตของคนอื่นด้วย แซ่บเขาเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองแล้ว ส่วนเจ้าสันต์ก็กำลังมีความสุขกับแฟนใหม่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีความสุข ไม่ใช่เรื่องที่เดียร์จะต้องมาเดือดร้อนแทนเสียหน่อย

เดียร์มองหน้าผมแล้วทำปากยื่น ทำท่างอนใส่ที่ผมหัวเราะขำเขา ผมเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง กลัวเจ้าเด็กดื้อจะพาลพาโรไปมากกว่านั้น เดี๋ยวการเที่ยวฉลองปีใหม่ของเราสองคนจะหมดสนุกกันพอดี
“อยากได้แหวนหรือเรา”

“อื้ม......ก็.... เห็นมันสวยดีครับ เลยลองใส่ดูเล่นๆ แต่คงไม่ซื้อหรอกครับ แต่ละวง แพงมาก ขนาดตานั่น ลดพิเศษให้ด้วยความเสน่หาในตัวเรียวตั้ง 70% แล้วก็ยังแพงอยู่ดี ไม่ไหวหรอกครับ ทำงานเก็บเงินเอาไว้ไปเที่ยวกับเรียวดีกว่า”

อดไม่ได้ที่จะแขวะนายทรงพลแฮะ แต่คราวนี้ดูเหมือนแขวะผมเข้าไปด้วย พอเขานึกขึ้นได้ว่าพาดพิงมาถึงผม เด็กนั่นก็ยิ้มหวาน ทำท่าประจบประแจงขึ้นมาทันที คงกลัวผมจะโกรธ

“ถ้าจะซื้อก็คงไม่ซื้อให้ตัวเอง แต่จะซื้อให้เรียวอีกวงหนึ่ง เอาไว้เป็นแหวนสำหรับขอเรียวแต่งงานครับ”

เล่นพูดกันแบบนี้ซึ่งๆหน้าเลยนะ ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนี่ จะบ้าเหรอ พูดออกมาได้ แหวนสำหรับขอผมแต่งงาน ฟังดูแปลกๆแต่ทำไมเวลาได้ยินถึงรู้สึกดีจังเลยนะ

ผมเผลอตัวเอามือลูบไปที่นิ้วนางข้างซ้ายที่สวมแหวนทองเกลี้ยงของเดียร์อยู่ เครื่องหมายแห่งพันธะสัญญายังคงอยู่ตรงนั้น

ผมใส่มันติดนิ้วมือมาตลอดตั้งแต่ตอนที่เดียร์ตัดพ้อผม แล้วก็ใส่เรื่อยมาจนเกิดความเคยชิน

ลืมไปเลยว่าการได้มาของแหวนนี้แลกมาด้วยอิสรภาพและร่างกายของผม และบัดนี้มันได้รวมถึงหัวใจของผมเข้าไปด้วย ผมรักเจ้าของแหวนนี้อย่างไม่มีข้อสงสัยเลย

ผมให้แหวนเดียร์บ้างดีไหมน้า ไม่ได้ให้เพราะอยากจะแต่งงานด้วย แต่อยากให้เพราะผมไม่เคยให้อะไรเขาต่างหาก เห็นเดียร์ลองแหวนแล้ว ก็คิดว่าเขาอาจจะชอบ

เมื่อกี้นายทรงพลบอกไซส์แหวนสำหรับนิ้วนางของเดียร์และผมก็จำมันได้ขึ้นใจ คงต้องแอบมาทำให้เดียร์สักวง แต่เอ ทำไมต้องเป็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายด้วยก็ไม่รู้ นิ้วอื่นไม่มีหรือไง

เออ จริงสินะ ก็เจ้านี่ ลองแต่นิ้วนี้ตลอดนี่นา ถ้าผมไปถามเขา มันก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ ช่างเถอะ นิ้วนี้ก็นิ้วนี้ ไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เจ้าเด็กบ้านี่ คงไม่คิดว่าผมกำลังขอหมั้นเขาหรอกนะ

ผมคิดเองตอบเองในหัวสมอง แล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข นึกอยากทำแหวนขึ้นมาเร็วๆ แล้วเอามามอบให้เขา อยากเห็นหน้าเดียร์นักว่าจะเป็นยังไง

คงยิ้มแก้มปริ แล้วก็กระโดดเข้ามากอดผม หอมแก้ม แล้วเขาคงจะจูบต่อมั๊ง ต่อจากนั้นเขาคงพาผมไปที่เตียง แล้วอะไรอีกนะ....

โอ๊ย ยิ่งคิดจินตนาการก็เริ่มพิเรนทร์ขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกตกใจกับตัวเอง เริ่มร้อนผ่าวจากคางไปถึงใบหน้า มันคงจะแดงให้เดียร์เห็นแหงๆเลย แต่แปลกจริง ยิ่งคิดยิ่งมีอารมณ์วาบหวามขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

“เรียวรู้สึกดีใช่ไหมครับ เวลาอยู่ใกล้ผม”

อยู่ๆเดียร์ก็พูดขึ้นมา เล่นเอาผมสะดุ้ง ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เดียร์ก็เลยยิ้มหวานให้ผม

“ก็เห็นเรียวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่ครับ มองผมตั้งหลายครั้ง ผมก็คิดเอาว่าเรียวต้องมีความสุขแหงๆเลย ดีใจจริงๆที่ทำให้คุณพอใจได้”

ผมยิ้มให้เด็กหนุ่ม ไม่ตอบว่าอะไร ขี้เกียจโกหก ก็มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆนี่นา เจ้าเด็กบ้านี่ทำให้ผมมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ใช่จริงๆด้วย ดีใจจังเลย ในที่สุดเรียวก็ยอมรับเสียที ว่าผมสามารถทำให้เรียวมีความสุขได้ เป็นของขวัญปีใหม่ที่วิเศษสุดจังเลย”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง สายตาที่มองมายังผมเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ผมยิ้มตอบเขาด้วยเช่นกัน รู้สึกเขินนิดหน่อยที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง แต่ ณ เวลานั้น มันรู้สึกอยากจะยิ้มออกมาจริงๆ สุขล้นเกินจะบรรยาย

เราสองคนพากันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ บนทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสยาม ไปลงที่เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ผู้คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเนื่องจากถนนตรงหน้าห้างถูกปิดเป็นลานกว้างสำหรับให้ชาวกรุงเทพที่ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน ได้มาร่วมนับถอยหลังเพื่อต้อนรับปีใหม่กันที่นี่

บนทางเดินเท้าสองฝากฝั่งมีร้านรวงขายของมากมาย จำพวกของขวัญของฝากปีใหม่ ตั้งแต่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สลับกับรถเข็นขายน้ำ และอาหารการกิน

มีเสียงดนตรีจากการแสดงของนักร้องนักดนตรี ดังให้ได้ยินกระหึ่ม เดียร์จูงมือผมลัดเลาะไปยืนดูอยู่ตรงหน้าห้างนารายภัณฑ์ซึ่งมีคนยืนอยู่หนาแน่นพอสมควร

เขาจับมือผมไว้แน่นด้วยกลัวผมจะพลัดหลงไปไหน ตาก็มองผมตลอดเวลา เหมือนจะคอยระแวงระวังภัยให้ ผมเดินตามเด็กหนุ่มไปต้อยๆ อากาศหนาวเย็นยะเยือก แต่ผมกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเหนื่อยและร้อนแค่ไหนที่ต้องเบียดเสียดผู้คน แต่เมื่อมีเดียร์อยู่ด้วย มันกลับกลายเป็นความสุขจนผมไม่นึกเบื่อเลย

นาฬิกาที่ข้อมือของผม บอกเวลา 23.45 น.แล้ว เรายืนดูการแสดงมาร่วมชั่วโมง ตอนนี้บนเวทีหยุดการแสดงชั่วคราว โฆษกออกมาประกาศเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันนับเวลาย้อนหลัง

“........15 – 14 – 13 – 12 – 11 – 10.......”

ทุกคนที่เบียดเสียดกันอยู่บนลานกว้าง ประสานเสียงพร้อมกัน รวมทั้งหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆผมด้วย ท่าทางเขาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด

“9 – 8 – 7 – 6 – 5 – 4 – 3 ......”

เด็กหนุ่มบีบมือผมแน่นเข้า

“2 – 1 เย้ๆๆๆๆ สวัสดีปีใหม่ Happy New Year ครับ”

มีเสียงเฮ กับเสียงไชโยโห่หิ้วกึกก้องลานเวิร์ลด์เทรด พลุมากมายถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า แตกเป็นดาวกระจายระยิบระยับดูสวยงามตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

ผมหันไปสบตากับเดียร์เราต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข แล้วเหมือนมีแรงดึงดูด เราเคลื่อนกายเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เดียร์อ้าแขนออกโอบกอดผมไว้แนบแน่น

และก่อนที่จะทันตั้งตัว เดียร์ก็แนบริมฝีปากร้อนผ่าว ลงมาบนปากที่เผยอของผม เขาสอดลิ้นนุ่มเข้ามาในปาก เราต่างแลกจูบกัน เป็นจูบแรกสำหรับปีใหม่ของเราสองคน

จูบที่ทำให้ผมยอมรับเดียร์อย่างแท้จริง ว่าเขาคือคนที่ผมรักและต้องการอยู่ด้วยมากที่สุด

เสียงคนโห่ร้องแสดงความยินดียังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สลับกับแสงวูบวาบของแสงแฟลช ที่ผู้คนที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่งัดขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง ภาพเพื่อน หรือภาพพลุ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขในวันปีใหม่เก็บไว้ดู

รอบๆตัวผมก็มีคนถ่ายภาพหลายคน แสงแฟลชวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีช่วงจังหวะหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจูบอยู่กับเดียร์ ผมรู้สึกได้ถึงแสงแฟลชที่วาบผ่านหน้า

เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผุ้ชายคนหนึ่งมองมาที่เราสองคนยิ้มๆ ในมือถือกล้องที่ลดระดับลงมาอยู่ข้างตัวผมมองหน้าคนๆนั้น ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก แต่เป็นใครไม่รู้

ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก คงไม่มีใครรู้จักเราสองคนและคิดจะถ่ายรูปผมกับเดียร์เก็บเอาไว้หรอกนะ
เสียงคนโห่ร้องแสดงความยินดียังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สลับกับแสงวูบวาบของแสงแฟลช ที่ผู้คนที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่งัดขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง ภาพเพื่อน หรือภาพพลุ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขในวันปีใหม่เก็บไว้ดู

รอบๆตัวผมก็มีคนถ่ายภาพหลายคน แสงแฟลชวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีช่วงจังหวะหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจูบอยู่กับเดียร์ ผมรู้สึกได้ถึงแสงแฟลชที่วาบผ่านหน้า

เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผุ้ชายคนหนึ่งมองมาที่เราสองคนยิ้มๆ ในมือถือกล้องที่ลดระดับลงมาอยู่ข้างตัวผมมองหน้าคนๆนั้น ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก แต่เป็นใครไม่รู้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก คงไม่มีใครรู้จักเราสองคนและคิดจะถ่ายรูปผมกับเดียร์เก็บเอาไว้หรอกนะ

สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริงขึ้นมา เมื่อผมโผล่หน้าเข้าไปทำงานหลังจากที่ลาป่วยและลาพักร้อนยาวช่วงปีใหม่ ผมเอาของฝากแจกพนักงานในฝ่ายทุกคน และเพื่อนๆ เสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งสะสางงานที่คั่งค้างอยู่ สักพักจุ๋มก็เข้ามาบอกว่าเจ้านายเรียกผมเข้าไปพบ มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย

ผมเอาของขวัญปีใหม่ให้กับหัวหน้า เขากล่าวขอบคุณผม จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นั่งลงเพื่อพูดคุยบางสิ่งบางอย่าง เจ้านายของผมเริ่มต้นด้วยการกล่าวชมผลการปฏิบัติงานของผมที่ผ่านมา

แล้วบอกถึงความตั้งใจว่าปีนี้เขาได้เสนอชื่อผมให้เลื่อนตำแหน่ง จากผู้ช่วยผู้อำนวยการขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายพิจารณารับประกัน รวมถึงการปรับเงินเดือนให้ผม พร้อมกับให้รถประจำตำแหน่งไว้ใช้ด้วย

เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ตอนนี้ผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนแล้ว เหลือแต่การลงนามจากท่านประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเท่านั้น

หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คำสั่งนั้นก็จะมีผลบังคับใช้กลางเดือนมกรา ซึ่งจะมีการประกาศในงานวันปีใหม่ที่บริษัทได้จัดให้มีขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 มกราคมด้วย

สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผลแห่งความเพียรพยายามทำงานหนักมาตลอดปีได้ส่งผลแล้ว หน้าที่การงานที่สูงขึ้น

เงินเดือนและรถประจำตำแหน่งเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนปรารถนา ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง เพราะนอกเหนือจากตัวผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากการทำงานหนักแล้ว มันยังบ่งบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า เรามีคุณค่ากับบริษัทเพียงไร

แต่ผมก็ดีใจไม่นาน เมื่อหัวหน้าของผมวกตรงเข้าสู่ประเด็นที่เขาต้องการคุยกับผมจริงๆ เขาเปิดอีเมล์หนึ่งให้ผมดู เป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งมาให้เฉพาะหัวหน้าของผมเท่านั้น

มีภาพสองสามภาพของผู้ชายสองคน ที่ยืนเกาะกุมมืออิงแอบแนบชิดกัน เป็นภาพถ่ายที่ค่อนข้างชัดมาก แม้ว่ารอบข้างจะมีแสงสว่างเพียงน้อยนิด แต่คนถ่ายสามารถเก็บรายละเอียดได้ดี

เขาซูมมาให้เห็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า และอารมณ์ในภาพบ่งบอกให้รู้ว่าคนในภาพทั้งคู่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้กันเพียงไร

ผมมองภาพเดียร์ที่ก้มลงกระซิบที่ใบหูผม ในขณะที่ผมกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ร่างของผมซ้อนอยู่กับเดียร์ทางด้านหน้า มือหนึ่งของเด็กหนุ่มโอบอยู่รอบเอวผม เหมือนเราทั้งคู่กำลังตระกองกอดกัน

ภาพที่เหลือก็เป็นภาพอิริยาบถที่เราพูดคุยกันอยู่เท่านั้น โชคดีที่ไม่มีภาพอะไรที่ส่อเค้าให้ผมกับเดียร์เสียหาย แต่แค่นี้มันก็ยากต่อการที่จะอธิบายแล้ว ว่าทำไมผู้ชายสองคนจึงสนิทสนมชิดใกล้กันถึงขนาดนั้น

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากภาพที่เขาให้ดูก็เห็นเจ้านายมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมรีบปรับสีหน้าจากตกใจเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอฟังว่าหัวหน้าของผมจะพูดว่าอะไร ผมเห็นเขาทำหน้าตาซีเรียสจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนเขาลำบากใจต่อเรื่องที่เห็น
“คุณมีอะไรจะอธิบายไหมเรียว”

“เรื่องภาพนี้นะเหรอครับ”

เจ้านายผมพยักหน้า ท่าทางอยากได้ยินคำอธิบายจากปากผมว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไง ผมทำงานกับเขามานานเลยรู้ดีว่าเขาเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ค่อนข้างใจกว้าง รับฟังลูกน้อง

ไม่ตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น ให้โอกาสได้อธิบาย จากนั้นก็จะไตร่ตรองด้วยความคิดและประสบการณ์ของตนเอง ถึงแม้เขาจะดูเหมือนเป็นคนข้างจะดุไปบ้าง

แต่บทจะดีก็ดีใจหาย การที่เขารับฟังผมพูดแบบนี้ แปลว่าเขายังมีทางเลือกให้ผมบ้าง ไม่ตัดสินว่าผมผิดจากหลักฐานที่คนอื่นส่งมา

“ผมไม่ทราบครับ ว่าใครส่งมาให้หัวหน้า แต่คนในภาพเป็นผมจริงๆ กับเพื่อนของผมครับ เราไปเที่ยวกันเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา หลังจากที่ผมเพิ่งหายป่วยครับ”

“เหรอ นึกว่ามีเพื่อนสนิทแค่คุณสันต์กับศักดิ์ชาย”

เขาพูดยิ้มๆ ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าชาที่โกหกเขา แต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดเผยให้ใครรู้นี่ว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน

“คนนี้ก็เป็นเพื่อนที่สนิทอีกคนนะครับ แต่เขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทนี้”

“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แต่ดูจากรูปแล้ว ท่าทางจะสนิทกันมากนะ”

“ครับ.....”

ผมตอบรับเบาๆ พยายามจะไม่หลบตาหัวหน้า ทั้งๆที่ใจคอไม่ค่อยจะดีนัก ด้วยเดาใจไม่ถูกว่าเจ้านายของผมจะมาไม้ไหน ในที่สุดวินาทีแห่งการรอคอยก็มาถึง เมื่อผู้บังคับบัญชาของผมเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“เอาล่ะ เรียว ผมคิดว่าผมควรเชื่อคุณนะ คุณเป็นลูกน้องผมมานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยทำตัวมัวหมองเสื่อมเสีย มีแต่แสดงให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นขยันขันแข็งแค่ไหน

คุณเป็นกำลังสำคัญของบริษัท เป็นหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว ยังแถมพ่วงด้วยหน้าตาดีอีกต่างหาก มีสาวๆในบริษัทแอบชอบคุณหลายคนนะ

เพียงแต่ว่า คุณเอาแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจใคร ทำให้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับคุณ แต่พวกเขาก็ยังคงชอบคุณอยู่ ด้วยคุณสมบัติที่หล่อ และเก่ง แบบนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่ทำให้คุณมีศัตรูโดยที่ไม่รู้ตัว........”

เจ้านายของผมเว้นวรรค ดูว่าผมจะพูดอะไร แต่ผมกลับนิ่งเฉยฟังเขา ยามนี้ รู้ดีว่า ไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะคำพูดของผมอาจจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับใครบางคนที่ผมเองก็สงสัย เพียงแต่ว่าพูดไปก็ไม่ดี เพราะผมอาจจะคิดผิดก็ได้



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
“ที่จริงผมก็ไม่ค่อยเชื่อรูปพวกนี้เท่าไหร่ ผมว่ามันเป็นการกระทำของพวกหน้าตัวเมียที่จ้องจะทำร้ายผู้อื่นนะ การเอารูปมาฟอร์เวิร์ดส่งต่อแบบนี้

แล้วนี่ส่งให้ผมเพียงคนเดียว มันส่อเจตนาอยู่แล้ว ว่าต้องการทำลายคุณ เพราะผมเป็นเจ้านายของคุณ ถ้าหากผมหลงเชื่อกับรูปภาพนี้ แล้วเรียกคุณมาด่า โดยไม่ไต่สวน ผมอาจจะสูญเสียพนักงานบริษัทที่มีคุณภาพอย่างคุณไปก็ได้.....”

“ใช่จริงๆด้วย ดีใจจังเลย ในที่สุดเรียวก็ยอมรับเสียที ว่าผมสามารถทำให้เรียวมีความสุขได้ เป็นของขวัญปีใหม่ที่วิเศษสุดจังเลย”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง สายตาที่มองมายังผมเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ผมยิ้มตอบเขาด้วยเช่นกัน รู้สึกเขินนิดหน่อยที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง แต่ ณ เวลานั้น มันรู้สึกอยากจะยิ้มออกมาจริงๆ สุขล้นเกินจะบรรยาย

เราสองคนพากันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ บนทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสยาม ไปลงที่เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ผู้คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเนื่องจากถนนตรงหน้าห้างถูกปิดเป็นลานกว้างสำหรับให้ชาวกรุงเทพที่ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน ได้มาร่วมนับถอยหลังเพื่อต้อนรับปีใหม่กันที่นี่

บนทางเดินเท้าสองฟากฝั่งมีร้านรวงขายของมากมาย จำพวกของขวัญของฝากปีใหม่ ตั้งแต่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สลับกับรถเข็นขายน้ำ และอาหารการกิน มีเสียงดนตรีจากการแสดงของนักร้องนักดนตรี ดังให้ได้ยินกระหึ่ม เดียร์จูงมือผมลัดเลาะไปยืนดูอยู่ตรงหน้าห้างนารายณ์ภัณฑ์ซึ่งมีคนยืนอยู่หนาแน่นพอสมควร เขาจับมือผมไว้แน่นด้วยกลัวผมจะพลัดหลงไปไหน ตาก็มองผมตลอดเวลา เหมือนจะคอยระแวงระวังภัยให้ ผมเดินตามเด็กหนุ่มไปต้อยๆ อากาศหนาวเย็นยะเยือก แต่ผมกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเหนื่อยและร้อนแค่ไหนที่ต้องเบียดเสียดผู้คน แต่เมื่อมีเดียร์อยู่ด้วย มันกลับกลายเป็นความสุขจนผมไม่นึกเบื่อเลย
นาฬิกาที่ข้อมือของผม บอกเวลา 23.45 น.แล้ว เรายืนดูการแสดงมาร่วมชั่วโมง ตอนนี้บนเวทีหยุดการแสดงชั่วคราว โฆษกออกมาประกาศเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันนับเวลาย้อนหลัง

“........15 – 14 – 13 – 12 – 11 – 10.......”

ทุกคนที่เบียดเสียดกันอยู่บนลานกว้าง ประสานเสียงพร้อมกัน รวมทั้งหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆผมด้วย ท่าทางเขาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด

“9 – 8 – 7 – 6 – 5 – 4 – 3 ......”

เด็กหนุ่มบีบมือผมแน่นเข้า

“2 – 1 เย้ๆๆๆๆ สวัสดีปีใหม่ Happy New Year ครับ”

มีเสียงเฮ กับเสียงไชโยโห่หิ้วกึกก้องลานเวิร์ลด์เทรด พลุมากมายถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า แตกเป็นดาวกระจายระยิบระยับดูสวยงามตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ผมหันไปสบตากับเดียร์เราต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข แล้วเหมือนมีแรงดึงดูด เราเคลื่อนกายเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เดียร์อ้าแขนออกโอบกอดผมไว้แนบแน่น และก่อนที่จะทันตั้งตัว เดียร์ก็แนบริมฝีปากร้อนผ่าว ลงมาบนปากที่เผยอของผม เขาสอดลิ้นนุ่มเข้ามาในปาก เราต่างแลกจูบกัน เป็นจูบแรกสำหรับปีใหม่ของเราสองคน จูบที่ทำให้ผมยอมรับเดียร์อย่างแท้จริง ว่าเขาคือคนที่ผมรักและต้องการอยู่ด้วยมากที่สุด

เสียงคนโห่ร้องแสดงความยินดียังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สลับกับแสงวูบวาบของแสงแฟลช ที่ผู้คนที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่งัดขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง ภาพเพื่อน หรือภาพพลุ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขในวันปีใหม่เก็บไว้ดู รอบๆตัวผมก็มีคนถ่ายภาพหลายคน แสงแฟลชวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีช่วงจังหวะหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจูบอยู่กับเดียร์ ผมรู้สึกได้ถึงแสงแฟลชที่วาบผ่านหน้า เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งมองมาที่เราสองคนยิ้มๆ ในมือถือกล้องที่ลดระดับลงมาอยู่ข้างตัวผมมองหน้าคนๆนั้น ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก แต่เป็นใครไม่รู้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก คงไม่มีใครรู้จักเราสองคนและคิดจะถ่ายรูปผมกับเดียร์เก็บเอาไว้หรอกนะ

สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริงขึ้นมา เมื่อผมโผล่หน้าเข้าไปทำงานหลังจากที่ลาป่วยและลาพักร้อนยาวช่วงปีใหม่ ผมเอาของฝากแจกพนักงานในฝ่ายทุกคน และเพื่อนๆ เสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งสะสางงานที่คั่งค้างอยู่ สักพักจุ๋มก็เข้ามาบอกว่าเจ้านายเรียกผมเข้าไปพบ มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย

ผมเอาของขวัญปีใหม่ให้กับหัวหน้า เขากล่าวขอบคุณผม จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นั่งลงเพื่อพูดคุยบางสิ่งบางอย่าง เจ้านายของผมเริ่มต้นด้วยการกล่าวชมผลการปฏิบัติงานของผมที่ผ่านมา แล้วบอกถึงความตั้งใจว่าปีนี้เขาได้เสนอชื่อผมให้เลื่อนตำแหน่ง จากผู้ช่วยผู้อำนวยการขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายพิจารณารับประกัน รวมถึงการปรับเงินเดือนให้ผม พร้อมกับให้รถประจำตำแหน่งไว้ใช้ด้วย เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ตอนนี้ผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนแล้ว เหลือแต่การลงนามจากท่านประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเท่านั้น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คำสั่งนั้นก็จะมีผลบังคับใช้กลางเดือนมกรา ซึ่งจะมีการประกาศในงานวันปีใหม่ที่บริษัทได้จัดให้มีขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 มกราคมด้วย

สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผลแห่งความเพียรพยายามทำงานหนักมาตลอดปีได้ส่งผลแล้ว หน้าที่การงานที่สูงขึ้น เงินเดือนและรถประจำตำแหน่งเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนปรารถนา ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง เพราะนอกเหนือจากตัวผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากการทำงานหนักแล้ว มันยังบ่งบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า เรามีคุณค่ากับบริษัทเพียงไร

แต่ผมก็ดีใจไม่นาน เมื่อหัวหน้าของผมวกตรงเข้าสู่ประเด็นที่เขาต้องการคุยกับผมจริงๆ เขาเปิดอีเมล์หนึ่งให้ผมดู เป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งมาให้เฉพาะหัวหน้าของผมเท่านั้น มีภาพสองสามภาพของผู้ชายสองคน ที่ยืนเกาะกุมมืออิงแอบแนบชิดกัน เป็นภาพถ่ายที่ค่อนข้างชัดมาก แม้ว่ารอบข้างจะมีแสงสว่างเพียงน้อยนิด แต่คนถ่ายสามารถเก็บรายละเอียดได้ดี เขาซูมมาให้เห็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า และอารมณ์ในภาพบ่งบอกให้รู้ว่าคนในภาพทั้งคู่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้กันเพียงไร

ผมมองภาพเดียร์ที่ก้มลงกระซิบที่ใบหูผม ในขณะที่ผมกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ร่างของผมซ้อนอยู่กับเดียร์ทางด้านหน้า มือหนึ่งของเด็กหนุ่มโอบอยู่รอบเอวผม เหมือนเราทั้งคู่กำลังตระกองกอดกัน ภาพที่เหลือก็เป็นภาพอิริยาบถที่เราพูดคุยกันอยู่เท่านั้น โชคดีที่ไม่มีภาพอะไรที่ส่อเค้าให้ผมกับเดียร์เสียหาย แต่แค่นี้มันก็ยากต่อการที่จะอธิบายแล้ว ว่าทำไมผู้ชายสองคนจึงสนิทสนมชิดใกล้กันถึงขนาดนั้น

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากภาพที่เขาให้ดูก็เห็นเจ้านายมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมรีบปรับสีหน้าจากตกใจเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอฟังว่าหัวหน้าของผมจะพูดว่าอะไร ผมเห็นเขาทำหน้าตาซีเรียสจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนเขาลำบากใจต่อเรื่องที่เห็น

“คุณมีอะไรจะอธิบายไหมเรียว”

“เรื่องภาพนี้นะเหรอครับ”

เจ้านายผมพยักหน้า ท่าทางอยากได้ยินคำอธิบายจากปากผมว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไง ผมทำงานกับเขามานานเลยรู้ดีว่าเขาเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ค่อนข้างใจกว้าง รับฟังลูกน้อง ไม่ตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น ให้โอกาสได้อธิบาย จากนั้นก็จะไตร่ตรองด้วยความคิดและประสบการณ์ของตนเอง ถึงแม้เขาจะดูเหมือนเป็นคนข้างจะดุไปบ้าง แต่บทจะดีก็ดีใจหาย การที่เขารับฟังผมพูดแบบนี้ แปลว่าเขายังมีทางเลือกให้ผมบ้าง ไม่ตัดสินว่าผมผิดจากหลักฐานที่คนอื่นส่งมา

“ผมไม่ทราบครับ ว่าใครส่งมาให้หัวหน้า แต่คนในภาพเป็นผมจริงๆ กับเพื่อนของผมครับ เราไปเที่ยวกันเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา หลังจากที่ผมเพิ่งหายป่วยครับ”

“เหรอ นึกว่ามีเพื่อนสนิทแค่คุณสันต์กับศักดิ์ชาย”

เขาพูดยิ้มๆ ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าชาที่โกหกเขา แต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดเผยให้ใครรู้นี่ว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน

“คนนี้ก็เป็นเพื่อนที่สนิทอีกคนนะครับ แต่เขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทนี้”

“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แต่ดูจากรูปแล้ว ท่าทางจะสนิทกันมากนะ”

“ครับ.....”

