เจ้าป่า
บทที่ 10
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ มิเกลลุกนั่งบิดขี้เกียจก่อนจะสูดหายใจนำอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดสร้างความสดชื่น และเมื่อหันไปมองด้านข้างจึงรู้ว่าคนที่นอนกอดเขาไว้ทั้งขึ้นกลับหายไปเสียแล้ว ชายหนุ่มออกไปนอกเต็นท์จึงเห็นว่าความมืดยังปกคลุมโดยรอบ ขอบฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มมีสีสันของดวงอาทิตย์ให้มองเห็น จุดที่ก่อกองไฟและดับมอดไปเมื่อราตรีที่ผ่านมากลับสว่างไสวด้วยไฟร้อนอีกครั้ง มีเพื่อนสนิทนั่งดื่มกาแฟกลิ่นหอมฉุยอย่างอารมณ์ดีอยู่ไม่ไกลนัก
“ตื่นนานแล้วเหรอ”
มิเกลก้าวไปหาเคนที่พยักหน้ารับ เพื่อนสนิทรินกาแฟในกระติกน้ำเก็บความร้อนลงในแก้วแล้วส่งให้มิเกลรับไป
“แต่ก็ช้ากว่าเจ้าเด็กเลออง ตื่นมาก็เห็นเขากำลังจุดไฟต้มน้ำให้ ไอ้หมอนี่ใช้ชีวิตในป่าคล่องเหมือนเป็นบ้านตัวเองอย่างที่บอกจริงด้วย”
“แล้วนี่ไปไหนเสียล่ะ”
มองหาร่างสูงใหญ่ทั้งที่อายุเพิ่งผ่านพ้นสิบห้าปีไม่นาน เคนหัวเราะเบาๆอย่างรู้ทัน
“อะไรวะ นอนกอดกันมาทั้งคืน เขาตื่นหนีออกจากเต็นท์ตอนไหนก็ยังไม่รู้”
มิเกลหน้าร้อนเห่อ เขาคว้าก้อนดินใกล้มือขว้างใส่เพื่อนสนิทที่เอ่ยปากแซวจนเคนต้องรีบหลบพลางหัวเราะลั่น
“เอ้า เขินอีก มิเกลเอ๊ย เห็นกูเข้าเต็นท์ไปนอนก่อนแล้วจะไม่รู้หรือวะ ว่าเพื่อนสปาร์กกับนายพรานนำทาง อย่างว่าแหละ ทั้งสูงยาว กล้ามเป็นมัด เท่จนกูยังชอบ มีหรือที่โอเมก้าน้อยของกูจะไม่ติดใจ ฮ่าๆๆ”
“พูดมากว่ะ อย่ามาเชียร์หน่อยเลย ติดใจอะไรเล่าเพิ่งรู้จักกันไม่นานเอง”
คนถูกเพื่อนแซวรีบตอบโต้เพราะความกระดากอาย แต่เคนก็ยังไม่เลิกคุยเรื่องนี้
“แล้วไง รู้จักกันไม่กี่วันปิ๊งกันไม่ได้เหรอวะ เขาเรียกพรหมลิขิตโว้ย ก็อัลฟ่าโอเมก้าของพวกมึงมันมีไม่ใช่เหรอ ไอ้ที่เจอกันแล้วรู้ว่าเป็นคู่แท้น่ะ มึงไม่รู้สึกแบบนั้นกับเลอองบ้างเหรอ”
มิเกลนิ่งงัน คิดถึงวินาทีแรกที่ได้สบตาและหัวใจที่สั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยอมรับว่าที่เคนพูดมาไม่มีอะไรผิด และยิ่งได้จูบกันเมื่อคืนนี้ก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่าเลอองเองก็ชอบเขา แต่ว่าเรื่องความเป็นคู่แท้มันต้องเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าเท่านั้น สีหน้าของมิเกลทำให้เคนมองออกว่าเพื่อนกำลังคิดมาก
“นี่มันสมัยไหนแล้ว คิดมากอะไรกับเรื่องระยะเวลา ชอบก็บอกว่าชอบแค่นั้นไม่เห็นต้องปิดกั้นตัวเองเลย มึงชอบใครก็เปิดโอกาสให้ตัวเองมีความสุขบ้างสิ หรือว่าอยากกลับไปอยู่กับตาแก่รัฐมนตรีที่พ่อกับแม่เลี้ยงหาให้”
