ตอนที่ 89 หลงผิด....
สิบโมง..... หนูมาถึงที่หน้าคณะเป้าหมายโดยสวัสดิภาพ
ถึงทีแรกโอ๋มันยืนยันมั่นเหมาะ คอขาดบาดตายก็ไม่ยอมพามา แต่ครั้นหนูทำท่าว่าจะมะงุมมะงาหราไปเองให้ได้มันก็เกิดเป็นห่วง กลัวเด็กบ้านนอกจะหลงกรุง ถึงได้จำใจพามาส่ง
“นัดกันไว้หรือเปล่าเนี่ย?” โอ๋ถาม
“เปล่า ก็แค่รู้มาจากมิ่ง ว่าวันนี้มันมีสอบตอนบ่ายโมง”
“บ้าเหรอยะ นี่มันยังไม่สิบโมงเลย ถ่อมาทำไมเนี่ย” มันบ่นพร้อมชักสีหน้า
“ก็เผื่อมันมาก่อนไง อย่าทำหน้าอย่างนั้นดิ มึงไม่ต้องรอกับกูหรอก ลำบากเปล่าๆ เดี๋ยวบ่ายๆ ก็กูกลับแล้วแหละ”
“อยู่คนเดียวได้แน่นะ จำได้ไหมว่าต้องขึ้นรถสายไหน”
“ได้... เอาน่า ถ้าหลงยังไงจะโทรไปหาละกัน มือถือก็มี...” หนูว่าพลางหยิบมือถือขึ้นมาโชว์ แล้วนึกขึ้นได้ว่าปิดเครื่องไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“ถ้าไง เปิดเครื่องไว้ก็ดีนะ ป่านนี้ พี่แกคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
“ห่วงหรือโมโหกันแน่...กูว่าน่าจะอย่างหลัง”
“สัญญากันแล้วนะ ว่าแค่มาเจอ ตราบใดที่ยังจำไม่ได้ว่าเลิกกับมันแบบไหน มึงก็อย่าหลวมตัวกลับไปขอคืนดีล่ะ”
“ขอไปมันก็คงไม่กลับมา กูคงไม่หน้าด้านแบบนั้น”
“ใครจะรู้ ก็เรื่องผู้ชาย มึงอ่ะโง่มาทั้งชีวิตแล้ว จะโง่อีกสักครั้งสองครั้งกูก็ไม่แปลกใจหรอก”
“สัญญา ว่าครั้งนี้ไม่โง่.........” หนูชะงักค้างคำว่าโง่ไว้แค่นั้น บางอย่างมันแวบขึ้นมาในอกว่าคุ้นเคยกับประโยคนี้เหลือเกิน
โอ๋กลับไปพักใหญ่แล้ว.... หนูนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะตามลำพัง รู้สึกประหลาดๆ ไม่น้อยที่นักศีกษาของที่นั่นพากันเหลียวมองแล้วซุบซิบ อาจจะเป็นเพราะหนูไม่ได้สวมเครื่องแบบของที่นี่ หรือเพราะเพศครึ่งๆ กลางๆ ก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่ช่างเถอะ หนูเคยชินกับมันจนสามารถมองข้ามทำเป็นไม่ได้รับรู้ ไม่ได้ยินได้อยู่แล้ว
หิว แต่ไม่กล้าขยับตัวไปไหน เกรงว่าถ้าหากคนที่อยากเจอมันเข้ามาก่อนแล้วเราจะคลาดกัน
เที่ยงกว่าแล้ว ไอ้โรจน์ยังไม่โผล่มา... หนูเริ่มกระวนกระวายใจ ถ้าที่จอดรถมีหลายที่แล้วมันไม่ได้ผ่านมาข้างหน้าคณะ หรือแม้แต่ถ้าหากมันเห็นหนูอยู่ตรงนี้แล้วพยายามหลบเลี่ยงไป หรือถ้าหากเราได้เจอกันจริงๆ หนูจะพูดอะไร ถามอะไร
นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 12.30 น. ปลายนิ้วมือเผลอกดมันไว้จนนิ้วเจ็บ
ยิ่งคิดก็เหมือนคนบ้า..... หนูมาทำอะไรตรงนี้กัน คนเรารู้จักคำว่าพอด้วยหรือ
ถ้าเราได้พบกันจริงๆ หนูจะยับยั้งชั่งใจตัวเอง มิให้กลับไปงอนง้อขอให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า? ถ้ามันตกลงล่ะ? หนูจะกล้าทิ้งพี่โต้งได้ลงคอเชียวหรือ.....