ผมตอบรับเบาๆ พยายามจะไม่หลบตาหัวหน้า ทั้งๆที่ใจคอไม่ค่อยจะดีนัก ด้วยเดาใจไม่ถูกว่าเจ้านายของผมจะมาไม้ไหน ในที่สุดวินาทีแห่งการรอคอยก็มาถึง เมื่อผู้บังคับบัญชาของผมเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“เอาล่ะ เรียว ผมคิดว่าผมควรเชื่อคุณนะ คุณเป็นลูกน้องผมมานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยทำตัวมัวหมองเสื่อมเสีย มีแต่แสดงให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นขยันขันแข็งแค่ไหน

คุณเป็นกำลังสำคัญของบริษัท เป็นหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว ยังแถมพ่วงด้วยหน้าตาดีอีกต่างหาก มีสาวๆในบริษัทแอบชอบคุณหลายคนนะ

เพียงแต่ว่า คุณเอาแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจใคร ทำให้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับคุณ แต่พวกเขาก็ยังคงชอบคุณอยู่ ด้วยคุณสมบัติที่หล่อ และเก่ง แบบนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่ทำให้คุณมีศัตรูโดยที่ไม่รู้ตัว........”

เจ้านายของผมเว้นวรรค ดูว่าผมจะพูดอะไร แต่ผมกลับนิ่งเฉยฟังเขา ยามนี้ รู้ดีว่า ไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะคำพูดของผมอาจจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับใครบางคนที่ผมเองก็สงสัย เพียงแต่ว่าพูดไปก็ไม่ดี เพราะผมอาจจะคิดผิดก็ได้

“ที่จริงผมก็ไม่ค่อยเชื่อรูปพวกนี้เท่าไหร่ ผมว่ามันเป็นการกระทำของพวกหน้าตัวเมียที่จ้องจะทำร้ายผู้อื่นนะ การเอารูปมาฟอร์เวิร์ดส่งต่อแบบนี้

แล้วนี่ส่งให้ผมเพียงคนเดียว มันส่อเจตนาอยู่แล้ว ว่าต้องการทำลายคุณ เพราะผมเป็นเจ้านายของคุณ ถ้าหากผมหลงเชื่อกับรูปภาพนี้ แล้วเรียกคุณมาด่า โดยไม่ไต่สวน ผมอาจจะสูญเสียพนักงานบริษัทที่มีคุณภาพอย่างคุณไปก็ได้.....”
ผมรับฟังอย่างเข้าใจ และนึกขอบคุณที่เจ้านายของผมไม่ใช่คนมีนิสัยแบบนั้น

“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผมจะไม่เชื่อ แต่ผมก็ไม่อยากจะให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมไม่ต้องการได้รับรูปจากอีเมล์ หรือ ได้ยินข่าวคราวที่ไม่ดีเกี่ยวกับลูกน้องใต้สังกัดของผมไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ผมเป็นผู้ชาย เคารพในสถาบันครอบครัว คิดว่าหญิงและชายเท่านั้นที่จะแต่งงานและครองคู่กันอย่างมีความสุข แต่เมื่อโลกมันเปลี่ยนไป ผมก็ใจกว้างพอที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง ใครจะมีรสนิยมแบบไหน ผมไม่สน ขอให้ทำงานได้ก็พอ....”

หัวหน้าของผมหยุดพูดแล้วจ้องหน้าผม ผมมองตอบพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ

“ที่ผมพูดนี่ ก็ไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด คิดว่าผมเรียกคุณมาด่า หรือลงโทษปรักปรำคุณนะ เรียว ผมแค่เตือนไว้ ในฐานะ หัวหน้า ในฐานะพี่ชาย ผมอยากให้ลูกน้องของผมทุกคนที่ผมโปรโมทขึ้นมา เต็มไปด้วยภาพลักษณ์ที่ใสสะอาด และสง่างาม ไม่อยากให้ใครติฉินนินทา เพราะถ้าหากเขาด่าพวกคุณ มันหมายความว่าด่าผมไปด้วย ที่ไม่ดูแลลูกน้องในปกครองให้ดี หรือเลือกคนที่ไม่เหมาะสมขึ้นมาปกครองดูแลคนอื่นๆ ผมชอบคุณ เห็นว่าคุณเป็นคนดี ทำงานเก่ง ขยัน และมุ่งมั่น คุณทำเพื่อบริษัทมาเยอะ ทางเราก็อยากตอบแทนคุณ อยากให้คุณมีหน้าที่การงานที่ดียิ่งขึ้น ผมดีกับคุณ แล้วก็อยากให้คุณเองก็รักษาหน้าผมบ้าง”

ผมขยับตัวอย่างอึดอัด เริ่มมองเห็นสัญญาณบางอย่างแล้ว นึกเดาได้ว่าเจ้านายกำลังจะพูดอะไรกับผม

“เรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับน้องผู้ชายคนนี้ จะจริงหรือไม่ ลึกซึ้งเพียงใดไม่มีใครรู้ได้ บางทีอาจจะไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ความเข้าใจผิด หรือใครบางคนอาจจะพยายามหาเรื่องใส่ความคุณให้เสื่อมเสีย แต่เชื่อเถอะ สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ผมไม่กลับคำแน่ คุณจะไปทำอะไรกับใครผมไม่ว่า ขอเพียง อย่าทำให้มันโจ่งแจ้งนัก เพราะมันจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาในตัวของคุณเอง และหน่วยงานซึ่งคุณดูแล ผมพูดเปิดใจกับคุณแบบนี้ ก็หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ ผมไม่โกรธคุณ แล้วก็ไม่ยุ่งเรื่องของคุณ แต่ผมอยากให้คุณได้รับการยอมรับนับถือจากคนทั่วไป เพราะผมชอบการทำงานของคุณ รู้สึกเสียดายหากคุณจะเจอแรงกดดันต่างๆจนอยู่ไม่ได้ อยากทำงานร่วมกันไปตลอด ไม่รู้ว่า พี่ชาย คนหนึ่งขอร้องคุณแบบนี้ คุณจะทำให้ผมได้ไหมนะ”

ท้ายประโยคเขาย้อนถามผมตรงๆ แล้วรอฟังคำตอบจากผมด้วยท่าทางใจเย็น ผมนิ่งอึ้ง พยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกให้อยู่ในระดับปกติ นับตั้งแต่แรกที่ผมเห็นภาพตัวเองกับเดียร์ ผมรู้สึกตกใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธ จากนั้นก็กลับเป็นหวาดวิตก กลัวว่าเจ้านายของผมจะเล่นงานเอะอะเอ็ดตะโรแล้วเค้นถามผมให้สารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อเจอท่าทีที่หัวหน้าแสดงออกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับภาพที่เห็น และก็ไม่สนด้วยว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ผมก็เบาใจมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ต้องมาหนักใจกับสิ่งที่เจ้านายของผมมาขอร้องในตอนท้าย ผมจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
“ครับ ผมจะพยายามระมัดระวังไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก”

ผมให้คำมั่นสัญญากับหัวหน้า ดูท่าทางเขาพออกพอใจมาก จากนั้นก็อวยพรวันปีใหม่ให้กับผม แล้วก็อนุญาตให้ผมกลับมาทำงานได้ ผมเดินเข้าห้องอย่างมึนงง

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เริ่มต้นด้วยดีกับเรื่องตำแหน่งใหม่ แต่ลงท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ที่ถูกฟ้องด้วยภาพถ่ายกลับกลายเป็นปัญหาที่ทำให้ผมต้องคิดหนัก จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ความผิดของผมกับเดียร์เลยที่เราจะรักกัน สังคมต่างหากที่ปิดกั้น ไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้

นึกโกรธตัวเองที่ประมาทเลินเล่อ ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเผลอไผลแสดงความรักออกมาในที่สาธารณะ แต่ตอนนั้น บรรยากาศมันพาไป ทำให้ยั้งใจไม่อยู่ จนมีมือดีถ่ายภาพเราเอาไว้ได้

นึกสังหรณ์ใจตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเห็นหมอนั่นแล้ว ใครกันนะที่ทำแบบนี้ ผมไม่รู้จักเขาเลย และคิดว่า คงไม่เคยมีเรื่องอะไรบาดหมางใจกัน เป็นไปได้หรือไม่ ว่าผู้ชายคนนั้นถูกจ้างวานมาเพื่อเก็บภาพผมกับเดียร์เอาไว้ใช้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง

ภาพที่ส่งให้หัวหน้าผม คิดว่ายังไม่หมดแค่นั้น คงยังมีอีก แต่การที่เขาไม่ส่งมาให้ทั้งหมด อาจจะเป็นการเตือนผมทางอ้อมก็ได้ ในไม่ช้า รูปที่เหลือซึ่งเป็นรูปเด็ดกว่านี้ อาจจะถูกส่งมา พร้อมกับข้อต่อรองอะไรบางอย่างที่จะให้ผมทำให้เขา

มันคือการแบล็คเมล์ชัดๆ แย่จังที่ผมไม่รู้ว่าเจ้าของรูปนั้นคือใคร จะขอเมล์จากหัวหน้าก็ไม่กล้า กลัวว่าจะซักถามมากมาย แล้วไอ้ที่ผมโกหกเขาไว้ว่าผมกับเดียร์เป็นเพื่อนกัน มันจะความแตกเสียก่อน

ถูกจับได้ว่าโกหกยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ เพราะมันหมายถึงว่า หัวหน้าไม่อาจจะไว้วางใจอะไรในตัวผมได้เลยแม้แต่คำพูด ดังนั้นผมต้องหาทางสืบเอาเองว่าใครคือตัวการ มีผู้ต้องสงสัยอยู่มากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยเห็นผมกับเดียร์อยู่ด้วยกัน จะใช่คนที่ผมคิดไว้ในใจหรือเปล่าก็ไม่อาจจะรู้ได้

แต่น่ากลัวเหลือเกิน ต่อไปจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังหน่อย เพราะว่าผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง คงต้องการหลักฐานให้มากกว่านี้เพื่อมาบีบคั้นผมอย่างแน่นอน

กว่าจะข่มจิตข่มใจให้สงบลง แล้วทำงานต่อ ก็ปาเข้าไปเกือบจะบ่ายโมงแล้ว ผมยังไม่ได้ลงไปทานข้าวเลย ความโกรธทำให้ลืมความหิวไปได้ แถมซ้ำวันนี้เจ้าสันต์ก็ไม่มากวนใจ มันคงแว่บไปทานข้าวเที่ยงกับเบนกระมัง

หมู่นี้จู๋จี๋กันบ่อยเหลือเกิน ท่าทางมีความสุขเต็มที่ เวลาเดือดร้อนอย่างนี้ จะพึ่งมันไม่ได้เลย แต่ผมก็โกรธมันไม่ลง ไม่ใช่เรื่องของมันเสียหน่อยที่จะมาวิตกกังวลใจเกี่ยวกับตัวผม ปล่อยให้มันมีความสุขไปเถอะ เพราะมันเพิ่งจะฟื้นจากการอกหักมา บางทีรักครั้งนี้ของมันอาจจะทำให้เจ้าสันต์ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงก็ได้

มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดียร์นั่นเอง ผมปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น ด้วยอารมณ์โกรธที่ยังคุกรุ่นอยู่ แต่เมื่อดังนานเข้า ก็รู้สึกสงสารคนที่โทรเข้ามา เจ้าเด็กนั่นไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย

เขาเองก็ถูกลอบถ่ายเหมือนกัน โชคดีที่เขาเป็นแค่แดนเซอร์นักร้องดัง ไม่ได้เป็นดารามีชื่อเสียง ไม่งั้นคงฉาวโฉ่มากกว่านี้ แต่นี่คนทำต้องการเล่นงานผมเพียงแค่คนเดียว แสดงว่าเขาต้องรู้จักผม อยากทำลายผม หรือไม่ก็อยากสั่งสอนผม เพราะพุ่งเป้ามาทางนี้เพียงอย่างเดียว ในเมื่อเด็กนั่นไม่ผิด ผมจะใจร้ายกับเขาทำไม
เดียร์ส่งเสียงง๊องแง๊งมาตามสายต่อว่าผมว่าทำไมรับโทรศัพท์ช้า แต่เมื่อเห็นผมไม่ค่อยโต้ตอบ และทำเสียงเนือยๆใส่ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นห่วงใยขึ้นมาทันที

“เรียวเป็นอะไรหรือครับ ยังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือเปล่า หรือว่าเหนื่อย หยุดไปหลายวันงานคงเยอะสิครับ ผมอยากช่วยนะ แต่ทำงานของคุณไม่เป็น เอาเป็นว่าคืนนี้ กลับจากร้านกาแฟแล้ว ผมจะนวดให้นะครับ คุณจะได้สบายตัว หรือจะทำอย่างอื่นให้ด้วยก็ได้ ดีไหม ”

ในยามปกติ น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอาจจะทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้โดยไม่รู้ตัว แต่ในยามที่ผมกำลังหงุดหงิดแบบนี้มันไม่มีกะจิตกะใจจะซาบซึ้งไปกับความห่วงหาอาทรของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมบอกเขาไปว่า ผมอาจจะหลับเร็วหน่อยคืนนี้ เพราะผมเพลียจากการทำงาน คงไม่ได้อยู่รอ เขามีกุญแจอยู่แล้ว ก็ไขเข้าบ้านมาได้เลยแล้วกัน

เด็กหนุ่มเป็นคนที่เรียนรู้อารมณ์คนได้เร็ว โดยเฉพาะอารมณ์ของผม เขาคงรู้ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สบายใจอยู่ เขาก็เลยไม่เซ้าซี้ต่อ แต่บอกกับผมว่า เขาเห็นว่าผมไม่ได้ลงมาทานข้าวที่ร้านป้าเหมือนเดิม เขาเลยแวะมาฝากกับข้าวไว้ให้ยามเอาขึ้นไปให้

วันนี้ เขาต้องรีบไปซ้อมเต้น เพราะทางค่ายเพลงเรียกตัวมา บอกว่า จะมีงานให้ทำ เป็นงานฉลองปีใหม่ เขาต้องเต้นให้กับนักร้องสาวที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ แต่เรื่องสถานที่และวันต้องไปคุยวันนี้ถึงจะรู้ แล้วหลังจากนั้นเขาจะเลยไปทำงานที่ร้านกาแฟต่อ อาจจะกลับดึกหน่อย แล้วเขาจะซื้อขนมมาฝาก จากนั้นเขาก็ส่งจูจุ๊บมาตามสาย ก่อนจะวางหูไป

ผมหัวเราะหึหึ แม้ในช่วงที่เป็นทุกข์ใจ เด็กหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ทำให้ผมมีรอยยิ้มได้ ผมขำเดียร์ที่รายงานให้ผมทราบว่าจะไปที่ไหนบ้าง ทำตัวเหมือนกับสามีที่รายงานความเคลื่อนไหวของตัวเองให้ภรรยาได้รับรู้ก่อนที่จะถูกซักฟอก

แล้วยังน้ำใจของเขาที่มีต่อผม ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารที่ผมชอบแล้วหิ้วมาฝากยามเอามาให้ผม หรือแม้แต่ขนมที่จะแวะซื้อติดมือมาให้ เขาทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวเขาหลายอย่าง ในขณะเดียวกันก็สร้างความสับสนให้บังเกิดขึ้นในใจผมอีกด้วย

ยามเอาข้าวกล่องและกับข้าวสองสามอย่างที่เดียร์ฝากขึ้นมาให้ ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็ให้เงินยามไป 100 บาท เป็นสินน้ำใจ จากนั้นก็ลงมือทานอาหารที่เด็กหนุ่มทำมา

อาหารยังร้อนๆอยู่เลย แสดงว่า เดียร์เพิ่งทำได้ไม่นาน เขาคงจะรอจนคนในร้านเริ่มซา แล้วทำกับข้าวมาให้ผม แล้วขออนุญาตคุณป้าเจ้าของร้านออกมา

ตั้งแต่เดียร์ไปทัวร์คอนเสิร์ต จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ต่อเนื่องไปถึงเหตุการณ์ที่เกาะเสม็ดที่เราต้องไปเผชิญหน้ากับนายบอย เดียร์ไม่ได้ทำงานการอะไรเลย

ผมให้เขามาอยู่บ้านผม แต่เดียร์ก็แสดงความเกรงอกเกรงใจด้วยการดูแลบ้านให้ เขาไม่ยอมใช้จ่ายเงินของผมฟรีๆ เขาบอกกับผมว่า ผู้ชายที่เกาะคนรักกิน เป็นคนไม่น่าชื่นชมสักเท่าไหร่ ไร้ศักดิ์ศรี

ในฐานะสามี เขาอยากทำให้ภรรยาของตัวเองมีความสุข เขาอยากให้ผมปลาบปลื้มในตัวเขา ดังนั้นเมื่อเขาเดินได้เป็นปกติแล้ว เขาก็กลับมาทำงานที่ร้านคุณป้า และที่ร้านกาแฟดังเดิม เขาบอกกับผมว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขามีความสุขมากที่ได้อยู่กับผม แต่ตอนนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว เข้าสู่โลกของความเป็นจริงเสียที


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
 :z3: ขอโทษไม่นึกว่าจะได้ไปนานขนาดนี้
+1 ให้กำลังใจคนรอแล้วกันนะนะ :3123:

andyus1

  • บุคคลทั่วไป
อ่าๆๆ ไก้จบแล้วดิ

แต่ยังเลื่องหั้ยปวดหัวอีกหลายเลย

เอาเปนว่ารออ่านตอนต่อไปละกันคร้าบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
 :serius2: เหมือนได้กลิ่น รางมะดีเลย

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
มาเยอะเลย ดีจัง ขอบคุณคับ

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
เรียวจะเจออะไรอีกไหมหนอ น่าเป็นห่วงจริงๆ...

ขอบคุณคนโพสมากค่ะ  :L2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทท&
«ตอบ #193 เมื่อ29-01-2009 08:42:55 »

 :laugh: ยังไม่ครึ่งเรื่องเลยเพ่ อีกนานกว่าจะจบ
ถึงบอกไงว่าจะพยายาม up ทุกวันอ่ะ
วันละตอน ตอนหนึ่งยาวโคตรๆเลย อิอิ :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2009 12:56:23 โดย ไต๋ »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
มา ต่อ ไวไว น่ะ


โด เรียน มา อ่าน นิยาย เรยยยยยยย

อิอิ   เรวว เรย กู

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 25

คราวที่แล้วตอนไปเกาะเสม็ด ยังไม่ทันที่จะได้เที่ยวเล่นกันอย่างมีความสุข ก็มาถูกขัดจังหวะเสียก่อน เขาเสียดายมากที่มีโอกาสแล้ว กลับไม่ได้ใช้ให้คุ้มค่า ตั้งใจจะทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ จะได้พาผมไปเที่ยวสองต่อสองอีก

ดังนั้นเขาอาจจะไม่ได้มาบ้านผมบ่อยๆ หรือมาดึกกว่าเดิม ซึ่งเขาหวังว่าผมคงเข้าใจเขา เพราะเขาไม่ได้เถลไถลไปไหน แต่ไปทำงานเพื่อครอบครัวของตัวเอง เจ้าเด็กบ้านั่น เอาผมเข้าไปรวมเป็นคนในครอบครัวของเขาเสียแล้ว

กับข้าวที่เดียร์ทำให้ ยังคงความอร่อยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะอร่อยมากขึ้นเสียอีก เพราะคราวนี้ ผมรู้แล้วว่าเดียร์ได้ใส่ความรักลงไปในกับข้าวทุกๆอย่างที่ทำให้ผม ยิ่งคิดถึงกันมากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งตั้งอกตั้งใจทำจนสุดฝีมือ

เพราะหวังว่า เมื่อผมได้ทานอาหารแล้วติดใจ จนทำให้ผมนึกถึงคนทำที่ทุ่มเทเอาใจใส่ อยากให้ผมได้สัมผัสความสุขจากเขาบ้าง แล้วคนที่ทำให้ผมมากมายแบบนี้ ผมจะทำร้ายจิตใจของเขาได้อย่างไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับตนเองดี หน้าที่การงานกับเงินเดือนที่สูงขึ้น มันเป็นสิ่งที่คนทำงานอย่างผมต้องการ ที่ผ่านมาผมเสียโอกาสหลายอย่างในชีวิต เช่นการแต่งงานมีครอบครัว

เพียงเพราะคนที่ผมรักดูถูกว่าผมจนเกินไป แล้วเลือกผู้ชายคนใหม่ที่ร่ำรวย ฐานะการเงินมั่นคง และตำแหน่งสูงกว่าผม ณ ตอนนี้โอกาสที่ผมจะมีเหมือนคนอื่นๆมาถึงแล้ว เหลือเพียงแค่ให้ผมตัดสินใจเท่านั้นว่าผมจะใช้ชีวิตอยู่ตามกรอบเดิมๆที่เคยวางไว้ หรือจะก้าวข้ามมันออกมาไปสู่ชีวิตใหม่ที่สังคมไม่ยอมรับ สูญเสียทุกอย่าง แต่สุขใจที่ได้อยู่กับคนที่รักเราอย่างแท้จริง

ผมรู้สึกวุ่นวายสับสนอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เลยว่า อะไรคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดกันแน่ เงินทอง ลาภยศ ความมั่นคงทางสังคม เมื่อนำมาชั่งเปรียบเทียบกับความรักที่เดียร์มอบให้ผมอย่างล้นเหลือ สิ่งใดที่ทำให้ใจผมโอนเอียง

จะแน่ใจได้อย่างไรว่า เมื่อผมมีฐานะดีขึ้น หน้าที่การงานสูงกว่าเดิม ผมจะได้รับความรักอย่างจริงใจจากผู้หญิงดีๆสักคน ลาภยศที่ได้มา จะเพียงพอต่อการผูกพันใครสักคนให้รักและภักดีเราได้ไหม

แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ชีวิตที่เคยผูกพันกับคนที่เป็นเกย์มาก่อน มันจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติได้ตามเดิม ผมจะยังสามารถชอบผู้หญิงได้อีกหรือไม่

แล้วถ้าคนรักของผมรู้ว่า ผมเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน พวกเธอจะยอมรับผมได้ไหม สิ่งที่ผมต้องการ อยากได้อยากมี กับความสุขที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้จากเดียร์ มันเพียงพอที่จะแลกกันหรือเปล่า