คำเตือนสติของเคนทำให้มิเกลยิ้มออกมาได้ เพราะแบบนี้เคนจึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดมาตลอดหลายปี
“ทีเลอองนี่มึงเชียร์จัง แล้วมิสเตอร์ฮิวจ์ล่ะ ทำไมไม่เชียร์เขาแบบนี้บ้าง นั่นก็หน้าตาดี ฐานะระดับเศรษฐีเลยนะ”
“โอ๊ย” เคนส่ายหน้าเมื่อเพื่อนกล่าวถึงไทเลอร์ ฮิวจ์ “ไอ้หมอนั่นโคตรขี้เก๊ก คงคิดว่าตัวเองทั้งหล่อทั้งรวย เฮอะ ชอบปั้นหน้าหยิ่งๆแล้วเหยียดยิ้มใส่คนอื่น คนแบบนั้นใครได้ไปคงเหมือนมีแฟนเป็นหุ่นขี้ผึ้ง”
มิเกลหัวเราะลั่นเมื่อเห็นเคนเก๊กหน้าเลียนแบบไทเลอร์ เสียงสนทนาหยุดลงเมื่อเลอองเดินกลับมาพร้อมกระต่ายป่าตัวหนึ่ง เขาถอนขนและทำความสะอาดอย่างที่มารดาเคยสอน ดีแลนบอกว่ามนุษย์ไม่ได้กับเนื้อสัตว์ดิบๆ อาหารต้องผ่านกระบวนการปรุงรสกับความร้อนจนสุก และยังสอนให้เลอองปิ้งย่างเนื้อสัตว์อีกด้วย
“อาหารเช้า”
พูดสั้นๆก่อนจะใช้กิ่งไม้เสียบเข้าที่ลำตัวของกระต่ายป่าและนำไปย่างไฟที่เขาจุดขึ้นมาใหม่ เมื่อแรกเห็นมิเกลกับเคนก็ยังทำหน้าแหยงๆ แต่เมื่อกลิ่นหอมอบอวลลอยเข้าจมูกท้องก็เริ่มร้องประท้วง ไม่นานเลอองจึงส่งเนื้อกระต่ายย่างสดๆส่งให้ทั้งคู่
“อร่อย เนื้อกระต่ายย่างสดๆ หอมกลิ่นฟืนด้วย เลอองเก่งจัง”
คนชิมกล่าวด้วยความตื่นเต้น สีหน้าสดใสสะท้อนกับท้องฟ้าสีส้มในยามอรุณรุ่ง ทำให้เลอองเผลอมองไปชั่วขณะก่อนจะเบนหน้าหนี เขาคิดถึงร่างนุ่มที่โอบกอดไว้ทั้งคืนและอยากทำเช่นนี้อีก เลอองนั่งกินเนื้อกระต่ายส่วนของเขาเงียบๆ ปล่อยให้เคนและมิเกลพูดคุยกันไปพร้อมกับอาหารเช้าฝีมือเขา
“วันนี้เราจะเดินอ้อมไปเป็นวงกลม แล้วแวะค้างคืนตรงทุ่งดอกไม้ พอเช้าพรุ่งนี้เดินต่ออีกไม่นานก็จะถึงรถยนต์ที่จอดไว้และกลับบ้าน”
นายพรานนำทางบอกแผนการเดินป่า ทั้งสามเก็บเต็นท์เรียบร้อยจึงเดินทางต่อ เลอองไม่ได้พูดอะไรมากนักในระหว่างวัน เขาปล่อยให้มิเกลกับเคนหยุดเก็บตัวอย่างต้นไม้และปรึกษาเรื่องวิชาการที่เลอองยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งบ่ายจัดพวกเขาจึงเริ่มเข้าสู่เขตทุ่งดอกไม้ป่าที่แข่งกันเบ่งบานอยู่บนพื้นราบสลับกับต้นไม้สูงให้ร่มเงา
“แม่เจ้าโว้ย สวยจริงๆ”
เคนอุทานด้วยความตื่นเต้น เขาดึงกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเพื่อเดินเก็บภาพแห่งความประทับใจ ส่วนมิเกลได้แต่เบิกตากว้างดื่มด่ำไปกับความงดงามเหล่านั้น
“เลออง ขอบคุณมากนะที่พาพวกผมมาที่นี่ สวยมากๆเลย”
ดวงตาสีเหล็กจ้องมองใบหน้าหวาน นัยน์ตาแห่งความพึงพอใจปิดไว้ไม่มิดจนมิเกลหายใจขัด
“มิเกลสวยกว่าดอกไม้อีก”
คำพูดตรงๆซื่อๆ ทว่ายิ่งทำให้หัวใจของมิเกลเต้นตูมตาม เขาได้แต่เบนสายตาหนีเพราะไม่อาจสบตากับดวงตาคมได้
