Chapter 11
ซุ่มซ่ามเป็นเหตุ
เหรียญบาทเหรียญสุดท้ายหล่นลงในช่องซื้อตั๋วรถไฟฟ้า พร้อมกับบัตรสี่เหลี่ยมที่กระเด้งออกมาจากตัวเครื่อง รับบัตรมาไว้ในมือแล้วเดินผ่านช่องสอดตั๋วเข้าไปสู่ชานชาลาต้นสาย ผู้คนมากมายเตรียมตัวขึ้นรถไฟฟ้าในยามเช้าเพื่อไปปฎิบัติหน้าที่ของตนเองเฉกเช่นทุกๆวัน
วันนี้อากาศร้อนจัด ร้อนชนิดที่เรียกได้ว่าเครื่องปรับอากาศบนรถไฟฟ้าไม่สามารถส่งความเย็นถึงทุกคนได้ หลายๆคนต่างใช้อุปกรณ์ส่วนตัวอย่างมือหรือกระดาษยกขึ้นมาพัดเพื่อระบายความร้อน
ผมไม่ได้นั่งเหมือนทุกๆครั้งแต่โดนดันจนกระเด้งมายืนตัวลีบอยู่ริมประตูอีกฟาก ภายในรถไฟฟ้ามีเพียงเสียงจากโฆษณาบนโทรทัศน์เครื่องจิ๋ว ผู้คนต่างก้มหน้าจ้องมองโทรศัพท์ในมือของตนเอง บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็เหม่อมองออกไปนอกตัวรถ
ส่วนผมเลือกที่จะกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทที่เงียบไม่ยอมตอบตั้งแต่เมื่อวาน
*หายโกรธยัง
*ดีกันเถอะ
*เดี๋ยวพาไปกินขนม
ข้อความถูกอ่านในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ผมสามารถยิ้มออกมาได้นิดหน่อย
แต่เจ้าตัวก็ไม่ยักจะพิมพ์ตอบกลับมาสักที
*กูเข้าใจนะ ว่ามึงรู้สึกยังไง
รู้สึกยังไงล่ะ โอ้ ทีแบบนี้ตอบซะเร็วเลยแฮะ
*ก็แบบ
*แอบชอบกู
อีกฝ่ายเงียบไป คราวนี้ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะตอบกลับ อาจจะเป็นเพราะว่ากำลังตกใจที่จู่ๆผมพิมพ์ไปหาแบบนั้น บอกตามตรงเลยว่าถ้าพี่กันไม่บอก ผมก็คงโง่ดักดานไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังแอบชอบตัวเองอยู่
รู้ตัวมั้ยว่าพิมพ์อะไรมา *รู้
แล้วถ้ากูแอบชอบมึงจริงๆ จะทำไง
เลิกคบ? เกลียดกู? *ก็
*ดีใจนิดๆแหละมั้ง
ห๊ะ จะพูดแบบไหนดี คือผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ไม่ได้โมโหหรือจะเลิกคบกับเขา แต่แค่รู้สึกว่าการที่เพื่อนตกหลุมรักเรา มันหมายความว่าเขาแคร์เรามากๆ ผมเข้าใจความรู้สึกของคนแอบชอบแต่ไม่มีโอกาสได้บอก มันอึดอัดอยู่ข้างใน ยิ่งเป็นเพื่อนแล้ว ยิ่งพูดไม่ได้เข้าไปใหญ่
ขนาดคนแปลกหน้าอย่างพี่กัน ผมยังไม่สามารถพูดออกไปตรงๆได้เลย
*จะเลิกคบได้ไง
*มึงเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของกูนะ
*แต่กูอยากขอโทษ
*เพราะกูมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ
ขอโทษทำไม
ไม่ได้โกรธไรมึงขนาดนั้นหรอก
แค่น้อยใจ ว่าทำไมมึงถึงไม่ชอบกูบ้าง
อยากเห็นคนที่มึงชอบขึ้นมาเลย ว่าจะดีกว่ากูแค่ไหนกัน *ไม่ได้ดีกว่าหรอก
*เขาแค่เป็นคนที่ใช่ แค่นั้นเอง
ในชีวิตเรา เรามักเจอจิ๊กซอว์หลากรูปแบบ บ้างก็ต่างกัน บ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ลงล็อค บ้างก็ไม่สมบูรณ์ ความสัมพันธ์ของผมกับพี่กัน ก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่ลงล็อค ในขณะที่ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนสนิท มันคือจิ๊กซอว์รูปแบบเดียวกันที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ไม่มีวันลงล็อค
ที่ผมคิด ก็ประมาณนั้นแหละนะ
*มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู รู้ป่ะ
อือ
ว้า ยอมแพ้ความมุ่งมั่นของมึงจริงๆอ่ะ เพื่อนสนิทส่งสติ๊กเกอร์ทำหน้าเศร้ามาให้ แต่เบื้องหลังนั้นผมคิดว่าเขาคงจะยอมแพ้แล้วจริงๆนั่นแหละนะ
รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างที่พี่รหัสบอก เขาไม่สามารถโกรธผมได้นานหรอก อาจจะเป็นเพราะเราผูกพันธ์กันมานานพอสมควร แต่ผมอยากจะคงสถานะเพื่อนกับเขาเอาไว้ ไม่รู้สิ ผมว่าระหว่างฐานะเพื่อนกับฐานะคนรัก เขาเป็นเพื่อนได้ดีกว่าคนรักนะ
แล้วไอ้นั่นมันว่าไงมั่ง ชอบมึงกลับบ้างป่ะ คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมหน้าร้อนหูร้อน ยิ่งอากาศร้อนๆแบบนี้แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ร้อนมากขึ้นไปอีก นึกย้อนไปถึงคำพูดเมื่อวานที่พี่กันพูดกับผม
“ดังนั้นถ้ามึงกำลังจีบกูอยู่ล่ะก็”
“พอละ”
“ถึงตากูจีบมึงบ้างแล้ว ไอ้น้องกอด” ผมเข้าใจความหมายของสิ่งที่ใครอีกคนพูดอย่างลึกซึ้ง แต่ผมไม่สามารถทำได้ เพราะความตั้งใจแรกที่ผมมีต่อเขา คือการจีบเขาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้จักเขาดีพอ
การจีบคนๆหนึ่ง สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่การทำให้เขาประทับใจเพียงแค่อย่างเดียว แต่ผมคิดว่ามันคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากกว่า
ซึ่งตอนนี้ผมรู้จักพี่กันเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์จากหนึ่งร้อย
ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากรู้
ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่อยากทำกับเขา
*ไม่รู้อ่ะ
*คงชอบมั้ง
ตอบเพื่อนสนิทกลับไปแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า ใช้เวลาไม่นานขบวนรถก็นิ่งลง ผมก้าวลงจากรถตามฝูงชนจำนวนมาก เข้าแถวสอดบัตรเหมือนคนอื่นๆ
ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์นี้จะเป็นช่วงที่ยุ่งจนหัวปั่น ทั้งงานทั้งกิจกรรมที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นจากปกติจะได้กลับหอช่วงเย็น ก็จะเลื่อนเป็นช่วงดึก ถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนเช้า ก็หมายความว่าผมจะต้องกลับบ้านดึกตลอด
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
เดินออกมาจากตัวสถานีเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นคนตัวสูงที่ยืนดูดชานมอยู่ไม่ไกล ท่ามกลางฝูงชน เขาดูโดดเด่นขึ้นมาเหมือนกับยีราฟในฝูงไก่ อาจจะเปรียบเทียบเวอร์เกินไป แต่นั่นคือความจริงที่ผมเห็น
ไม่เคยถามเลยแฮะว่าส่วนสูงที่แท้จริงของพี่กันคือเท่าไร
เดาว่าร้อยแปดสิบกว่าๆนั่นแหละ อาจจะเกินร้อยแปดสิบห้า เพราะขึ้นรถไฟฟ้าทีไรหัวจะชนเพดานรถไฟทุกครั้งไป
“มาได้ไงอ่ะ”
คำทักทายแบบฉบับเจ้าเก่าเจ้าเดิม พี่กันดูดชานมในแก้วเสียงดัง หมดแก้วพอดี
“เหาะมามั้ง”
“เหรอ พี่เป็นไซอิ๋วเหรอ”
“เออ ขี่หมูทะลุฟ้าไง”
ผมหลุดขำ
“ไปเรียนใช่ป่ะ” พยักหน้าตอบคำถามเขา ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็จะโผล่มาให้เห็นเสมอๆเหมือนมีจีพีเอสติดตามตัวผม ทั้งๆที่เราเรียนคนละมหาวิทยาลัยกัน เขาเรียนอีกเส้นทางหนึ่ง ผมเรียนอีกเส้นทางหนึ่ง
“ทำไมถึงรู้ว่าเรียนกี่โมงอ่ะ”
คนตัวสูงดึงกระดาษเอสี่ที่สภาพดูไม่ได้ออกจากกระเป๋ากางเกงพลางยื่นมาตรงหน้าผม คลี่มันออกเพื่อดูสิ่งที่ถูกพิมพ์อยู่บนกระดาษ ตารางเรียนของผมปรากฎอยู่บนนั้น เด่นหราชัดเจน
“ได้มายังไง”
“กูมีสายไง”
เขาเป็นสายลับหรือไงกัน รู้กระทั่งตารางเรียนของผม แถมยังปริ้นท์ออกมาเก็บไว้อีก คนบ้า
“แล้วรู้ได้ไงว่าจะมาตอนนี้อ่ะ”
“ปกติแล้วมึงจะมาก่อนเวลาประมาณชั่วโมงถึงสองชั่วโมง จริงมั้ย”
พยักหน้าตอบอีกครั้ง
เขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับผมขนาดนี้เลยเหรอ
แอบดีใจแฮะ
“เดี๋ยวไปส่ง”
“เหรอ”
“เหรอไรครับเด๋อ ต้องพูดว่าดีใจมากๆเลยครับ สุดหล่อจะไปส่ง”
“อืม ดีใจมากๆเลยครับ สุดหล่อจะไปส่ง”
คนตัวสูงหันขวับมาระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินตรงไปยังบันไดเลื่อน
“ว่าง่ายจังเนอะ”
“ผมเป็นคนซื่อๆอ่ะ”
พี่กันยิ้มมุมปากส่งมาให้ เขาเดินนำหน้าผมไปยังบันไดเลื่อนแล้วเป็นฝ่ายก้าวลงไปก่อน ขาของผมก้าวตามไป เพราะรีบเดินเลยแอบกะจังหวะการเหยียบบันไดเลื่อนพลาดเล็กน้อยทำให้เซไปด้านหน้า พี่กันไม่ได้หันมามองแต่เหมือนเขาจะเดาออกจากเสียงเบาๆที่ผมร้องออกไปเมื่อกำลังจะสะดุดหัวทิ่ม แขนยาวๆยื่นกลับมาดันอกของผมเอาไว้ ทำให้สามารถกลับมายืนทรงตัวได้
นี่ขนาดเขาไม่ได้หันหลังกลับมา เขายังรู้เลยว่าผมจะล้ม
เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆนั่นแหละ
พี่กันน่ะ…
ตอนนี้ผมยืนอยู่เหนือคนตัวสูงเล็กน้อย ถึงจะยืนคนละขั้น แต่ความสูงของเขาไม่ลดลงเลย แผ่นหลังของเขาเผชิญหน้าผมอยู่ วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษา พับแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สะพายกระเป๋าหนังใบโปรดและรองเท้าผ้าใบคู่โปรด
“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ”
“มี แต่เรียนเย็น”
“ผมเลิกเย็นนะช่วงนี้ ถ้าพี่จะติวก็คงต้องเป็นดึกๆเลยอ่ะ”
“กิจกรรมเยอะล่ะสิปีหนึ่ง”
“อือ”
“ถ้างั้นติวดึกๆก็ได้ ห้องสมุดที่สยามเนี่ยแหละง่ายดี”
ตอบแต่ก็ไม่ยอมหันมามอง ทำให้ต้องสะกิดเขาเบาๆ
“พี่กัน”
“ว่า”
“ทำไรอ่ะ”
เห็นเขายุกยิกๆอยู่ เลยชะโงกหน้าไปมองผ่านไหล่กว้างๆของเขา พี่กันกำลังสนใจอะไรบางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งมองเพียงแค่ครั้งแรกก็รู้เลย
เขากำลังเล่นเกมงูอย่างใจจดใจจ่อ
จู่ๆก็มีข้อความเด้งเข้ามา ทำให้เขาต้องกดออกจากเกมเพื่อไปดูข้อความนั้น บนหน้าจอของโทรศัพท์ไม่มีแอพพลิเคชั่นใดๆเกี่ยวกับโซเชียลเลย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเกมที่ไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการเล่น
คำพูดของหมอสี่ดังขึ้นมาในสมองผมเหมือนประกาศผ่านออกมาทางโทรโข่ง