คำถามเหล่านั้นวิ่งวนอยู่ในสมองทำให้ผมเครียดแทบจะกินข้าวไม่ลง แต่เมื่อนึกถึงหน้าของเดียร์ ภาพที่เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหารให้ผมลอยเด่นเข้ามาในห้วงความคิด ทำให้ผมต้องทนฝืนกินจนหมด ไม่อยากให้เด็กหนุ่มเสียใจ ที่ทำอะไรให้แล้วผมไม่เห็นคุณค่า เจ้าเด็กที่น่าสงสารนั่นมีผมเพียงแค่คนเดียว ถ้าผมทิ้งเขาไป เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไรนะ
สิ่งที่หัวหน้าร้องขอ ทำให้ผมเครียดจนปวดหัวไปหมด ได้เวลาเลิกงานแล้ว ผมไม่ได้อยู่ทำงานต่อเหมือนทุกวัน แต่ขับรถไปเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายปลายทาง มารู้อีกทีก็พบว่าตัวเองได้จอดรถลงที่หน้าร้านกาแฟที่เดียร์ทำงานอยู่ ผมนั่งนิ่งๆอยู่ชั่วอึดใจ ลังเลว่าจะเข้าไปในร้านดีหรือไม่ เด็กหนุ่มคงจะแปลกใจที่ได้เห็นผม เพราะร้อยวันพันปี ผมไม่เคยย่างกรายไปในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ยกเว้นแต่ร้านอาหารครัวคุณป้า ซึ่งตอนหลังก็ไม่ค่อยได้ไปตั้งแต่เดียร์ติดทัวร์คอนเสิร์ต
เด็กหนุ่มง่วนอยู่กับการชงกาแฟ และรับออเดอร์อยู่หน้าร้าน กว่าจะเห็นผมก็เมื่อผมเดินเข้าไปนั่งด้านในแล้ว เขาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ส่งยิ้มหวานมาให้ แต่เขายังไม่ว่างเพราะมีลูกค้ามาสั่งกาแฟตรงเคาน์เตอร์ เขาก็เลยให้เด็กในร้าน มารับออร์เดอร์แทน

ประมาณ 5 นาที ของที่ผมสั่งก็มาวางอยู่ตรงหน้า แต่มันผิดเพี้ยนไปจากที่ผมต้องการไปมาก จนผมต้องร้องถามพนักงานเสิร์ฟ

“เอ๊ นี่คุณ ผมสั่งกาแฟ แต่ทำไมได้เป็นน้ำผลไม้มาแทน เค้ก กับ ลาซานญ่าผักขมนี่ก็ไม่ได้สั่ง ส่งผิดคนหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มคนเสริฟ ทำท่าลังเล แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนยันว่า เป็นของผมแน่นอน

“พี่ที่เขาทำอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ให้มาแบบนี้ ครับ เดี๋ยวผมจะลงไปเช็คให้นะ”

ครู่ใหญ่ๆ ผมก็ได้คำตอบ แต่คนที่กลับมาพร้อมกับถาดอาหาร ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟคนเดิม แต่เป็นเดียร์ที่เดินยิ้มแป้นเข้ามาหา เขาวางถาดลงบนโต๊ะ จัดแจง เอาน้ำและอาหารเมื่อครู่วางตรงหน้าผมเหมือนเดิม

“ทานกาแฟ ตอนกลางคืนแบบนี้ มันจะทำให้นอนไม่หลับนะครับ ทานน้ำผลไม้ดีกว่านะ แล้วก็นี่ ผมทำให้คุณทาน ลาซานญ่า ผักขม ของอร่อยขึ้นชื่อที่ร้านนี้ แล้วก็เค้กนี่ คนก็ชอบสั่งกันเยอะมาก ลองทานดู ถ้าติดใจ จะซื้อเอากลับไปทานที่บ้านก็ได้นะครับ”

เด็กหนุ่มอธิบายด้วยเสียงนุ่มนวล เขามองผมด้วยดวงตาหวานฉ่ำ ผมเห็นความรักที่ลึกซึ้งของเขาที่มีต่อผม ผ่านทางใบหน้า และสายตาคู่นั้น มันทำให้ผมจิตใจหวั่นไหว ถ้าผมต้องทิ้งเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อเลือกทางเดินที่เหมาะสมให้กับตัวเอง ผมจะทำได้ไหมหนอ

“ท่าทางเรียวไม่ค่อยดีเลย มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ อยากเล่าให้ผมฟังไหม”

สงสัยผมคงจะแสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมาให้เดียร์เห็น เขาจึงถามด้วยความห่วงใย ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม ไม่รู้จะบอกกับเขาอย่างไรดี เด็กหนุ่มคงไม่ชอบใจที่ได้ยิน เขาอุตส่าห์สู้มาจนถึงวันนี้แล้ว และเขาก็สามารถเอาชนะใจผมได้ เหลือเพียงอย่างเดียวคือการให้ผมยอมรับเขาอย่างเต็มใจ ถ้าให้เขายอมรามือง่ายๆสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะไม่มีความหมาย

ดีไม่ดี เขาอาจจะมาคาดคั้นให้ผมตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ปฏิกิริยาของเขาที่จะแสดงต่อผม อาจจะทั้งรุนแรง และนุ่มนวล อ้อนวอนขอร้อง หรือไม่อาจจะโศกเศร้าเคล้าน้ำตา ทำตัวเป็นผู้เสียสละยอมจากไป ผมคาดเดาไม่ออกเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเดียร์รู้เข้า แต่ไม่ว่าแบบไหน ผมก็ยังไม่อยากจะได้เห็นในตอนนี้ อยากจะเก็บภาพความทรงจำที่ดีของเราไว้ให้นานๆ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เหนื่อยงานนิดหน่อยเอง”

ผมบอกเขา ยังไม่พร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มได้ล่วงรู้ คำขอ ของหัวหน้า และการตัดสินใจของผม เนื่องจากผมเองก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำตัวเช่นไร

“ครับ งั้นช่วงนี้ เรียวก็อย่าหักโหมทำงานหนักนะ เพิ่งหายป่วย ไปลุยงานหนักเดี๋ยวจะทรุดอีก นี่เรียวตั้งใจมาหาผมเลยหรือเปล่าครับ ดีใจจังเลย ตอนแรก คิดว่า จะรีบทำงานให้เสร็จ แล้วไปหาคุณที่บ้าน ไปช่วยนวดให้ผ่อนคลาย ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณที่นี่”

“ฉันรู้สึกเหนื่อยๆเพลียๆน่ะ แต่ยังไม่อยากกลับบ้าน ไม่รู้จะไปไหน เลยเถลไถลมานี่น่ะ”

“อือม ฟังแล้วรู้สึกดีจังเลยน้า...... สิ่งที่เรียวพูด เหมือนกับว่าผมได้รับเกียรติให้เป็นคนสำคัญของเรียวเลยครับ เวลาเรียวไม่สบายใจก็คิดถึงผมคนแรกเลย ชอบจัง ความรู้สึกนี้....”

ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกายสดใสระยิบระยับ หน้าบานเป็นจานเชิง ท่าทางสุขใจจริงๆอย่างปากว่า ผมลอบถอนใจเมื่อเห็นอากัปกริยารื่นเริงของเขา เจ้าเด็กบ้านี่ ทุกข์ใจกับใครเขาเป็นบ้างไหมหนอ รู้ตัวบ้างไหม ว่าเป็นต้นเหตุทำให้ผมคิดมากจนต้องมาที่นี่ ใช่แล้ว ผมคิดถึงเขามากจนอยากมาหา ไม่ว่าผมจะตัดสินใจอย่างไรลงไปผมก็ยังคงอยากจะรักษาช่วงเวลาที่ดีๆต่อกันไว้

“แล้วนี่เรียวตั้งใจจะทำอะไรต่อครับ กลับบ้านเลย หรือว่าจะรอกลับพร้อมกับผม”

“คงจะกลับบ้านเลย นี่แวะมาบอกด้วย ว่า วันนี้ นายไม่ต้องมาที่บ้านฉันหรอกนะ ฉันมีเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการคิด อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครมากวนใจ”

บอกออกไปแล้ว ก็รู้สึกใจหายวาบเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มสลดลง เดียร์หุบยิ้ม มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เดียร์ไม่ได้พูดในสิ่งที่สงสัยออกมา

“ได้ครับ ถ้าหากเรียวต้องการอย่างนั้น อันที่จริงโทรมาบอกผมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง ท่าทางเรียวคงเหนื่อย น่าจะกลับไปพักผ่อนมากกว่า”

น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความห่วงใย มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก ที่ทำร้ายความรู้สึกของเขา แต่ผมอยากอยู่คนเดียวจริงๆ การที่ผมมาหาเขาที่นี่ เพราะเสียงหัวใจของผมเรียกร้อง อยากมาเห็นหน้าเขาให้ชัดๆ เพื่อที่ผมจะได้กลับไปคิดในคืนนี้ ว่าผมควรจะตัดสินใจอย่างไรดี

“ฉันแค่อยากมาบอกเท่านั้นเอง แบตโทรศัพท์มันหมดด้วย”

ผมโกหก แต่คงไม่เนียนนัก เพราะเดียร์ทำหน้าเหมือนรู้ทัน ผมก็เลยลุกขึ้นทำท่าว่าจะกลับ เดียร์ลุกตามแล้วก็เดินออกไปส่งที่ลานจอดรถ ไล่ให้กลับไปทำงานต่อก็ไม่ฟัง ยังดื้อไปกับผมจนได้ หลังจากผมขึ้นรถแล้ว เขาก็ยังพูดเหมือนสั่งผมต่อ ให้ผมกลับไปนอนพักผ่อนให้มากๆ ไม่ต้องคิดวิตกกังวลในเรื่องใด ทุกอย่างมันจะคลี่คลายไปเองเมื่อถึงเวลาหนึ่ง

ก่อนที่ผมจะเคลื่อนรถออกไป เดียร์ก็โน้มตัวเข้ามาหาผมแล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้ จนผมต้องเผลอไผลโต้ตอบเขาไปด้วยความรักความเสน่หา ขณะที่จูบใจก็แว่บไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันปีใหม่ รู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีใครแอบตามมาถ่ายภาพผมกับเดียร์ที่นี่อีกไหมหนอ คงไม่มีหรอกมั๊ง ผมนึกปลอบใจตัวเอง ถ้าเล่นสะกดรอยตาม แอบถ่ายกันแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนไม่ประสงค์ดีกับผมอย่างที่หัวหน้าว่าไว้จริงๆ แล้วใครกันล่ะ ที่จะทำแบบนั้น
ก่อนที่ผมจะเคลื่อนรถออกไป เดียร์ก็โน้มตัวเข้ามาหาผมแล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้ จนผมต้องเผลอไผลโต้ตอบเขาไปด้วยความรักความเสน่หา

ขณะที่จูบใจก็แว่บไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันปีใหม่ รู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีใครแอบตามมาถ่ายภาพผมกับเดียร์ที่นี่อีกไหมหนอ คงไม่มีหรอกมั๊ง ผมนึกปลอบใจตัวเอง

ถ้าเล่นสะกดรอยตาม แอบถ่ายกันแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนไม่ประสงค์ดีกับผมอย่างที่หัวหน้าว่าไว้จริงๆ แล้วใครกันล่ะ ที่จะทำแบบนั้น

เมื่อถึงบ้านแล้ว ผมกลับไม่ได้หลับอย่างที่ตั้งใจไว้ พยายามข่มตานอนเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำได้ สมองผมวนเวียนครุ่นคิดอยู่ตลอดถึงเรื่องของเดียร์กับอนาคตของตัวเอง จนกระทั่งล่วงเข้าตีสามเช้าวันใหม่แล้ว ก็ยังไม่ได้หลับเลย

มีเสียงประตูเปิดขึ้น ตอนแรกนึกว่าเป็นขโมย แต่เมื่อเงี่ยหูฟังไม่ได้ยินเสียงเห่ากรรโชกของเจ้าหญิง มีแต่เสียงครางหงิงๆ ดังลอดมาให้ได้ยิน กับเสียงพูดทักทาย หยอกล้อกันข้างล่าง

ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเดียร์นั่นเอง เจ้าเด็กบ้านั่นไม่รักษาสัญญาเลย รับปากว่าจะไม่มา ไม่ทันไร ก็มาโผล่ที่บ้านผมเสียแล้ว ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไงนะ ว่าจะลงไปด่าซะหน่อย แต่คิดไปอีกทีก็นอนอยู่ข้างบน แกล้งทำเป็นหลับดีกว่า ไม่อยากให้เจ้านั่นเข้าใจผิดคิดว่าผมรอเขา

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เด็กหนุ่มก็เปิดประตูห้องเข้ามา ผมหลับตาลง แต่หูก็คอยฟังสรรพสำเนียงต่างๆ สักพักหนึ่ง ที่นอนข้างตัวผมก็ยุบยวบ จากนั้นร่างของผมก็ถูกดึงไปกอดเหมือนเช่นเคย

เดียร์เนื้อตัวเย็น แต่หอมกรุ่น คงจะอาบน้ำมาใหม่แล้วทาแป้งฝุ่นเพื่อให้สบายตัว แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นของเลือดเนื้อที่ส่งผ่านจากกายเขามาสู่ผม

เด็กหนุ่มซุกจมูกที่ซอกคอและข้างแก้มของผม จนขนลุกซู่ ผมต้องเกร็งตัว ไม่ขยับเขยื้อนเพราะกลัวว่าเดียร์จะจับได้ว่าผมไม่นอนหลับ แต่เรื่องแค่นี้ มีหรือที่เดียร์ซึ่งคอยสังเกตผมอยู่ตลอดเวลาจะไม่รู้

เขาพลิกตัวผมให้หันหน้าเข้ามาหา แล้วจูบผมที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวลทว่าร้อนแรง มือไม้ก็ซุกซนไม่หยุด จนผมต้องเผลอครางออกมาด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกให้กระเจิดกระเจิง เสียงหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจของเด็กหนุ่ม ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้น ไม่อาจจะแสร้งหลับได้อีกต่อไป

“ดึกป่านนี้ แล้ว ยังไม่นอนหลับอีก คนแก่นี่ดื้อจริงๆเลย ไหนบอกว่าเหนื่อยและเพลียไงครับ นอนน้อย ระวังจะปวดหัวนะ ไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม นี่แอบไปดื่มกาแฟตอนกลับมาอีกหรือเปล่า เลยทำให้ตาค้างนอนไม่หลับ หรือว่า เป็นเพราะผมไม่ได้นอนอยู่ข้างๆเรียวกันแน่นะ...”

เดียร์กระซิบงึมงำ เสียงอ่อนเสียงหวาน ปากกับมือก็ซุกซนไม่ยอมหยุด ผมพยายามระงับอารมณ์ปรารถนาที่พลุ่งพล่านขึ้นมา พยายามแกะไม้แกะมือเขาออก แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับใจตัวเอง ในที่สุดแขนสองข้างที่คอยผลักไส ก็เปลี่ยนเป็นโอบรัดเด็กหนุ่มไว้แนบแน่น

“เราควรจะนอนกันดีกว่านะเดียร์ จะตีสี่แล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานสายกันพอดี”

แม้จะตอบรับการรุกรานจากเขา แต่ผมก็ยังพอมีสติสัมปชัญญะ หลงเหลืออยู่บ้าง จึงร้องห้ามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างคนที่พยายามสะกดกั้นอารมณ์ เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ และกระซิบข้างหูเสียงพร่า

บอกว่าเขาไม่ทำอะไรผมก็ได้ แต่เขาขอกอดและจูบอย่างนี้ก็แล้วกัน คำพูดของเขากับผมแทบไม่มีความหมายอะไรนัก เหมือนพูดแก้เก้อกันไปอย่างนั้น

เพราะเมื่อถูกปลุกเร้ากันขนาดนี้ แม้ใจจะปฏิเสธ แต่ร่างกายผมก็เตรียมพร้อมที่จะมีอะไรกับเขาอีกแล้ว ในที่สุดก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เดียร์ครอบครองผมอีกครั้งโดยปราศจากการต้านทานจากผมอีก
เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ เดียร์ก็กกกอดผมไว้แนบอก โดยร่างกายของผมซ้อนแนบอยู่กับร่างกายด้านหน้าของเขา ภายใต้ผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่เอาไว้ เดียร์จูบที่ไหล่และซอกคอของผมอย่างแผ่วเบา

“ไหนรับปากว่าจะไม่มากวนใจไง”

ผมถามเขา เด็กหนุ่มหัวเราะ แล้วพูดเสียงอ้อนๆ

“ที่จริงก็อยากทำตามสัญญานะ แต่เห็นหน้าเรียวหม่นหมองแบบนั้น ก็รู้ว่า เรียวอาจจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจเกิดขึ้น ผมก็เลยอยากมาอยู่เป็นเพื่อน เผื่อว่าผมจะสามารถช่วยอะไรเรียวได้บ้าง อย่างน้อย เป็นผู้รับฟังก็ยังดี”

คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ผมเต็มตื้นในหัวอก ซาบซึ้งไปกับความห่วงใยที่เขามีให้

“ไม่มีอะไรหรอก....”

ผมปดเขา ถึงอย่างไร ก็ยังไม่อยากให้เดียร์รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น

“งั้นดีแล้วละครับ แล้วนี่สบายขึ้นบ้างแล้วหรือยังครับเรียว รู้สึกง่วงนอนบ้างไหม”

น่าแปลก พอเดียร์ถามคำถามนี้ขึ้นมา ผมก็เกิดรู้สึกอยากหลับขึ้นมาทันที เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ตอบ แต่ผงกหัวให้เขา

“อื้ม เห็นไหม ต้องทำแบบนี้ เรียวถึงจะหลับได้”

“ทำแบบไหน.......”

“ก็......แบบเมื่อกี้ไง”

พูดจบก็หัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี เจ้าเด็กบ้านี่ทำตัวร่าเริงอยู่ได้ ไม่รู้จักง่วงเหงา หาวนอนบ้างเลยหรืออย่างไร แถมซ้ำมาพูดจาเป็นนัยๆให้คนอายเสียอีก

“โอ๋ๆ อย่างอนนะครับ ผมหมายถึงว่า เรียวนะ จะหลับได้ ถ้าหากว่ามีผมนอนอยู่ข้างๆแล้วกอดคุณไว้แบบนี้ต่างหากล่ะ เพราะเรียวเริ่มชินที่จะมีผมอยู่ด้วยแล้ว ใช่ไหมครับ ดีใจจริงๆนะ ถ้าหากมันเป็นอย่างที่ผมพูดจริงๆ”

เด็กหนุ่มอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมหรุบเปลือกตาลง และลอบยิ้ม นึกในใจว่า ไม่ได้งอนเสียหน่อย เจ้าบ้านี่คิดเอง เออเองทั้งนั้น

“หลับเถอะนะครับ ลืมเรื่องที่ไม่สบายใจทั้งมวลนะ ทิ้งมันไปนะครับ เดี๋ยวทุกอย่างมันคงจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี ไม่ว่าเรื่องมันจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า ด้วยพลังแห่งความรัก จะทำให้เราสองคนผ่านพ้นมันไปได้”

เขาพูดเหมือนกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ไม่สิ เดียร์จะมารู้เรื่องที่ผมโดนหัวหน้าเรียกไปอบรมได้อย่างไร เขาอาจจะแค่พูดปลอบใจไป เพราะเห็นว่าผมทำหน้าหมองๆก็ได้ บางทีผมอาจจะคิดมากจนเกินไป เลยแสดงอาการไม่มีความสุขออกมาให้เขาเห็น ถึงอย่างไรผมก็ยังไม่กล้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เดียร์ฟังอยู่ดี
“เดียร์ ถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับ....”

“ถ้าวันหนึ่ง ฉันตัดสินใจที่จะเลิกกับนาย .....เอ้อ ฉันหมายถึงเมื่อสัญญาสิ้นสุดแล้ว และฉันไม่เป็นแฟนนายต่อ นายจะเป็นยังไง จะทำอะไรหลังจากนี้”

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามออกไป เพื่อหยั่งรู้ถึงความรู้สึกของเขา เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบ นานมากจนผมนึกว่าเขาหลับไปแล้ว จึงเอี้ยวศีรษะไปมอง

จากแสงไฟที่หัวเตียงทำให้มองเห็นหน้าเด็กหนุ่มชัดเจน เดียร์หน้าเศร้าหมอง ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น แต่กระนั้น ก็ยังพยายามฝืนยิ้มให้ เมื่อเห็นผมมองมา

“ผมคงเสียใจจนแทบเป็นบ้า อาจจะทำอะไรทิ่สิ้นคิด
หลายอย่าง.......”

เด็กหนุ่มกอดผมแน่นเข้าอีก แล้วแนบหน้าเข้าที่ศีรษะของผม



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
“ไม่รู้ครับ ตอบไม่ได้ว่าผมจะอยู่อย่างไรถ้าปราศจากคุณ รู้แต่ว่าชีวิตผมคงไม่มีความหมาย อาจจะไม่มีความสุขเหมือนเดิมอีกต่อไป.......ไม่รู้สิ ......อย่าให้ผมตอบอะไรตอนนี้เลยนะครับ ....แต่....ถึงอย่างไร ผมก็ไม่โกรธเรียวนะ คุณคงคิดดีแล้ว ถ้าหากว่ามันเป็นความสุขของคุณที่ไม่ต้องมีผมเข้ามายุ่มย่ามในชีวิต ถึงวันนั้น ผมก็จะไปจากคุณครับ”

ทำไมคำตอบของเดียร์ถึงทำให้ผมรู้สึกเศร้าอย่างนี้นะ ปวดแปลบไปทั่วทั้งใจจนแทบจะทนไม่ไหว นี่ผมต้องการจะเลิกกับเดียร์จริงๆนะหรือ

“แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังมีกันและกันอยู่จนกว่าจะครบ หกเดือนใช่ไหมครับ....”

เดียร์ถามเหมือนย้ำให้ตัวเองแน่ใจ ว่าผมจะไม่เปลี่ยนแปลงกลางคัน

“อืม....”

ตอบงืมงำไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ไม่กล้ารับปากจริงๆจังๆ เพราะไม่แน่ใจตัวเองว่าจะรักษาสัญญาได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า

“งั้นอย่าเพิ่งไปคิดอะไรที่มันยังมาไม่ถึงนะครับ ทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดแล้วกัน”

เสียงตอบกลับมาเหมือนให้กำลังใจตัวเองมากกว่าที่จะให้กับผม จากนั้นเดียร์ก็เงียบเสียงไป สักพักเสียงหายใจสม่ำเสมอเริ่มดังแผ่วๆให้ได้ยิน

เด็กหนุ่มคงหลับไปแล้วคงเหนื่อยและเพลียมาก ผมเองก็เช่นกัน ขอหยุดพักเรื่องเครียดเข้าสู่โหมดการนอนหลับในอ้อมแขนของคนรักก่อนดีกว่า บางทีพรุ่งนี้ผมอาจจะคิดอะไรได้ดีกว่านี้ และมันน่าจะเป็นประโยชน์กับเราสองคน

รุ่งเช้าเดียร์เป็นคนมาปลุกผมเพราะเห็นว่าสายแล้วแต่ผมยังไม่ยอมตื่น พอเขาเห็นท่าทางเหมือนคนไม่สบายของผม ก็ขอร้องให้ลางานเพื่อพักผ่อน

แต่ผมไม่ยอม บอกกับเขาว่าผมทำไหว เพิ่งเริ่มต้นปีใหม่จะให้ผมหยุดเลยได้อย่างไร เมื่อปลายปีที่แล้วก็ลาป่วยแล้วหยุดพักร้อนไปหลายวัน

ขืนลาอีกก็โดนเพ่งเล็งพอดี ผมไม่ได้บอกเดียร์ถึงปัญหาใหม่ที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่อยากให้เขาคิดมากและพยายามจะแก้ไขปัญหาเอาเอง ผมตัดสินใจไปทำงานโดยพกพาอาการปวดหัวไปกับผมด้วย
เช้านี้ เหมือนนรกชัง สวรรค์กลั่นแกล้งจริงๆ ผมติดอยู่บนท้องถนนนานนับชั่วโมง กว่าจะไปถึงที่ทำงานก็เกือบเที่ยง พอนั่งลงก้นยังไม่ทันหายร้อน

จุ๋มเลขาของผมก็มาแจ้งให้ผมทราบว่า นายสุริยะมาเอะอะเอ็ดตะโรที่แผนกเรื่องที่ผมปฏิเสธการรับประกันให้กับลูกค้าของเขา จะพบกับผมให้ได้ พอบอกว่าผมยังไม่มาทำงาน ก็โมโห แล้วก็ขอเข้าพบกับหัวหน้าของผมไปแล้ว และหัวหน้าก็บอกว่าทันทีที่ผมเข้ามา ให้ผมไปหาที่ห้องด้วย

ตอนที่ผมเดินเข้าไปในห้อง เจ้านายผมกับนายสุริยะ กำลังพูดคุยกันอยู่ ท่าทางนายสุริยะโมโหมาก พอเห็นผมเท่านั้นก็ใส่ผมไม่ยั้งเสียงดังลั่นห้อง ผมนิ่งฟังพยายามรวบรวมสมาธิไม่ให้โกรธกับการเปิดฉากต่อว่าโดยไม่มีการถามไถ่

เรื่องที่ทำให้นายสุริยะโมโห ก็คือ ผมปฏิเสธการรับประกันให้กับเหล่าบอดี้การ์ดของนายทรงพลที่ทำประกันเข้ามา สาเหตุก็เพราะแจ้งแหล่งที่มาของรายได้ และอาชีพไม่ชัดเจน แถมซ้ำแต่ละรายก็ทำประกันในวงเงินที่สูงมากซึ่งมันเกินความจำเป็น

ในเมื่อผมร้องขอข้อมูลมาประกอบการพิจารณาแล้ว แต่ทางนายสุริยะและฝ่ายลูกค้าไม่ได้ให้ผมมา และเกินเวลาที่กำหนด ผมจึงปฏิเสธการรับประกันไป ซึ่งนายสุริยะก็บอกว่าผมได้ทำเรื่องที่โง่เง่ามากที่ปฏิเสธเงินที่จะเข้าบริษัทหลายล้าน และอยากให้ผมเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาใหม่

ผมก็ยืนกรานตอบกลับไป ว่าผมไม่สามารถอนุมัติให้ได้ตามที่ต้องการ เนื่องจากนายทรงพลสมัครทำประกันให้กับคนของเขา ในวงเงินที่สูงมาก ถึงคนละ 5 ล้านบาท โดยที่ฐานรายได้ของแต่ละคนไม่เหมาะสมกับทุนประกันที่ได้รับ

และเบี้ยประกันก็สูงมาก เกินกว่า 10 % ของรายได้ ของผู้สมัครทำประกัน ซึ่งอาจจะทำให้มีการขาดการส่งเบี้ยในภายหลัง ถึงแม้ว่า นายทรงพลจะเป็นคนออกเงินให้ก็ตาม