“ผมอาจเป็นแค่ของแปลกใหม่สำหรับเลอองก็ได้ พอคุ้นชินกันไปเดี๋ยวเลอองก็เบื่อ”
แขนของมิเกลถูกกระชากเข้าหาและยึดไว้แน่นหนา เพื่อให้เขาได้ประสานสายตากับเลออง ลึกกว่าดวงตาสีเหล็กคือความนัยว่าสิ่งที่มิเกลพูดมาไม่ใช่ความจริง พวงแก้มของมิเกลกลายเป็นสีชมพูไปหมด
“ช่วยกันกางเต็นท์ก่อนดีกว่านะ”
มิเกลเดินหนีความขัดเขินด้วยการทำเป็นสาละวนอยู่กับภารกิจอย่างอื่น ให้ตายสิ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งห้ามใจไม่อยู่ กลิ่นสาบกายแปลกประหลาดของเลอองสร้างความปั่นป่วนในช่องท้องจนเขาแปลกใจ หรือว่า ช่วงนี้ใกล้ถึงวันฮีทของเขาร่างกายจึงมีปฏิกิริยาต่อความใกล้ชิดถึงเพียงนี้
เมื่อจัดการกับมื้อเย็นด้วยฝีมือของเลอองเช่นเคยจนอิ่มหนำ มิเกลกับเคนนั่งทำงานกันอยู่ใกล้แสงไฟที่ให้ความสว่าง ทั้งคู่ปรึกษากันเรื่องงานนานพักใหญ่จนกระทั่งเคนเก็บงานเข้ากระเป๋า
“โอ๊ย ง่วง เดินป่ามาทั้งวัน ไปนอนดีกว่า ไม่อยากนั่งเป็นก้างขวางทางรักของใครด้วย อยากจะจู๋จี๋กันก็ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“เคน!”
เคนหัวเราะ เขามองเห็นว่าทั้งคู่ลอบสบตากันหลายครั้งแล้วจึงอยากเปิดโอกาสให้เพื่อน เมื่อเคนหายเข้าไปในเต็นท์ของเขา จึงเหลือเพียงเลอองที่นั่งมองมิเกลเก็บดอกไม้ใส่ถุงเก็บตัวอย่าง มือใหญ่หยิบดอกไม้ป่าสีสดใสช่อเล็กทัดใส่หูให้มิเกล ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ดอกไม้เหมาะกับมิเกล”
ถ้าละลายได้มิเกลคงละลายไปกับพื้นดินแล้ว เขาไม่กล้าหลบตาจากการสะกดไว้ราวกับเจ้าป่าที่กำลังมองเหยื่อเลย นิ้วสากเชยคางมิเกลขึ้น ก่อนแตะที่กลีบปากนุ่มเบาๆ
“เราจูบกันอีกไหม จูบกับมิเกล...”
เลอองนิ่งคิดหาคำพูดที่ตรงกับความรู้สึกของเขา คลังคำศัพท์ภาษามนุษย์ของเลอองยังไม่แตกฉานนัก บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรอีกฝ่ายประทับใจดี
“...จูบกับมิเกลแล้วอร่อยดี”
มิเกลหัวเราะคิก ไม่นึกว่าเลอองจะใช้คำนี้กับเขา เมื่อหยุดหัวเราะแต่ยังปรากฏรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าหวาน ซึ่งทำให้เลอองห้ามใจไม่ไหว เขาวางมือแนบศีรษะมิเกลและดึงเข้ามาใกล้ก่อนจะบดริมฝีปากลงไปอย่างหมดความยับยั้งชั่งใจ มิเกลเบิกตากว้างไปกับความร้อนแรงนั้น แค่เพียงไม่กี่วินาทีเลอองก็สามารถตวัดลิ้นชื้นของมิเกลได้ กลีบปากนุ่มร้อนจนเจ็บไปหมด แต่ทั้งหมดยิ่งทำให้มิเกลลืมทุกอย่างบนโลกใบนี้
นานจนแทบขาดใจกว่าเลอองจะยอมถอนปลายลิ้นและผละปากออก มิเกลต้องหลับตาหอบหายใจไปกับอารมณ์กระเจิดกระเจิง รอจนหายใจได้เกือบปกติจึงค่อยเปิดเปลือกตา เพิ่งรู้ว่าตอนนี้กลายเป็นเขาขึ้นไปนั่งอยู่บนตักของเลอองโดยมีวงแขนแข็งแกร่งโอบกอดอยู่
ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวานอย่างกระหาย อันที่จริงเขาอยากจะทำมิเกลมากกว่านี้แต่จำคำที่แม่สอนไว้ จนต้องยอมหยุดตนเองไว้ก่อน
“จำไว้นะเลออง มนุษย์มีกฎระเบียบแบบแผน มีมารยาทในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราจะทำตามใจเหมือนอยู่ในฝูงกับพ่อไม่ได้ เข้าใจไหมลูก”
“ไปนอนเถอะ วันนี้ผมจะนอนข้างนอก”
เพราะรู้ว่าหากใกล้ชิดเช่นเมื่อคืนเขาคงจะห้ามใจไม่อยู่เป็นแน่ ดวงตาที่หรุบลงมองได้แค่บ่าค่อยๆช้อนมอง มิเกลกัดริมฝีปากตนเองเพื่อหักห้ามความรู้สึกของเขา
“เลออง รออีกนิดนะ รอให้ผมมั่นใจอีกนิด”
พึมพำก่อนจะลุกจากตักเดินตรงไปยังเต็นท์ มิเกลรีบนอนคลุมโปงพลางยกมือกุมหัวใจตนเองไว้
“เอ้า ยังไม่หยุดเขินอีก เวรเอ๊ย”
บ่นตัวเองพลางข่มตาให้หลับ โดยมีใบหน้าของเลอองอยู่หลังเปลือกตาแต่ตามเข้าไปกระทั่งในฝันจนกระทั่งรุ่งเช้า
ในวันนี้ทั้งมิเกลและเคนไม่ต้องการเก็บพันธุ์ไม้อีกแล้ว เลอองจึงได้พาพวกเขาเดินออกจากป่าไปถึงรถยนต์ที่จอดไว้ในเวลาเกือบเที่ยง เขาขับรถไปส่งเคนที่รีสอร์ทของไทเลอร์ ระหว่างช่วยเหลือเคนยกสัมภาระลงจากรถเคนจึงกระซิบเลออง
“เลออง ผมรู้ว่าเลอองกับมิเกลชอบกัน ผมจะบอกความลับให้ นี่บอกเพราะผมชื่นชมเลอองนะ”
เมื่อแอบมองว่ามิเกลไม่ได้มองมาทางพวกเขา เคนก็รีบพูดกับเลออง
“มิเกลเป็นโอเมก้า รู้จักโอเมก้าใช่ไหม มิเกลจะมีช่วงฮีทเร็วๆนี้แหละถ้าผมจำไม่ผิด มันต้องกินยาต้านอาการฮีททุกเดือน”
ดวงตาสีเหล็กสว่างวาบ เข้าใจความหมายที่เคนต้องการจะสื่อกับเขา หันไปมองเคนด้วยความขอบคุณที่บอกข้อมูลสำคัญนี้ให้
“ยาชื่ออะไร เขียนยังไง”
เคนสะกดชื่อยาให้ฟัง เลอองยิ้มแย้มตบบ่าเคนเบาๆ แต่กระนั้นเคนก็ยังหน้านิ่ว
“ขอบคุณนะ คุณเป็นเพื่อนที่ดี”
เลอองเดินกลับมาที่รถด้วยความยินดีจนแทบจะเก็บอาการไม่มิด มิเกลที่นั่งรอในรถหันมองด้วยความแปลกใจ
“ทำไมไปนานจัง”
เลอองไม่ตอบเพราะไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร เขาไม่เคยโกหกใครหากพูดไปเกรงอีกฝ่ายจะจับได้ ร่างสูงใช้ความเงียบเป็นการกลบเกลื่อนและรีบสตาร์ทรถขับตรงไปยังบ้านของโทนี่ แต่เมื่อมาถึงกลับเห็นว่าไม่มีใครอยู่ โทนี่เขียนโน้ตทิ้งไว้ที่ประตูทางเข้า
“เลออง พ่อไปในเมืองกับแม่ ไปซื้อยาเพิ่มและกินข้าวกับเพื่อนจะกลับวันพรุ่งนี้ มีม้าป่วยมาเพิ่มหนึ่งตัวฝากดูแลด้วย”
ลอบยิ้มอยู่ในใจขณะส่งกระดาษโน้ตให้มิเกลอ่าน
“มิเกลยกแต่อุปกรณ์ทำงานไปเถอะ พวกกระเป๋ากับเต็นท์พวกนี้ผมจะยกตามไปให้เอง”
มิเกลกล่าวขอบคุณก่อนจะหอบหิ้วกระเป๋าใส่พันธุ์ไม้กลับเข้าไปในห้อง โดยมีเลอองยืนยิ้มตามหลัง
มีต่ออีกนิด....