“มึงก็บอกให้เพื่อนรักมึงเล่นไลน์บ้าง ชีวิตจะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ”
“พี่จะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ” พี่กันกดหยุดเกมไว้ก่อน เขาหันมามองผม นัยน์ตาสวยๆนั่นทำให้ผมนิ่งไป
จะว่าไงดี มีอำนาจทางสายตา
ใช่เลย คำนั้นแหละ
“ไอ้หมอสอนเหรอคำนี้อ่ะ”
“เปล่า ก็แค่อยากเล่นไลน์กับพี่บ้าง”
“ไม่เล่น ไม่ชอบ”
“ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวติด”
“ติดไลน์เหรอ”
“ติดมึง”
ร่างกายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะหนึ่ง คนตัวสูงหัวเราะชอบใจใหญ่ เขาเดินนำออกไปอีกครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่เดินตาม ใครว่าการเดินตามไม่มีความสุข ผมชอบนะ เดินตามเขา เขาจะได้ไม่หายไปไหน
“แต่ผมอยากเล่นไลน์กับพี่นะ”
“มันเปลืองค่าเน็ต”
อ่า ใบ้กินเลยแฮะ
ค่าอินเตอร์เน็ตทางมือถือสมัยนี้มันก็แพงหูฉี่จริงๆนั่นแหละ
“ไม่ต้องเล่นหรอก”
“เดี๋ยวจะโผล่หน้ามาให้เจอทุกวัน”
“เจอให้เบื่อไปเลย”
ผมยิ้มออกมา
ไม่เบื่อหรอก จะไปเบื่อได้ยังไงกัน ก็ผมชอบพี่นี่นา
อากาศร้อนๆทำให้ตัวชุ่มเหงื่อไปหมด แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเดินถึงตึกคณะ แต่ก็สามารถเบิร์นไปหลายแคลอรี่ คนตัวสูงเหงื่อชุ่มหลังจนเสื้อนักศึกษาแนบไปกับแผ่นหลังกว้าง บ่งบอกว่าเขาต้องร้อนมากแน่ๆ
“แดดเผาหมาตายควายล้ม”
“แต่ผมไม่เห็นพี่ล้มนะ”
“ตัวนิ่ม เดี๋ยวมึงจะโดนขวิด”
ขอบคุณร่มไม้ในตัวมหาลัยของผมที่ช่วยบดบังแสงอาทิตย์ในตอนเที่ยง และขอบคุณลมร้อนวาบๆที่พัดผ่านมา ไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นแม้แต่นิดเลย
“ส่งแค่นี้ก็ได้นะ”
“ไปกินข้าวก่อนป่ะ”
ผมดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ เวลาเที่ยงครึ่ง วันนี้มีเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกถมเถ ดังนั้นจะไปกินข้าวก็คงไม่เสียหายอะไร
“ก็ได้ อยากกินที่ไหนอ่ะ”
“แนะนำหน่อยดิ”
“ตึกวิศวะ”
ตอบแบบไม่ลังเลใจเลย เพราะตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมา พวกผมก็ชอบไปกินที่ตึกวิศวะกันประจำเพราะอาหารอร่อยและมีให้เลือกหลายอย่าง อีกทั้งคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร เพราะนักศึกษาคณะนี้ก็อพยพกันไปกินที่คณะอื่น
โรงอาหารเวลานี้มีคนบ้างประปราย ใครอีกคนพอเดินเข้ามาก็หูตาวาว จากที่เดินผ่านมาหลายๆร้าน เขาดูจะชอบทุกร้านแฮะ
สุดท้ายพี่กันก็เลือกอาหารที่ง่ายที่สุดในบรรดาร้อยพันเมนู
ข้าวผัดกระเพรากุ้ง โปะไข่ดาวไม่สุก
ผมมองจานข้าวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วก้มมองจานผัดมาม่าใส่ไข่ของตัวเอง
ว่าเขา ผมเองก็กินเมนูสิ้นคิดไม่ต่างจากเขาสักเท่าไร
คนตัวสูงนั่งลงตรงข้ามกับผม ถึงจะเคยกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ชินสักทีอ่ะ
เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ มันเป็นความเงียบที่ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เป็นความสบายใจมากกว่า ถึงจะไม่มีใครอีกคนมาเซ้าซี้ แต่ก็รู้ได้ว่าเขานั่งอยู่ข้างหน้านะ