แต่นายทรงพลก็ไม่มีส่วนได้เสียที่จะต้องมาทำประกันให้ หากในภายหลัง นายทรงพลไม่จ่ายเงินไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม กรมธรรม์เหล่านี้ก็สิ้นผลบังคับอยู่ดี

นายสุริยะโวยวายไม่ยอมด้วยความโมโห แต่ผมก็โต้ตอบด้วยหลักการ ในท้ายที่สุด หัวหน้าของผมจึงหาทางออกให้กับนายสุริยะว่า ทางบริษัทยินดี ทำประกันกลุ่มพนักงานให้ แต่ต้องระบุตำแหน่งหน้าที่การงานมาให้ถูกต้อง จะได้พิจารณาทุนประกันให้ได้

แต่หากต้องการทำประกันรายบุคคล ทุนประกันต้องลดลงจากเดิม และควรจ่ายเบี้ยประกันแบบ single premium คือจ่ายก้อนเดียวจบ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินภายหลัง

ดูเหมือนผู้บริหารหนุ่มใหญ่จะไม่ค่อยพอใจนัก กระนั้นเขาก็งับเอาข้อเสนอที่ให้มา เพราะดีกว่าที่จะทิ้งเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งไปเปล่าๆ ก่อนจะกลับนายทรงพลก็ไม่วายทิ้งระเบิดใส่ผม เขาถามผมตรงๆต่อหน้าเจ้านายของผมว่า

ทำไมผมถึงอคติต่อพวกเพศที่สามนัก ทั้งๆที่ผมเองก็กำลังคบหาอย่างใกล้ชิดกับคนในกลุ่มนี้ด้วย นึกว่าเมื่อคบกันลึกซึ้งแล้วจะเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันเสียอีก

พูดจบเขาก็ทำยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาตามลำพัง เจ้านายเดินมาตบไหล่ผม บอกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำดี และเชื่อการตัดสินใจของผม แต่ก็ไม่วายที่จะบอกให้ผมระมัดระวังตัวเพราะสิ่งที่เขาเตือนเริ่มจะเป็นจริงแล้ว
ดูเหมือนผู้บริหารหนุ่มใหญ่จะไม่ค่อยพอใจนัก กระนั้นเขาก็งับเอาข้อเสนอที่ให้มา เพราะดีกว่าที่จะทิ้งเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งไปเปล่าๆ ก่อนจะกลับนายทรงพลก็ไม่วายทิ้งระเบิดใส่ผม เขาถามผมตรงๆต่อหน้าเจ้านายของผมว่า ทำไมผมถึงอคติต่อพวกเพศที่สามนัก ทั้งๆที่ผมเองก็กำลังคบหาอย่างใกล้ชิดกับคนในกลุ่มนี้ด้วย นึกว่าเมื่อคบกันลึกซึ้งแล้วจะเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันเสียอีก พูดจบเขาก็ทำยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาตามลำพัง เจ้านายเดินมาตบไหล่ผม บอกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำดี และเชื่อการตัดสินใจของผม แต่ก็ไม่วายที่จะบอกให้ผมระมัดระวังตัวเพราะสิ่งที่เขาเตือนเริ่มจะเป็นจริงแล้ว

ผมเดินกลับมาห้องของตัวเองด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก พอผ่านโต๊ะของจุ๋ม ผมก็บอกกับเขาว่า วันนี้ ไม่ลงไปทานข้าว ฝากให้เธอไปรับข้าวที่ผมสั่งไว้ที่ร้านเดิมที่ผมทานประจำ รู้สึกเกรงใจเลขาอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่รู้ว่าเธอจะแวะไปทานข้าวแถวนั้นหรือเปล่า แต่ผมกลัวว่า ถ้าผมหายไม่โผล่หน้าไปทานข้าวที่ร้าน เดี๋ยวเจ้าหนูเดียร์ของผม ก็ต้องทำอาหารมาให้ อาจจะฝากใคร หรือเอาขึ้นมาให้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ไม่ดีทั้งนั้นในสถานการณ์ตอนนี้ ผมไม่อยากให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของผม อยากอยู่อย่างสงบมากกว่า

พอเปิดเนตขึ้นมา เพื่อจะดูเช็คอีเมล์จดหมายงาน ผมก็ต้องหัวเสียซ้ำสองเมื่อมีไฟล์จากคนชื่อไม่คุ้นส่งมาให้ เป็นไฟล์รูปภาพชื่อหัวข้อ “ชื่นรักวันปีใหม่” ผมสังหรณ์ใจแล้วเปิดดูก็จริงอย่างที่ผมคิดไว้ ภาพที่เหลือทั้งหมด ถูกส่งมาให้ผมดูเพียงคนเดียวอย่างมีจุดมุ่งหมาย

ภาพในอีเมล์มีจำนวน 10 กว่าภาพ แต่ถ่ายจากสองสถานที่ ชุดแรกเป็นภาพคู่ระหว่างผู้ชายสองคนที่กำลังยืนกอดจูบกันอยู่ ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าตาชัดเจนนัก เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าบางส่วน แต่ก็มองออกได้ทันทีคนในภาพนั้นคือใคร บรรยากาศในภาพ มีฉากหลัง เป็นการเฉลิมฉลองงานปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนภาพอีกชุด น่าจะเพิ่งถ่ายเมื่อวาน ตรงลานจอดรถ มีภาพของผมกำลังเดินออกมาจากร้านกาแฟพร้อมกับเดียร์ ภาพที่สองเป็นภาพถ่ายให้เห็นรถของผม มีเลขทะเบียนให้เห็นชัดเจน ส่วนภาพที่สาม เป็นภาพที่เดียร์กำลังโน้มตัวมาจูบกับผม ทันที่ที่เห็นภาพเหล่านั้น ผมก็เลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธจัดทันที ใครกันนะที่สะกดรอยตามถ่ายภาพผมแบบนี้ แล้วเขาทำไปทำไม ต้องการอะไรจากผม

ด้วยความอยากรู้ ผมจึงส่งอีเมล์ถามกลับไปว่า ต้องการอะไร ในขณะเดียวกันก็จดชื่ออีเมล์ไว้ พลางโทรไปหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ฝ่ายไอที ให้ลองเช็คข้อมูลให้หน่อยว่าอีเมล์นี้มีต้นตอมาจากไหน เจ้าเพื่อนคนนั้น พยายามถามผมว่ามีอะไร ทำไมผมถึงต้องเช็คเมล์ด้วย ผมก็บ่ายเบี่ยงบอกแค่ว่าเรื่องงาน เท่านี้ มันก็ไม่ถามอะไร เพราะมันคิดว่าผมคงเอาไปใช้ประกอบงานพิจารณารับประกัน

ในขณะที่ผมกำลังรอคำตอบจากเพื่อน ก็มีอีเมล์ตอบกลับเข้ามาบอกว่า ถ้าอยากรู้ คืนนี้เวลาหนึ่งทุ่มตรง ให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ในสวนลุมไนท์บาซาร์ ให้ผมไปคนเดียวเสียด้วย แถมกำชับว่า ถ้าไปเรื่องก็จบ แต่ถ้าไม่ไป ภาพเหล่านี้จะถูกส่งไปยังหัวหน้าของผม

ข้อความที่เขียนตอบกลับมาทำให้ผมโกรธจนแทบระงับสติอารมณ์ไม่อยู่ อะไรกันเนี่ย ทำไมชีวิตผมต้องเจอกับการแบล็คเมล์ไม่รู้จักจบจักสิ้น หนก่อนเดียร์ก็ทำเอาชีวิตผมแทบพัง ทว่าทุกอย่างจบลงด้วยการที่ผมยินยอมมีอะไรกับเขาด้วยความรัก เด็กนั่นร้ายกาจกับผมในตอนแรก แต่เขาก็สามารถเอาชนะใจผมด้วยคุณงามความดีที่เขามีอยู่ในตัว เขาชดใช้สิ่งที่เขาทำลงไปด้วยความรักที่มีต่อผม ทำให้ผมลืมเลือนความผิดครั้งนั้นของเขา แต่กับกรณีแบล็คเมล์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ คนที่ทำคงไม่ได้มีเจตนาดีอย่างเดียร์แน่ น่าจะมีความมุ่งร้ายแฝงอยู่ ซึ่งผมจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร แม้จะต้องเสี่ยงภัยก็ตาม แต่ผมตัดสินใจว่าคืนนี้ ผมจะไปหาเขาให้รู้แน่ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ และเขาอยากได้อะไรจากผม
เจ้าสันต์โผล่หน้าเข้ามาหาผมในตอนเย็น มาถึงก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เล่าเรื่องเบนให้ฟังอย่างมีความสุข ผมอวยชัยให้พรมัน ขอให้มันสุขสมหวังในชีวิต ได้เจอคนที่รักมันจริงเสียที มันกล่าวขอบอกขอบใจผม แล้วก็วกมาถามเกี่ยวกับเรื่องเดียร์ ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เลยถูกมันซักใหญ่ ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ระบายความอึดอัดใจออกมาให้มันฟัง

“แล้วนายรักเจ้าหนูนั่นหรือเปล่าล่ะ”

สันต์หยั่งเชิงด้วยการถามผมถึงความรู้สึกที่มีต่อเด็กหนุ่ม ผมส่ายหน้า ตอบมันไปว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ผมสับสนเหลือเกิน ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายมาก่อน ผมไม่รู้ว่ารักเขาหรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ว่า การได้อยู่กับผู้หญิ งหรือผู้ชายที่ทำให้ผมมีความสุขมากกว่ากัน

เจ้าสันต์พยักหน้าอย่างเข้าใจ โชคดีที่มันไม่พยายามยัดเยียดความรู้สึกรักในเพศเดียวกันให้กับผม เจ้าสันต์รู้ว่า ต้องให้เวลาผมได้คิด เพื่อจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง เพื่อนอย่างมันทำได้แค่รับฟังสิ่งที่ผมพูด และให้คำปรึกษาเมื่อผมร้องขอเท่านั้น

กลับมาที่เรื่องภาพที่เป็นต้นเหตุให้ผมต้องถูกหัวหน้าเรียกตัวเข้าไปหา ผมเล่าให้มันฟังถึงภาพชุดนี้ กับภาพที่หัวหน้าได้เห็น เราต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า คนทำคงมีจุดประสงค์ต้องการจะขู่ผม รูปที่ส่งไปให้หัวหน้าเป็นแค่การเตือน แต่รูปที่ส่งมาให้ผมนั้น คนส่งกำลังบอกว่าเขามีบางอย่างที่อยากได้จากผม

เจ้าเพื่อนรักรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย เมื่อรู้ว่า ผมกำลังจะไปหาตัวการที่ส่งรูปมาให้ ใจจริงมันอยากจะไปด้วย แต่บังเอิญติดขัดตรงที่วันนี้เป็นวันเกิดของเบนคนรักของเจ้าสันต์ และเขาปรารถนาที่จะฉลองสองคนกับเพื่อนผมเท่านั้น หากไม่ไป ความรักที่เพิ่งเริ่มต้นอาจจะมีปัญหาได้

สันต์ให้ผมระมัดระวังตัวให้ดี หากมีเหตุอะไรที่ผิดปกติให้รีบชิ่งหนีออกมา ถ้ามันสามารถปลีกตัวจากงานวันเกิดเบนได้เร็ว มันจะมาหาผม สันต์เสนอให้โทรไปบอกเดียร์ก่อน บางทีอาจจะให้เดียร์ไปเป็นเพื่อน แต่ผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากดึงเด็กหนุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง

วันนี้เขาบอกกับผมว่า เขาจะไปซ้อมเต้น ตอนทุ่มครึ่ง แล้วจะไปทำงานที่ร้านกาแฟสักประมาณ สี่ทุ่ม เลิกประมาณ ตีสอง อาจจะไม่ได้แวะมาหาผม เพราะต้องกลับไปที่บ้านเช่า เพื่อขนของเตรียมย้ายมาอยู่ด้วยกันหลังจากที่ผมอนุญาตให้เขามาพักด้วยได้ เห็นเขามีกิจกรรมที่ต้องทำเยอะแยะแบบนี้

ผมก็เลยไม่ต้องการไปรบกวนเวลาของเขา ให้เดียร์จัดการในเรื่องของตัวเอง ส่วนผมจะจัดการเรื่องนี้ตามลำพัง และหวังว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คิด

เวลาทุ่มตรง ผมมาถึงร้านอาหารในส่วนลุมตามที่นัดหมาย ผมต้องแปลกใจเมื่อเจอแซ่บนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาแปลกๆ กึ่งสังเวช กึ่งเดียดฉันท์ จนผมเดาไม่ถูกว่าอารมณ์ของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ในตอนนี้
ยังไม่ทันที่ผมจะถามไถ่เด็กหนุ่ม เขาก็ลุกขึ้นแล้วบอกกับผมว่าจะพาผมไปสถานที่แห่งหนึ่ง ผมมองเขาอย่างอย่างหวาดระแวง นึกในใจว่าทำไมจึงไม่คุยกันเสียให้รู้เรื่องที่นี่

พลางสงสัยต่ออีกว่า เรื่องนี้ นายทรงพลจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ หรือเป็นการกระทำของเด็กแซ่บเพียงแค่คนเดียว ซึ่งผมยังหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้เลยว่า ทำไมเขาต้องทำแบบนี้

หึงหรือเปล่าที่นายทรงพลมาก้อร่อก้อติกเอากับผม เลยให้คนมาตามถ่ายรูปเพื่อเป็นการข่มขู่ให้ผมเลิกยุ่งกับแฟนของตัวเอง ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ เขาก็น่าจะคุยกับผมตรงๆก็ได้

การใช้วิธีการสกปรกแบบนี้ มันอาจจะทำให้เขาต้องไปพัวพันกับคุกตาราง หากผมเอาเรื่องขึ้นมา อีกอย่าง เขากับเดียร์ก็เป็นเพื่อนกัน ตัวเขาเองก็คงจะรู้เป็นนัยๆว่าเราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแค่ไหน

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะนึกพิศวาสตาเฒ่านั่น ที่ผ่านมาผมก็ได้แสดงให้รู้อยู่ตลอดว่าผมไม่หวั่นไหวไปกับการแทะโลม หรือเกี้ยวพาราสีของนายทรงพล จึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้แซ่บมาหวาดระแวงผมเลย

ใจผมร่ำๆอยากจะถามแซ่บให้รู้เรื่อง แต่เด็กนั่นไม่ยอมพูดอะไรเลยระหว่างทาง เขามานั่งรถคันเดียวกับผม ส่วนรถที่เขานั่งมาที่สวนลุม มีคนขับตามมาห่างๆ เหมือนกลัวว่าผมจะหลบลี้หนีหายไปไหน แซ่บสงบปากสงบคำมาก จะพูดเฉพาะบอกทางเท่านั้น เมื่อผมยิงคำถามเอากับเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กนั่นก็จะพูดเพียงว่า ไปถึงที่หมายแล้วจะรู้เอง

รถจอดลงที่คอนโดสุดหรูแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สนนราคาของมันต่อห้อง คงจะมีราคาเป็นสิบล้าน เพราะความหรูหรา และสะดวกสบายตั้งแต่ทางเข้าไปจนกระทั่งด้านในตัวตึกบ่งบอกให้รู้ถึงความมีระดับของผู้ที่เป็นเจ้าของ

แซ่บใช้คีย์การ์ดรูดพาผมเข้าไปข้างใน และกดลิฟท์ไปยังชั้นสูงสุด ซึ่งทำเป็นเพนท์เฮ้าส์ ทั้งชั้นถูกตกแต่งอย่างอลังการด้วย
เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งราคาแพงจากเมืองนอก ใช้ทำเป็นทั้งที่ทำงาน และที่พัก ยาวตั้งแต่ปีกตึกด้านหนึ่ง ไปชนอีกด้านหนึ่ง

เด็กแซ่บเดินนำผมไปยังห้องใหญ่ด้านในสุดทางปีกขวาของตึก และเปิดประตูเข้าไป เขาบอกให้ผมรออยู่ที่ตรงส่วนที่เป็นโถงรับแขก ซึ่งมีโซฟาขนาดใหญ่หุ้มด้วยหนังชั้นดีสีน้ำตาลเข้ม เข้ากันกับเครื่องเรือนไม้ทันสมัย ส่วนตัวเขา หายเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านใน สักพักชายสูงอายุคนที่ผมคิดมาตลอดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ก้าวออกมา พร้อมด้วยบอดี้การ์ดอีก 3-4 คน โดยมีเด็กแซ่บรั้งท้าย

“ขอต้อนรับสู่สวรรค์ลอยฟ้าของผมครับคุณเรียว”

นายทรงพลทักทายด้วยใบหน้ายิ้มละไม ท่าทางพึงพอใจที่ได้เห็นหน้าผม เขาพยักพเยิดให้บอดี้การ์ดออกไปจากบริเวณนั้น ส่วนเด็กแซ่บ ถอยห่างออกไปนั่งอีกฝากของห้องในส่วนที่เป็นมุมพักผ่อน พลางเปิดเครื่องเสียง และเอาเฮดโฟนสวมหัว หันหน้ามาทางผมกับนายทรงพลเหมือนคอยสังเกตการณ์

ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์หันไปมองเด็กหนุ่มแล้วยักไหล่ เหมือนไม่ใส่ใจที่จะมีแซ่บอยู่ในห้องด้วยระหว่างพูดธุระกับผม เขาเชื้อเชิญให้ผมนั่ง แล้วเปิดฉากพูดคุยทันที


b_hihi

  • บุคคลทั่วไป

r.anddy

  • บุคคลทั่วไป
จบตอน อย่างนี้เลยเหรอ

โอ้ ม่ายยยยนะ ยิ่งกว่าค้างอีก  :z3: :z3: :z3:



ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
 :z6: จัดไปให้นายทรงพล กะ แซ่บ  :beat:


จัดไป +1 ให้คนขยันจ้า  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 26

“ดีใจกับตำแหน่งใหม่ของคุณที่จะได้รับการโปรโมทในอีกไม่กี่วันข้างหน้านะครับคุณเรียว แต่ที่ผมให้แซ่บพาคุณมานี่ไม่ได้ต้องการจะแสดงความยินดีกับคุณเพียงแค่อย่างเดียว คุณคงจะเดาถูกว่าผมจะพูดเรื่องอะไร เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมาตามคำเชิญใช่ไหมครับ ผมรู้สึกดีนะที่คุณไม่ดื้อดึง ไม่งั้นเรื่องคงจะยุ่งยากกว่านี้”

ผมจ้องหน้านายทรงพลเขม็ง นึกไว้ไม่มีผิดเลย ตาแก่ตัณหากลับคนนี้เองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่าง เจตนาก็คงไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมเป็นแน่

“พูดมาเลยดีกว่าว่าคุณต้องการอะไร การใช้วิธีสกปรกชนิดที่คนโตๆกันแล้ว และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหน้าค่าตากันดีในวงสังคมแต่ยังกล้าทำแบบนี้ แสดงว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องแค่ล้อเล่นกันแน่นอน...”

ไม่ต้องมีความเกรงใจกันอีกแล้วสำหรับคนที่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ผมต่อว่าเขาทันทีอย่างไม่เกรงอกเกรงใจว่าเป็นลูกค้าวีไอพีของบริษัท

“ใจเย็นๆสิครับคุณเรียว ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยที่เล่นงานคุณด้วยการส่งคนตามประกบ แล้วก็ถ่ายรูปแบล็คเมล์ ส่งไปให้หัวหน้าคุณดู หวังว่ามันคงไม่มีผลกระทบต่อการปรับเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณนะครับ”


นายทรงพลเฒ่ายิ้มแย้มกลับมา ทำราวกับว่าความโกรธของผมเป็นแค่เรื่องที่ชวนขำ ไม่เห็นจำเป็นที่ผมต้องโกรธมากมายนักหนากับเรื่องนี้ คำพูดของเขาที่ตอบกลับมาไม่มีตรงไหนเลยที่แสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป

“อ๋อ ไม่หรอกครับ เผอิญหัวหน้าของผม เป็นคนที่ไม่หูเบา เขาไม่เชื่อภาพถ่ายพวกนี้จนนิดเดียว และยังเชื่อว่าเป็นฝีมือพวกที่ชอบเล่นสกปรกหวังทำลายผู้อื่นนะครับ”

ผมกรีดกลับหวังให้ตาเฒ่าสำนึก

“งั้นก็โล่งอกไปที นี่ผมพยายามเลือกรูปที่เสียหายน้อยที่สุดแล้วนะครับ ถ้าส่งรูปชุดหลังที่ส่งให้คุณไป ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

นายทรงพลยิ้มยั่ว สร้างความแค้นเคืองให้ผมอย่างมาก คำพูดของผมไม่ทำให้เขาเกิดความละอายใจ กลับลอยหน้าลอยตาทวงบุญคุณ ผมพยายามจะระงับอารมณ์โกรธไม่ให้มันพลุ่งพล่านออกมา เพราะอาจจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้ได้ ท่าทางเขาเหมือนพยัคฆ์ที่คอยจะขม้ำเนื้อกวางน้อยอย่างผม ดังนั้นต้องระมัดระวังตัวให้ดี อย่าพลาดท่าเสียทีตกลงไปในหลุมพรางของเขาที่ขุดล่อ

“คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรคุณทรงพล”
ผมถามอีกครั้งอย่างอยากรู้คำตอบ

“โกรธแค้นที่ผมไม่พิจารณารับประกันให้บรรดาบอดี้การ์ดของคุณหรือเปล่า ไม่ต้องทำกันถึงขนาดนี้ก็ได้ ถามผมก่อนสิ ว่าผมมีเหตุผลอะไรถึงไม่ให้ ผมรู้ดีว่าคุณมีจิตพิศวาส ให้กับคนของคุณและอยากจะทำทุกอย่างให้พวกเขา แต่ที่เราไม่ให้ เพราะมันยังขาดในเรื่องส่วนได้เสียตามกฎหมาย และเป็นการทำประกันที่สูงเกินกว่าความสามารถในการหารายได้ของพวกเขา คนของคุณไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันสูงขนาดนั้น แต่ทางเราก็อนุโลมให้ถ้าหากคุณจะจ่ายเบี้ยประกันงวดเดียวเข้ามา หรือไม่ก็ประกันกลุ่ม”

ใช่เรื่องนี้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ไม่น่าจะมีเรื่องไหนที่ทำให้เขาโกรธจนถึงขนาดจะทำลายผมได้ ผมคงไปขัดขวางเขาทำให้ไม่สามาถทำประกันให้กับเด็กๆในสังกัด อาจจะทำให้เขาเสียหน้าคนเหล่านั้น เลยเกิดหงุดหงิดเลยต้องมาลงกับผม เพื่อขู่ให้กลัว จะได้ยอมพิจารณาให้ผ่านโดยดี

“คุณมองโลกในแง่ดีเกินไปจริงๆคุณเรียว แถมซ้ำยังซื่ออีกด้วย ผมยอมรับว่าโกรธคุณอยู่บ้าง ที่ไม่ยอมรับประกันให้กับเด็กๆที่น่ารักของผม แต่ผมก็เข้าใจนะ ว่าคุณไม่ได้ทำลงไปเพราะความอคติไม่ชอบขี้หน้าผม แต่คุณทำเพื่อบริษัท คุณปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงจะรู้ว่าผมสนิทสนมเป็นอย่างดีกับประธานบริษัท รู้จักแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานของคุณ แถมซ้ำคุณสุริยะก็เป็นฝ่ายขายมือหนึ่ง ที่บริษัทต้องง้อ แต่คุณก็ยังกล้าขัดใจ ผมชื่นชมคุณมากในข้อนี้”

นายทรงพลกล่าวยิ้มๆ มองผมไม่วางตา

“ผมยังทัดทานคุณสุริยะด้วยซ้ำ ไม่ให้ไปเล่นงานคุณที่บริษัท แต่เขาก็ไม่เชื่อผม ยังไปโวยวายกับคุณและหัวหน้าคุณจนได้ ผมเห็นใจเขาเหมือนกันนะ ฝ่ายขายกว่าจะขายมาได้แต่ละเคสก็ยากลำบาก ต้องปากเปียกปากแฉะกว่าจะพูดจาหว่านล้อมให้ลูกค้าเซ็นต็สัญญาทำประกัน ถูกลูกค้าด่าบ้าง ดูถูกบ้าง ก็ต้องทน แต่พอส่งงานเข้ามาบริษัทแล้วดันถูกปฏิเสธ อารมณ์เสียย่อมเกิดเป็นธรรมดา แต่ผมไม่สนในเรื่องนั้นหรอก ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ผมไม่วอรี่ ผมมีหนทางที่จะทำให้เด็กๆของผมมีความสุขมีเงินมีทองได้มากกว่านั้น”

คำพูดของเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำให้ผมงง ถ้าเขาไม่โกรธผมด้วยเรื่องนี้ แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะที่ทำให้เขาต้องส่งคนมาสะกดรอยตามผม แถมยังถ่ายรูปไปประจานอีก

“ถ้าอย่างนั้นคุณทำเรื่องแบบนี้ทำไม”

“นี่คุณยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคุณเรียว ว่าที่ผมทำเรื่องแบบนี้ก็เพราะคุณไง ผมชอบคุณ ผมอยากได้คุณมาเป็นของผม ก็เลยต้องทำอย่างนี้”
คำตอบของเขาเล่นเอาผมผงะ ไม่นึกว่าตาแก่ตัณหากลับ จะกล้าพูดจากับผมแบบนี้

“คุณก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่......”

