เพราะรัก....จึงเปลี่ยนได้
Part 41
แม่พระของผม...
.
.
.
.
ขณะนี้ผมกับกลนั่งรถทัวร์ขึ้นเหนือ เพื่อมาบ้านผมตามโปรแกรมเดิมที่ตั้งใจไว้
เพียงแต่ผิดคิวมากมาย..แทนที่จะกลับมาเจอหน้าแม่ อย่างอบอุ่นสบายใจ..ที่ไม่ได้เจอเกือบสามปี
ไม่อยากใช้คำว่าไม่มีเวลา ขอบอกว่าไม่สะดวกแทนดีกว่า เพราะบ้านผมไม่ใช่ใกล้ๆ
เดินทางกว่า 10 ชั่วโมง..ค่ารถก็แพง ฉะนั้นถ้ามาอยู่แค่วันสองวันสู้เขียนจดหมายคุยกันดีกว่า
อีกอย่างกว่าผมจะลงตัว..หาวันหยุดยาวไม่ได้เลย ครั้งนี้เพราะตั้งใจมาอยู่เป็นเดือนถึงได้กลับมา
ผมกลับพกเอาหน้าตาบวมช้ำ ขาพันแผลเดินเขย่งเท้าข้างหนึ่ง แถมพ่วงหนุ่มกรุงหน้าบวมช้ำ..
แย่กว่าผมหลายเท่า มือพันผ้าก๊อตปิดแผลอีกตะหาก มาด้วยกันสองคน...
เฮ้อ!...ไม่รู้ว่าแม่เห็นแล้วจะจิตตกแค่ไหน แต่จะให้ทนอดอู้อยู่แต่ในห้อง
รอรักษาตัวหายก่อนแล้วค่อยมา...สู้มาเลยดีกว่า..สภาพจิตใจกลสิทธิ์ตอนนี้
ผมไม่อยากให้อยู่กรุงเทพฯอีก พอมันรู้..ผมไม่เลื่อนการเดินทาง ท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เอาเป็นว่าอยากพามันมารู้จักครอบครัว..อย่างเป็นทางการสักที
ถือโอกาสพักผ่อนบรรยากาศทางเหนือไปด้วย รักษาบาดแผลกายใจสักระยะหนึ่ง
เวลาหนึ่งเดือนที่กลับมาอยู่บ้าน อาจช่วยเยี่ยวยาความบอบช้ำให้กลและผม..มีพลังสักที
แม้ลึกๆ จะหวั่นอยู่เหมือนกัน แม่จะว่าหรือเปล่า ถึงเวลาหรือยัง...ที่ผมควรเปิดเผยความจริง
แนะนำกลให้แม่และพี่ๆรู้กันเสียที ว่ามันคือคนรักของผม..เราอยู่ด้วยกันมาสองปีแล้ว
ผมเชื่อว่าความลับไม่มีในโลก เหตุการณ์เมื่อวานยืดยันเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว
ต่อให้สามารถเก็บความลับได้นานแค่ไหน วันหนึ่งย่อมมีเหตุให้เปิดเผยออกมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังโบราณว่าไว้
‘ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด’ หางมันต้องโผล่ออกมาให้ใครต่อใครรู้เข้าสักวัน
บางทีผมต้องหันหน้าเผชิญความจริงเสียที ทิ้งให้คาราคาซังต่อไปใช่จะเกิดผลดีแก่ทุกฝ่าย
ผมตั้งใจว่า..จะหาโอกาสพากลเข้าไปคุยกับแม่เรื่องของเรา..ให้แม่รับรู้ความจริง
อาศัยช่วงที่อยู่ที่นั่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..คงต้องดูจังหวะดีดีด้วย ผมจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก
รับไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ถ้าหากความรักของผมกับกล ต้องแลกด้วยหยาดน้ำตา หยดเลือด
และความเจ็บปวดของใครต่อใครมากมายหลายคน..
โดยเฉพาะคนเหล่านั้น...เป็นคนที่พวกเรารักและเคารพ....ยิ่งไม่อยากให้เกิด
ขึ้นเลยสักนิดเดียว...