ลังเล สับสน ไม่แน่ใจอะไรสักอย่างแต่ก็ยังดั้นด้น ดันทุรังจะมาเพื่ออะไร?
กลับดีกว่า หนูควรละทิ้งอดีตแล้วเชื่อตัวเองในปัจจุบัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หนูตัดสินใจคว้ากระเป๋าข้างตัวแล้วลุกขึ้น
ตุบ! ยังไม่ทันไรเลย ความซุ่มซ่ามทำให้ไปชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี
“ขอโทษค่ะ” หนูรีบขอโทษทันทีอย่างตกใจ เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า หน้าตายังกะโจร คือแบบเรียนอยู่เหรอนึกว่าเรียนจบไปสามชาติแล้วอ่ะ!
“ขอโทษแล้วมันหายไหมเนี่ย” เขาว่าหันมามองแบบไม่พอใจเหมือนอยากเอาเรื่องอ่ะ
หนูยืนเหวอ หน้าซีดเผือด ทำอะไรไม่ถูก
“ใจเย็นก่อนพี่....” ทันใดนั้นเองก็มีใครอีกคนวิ่งเข้ามาไกล่เกลี่ย เสียงมันคุ้นมากจนหนูไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหันหน้าไปมอง
“ทำไม มึงรู้จักเหรอ?” อีพี่หันไปถามผู้มาใหม่
“ครับ เพื่อนผมเอง”
“เออ งั้นแล้วไป” ไอ้หน้าโหดมันว่าแล้วเดินเลี่ยงออกไป ไม่เอาความ
ในขณะที่หนูยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไม่หันไปมองคนที่เดินมาช่วยเลย
“มึงมานี่ทำไม!” ได้ยินคำถามนั่นลอยอยู่บนหัว น้ำเสียงแข็งกร้าวเหมือนกับไม่พอใจแบบนั้นทำให้หนูอดกลั้นน้ำตาไม่อยู่ น่าจะรู้ว่าต้องได้ยินคำถามนี้ น่าจะรู้ดีว่ามันไม่ได้ต้องการอยากพบ แต่ก็ยังดื้อด้านจะมา....
ไม่รู้จักเจียมตัวมันก็เจ็บแบบนี้แหละ.....
หนูค่อยๆ หันหน้ากลับไปมองมัน เป็นโรจน์จริงๆ นั่นแหละ
มันผมยาวขึ้น แต่เค้าหน้าดุๆ กวนๆ ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“กูถามไม่ได้ยินหรือไง มึงมาอยู่นี่ได้ยังไง” เสียงห้วนห้าวที่ตะคอกใส่ทำให้ลำคอตีบตัน จนพูดอะไรแทบไม่ออก
“เรา... เรามาหามิ่ง” รู้ทั้งรู้ว่าโกหกไม่เนียนเลย แต่ก็ไม่อยากพูดความจริง ให้ถูกตอกย้ำไปมากกว่านี้
“เหรอ? มาหามันทำไม?”
“เอ่อ....” หนูพูดอะไรไม่ออก.... เอาแต่อ้ำอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก
“ตามกูมานี่” มันบอกแล้วจับข้อมือหนูลากออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
หนูเดินตาม รู้สึกปวดแปล๊บที่ขาซ้ายเมื่อต้องฝืนกำลังเดินเกือบวิ่งตามแรงดึง
“โรจน์ ช้าๆ หน่อย เราเจ็บ” หนูบอกด้วยเสียงอ้อนวอน แต่มันก็ไม่ยอมเดินช้าลงเลย หนูพยายามเดินตามแล้วแต่ไม่ได้เร็วอย่างที่มันต้องการ ในที่สุดหนูก็ล้มลงเพราะก้าวไม่ทัน มันถึงหยุดแล้วหันมามอง
“มึงเป็นอะไร เดินอืดเป็นเต่าไปได้”
“เรา...เราเพิ่งถูกรถชนขาหัก ขาก็เลยยังเดินเหมือนปกติไม่ได้” หนูรีบแก้ตัว
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอก ปากน่ะมีไหม อมอะไรอยู่” เสียงมันดุกลับมาอีก แต่ก็ยื่นมือส่งให้ช่วยฉุดให้ลุกขึ้น แล้วพาไปนั่งตรงที่ว่างใกล้ๆ
หนูก้มหน้าลงนวดข้อเท้าตัวเองไปพลางๆ ระหว่างซ่อนดวงหน้าที่พยายามกลั้นสะอื้น
จนถึงวินาทีนี้ยังรู้สึกกลัวไปหมด กลัวจะโดนโกรธ โดนด่า กลัวว่ามันจะไม่รัก แล้วทุกอย่างที่กลัวมันก็เกิดขึ้นทั้งหมด
นึกเสียใจเหลือเกินที่กลับมาอยู่ตรงนี้... ภาพฝันที่มีพังทลายหายไปหมด ช่วงระยะเวลาที่ล่วงเลย ขาดหาย ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คิดแค่ว่าอยากเห็น อยากเจอ คิดถึง อยากเหมือนเดิม แต่ทุกอย่าง.... มันงี่เง่า....
โรจน์คนที่อยู่ตรงหน้า เคยใจร้ายยังไงก็ยังใจร้ายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน....
มันแย่ไปหมด ผิดไปหมดทุกอย่าง... ผิดตั้งแต่คิดจะมาแล้ว....
“กูรู้นะว่าที่จริงมึงตั้งใจมาหากู มึงมีธุระอะไรก็รีบๆ พูดมาเลย เดี๋ยวกูต้องไปสอบอีก” มันบอก ด้วยน้ำสัยงที่มึนตึงโฮกฮาก จนหัวใจท้อแท้ไปหมด
“อย่าสนใจเลย เราก็แค่หลงผิดชั่ววูบ โรจน์ไปเถอะ เรากำลังจะกลับแล้วล่ะ”
“มึงมาที่นี่ เพื่อจะพูดแค่นี้งั้นเหรอ” มันตวาดใส่ เสียงดัง
“แล้วจะให้พูดอะไรอีก ในเมื่อโรจน์เองก็ไม่ได้อยากฟังไม่ใช่เหรอ?” หนูเงยหน้าขึ้นมองมัน ด้วยความอัดดั้น
“อยากฟังสิ กูอยากฟังว่าที่มึงมาที่นี่เพราะมึงหายโกรธ มึงยกโทษให้กูแล้ว มึงเข้าใจว่าทุกอย่างที่กูทำลงไป มันมีเหตุผล” มันตอบกลับมาด้วยใบหน้าแสดงความคาดหวัง
“ยกโทษ เรื่องอะไร? ถ้าเรื่องที่โรจน์บอกให้เราเป็นผู้หญิงให้ เราจะโกรธได้ยังไง ในเมื่อเราผิดเอง แต่ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นอย่างที่โรจน์ต้องการไม่ได้ ที่เรามาวันนี้ เราก็แค่อยากเห็นว่าคนที่เราเคยรักเป็นยังไง สบายดีไหม แค่นี้เราก็พอใจแล้ว”
“เคยรัก? แล้วตอนนี้มึงไม่ได้รักกูแล้วใช่ไหม”
“ไม่สำคัญหรอก เพราะเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะรักคนอื่นได้อีก เรามีแฟนใหม่แล้ว”
“กูไม่ได้ถามว่ามึงมีคนใหม่หรือยัง แต่ถามว่ามึงยังรักกูอยู่หรือเปล่า มึงหูหนวกหรือไง!” มันตะคอกซะเสียงดัง โชคดีที่ตรงนี้ ไม่มีคนอยู่แล้ว....
หนูผวาเฮือก ตกใจกับท่าทีของมัน จนป่านนี้แล้ว ทุกอย่างก็สายเกินไป ยังจะคาดตั้นเอาอะไรอีก...
“เฮ้ยโรจน์ ...... ทำอะไรตรงนี้ นี่มันจะสอบแล้วนะมึง เดี๋ยวก็สายหรอก....” เสียงคนตะโกนเรียกจากไกลๆ โรจน์มันหันไปกลับไปมอง
“เออ กำลังจะไป” มันหันไปตอบ แล้วหันมามองหนู “กูมีสอบ.... มึงรอตรงนี้ก่อนได้ไหม ครึ่งชั่วโมง ไม่สิ ยี่สิบนาทีก็พอ กูจะรีบกลับมา....”
หนูนิ่งมองหน้ามัน สลับกับมือที่ยื่นมาบีบมือหนูไว้...
รอเหรอ เพื่ออะไรล่ะ ยังมีอะไรที่หวังได้อีกเหรอ
“เฮ้ย ยืนคุยกะใครวะ” ชายคนเดิมที่ตะโกนถามเมื่อกี้เดินมาหา “อ้าว นี่อย่าบอกว่าหันมาเอากะเทยละ ละมึงเอาแฟนมึงไปไว้ไหน”
“หุบปากไปเลย ก็แค่เพื่อนเก่าเฉยๆ” โรจน์มันหันไปบอกฉุนๆ ปล่อยที่ที่กุมมือหนูไว้ทันทีจนใจแกว่ง
เพื่อนเก่าเหรอ? นั่นสินะ เราเคยเป็นอะไรมากกว่านั้นเหรอ?
หนูไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะผิดหวังด้วยซ้ำ
คิดแล้วก็สมเพชตัวเอง....
“เราว่าโรจน์ไปสอบเถอะ เราคงต้องไปแล้วล่ะ เดี๋ยวแฟนเราจะคอย” หนูลุกขึ้นยืนเอ่ยบอกมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่มันกลับมองตอบมาด้วยแววตาเคียดขึ้ง หนูไม่อยู่ตรงนั้นนานนัก รีบเดินหลบออกมา ไม่อยากให้เห็นรอยยิ้มอันเสแสร้งที่เปลี่ยนเป็นรอยน้ำตาเกือบจะทันที
หนูเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงมาตามฟุตบาท ปาดน้ำตาที่หลั่งรินไม่ขาดสายจนเปียกปอนไปทั้งหน้า
ได้ยินเสียงรถบีบแตรไล่หลัง แต่หนูไม่ได้ใส่ใจหันไปมองจนกระทั่งรถคันดังกล่างจอดลงข้างๆ
“น้องฐา!” หนูหันไปตามเสียงเรียก ทำให้หนูเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของพี่โต้งเดินเข้ามาใกล้
“ขึ้นรถ...” เสียงนั้นเอ่ยบอก ใบหน้าเฉยเสียจนเดาไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่
“ทำไมพี่ถึงได้....” หนูถามเสียงสั่น
“หึ...ทำไมถึงรู้ว่าน้องฐามาที่นี่เหรอ? พี่น่าจะถามมากกว่าว่าน้องฐามาที่นี่ทำไม” เสียงนั้นออกแนวตำหนิอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้วไม่จำเป็นต้องปิดบัง..
“คงไม่จำเป็นหรอกมั้งคะ หนูว่าพี่คงเดาได้...”
หนูแทบหายใจไม่ออกเมื่องเห็นแววตาแบบนั้น มันเหมือนกับว่าหนูกำลังทำเรื่องร้ายแรงใหญ่หลวงลงไปแล้ว
พี่โต้งจับมือหนูดึงไปยืนข้างๆ รถของเขา เปิดประตูออกก่อนจะ “ยัด” ร่างหนูเข้าไปแล้วปิดประตูให้
เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงตามเข้ามานั่งประจำที่นั่งคนขับ ลำคอตั้งตรงไม่ยอมหันมามองทางหนู
“จริงเหรอน้องฐา” หนูกลั้นใจหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงนั้นลอยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับอารมณ์ “ที่น้องฐาตั้งใจมาหาคนที่เคยทิ้งเราไปอย่างไม่ใยดี เรื่องที่อยากจะมาหาหมอ มันเป็นแค่ข้ออ้างทั้งหมดเลยใช่ไหม?”
เห็นแล้วทรมานเหลือเกิน แววตาเจ็บช้ำแบบนี้ โกรธเคืองระคนเจ็บปวดของคนตรงหน้า รู้ทั้งรู้ว่าผิด แต่ในเมื่อทำลงไปแล้ว จะให้แก้ตัวยังไงก็คงไม่มีประโยชน์ จะให้พูดยังไง ตอบยังไง ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง.... จึงได้แต่เงียบ...
“รู้หรือเปล่า ว่าทำอะไรลงไป” พี่เค้าถามเสียงเย็นก่อนจะหันมาหา “ทำไมล่ะน้องฐา พี่มีเงิน มีรถขับ มีคอนโดอยู่ มีทุกอย่างที่น้องฐาต้องการ แค่พูดมาคำเดียวพี่จะหาให้ทุกอย่าง ทำไมยังต้องมองหาคนอื่น ยังคิดถึงมัน อยากจะกลับไปหามันอีกทำไม!” พี่โต้งตะคอกถาม มือของเขาจับแขนหนูเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน
“ทุกอย่าง? ใช่ พี่มีทุกอย่างให้นอกจากความจริง! พี่ไม่เคยเล่าความจริงให้ฟังเลยนอกจากเรื่องราวแสนสวย ในตอนนี้สิ่งที่หนูต้องการมากที่สุดคือความทรงจำ ต่อให้พี่มีเงินมากมายมากองตรงหน้าพี่ก็หาให้หนูไม่ได้ รู้เอาไว้ว่าหนูไม่ได้คบกับใครเพราะเงินของเค้า ถ้าหากว่าพี่มีหนูอยู่ข้างๆ เพราะพี่รวยแค่อย่างเดียว บางทีตลอดเวลาที่ผ่านมา หนูอาจจะไม่ได้รักพี่จริงๆ ก็ได้” หนูตอบทั้งๆ น้ำตาที่ร่วงพรู
เราจ้องหน้ากัน ท่ามกลางความกดดัน หนูขืนตัวออกจากมือพี่โต้งที่จับอยู่ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้ววิ่งออกไป
“น้องฐา.... น้องฐา.....” พี่โต้งเรียก ก่อนจะย้อนกลับไปขึ้นรถแล้วขับตาม
ถึงจะเจ็บขา แต่หนูก็ยังผืน วิ่งไม่หยุดจนถึงป้ายรถเมล์ หวังแค่อยากหนี ไม่อยากพบหน้าพี่โต้งอีกแล้ว จึงรีบวิ่งขึ้นไปบนรถเมล์คันที่จอดอยู่ทันที พอขึ้นรถมาได้ หนูก็เอาแต่นั่งร้องไห้เป็นนางเอกมิวสิคไม่สนใจอย่างอื่นอีกเลย
นานเท่าไรไม่รู้....ที่เสียงคนลุกกันพรึ่บพรั่บ ปลุกหนูให้ตื่น หลังจากร้องให้จนเผลอหลับไป หนูสะดุ้งมองซ้ายมองขวาเลิกลั่ก
ตอนขึ้นรถมา คิดแต่ว่าอยากหนีอย่างเดียวเลยไม่ทันดูสาย แล้วไอ้รถคันนี้มันจะพาหนูไปกันล่ะ
หนูรีบเงยหน้าแล้วลุกขึ้นกดออด ลงจากรถด้วยอาการเหวอจัด..
พยายามมองไปรอบๆ ว่าที่มันที่ไหน....
สุขุมวิท...... บ้าละ ชื่อถนนแบบนี้มันโคตรโหลเลยอ่ะ...แถวบ้านหนูยังมีเลย.....
แล้วไงต่อ จากตรงนี้ มันกลับบ้านได้ยังไง ใครก็ได้ช่วยบอกที!
.........................................
ในที่สุด พระเอกตัวจริง
เอ๊ยไม่ใช่สิ ตัวประกอบตัวสำคัญก็โผล่มาซะที
บอกตามตรงว่า คิดนานเลย แบบไม่อยากให้ได้เจอกัน
แต่เพราะมีคนบ่นว่าอยากเจอ เลย เอาวะ เจอก็เจอ จากตอนนี้ก็ คงไม่เจอไปอีกพักนึง แต่ มันต้องมาอีกแน่ๆ
ส่วนจะมีเซอไพรส์ พลิกล็อกอะไรหรือเปล่า ไว้รอลุ้นแล้วกันนะจ๊ะ
ตอนนี้ ช่วย ลุ้นให้น้องฐา หาทางกลับบ้านให้ได้ก่อนละกัน
**ไม่ว่าปกติ หรือความจำเสื่อม ชีก็ยังคงความเปิ่น โก๊ะไว้ไม่หายเลยจริงๆ!!**