ยังไม่ทันจะพูดจบ นายทรงพลก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“คุณคงไม่บอกนะว่าคุณไม่ชอบผู้ชาย .....”
“.......”
คำพูดของเขาเล่นเอาผมสะอึก พูดไม่ออก ได้แต่นั่งหน้าชา เหมือนถูกตบหน้า
“ผมรู้น่าว่าตอนนี้ คุณมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงขึ้นอยู่กินแบบลับๆกับเด็กผู้ชายคนที่ชื่อเดียร์ คนที่คุณพาไปไหนต่อไหนด้วย ผมรู้ว่าคุณต้องปฏิเสธแน่ๆ จึงต้องพยายามหาหลักฐานมาผูกมัดให้คุณดิ้นไม่หลุด จากรูปถ่ายที่คุณก็ได้เห็นไปแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่าผมพูดไม่จริง”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของผม”
ผมกัดกรามเป็นสันนูน โกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ มันเรื่องอะไรของไอ้เฒ่านี่ด้วย ถึงต้องมาวุ่นวายเรื่องของผม นึกหรือว่า ถ่ายรูปผมกับเดียร์แล้ว จะมาบังคับให้ผมทำตามใจเขาได้ง่ายๆ
“พูดแบบนี้ ก็เหมือนยอมรับทางอ้อมใช่ไหม ว่าคุณกับเด็กนั่นมีอะไรกัน มิน่าคุณอรจิราถึงได้โกรธคุณนักหนา ถึงขนาดพูดจาถากถางคุณเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เธอรู้ใช่ไหมว่าคุณชอบผู้ชายด้วยกัน มากกว่าที่จะชอบผู้หญิง”
เหมือนถูกแทงเข้าตรงขั้วหัวใจ นายทรงพลชักรู้เรื่องของผมมากไปเสียแล้ว
“อย่ามาเดาเลยคุณทรงพล ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ว่าธุระมาดีกว่า ผมไม่มีเวลาพอ”
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้ามีอารมณ์ คุยกันไปก็ไม่รู้เรื่อง ผมว่า ผมหาน้ำหาท่ามาให้คุณแก้กระหายก่อนดีกว่า ดีไหมครับ”
นายทรงพลไม่ตอบ ทำเป็นโยกโย้ เขาหันไปหาเด็กแซ่บ แล้วดีดนิ้ว เป็นสัญญาณให้เดินมาหา เด็กหนุ่มถอดเฮดโฟนออก เดินตรงมาที่เรานั่งกันอยู่ นายทรงพลสั่งให้แซ่บไปเอาน้ำที่เตรียมไว้มาให้ผมทาน เจ้าเด็กนั่น ปรายตามองมายังผม เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับไม่พูดออกมา ผมจ้องเขาตอบ ไม่เข้าใจความหมายในตาคู่นั้น
“ไปได้แล้ว”
เฒ่าเจ้าเล่ห์สั่งเด็กแซ่บเสียงเข้ม ทำหน้าตาดุดันใส่ แซ่บมองนายทรงพล อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมว่าผมเห็นความไม่พอใจฉายชัดออกมาในดวงตาคู่นั้น
“รู้หรือเปล่าว่าการสะกดรอยตามคนอื่น และแอบถ่ายภาพมาแบล็คเมล์ มันเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ผมสามารถแจ้งความเอาเรื่องกับคุณได้นะคุณทรงพล ....”
“ก็เชิญสิ ถ้าคุณคิดจะงัดข้อกับผม คุณก็รู้ว่า ผมมีเงินมากมายแค่ไหน แจ้งความจับผมได้ แต่ก็เอาผิดอะไรผมไม่ได้ ผมมีทนายที่เก่งพอ อย่างไงผมก็ไม่ยอมติดคุกหรอก แต่คุณนี่สิ จะเสียหายหนักยิ่งกว่าผม ถ้าจะต้องมีคดีความกันโดยมีรูปภาพถ่ายเป็นหลักฐาน คุณจะทนได้หรือ......”
เขาเลิกคิ้วถามผม ทำหน้าเยาะหยัน
“ถ้าหากใครมาล่วงรู้ว่าคุณมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกัน บรรดา ลูกค้าเกย์ๆที่คุณเคยปฏิเสธ ผู้บริหารฝ่ายขายที่ชอกช้ำ จากการที่คุณไม่อนุมัติงานของเขา โดยเฉพาะคุณสุริยะ จะต้องรุมถล่มคุณอย่างหนัก เพราะคุณไม่ปกป้องพวกเดียวกัน คุณไม่ยอมให้เกย์ทำประกัน ทั้งๆที่คุณเองก็อยู่กินกับเกย์ คุณจะรับมือกับแรงกดดันแบบนี้ไหวเหรอ คิดให้ดีก็แล้วกันคุณเรียว”
นอกจากจะไม่เกรงกลัวคำขู่ของผมแล้ว เขายังตอบกลับมาทำให้ผมถึงกับอึ้ง ยอมรับความจริงในสิ่งที่เฒ่าเจ้าเล่ห์พูด กระนั้นผมก็จะไม่ยอมให้นายทรงพลมาขู่เอาง่ายๆ
ผมย่อมรู้ดีแก่ใจว่าผมไม่เคยลำเอียง หรือมีอคติใดๆต่อเพศที่สาม

ในระหว่างที่ผมทำงาน ผมได้ชื่อว่าใจซื่อมือสะอาด ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ผิดก็ว่ากันไปตามผิด ถ้าพิจารณาแล้วว่าทำได้ ไม่มีความเสี่ยงภัยที่สูงมาก ให้ได้ผมก็จะให้ อะลุ้มอะล่วยก็มาก

แต่ถ้ามีเจตนาไม่ซื่อ ทำประกันเข้ามาจนน่าห่วงว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในภายหลัง หรือมีการแถลงความเท็จเกี่ยวกับประวัติของผู้เอาประกันในแง่สุขภาพและอาชีพ ผมจะไม่ยอมให้

สำหรับคนที่เป็นเกย์ ผมจำเป็นต้องมีความเข้มงวดด้วยประเด็นหลักในเรื่อง วิถีการดำเนินชีวิต และความเสี่ยงของสุขภาพในเรื่องการเป็นโรคเอดส์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ซึ่งต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่สูงมาก แต่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธมันเสียทุกราย คนไหนที่ดูแลตัวเองดี ผมก็ให้ แต่ถ้าหากดูแล้วมีความน่าสงสัย ผมก็จะเข้มงวดไม่ปล่อยผ่าน ดังนั้น ผมจึงเชื่อมั่นว่า จะไม่มีใครมาโจมตีผมตรงจุดนี้ได้

แต่การกล่าวหาว่าผมไม่ปกป้องพวกเดียวกันเอง มันดูเหมือนจะไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับผมนัก ผมรักเดียร์ เป็นของเขา แล้วเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่ทำตามสัญญาเท่านั้น

ผมไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับเดียร์ นายสุริยะหรือนายทรงพล ไม่ได้ทรยศต่อใคร ผมไม่ชอบใจนักที่ตาเฒ่ามาพูดจาราวกับว่า ผมได้ทำเรื่องเสื่อมเสียกับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ทั้งๆที่ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าผมเลิกกับเดียร์ ผมก็กลายเป็นผู้ชายปกติแล้ว

“ขอบคุณนะครับ ที่เป็นห่วงแทนผม แต่คุณทรงพลไม่จำเป็นต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหรอกครับ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมทำทุกอย่างด้วยความถูกต้องมาโดยตลอด และเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจ และแยกออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของผม”

ตอบออกไปเสียงห้วน ไม่ต้องรักษามารยาทกันอีกแล้ว

“งั้นหรือครับ ดูเหมือนว่าคำพูดกับกริยาอาการของคุณมันสวนทางกันนะครับ ถ้าไม่ใส่ใจ ทำไมต้องรีบร้อนมาตามนัดด้วยล่ะ ในเมื่อภาพพวกนั้นไม่มีความหมาย ไม่สามารถทำให้คุณเดือดร้อนจากการถูกคนอื่นล่วงรู้ความลับได้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเจอผมก็ได้นี่ครับ”

เฒ่าเจ้าเล่ห์ย้อนถามเย้ยหยัน เหมือนเขากำลังคิดว่าถือไพ่เหนือผมอยู่

“ผมมาหาคุณเพื่ออยากรู้ว่าต้องการอะไร และจะมาขอรูปทั้งหมดคืน มันเป็นรูปส่วนตัวของผมที่คุณกับพวกมาละเมิด ผมไม่ใช่บุคคลสาธารณะที่จะต้องมีคนคอยตามถ่ายตามขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวตลอดเวลา

อันที่จริงถ้าผมรู้ว่าเป็นฝีมือคุณตั้งแต่แรก ผมก็ไม่จำเป็นจะต้องมาหรอก ผมหาทางจัดการด้วยวิธีอื่นเอาก็ได้ แต่ในเมื่อผมมาแล้ว ผมก็จะขอให้คุณคืนภาพพวกนั้นมาหรือไม่ก็ทำลายมันเสีย แล้วเราก็จะเลิกรากันไป ผมก็พิจารณารับประกันให้คนของคุณตามเดิม ถือซะว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น อย่างนี้ดีไหมครับ”
ท้ายประโยค ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะสุภาพกับเขา เพื่อหวังให้เขาคืนภาพเหล่านั้นมาให้ผม ไม่อยากใช้คำพูดแรงๆ

เพราะรู้ดีว่า คนรวยที่เอาเงินฟาดหัวคนอื่นเป็นว่าเล่นอย่างนายทรงพล ย่อมไม่พึงพอใจที่จะให้ใครขู่บังคับให้เขาทำตามต้องการเป็นแน่

“ผมมีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น เอางี้ ผมฟังสิ่งที่คุณพูดมามากแล้ว คุณฟังผมบ้างดีกว่า ผมรู้ว่าคุณเองก็พอจะเดาออกว่าผมคิดอย่างไรกับคุณ และผมเอาจริงด้วย

ที่อุตส่าห์ลงทุนทำอะไรไปหลายอย่างก็เพื่อให้ได้คุณมาเท่านั้น จะโกรธ จะเกลียดผม โมโห ก็ได้ ไม่ว่ากัน ผมขอแค่ได้มีโอกาสเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้คุณเพื่อไว้พิจารณา...........”

นายทรงพลตบมือดังๆ สองสามครั้ง สักพัก บอดี้การ์ดในชุดดำ ก็ถือกล่องและกระเป๋าหลากหลายขนาดเข้ามาหา แล้วนำมาวางตรงหน้า นายทรงพล เฒ่าเจ้าเล่ห์

เปิดกล่องให้ผมได้ทัศนาทีละใบ ใบแรกเป็นกล่องกำมะหยี่มีความยาวประมาณเกือบ หนึ่งไม้บรรทัด ข้างในบรรจุนาฬิกาข้อมือราคาแพงจากแหล่งผลิตนาฬิกามีชื่อระดับโลกหลายเรือน

ถัดมาเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส มีแหวนของผู้ชายดีไซน์สวยงามและใช้เพชรราคาแพงอยู่สี่ห้าวง และเข็มเสียบเนคไทฝังเพชรอีก 5 แบบ

กล่องที่สามที่เปิดออกมาให้ดู เป็นกุญแจรถเบนซ์ ส่วนกระเป๋าใส่เอกสารใบสุดท้ายที่เปิดออกมา ข้างในมีเงินสดอัดแน่นอยู่เต็ม ผมเงยหน้ามองนายทรงพลด้วยสายตาตำหนิ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่

เพียงแต่ไม่พอใจที่เขาทำอย่างนี้กับผม นี่เขาคิดจะแลกศักดิ์ศรีของผมด้วยของพวกนี้ละหรือ ผมดูเหมือนคนสิ้นคิด รักสบายมากเลยใช่ไหม จนทำให้เขาต้องหยิบยื่นของพวกนี้ให้ ทำแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ ไม่น่าให้อภัยเลยแม้แต่น้อย

“ผมรู้ว่าคุณต้องคิดมาก แต่อย่าเพิ่งอคตินะครับคุณเรียว นี่ไม่ใช่การซื้อขาย แต่สิ่งที่ผมกำลังจะมอบให้คุณเหล่านี้ มันเป็นของแทนใจของผม

ซึ่งผมได้พยายามคัดสรรสิ่งที่ดีมีค่าคู่ควรกับคุณเรียวเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมรู้สึกดีกับคุณมากมายเพียงไร ผมรู้ว่า เงินเดือนในตำแหน่งใหม่ของคุณเรียวก็เกือบแสนห้าแล้ว

และกำลังจะได้รถยนต์ประจำตำแหน่ง แต่ถ้าหากผมหยิบยื่นให้คุณบ้าง เงินสดห้าแสนต่อเดือน รถเบนซ์สปอร์ต 1 คัน และสร้อย แหวน นาฬิกาพวกนี้ หรือจะมากกว่านี้ก็ได้หากคุณต้องการ

ขอเพียงแค่คุณยอมอยู่เคียงข้างกายผมเท่านั้น ไม่ว่าเดือนดาว อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ขอเพียงแค่บอก ผมหาให้คุณได้ทันที”

น้ำเสียงที่ดูจริงจัง และ แววตาที่จ้องมองมาจากใบหน้าที่แสดงอาการอ้อนวอนขอร้องนั้น มันชวนให้เชื่อได้ว่า เขามีความต้องการในตัวผมจริงๆ

แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี ที่คนอย่างผมถูกคนรวยเอาเงินฟาดหัว เพื่อให้อยู่กินกับเขา นานมาแล้ว ผมเคยอยากเป็นคนร่ำรวย เร่งทำงานหนักเร่งสร้างฐานะ แต่ไม่ทันการณ์ หญิงคนรักตีจากไปเสียก่อน



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
เวลานี้ โอกาสมาถึงผม ทั้งจากการมุ่งมั่นของตัวเอง และลาภลอยที่คนหยิบยื่นให้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดียินร้ายเลยแม้แต่น้อย
“คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปนะครับ คุณทรงพล เอาล่ะ เพื่อเห็นแก่หน้าคุณ ที่เป็นลูกค้าวีไอพีของเรา และท่านประธานที่รู้จักกับคุณ

ผมจะไม่ถือโทษในสิ่งที่คุณปฏิบัติต่อผม ทรัพย์สินที่คุณหยิบยื่นให้มีค่ามากมายมหาศาล แต่มันจะมีประโยชน์มากกว่า หากไปอยู่ในมือของคนที่ต้องการมันจริงๆ

ผมไม่ใช่เด็กๆแล้ว ไม่ต้องงอมืองอไม้ขอเงินจากใคร ตอนนี้ผมมีงานการ มีเกียรติ เงินทองถึงแม้ว่าจะไม่มากเท่าที่คุณเสนอ แต่มันก็เยอะพอสมควร

ด้วยเงินเท่านี้ ผมอยู่ได้ คุณเก็บเงินและข้าวของพวกนี้ ไว้ให้คนอื่นดีกว่า ยังมีเด็กหนุ่มมากมายที่น่าจะสนใจในข้อเสนอของคุณ อย่ามาทุ่มให้ผมเลย เสียเวลาเปล่า”

พยายามจะบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความโกรธที่คุกรุ่นภายในใจ ท่องไว้ตลอดเวลาว่า อย่าเอาตัวไปแลกกับคนแบบนี้ เพราะหากนายทรงพลเกิดโมโหขึ้นมา อาจจะทำอะไรบ้าๆเพื่อรักษาหน้าตัวเองก็ได้ ดังนั้นจึงไม่คุ้มที่จะไปแลกกับเขา

“มันก็ถูกนะ ....คุณอายุมากกว่าเด็กๆคนอื่นที่ผมได้มาก็จริง แต่คุณมีสิ่งที่คนพวกนั้นไม่มี นั่นก็คือ ความจริงใจ เด็กบางคนอยู่กับผม เพียงเพราะหวังผลประโยชน์ที่ผมหยิบยื่นให้

จะดีด้วยต่อเมื่ออยากได้จากผม และ จะร้าย ต่อเมื่อต้องการตีจาก คุณเป็นคนแรกที่ปฏิเสธสิ่งที่ผมให้ ขนาดดาราหนุ่มหล่อหลายคนที่กำลังดังอยู่ในตอนนี้ ก็ยังเคยพึ่งพาผมมาก่อน

ไม่มีใครแสดงอาการไม่อยากได้ จนออกนอกหน้าเหมือนคุณสักคนเลย นี่แหละยิ่งทำให้ผมชอบมาก และอยากจะคิดปักหลักกับคุณไปตลอดชีวิต จะเป็นไปได้ไหม.... ให้ความหวังผมหน่อยสิครับ”

“มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ ผมน่ะไม่ได้ชอบแบบนี้นะครับ.....”

เกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว ว่าเรื่องของผมกับเดียร์มันเป็นการผูกพันกันตามสัญญาเท่านั้น แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า หากพูดไปแบบนั้น ก็อาจจะเป็นการไปให้ความหวังกับนายทรงพล เขาคงจะรอจนเราสองคนเลิกกันแน่

“นั่นเป็นข้ออ้างต่างหาก เพราะคุณเองก็ไม่ได้ปฎิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับเด็กเดียร์นั่น แสดงว่า คุณก็ต้องรู้แน่แก่ใจตัวเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบ

ที่คุณไม่ตอบตกลงกับผมเนี่ย เป็นเพราะเด็กคนนั้นหรือเปล่า คุณไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาใช่ไหม คุณรักเขา และอยากอยู่กับเขาตลอดไป ที่ผมพูดเนี่ย ผมเดาถูกใช่ไหม”

เขาคาดคั้นจะเอาคำตอบ แต่ผมนิ่งไม่ปริปาก อยากคิดอะไรก็คิดไปสิ ผมไม่ยอมให้คำพูดมาผูกมัดตัวเองหรอก แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดความในใจ หรือบอกเล่าเรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ให้ใครต่อใครฟัง มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองคนเท่านั้น จะรักจะเลิกกันมันก็ไม่เกี่ยวกับใคร

“ข้อนี้ผมไม่ตอบแล้วกัน คุณทรงพล และไม่ตกลงกับคุณด้วย ผมแค่ขอร้องคุณให้เอาภาพนั้นคืนมาให้ผม ระหว่างเราควรคบกันอย่างเป็นมิตร มากกว่าที่จะคบกันอย่างศัตรู

ผมไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ การทำแบบนั้นของคุณมันเข้าข่ายละเมิดสิทธิบุคคลอื่น แบล็คเมล์ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งต่อหน้าที่การงาน และ ได้รับการดูถูกดูหมิ่นจากบุคคลอื่น

ผมรู้ดีว่า เงินของคุณมีมากพอที่จะช่วยทำให้รอดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ รู้ดีว่า ถ้าคุณเอารูปผมไปประจาน ผมจะต้องอับายเสื่อมเสีย

แต่ถ้าหากมันสุดวิสัยจริงๆ ผมเกรงว่าคงจะต้องปล่อยให้มันเกิด และแตกหักกันไปเลย เพราะใช่ว่าผมจะเสียชื่อเพียงคนเดียว ร้านของคุณวงศ์ตระกูลของคุณก็คงจะเสื่อมเสียด้วยเช่นกัน”
เอาสิ ถ้าเข้าตาจนแล้ว ผมยังไม่อาจจะเอาภาพเหล่านั้นมาได้ ผมก็พร้อมจะเสีย แต่ไม่มีวันยอมยุ่งเกี่ยวกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่เด็ดขาด
บ้าชะมัดเลย เด็กอื่นๆหน้าตาหล่อกว่าผม อายุน้อยกว่าผมก็มีถมไป ทำไมถึงไม่ไปยุ่งกับเขา แล้วนี่ มาพูดจาต่อหน้า เด็กแซ่บซึ่งตัวเองเพิ่งได้มานี่นะ

เขาจะรู้สึกอย่างไร ทำแบบนี้ มันเหยียบย่ำน้ำใจกันชัดๆ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านายทรงพลเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้ สิ่งที่เขาพูดกับผมก็คงจะถูกใช้มานับไม่ถ้วน กับเด็กในสังกัดของเขานั่นแหละ

ยิ่งคิดยิ่งนึกรังเกียจ หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงจะยืนยันเสียงแข็งให้มากกว่านี้ ในการปฏิเสธไม่ยอมรับประกันเขา จะได้ไม่ต้องมาสร้างปัญหาให้กับบริษัทและกับคนอื่นๆ

แซ่บเดินเอาน้ำมาวางให้ผมและนายทรงพลอย่างกระแทกกระทั้นนิดๆ หน้าตาบึ้งตึง ผมเดาเอาว่า เขาคงได้ยินทุกคำพูดจึงมีสีหน้าไม่พอใจขนาดนี้

ก็แน่ละ เป็นใครจะทนไหว ถ้าหากคนของตัวเอง กำลังหว่านเงินเพื่อเกี้ยวพาราสีคนอื่นให้เห็นต่อหน้าต่อหน้า คิดแล้วก็สงสารเจ้าเด็กนี่ยิ่งนัก

“ใจเย็นๆน่าคุณเรียว ผมเองก็ไม่ได้อยากเป็นศัตรูนะ อยากเป็นเพื่อนมากกว่า คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมสะอึกเหมือนกัน เอางี้เราหยุดพักกันสักแป๊บ แซ่บเอาน้ำมาให้ทานแล้ว คุณทานก่อนให้ใจเย็นๆนะ แล้วเราค่อยคุยกัน บางทีถ้าเราตกลงกันได้ ผมก็จะคืนรูปให้คุณไป ไม่มีอะไรติดค้างดีไหม”

ก็ดีเหมือนกัน เถียงกันไปมา จนผมรู้สึกคอแห้ง นึกว่านายทรงพลจะไร้มารยาทแม้กระทั่งการต้อนรับแขกเสียแล้ว ผมหยิบแก้วมาถือไว้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มองผมยิ้มๆ ทำหน้าเหมือนคนสำนึกผิด และกำลังพยายามขอความเห็นใจ ให้ยกโทษให้

“ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ คุณเรียว ที่สร้างความลำบากยุ่งยากให้กับคุณมาตลอด ไอ้ผมน่ะมันเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองจนเคยชิน

อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีแบบไหนก็ตาม ลองมาหมดแล้ว ทั้งทำดี และ วางแผนการณ์ที่ชั่วร้าย ผมน่ะ ชอบคุณจริงๆนะ

แรกๆตอนที่คุณสุริยะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณให้ผมฟัง ผมก็รู้สึกทึ่งกับความตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใครของคุณ พอยิ่งได้มาเจอตัวจริง ก็หลงรักใบหน้าหวานๆ กับท่าทีสุภาพของคุณในทันที.......”

เขาหยุดนิ่งและมองหน้าผมด้วยสายตาชื่นชมหลงใหล ผมเสยกน้ำขึ้นดื่ม ไม่พยามมองหน้าเขาโดยตรง ตาเหลือบไปยังเด็กแซ่บเพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร ก็เห็นเด็กนั่นส่ายหน้าและส่งสายตาวิตกกังวลมายังผม

พอหันกลับมามองนายทรงพลอีกทีก็เห็นประกายตาวาวโรจน์เหมือนสมใจฉายชัด แต่ก็เพียงครู่เดียว ดวงตานั้นก็กลับหม่นหมองลง ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกประหลาดว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร

บางที ผมอาจจะคิดมากไปเอง นายทรงพลอาจจะสำนึกผิดจริงๆก็ได้ สำหรับเด็กแซ่บนั้น คงไม่พอใจที่ผมเป็นตัวแทรกกลางระหว่างความรักของเขา ผมวางแก้วน้ำลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นายทรงพลขยับปากพูดกับผมต่อ
“ที่ผ่านมา ผมพยายามทดสอบคุณอยู่ตลอดเวลา ว่าเหมือนกับคนอื่นๆบ้างไหม ที่เห็นเงินของผมแล้วตาโต แต่คุณไม่เคยเลยที่จะงับเหยื่อล่อที่ผมวางเอาไว้

มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนดีที่คู่ควรที่ผมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย น่าแปลกที่ผมหลงรักคุณหลังจากที่เจอกันไม่กี่ครั้ง
รู้ไหมว่าผมรู้สึกหึงหวงคุณแค่ไหนที่คุณพาแฟนหนุ่มของคุณมาที่ร้านวันนั้น ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก พยายามดีกับแฟนคุณ แต่เขาก็ไม่รับไมตรีเลย

มองตากันก็คงรู้แล้วมั๊งว่าผมคิดอย่างไรกับคุณ ท่าทางเขาก็รักและหวงคุณมากนะ ตาดูแหวนก็จริง แต่คอยชำเลืองมองเราสองคนคุยกันตลอดเวลา.......”

ผมลอบยิ้ม การพูดถึงเดียร์ ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมา เจ้าเด็กนั่น คอยสังเกตผมอยู่เสมอ เขาคอยระแวดระวังภัยให้ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเดือดร้อน เขาจะแสดงตนช่วยเหลือทันที

“ยิ้มนั่น ทำให้ผมรู้สึกริษยานะครับ คุณเรียวคงกำลังคิดถึงพ่อหนุ่มเดียร์อยู่ใช่ไหม เขาโชคดีชะมัด ที่ได้คนหน้าตาดี และนิสัยเยี่ยมอย่างคุณไปเป็นคนรัก อย่างว่าแหละ คนหล่อสองคนย่อมเหมาะสมที่จะครองคู่กัน”

คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก รู้สึกคอแห้งขึ้นมา จนต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ มันใช่สาเหตุนั้นเสียที่ไหนกันเล่า

ผมไม่ได้มองคนที่เปลือกนอกที่สวยงาม แต่มองไปถึงจิตใจต่างหาก แต่เผอิญว่าหนุ่มน้อยของผม มีใบหน้าที่หล่อเหลา ทุกอย่างเลยดูดีไปหมด

“ความอิจฉาคุณทั้งคู่ เลยทำให้ผมอยากแย่งคุณมา จึงสั่งให้คนของผมสะกดรอยตามคุณไป ถ่ายภาพแบล็คเมล์เพื่อบีบบังคับให้คุณยอมตามใจผม คิดว่ามันจะได้ผล

แต่ฟังจากสิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้แล้ว ทำให้ผมรู้ว่าคิดผิด วิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผลกับคุณหรอก เพราะถ้าคุณยอมแลกชื่อเสียงของคุณกับภาพพวกนั้น แต่ไม่ยอมรับเงื่อนไขของผม เราสองคนต่างคนต่างพังแน่ และคุณจะเกลียดผมไปตลอด แต่ผมไม่ต้องการแบบนั้น....”