เชื่อไหม?...อย่างน้อยผมมั่นใจลึกๆว่า..หญิงม่ายหัวใจแกร่งอย่างแม่ผม
มีเหตุผลที่จะยอมรับฟังพวกผม..และยอมรับความจริงเรื่องของเราสองคนได้
หากจะหวังมากไปกว่านั้น ผมอยากให้แม่...เป็นคนแรกที่อวยพรให้ชีวิตรักของเรา.........
เหลียวมองคนนั่งข้างๆ เห็นแล้วอดน้ำตารื้นไม่ได้ มันกำลังหลับสนิท
ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ หลายสิ่งหลายอย่างที่ได้รับรู้เรื่องราวของมันมา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ทั้งเรื่องที่เคยรู้มาก่อนหรือที่เพิ่งได้รู้ ทำให้ผมสงสารมันจับใจ ยิ่งมาถูกพ่อตัดหางปล่อยวัดด้วยแล้ว
เหมือนมันถูกลอยแพจริงๆ เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมาวางแผนกันอีก...สำหรับหนทางข้างหน้า..
ทำอย่างไรให้กลมันอยู่รอดเรียนจนจบได้ สำหรับแม่ของกลนั้น ตั้งแต่เมื่อวาน
ไม่ได้รับการติดต่อจากท่านเลย คิดว่าท่านคงยังไม่พร้อมกับสิ่งที่รับรู้มา กลเป็นลูกชายคนเดียว
ท่านคาดหวังไว้เยอะในฐานะลูกชายคนโต เป็นหลายชายที่ตากับยายรักมากที่สุด
ญาติทางแม่หวังจะเห็นมัน..เป็นเสาหลักให้พึ่งพาในอนาคต คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อน...
ว่าลูกชายคนเดียวจะเอาเมียผู้ชายเข้าบ้าน...
แต่ไหนแต่ไรมา...มันออกจะเสือผู้หญิงด้วยซ้ำ ก็จริงหละนะ..ถึงวันนี้หากผมเป็นแม่ของกล
ก็คงช๊อคไม่น้อยเหมือนกัน ท่านไม่ได้เตรียมใจรับเรื่องแบบนี้มาก่อน พอเจอเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว
สภาพจิตใจคงหนักหนาสาหัสเอาการเหมือนกัน เอาเป็นว่าผมเข้าใจทั้งพ่อและแม่กลก็แล้วกัน
เหตุการณ์นี้คอยเตือนสติให้ผมยั้งคิด ว่าควรเตรียมพร้อมเช่นไร สำหรับให้แม่และพี่ๆ
ได้รับรู้เรื่องของเรา ผมจะไม่ให้เกิดอาฟเตอร์ช๊อคแบบเดิมเป็นอันขาด
ยื่นไปปัดผมที่ปรกหน้าให้ยอดชายเค้าหน่อย ตอนหลับหน้ามันเหมือนเด็กมาก
อดยิ้มกับความน่าเอ็นดูนี่ไม่ได้ ไม่อยากเชื่อผู้ชายคนนี้ เคยทำเอาผมเกือบตาย...
ปล้นเอาศักดิ์ศรีผมไป..แบบไม่คิดจะเจอกับตัวเองมาก่อน คนที่เกลียดจนอยากให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
ถึงขนาดไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันถวายสังฆทานให้ด้วยซ้ำ เพื่อไม่ต้องเจอกันอีก
สุดท้ายกลายมาเป็นคนรักได้ นึกถึงคำพูดของไอ้เฟือง สตรีเหล็กประจำกลุ่มผม...
มันเคยพูดไว้ว่า
‘ริอาจเป็นพ่อสื่อแม่ชัก มักเข้าตัวนะวี’ มันพูดแบบนี้จริงๆ
ตอนผมติดต่อน้องเกศให้กลสิทธิ์ สุดท้ายเป็นจริงเสียด้วย...เพราะผมกลายเป็นแฟนกับกลมัน
จนถึงทุกวันนี้.....
นึกย้อนไปถึงวันที่เจอมันครั้งแรก ที่มันเดินเข้ามาหาเรื่องผมกับไอ้โรจน์
ในห้างเซ็นทรัลลาดหญ้าวันนั้น คิดไปเรื่อยเปื่อยย้อนอดีตเป็นฉากๆ
ก่อนจะพล่อยหลับไปข้างๆ กลสิทธิ์ในที่สุด............
เราเดินทางมาถึงท่าบขส. ลงรถเสร็จเรียกสามล้อปั่นนั่งเข้าบ้านผมทันที
มาถึงเกือบแปดโมงเช้า..ออกจากกรุงเทพฯตอนสองทุ่ม พอถึงหน้าบ้านกลสิทธิ์ชิงจ่ายค่าสามล้อสองคัน
10 บาท คนละ 5 บาท เราหิ้วกระเป๋าคนละใบเดินเข้าบ้านผมกัน....
บ้านผมเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังใหญ่....มีสามห้องนอน เพราะลูกเยอะ
ห้องน้ำแยกจากตัวบ้านออกไปประมาณ 5 เมตร ตามแบบบ้านต่างจังหวัดทั่วไป
รั้วปลูกเฟื้องฟ้าไว้เป็นแนวรั้วด้วย..ทำให้ดูร่มรื่น พื้นที่ในบ้านปลูกไม้ผลยืนต้น เช่นขนุน มะม่วง
ต้นยอฯลฯ กับผักสวนครัวไว้ด้านหลังครบ แทบไม่ต้องหาซื้อ พี่ชายผมขยันขึ้นแปลงคะน้า
กับผักกาดขาวไว้หลายแปลง บนเนื้อที่สามไร่ มุมหลังบ้านริมรั้วเลี้ยงหมูแม่ลูกอ่อนไว้อีกครอก
ตอนนี้ตกลูกเกือบสิบตัว พ่อพันพันธุ์แยกขังเดี่ยว ส่วนแม่พันธุ์ขังรวมลูกๆ มันด้วยเพราะลูกมันกินนมอยู่
อาหารที่ใช้เลี้ยงก็พวกรำข้าว ต้นบอนสับ หยวกกล้วยเป็นต้น
นอกจากหมูมีเลี้ยงไก่บ้านไว้อีกยี่สิบกว่าตัว ปล่อยมันเดินในบ้านนั่นแหละ
พี่ผมอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไป ช่วยกันสามคน...คนงานก็พวกบ้านใกล้เรือนเคียงกัน
พี่สาวคนโตทำงานร้านถ่ายรูป น้องชายอีกสองคนเรียนอยู่ ปานนี้คงไปเรียนแล้ว
โรงเรียนยังไม่ปิดเทอม....
พอเข้าบ้าน....พี่ๆ ออกไปทำงานกันหมดแล้ว เหลือแต่แม่....ผมพยายามมองหาว่าแม่อยู่ไหน
ปากร้องเรียกไปด้วย....
“แม่คับ!..แม่..แม่อยู่ตี๋ไหนครับ!” (แม่ครับ!....แม่...แม่อยู่ไหนครับ!...) พยักหน้าให้กลสิทธิ์
วางกระเป๋าไว้บนตั่งใต้ถุนบ้าน ให้มันนั่งห้อยขารอไปก่อน ส่วนผมก็เดินสอดส่องมองหาแม่ไปทั่ว
ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนตอบรับอยู่แถวคอกหมู
“แม่อยู่นี่..วี..วีไจ่ก่อลูก?” (แม่อยู่นี้....วี...วีใช่ไหมลูก?)
“คับ..ผมกลับมาแล้วแม่..แม่ยะอะหยั่งอยู่?” (ครับ...ผมกลับมาแล้วแม่....แม่ทำไรอยู่?)
เดินเข้าไปบริเวณหลังบ้าน ผ่านแปลงผักเห็นแม่สวมเสื้อม่อฮ่อมนุ่งผ้าถุง ยืนโบกมือเหย่งๆ
ยิ้มฟันขาวมาให้ ภาพที่เห็นเล่นเอาน้ำตาปริ่มเลยผม เขย่งขาเดินเข้าไปหาท่านกำลังส่งยิ้มตาหยี
พอเห็นท่าเดินผมแปลกๆ ครึ่งปากครึ่งจมูกบวม หน้าแม่สลดยิ้มหายทันที
ก่อนจะทิ้งถุงรำข้าวลงพื้น ที่กำลังโปรยให้ไก่กินอยู่ เดินแกมวิ่งเข้ามาหาผม....
“วี..ลูกไปโดนอะหยั่งมาหือ..จะไดเดินจะอี้....แล้วหน้าแหม..โดนตีมาแม่นก่อ...
ไปมีเรื่องกับไผ๋มาลูก?” (วี...ลูก...ไปโดนอะไรมา..ทำไมเดินแบบนี้..แล้วหน้าอีก...
นี่มันเหมือนถูกต่อยเลย...วีไปมีเรื่องกับใครมาลูก?) มือไม้รูปคลำจับหน้าผมไปทั่ว
ปากก็พร่ำถามผมใหญ่ ผมรู้ว่าแม่ต้องตกใจมาก เตรียมใจไว้อยู่แล้ว..เพราะแม่รู้จักผมดี
ผมไม่ใช่คนมีนิสัยชอบหาเรื่องชกต่อยกับใครเค้า...แต่หลักฐานที่ฟ้องบนหน้า
และท่าเดินที่แม่เห็น ท่านคงคิดไปไกลแล้วว่าผมเจ็บขนาดนี้คงเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ๆ
ก่อนที่จะทำให้แม่กังวลไปใหญ่ ผมต้องรีบเคลียร์เสียก่อน
“แม่ครับ...ใจเย็นๆ ก่อน..ผมบ่อได้ไปมีเรื่องกับไผ๋..แค่เข้าไปห้ามเปิ้นมีเรื่องกันเต้าอั้นคับ..
เลยถูกลูกหลงผ๋องน้อยเดียว...แม่บ่อต้องเป๋นห่วงเน้อ...ผมบ่อได้เป็นหยั่งนักน้อยเดียวเอง”
(แม่ครับ...ใจเย็นๆก่อน..ผมไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร...บังเอิญเข้าไปห้ามคนมีเรื่องกันนะครับ...
เลยโดนลูกหลงบ้างเล็กน้อย...แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ..ผมไม่ได้เป็นไรมาก) นี่แหละครับแม่ผม
พอฟังผมพูดท่านก็คลายความกังวลทันที แม่มักเชื่อผมเสมอเพราะรู้ว่าผมไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์
หรือชอบโกหก....
“แล้วกลับมานี่...วีอยู่สักกี่วันลูก?” (แล้วกลับบ้านครั้งนี้ วีจะอยู่กี่วันละลูก)
ถามผมพร้อมกับประคองกอดแขนผมไปด้วย ทั้งที่ตัวแม่เล็กกว่าผมมากมาย เห็นแล้วอดใจไว้ไม่ไหว..
ต้องก้มหัวย่อเข่าหอมแก้มแม่ผมให้ชื่นใจหายคิดถึงอย่างแรง
“ฟ๊อดดดๆๆ!...ฟ๊อดดดๆๆ!..แก้มนุ่มจริง?” แม่ผมหัวเราะชอบใจ มือลูบหัวผมไปมา
ตอนนี้แม่อายุห้าสิบกว่าแล้วครับ ร่างท้วมตัวเตี้ยตามแบบหญิงไทย สูงแค่ 152 ซม.ประมาณนั้น
ผมถอดพิมพ์หน้าตาผิวพรรณมาจากแม่หมด โชคดีหน่อยที่ความสูงได้พ่อมาไม่น้อย 170 ซม.นิดๆ
คงไม่สูงกว่านี้แล้วหละ ต่างจากพี่ชายที่สูง 175 ขึ้นกันทุกคน น้องชายน่าจะสูงไล่ ๆผมแล้วมั้ง
คนหนึ่งอยู่ม.4 อีกคนม. 1
“วีว่าจะอยู่ซักเดือนคับ” ผมตอบแกไป แม่พยักหน้าก่อนพูดว่า
“มา..หื๊อแม่หอมลูกจายสุดหล่อผ๋องเลอะ....” (มาให้แม่หอมลูกชายสุดหล่อมั้ง)...
พูดจบแม่โน้มคอผมลงต่ำ..ก่อนจะจรดฝีปากหอมหน้าผาก แล้วตามด้วยแก้มซ้ายขวา....
เสียงกระแอมแทรกขึ้นมาทันที...
“อะแฮ่ม!.” ผมกับแม่หันไปตามเสียงพร้อมกัน ลืมไปเลยครับ สองแม่ลูกมัวแต่ดีใจจนเพลิน
ลืมลูกเขยตัวดีของแม่ไปซะงั้นผม มันยืนมือถูกางเกงยีนส์แก้เขินไปมาเก้ๆกังๆ น่ารักตายหละไอ้ดำเอ้ย!.
แม่มองมันนิ่งๆ ก่อนหันมามองหน้าผม เลยจัดการแนะนำมันทันที
“แม่คับ..นี่กลเปื่อนตี่อยู่ต้วยกั๋นตี่กรุงเทพฯคับ...กลมาแอ่วบ้านเฮ่าต้วย”
(แม่ครับ...นี่กลเพื่อนผมที่อยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯครับ กลมาเที่ยวบ้านเราด้วย) พูดจบ
กลมันรีบยกมือไหว้แม่ผมทันที
“สวัสดีครับแม่..ผมกลครับ...อยู่หอด้วยกันกับวีที่กรุงเทพฯนะครับ” มันมองหน้าแม่ผม
ยิ้มหล่อตามยี่ห้อกลสิทธิ์เค้าหละ แต่โทษทีตอนนี้หน้ามันไม่อำนวย ยิ้มหล่อเลยดูตลกซะมากกว่า
เพราะหน้ามีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวไปทั่ว แม่ผมยกมือรับไหว้ ก่อนจะยิ้มอบอุ่นให้ แล้วพูดกับมัน
เป็นภาษากลางไปว่า
“ไหว้พระเถอะลูก...แล้วนี่เราก็ไปช่วยห้ามเค้ามีเรื่องกัน..เหมือนวีมันด้วยหละสิ..
ถึงได้อาการหนักกว่าวีมันอีกหนะ....หน้าบวมช้ำขนาดนั้น...เป็นไงบ้างลูก..ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า..
แล้วมือแผลใหญ่ไหมเล่านั้น?” แม่ถามมันเป็นชุดเหมือนกันครับ มือยังกอดแขนผมแน่น
อย่างนี้แหละครับ..คนต่างจังหวัด น้ำใจไม่มีหายแขกไปใครมาเราต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี
กลมันรีบตอบให้แม่สบายใจทันที
“ไม่เป็นไรมากแล้วครับ...ขอบคุณครับแม่ที่เป็นห่วง..ผมขอรบกวนอาศัยอยู่ด้วยคนนะครับ”
มันปากหวานยิ้มประจบแม่ผมอีกตะหาก
“รบกวนไรกันลูก...อยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ตามสบายเลย...ปะ..ขึ้นบ้านกันก่อน
มาถึงน้ำท่ายังไม่ได้กินเลยสิเนี๊ยะ..วีก็ไม่บอกแม่ว่ามีเพื่อนมาด้วย มัวแต่ดีใจเห็นหน้าลูกเพลินกันเลย...
ไปเถอะขึ้นบ้านกินน้ำกินท่าผักผ่อนกันก่อน เดินทางมาเหนื่อยๆ” พูดจบ..แกหันหลังตั้งท่าไปเก็บถุงรำข้าว
ที่ทิ้งไว้บนพื้นตอนแรก ผมรีบก้าวแซงแกหยิบมาถือไว้ซะเอง แม่ยิ้มอบอุ่นให้ผม
ผมยิ้มตอบให้แม่เช่นกัน รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เหลือบมองกลสิทธิ์มันก็ยิ้มกว้างมาให้
คงรู้สึกดีใจที่แม่ผมต้อนรับมันอย่างอบอุ่น นี่แหละ..แม่ของผม..แม่พระที่ผมรักบูชามากที่สุด...
ไม่มีความอบอุ่นใด..เติมเต็มลบล้างความทุกข์ ความเศร้าเสียใจที่เจอมา
เท่ากับกลับบ้านมาเจอรอยยิ้มและอ้อมแขนอบอุ่นของแม่อีกแล้ว
ผมสูดหายใจลึกๆ มีกำลังใจเหมือนได้รับพลังมากมายทันที พร้อมแล้วต่อไปนี้..
จะเผชิญกับทุกปัญหา ตราบใดที่ยังมีแม่ที่แสนดีคอยเคียงข้างผมเช่นนี้ ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว
แม่จะเข้าใจเราทั้งคู่..มั่นใจที่สุดว่าแม่จะยอมรับพวกผมได้...
‘แม่พระของผม’.....????
มาช่วยเป็นกำลังใจให้พี่วี...ตอนหน้าสารภาพความจริงกับแม่
Luk.