เสน่หา...ฉากสุดท้าย
"เสน่หาขับขานกังวานรัก การพบพักตร์จตุนายหมายศศิน
เมื่อความรักพบผ่านในชีวิน สุขถวิลหรือสิ้นใยใครคาดเดา"
[/b]
“กานต์จะทำอะไรหรือถึงใช้พี่นวดแป้ง” อัครวินท์ส่งเสียงถาม มือก็ลงแรงนวดแป้งในกะละมังไปด้วย โดยมีคนท้องคอยดูไม่ให้ตัวเนื้อแป้งแห้งจนเกินไป พี่ณัฐเอาคนมาให้ใช้ รพีกานต์ก็ใช้เต็มที่ ในมือเรียวมีก้านมะยมคอยหวดคนที่รุ่มร่ามเป็นระยะ
“ขนมหม้อตาล” บอกพลางเสิร์ชภาพในอินเทอร์เน็ตให้ดู อัครวินท์ไม่รู้จักตามเคย แต่เห็นคนท้องบอกจะทำให้กินเขาก็ตั้งหน้าตั้งตานวดแป้งให้ ช่วงนี้สบโอกาสจังหวะเหมาะ ณัฐธีร์พาคุณรพินทร์นั่งเครื่องไปตามแพทย์นัดที่กรุงเทพฯ แล้วจะเลยไปดูความเรียบร้อยที่บ้านต่อ คงอยู่ต่ออีกหลายวันกว่าจะกลับ เรียกว่าโอกาสเป็นใจให้เขาได้ใช้เวลากับคนท้องได้เต็มที่ ทั้งกอดทั้งหอมทั้งฟัด ถูกคนท้องขึงตาดุตีด้วยก้านมะยมเอาบ้างก็ถือว่าคุ้ม
มือหนานวดจนเข้าที่ก็เข้าสู่กระบวนการปั้น รพีกานต์รับช่วงต่อในขั้นตอนนี้ มือเรียวปั้นแป้งเป็นก้อนกลมนำไปกดใส่แบบ ส่วนอัครวินท์นั้นรพีกานต์ให้ช่วยปั้นหูหม้อ ดูจะเหมาะกันดี สองคนร่วมด้วยช่วยกันสุดท้ายก็ได้หม้อใบเล็กหลายใบส่งเข้าเตาอบ
“วันนี้ยังกินไม่ได้ เอาออกจากเตาอบแล้วต้องอบควันเทียนทิ้งไว้หนึ่งคืน พรุ่งนี้กานต์ถึงจะทำน้ำตาลหยอดลงในขนมให้กิน วันนี้รางวัลที่นวดแป้งให้ กานต์จะทำอย่างอื่นให้พี่กินก่อน หม้อตาลนี่หากินยากอยู่ เมื่อก่อนเขาใช้ในงานมงคล พวกงานแต่งงานนี่แหละ” คนท้องอธิบายไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังเผลอคิดไถลไปไกลจนผุดรอยยิ้มออกมา
“ยิ้มอะไรพี่วิน”
“พี่ยิ้มเมียพี่ทำขนมแต่งงานของเราน่ะ”
“พี่คิดอะไรของพี่เนี่ย เพ้อเจ้อ เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ณัฐพี่ดินก็จะได้กินเหมือนกัน” คนท้องทำหน้าปุเลี่ยน เอ่ยดับฝันอีกคนสลายเสียป่นปี้ ยิ่งชื่อสุดท้ายยิ่งแสลงหู
“กานต์ไม่อยากแต่งกับพี่ ไม่อยากอยู่กับพี่หรือครับ” สีหน้าหมาตัวใหญ่หูลู่หางตกดูแล้วก็น่าสงสารอยู่หรอก กับคนที่มีแต่คนห้อมล้อมอยากเข้าหามาตลอด แต่พอยัดเยียดตัวเองมาอยู่ที่นี่ ถูกไล่เช้าไล่เย็น บ่อยเข้าก็เริ่มน้อยใจเป็นเหมือนกัน
“ไม่คุยกับพี่แล้ว จะกินไหมขนมจีบ” รพีกานต์เฉไฉนอกเรื่อง วูบหนึ่งที่ความรู้สึกสงสารแล่นเข้ากระทบใจ สายตาคมของเขา สายตาที่รพีกานต์เคยปรารถนาเป็นเจ้าของครอบครองไว้เพียงผู้เดียว สายตาที่หมายมาดให้เพ่งตรงที่คนเพียงคนเดียว ยามนี้สายตานี้สะท้อนภาพตนเองแล้ว กลายเป็นรพีกานต์เสียเองที่ไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง กลัวความรู้สึกในยามอดีตที่เคยกักเก็บไว้จะทำให้เผลอใจอ่อน
“พี่ไม่กินก็ได้ เดี๋ยวกานต์จะเหนื่อย กานต์เมื่อยไหม เดี๋ยวพี่นวดให้ พี่ดูจากอินเทอร์เน็ต บางทีคนท้องก็มีอาการเหน็บที่ขา ให้พี่นวดให้นะ” อัครวินท์กระวีกระวาดเอาอกเอาใจ เขารุนหลังคนท้องไปนั่งบนเก้าอี้นอน ส่วนตัวเองก็รีบกลับมาเก็บอุปกรณ์ไปแช่ไว้ตรงอ่างล้างจาน
“ล้างอุปกรณ์ให้เรียบร้อยก่อนพี่วิน” คนท้องติง บอกแล้วจึงลุกขึ้นหยิบมะม่วงตลับนากมาปอกเปลือก สายตาชำเลืองมองคนเงอะงะที่ดูแล้วน่าจะทำครัวพังเสียมากกว่าช่วย อัครวินท์ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นสักอย่าง แต่ท่าทางตั้งอกตั้งใจทำให้รพีกานต์ไม่ได้เอ่ยอะไรทำลายน้ำใจ ปอกมะม่วงไป ชำเลืองมองอีกคนไปเงียบ ๆ อัครวินท์ในยามนี้ช่างต่างจากมาดเจ้าชายที่เจอในตอนแรก ตอนนั้นผู้ชายคนนี้ดูเข้าถึงยากจนไม่น่าเชื่อ
“เสร็จแล้ว” เสียงร่าเริงปลุกสติคนท้องจากภวังค์ ร่างใหญ่ปราดเข้ามาหา ทิ้งคราบน้ำกระเซ็นเป็นหย่อม ๆ ไว้เบื้องหลัง รพีกานต์พยักพเยิดให้ดู ชายหนุ่มยิ้มเผล่รีบกลับไปถู แล้วจึงตามคนท้องไปที่ห้องนอน
รพีกานต์เอาหมอนใบใหญ่รองแผ่นหลังรออยู่บนเตียง เขาไม่ได้ตะแหง่แง่งอนมากมายจนดูน่ารำคาญ อัครวินท์อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่รพีกานต์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเท่าไรนัก ถามคำตอบคำแบบขอไปที ในความมึนตึงเล็ก ๆ พูดจากันน้อยคำ พ่อเจ้าแฝดอดทนกับความเฉยชาสูงกว่าที่คิด เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกแกล้งเพื่อไล่กลาย ๆ อย่างนั้นแล้ว รพีกานต์ประชดประชันอะไร เจ้าตัวก็เพียงทำหูทวนลม เฉยเสีย ให้คนท้องเหนื่อยไปเอง
มือหนานวดไปตามต้นขา สายตาอาทรส่งให้ไม่ขาด ท้องกลมโตจนโย้ เวลาเดินจะดูแอ่นหน่อย ๆ อัครวินท์ชอบยามที่ยื่นใบหน้าแนบท้องฟังเสียงดิ้นของสามแฝด ฟังเสียงแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อีกคน สว่างสดใสทั้งดวงตาและรอยยิ้ม รพีกานต์หลบสายตาเปี่ยมความหวังเสมองไปนอกหน้าต่าง เตือนตัวเองให้ใจแข็งอย่างที่สุด เพราะหัวใจไม่เคยเกลียดชังคนตรงหน้า ความพยายามจึงหนักหนาเอาการ
ครู่หนึ่งจึงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาบนหลังเท้า
“พี่วิน” รพีกานต์จะชักเท้าหนี แต่ภาพตรงหน้ากลับตรึงร่างกายไว้นิ่ง คนตัวโตประทับรอยจูบแล้วแนบแก้มตามไป ดวงตากลมสั่นไหว ความหวั่นหวิวแล่นเข้าจู่โจม เพราะเกลียดไม่ลง การทำใจให้แข็งจึงยากแสนยาก
“พี่ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” เสียงทุ้มพึมพำ ใบหน้ายังแนบแช่ไว้ที่หลังเท้า ในใจกำลังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว กลัวที่จะเสียรพีกานต์ไป เพราะเขารู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นจะดูแลคนตรงหน้าได้ดี คนที่เห็นคุณค่าดวงแก้วที่เขาทำหลุดมือไป ที่ทำได้คือยื่นให้สุดแขนเพื่อคว้าเอาคืน ยื้อเอาไว้ด้วยความดื้อดึง ความเย็นชาที่รพีกานต์แสดงออกเสมือนเยื่อบางเบากางกั้นระหว่างกัน มันทำให้เขาหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ อยู่หรือไปไม่ใช่เขาที่ตัดสิน
ก้อนเนื้อในโพรงอกด้านซ้ายบีบตัวด้วยความปวดหนึบ หยดน้ำใสหลั่งรินเงียบเชียบ บาดแผลที่มองไม่เห็นทรมานเขาช้า ๆ ลุกลามไม่ต่างจากมะเร็งร้าย
“กานต์ไม่ได้โกรธ กานต์แค่เสียใจ กานต์รักพี่เป็นคนแรก รักพี่คนเดียว แล้วกานต์ก็ต้องเสียใจด้วยน้ำมือคนที่กานต์รัก คนที่ไม่เคยมองว่ากานต์มีค่า พี่รู้ไหม มันจะง่ายมาก ถ้าพี่จะไม่กลับมาในชีวิตกานต์อีก จบเรื่องระหว่างเราแล้วต่างคนต่างมีชีวิตใหม่ พี่น่าจะดีใจนะ คนที่เข้ามาหากานต์ ไม่มีใครรังเกียจสามแฝดเลย”
“กานต์ หยุดไล่พี่เถอะนะ พี่ขอร้อง” เขาร้องขอเสียงสั่น หัวใจปวดแปลบจนน้ำตาไหล จับมือเรียวแนบแก้ม ดวงตาเว้าวอนจ้องมองผ่านความพร่าลางยังคนที่มองเขาราวคนแปลกหน้า มันเฉยชา ไร้ความเชื่อใจเสียจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำขอให้ยกโทษ ยังเหลืออยู่ไหมนะ ความรักในใจรพีกานต์ ทั้งผลักไสและไม่เปิดใจรับ รอยยิ้มวันวานเปลี่ยนเป็นความแห้งผาก เฉยเมย แม้อยู่ใกล้กันเพียงสัมผัส แต่หัวใจกลับทุรนทุรายเหลือเกิน
“กานต์อยากอ่านหนังสือเงียบ ๆ ถ้าพี่เบื่อนวดแล้ว อยากไปทำอะไรก็ไปเถอะ” รพีกานต์เบือนหน้าหนี ตัดบทด้วยการหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน เมินเฉยต่อน้ำตาอ้อนวอนให้ปรานี
ไล่พี่อีกแล้ว
แม้มองด้วยสายตาตัดพ้อสักแค่ไหน รพีกานต์ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากไปกว่าหนังสือในมือ ทุกสิ่งอย่างสำคัญและมาก่อนเขาเสมอ คนท้องเฉยชาได้แม้กระทั่งน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น อัครวินท์เสียใจ ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเสียใจเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากปล่อยมือ
โน้ตแผ่นเล็กสอดไว้ข้างในหนังสือเป็นลายมือคุ้นตาของพ่อ รพินทร์ส่งหนังสือเรื่องเวียงกุมกามให้บุตรชายก่อนออกเดินทาง รพีกานต์เพิ่งเปิดเห็นโน้ตนั้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเจอประโยคสื่อความนัยในโน้ต
“จงรักเสีย เมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนัก ให้แสนรักก็ต้องลา...”
เนื้อความจับจิตจับใจตามสไตล์นักประพันธ์ชั้นครูนามปากกาทมยันตี นี่คือสิ่งที่บิดาอยากสื่อ ดวงตากลมมองเลยแผ่นโน้ตไปยังคนที่ยังคอยนวดให้เงียบ ๆ ท่าทางเซื่องซึมจนไหล่ลู่ลงเหมือนคนท้อแท้สิ้นหวัง
จะมีสิ่งใดทำร้ายจิตใจได้เท่าคำพูดร้ายกาจที่มนุษย์มอบให้แก่กัน คมปลาบปวดแปลบเสียยิ่งกว่าใบมีดใด ๆ พลานุภาพทำล้างทำลายหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าขีปนาวุธ คำพูดเป็นทั้งน้ำทิพย์ชุบชีวิตและปลิดชีพคนได้ง่ายดายราวใบไม้ปลิดขั้วร่วง และรพีกานต์ก็เลือกสาดคำพูดเสียดแทงให้คนตรงหน้า มล้างทำลายให้เขาเจ็บปวดเหมือนตนเองเคยเจอ อัครวินท์ที่เคยสง่างามทะนงในตัวเอง เวลานี้กลับดูเลื่อนลอยเหมือนคนสูญสิ้นความหวังทั้งหมดของชีวิต
ถามหัวใจตัวเองเถิด สาแก่ใจจริง ๆ ไหมที่เห็นน้ำตาอีกคน
คำตอบคือไม่เลย
“จงรักเสีย เมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนัก ให้แสนรักก็ต้องลา...”
คำย้ำเตือนเสมือนให้ได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู รพีกานต์กัดริมฝีปากด้วยความสับสน ความเชื่อใจที่เกิดรอยร้าว มันยากที่จะผสาน จะสรรหาความเข้มแข็งจากไหนให้กลับมาเชื่อใจในคนเดิม เพราะรพีกานต์นั้นขี้ขลาดเกินกว่าจะทำ เหมือนสัตว์บาดเจ็บที่มักเข็ดกับคนที่เคยทำร้าย เขาทั้งขี้ขลาดและหวาดกลัวเหลือเกิน
วันเวลายังเลื่อนผ่านไปด้วยความซื่อสัตย์ ยาวนานเชื่องช้าสำหรับหัวใจคนทรมาน เหมือนสะพานที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เวลาเป็นใจแต่อีกคนไม่เปิดใจ อัครวินท์จึงถูกความทรมานกัดกินช้า ๆ อ้อมกอดน้ำตาไหลมาในบางคราว ความรู้สึกฝืดเฝื่อนยามพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอด้วยความน้อยใจ กระนั้นก็ไม่กล้าให้คลาดสายตาไปอีก
อัษศดิณย์ยังแวะเวียนมาหา ความรู้สึกราวอากาศธาตุไร้ความสำคัญกัดกร่อนหัวใจเช่นนี้เอง ทุกอย่างย้อนคืนในสิ่งที่เขาเคยทำกับคนที่รักเขาตอนนั้น วันนั้นที่เคยทรยศหักหลังต่อความรักในมือ ในวันนี้รพีกานต์ไม่ได้หักหลัง มันยังทำให้เขารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดได้ขนาดนี้ หัวใจและร่างกายที่เคยแกร่งดุจหินผา ตอนนี้มันโงนเงนง่อนแงนเหมือนพร้อมจะพังทลายลงทุกเวลา ให้คนที่รักออกปากขับไล่ไสส่งยังจะเจ็บน้อยกว่านี้ กระนั้นหัวใจดื้อรั้นก็ยังค้านชนฝา
“ไม่ได้นะเว้ย ถ้ายอมแพ้ง่าย ๆ ตอนนี้ กานต์ก็จะเห็นว่ามึงไม่มีความอดทนอะไรเลย กานต์จะไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาดว่ามึงอยากได้กานต์คืนจริง ๆ” เขาแอบมาชกต้นไม้ระบายอารมณ์ คิดโง่ ๆ ว่าเผื่อมันจะช่วยย้ายความเจ็บปวดในใจไปไว้ที่อื่นได้บ้าง เขาเจ็บ...ที่รอยยิ้มที่คนที่รักไม่ได้มีไว้ให้เขา
รอด้วยความอดทนโดยไม่เข้าไปก่อกวน เขาให้เกียรติคนที่เขารัก เพราะหลังจากอัษศดิณย์กลับไปแล้ว เวลาที่เหลือยังเป็นของเขา ใช่ ยังเป็นของเขา รอยยิ้มขมขื่นประโลมหัวใจอ่อนล้า ได้แต่หวังว่ามันจะไม่นานจนเกินไปนัก รักให้ชีวิต รักก็คร่าชีวิตได้เช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของรัก
“กานต์ รินอยากคุยด้วย เราเฟซไทม์คุยกับรินกันนะ รินอยากเห็นว่าตัวเล็กโตแค่ไหนแล้ว” เขากระวีดกระวาดบอกด้วยความดีใจเมื่อรพีกานต์กลับเข้าห้องมาเสียที
“พี่ดินเอาขนมมาฝาก มีเผื่อพี่ด้วย”
“ได้ ๆ กานต์อยากกินใช่ไหม งั้นกานต์ไปนั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวพี่จัดใส่จานให้ แล้วเราจะคุยกับรินกันนะ” เขารับขนมมา กุลีกุจอหาจานมาใส่แล้วรีบตามคนท้องไป เก้าอี้ไม้ตัวเล็กถูกขยับมาข้างเตียงสำหรับวางจานขนม อัครวินท์ตบปุ ๆ ให้คนท้องนั่งตรงตำแหน่ง มือกดโทรออกแล้วเสียบโทรศัพท์เข้ากับขาตั้ง กะระยะให้มองเห็นกันถนัด
“หวัดดีพี่ชาย กานต์ด้วย” ไอยวริญท์ฉีกยิ้มทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ อัครวินท์กลับไปนั่งซ้อนหลัง เขาฉีกขาออกเพื่อรับร่างอวบมาไว้ตรงกลาง มือสวมกอดท้องกลมพลางฉีกยิ้มตอบ
“ริน หลานรินดิ้นใหญ่เลยในท้อง”
“หูย ตื่นเต้น กานต์ไม่พูดอะไรบ้างล่ะ แล้วนี่จะคลอดเมื่อไร อยากไปหาจัง” ไอยวริญท์ส่งเสียงเจื้อยแจ้วพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“ลูกแฝดมักคลอดก่อนกำหนด หมอบอกให้พยายามพยุงให้ได้สักสามสิบสี่วีค เราคงแอดมิตเข้าไปรอคลอดที่โรงพยาบาลแหละ ท้องโตคงเดินไม่ค่อยไหวแล้ว”
“กานต์อย่าว่ารินยุ่งเลยนะ ไหน ๆ พี่วินก็หากานต์เจอแล้ว คราวนี้คงไม่ปล่อยให้หนีอีกแน่ ๆ รินว่ากานต์มาคลอดที่นี่ดีไหม ญาติเรามีโรงพยาบาลอยู่ ติดต่อให้ดูแลกานต์ได้สบายเลย ให้พวกเราดูแลกานต์เถอะนะ ถือว่าชดเชยที่พี่ชายไม่ได้เรื่องของเราก่อเรื่องกับกานต์ไว้ อันนี้พี่วินบอกเราให้คุยกับกานต์ให้ บอกเองกลัวกานต์ไม่ยอม แต่เราอยากให้กานต์มาที่นี่นะ ครอบครัวเราอยากชดเชยอะไรให้กานต์บ้าง ให้พวกเราดูแลกานต์เถอะ นี่ปู่ก็เตรียมส่งเครื่องส่วนตัวไปรับ รอแค่กานต์ตกลง กานต์มาเถอะนะ” ไอยวริญท์เริ่มขบวนการเกลี้ยกล่อม คนท้องนกรู้ตวัดสายตามองคนข้างตัว อัครวินท์ยังไม่ตกปากรับคำกับข้อตกลง และตอนนี้ดูเหมือนคนเจ้าเล่ห์จะวางแผนบางอย่าง
“กานต์รู้นะว่าพี่จะกันกานต์ออกห่างพี่ดิน แล้วพี่ก็ยังไม่รับปากกับข้อตกลงของเรา”
“ที่นี่อากาศดี เราอยากพักพักผ่อนอยู่ที่นี่มากกว่า อีกอย่างเปิดเทอมพี่วินก็ต้องกลับไปเรียน คงไม่ได้อยู่ตอนคลอด” คนท้องตัดรอน คนพยายามหาพวกเลยได้แต่จ๋อย
“งั้นรินไม่บังคับกานต์ก็ได้ แต่รินขอเบอร์ใหม่กานต์หน่อยซี มีเรื่องอยากปรึกษาแบบส่วนตัวน่ะ” ไอยวริญท์อ้อมแอ้มคุย สายตาหลุกหลิกผิดปกติ
“ก็ปรึกษาไปซี ทำอย่างกับพี่ไม่รู้เรื่องพี่ฉายฉาน ลูกชายเอกอัครราชทูต” อัครวินท์ขัดคอน้องสาว ไม่มีเสียละที่เขาจะออกไป
“พี่วินอย่ามาล้อรินนะ เรื่องแบบนี้เพื่อนเขาปรึกษากัน” ไอยวริญท์ค้อนให้ เพียงเท่านี้รพีกานต์ก็เข้าใจในเรื่องที่อีกฝ่ายอยากคุย คนท้องยังจำพี่ฉายฉานคนนั้นได้ หน่วยก้านนับว่าไม่เลวเลย อุปนิสัยและหน้าตาดีทีเดียว
“ถ้าพี่วินไม่ดื้อ กานต์จะพูดกับพี่ดี ๆ ตกลงไหม” รพีกานต์ต่อรองคนที่อิดออดไม่ยอมไป สุดท้ายคนตัวใหญ่เลยยอมแต่โดยดี
“โห กานต์เจ๋งชะมัด ปราบพี่วินเสียราบคาบ”
“ช่วงโปรโมชันน่ะริน เอาละ มาเรื่องที่รินอยากคุย พี่ฉายฉานนี่ใช่คนเดียวกับเดือนรัฐศาสตร์มอเราไหม” แล้วสองเพื่อนก็เริ่มพูดคุยเรื่องหัวใจ ในขณะที่คนตัวใหญ่ก็ยังวางแผนเรื่องเกลี้ยกล่อมรพีกานต์ให้กลับไปคลอดที่บ้านอยู่ดี เพราะรู้ว่าหากตนเองเปิดเทอม โอกาสอยู่ด้วยกันคงน้อยลงตาม
Tru Tru Tru
“ครับพ่อ กานต์คุยกับรินอยู่น่ะครับ” อัครวินท์รับโทรศัพท์ของรพีกานต์แทน หลังเห็นหน้าจอโชว์สายเรียกเข้าเป็นเบอร์โทร.ของรพินทร์
“วิน บอกกานต์หน่อยนะ หลวงตามรณภาพแล้ว นี่พี่ณัฐก็ว่าจะบวชให้ไปจนเปิดเทอมโน่นเลยถึงจะสึก พ่อคงอยู่ที่นี่อีกหลายวัน วินดูแลน้องไปก่อนนะ” ฟังที่รพินทร์เล่ามาแล้วอัครวินท์ก็เริ่มคิดแผนพาคนท้องกลับออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาคงต้องขอความช่วยเหลือจากรพินทร์อีกแรง
“พ่อครับ ผมมีเรื่องอยากให้พ่อช่วยหน่อย พ่อช่วยผมหน่อยนะครับ” เขาขอร้องอีกฝ่าย พอจับความรู้สึกได้ว่ารพินทร์ไม่ได้ต่อต้านเขา หากพูดจากันดี ๆ ก็ไม่ยากที่รพินทร์จะรับฟัง
ด้วยการเกลี้ยกล่อมจากหลายคน สุดท้ายรพีกานต์ก็ได้กลับบ้านอีกครั้ง สาเหตุหลักเพราะคนท้องอยากมาไหว้ศพหลวงตาที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย หลวงตาท่านอาพาธมาพักหนึ่งแล้วและตอนละสังขารท่านก็จากไปอย่างสงบ เป็นห่วงก็แต่พี่ณัฐที่ดูจะซึมไป หลังจากพูดคุยปรึกษากันก็ได้ความว่าหลังเสร็จงานศพหลวงตา พี่ณัฐจะบวชต่อจนใกล้เปิดเทอมจึงจะสึก
เช้าตรู่อากาศสดชื่น หลวงพี่บวชใหม่เดินบิณฑบาตกรายมาหน้าบ้าน รพีกานต์และอัครวินท์ยืนสำรวมรอใส่บาตรให้ท่าน สีหน้าหลวงพี่ผ่องใสขณะให้ศีลให้พร จริยวัตรของท่านงดงามน่าเลื่อมใส อัครวินท์รู้สึกอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำบุญใส่บาตรร่วมกับรพีกานต์ หากไม่ได้หลวงพี่ท่านช่วย ทุกวันนี้เขาคงยังทุกข์ใจกับการหาคนรักไม่เจอ สายตาขอบคุณที่ส่งให้ตอนใส่บาตร หลวงพี่ท่านคงรู้สึกได้ จึงได้ยิ้มบางส่งให้
“ถ้าไม่ได้หลวงพี่ท่านช่วย พี่คงหากานต์ไม่เจอง่าย ๆ”
“พี่วินน่าจะปล่อยให้กานต์ได้ไปเจอคนดี ๆ ว่าไหม” คนท้องแหย่หน้าตาย
“ไม่ อย่างกานต์ต้องอยู่กับพี่เท่านั้น” ใบหน้าหล่อเหลาจริงจัง ไม่ยอมรับมุกโดยง่าย
“ข้อตกลงของเรา หวังว่าพี่จะไม่ลืม” รพีกานต์ย้ำคำ รู้ว่าอีกฝ่ายจะบิดพลิ้วด้วยการไม่รับยอมรับปาก เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ รพีกานต์ผละเข้าบ้านไป เวลาระหว่างกันร่นใกล้เข้ามาทุกที
.
.
“อือ พี่วิน กานต์ปวดท้อง” รพีกานต์ร้องเรียกคนมานอนเฝ้า ตอนนี้เขาแอดมิตรอคลอดที่โรงพยาบาลแล้ว คุณหมอท่านนัดผ่าคลอดอีกสองวันข้างหน้า แต่วันนี้เขาปวดท้องขึ้นมาเสียก่อน
“พี่วิน” รพีกานต์หน้าซีด ท้องโย้โตจนน่ากลัว เขาเดินเหินแทบไม่ไหว อัครวินท์เด้งผึงจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียง เขารีบผลุนผลันเข้ามาหา
“กานต์ กานต์จะคลอดแล้วหรือ เดี๋ยว เดี๋ยวพี่กดเรียกหมอให้” อัครวินท์ตื่นเต้นจนมือสั่น เขาสวมกอดท้องโย้ จูบขมับให้กำลังใจขณะรอ
ถ้าจะมีอะไรตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของผู้ชายที่ชื่ออัครวินท์ อิศวัชร ก็คงต้องบอกว่าตอนนี้แหละที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ก้อนเนื้อในโพรงด้านซ้ายเต้นโครมคราม มือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อขณะกุมมือให้กำลังใจคนรัก สายตารอคอยการได้เจอเด็กน้อยสายเลือดตัวเอง ทั้งลุ้นทั้งกระวนกระวาย ยามเห็นหมอลงมีดกรีดผิวเนื้อ ยอมรับว่าแทบหยุดหายใจไปเหมือนกัน
“กานต์เจ็บไหม” อัครวินท์ถามเสียงสั่น ทั้งตื่นเต้นทั้งลุ้นทั้งรู้สึกเจ็บแทน รพีกานต์ส่ายหน้าปฏิเสธเพราะถูกบล็อกหลังระหว่างคลอด อัครวินท์มองดูทุกอย่างด้วยความตื่นเต้น มีคุณพยาบาลคอยถ่ายวิดีโอไว้ให้
“อะ ออกมาแล้วกานต์” น้ำเสียงตื่นเต้นปลื้มปริ่มเต็มที่ยามมองเด็กตัวจ้อยถูกควักออกจากท้อง เสียงคุณหมอขานบอกเวลา อัครวินท์กุมมือนุ่มแน่นขึ้นจนสั่น
“คุณพ่อร้องไห้แล้ว” เสียงพยาบาลเอ่ยแซว อัครวินท์เพิ่งรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้มตอนนั้นเอง เขายิ้มทั้งน้ำตา ยังควบคุมอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ มือหนายกมือบางขึ้นจูบ สายตายังคงมองลุ้นการทำคลอดอย่างต่อเนื่อง
“พี่วินยังไม่ลืมที่กานต์เคยขอใช่ไหม” จู่ ๆ รพีกานต์ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเฉยชา
“กานต์...” เขามองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่ารพีกานต์จะทวงถามกันในยามนี้
“พี่ดินกำลังจะมาที่นี่ รบกวนพี่วินไปรับให้หน่อยนะครับ กานต์จะแต่งงานกับพี่ดิน แล้วพี่วินก็ไม่ต้องมาให้กานต์เห็นหน้าอีก ถือว่ากานต์ขอ...เพื่อลูก”
“กานต์...” เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ อัครวินท์ตัวช้าดิก ใบหน้าซีดเผือด แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาที่หลั่งด้วยความโสมนัสอย่างสุดซึ้งกำลังกลายเป็นน้ำตาแห่งความอาดูรอย่างที่สุด
“คุณพ่อถ่ายรูปกับสามแฝดนะคะ” พยาบาลยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูคุณพ่อมือใหม่ เข้าใจว่าเขาดีใจจนร้องไห้ ใช่ เขาดีใจจนร้องไห้ในคราแรก แต่ตอนนี้เขาหลั่งน้ำตาเพราะดวงใจถูกควักออกไป
“กานต์...ใจร้าย” น้ำตายังหลั่งไม่ขาดสาย มันคงจะกลายเป็นสายเลือดขึ้นมาจริง ๆ หากเขายังคงร้องออกมาไม่หยุด อัครวินท์ขับรถไปด้วยความเสียใจ ความรู้สึกเดียวกับรพีกานต์ยามเห็นเขาหักหลังกันในคราวนั้น คราวที่กานต์รถคว่ำ
บนถนน ฝนไม่ได้ตก แต่การมองเห็นของเขามันพร่าเลือนเกินกว่าจะมองเห็นสิ่งใดชัดเจน ปลายทางช่างบีบรัดหัวใจเขานัก ไปรับใครอีกคนมาทำหน้าที่คนรักและพ่อของลูกแทนเขา ใจเอ๋ย มันจะขาดรอน ๆ ก็คราวนี้
ปี๊นนน
โครม !
“จงรักเสีย เมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนัก ให้แสนรักก็ต้องลา...”
มือเปื้อนเลือดค่อยขยับเชื่องช้า ชื่อของคนที่รักถูกจารึกด้วยอักษรโลหิตบนกระจก ให้รู้ว่ารักสุดหัวใจจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
“กานต์”
“พี่รักกานต์” เสียงเบาหวิวแผ่วเบาเหลือเกิน มันคือกำลังเฮือกสุดท้ายที่เขารวบรวมเปล่งออกมา แม้คนที่รักจะไม่ได้อยู่ฟังก็ตาม
น้ำตาสองสายไหลหยาดบนดวงหน้า ร่างกายเกร็งกระตุกอยู่สองสามหนก่อนแน่นิ่งไป นัยน์ตาทั้งคู่ยังคงเหลือกค้างด้วยใจยังอาวรณ์เหลือคณา แต่สุดทานกำลังจะต้านไหวแล้ว ลมหายใจบางเบากลับไขว่คว้าไว้ได้ยากเย็น
ลูกจ๋า พ่อไม่ได้อยากจากหนูไปเลย
โลหิตเปรอะนองท่วมร่าง ยามที่ลมสายหนึ่งพัดพาไปไกลแสนไกล เวลาปรานีเขาได้เท่านี้เอง
กลิ่นน้ำมันฉุนกึก ตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น พระเพลิงเริงโรจน์ฉาน ผลาญเผาร่างเขามอดไหม้ในเปลวเพลิง
จบแล้วกับการชดใช้
กานต์พอใจแล้วใช่ไหม คนดี
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ต่อด้านล่างค่า