อื้ม ก็เป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายๆนี่ ไม่เลวแฮะ ด่านิดเดียวก็เกิดจะหน้าบางขึ้นมา พวกคนรวยศักดิ์ศรีเยอะนี่เข้าใจยากจริงเชียว ผมคิดในใจ พลางยกแก้วน้ำดื่มรวดเดียวจนหมด

เมื่อวางแก้วลง ผมเห็นนายทรงพลยิ้มอย่างพึงพอใจ ประกายตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ผมเบือนหน้าหนี หันมามองเด็กแซ่บซบหน้าลงกับฝ่ามือ และสั่นศีรษะไปมา

“เอาอะไรมาทานเล่นไหมครับ.....”

นายทรงพลถามยิ้มๆ แต่ผมส่ายหน้า เขากล่าวต่อ ตาก็จับจ้องมองผม

“วิธีการที่จะให้ได้คุณมาเป็นของผม ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย ผมไม่ย่อท้อง่ายๆกับเรื่องแบบนี้หรอก อะไรที่ผมอยากได้ ผมก็ต้องได้ ไม่เคยมีใครขัดใจผมมาก่อน และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาทำแบบนั้นกับผมด้วย

หนก่อนที่คุณปฏิเสธการทำประกันให้ลูกน้องผม นั่นทำให้โกรธมาก แต่เอาล่ะ มันเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ผมเข้าใจ แต่การปฏิเสธไมตรีของผมนี่ มันเกินกว่าที่ผมจะยอมรับได้ ผมต้องขอโทษคุณไว้ล่วงหน้าด้วย

หากผมทำบางสิ่งบางอย่างกับคุณ หวังว่าเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว คุณคงจะยกโทษให้ผมด้วย ผมทำไปเพราะรักคุณจริงๆ”
อะไร นายทรงพลพูดอะไรน่ะ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย เขาทำอะไรกับผมเหรอ ผมชักงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ตอนแรกทำท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากได้ผม ต่อรองแบบนักธุรกิจใหญ่ แล้วก็มาตีบทโศก เป็นสำนึกผิด มาตอนนี้ทำหน้าหื่นใส่ผมอีกแล้ว

หน้าตาของเขาน่ากลัวมาก ปากแสยะยิ้ม กว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่เห็นดูพร่าเลือน ซ้อนๆกัน คล้ายน่าปีศาจ .....
ทำไมอยู่ๆผมก็เกิดตาลายขึ้นมานะ เกิดอะไรขึ้นกับผมนี่ ทำไมมันถึงรู้สึกมึนๆง่วงๆขึ้นมาอย่างกระทันหัน เป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ได้หลับอย่างเต็มที่หรือเปล่า คิดมาก แถมเดียร์ยังมากวนอีก และยังต้องไปทำงานแต่เช้า เลยทำให้เพลียกระมัง
ไม่สิ.... มันต้องไม่เกิดกะทันหันแบบนี้ นี่มันเป็นอาการเหมือนว่าผมกำลังจะหลับ รู้สึกง่วงนอนอย่างหนัก ตาลืมแทบจะไม่ขึ้น ผม...ถูกวางยาหรือเปล่านะ สติของผมเร่งทบทวนความจำอย่างรวดเร็ว พยายามหาจุดที่ผิดสังเกตของการสนทนาเมื่อครู่

นายทรงพลบอกว่า มีวิธีการมากมายที่จะจัดการให้ผมเป็นของเขา แล้วเขาก็ขอโทษที่ทำมันลงไปแล้ว นี่หรือเปล่าที่ตาเฒ่าบอกผมให้รู้เป็นนัยๆ

แน่แล้ว เขาใส่ยานอนหลับให้ผมกิน ผมมันซื่อบื้อเองที่หลงไว้เนื้อเชื่อใจสัตว์ร้ายที่กระหายจะขย้ำเหยื่อ ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว

ความพยายามที่จะลุกขึ้นล้มเหลว ผมเซถลาด้วยความง่วงเข้าครอบงำจนต้องคว้าขอบโซฟาประคองตัวไว้ ภาพลางเลือนตรงหน้าที่เห็นคือนายทรงพล ลุกขึ้นและก้าวมาหาผม

“คุณนี่มันอ่อนต่อโลกจริงๆคุณเรียว.......เก่งกาจในเรื่องงาน พิจารณาได้เก่งนัก ใครเจ้าเล่ห์อย่างไรจับได้หมด แต่คุณไม่เอาความฉลาดในการสังเกตสังกาที่คุณมีอยู่เปี่ยมล้น มาใช้กับชีวิตประจำวันเลย

คุณใจดีเกินไป ใสซื่อเกินไป จนไม่เท่าทันความร้ายกาจของคนอื่น มันเลยทำให้คุณติดกับผมโดยง่าย บอกแล้วว่า ไงว่า ผมต้องได้ตัวคุณ

ขอโทษทีนะที่ใช้วิธีนี้ ถ้าคุณเป็นของผมแล้ว ผมจะชดเชยทุกอย่างให้กับคุณด้วยความมั่งคั่งที่ผมมี......................................”

ไอ้บ้า ไอ้คนเฮงซวย ไอ้ตาแก่ ตัณหากลับ ผมด่าเขาออกมาพลางก้าวถอยหนี เงาของคนๆหนึ่งเคลื่อนผ่านแว่บเข้ามาใกล้ตัวนายทรงพล พร้อมๆกับเสียงทุ่มเถียงอะไรไม่รู้ฟังไม่ได้ศัพท์

เสียงแซ่บกับนายทรงพล เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นหลายเครื่องพร้อมกัน ผมยื่นมือออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มคนนั้น

แต่ก็คว้าเข้ากับอากาศ ซึ่งผ่านมือผมไป เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือประโยคจากปากนายทรงพลดังมาแว่วๆเหมือนพูดในที่ไกลแสนไกล

ดูเหมือนเขาจะไล่ให้แซ่บไปให้พ้นๆหน้าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย จากนั้นสติสัมปชัญญะต่างๆของผมก็ดับวูบลง


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
เพลงนี้เหมือนน้องเดียร์ป่ะ
http://media.imeem.com/m/7Z5hWPbOd6

 ดูรูปประกอบแล้ว o13 เข้าก๊ันเข้ากัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2009 16:35:18 โดย ไต๋ »

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 27

อะไรบางอย่างเย็นๆสัมผัสตามใบหน้าของผมจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือมือใหญ่ๆของคนที่ผมถวิลหาเคลื่อนไหวไปตามหน้าตาและเนื้อตัวของผม โดยมีผ้าขนหนูที่ชุบน้ำและบิดแห้งอยู่ในมือ

หน้าของเดียร์ค่อยๆชัดเจนขึ้น ทันทีที่เขารู้ว่าผมตื่นแล้ว เขาก็ยิ้มให้ผมและก้มลงแนบริมฝีปากร้อนผ่าวกับปากที่เผยออ้าของผม เป็นจูบที่หวานที่สุดนับจากผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ผมเหลียวมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนที่บ้านตามเดิม โดยที่เดียร์นั่งข้างๆอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าหา ผมสลัดศีรษะไล่ความมึนงงออกไป

พยายามจะจำให้ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมมันเป็นเพียงความฝัน หรือมันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมมาที่นี่ได้อย่างไร และผมพลาดท่าเสียทีให้กับนายทรงพลหรือเปล่า

“เดียร์พาฉันกลับมาบ้านเหรอ”

“ครับ”

เด็กหนุ่มกลัดกระดุมเสื้อนอนให้ผมตามเดิม เขาเอามือลูบไล้ใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา ดวงตาที่จ้องมองมาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นหน้าเดียร์ชัดๆ มีรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั่น ทั้งที่ปาก และตรงข้างแก้ม
“สู้กับพวกนั้นมาด้วยใช่ไหม”

หนุ่มน้อยของผมพยักหน้า ผมรีบผลุดลุกขึ้นนั่ง แล้วเอื้อมมือมาจับแขนเดียร์ ถามไถ่เขาด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ็บมากไหม”

เดียร์ยิ้มให้ แล้วดึงร่างของผมมากอดไว้แนบแน่น เขาจูบที่หน้าผากของผม ไม่ยอมตอบว่าอะไร พอผมซักถามอีกครั้ง เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่า เจ็บกายน้อยกว่าเจ็บใจ แค่นี้ยังไม่เท่ากับที่นายทรงพลทำไว้กับผมเลย

ผมใจหายวาบ ถามเขาไปอย่างกล้าๆกลัวๆว่า ตอนที่เขาไปรับผมมา สภาพผมเป็นอย่างไร ผมโดนข่มขืนหรือเปล่า เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วบอกว่า เกือบแล้ว หากเขามาไม่ทันเพียงนิดเดียว ผมมีหวังเสร็จนายทรงพลแน่
“ทีหลังจะไปไหน จะทำอะไร บอกผมหน่อยนะครับ ผมจะได้รู้ เผื่อว่ามีอันตรายจะได้ช่วยคุณได้ทัน ไม่ใช่ช่วยแบบจวนเจียนแบบนี้ เกิดคราวหลังพลาดขึ้นมาช่วยไม่ได้

ผมคงเสียใจแย่ แล้วก็อย่าไว้ใจใครง่ายๆ เรียวน่ะ ใจดีขี้สงสาร ชอบใจอ่อนกับคนไปทั่ว คิดว่าเขาจะดีเหมือนกับเรามันไม่ได้หรอกนะ คนบางคนทำดีด้วยไม่ได้จริงๆ อย่างเช่นนายทรงพล

จำได้ไหมครับเรียว ผมเคยเตือนคุณแล้ว ว่าตาแก่คนนี้ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เขาต้องนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่เราในวันหลัง ไม่ทันไรเลย เขาก็ก่อเหตุเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเรียวยอมไปหาเขาทำไม”
ผมนิ่งเงียบ ยอมรับฟังคำบ่นแต่โดยดี รู้ว่าเด็กหนุ่มดุผม เพราะเป็นห่วง ผมเองก็ทำอะไรไม่ระวัง เชื่อง่ายเกินไป จนเกิดเรื่องเกิดราวให้เขาต้องตามไปช่วยเหลือ ก็สมควรแล้วที่เดียร์จะโมโห

ผมยังไม่กล้าบอกเดียร์ถึงเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปหานายทรงพล แต่กลับถามเรื่องที่ผมอดข้องใจไม่ได้ เดียร์รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่บ้านตาเฒ่านั่น และทำไมถึงไปช่วยผมได้ทันเวลา

“ใครบอกนายเหรอว่าฉันอยู่ที่คอนโดนายทรงพล และกำลังมีอันตราย”

“แซ่บบอก…?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงง เจ้าเด็กนั่นเนี่ยนะ นึกว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายทรงพลเสียอีก

“ใช่ ตอนแรกผมโทรมาหาคุณจะถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง แต่คุณก็ไม่รับสาย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โทรหาคุณ แต่เป็นคุณสันต์ด้วย

เขากังวลว่าคุณไม่ติดต่อกลับหาเขา เขารู้ว่าคุณไปไหนแ แต่โทรเข้ามือถือคุณเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าคุณไปไหน เขาเลยนึกถึงผมขึ้นมาได้ รีบไปหาเบอร์ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่แล้วโทรมาหา บอกกับผมว่า คุณน่าจะกำลังอยู่ในอันตราย
ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทรตามคุณให้วุ่นไปหมด แล้วยังไงไม่รู้ ผมเกิดนึกถึงตาทรงพลนั่นขึ้นมา สังหรณ์ใจว่าตาแก่นี่น่าจะเป็นคนสร้างปัญหายุ่งยากให้ ผมเลยโทรไปหาแซ่บ

เขากำลังโมโหนายทรงพลอยู่พอดี สงสัยคงทะเลาะกัน เขาเลยบอกผมหมดทุกอย่าง ผมเลยขอยืมมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่ร้านและบึ่งมาหาคุณที่คอนโดนี่แหละ”

สิ่งที่เดียร์บอกสร้างความงุนงงให้ผมหนักขึ้นไปอีก ทำไมแซ่บต้องช่วยผมด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาร่วมมือกับนายทรงพลพาผมไปที่นั่น และเป็นคนวางยานอนหลับให้ผม หรือว่าหึงหวงจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือกับแซ่บหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเดียร์จะมามันก็คงนานพอสมควร และใช่ว่ามาถึงแล้วจะขึ้นมาโดยง่าย ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เดียร์ไม่มีทางผ่านไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

“ไม่หรอกครับ เรียวอย่ากังวลเลยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเรียวให้รอดปลอดภัยจากมือมาร ทำให้ผมไปช่วยคุณไว้ได้ทัน แต่ก็เกือบล่ะ นายทรงพลได้เห็นคุณเปลือยหมดทุกซอกทุกมุมเลย

ก็ไอ้เจ้ายามหน้าคอนโดนี่สิมันถ่วงเวลา ไม่ยอมให้ผมเข้า ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันตาย ดีนะที่แซ่บลงมาเปิดประตูให้ เลยรีบขึ้นไป โชคยังดีหน่อยที่ตาแก่นั่นมันบ้ากามขนาดนัก จนถึงขั้นจะถ่ายวิดิโอเอาไว้ตอนที่มันทำอะไรคุณเพื่อหวังแบล็คเมล์รอบสอง

มันเลยเสียเวลาจัดการตรงนี้นานไปหน่อย แต่กระนั้นมันก็ยังถอดเสื้อผ้าคุณ ได้ใช้สายตาชั่วๆของมันโลมเลียคุณ เห็นคุณจนหมด ผมน่ะแค้นนัก เกลียดมันที่มันทำชั่วได้ขนาดนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแก้แค้นให้

แล้ว ........................”

เดียร์บอกอย่างแค้นเคือง ท่าทางยังคงไม่หายโมโห

“ทำยังไงเหรอ”
ผมนิ่งเงียบ ยอมรับฟังคำบ่นแต่โดยดี รู้ว่าเด็กหนุ่มดุผม เพราะเป็นห่วง ผมเองก็ทำอะไรไม่ระวัง เชื่อง่ายเกินไป จนเกิดเรื่องเกิดราวให้เขาต้องตามไปช่วยเหลือ ก็สมควรแล้วที่เดียร์จะโมโห

ผมยังไม่กล้าบอกเดียร์ถึงเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปหานายทรงพล แต่กลับถามเรื่องที่ผมอดข้องใจไม่ได้ เดียร์รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่บ้านตาเฒ่านั่น และทำไมถึงไปช่วยผมได้ทันเวลา

“ใครบอกนายเหรอว่าฉันอยู่ที่คอนโดนายทรงพล และกำลังมีอันตราย”

“แซ่บบอก…?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงง เจ้าเด็กนั่นเนี่ยนะ นึกว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายทรงพลเสียอีก

“ใช่ ตอนแรกผมโทรมาหาคุณจะถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง แต่คุณก็ไม่รับสาย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โทรหาคุณ แต่เป็นคุณสันต์ด้วย

เขากังวลว่าคุณไม่ติดต่อกลับหาเขา เขารู้ว่าคุณไปไหนแ แต่โทรเข้ามือถือคุณเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าคุณไปไหน เขาเลยนึกถึงผมขึ้นมาได้ รีบไปหาเบอร์ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่แล้วโทรมาหา บอกกับผมว่า คุณน่าจะกำลังอยู่ในอันตราย
ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทรตามคุณให้วุ่นไปหมด แล้วยังไงไม่รู้ ผมเกิดนึกถึงตาทรงพลนั่นขึ้นมา สังหรณ์ใจว่าตาแก่นี่น่าจะเป็นคนสร้างปัญหายุ่งยากให้ ผมเลยโทรไปหาแซ่บ

เขากำลังโมโหนายทรงพลอยู่พอดี สงสัยคงทะเลาะกัน เขาเลยบอกผมหมดทุกอย่าง ผมเลยขอยืมมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่ร้านและบึ่งมาหาคุณที่คอนโดนี่แหละ”

สิ่งที่เดียร์บอกสร้างความงุนงงให้ผมหนักขึ้นไปอีก ทำไมแซ่บต้องช่วยผมด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาร่วมมือกับนายทรงพลพาผมไปที่นั่น และเป็นคนวางยานอนหลับให้ผม หรือว่าหึงหวงจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือกับแซ่บหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเดียร์จะมามันก็คงนานพอสมควร และใช่ว่ามาถึงแล้วจะขึ้นมาโดยง่าย ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เดียร์ไม่มีทางผ่านไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

“ไม่หรอกครับ เรียวอย่ากังวลเลยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเรียวให้รอดปลอดภัยจากมือมาร ทำให้ผมไปช่วยคุณไว้ได้ทัน แต่ก็เกือบล่ะ นายทรงพลได้เห็นคุณเปลือยหมดทุกซอกทุกมุมเลย

ก็ไอ้เจ้ายามหน้าคอนโดนี่สิมันถ่วงเวลา ไม่ยอมให้ผมเข้า ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันตาย ดีนะที่แซ่บลงมาเปิดประตูให้ เลยรีบขึ้นไป โชคยังดีหน่อยที่ตาแก่นั่นมันบ้ากามขนาดนัก จนถึงขั้นจะถ่ายวิดิโอเอาไว้ตอนที่มันทำอะไรคุณเพื่อหวังแบล็คเมล์รอบสอง

มันเลยเสียเวลาจัดการตรงนี้นานไปหน่อย แต่กระนั้นมันก็ยังถอดเสื้อผ้าคุณ ได้ใช้สายตาชั่วๆของมันโลมเลียคุณ เห็นคุณจนหมด ผมน่ะแค้นนัก เกลียดมันที่มันทำชั่วได้ขนาดนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแก้แค้นให้

แล้ว ........................”

เดียร์บอกอย่างแค้นเคือง ท่าทางยังคงไม่หายโมโห

“ทำยังไงเหรอ”
ผมนิ่งเงียบ ยอมรับฟังคำบ่นแต่โดยดี รู้ว่าเด็กหนุ่มดุผม เพราะเป็นห่วง ผมเองก็ทำอะไรไม่ระวัง เชื่อง่ายเกินไป จนเกิดเรื่องเกิดราวให้เขาต้องตามไปช่วยเหลือ ก็สมควรแล้วที่เดียร์จะโมโห

ผมยังไม่กล้าบอกเดียร์ถึงเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปหานายทรงพล แต่กลับถามเรื่องที่ผมอดข้องใจไม่ได้ เดียร์รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่บ้านตาเฒ่านั่น และทำไมถึงไปช่วยผมได้ทันเวลา

“ใครบอกนายเหรอว่าฉันอยู่ที่คอนโดนายทรงพล และกำลังมีอันตราย”

“แซ่บบอก…?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงง เจ้าเด็กนั่นเนี่ยนะ นึกว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายทรงพลเสียอีก

“ใช่ ตอนแรกผมโทรมาหาคุณจะถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง แต่คุณก็ไม่รับสาย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โทรหาคุณ แต่เป็นคุณสันต์ด้วย

เขากังวลว่าคุณไม่ติดต่อกลับหาเขา เขารู้ว่าคุณไปไหนแ แต่โทรเข้ามือถือคุณเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าคุณไปไหน เขาเลยนึกถึงผมขึ้นมาได้ รีบไปหาเบอร์ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่แล้วโทรมาหา บอกกับผมว่า คุณน่าจะกำลังอยู่ในอันตราย
ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทรตามคุณให้วุ่นไปหมด แล้วยังไงไม่รู้ ผมเกิดนึกถึงตาทรงพลนั่นขึ้นมา สังหรณ์ใจว่าตาแก่นี่น่าจะเป็นคนสร้างปัญหายุ่งยากให้ ผมเลยโทรไปหาแซ่บ

เขากำลังโมโหนายทรงพลอยู่พอดี สงสัยคงทะเลาะกัน เขาเลยบอกผมหมดทุกอย่าง ผมเลยขอยืมมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่ร้านและบึ่งมาหาคุณที่คอนโดนี่แหละ”

สิ่งที่เดียร์บอกสร้างความงุนงงให้ผมหนักขึ้นไปอีก ทำไมแซ่บต้องช่วยผมด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาร่วมมือกับนายทรงพลพาผมไปที่นั่น และเป็นคนวางยานอนหลับให้ผม หรือว่าหึงหวงจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือกับแซ่บหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเดียร์จะมามันก็คงนานพอสมควร และใช่ว่ามาถึงแล้วจะขึ้นมาโดยง่าย ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เดียร์ไม่มีทางผ่านไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

“ไม่หรอกครับ เรียวอย่ากังวลเลยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเรียวให้รอดปลอดภัยจากมือมาร ทำให้ผมไปช่วยคุณไว้ได้ทัน แต่ก็เกือบล่ะ นายทรงพลได้เห็นคุณเปลือยหมดทุกซอกทุกมุมเลย

ก็ไอ้เจ้ายามหน้าคอนโดนี่สิมันถ่วงเวลา ไม่ยอมให้ผมเข้า ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันตาย ดีนะที่แซ่บลงมาเปิดประตูให้ เลยรีบขึ้นไป โชคยังดีหน่อยที่ตาแก่นั่นมันบ้ากามขนาดนัก จนถึงขั้นจะถ่ายวิดิโอเอาไว้ตอนที่มันทำอะไรคุณเพื่อหวังแบล็คเมล์รอบสอง

มันเลยเสียเวลาจัดการตรงนี้นานไปหน่อย แต่กระนั้นมันก็ยังถอดเสื้อผ้าคุณ ได้ใช้สายตาชั่วๆของมันโลมเลียคุณ เห็นคุณจนหมด ผมน่ะแค้นนัก เกลียดมันที่มันทำชั่วได้ขนาดนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแก้แค้นให้

แล้ว ........................”

เดียร์บอกอย่างแค้นเคือง ท่าทางยังคงไม่หายโมโห

“ทำยังไงเหรอ”
“ผมก็ต่อยมันที่ตาทั้งสองข้างสิครับ จนตาปูดตาบวมไปหมด คงจะใช้ตาชั่วๆมองใครได้ไม่ถนัดแล้ว ที่จริงอยากจะควักลูกตามันออกมาทั้งสองข้างด้วยซ้ำ อยากให้มันตาบอดไม่ต้องมองเห็นโลกอีกต่อไป

ถ้าไม่เห็นแก่เจ้าแซ่บ ตาแก่นั่นตายคามือผมแน่ แต่เอาเถอะ ตาไม่บอดไม่เป็นไร แต่มันคงทำชั่วข่มขืนใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมกระทืบกล่องดวงใจมันไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ามันอยากมีอะไรกับคนอื่น คงต้องเป็นเมียแล้ว เพราะทำหน้าที่ผัวไม่ได้”

เด็กหนุ่มหัวเราะด้วยความสะใจ ผมกอดเขาไว้แนบแน่น

“แล้วทำไมหน้าตานายถึงเขียวช้ำแบบนั้น นายทรงพลสู้หรือไง”

“เปล่า บอดี้การ์ด สี่ห้าตัวของมันต่างหาก ตอนผมแบกเรียวออกจากห้องมา ไอ้พวกนั้นถูกสั่งให้ขัดขวาง แต่มันไม่รู้จักนักมวยเก่าเสียแล้ว

ผมจัดการเสียจนสลบเหมือด แต่ก็มีเจ็บตัวบ้าง เพราะพวกมันเยอะนี่ครับ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ปกป้องเรียวยอดรักของผมให้รอดพ้นจากมือคนทรามได้อีกครั้ง”

รู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกินเมื่อได้ยินคำนั้น เจ้าเด็กนี่ คอยอยู่ข้างๆผม ทำให้ผมมีความสุขในขณะเดียวกันก็คอยดูแลปกป้องผมอยู่ตลอดเวลา เมื่อยามที่ผมเจอเรื่องร้ายๆเขาก็จะเอาตัวเข้าแลกไม่คำนึงถึงความเจ็บปวด เขาช่างดีกับผมมากมายเสียจริง

“ครั้งนี้ตาแก่นั่นคงเจ็บและจำไปอีกนาน แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ได้ทำอะไรกับเรียวของผม ไม่อย่างนั้นต้องตายกันไปข้าง นี่ผมทำกับเขาเจ็บแสบเหมือนกัน ถ้าเขาฟื้นขึ้นมามีหวังชักตาตั้ง”

“ทำอะไรไว้อีกล่ะ.....”

“ก็ด้วยความโมโหไงครับ ผมก็จัดการทำลายข้าวของ และเอาทรัพย์สมบัติที่เขาเอาออกมาโชว์ให้กับแซ่บไป เพราะเขาอยู่กับตาเฒ่านั่น สมควรจะได้อะไรบ้าง อีกอย่างก็เพื่อขอบคุณเขาที่บอกรายละเอียดให้กับผม จนสามารถช่วยคุณออกมาได้”

“เดี๋ยวตานั่นโมโหมาเอาเรื่องล่ะ จะทำไง”

ผมพูดอย่างรู้สึกเป็นกังวลนิดหน่อย แต่เดียร์แค่นหัวเราะ

“ก็เอาสิ อยากมีเรื่องก็จะได้เรื่องแน่นอน ผมไม่กลัวหรอก เขาบังอาจมายุ่งกับเมียผม ไม่มีทางจะปล่อยให้มันลอยนวลแน่ ...ถ้ามันยังไม่หยุด ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด เอาให้เลิกบ้าไปเลย”

“อย่าเลยนะเดียร์ ฉันไม่อยากให้นายเดือดร้อน แค่นี้นายก็ช่วยฉันมากพอแล้ว”

“ผมยินดีทำเพื่อเรียวครับ..ที่รักของผม”

“เดียร์.....ถ้า....เอ้อ.....ถ้านายมาช่วยฉันไม่ทันล่ะ....หากว่านายทรงพลล่วงเกินฉันแล้ว........ฉันไม่ได้เป็นของนายเพียงแค่คนเดียว......นายยังจะ...ยังจะ....รักฉันเหมือนเดิมไหม

ถามออกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ถึงแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินซ้ำ นึกอายอยู่เหมือนกันกับคำพูดที่ออกจากปาก

ฟังดูคล้ายกับผู้หญิงซึ่งพลาดท่าเสียทีแล้วกลัวคนที่ตนรักรังเกียจ ทำไงได้ผมอยากรู้นี่นาว่าเดียร์จะยังคงมีความรู้สึกกับผมเหมือนเดิมไหมหากผมมีมลทิน
เดียร์หัวเราะขำกับคำพูดของผม เขาเชยคางผมให้ขึ้นมามองหน้าเขา และส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ สายตาที่มองมามีแววเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่ผมกังวล เขาจูบที่ข้างแก้ม และหน้าผาก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง

“ทำไมถึงถามอย่างนี้ละครับเรียว ผมน่ะ ไม่ใช่แค่รักเรียวเพียงแค่ร่างกาย แต่ผมรักเรียวที่หัวใจ เรียวเป็นคนดี จิตใจอ่อนโยน มีเมตตาต่อคนรอบข้าง

ไม่เคยคิดร้ายต่อคนอื่น สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ผูกมัดใจผม นอกเหนือไปจากรูปร่างหน้าตา ถ้าหากว่าเรียวเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ผมก็รู้ว่า มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ผมไม่ถือสาหรอก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังรักเรียวเสมอ”

ฟังคำพูดของที่รักแล้วรู้สึกชื่นใจจังที่เขาไม่ชิงชังรังเกียจผมเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก โชคดีเสียจริงที่มีคนอย่างนี้มารักผม

เดียร์ทำให้วันเวลาที่อยู่ด้วยกันเป็นวันที่น่าจดจำ เขาทำให้ผมได้รู้ว่า รักแท้มีจริงในโลก และมันไม่มีข้อจำกัดทางด้านเพศแต่อย่างใด

“ที่ผมโวยวายเมื่อครู่ ก็เพราะผมแค่หวงคุณต่างหากละครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้ใครมาแตะต้องคุณ หรือ มาเห็นคุณ ผมไม่อยากให้คุณเป็นของใครครับ นอกจากเป็นของผมแค่คนเดียวเท่านั้น

รู้ไหมครับ เรียวน่ะหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้ ก็น่าอยู่หรอกที่ใครเห็นจะอดใจไว้ไม่อยู่ ผมเองก็ไม่อยากโทษนายทรงพลหรอกที่ห้ามตัวเองให้ทำชั่วกับเรียวไม่ได้

ขนาดผมเองมีโอกาสกุ๊กกิ๊กกับเรียวบ่อย ก็ยังคงอยากทำหวานๆกับเรียวอยู่เรื่อยๆ อยากน่ารักน่ากินแบบนี้ ก็ต้องทำใจนะครับ ผมน่ะชอบกินอยู่แล้ว ยิ่งของหวานแบบเรียว กินเท่าไหร่ ก็ไม่เคยเบื่อเลย ”

พร้อมกับคำพูด เด็กหนุ่มก็ดันร่างของผมกลับลงไปบนเตียงนอนใหม่แล้วก้าวขึ้นมาทาบทับ พลางจูบปากของผม ลิ้นอุ่นๆสอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดลิ้นของผมในปาก

จูบของเด็กหนุ่มทำให้ผมขนลุกซู่ ร่างกายร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงปรารถนา แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าตัวผมสกปรกเหลือเกิน เมื่อได้รับรู้ว่านายทรงพลถอดเสื้อผ้าผมจนหมด ไม่อยากจินตนาการเลย ว่าเจ้านั่นจะใช้อวัยวะในร่างกายส่วนใหนบ้างโลมเลียผม



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจ อยากจะเป็นฝ่ายควักลูกตาตาแก่นั่นเสียเอง นอกจากนั้นจะตัดมือตัดเฒ่าลามกอีกด้วยที่บังอาจมาแตะต้องตัวผม

“ เดียร์อย่าเพิ่งเลยนะ ฉันอยากอาบน้ำน่ะ ขอฉันเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม....”
“อื้อ อย่าเพิ่งเลยนะครับ เดี๋ยวเดียวเองนะ เดี๋ยวเข้าห้องน้ำพร้อมกันนะครับ”
เด็กหนุ่มพูดเสียงอู้อี้ เพราะปากและจมูกซุกไซร้อยู่ตรงซอกคอของผม

“แต่...ฉันรู้สึกไม่สะอาด รู้สึกขยะแขยงน่ะ”

“หืม....เรียวรังเกียจผมเหรอ ผมตัวเหม็นหรือเปล่า”

ที่รักของผมยืดตัวขึ้น โดยเอามือสองข้างยันที่นอนไว้ ตัวยังคงคร่อมอยู่บนร่างของผม เขาทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่นตัวเอง และมองหน้าผมอย่างมีคำถาม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่า ...ไม่ใช่นายน่ะ ....”

“งั้นทำไมล่ะครับ เรียวไม่ได้อาบน้ำเหรอ ไม่เป็นไรนะ เนื้อตัวเรียวหอมอยู่แล้ว”
“ไม่ช่ายยยยย....คือ....นายทรงพล..เอ้อ ...คือ...ถ้านายมาเจอฉันตอนเปลือยหมดทั้งตัวแบบนั้น แสดงว่าตาเฒ่านั่นต้องจับต้องเนื้อตัวฉัน ไม่รู้ว่าทำอะไรบ้าง แต่ฉัน...ฉันรู้สึกรังเกียจ...ฉันไม่สะอาดพอสำหรับนายในตอนนี้น่ะ ..”

เดียร์หัวเราะเบาๆ และยิ่งกอดจูบลูบคลำผมมากยิ่งขึ้น

“คิดมากจังเลยเรียวนี่ รู้สึกชื่นใจจังเลย ที่เรียวห่วงเรื่องแบบนี้เพื่อผม หวงเนื้อหวงตัวแบบนี้ดีแล้วครับ แต่อย่าคิดมากนะ ผมไม่เคยรังเกียจเลย

ไอ้แก่นั่นฉวยโอกาสเอากับเรียว คุณไม่ได้ยินยอมสักหน่อย ถ้าผมเกลียด ขยะแขยง ก็ไม่ยุติธรรมกับคุณสิ ผมรักเรียวนะ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นล่ะรู้ไหม เรียวไม่ต้องกังวลใจนะครับ ยอดรักของผม”

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบของเขา น่ารักเหลือเกินหนุ่มน้อยของผม เดียร์ทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นว่าผมรักคนไม่ผิด ความรักที่เขามอบให้ผมเป็นสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ

ในที่สุดผมก็ไม่ได้ไปอาบน้ำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะเดียร์รั้งผมไว้บนเตียงนอนกับเขา และทำให้ผมได้รู้ว่า เขาไม่รังเกียจร่างกายของผมที่ถูกแตะต้องโดยคนโฉดชั่วสักนิด

เขาสัมผัสผมด้วยมือและปากแทบจะทุกซอกทุกมุมของร่างกาย และมอบความรักที่นุ่มนวลอ่อนหวานให้กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า จนเราสองคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน

วันเวลาแห่งความสุขบางทีมันก็มาอยู่กับเราเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ท้องฟ้าสดใสอยู่ดีๆ เมฆหมอกสีดำก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาปกคลุม เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อผมไปทำงาน ผมก็ถูกเจ้านายเรียกตัวไปตำหนิแต่เช้าด้วยเรื่องของนายทรงพล

เขาแจ้งว่าตาเฒ่านั่นฟ้องท่านประธานว่าผมกับเดียร์ทำร้ายเขา และเขาต้องการเอาเรื่องจนถึงที่สุด ถ้าหากไม่มีการจัดการใดๆ เขาจะแจ้งความกับตำรวจเพื่อเอาผิด รวมถึงจะฟ้องร้องทางหนังสือพิมพ์ให้ลงข่าวนี้ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีชื่อเสียงในด้านลบ

“รู้ไหมว่าเพื่อนคุณทำอะไรไว้กับคุณทรงพลบ้าง ทุบทำลายข้าวของบนเพนท์เฮ้าส์สุดหรูจนเสียหายยับเยิน แถมซ้ำ
ยังเอาของมีค่าของเขาจำพวก แหวน นาฬิกา รถเบนซ์ และเงินสดไปด้วย นี่เขากำลังจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย และปล้นทรัพย์กับเพื่อนของคุณไว้ด้วยนะ

สำหรับคุณเขาไม่ได้แจ้งอะไรเพียงแค่รายงานความประพฤติของคุณให้ท่านประธานทราบ และให้พวกเราตักเตือนคุณด้วยการทำฑัณฑ์บนจนกว่าคุณจะสำนึกผิด แต่ไม่แน่นะ หากคุณไม่ไปขอโทษเขา เขาอาจจะดำเนินคดีกับคุณด้วยก็ได้”
สิ่งที่หัวหน้าบอก ทำให้สติผมขาดผึง นึกชิงชังรังเกียจเจ้าคนชั่วคนนั้นอย่างที่สุด เรื่องทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาเป็นคนก่อ แต่ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น คนอย่างนี้ถ้ามัวแต่ไปกลัวเกรงคำขู่ ก็รังแต่จะทำให้เขาย่ามใจและทำร้ายคนอื่นไปทั่ว
ไหนๆเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้หัวหน้าฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ตั้งแต่เรื่องนายทรงพลส่งคนไปตามถ่ายรูปผม

ส่งเมล์มาให้หัวหน้าและแบล็คเมล์ผม ยื่นข้อเสนอที่ไม่ยอมรับ และในท้ายที่สุดก็วางยากัน ผมจำเป็นที่จะต้องให้เขาได้รู้ เป็นการป้องกันตัวเองและคนที่ผมรักด้วย ถ้าหากจะเอาความผิดกับเดียร์

คนที่ก่อเรื่องทั้งหมดก็ควรจะรับโทษด้วยเช่นเดียวกัน นายทรงพลไม่ควรจะลอยนวลจากปัญหาและปล่อยให้คนดีๆถูกพิพากษาเพราะการกลั่นแกล้งของเขา
“ตกลงคุณกับเด็กหนุ่มคนนั้น เป็นคู่รักกันจริงๆใช่ไหม”

เจ้านายถามผมมาตามตรง ผมนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

“โอเค ไม่เป็นไร ผมลืมไปที่ถามแบบนั้น ฟังจากที่คุณเล่ามา นายทรงพลนี่ก็เลวได้ใจจริงๆ ถ้าเป็นผมนะ คงจะทำมากกว่านั้นอีก ไม่นึกเลยว่าตาเฒ่านี่จะลามกบ้ากามขนาดนั้น

ดูภายนอกสุภาพ พูดจาเป็นงานเป็นการ น่าเคารพเลื่อมใส แต่หลังฉากกลายเป็นคนชั่วช้าสามานย์ คนเรานี่ดูกันแค่เปลือกนอกไม่ออกจริงๆ ผมสงสารคุณจริงๆเรียว ที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำซาก”

“ครับ ขอบคุณที่หัวหน้าเข้าใจ”

ผมกล่าวขอบคุณหัวหน้าด้วยใจจริง เขาโบกไม้โบกมือเป็นทำนองว่าไม่ต้องคิดมาก

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกเรียว ผมน่ะ ได้รับการร้องเรียนมาจากทั้งนายทรงพล และท่านประธานก็ต่อสายตรงมายังผมด้วย แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมดนะ

ผมทำงานกับคุณมาตั้งนาน รู้ดีว่าคนอย่างคุณไม่มีทางทำร้ายใครก่อนแน่ คุณใจดีมากเกินไปจริงๆ จนบางครั้งผมก็ยังแอบกังวลใจเลยว่าคุณจะเสียทีคนอื่น แล้วมันก็เป็นจริงจนได้”

“ผมขอโทษครับที่ทำเรื่องมาให้เดือดร้อนอยู่เรื่อยๆ ต่อไปผมจะระมัดระวังตัวไม่ให้มันเกิดขึ้นนะครับ”

“ผมเข้าใจคุณนะเรียว แต่ไม่รู้ว่าท่านประธานจะเข้าใจหรือเปล่า เพราะนายทรงพลนั่นก็รู้จักกันดี เข้านอกออกในบ้านท่านบ่อย แต่ผมจะลองคุยเรื่องนี้กับท่านประธานดู เล่าให้ฟังเหมือนอย่างที่คุณเล่าทั้งหมดนี้แหละ ดูสิว่าท่านจะว่าอย่างไร
ผมจะพยายามช่วยพูดให้คุณเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้ผมก็มีเรื่องขอร้องคุณอย่างหนึ่งนะเรียว สิ่งที่ผมพูดคุณอาจจะรับไม่ได้ แต่ผมอยากให้คุณลองคิดสักนิด มันดีต่อตัวคุณเอง ต่อหน้าที่การงาน และยังดีต่อคนที่คุณรักคนนั้นด้วย”
เรื่องที่หัวหน้าจะพูดกับผม ต้องเป็นสิ่งที่ผมกังวลใจมาตลอดแน่ๆ ผมสังหรณ์ใจยังไงพิกล

“สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น ถึงแม้ว่าจะเกิดจากการกระทำของนายทรงพล คุณไม่ผิดอะไร แต่เมื่อเรื่องราวมันแพร่กระจายออกไป มันจะนำมาซึ่งความเสียหายต่อตัวคุณ และ บริษัทด้วย

ผมไม่ห้ามเรื่องความรัก เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ คุณมีสิทธิจะชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่คุณมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ดูแลลูกน้องมากมาย ติดต่อคนเยอะ เป็นที่รู้จักทั้งฝ่ายขาย และพนักงานบริษัท
ถ้าหากคุณมีเรื่องเสียหายแบบนี้ คุณคิดว่าคนอื่นเขาจะเคารพนับถือคุณต่อไปไหม

ผมไม่รู้ว่า นายทรงพลจะยอมรับความผิดตัวเองหรือเปล่า แต่ถ้าหากเขาไม่ยอมรับและเอาเรื่องขึ้นมา คนรักของคุณก็จะตกที่นั่งลำบาก เพราะทำร้ายร่างกาย ทำร้ายทรัพย์สิน และ ขโมยด้วย

ตามที่กล่าวหามาทั้งหมด เขาอาจจะติดคุกด้วยนะ คุณยอมให้มันเกิดหรือ ถ้าเป็นผมนะ ผมจะหยุดเรื่องทุกอย่างด้วยการยุติความสัมพันธ์ลงชั่วคราว พอให้เรื่องมันเงียบแล้วค่อยคบกันต่อ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่เสียหายอะไร
ผมพูดแค่นี้ คุณเข้าใจหรือเปล่า”
นั่นไง ว่าแล้ว ผมคิดไม่ผิดเลย เจ้านายของผมพูดมายืดยาว แต่สรุปสั้นๆก็คือ เขาต้องการให้ผมเลิกคบกับเดียร์ เพื่อประโยชน์ต่อตัวผมเอง และ ต่อเด็กหนุ่มด้วย

ผมเองก็ใช่ว่าอยากจะผิดสัญญากับเดียร์ตอนนี้ และเดียร์เองก็ไม่มีความผิดอะไร เขาดีกับผมเสียด้วยซ้ำ เป็นฝ่ายช่วยเหลือผมมาตลอด

แต่เมื่อคิดว่า นายทรงพลคงเล่นงานเดียร์ไม่เลิก ผมก็ชักลังเลใจ ผมไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องมาหมดอนาคตด้วยเรื่องแบบนี้

“เอาล่ะผมให้เวลาคุณไปคิด หวังว่าคุณคงจะตัดสินใจในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองอย่างมากที่สุด
ผมชอบคุณนะเรียว คุณเป็นคนดี มีฝีมือ และผมอยากให้คุณทำงานอยู่ที่นี่นานๆ ไม่อยากจะเสียคุณไป
เดี๋ยวผมจะไปพบท่านประธาน ไปทำหน้าที่ของผม หน้าที่ปกป้องคนในสังกัด ส่วนคุณก็ควรจะกลับไปทำหน้าที่ของลูกน้อง และ พนักงานที่ดีของบริษัท อย่าให้ผมผิดหวังในตัวคุณนะเรียว”

เจ้านายเดินมาตบบ่าผม ก่อนจะโบกมือให้ผมออกจากห้องได้ ผมเดินคอตกออกมาจากห้องของเขา ระหว่างทางไปห้องทำงานของผม รู้สึกราวกับว่า ผมถูกจับจ้องจากพนักงานในฝ่าย

บางคนก็แอบซุบซิบกันเมื่อผมเดินผ่าน พอผมหันไปมองพวกเขาก็หลบหน้าหลบตา แล้วรีบก้มลงทำงาน ทำเหมือนกับว่า ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่พอผมคล้อยหลังไปแล้ว เสียงเหล่านั้นก็ดังขึ้นอีก

สันต์โทรมาหาผมทันทีที่ผมวางก้นแปะลงบนเก้าอี้ มันคงเห็นผมเดินหน้ามุ่ยเข้ามาจากอีกฝากหนึ่งของห้อง ก็เลยโทรมาถาม ผมเลยเล่าให้มันฟังถึงเหตุการณ์อันเป็นชนวนที่ทำให้ผมถูกตำหนิ และได้รับการขอร้องให้เลิกกับเดียร์
เพื่อนรักของผม นิ่งฟัง ปากก็สบถด่ามาเป็นระยะ ด้วยความที่สันต์โกรธแค้นนายทรงพลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่บังอาจมาเป็นศัตรูหัวใจ

พอได้รู้ว่าตาเฒ่าสร้างแผนการณ์ชั่วร้ายต่างๆเพื่อหลอกผมไปเป็นของเขา ไอ้เพื่อนรักก็เป็นฟืนเป็นไฟราวกับเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียเอง

แต่พอผมบอกกับมันไปว่า เดียร์จัดการทรงพลไปอย่างไร มันก็หัวร่อลงลูกคอเอิ๊กอ๊าก บอกว่านั่นยังน้อยไป ถ้าเจ้าสันต์อยู่ที่นั่นด้วย มันจะเผาเพนท์เฮ้าส์ และจับนายทรงพลเปลือยมัดอยู่หน้าคอนโด ประจานเลย

เราคุยกันสักพัก เจ้าสันต์ก็ขอตัวเพราะมีงานเข้ามา แต่มันก็สัญญาว่า มันจะมาคุยกับผมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ทำงานได้สักพัก คุณแคทลียาก็เดินเข้ามาหาถึงในห้อง เธอเข้ามาปรึกษางานเกี่ยวกับการพิจารณารับประกัน มีบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ

ผมในฐานะพี่เลี้ยง ก็เลยต้องช่วยอธิบายให้เธอเข้าใจ นอกเหนือจากเรื่องนี้ เธอยังมารายงานให้ผมทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องงานปีใหม่ เนื่องจากผมป่วยและลาพักร้อน ในระหว่างนั้นเธอจึงเข้าประชุมแทนผม

บริษัทมีการจัดสรรงบประมาณไว้ก้อนหนึ่งประมาณ 3-5 ล้านบาท เพื่อเนรมิตงานปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่อลังการให้เป็นของขวัญพนักงานมีการจ้างโชว์มาแสดง อาจจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง หรือดาราที่กำลังอยู่ในความนิยม

มีกลุ่มแดนเซอร์มาเต้นเปิดงาน เงินส่วนหนึ่งซื้อเป็นของรางวัล เช่นสร้อยคอทองคำ ตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ พนักงานแต่ละคนจะได้รับคูปองจับฉลาก 1 ใบ เพื่อลุ้นโชคปีใหม่
นอกเหนือไปจากการแสดงโชว์ของนักร้อง ดารารับเชิญที่จ้างมาแล้ว ยังมีกิจกรรมการแสดงของพนักงานบริษัทแบ่งเป็น ระดับพนักงานถึงระดับผู้จัดการ

ส่วนผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ผู้ช่วยผู้อำนวยการเป็นต้นไป จะมีการแสดงรวมกัน 1 ชุดของฝ่ายบริหาร อันจะเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องให้สนิทแน่นแฟ้น ผ่านทางการทำกิจกรรมร่วมกัน

ปีนี้การแสดงโชว์ของผู้บริหารเป็นชุดระบำนานาชาติ เนื่องจากทางบริษัทได้ทำแคมเปญการแข่งขันพิชิตคุณวุฒิท่องเที่ยวรอบโลก เพื่อดึงดูดให้ตัวแทนฝ่ายขาย ทำผลงานเข้ามายังบริษัทให้ได้เยอะเป็น 2 เท่าของเป้าหมายปีที่ผ่านมา

คุณแคทได้เอารายชื่อผู้บริหารที่ต้องแสดง รวมถึงชุดที่ทุกคนต้องใส่มาให้ผมดูด้วย เจ้านายของผมก็ได้ร่วมแสดงกับเขา พร้อมกับผู้บริหารคนอื่นๆ

โดยที่หัวหน้าผมต้องแต่งชุดอินเดียนแดงเพื่อโปรโมทอเมริกาที่เราจะไป คุณแคทเล่าว่า ผมถูกเลือกให้แต่งตัวเป็นจักรพรรดิ์ของจีน เพราะมีผิวขาว และบุคลิกดูสง่างาม

ในขณะที่คุณแคทลียา ได้แต่งตัวเป็นพระนางคลีโอพัตรา เพราะดูเซ็กซี่ และมีมาด เจ้าสันต์เพื่อนผมถูกเลือกให้แต่งตัวเป็นไวกิ้ง

ศักดิ์ชายกลายเป็นจูเลียสซีซาร์ แห่งกรุงโรม นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตัวแทนประเทศต่างๆทั้งในทวีปเอเชียและยุโรปด้วย
โดยที่พวกเรามีเวลาเหลือกันประมาณ อาทิตย์กว่า สำหรับการซ้อมเต้นและลองชุด ซึ่งน่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ที่ทางทีมงานแดนเซอร์ที่จ้างมาจะมาซ้อมเต้นให้ ขอให้ผมทำตัวว่างด้วย

เมื่อเสร็จธุระแล้วแทนที่คุณแคทลียาจะออกไปจากห้อง เธอกลับนั่งจ้องมองผมด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ จนผมต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ในใจเดาว่าเธอคงต้องรู้อะไรมาบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวผม

ก็แน่ละสิ ครอบครัวเธอกับนายทรงพล สนิทกันจะตาย และแถมซ้ำ นายทรงพลยังรู้จักกับประธานบริษัทที่เป็นญาติของคุณแคทอีก เธอคงจะได้ยินเรื่องของผมกับนายทรงพลแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่า ผู้ร่วมงานของผม จะคิดอย่างไรกับเรื่องแบบนี้

“แคทรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ ลุงทรงพลเล่าให้พ่อแม่แคทฟัง ตอนที่ไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล ท่านบอกว่าคุณกับเพื่อนคุณไปทำร้ายแก

แต่แคทไม่เชื่อเท่าไหร่นะคะ เพราะถึงแม้แคทจะมาทำงานกับคุณได้ไม่นาน ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่อยู่ในใจของคุณ อย่างวันนั้นที่คุณช่วยพาแคทซึ่งเมามายไม่ได้สติกลับมาบ้าน

อันที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องรับมาเป็นภาระก็ได้ แต่คุณเห็นแคทเป็นเพื่อนร่วมงาน คุณเลยยื่นมือเข้ามาช่วย แคทเคยได้ยินน้องๆพี่ๆในฝ่ายเล่าให้ฟัง ว่าคุณชอบใจดีกับคนอื่นๆเสมอ คุณเป็นคนดี พวกเราชอบที่จะได้ทำงานกับคุณน่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่ออกจากปากของคุณแคทลียา บ่งบอกถึงความจริงใจ ผมยิ้มและกล่าวขอบคุณเธอ

“แคททราบมาว่า คุณลุงคงจะเอาเรื่อง ท่านไม่ยอมเจ็บตัวฟรีๆหรอก แคทพยายามถามนะคะ ว่า ทำไมคุณลุงถึงถูกทำร้าย เพราะคนอย่างคุณเรียวไม่ทำใครก่อนแน่ แต่คุณลุงก็ไม่ยอมบอก แกบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น แถมยังเสียหน้าที่โดนหยาม แกคงไม่ปล่อยเพื่อนคุณง่ายๆแน่เลยค่ะ”
“ครับ”

“แคทไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ก็พอจะเดาออกจากนิสัยของคุณลุงที่ได้ยินได้ฟังมา ท่านคงมาเกาะแกะกับคุณ และเพื่อนของคุณไม่ยอมเลยมีเรื่องกันใช่ไหมคะ

เอางี้ แคทจะช่วยพูดกับคุณลุงให้ คิดว่าคุณลุงคงเห็นแก่หน้าพ่อแม่ของแคท ไม่เอาเรื่องกับคุณ แต่แคทมีข้อแม้เพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้นคือ ขอให้คุณยอมตกลงเป็นแฟนกับแคท

เอ้อ ...ไม่ใช่เป็นแฟนกันจริงๆ แค่หลอกตบตาใครบางคนจนกว่าเขาจะยอมรับว่าทำผิดกับแคทนะคะ ได้ไหม”
ท้ายเสียงอ้อนวอนขอร้อง ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก เรื่องของผมเองก็ยังไม่เรียบร้อย แล้วนี่ยังจะต้องมาช่วยคนอื่นอีก โดยที่คนกำลังขอความช่วยเหลือมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ผมกับเดียร์ไม่ต้องมีปัญหากับนายทรงพลภายหลัง ข้อเสนอนี้เล่นเอาผมถึงกับลังเล

“ลองคิดดูนะคะ คุณเรียว ระหว่างนี้ แคทจะไปพูดกับคุณลุง ถ้าสำเร็จแล้ว แคทจะมาทวงคำตอบนะคะ”
คุณแคทลียากลับออกไปแล้ว แต่ผมยังนั่งซึมอยู่กับโต๊ะ คิดไม่ออกว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไรดี จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง สังคมยอมรับ หรือจะทำตามหัวใจตัวเองดีหนอ มีใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับผมอย่างนี้บ้าง
แล้วเขาทำอย่างไรกันนะ เลือกงาน หรือเลือกความรัก แล้วหลังจากที่เลือกแล้ว พวกเขาเป็นอย่างไร มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเลือกไหม

ผมนึกถึงเพื่อนสองคนของผมขึ้นมาทันที ศักดิ์ชาย และ เจ้าสันต์ มีชีวิตที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพื่อนเก่าเพื่อนแก่สมัยเรียนของผม เป็นคนที่ขยัน มุ่งมั่นในการทำงาน เรียนจบแล้ว ก็ทำงานในบริษัทนี้ กินตำแหน่งใหญ่โตพอๆกับผม
เขาแต่งงานแล้ว กับสาวสวยคนหนึ่ง มีลูกด้วยกัน ลูกเขาหน้าตาน่ารักน่าชัง ศักดิ์ชายรักภรรยาและลูกของเขามาก ชีวิตของศักดิ์ชายน่าจะมีความสุข แต่ทำไมบางครั้ง หน้าตาเขาก็หม่นหมองอมทุกข์ เวลาที่เขาเจอผมทีไร ผมเห็นเขาทำหน้าเศร้าๆทุกที

เจ้าสันต์เคยค่อนขอดเพื่อนคนนี้ของผมว่า เป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริง หลอกลวงคนอื่น และหลอกลวงตัวเองด้วย จึงทำให้ชีวิตไม่มีความสุข สันต์เชื่อว่าศักดิ์ชายเป็นเกย์ แต่ไม่ยอมรับ เพราะกลัวจะสูญเสียพื้นที่ที่ตนยืนอยู่ในสังคม
ศักดิ์ชายกลัวคนอื่นไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น จึงไปแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อลบภาพเกย์ออกจากตัวเอง แต่สิ่งที่ศักดิ์ชายทำกลับทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แถมซ้ำยังทำให้ลูกเมียไม่มีความสุขด้วย

พ่อคนช่างสังเกตยังบอกอีกด้วยว่า มองตาศักดิ์ชายก็เห็นไปถึงความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจ มันฟันธงว่าศักดิ์ชายรักผม รักมานานแล้ว แต่ไม่กล้าเปิดเผย ได้แต่อ้ำอึ้งไม่พูดออกมา

ในท้ายที่สุด ก็สร้างภาระให้ตัวเองด้วยการแต่งงาน ทำให้เขาและผมไกลห่างกันออกไป เวลามาเจอหน้ากันกับผมทีไร ศักดิ์ชายก็อดที่จะเสียใจไม่ได้ ที่ไม่บอกความจริง และต้องทนเจ็บช้ำ เมื่อผมกำลังจะหลุดลอยไป

จริงหรือเปล่าไม่รู้ ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อจินตนาการของเจ้าสันต์นัก เพราะมันมักจะโอเว่อร์เกินจริง แต่หลายครั้งก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ฝ่ายตรวจสอบเก่าอย่างเจ้าสันต์ คิดถูกในหลายเรื่อง ผมเลยชักจะคล้อยตามว่าศักดิ์ชายเป็นเกย์จริงๆ แต่ที่ไม่รู้คือ เขามีความสุขในชีวิตที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า
ส่วนเจ้าสันต์ เป็นพวกเปิดเผย ไม่แคร์สังคม คนทั้งบริษัทรับรู้ว่ามันเป็นเกย์ มันกล้าควงหนุ่มๆให้คนเห็นโดยไม่สนใจว่าใครจะครหา

รู้สึกสนุกทุกครั้งที่มีใครมาคอยซักถามมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และจะร่วมวงคุยฟุ้ง ราวกับว่าภูมิใจนักหนาที่ได้เกิดมาเป็นเกย์

เพื่อนร่วมงานของผมคนนี้ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาได้ผ่านความทุกข์ระทมเจ็บปวดมามากจากการไม่ยอมรับของคนทั่วไปที่ดูถูกเรื่องที่เขารักชอบคนเพศเดียวกัน

แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่มันป็น แม้จะมีคนนินทา หรือ แอบกัดเจ้าสันต์แรงๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มันก็ไม่เคยเอามาเป็นอารมณ์

ถ้ามันโต้ตอบได้มันจะตอบไปทั้งอย่างเบาๆ และรุนแรง แต่คำพูดเหล่านั้นไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเจ้าสันต์

สิ่งที่ทำให้เพื่อนผมไร้ความสุข คือ การเจ็บปวดจากความรัก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันต้องพบกับความผิดหวัง การหลอกลวง และคนที่หาแต่เพียงประโยชน์จากมัน หมดประโยชน์แล้วก็จากไป ทำให้เจ้าสันต์หัวใจด้านชา กลายเป็นคนที่มีความ

สัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตาเพียงแค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว

เพื่อนรักของผม ได้ลองพยายามที่จะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ต้องเลิกรากันหลายครั้ง จนกระทั่งในที่สุดมันก็ได้มาเจอกับน้องแซ่บ ซึ่งทำท่าว่าจะเป็นรักจริงของมัน

แต่เจ้าเด็กนั่นก็ต้องถูกพรากไปจากอก มันเจ็บเจียนตาย ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติ ในเวลานี้ เจ้าสันต์กำลังเริ่มต้นปลูกต้นรักใหม่ โดยมีนายเบนคอยช่วยรดน้ำพรวนดิน และหวังว่าคราวนี้จะเป็นรักครั้งสุดท้ายเสียที

ผมไม่รู้ว่า ระหว่างเจ้าสันต์กับศักดิ์ชาย ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน เปิดกับปิดกั้นตัวเอง เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้วอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต และถ้าจะต้องเลือกว่าเป็นใครสักคนในสองคนนี้ ผมควรจะทำตัวเหมือนเพื่อนคนไหนดี


nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
โหม่งพี่แอน

อร้ายย ไม่ได้มาหลายวัน พี่แอนลงเพียบเลย

แนนแปะไว้ก่อนนะคะพี่แอน

วันนี้ไม่มีแรงแล้ว

เดี๋ยวพรุ่งนี้ตามเข้ามาอ่านนะคะ

คืนนี้ฝันดีนะคะ

ปอลอ เพลงน่ารักดีคะ ชอบบบ

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
เฮ้อ นึกว่าจะเสร็จซะละ



ลุ้นแทบแย่ ขอบคุณไต๋ เช่นเดิม  :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
สู้ๆ น่ะ ครับ


เปน กำลัง ใจ ไห้ ทั้ง คู่ เรยยยยย

มา ต่อ ไววไว น่ะ คร้าบบบบบบบบ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
 :เฮ้อ: หวาดเสียวสุด เกือบเเล้วนะเรียวจัง

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 28

“นี่เป็นครูที่จะมาสอนเต้นให้กับพวกเราค่ะ เขาชื่อน้องเดียร์ เป็นแดนเซอร์ที่ทางบริษัทส่งมา โดยจะเริ่มสอนให้กับพวกเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันงานอาทิตย์หน้านี้นะคะ”

คุณแคทลียา แนะนำแดนเซอร์ลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาให้พวกเรารู้จักกันทุกคน ผมยืนตะลึงจ้องเดียร์เขม็ง
เขาเองก็ชะงักไปเหมือนกันที่เห็นว่าหนึ่งในลูกศิษย์ที่เขาจะสอนมีผมอยู่ด้วย เราต่างคนต่างไม่รู้มาก่อนเลย ผมไม่ได้บอกเดียร์ว่าที่บริษัทจะมีงานปีใหม่ เพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ส่วนเดียร์ก็ไม่ได้มาหาผมเมื่อวานนี้ บอกว่าจะนอนที่สตูดิโอของบริษัท เพราะมีซ้อมเต้น และที่สำคัญบริษัทได้มอบหมายงานพิเศษให้เขาชิ้นหนึ่ง

ซึ่งเขารับรู้เมื่อวานนี้เอง มันทำให้เขาต้องเข้าไปซ้อมเต้นไม่ได้กลับมานอนที่บ้านผมเหมือนเคย และเจ้างานที่เขาว่าก็คงจะเป็นงานนี้เอง

เดียร์คงไม่รู้เหมือนกับที่ผมไม่รู้ว่าเขามาสอน ถ้ารู้ล่วงหน้าผมจะได้ถอนตัวไม่แสดง เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ว่า เราสองคนรู้จักกัน

เนื่องจากตอนนี้เรื่องราวของผม นายทรงพล และเดียร์ยังไม่ได้ข้อสรุป ตาเฒ่ายังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาล และยืนกรานที่จะเอาเรื่องกับเดียร์ให้ได้

ส่วนผมนายทรงพลแค่อยากได้คำขอโทษ หัวหน้ามาบอกแล้วแต่ผมปฏิเสธไป เพราะผมคิดว่าคนที่ควรขอโทษคือนายทรงพลต่างหาก เพราะเขาทำกับผมเจ็บแสบมาก ผมไม่อยากเห็นหน้าเขา

โชคดีที่เจ้านายเข้าใจ เลยไม่เซ้าซี้ให้ผมทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ แต่เพื่อให้หัวหน้าสบายใจ รวมถึงไม่อยากให้เดียร์ถูกกลั่นแกล้ง

ผมเลยกะว่าจะไม่เจอเดียร์หรือไปไหนกับเขาด้วยสักระยะหนึ่ง แต่ไม่ทันได้บอกให้เขารู้ ไม่นึกเลยว่าเขาจะกลับกลายมาเป็นครูสอนเต้นให้กับพวกเราเสียอีก

ผมพยายามไม่สบตากับเดียร์ที่มองมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเผลอมองเขาขณะที่กำลังอธิบายเกี่ยวกับท่าเต้นให้พวกเราฟัง ก็เห็นเดียร์จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว

เขาส่งตาหวานและยิ้มให้ แต่ผมแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้จักเขา ทำให้เด็กหนุ่มเอ๋อไปพักหนึ่ง แต่แล้วผมก็เห็นเขาพยักหน้าให้สัญญาณกับผมว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมทำอยู่

เดียร์คงรู้ว่าผมลำบากใจ และไม่ต้องการให้ใครรับรู้ และเขาก็รับมุขนั้น ทำเป็นเพิ่งเคยเจอกับผมเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ช่วงจังหวะที่พักดื่มกาแฟ และทานของว่าง ผมเดินมาที่โต๊ะที่วางเค้ก กาแฟ และน้ำผลไม้ ตรงหน้าห้องประชุมที่ใช้เป็นที่ซ้อมเต้นเป็นคนสุดท้าย

คนอื่นๆแยกย้ายกันไปนั่งทาน และพูดคุยกันอยู่ในห้อง บางคนก็ลองซ้อมท่าเต้นอยู่ ทำให้ไม่มีใครออกมาข้างนอก จึงเป็นโอกาสที่เดียร์จะเข้ามาพูดคุยกับผม เขาทำหน้าระรื่น หลิ่วตาล้อ

“เรียวเต้นด้วยหรือครับ…ดีใจจังที่มีเรียวเป็นลูกศิษย์ สงสัยต้องติวเข้มกันหน่อยแล้ว”

“เดียร์ระวังหน่อยนะ ที่นี่มันที่ทำงาน ไม่ใช่ที่บ้าน อย่าทำตัวรุ่มร่าม ฉันไม่อยากให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นที่นี่”

ผมบอกเขาเสียงดุ เดียร์หน้าจ๋อยลงไปทันที ผมรีบเดินหนี สงสารเขา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
“เฮ้ย เรียว นายรุ้มาก่อนหรือเปล่าวะ ว่าเจ้าหนูนั่นมาสอนที่นี่”

เจ้าสันต์ถามผม ทันทีที่หมดชั่วโมงการซ้อม เดียร์กลับไปก่อนเพราะต้องรีบไปซ้อมเต้นต่อ ส่วนผมกับเจ้าสันต์นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงาน

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าผมเองก็เพิ่งรู้ และค่อนข้างกังวลใจมาก กลัวเดียร์จะเผลอทำท่าว่ารู้จักผม มันถามว่าเพราะอะไรถึงต้องกลัวคนอื่นรู้ขนาดนั้น

ผมเลยเล่าเรื่องที่เจ้านายขอร้องมาให้สันต์ฟัง รวมถึงเรื่องที่คุณแคทลียาพูดกับผมด้วย

“เฮ้ย เอาแบบนี้เลยเหรอ สงสารเจ้าหนูนั่นว่ะ ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย คนที่ควรจะได้รับการตำหนิ คือ นายทรงพลมากกว่า
โลกเรานี่ไม่ยุติธรรมเลย คนรวยเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายถูก เลยทำให้พวกนี้ถูกสอนมาอย่างผิดๆว่าเงินซื้อทุกสิ่งได้ แม้กระทั่งความรัก และความยุติธรรม

แล้วนายจะว่าไงล่ะ เชื่อหัวหน้า เชื่อทุกคน แล้วเลิกยุ่งกับเจ้าหนูนั่นเหรอ
นายทำได้ลงคอหรือเรียว ทิ้งความรัก ทิ้งคนที่ภักดีกับเรา ไปคว้าเอาเกียรติ เอาชื่อเสียง เอาความนับหน้าถือตาจากคนที่ไม่เคยสนใจเลยว่าความสุขของเราคืออะไร ….”

เจ้าสันต์โวยวายเสียงดังตามสไตล์มัน ผมต้องจุ๊ปาก เพื่อให้มันทำเสียงเบาๆลงหน่อย เดี๋ยวใครมาได้ยิน มันก็เลยลดเสียงลง แต่ยังคงพูดเตือนสติผมต่อ

“พวกนั้นแค่อยากให้เราเป็นในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วก็บอกว่านั่นคือสิ่งที่เหมาะสมกับเรา เขาบอกว่าเขาแนะนำเราด้วยความรัก เขาหวังดีอยากเห็นเรามีความสุข

แต่จริงๆแล้วคนพวกนั้นห่วงตัวเองมากกว่า เขารับไม่ได้ที่จะเห็นสังคมแปลกไปจากความเคยชินเดิมๆที่ตัวเองเคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

การเปลี่ยนแปลงทำให้เขาต้องมาเริ่มต้นคิดใหม่ทำใหม่ คนพวกนั้นเหนื่อยล้าเกินไป ไม่อยากรู้เห็นในสิ่งที่ไม่คุ้นตา ทำราวกับว่า พระอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศตะวันออกเท่านั้น ถ้าเมื่อไหร่ขึ้นทางทิศตะวันตก แปลว่าโลกมันวิปริต”

สิ่งที่เจ้าสันต์พูดทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงความหวังดีของมันที่พยายามให้ผมได้คิด และเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผมยังอยากได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตผมอยู่ดี

“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ ให้ฉันเลือกเดียร์เหรอ ฉันน่ะ ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำนะ ว่าฉันรักเขาถึงขนาดอยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไหม

ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเราแค่ตกลงทำสัญญากันแค่ หกเดือนแค่นั้น ถึงเวลาก็จากกันไป
เขาอายุยังน้อย ยังมีสิทธิที่จะเจอคนดีๆ คนที่เขารักเดียร์จริงๆ คนที่เป็นเหมือนกับเขา บางทีถ้าเขาเจอแล้ว อาจจะเปลี่ยนใจจากฉันก็ได้ แล้วมันจะไม่กลายเป็นว่า ฉันต้องมาเคว้งคว้างต่อไปอีกเหรอ

อีกอย่างนะนายทรงพลเองก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยังพยายามจะหาเรื่องเด็กนั่นด้วยการแจ้งขอหาเพื่อเอาเขาเข้าซังเต
ถ้าหากฉันยอมทำตามคำขอร้องของหัวหน้า และ คุณแคทลียา บางที เดียร์อาจจะรอดพ้นคุกก็ได้ บอกตรงๆ ฉันไม่อยากให้เจ้าเด็กนั่นลำบากเพราะฉันอีก เขาช่วยฉันมามากพอแล้ว

คราวนี้เจ้าสันต์เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง เมื่อฟังผมพูดถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจจนจบ
“ตกลงว่านายจะทำตามคำขอของคุณแคท ว่างั้นเถอะ”

“ยังไม่รู้เลย ยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ บางทีฉันอาจจะรับข้อเสนอของคุณแคทก็ได้ ถ้ามันจะช่วยไม่ให้เจ้าเด็กนั่นไม่ให้เกิดปัญหา”

ตอบไปแบบนั้นเพราะผมเองก็ยังมืดแปดด้านกับเรื่องนี้จริงๆ
“งั้นตามใจนายแล้วกันว่ะ เรียว ฉันก็ไม่รู้จะพูดไงดี ถ้าฉันโดนแบบนี้ ก็คงจะอึดอัดแย่ อะไรวะ ประเมินคนจากวิถีชีวิตของเขามากกว่าจะเน้นไปที่ความสามารถ

มันเลือกยากเสียด้วยนะ ความรัก กับหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างหลัง มันมีของเดิมพันสูงเป็นเงินเดือน หลักแสน รถยนต์ และ ห้องทำงานสุดหรูเสียด้วย

สุดยอดปรารถนาของคนทำงานอย่างเราเลยที่จะได้ขึ้นทำเนียบเป็นนักบริหารที่มีความสามารถ ยิ่งถ้านายได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการตอนยังหนุ่มฟ้อ อายุเพียงแค่ 27 ด้วยแล้ว มันบ่งบอกว่านายน่ะมีฝีมือจริงๆ

เพราะไอ้ตำแหน่งนี้น่ะ คนบางคนทำงานมาเป็นสิบยี่สิบปี เชียวกว่าจะได้ ดูแต่ละคนสิ อายุเข้า 40-50 วัยกลางคนกันเข้าไปแล้ว เป็นฉันก็คิดหนักเหมือนกันว่ะ

เฮ้อ.......มีที่ตรงไหนในโลกไหมหือเรียว ที่เราจะสามารถเป็นตัวของตัวเอง และได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้างด้วย หรือว่าต้องรอให้ตายแล้วเกิดใหม่ คนถึงจะยอมรับพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาวะ”

กลายเป็นว่าเจ้าสันต์เป็นคนบ่นแทนผมเสียเอง คำพูดยืดยาวของมันเหมือนกำลังตัดพ้อต่อโชคชะตาที่เล่นตลกจนทำให้เราไม่สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการทั้งหมด แถมซ้ำมันยังนับผมเป็นพวกเดียวกับมันเข้าไปด้วยอีก

“พวกเรา”งั้นเหรอ ที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าสันต์ต่างหากที่เป็น “พวกเขา (เกย์) ” ไม่ใช่ “พวกเรา (ชายรักหญิง/คนปกติ)”ไม่รู้เมื่อไหร่กันแน่ที่ผมเริ่มรู้สึกว่าโลกของผมกับโลกของคนอย่างเจ้าสันต์มันใกล้กันเข้าไปทุกที

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ผมร้องบอกให้เข้ามาได้ จากนั้นหน้าของศักดิ์ชายก็โผล่เข้ามา ตายยากเสียจริง เมื่อกลางวันนี้ผมนึกถึงมันอยู่ ตอนเย็นมันก็มาหาผมพอดี

ศักดิ์ชายมองหน้าผมแปลกๆ จนผมชักเอะใจ หรือว่ามันจะได้ยินเรื่องที่ผมกับสันต์พูดกัน ไม่น่า ศักดิ์ชายไม่ใช่คนที่ชอบแอบฟังคนอื่นพูด บางทีมันอาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่างค้างคาในใจก็ได้

ช่วงหลังๆมานี้ มันยิ่งชอบมองผมด้วยสายตาที่เจ้าสันต์ชอบเรียกว่า “มองแบบหมาเสียดายของ” ผมหัวเราะเพราะไม่เคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน มันเลยบอกว่ามันตั้งเอง เพราะหมั่นไส้ที่ศักดิ์ชายทำท่าเสียดายผมจนออกนอกหน้า มันสะใจที่ศักดิ์ชายต้องทุกข์ทรมานกับการไม่กล้าแสดงออกของตัวเอง
ศักดิ์ชายเข้ามาถามผมด้วยประโยคเดียวกับที่เจ้าสันต์ถาม ว่ารู้หรือเปล่าว่าเดียร์มาสอน ผมก็ตอบไปด้วยคำตอบเดียวกัน มันก็บ่นอีกว่าเดียร์สอนท่ายาก อย่างนี้จะไปเต้นได้ไง ไม่ใช่นักเต้นเสียหน่อย เอาแบบธรรมดาก็ได้

เจ้าสันต์ก็เลยตอกหน้าว่าเป็นถึงผู้บริหาร ผ่านทุกอย่างมามาก จะมายอมแพ้กับเรื่องพวกนี้ได้ไง อีกอย่าง งานปีใหม่ครั้งนี้ ใช่ว่าจะมีแต่พวกผู้บริหารที่ขึ้นไปแสดง พนักงานทุกคนก็ต้องส่งโชว์มาประกวดด้วย

พวกเขาพยายามกันเต็มที่ แล้วพวกเราจะทำเหลาะๆแหละได้ไง ต้องแสดงให้ทุกคนเห็น ว่าผู้บริหารอย่างพวกเรามีประสิทธิภาพเหมาะแก่การเป็นผู้นำในทุกๆด้าน คำพูดของเจ้าสันต์ทำเอาศักดิ์ชายอึ้งเถียงไม่ออก แต่กระนั้นก็หาเรื่องบ่นต่อว่าไม่มีเวลาซ้อม เพราะต้องทำงานเยอะ ถ้าทำไม่ได้จะว่าไง

จากนั้นมันก็ถามผมว่าผมจำท่าได้บ้างไหม ผมก็บอกว่าได้ เพราะที่เดียร์สอนเป็นเพียงการก้าวเดินง่ายๆ ยังไม่ได้ออก step อะไรมาก เนื่องจากพวกเรายังไม่คุ้นกัน

ศักดิ์ชายรีบขอให้ผมช่วยซ้อมให้มันหน่อย ผมยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ เจ้าสันต์ก็รีบชิงพูดขึ้นมาว่างานของผมเยอะ ปล่อยให้ผมสะสางงานไปเถอะ ตัวมันว่าง ช่วงนี้งานของฝ่ายสินไหมไม่ค่อยเยอะ ให้มันสอนให้ก็ได้

ผมเห็นศักดิ์ชายหน้าจ๋อยที่เจ้าสันต์รับอาสาจะสอน พอเหลือบตามองก็เห็นสันต์ยักคิ้วให้ผมและยิ้มกวนๆ ผมเลยอดขำไม่ได้ เจ้าสันต์นี่ทำหน้าที่เป็นไม้กันหมาได้ดีจริงๆ

เย็นวันรุ่งขึ้น เดียร์มาสอนพวกเราตามเดิม คราวนี้ เริ่มที่จะสอนท่าเต้นบ้างแล้ว โดยใช้มือไม้แขนขาทุกส่วนประกอบกัน แต่เป็นท่าง่ายๆไม่เหมือนกับที่พวกแดนเซอร์เต้น

เด็กหนุ่มสอนซ้ำๆอย่างตั้งอกตั้งใจจนพวกเราสามารถตามได้จนทัน เพื่อนผู้บริหารที่ร่วมเต้นกับผมรู้สึกชื่นชมเดียร์มาก ทุกคนชมเปาะว่าเขาสอนเก่ง แล้วก็หล่อด้วย ขนาดหัวหน้าของผมก็ยังพอใจจนต้องพูดออกมา

“แดนเซอร์คนนี้เต้นสวยดีนะ หน้าตาก็ดี ทำไมไม่เป็นนักร้องเสียเองล่ะ รับรองดังระเบิดแน่ๆ อาจจะเป็น “เรน” เมืองไทยก็ได้”

หัวหน้าผมรู้จักนักร้องซุปเปอร์สตาร์เกาหลีคนนี้ด้วย ทันสมัยจริงๆ พอเขาพูดแบบนี้ ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าเดียร์เต้นได้สวยจริงๆ นี่ขนาดแค่ทำให้ดูเพื่อการสอนนะ ถ้าเต้นจริงๆจะสวยแค่ไหน

ผมเคยเห็นเขาเต้นครั้งหนึ่ง ในมิวสิควิดิโอ ตอนไปร้องคาราโอเกะกับสันต์และศักดิ์ชาย ผมยังทึ่งเลยเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ

“อื้ม ผมก็ว่างั้นแหละครับ”

“คุณทำไมไม่บอกเขาล่ะ เพื่อนคุณไม่ใช่เหรอ คนในรูปถ่ายน่ะ”

คำพูดของหัวหน้า เล่นเอาผมสะดุ้ง นี่เขาจำได้ด้วยเหรอ ตายล่ะ มองไปมองมา ในที่นี้มีคนที่รู้จักเดียร์ตั้งหลายคน เจ้าสันต์ หนึ่งล่ะ เจ้านี่รู้ลึกรู้ดีเสียด้วย ว่าเดียร์เป็นอะไรกับผม ศักดิ์ชายเคยเห็นเดียร์ที่บ้าน และหัวหน้า เห็นเดียร์กับผมจากเมล์ที่นายทรงพลส่งมา

ผมสู้อุตส่าห์แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเดียร์ ไม่อยากให้ผิดสังเกต แต่กลายเป็นว่าความลับทำท่าจะปกปิดไม่มิดเสียแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่หรือคะ”

เสียงของแคทลียานำมาก่อน ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถามของหัวหน้า เธอเดินมาหาผม พร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน จากนั้นก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับเจ้านาย แล้วขออนุญาตแยกตัวผมออกไปคุยด้วยเพียงลำพัง เธอบอกข่าวดีบางอย่างให้กับผมทราบ

“แคทคุยกับคุณลุงแล้วนะคะ ว่าขอให้คุณลุงเลิกจองเวรคุณเรียวกับเพื่อน แคทบอกว่า แคทชอบคุณ และอยากเป็นแฟนกับคุณ ถ้าหากว่า คุณลุงยังจะหาเรื่องแฟนของแคท มันก็ไม่ใช่เรื่องดี จะกลายเป็นว่าครอบครัวเรามาผิดใจกันด้วยเรื่องของผู้ชายแค่คนเดียว”
ผมยิ้มขอบคุณเธอ คุณแคทลียาเล่าต่อ

“ตอนแรกคุณลุงไม่ยอมนะคะ ท่าทางจะโกรธเอามากๆ และยิ่งหัวเสียหนักด้วย พอแคทพูดไปว่าชอบคุณ แกพูดว่า แคทไม่มีทางสมหวังหรอก เพราะคุณเรียวมีแฟนอยู่แล้ว ก็เพื่อนคุณที่ไปทำร้ายคุณลุงนั่นแหละ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด