ตอน 5
“โทรเรียกกระผมมา มีอะไรไม่ทราบครับ?” ไอ้บาสนั่งรอจนกระทั่งผมดีดตัวขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ ก่อนจะเอ่ยถามเปิดประเด็นอย่างกวนประสาท ผมจึงรีบว่ายน้ำไปทางเก้าอี้นั่งริมสระทางด้านซ้ายมือ จากนั้นก็วางแขนทั้งสองข้างลงบนพื้นไม้ข้างหน้า ส่วนลำตัวยังคงแช่อยู่ในสระน้ำตรงหน้าบ้าน พลางมองไปยังไอ้ญาติผู้น้องที่มีบ้านอยู่ในรั้วบริเวณเดียวกัน เพียงแต่บ้านของผมและของพ่อกับแม่จะอยู่ทางฝั่งขวามือ ส่วนครอบครัวของมันจะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ โดยมีสวนหย่อมขนาดพอเหมาะแยกสัดส่วนของแต่ละครอบครัวไว้
“กูบังเอิญได้ข้อมูลดีๆ มาว่ะ”
“พี่หมายถึงข้อมูลของไอ้ชลน่ะเหรอ?” ไอ้บาสรีบถามกลับอย่างสนใจ
“เออ! เมื่อวันเสาร์ กูต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด ระหว่างทางกูเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีขาวนอนอยู่ในทุ่งสโนว์ดรอปส์ว่ะ แล้วคืนก่อนหน้านั้น กูก็ตั้งใจจะแอบเดินตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป แต่พอกูหันหลังกลับไปปิดประตูบ้าน เธอก็หายไปแล้ว..” ผมเล่าพลางหยุดสังเกตพฤติกรรมของไอ้ญาติผู้น้องตรงหน้าสักเล็กน้อย
“อย่าบอกนะว่า.. ตอนเช้ามืด เธอก็หายตัวไปอีกครั้ง?” ไอ้บาสพูดขึ้นด้วยท่าทางสยดสยอง
“เออดิ แต่มึงเลิกคิดถึงเรื่องลี้ลับอะไรนั่นได้เลย” ผมรีบเบรกความคิดอันบรรเจิดของไอ้ญาติผู้น้องอย่างรวดเร็ว
“พี่เอาอะไรมามั่นใจนักหนาวะ หายตัวไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น ยังจะบอกว่าไม่ใช่”
“เพราะกูแอบล็อกประตูตอนที่เดินกลับเข้ามาในบ้านไงวะ แล้วผลก็คือเธอกลับเข้าบ้านไม่ได้เว้ยมึง ถ้าเป็นสิ่งลี้ลับจริงๆ คงไม่น่าจะไร้น้ำยาขนาดนั้น” ผมรีบเฉลยคำตอบให้ไอ้นักจิตวิทยาตรงหน้าได้เข้าใจ ก่อนที่มันจะคิดไปถึงสิ่งลี้ลับขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นใครกันวะ ผมไม่เคยเจอคนอื่นที่บ้านหลังนั้นเลยนะ นอกจากวันนั้นที่ผมเล่าให้พี่ฟังน่ะแหละ”
“กูก็ไม่รู้.. แต่ว่าเธอชอบปรากฏตัวพร้อมๆ กับเทียนหอมกลิ่นวานิลลาในตอนกลางคืน” ผมเฉลยพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเคาะลงบนพื้นไม้เพียงเบาๆ
“แต่ประเด็นคือ.. กูไม่เคยซื้อเทียนหอมกลิ่นนี้ให้จันทร์ แล้วคุณชลวิทย์เพื่อนมึงก็ไม่เคยซื้อเทียนให้จันทร์ด้วย”
“พี่กำลังจะบอกว่า.. เพื่อนผมมันโกหก?” ไอ้บาสรีบถามกลับอย่างหยั่งเชิง
“หรือมึงคิดว่าไม่ใช่ ?” ผมย้อนถามอย่างจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไอ้ชลกับเด็กผู้หญิงคนนั้น.. ก็ต้องรู้จักกันน่ะสิ?” หลังจากไอ้นักจิตวิทยาตรงหน้าวิเคราะห์จบ ผมก็รีบพยักหน้าแสดงความคิดเห็น
“อ่อ มีอีกเรื่องที่กูคิดว่ามึงน่าจะยังไม่รู้”
“จันทร์มีงานอดิเรกเป็นการทำขนมว่ะ แล้วสูตรทั้งหมด คุณชลวิทย์ก็เป็นคนไปหามาให้จากร้านอินเตอร์เน็ต แต่กูไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำขนมพวกนั้นจะมีครบครันมากแค่ไหน”
“แล้ว?”
“มึงคิดว่าคนที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่าย จะมีเวลามาทำอะไรพวกนี้ให้น้องชายเหรอวะ? เขาจะหาภาระเพิ่มให้ตัวเองจริงดิ?”
“อ้าว คนรักน้องมันก็ทำได้ไงพี่ภัทร โห่! อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน!”
“กวนตีนไอ้สัส!” ผมด่าไอ้บาสพร้อมกับดึงขามันเตรียมจะลากลงน้ำมาด้วยกัน แต่มันเสือกโวยวายจนแม่เดินออกมาด่าผมเสียนี่
“นั่นแม่กูหรือแม่มึงวะเนี่ย” ผมบ่นพลางส่ายหัว
“ต่อๆ อย่าเพิ่งบ่นสิวะ พี่ภัทรนี่ก็.. ทำตัวเป็นตาแก่ขี้น้อยใจไปได้”
“มึงน่าจะโดนตีนกูสักทีนะไอ้บาส” ผมย้อนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางสะบัดน้ำใส่ไอ้ญาติผู้น้องจนเนื้อตัวเปียกซก
“เข้าเรื่องเถอะนะสุดหล่อ กูกราบล่ะนะพี่ภัทร กูหนาวไปหมดแล้วเว้ย!”
“ก่อนหน้านี้คุณชลวิทย์เคยบอกกับกูว่า เขาไม่กล้าห้ามจันทร์เรื่องเปิดปิดแอร์ เพราะเขากลัวว่าจันทร์จะไม่เข้าใจแล้วก็กลัวว่าจันทร์จะเหงา แต่สมุดจดสูตรขนมของจันทร์มันก็แสดงให้เห็นว่า วันๆ จันทร์คงทำแต่ขนม โทรทัศน์คงไม่ค่อยได้เปิดเท่าไหร่ แล้วน้องก็ไม่น่าจะเหงาอย่างที่คุณชลวิทย์ให้เหตุผลกับกูด้วย เพราะเขามีงานอดิเรกที่ชอบทำอยู่แล้ว อ้อ! กูเห็นจันทร์มีตู้หนังสือส่วนตัวด้วย ดูท่าทางน่าจะชอบอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน กูว่าเรื่องค่าใช้จ่ายกับเรื่องของจันทร์คงไม่ใช่สาเหตุจริงๆ ที่ทำให้เกิดอาการแพนิคว่ะ แล้วกูก็คิดว่าสาเหตุจริงๆ มันน่าจะมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่มันแปลกตรงที่ตอนนี้เขาไม่มีอาการแพนิคเลย”
“ที่ไม่มีอาการ อาจจะเป็นเพราะยาที่พี่สั่งให้เขากินหรือเปล่า?”
“นั่นก็อาจจะใช่ แต่มันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ไหมวะ คือกูก็ดีใจนะที่เขาไม่มีอาการแพนิคแล้ว แต่กูกังวลแค่ว่า.. เขาจะปกปิดเรื่องอาการที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุจริงๆ ของเขาน่ะสิ มึงก็รู้ว่าคนเป็นแพนิคสุ่มเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าแล้วก็โรคอื่นๆ ด้วย”
“ก็จริงของพี่ แต่ตอนที่ผมใช้วิธีบำบัดแบบ CBT ไอ้ชลมันก็ดูรับมือได้ดีอยู่นะ”
“ยังไงมึงก็ลองหาทางสอบถามเขาหน่อยแล้วกัน เราเองจะได้รู้ด้วยว่าไอ้การเพิ่มหรือลดโดสยาในตอนนี้ มันมาถูกทางแล้วจริงๆ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็ดำน้ำลงไปยังพื้นสระเบื้องล่างอย่างต้องการจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่โดยรวมแล้วผมรู้สึกว่าอาการของเธอดูไม่ค่อยปกตินัก นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของบ้านต้องแอบซ่อนเธอเอาไว้ด้วยหรือเปล่า ถึงได้ทำให้คำตอบที่ผมเคยได้รับมีแต่การปฏิเสธแทบทั้งนั้น
ผมสะบัดหน้าพลางว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหอบหายใจและเสยปลายเส้นผมที่ปรกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่เมื่อมองขึ้นไปยังฟากฟ้า ผมกลับเห็นดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนนั้น และมันก็ทำให้ผมอดคิดถึงใครบางคนที่มีชื่อเสียงเรียงนามเหมือนกับ ‘พระจันทร์’ ที่กำลังส่องประกายอย่างงดงามอยู่บนแผ่นฟ้าในยามราตรีไม่ได้
ครืด ครืด
“โทษทีครับพี่ พอดีเมื่อกี้ผมไม่สะดวกรับสาย” พอขึ้นมาจากสระน้ำ ผมก็รีบโทรหาพี่ทรายเจ้าของคาเฟ่แถวโรงพยาบาลที่ผมมักจะแวะไปอุดหนุนอยู่บ่อยๆ พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมสระเพราะเนื้อตัวยังไม่แห้งดี และถ้าหากผมรีบกลับเข้าไปในบ้านตอนนี้ละก็ เห็นทีผมคงต้องมานั่งเช็ดบ้านอีกรอบ เนื่องจากบ้านของผมสร้างแยกออกมาจากตัวบ้านของพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากตัวบ้านของพวกท่านมากนัก ดังนั้นทุกอย่างภายในบ้าน ส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนจัดการดูแล ส่วนแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดแค่อาทิตย์ละหนึ่งครั้งเท่านั้น
(ไม่เป็นไรจ้ะ คือพี่อยากจะรบกวนอะไรภัทรสักหน่อย พอดีร้านคุกกี้เจ้าประจำของพี่ เขามีแพลนจะเลิกกิจการแล้ว พี่เลยอยากจะถามว่าน้องที่ภัทรรู้จักพอจะทำคุกกี้เป็นหรือเปล่า?) ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเพราะก่อนหน้านั้นผมเคยเปิดสมุดจดสูตรขนมของจันทร์ดูเพียงคร่าวๆ ซึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะมีฝีมือในการทำขนมได้หลากหลาย
“คิดว่าน่าจะทำได้นะครับ”
(อ่า ดีเลย! ถ้ายังไงภัทรลองให้เขาเสนอราคามาได้เลยนะ พี่ต้องการคุกกี้ประมาณ 20 ชุดต่อวัน แล้วก็ขนมปังสัก 10 ชุดน่ะ น้องเขาจะไหวหรือเปล่า?)
“อ่า ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องปรึกษากับเขาก่อนนะครับพี่ทราย แล้วยังไงผมจะรีบแจ้งพี่อีกที” ผมตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจันทร์จะตอบตกลงในข้อเสนอนี้หรือเปล่า ในเมื่อจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด มันเกิดจากการที่ผมอยากจะเรียกความมั่นใจของอีกฝ่ายก็เลยเอาขนมมาแจกจ่ายให้พวกพยาบาลแล้วก็พี่ทรายลองชิมดู ทีนี้ดันกลายเป็นว่าพวกสาวๆ ต่างก็ชื่นชอบขนมฝีมือของจันทร์มาก โดยเฉพาะพี่ทรายที่อยากจะลองเอาขนมปังน่ารักๆ พวกนั้นมาขายที่ร้าน
(ได้ๆ แต่อย่านานนักนะภัทร เพราะถ้าหากน้องเขาไม่โอเค พี่จะได้มีเวลาไปหาขนมของเจ้าอื่นด้วย แต่ยังไงพี่ก็อยากได้ยินข่าวดีจากภัทรอยู่นะ เพราะน้องเข้าฝีมือดีมากจริงๆ)
“ครับพี่ ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถเลยครับ ไม่ต้องห่วง” ผมตกปากรับคำอย่างแข็งขัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์นั้น มันเกิดจากสาเหตุใด..
ระหว่าง..ต้องการช่วยเหลือเจ้าของร้านกาแฟ หรือว่าดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางป่าสน.. หลังจากลงเวรด้วยสภาพร่อแร่เต็มที วันนี้ผมก็ได้ฤกษ์ไปคุยรายละเอียดกับจันทร์ในเรื่องที่พี่ทรายฝากฝังไว้ โดยก่อนออกเดินทาง ผมได้แวะเข้าเซเว่นเพื่อซื้อมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกมากินให้อิ่มท้อง จากนั้นก็ขับรถมุ่งตรงไปยังอำเภอฮอดที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางมากพอสมควร
ดังนั้นในคืนนี้.. ผมคงต้องพักค้างคืนอย่างแน่นอน แต่ก็โชคดีที่เมื่อวานไอ้ตี๋บาสเดินทางไปยังบ้านหลังนั้นก่อน ผมจึงฝากข้อความส่งผ่านไปยังเจ้าของบ้าน ซึ่งมันก็น่าเหลือเชื่อสำหรับผมมากที่คุณชลวิทย์เห็นด้วยเกี่ยวกับไอเดียการทำขนมส่งให้กับร้านกาแฟของพี่ทราย
“อ้าวจันทร์ ทำไมออกมานั่งตรงนี้ล่ะ” ผมลงจากรถพลางเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้านตัวเล็กที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างลำธารพร้อมด้วยเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ให้แสงสว่างในมุมกว้าง เนื่องจากจันทร์นำติดตัวมาด้วยถึงสองแท่ง
“…” จันทร์ไม่ตอบแต่กลับยกยิ้มพร้อมกับเดินถือเทียนหอมแท่งใหญ่นำทางไปยังประตูบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มให้กับพฤติกรรมนั้น เพราะทราบดีว่า..