พี่กันเป็นคนที่ เวลาเขากินข้าวเขาจะเงียบเพราะจะสนใจกับอาหารตรงหน้าเอามากๆ
“ชอบกินใบกระเพราป่ะ” น้ำเสียงโมโนโทนถามขึ้น
“ชอบ ผมชอบกินผัก”
พูดจบ เขาก็เอาช้อนกับส้อมหนีบใบกระเพราในจานของเขามาให้ผมทีละใบสองใบ
“ไม่กินผักเหรอ”
“กูเป็นสัตว์กินเนื้อ”
“พี่เป็นไดโนเสาร์เหรอ”
“หน้ากูมันดึกดำบรรพ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”
แล้วถ้าผมตอบว่าดึกดำบรรพ์ เขาจะตบผมด้วยกรงเล็บของเขาไหมล่ะ
“ชอบกินแต่แตงกวา”
ผมจดบันทึกความชอบของเขาเพิ่มลงไปในสมอง
“แล้วอะไรอีก”
“ผักกาด”
“เหรอ”
“ผักกอดด้วย”
“ผักกอดหน้าตาเป็นไงอ่ะ”
“หน้าตาน่ากอดหน่อยๆ”
เขาส่งยิ้มหวานมาให้ นอกจากแดดประเทศไทยที่ร้อนระอุแล้ว พี่กันก็ร้อนระอุเช่นกัน
ใจผมสั่นไม่หยุดเลย คุณพระช่วย
“กินเสร็จเดี๋ยวกูไปหาไอ้หมอที่ตึกวิทย์ ไปด้วยกันป่ะ”
มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่ผมจะตอบว่าใช่
เราใช้เวลากินข้าวไม่นานก็เดินมาที่ตึกวิทย์ เห็นพี่หมอสี่นั่งอยู่ใต้ตึกถือถุงอะไรบางอย่างอยู่ในมือ คนผิวขาวใส่แว่นทรงกลมโบกมือให้ผมอย่างเป็นมิตร เขาทักทายผมก่อนที่จะทักทายเพื่อนเขาด้วยซ้ำ
“สวัสดีครับกอด วันนี้ไปติวกับพี่มั้ย”
“ตีนก่อนมั้ยล่ะหมอ”
คนตัวสูงรีบเข้ามาขวางทันทีเลย
“แหมๆ หวง อ่ะนี่ของที่สั่ง” พี่หมอสี่ยื่นถุงกระดาษในมือให้กับพี่กัน ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร และดูเหมือนใครอีกคนจะรู้เขาถึงได้ยื่นถุงกระดาษมาให้ผม
“ของมึง”
“หือ”
ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พี่กันยักคิ้ว
ถุงกระดาษใบใหญ่มาอยู่ในมือผม แหวกมันออกดูก็พบว่าเป็นเสื้อคลุมไหมพรมสีเทาแบบเดียวกันกับของคนตัวสูงที่ชอบเอามาคลุมหัวผมบ่อยๆ ผมกระพริบตาปริบๆมองเสื้อในถุง
“อะไรอ่ะ”
“ของขวัญให้กับความพยายาม”
ความพยายาม…
ความพยายามอะไรกัน
“เก็บมันไว้ดีๆ ของขวัญชิ้นแรกจากกู”
คลี่ยิ้มออกมาจางๆ นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกจากเขาจริงๆ ถามว่าความรู้สึกตอนนี้เป็นแบบไหน มันดีใจปนอยากจะร้องไห้ออกมาซะให้ได้
“ไม่มีขายที่ไทยนะน้องกอด อยากได้ต้องสั่งจากญี่ปุ่น”
“จริงเหรอ” ผมมองพี่หมอสี่สลับกับใครอีกคนที่มองมาเงียบๆ
“มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”
คนตัวสูงยื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ
“ของขวัญพิเศษ กูก็ต้องให้กับคนพิเศษ”
“…”
“จริงป่ะ”
ผม…
กลายเป็นคนพิเศษของพี่แล้วเหรอ
เขินเลยแฮะ
“แล้วเอาไง จะกลับเลยป่ะ” พี่กันละสายตาจากผมไปคุยกับพี่หมอสี่ต่อ ทิ้งให้ผมยืนกอดลูบเสื้อคลุมไหมพรมนุ่มนิ่มนั่นด้วยความปลื้มใจอยู่ลำพัง
การถักทอที่สวยงามแบบไร้ที่ติ ดูจากแบรนด์แล้วน่าจะราคาไม่ใช่เล่นเลย ไหมพรมนุ่มนิ่มเบาสบายแต่สามารถให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดี ไซส์ต่างจากไซส์ของพี่กัน อันนี้เป็นไซส์ที่เล็กลงมา ใหญ่กว่าตัวผมเล็กน้อยแต่ไม่ได้ใหญ่มากเหมือนของใครอีกคน ตลกดีเหมือนกันนะ ที่ประเทศไทยอากาศร้อนขนาดนี้แต่เขากลับให้ของขวัญผมเป็นเสื้อคลุมกันหนาว
ผมสัญญาว่าจะเก็บมันอย่างดีเลย
ระหว่างที่สองคนคุยกัน พวกเขาก็ออกเดินไปด้วย ผมที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับเสื้อในมือดันเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบจะหน้าทิ่ม ดีนะที่แขนของใครอีกคนดึงเสื้อของผมไว้ทัน ไม่อย่างนั้นได้แผลอีกรอบแน่ๆ
“สะดุดอีกละ เดินระวังๆหน่อยดิวะ”
“สะดุดที่ตึกวิทย์ด้วยนะน้องกอด”
พี่หมอสี่แซวพลางหัวเราะขำ จนพี่กันต้องท้วงเพราะความซุ่มซ่ามของผม
“เด๋อไง ตอนนั้นมันก็ไปสะดุดที่สนามบอล พันเป็นมัมมี่เลย”
“ซุ่มซ่ามน่ารักดีออก”
ที่มหาลัยของผมมีเรื่องเล่าอยู่หลายอย่าง หนึ่งในหลายๆอย่างนั่นคือเรื่องของการสะดุด ถ้าสะดุดที่ลานเกียร์ของตึกวิศวะ ก็จะได้แฟนวิศวะ ถ้าสะดุดที่พรมของตึกอักษร ก็จะได้แฟนอักษร ดังนั้นหลายๆคนก็เลยคิดไปว่า ถ้าอย่างนั้นสะดุดที่ไหนก็คงจะได้แฟนจากคณะนั้นล่ะมั้ง อะไรประมาณนี้ ถามว่าผมเชื่อไหม ก็ไม่ค่อยเท่าไร
ตั้งแต่ผมเข้ามาในมหาวิทยาลัย นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมสะดุด
จะว่าไป ก็เห็นพี่กันใส่เสื้อช็อปอยู่นะ
“พี่กัน…”
เขาคงไม่ได้เรียนคณะวิทยาศาสตร์หรอกใช่มั้ย
“อือ”
พี่หมอสี่เป็นฝ่ายตอบคำถามแทน
“ไอ้กันมันเรียนคณะวิทยาศาสตร์”
ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที
คนตัวสูงมองหน้าผมสลับกับพี่หมอสี่ เขาคงไม่รู้เรื่องเล่าเหล่านี้หรอกเพราะว่าเราอยู่กันคนละมหาลัย
“ถ้างั้นกูไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่สนามบอล เจอกันนะครับน้องกอด” พี่หมอสี่ยิ้มให้ผมพลางโบกมือลาเพื่อนของเขาแล้วเดินดุ่มๆออกไปกับกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ไกลๆ
พี่กันหันมามองผม เขาขมวดคิ้วแล้วบ่นออกมาเหมือนหมีกินผึ้ง
“ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ”
ก็ผมมีความสุขนี่นา
“จะไปเรียนยัง”
“ไปแล้ว”
“เออ เดี๋ยวเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก” ยกมือห้ามเขา ขืนเดินไปด้วยกันตอนนี้ล่ะก็
ละลายตายกลางแดดนั่นแหละ เจอทั้งไออุ่นจากแสงอาทิตย์ ไออุ่นจากเขา
“กูจะไปส่ง”
“แต่ผมไปเองได้”
“แน่ใจ?”
ผมพยักหน้าตอบเสียงทุ้มๆของเขา แม้จะไม่ได้สบตา แต่ก็รู้ได้ว่าพี่กันคงจะยอมถอยแต่โดยดี
“เจอกันคืนนี้นะ น่าจะสี่ห้าทุ่มอ่ะ”
“อือ เจอกัน”
หมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินกลับตึกคณะ แต่เสียงโมโนโทนกลับดังขึ้นมาก่อน
“เรื่องสะดุดอ่ะ อย่าเพ้อเจ้อ”
“…”
“จะสะดุดที่ไหน มึงก็มีแฟนเป็นเด็กวิทย์อยู่ดีนั่นแหละ”
// ค่ะพี่กัน ได้หมดถ้าสดชื่นนน
รักกันชอบกอด รักกอดชอบกัน ติดแท็ก #Likeกัน ผ่านทางทวิตเตอร์ได้นะคะ
ขอบคุณทุกๆคนที่คอยติดตามและเอ็นดูเด็กสองคนนี้ ขอบคุณที่ไปพาคนอื่นให้มารู้จักกอดกัน
ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ <3