Lv.พิเศษ ความรักของอินทรี ชายหนุ่มนักเรียนเตรียมทหารจบใหม่ เพิ่งบรรจุเข้ากองทัพเรือได้ไม่นาน จู่ๆ วันหนึ่งถูกนาวาเอกหรือลุงที่เขาเคารพรักเรียกตัวไปคุยเป็นการส่วนตัว สร้างความแปลกใจให้เจ้าตัวพอสมควร
ผมมีชื่อว่าอินทรี บ้านผมรับราชการทุกคน พ่อผมเป็นทหารบก แม่ผมเป็นนางพยาบาล ลุงผมเป็นทหารเรือ น้องสาวกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เจ้าตัวอยากเป็นอัยการ และผม เลือกเดินตามรอยเท้าลุง เป็นทหารเรือแบบที่ใฝ่ฝัน
ผมเคาะประตูและขออนุญาตเข้าไปในห้อง พอได้ยินเสียงตอบรับ จึงเปิดประตูเข้าไปทำความเคารพปกติ แม้เป็นญาติกัน แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ตำแหน่งสูงใหญ่ว่าตามนั้น ไม่มีการให้โอกาส หรือสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ผมทำทุกอย่างด้วยความสามารถของผมเอง และผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้
“ไม่ต้องทางการนักหรอก ลุงเรียกหลานมาเพราะเรื่องส่วนตัว ไม่สิ จะว่าส่วนตัวเลยคงไม่ใช่” ผมขมวดคิ้วสงสัย
“เฮ้อ คืองี้นะ เรือเราถึงกำหนดต้องตรวจสอบสภาพเรือใช่มั้ย” ผมพยักหน้ารับ รอให้ลุงพูดต่อ เพราะตอนนี้ เรือลำนี้จอดเทียบท่าเพื่อเช็คสภาพอยู่จริงๆ แต่กำหนดการเริ่มพรุ่งนี้นี่หว่า
“นอกจากตรวจเรื่องเครื่องยนต์ ส่วนต่างๆ ของเรือแล้ว ยังมีอีกส่วนที่ต้องตรวจเช็คคือ การทำงานบางส่วนที่ถูกควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ ต้องให้นักโปรแกรมเมอร์มาตรวจสอบ ซึ่งทางเราได้ติดต่อไปเรียบร้อยแล้ว และหน้าที่ของหลานก็คือ ไปพาเขามา”
“ห๊ะ! ปกติทางนั้นเขาต้องมาเองไม่ใช่เหรอลุง อย่าบอกนะว่าคนที่มาไม่ใช่คนของรัฐ จะว่าไป เรื่องดูพวกนี้ คนของรัฐก็มาดูไปแล้วเมื่อวานไม่ใช่เหรอครับ” ในเมื่อลุงคุยแบบเป็นกันเอง ผมก็ตามนั้น เนื้อแท้ดั่งเดิมผมไม่ใช่คนเรียบร้อยอะไร ออกไปทางห่ามๆ ด้วยซ้ำ น้องสาวผมยังห้าวเป้งเลย
“เออ แต่เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างระบบนี้ขึ้นมา รายละเอียดอยู่ในแฟ้มนี้ นี่เป็นคำสั่ง ไปพาตัวเขามาซะ!!”
“ครับผม!”
ผมตะเบะรับคำเสียงหนักแน่น ก้มหัวหยิบแฟ้มวิ่งออกไปจากห้องสั่งการอย่างรู้หน้าที่ จนลงจากเรือมายืนบนพื้นดินแล้วนั่นแหละ ถึงเพิ่งจะรู้ตัว บ้าเอ๊ย โดนลุงเล่นซะได้ ใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง ผมเผลอทำตามโดยอัตโนมัติ ป่านนี้คงหัวเราะท้องแข็งมาดไม่เก็บอยู่ในห้องแล้วมั้ง ฝากไว้ก่อนเถอะลุง เรื่องนี้ถึงป้าแน่
ร่างสูงใหญ่อกผายไหล่ผึ่งมาดทหาร ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เปิดอ่านข้อมูล น่าแปลก กลับไม่มีภาพอีกฝ่าย มีแค่แผนที่ กับสถานที่นัดหมาย วันเวลา รายละเอียดที่จะตรวจเช็คระบบว่ามีอะไรบ้างเท่านั้น
ในเมื่อผมรับคำมาแล้วก็ต้องทำตามหน้าที่ งานนี้ไปแบบส่วนตัวใช่มั้ย ได้ ขึ้นรถเมล์ไปรับนี้ล่ะวะ! แล้วค่อยต่อรถเข้าไปรับที่สนามบิน หึหึ งานนี้ไอนักโปรแกรมเมอร์จอมขี้เกียจไม่ยอมมาเอง ได้เดินทางหลายต่อจนแห้งตายคาที่แน่
ระยะทางระหว่างท่าเรือหลวงกับสนามบินไกลพอควร แต่เพราะอยู่ต่างจังหวัด รถไม่ติด ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงที่หมาย ผมลงจากรถเข้าไปยืนรอ ทางที่อีกฝ่ายจะออกมา ระหว่างทางเดินไป มีคนมองหลายเหมือนกัน คงเป็นเพราะเครื่องแบบบนตัว แม้เป็นยศเล็กๆ แต่สำหรับสาวๆ แล้ว แค่นักเรียนทหารยังมองกันเหลียวหลังเลย ขอพูดแบบไม่หลงตัวเอง ผมหน้าตาดีไม่หยอกเหมือนกันนะ น่าเสียดาย เป็นทหารต้องจัดการตัดผมตัวเองทิ้ง ไม่งั้นคงได้ไว้ทรงเท่ๆ เหมือนคนอื่นเขามั่ง
แอร์เย็นฉ่ำ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นหลายระดับ เอาวะ เดี๋ยวเมตตาโบกรถแท็กซี่ให้เขาหน่อยแล้วกัน เกิดล้มหายตายกลางทางจริง มีหวังถูกลุงแหกอกแหง
“ดี คุณทหาร มารอรับคนเหรอ”
ชายร่างสูงโปร่ง ผมสีทองอ่อนสวมแว่นตากันแดด สะพายกระเป๋า ใส่เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงยีน ราวกับนายแบบหลุดมาจากหน้านิตยสาร ผมอึ้งนิดๆ กับความดูดีของคนตรงหน้า ดูดีมากขนาดนี้ผู้ชายด้วยกันยังชื่นชม แต่ผมกำลังอารมณ์ไม่ดี หล่อสวยแค่ไหนเข้ามาตอนนี้ผมไม่โอหมด
“ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ผมต้องมารับ ช่วยอย่ามารบกวนผมด้วยครับ”
“ฉันคิดว่าใช่นะ นายมารับนักโปรแกรมเมอร์ใช่มั้ยล่ะ”
ผมเลิกคิ้วมอง ออกจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่ผมลอบมองเขาแบบละเอียดอีกรอบ ท่าทางคุณชายแบบนี้เป็นนักโปรแกรมเมอร์? จะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้ ผมเลยขอตรวจสอบชื่อบัตรประชาชนว่าตรงกับชื่อที่เขียนรึเปล่า
ทุกอย่างตรงหมด ผมพยักหน้ารับเดินนำไม่คิดเรียกให้อีกฝ่ายตามมา สิ่งที่ผมเกลียดรองลงมาจากพวกนิสัยแค่ คือพวกคุณชายที่ไม่รู้จักความลำบากนี้แหละ ผมจะคอยดู จะรอดสักกี่น้ำ ไอความคิดจะเรียกรถแท็กซี่ ปัดทิ้งไปหมดแล้ว เหอะ!
น่าแปลก ทางนั้นเดิมตามทันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ผมเป็นทหารที่ถูกฝึก การก้าวเท้าไวกว่าคนทั่วไปที่ไม่เคยได้รับการฝึกอะไร หรือเป็นนักกีฬา ผมยกยิ้มมุมปาก น่าสนุกดีนี่
ด้วยนิสัยเสียส่วนตัว การเดินทางจากตอนแรกที่ออกจะธรรมดาเหมือนคนปกติทั่วไป เลยเปลี่ยนเป็นพวกลำบากต้องตากแดดตากลมแทนซะส่วนใหญ่ เขาไม่บ่นอะไรเลยสักคำ แล้วยังชวนเพื่อนร่วมทางคนอื่นคุยสนุกสนาน แต่ผมรู้ว่าเขาร้อน เสื้อเชิ้ตตัวนั้นแทบชุ่มไปด้วยเหงื่อ แว่นตากันแดดถูกถอดออกมาเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อย
ดวงตาสีเทา สวย สวยมาก เข้ากับรูปหน้าทำให้เขาดูเหมือนบุคคลที่ไกลเกินเอื้อม ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆของตัวเองทิ้งไป ภายในใจอ่อนลงมากกว่าครึ่ง ถ้าเขายอมแสดงอาการ บอกว่าเหนื่อยไม่ไหว หรือทำท่าทางเอาแต่ใจเหมือนพวกคุณหนูคุณชายทั้งหลาย ผมจะพาเขานั่งรถแอร์ดีๆ ส่งจนถึงที่หมาย
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ปริปากพูดอะไร นอกจากชวนผมคุยเรื่องสัพเพเหระ มือประสานท้ายทอย ชมธรรมชาติสบายอารมณ์ซะจนน่าหมั่นไส้นิดๆ
พอถึงที่หมาย เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมแปลกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน ลุงผมที่เป็นถึงนาวาเอก ยอมลงจากเรือมารับด้วยตัวหลัง หลังจากมีคนไปแจ้งว่า ผมพาคนมาถึงที่แล้ว
“สวัสดีครับลุงนก” ชายหนุ่มยกมือไหว้ ให้คนมากวัยยกมือรับแทบไม่ทัน
“เหนื่อยหน่อยนะอาชวิน อุตส่าห์ลางานมาช่วยลุง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่เลยแท้ๆ แล้วทำไมถึงตัวเปียกโชกขนาดนี้ล่ะ! ไปตกน้ำที่ไหนมา”
“ฮ่าๆ ผมไม่ได้ตกน้ำที่ไหน เหงื่อล้วนๆ ครับ มันคงเป็นสัญญาณบอกว่าผมควรจะออกกำลังกายสักที อยู่ห้องแอร์จนเคยตัวแล้ว” เจ้าตัวหัวเราะขำ ปากบอกว่าตัวเองไม่ไม่ค่อยออกกำลังกาย แต่เจอแดดร้อนเข้าไปขนาดนี้ ไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลยสักนิด แถมยังดูกระฉับกระเฉง และดูไม่เหมือนคนแสร้งทำด้วย แสดงว่า สภาพร่างกายเดิมทีต้องแข็งแรงอยู่แล้ว
“ยังหนุ่มยังแน่น อย่าริทำตัวเป็นคนแก่ ไปๆ ขึ้นไปกินน้ำกินท่า อินทรี จบนี้เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ดวงตาผมเหมือนมีดหันมาจ้องผม ส่วนผมก้มหน้าเตรียมรับชะตากรรมแล้วครับ ชัดเจนขนาดนี้ ว่าลุงผมให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้ไม่ต่างจากลูกหลานตัวเอง
ชายคนนั้นพอดื่มน้ำเสร็จ เจ้าตัวก็เริ่มทำงานเลย รื้อของออกจากกระเป๋าสะพาย ขยับตัวคล่องแคล่วจัดการตรวจเช็ค โดยมีผมยืนเฝ้าอยู่
“ทั้งที่รู้ว่าถูกแกล้ง ทำไมถึงยังยอม” ผมถามขึ้นลอยๆ แบบไม่เจาะจงคน แต่ที่นี้มีแค่เราสองคน จะเป็นใครอื่นได้นอกจากเขา
“ฉันชื่ออาชวิน เรียกวินก็ได้ นายชื่ออะไร”
“อินทรี นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ” เจ้าตัวทำหน้าครุ่นคิด ส่วนมือยังคงคีย์แป้นพิมพ์ ไม่ละสายตาออกจากจอที่มีตัวหนังสือ ตัวเลขอะไรไม่รู้วิ่งวุ่นวาย
“ฉันชอบนาย”
“ห๊า!” รู้สึกความร้อนพุ่งขึ้นหน้า ใช่ มันต้องเป็นความโกรธแน่ๆ จู่ๆ มาบอกชอบกันได้ยังไง ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่
“อย่าเพิ่งพองขนชูคอขู่สิอิน ฮ่าๆ ฉันหมายถึง ฉันชอบนิสัยนายต่างหาก คนตรงดี ฉันชอบ” พูดจบเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ นี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกไปไม่เป็น หัวใจมันเต้นเร็วกว่าปกติ บ้าน่า อาการแบบนี้มัน โธ่เว้ย!!
“ในฐานะเพื่อน ฉันขอเตือนอะไรไว้อย่าง อย่าตัดสินคนแต่ภายนอก และ อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับหน้าที่ ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะสำคัญหรือไม่ก็ตาม เพราะบางทีอาจจะทำให้นายพลาดครั้งใหญ่ อ่อ แต่ถ้าหน้าที่ขัดห้องน้ำอะไรแบบนั้น นายจะบ่นหน่อยก็ไม่ผิดนะ หึหึ”
ผมลูบหน้าพรืด หันหน้าร้อนๆ ของตัวเองไปทางอื่น เหล่มองคนหัวเราะอารมณ์ดีหันไปจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้าต่อ
“ไม่ต้องให้นายมาสอนหรอกน่า... ขอบใจ”
“ไม่เป็นไรๆ เพื่อนกันๆ เพียงแค่ หลังจากนี้ถ้าฉันมีอะไรให้ช่วย นายต้องช่วยฉันเท่านั้นเอง แลกกับเป็นที่ปรึกษาเรื่องนิสัยอะนะ”
“นายนี้มัน! ชั่วร้ายจริงๆ ให้ตายสิวะ นายใช้หน้าตาแบบนี้หลอกคนมากี่คนแล้ว” ผมสถบหัวเสีย
“ไม่รู้ ไม่เคยนับ อืมๆ มีคนเล่นตุกติกจริงๆ ด้วย แต่ไม่มากแก้ได้สบาย เอาล่ะเรียบร้อย ไปรายงานให้ลุงนายฟังกันดีกว่าเพื่อน หึหึ” แค่ไม่กี่นาที เจ้าตัวเก็บอุปกรณ์ที่รื้อออกมามากมายเก็บเข้ากระเป๋าเป้จนหมด
ผมกรอกตาขึ้นฟ้า ปล่อยอีกฝ่ายที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยกอดคอเดิน ไปรายงานลุงที่รออยู่ด้านล่าง ไม่ได้กลับเข้าห้อง เพราะเขตส่วนใน คนข้างตัวผมเข้าไปไม่ได้ ขนาดมาทำงานยังต้องมีผมเฝ้าเลย จะไว้ใจกันแค่ไหน กฎก็คือกฎ
พอคุยเรื่องงาน วินมีสีหน้าจริงจังมากยามคุยกับลุง รอบตัวเขามีเสน่ห์มากมาย ที่ทำให้ผมหลงใหลโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ ก็สายเกินกว่าจะถอย...
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปหลายเดือน ผมมีได้เวลาหยุดพักกลับบ้าน เลยนัดเพื่อนมาสังสรรค์ตามปกติ
“อิน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำตัวเหมือนสาวน้อยตกอยู่ในห้วงรักไปได้” ไอเจตน์เพื่อนผม มาขยับเข้ามากวนประสาท ผมยกเท้ายันมันออกไป
“นิดหน่อยวะ ว่าแต่มึงเถอะ หนีผัวมาแบบนี้ บริษัทไม่แตกไปแล้วเรอะ” เจตน์มันมีแฟนเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ท่าทางจริงจัง เคร่งขรึมครับ ทั้งที่อายุน้อยกว่าพวกเราปี หรือสองปีนี้แหละ จัดการพ่อพวงมาลัยอย่างไอเจตน์ซะอยู่หมัด
“เชี่ย อย่าเล่นของสูง เดี๋ยวมันเกิดเหี้ยนโผล่มาถึงที่กูก็ตายสิวะ”
ผมส่งเสียงเหอะในคอเยาะเย้ยมัน แล้วรีบปลีกตัวกลับ เพราะพรุ่งนี้มีนัดสำคัญรออยู่ จะได้เจอกันอีกครั้ง หลังจากไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือน ตั้งแต่ครั้งนั้น
ถึงเวลานัดวันรุ่งขึ้น ผมเลือกแต่งตัวที่โอเคที่สุด ไม่เว่อและไม่เห่ย ไปรอที่จุดนัดพบก่อนเวลาเกือบชั่วโมงด้วยความตื่นเต้น จนเห็นร่างที่ผมจำไม่เคยลืมเดินโบกไม้โบกมือมาพร้อมกับ ใครอีกคน...
“ไงรอนานมั้ยอิน นี้ชิน เพื่อนสมัยเด็กฉันเอง ส่วนนี้อิน เจอกันตอนไปทำงานให้ลุงนก” ตัวต้นเหตุดูจะไม่เข้าถึงบรรยากาศที่เกิดขึ้น
พวกเราทักทายกันดูธรรมชาติ แต่ดวงตาผมจ้องเขม็งไปยังดวงตาสีดำของคนๆ นั้น เขามองผมด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ต้องใช้คำพูดอะไร พวกเราสองคนย่อมรู้ความหมายดี ท่าทางของวินกับชายที่ชื่อชิน มันชัดเจนมากจนผมเจ็บปวดไปทั้งใจ นึกสมเพชตัวเอง
ก่อนกลับ วินบอกให้เพื่อนเขาไปซื้อของบางอย่าง เจ้าตัวมอง แต่ก็ยอมทำตาม เปิดโอกาสให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันสองคน แน่นอน ผมไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งนั้น คนที่สอนให้ผมเก็บอารมณ์ก็คือเขา และผมสามารถทำมันได้ดีจนน่าขำเชียวล่ะ
“ฉันเข้าใจนายอิน จะไม่ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อยากให้นายรู้ไว้ ไม่ว่ายังไง นายยังคงเป็นเพื่อนฉันเสมอ”
อ่า... ฉลาดสมเป็นวิน คงจะสังเกตจนเห็นอะไรๆ ตั้งแต่แรกแล้ว เอาเถอะ แม้จะแพ้ในศึกรัก แต่ในสนามของคำว่าเพื่อน ผมจะไม่ยอมแพ้ให้เด็ดขาด ผมยิ้มให้กับวิน แล้วจะได้เห็นดีกัน ไอจิ้งจอกดำ ระหว่างอินทรีอย่างฉัน กับจิ้งจอกอย่างแก
ต่อให้ไม่สมหวัง อย่างน้อยๆ ก็ขอกวนประสาทผู้ชนะหน่อยแล้วกัน แพ้แล้วพาลรู้จักมั้ยครับ
“ไว้เจอกันใหม่ ฉันจะคิดถึงนายเสมอ คราวหน้าฉันจะพาไปกินอาหารอร่อยๆ เอง”
“แบบตากแดดเหมือนคราวก่อนไม่ไหวนะ เดี๋ยวเขาไม่ให้เข้าร้าน”
พวกเราหัวเราะกันอยู่สองคน ผมยักคิ้วใส่ ไอจิ้งจอกที่มันยืนมองจากที่ไกลๆ เห็นมันคิ้วกระตุก คงจะรู้ว่าผมจะทำอะไร
“เก็บเรื่องนี้เป็นความลับแค่เราสองคนนะ แล้วฉันจะเลี้ยงอาหารทุกอย่างเท่าที่นายต้องการเลย” ผมก้มลงไปกระซิบใกล้ๆ แบบจงใจ วินใช้หางตามองเห็นคนด้านหลัง เจ้าตัวถอนหายใจส่ายหัวระอา แต่แววตากลับฉายความสนุก เล่นไปกับผมด้วย
เดาได้เลยว่า วินกลับไปถูกเจ้าจิ้งจอกมันซักจนรำคาญแน่ ขอเอาคืนจนกว่าหัวใจฉันจะหายดีแล้วกันนะ ไอจิ้งจอก
และนี้คือเหตุการณ์ การพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับวินเมื่อห้าปีก่อน จนถึงตอนนี้ ผมยอมรับว่ายังชอบวินอยู่ ขนาดที่ลงทุนเข้าไปเล่นในเกมที่เขาสร้าง อยากรู้ว่าสิ่งที่คนๆ นั้นทุ่มเททั้งกายและใจ จะสุดยอดขนาดไหน แล้วผมก็ไม่ผิดหวัง เกมมันสุดยอดจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่ผมได้เล่นเกมกับวิน โดยที่จิ้งจอกทำได้แค่ปั่นงานอยู่ด้านนอก อย่าลืมมาเล่นเกมไปกับพวกผมนะครับ ไม่แน่บางที อาจจะเจอพวกเราในเกมก็ได้ ใครจะรู้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จัดไปยาวๆ อ่านกันให้จุใจเลยครับ ตอนพิเศษนี้มาจากรีเควสจากนักอ่าน ที่มาเล่นกับผมในเพจ ขำ