เด็กผู้ชายที่กลัวความมืดอย่างจันทร์ คงจะกำลังนั่งรอผม ทั้งๆ ที่ไฟฟ้ามันดับสนิทไปหมดแล้ว“เมื่อวานพี่บาสบอกกับจันทร์ว่า วันนี้พี่หมออยากจะคุยกับจันทร์เรื่องขนม” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่างที่แสงจันทร์ส่องถึง เจ้าของบ้านตัวเล็กก็เปิดปากพูดเพื่อเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
“อ่า ใช่ จันทร์สนใจจะทำขนมขายไหม หลายๆ คนเขาชอบฝีมือของจันทร์มากเลยนะ พี่ยังกะจะเก็บไว้กินเองชิ้นนึงแต่ก็ยังเก็บไม่ได้เลย” ผมเอ่ยถามอย่างคาดหวัง เพราะถ้าหากจันทร์ตอบตกลงก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว
“มันอร่อยจริงๆ เหรอครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังพี่หมอโม้จนคล้อยตามกันไปหมด” จันทร์ย่นจมูกพลางเกาข้างแก้มของตัวเองและพูดอย่างคนไม่มั่นใจ แต่ดูท่าทางคำตอบที่ได้รับน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี
อาจเพราะอีกฝ่ายน่าจะโดนคุณชลวิทย์เกลี้ยกล่อมมาด้วยก็เป็นได้“จริงสิ ระดับพี่น่ะ ไม่เคยโม้หรอก” ผมกล่าวพลางยักคิ้วให้กับคนที่กำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบปริ ซึ่งท่าทางแบบนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นและดีใจกับเพราะบอกกล่าวเมื่อครู่อยู่ลึกๆ
“จริงๆ จันทร์ก็ทำเล่นทุกวันอยู่แล้วครับ” แต่แล้วอีกฝ่ายตอบกลับอย่างอ้อมโลก
“อ่าฮะ พูดแบบนี้แสดงว่าจันทร์.. ตอบตกลงแล้วใช่ไหม ?” ผมถามพลางยกยิ้มอย่างดีใจ
“ก็.. อื้อ แต่รายละเอียดคงต้องให้พี่ชลเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านดูนะครับ เพราะจันทร์ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอะไรพวกนี้เลย”
“ได้สิ แต่เท่าที่พี่ทราบ ทางร้านเขาอยากให้จันทร์ทำคุกกี้เพิ่มขึ้นด้วย จันทร์ทำเป็นหรือเปล่า?”
“เป็นครับ เดี๋ยวยังไงจันทร์จะลองให้พี่ชลเอาเมนูไปเสนออีกทีก็แล้วกันว่าทางร้านอยากได้คุกกี้แบบไหน”
“ได้สิ แต่เบื้องต้นทางร้านบอกว่าอยากจะให้จันทร์ทำขนมส่งแบบวันต่อวัน คุกกี้ 20 ชุด ส่วนขนมปัง 10 ชุด จันทร์พอจะทำไหวหรือเปล่า?”
“ก็น่าจะไหวมั้งครับ” จันทร์ตอบพลางมองจ้องเข้ามานัยน์ตาผม
“ว่าแต่พี่ชลเกลี้ยกล่อมจันทร์ยังไงเนี่ย ถึงได้ยอมตอบตกลงเอาง่ายๆ วันนี้พี่อุตส่าห์วางแผนมาไซโคเราเต็มที่เลยนะ” ผมกล่าวพลางยกมือขึ้นเสยปรอยผมอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ความลับครับ” จันทร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางกระซิบเสียงแผ่ว คล้ายกับเจ้าตัวกลัวว่าเจ้าของบ้านอีกคนที่ในตอนนี้ได้เข้านอนไปแล้วจะบังเอิญมาได้ยินเข้า ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแก้เก้อขณะที่ใจก็เต้นระรัวด้วยความผิดปกติ จึงพยายามควบคุมตัวเองด้วยการครุ่นคิดอย่างสงสัยว่า ความลับระหว่างสองพี่น้องคู่นี้มันคืออะไรกันแน่ แต่เพราะถึงอยากจะรู้มากมายแค่ไหนก็คงจะไม่ได้รับรู้มันอยู่ดี ผมจึงถือโอกาสชวนจันทร์ออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อที่จะได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเทียนหอมกลิ่นวานิลลาอะไรนั่นด้วย
“วันนี้ไม่ใช่คืนเดือนมืด” ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนฟากฟ้าพลางหันมาส่งยิ้มให้กับเด็กชายตัวเล็กที่กำลังเดินอยู่เคียงข้างกัน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ จนผมเผลอขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย แต่หลังนั้นเพียงไม่นานอาการแปลกๆ ของอีกฝ่ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง เราสองคนจึงค่อยๆ ก้าวย่ำลงบนพื้นดินอันเป็นเส้นทางรถที่มีทิวสนโอบล้อมจนแสงจันทร์สาดส่องได้เพียงบางช่วง
ส่งผลให้เราต้องอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์ในการนำทาง“จันทร์ชอบเทียนหอมกลิ่นวานิลลาหรือเปล่า?” ผมถือโอกาสถามขณะที่แขนข้างหนึ่งของเราก็เสียดสีกันไปมาเพียงเบาๆ ด้วยเพราะว่าจันทร์กำลังเดินแนบชิดผมเหมือนกับครั้งนั้นที่เรามาเดินเล่นท่ามกลางป่าสนด้วยกัน
“ไม่ชอบครับ” ผมขมวดคิ้วพลางหันหน้าไปทางคนอายุน้อยกว่าอย่างสงสัย เมื่อน้ำเสียงของเขามันฟังดูแปลกๆ แต่เพราะคำตอบที่ได้รับ มันทำให้ผมเลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป
“ถ้าอย่างนั้นจันทร์ชอบเทียนหอมกลิ่นอะไรเหรอ?” ผมเอ่ยถามอย่างคาดหวังในคำตอบด้วยหัวใจที่สั่นระรัวราวกับกลองที่กำลังถูกตีเป็นจังหวะร็อค
“ลาเวนเดอร์ครับ”
ทันทีที่ได้รับคำตอบ ผมก็แอบหันไปยิ้มให้กับต้นสนข้างทางอย่างลืมตัว
“ทำไมล่ะ ?”
“เพราะพี่หมอเป็นคนให้จันทร์” น้องตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวจนผมอดจะหันไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงเห็นว่าคนคนนั้นก็หันหน้าไปมองยังข้างทางอย่างเก้อเขินเหมือนกับที่ผมทำเมื่อครู่
“พี่ขอถามได้ไหม ใครเป็นคนซื้อเทียนหอมกลิ่นวานิลลามาเหรอ?” ผมเกริ่นถามด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวขณะที่ริมฝีปากก็พยายามจะกลั้นรอยยิ้มจากคำตอบก่อนหน้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อรอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ให้คำตอบกันเสียที ผมจึงหันกลับไปมองยังคนข้างๆ แล้วก็เริ่มสังเกตอาการของอีกฝ่าย จึงพบว่าในตอนนี้ใบหน้าของจันทร์กำลังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ขณะที่จังหวะการหายใจก็เริ่มจะติดขัดมากขึ้นทุกที เพียงเท่านั้นผมก็รับรู้ได้แล้วว่า..
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับจันทร์..“จันทร์ยังพอจะจำจังหวะการหายใจที่พี่เคยสอนได้ไหม?” ผมหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายและกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้น พลางกล่าวเตือนความทรงจำว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เจ้าตัวควรจะทำอย่างไร แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลมากนัก เพราะในตอนนี้ความหวาดกลัวกำลังฟุ้งกระจายไปทั่วความรู้สึกของคนตรงหน้าจนทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวด้วยสองขาของตัวเองได้อีกต่อไป
เราสองคนจึงพลอยมอมแมมไปด้วยกัน.. ต่างกันแค่..
ผมกำลังประคองอีกฝ่ายให้กึ่งนั่งกึ่งนอนและแสดงสีหน้าอย่างห่วงใย แต่คนป่วยกลับร้องไห้และพยายามจะอ้าปากกอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างน่าสงสาร ซึ่งผมก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี เพราะในความรู้สึกของผู้ป่วย มันจะเหมือนกับว่าเขากำลังจะหยุดหายใจ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว..
เขายังคงหายใจอยู่..“ไม่เป็นไรนะจันทร์ พี่อยู่นี่.. เดี๋ยวเราค่อยๆ หายใจตามจังหวะที่พี่นับเหมือนตอนนั้นนะ” ผมเลือกใช้โทนเสียงที่คิดว่าอ่อนโยนกับอีกฝ่ายให้มากที่สุด แม้ว่าใจจะไม่ได้รู้สึกสงบอย่างที่แสดงออกเลยก็ตาม จากนั้นจึงเริ่มนับเลขอย่างเชื่องช้า พร้อมกับคอยเช็ดน้ำตาที่ยังคงเปรอะเปื้อนใบหน้าของคนป่วยเป็นพักๆ
“ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จันทร์หวาดกลัว พี่อยากให้จันทร์ลองบอกกับตัวเองในใจ ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัวเลย” พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะหายใจในจังหวะปกติได้ ผมก็เริ่มพูดชักนำให้เจ้าของบ้านตัวเล็กเอาชนะความหวาดกลัวของตัวเองให้ได้ เพราะวิธีนี้มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด
กระทั่งอาการของอีกฝ่ายค่อยๆ ทุเลาลง ผมจึงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกของตัวเองสักที แต่ทว่าก็ต้องมานั่งตกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็โผตัวเข้ามากอดผมไว้ ซึ่งครั้งหนึ่งเจ้าตัวก็เคยโอบกอดผมในลักษณะนี้มาแล้ว
เพียงแต่ในครั้งนี้..ผมดันตื่นตระหนกด้วยความรู้สึกแปลกๆ“จ..จันทร์กลัว จันทร์ไม่กล้ามาเดินเล่นที่นี่.. เมื่อกี้เหมือนจันทร์จะตายอยู่ตรงนี้อีกแล้วพี่หมอ จ..จันทร์คิดว่าจันทร์ฝึกหายใจจนชำนาญแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง สมองมันกลับว่างเปล่าไปหมด จันทร์กลัวจนคิดอะไรไม่ออกเลยครับ” ยิ่งจันทร์บอกกล่าวอาการของเขาด้วยสีหน้าหวาดผวาและน้ำเสียงสั่นไหว หัวใจของผมก็ยิ่งวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
เพราะผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวจนถึงขั้นเรียบเรียงคำพูดก็ยังเรียบเรียงแทบไม่เป็นประโยค
“ต่อไปถ้าหากจันทร์กลัวหรือว่าไม่ชอบอะไร จันทร์บอกพี่ได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่” ผมพูดปลอบโยนอีกฝ่ายพลางลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาอยู่หลายหน จนกระทั่งจันทร์รับปากผมถึงค่อยสบายใจขึ้น
“พรุ่งนี้เราไปหาหมอกันนะ” ผมประคองจันทร์ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังตัวบ้านอันมืดมิด โดยมีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเน่าๆ ในการนำทาง ซึ่งผมก็อาศัยจังหวะนี้ชักชวนให้อีกฝ่ายไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด เนื่องจากผมเริ่มจะมั่นใจแล้วล่ะว่าจันทร์น่าจะเป็นโรคแพนิคด้วยแน่ๆ
เหตุเพราะในตอนนี้แววตากลมใสคู่นั้นยังคงมองไปทางป่าสนด้วยความหวาดกลัว“ต..แต่พี่ชล” น้องหันกลับมาคัดค้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไปหาหมอเถอะนะ เรื่องพี่ชลเดี๋ยวพี่คุยให้” ผมหยุดการก้าวเดินและพาตัวเองไปยืนตรงหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเว้าวอนด้วยความเป็นห่วง
“ครับ” จันทร์ตอบรับเสียงแผ่วพลางหันไปมองยังทิศทางอื่นด้วยสีหน้าเก้อเขิน ทำเอาผมเริ่มจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าเมื่อครู่เราดันเผลอจ้องตากันในระยะประชิด
“จันทร์ใจเต้น.. แต่ไม่ได้ใจเต้นเหมือนกับเมื่อกี้..” ระหว่างที่เรากำลังก้าวเดินต่อไป จันทร์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวคล้ายกับจะกลืนหายไปในสายลม ส่วนผมได้แต่นิ่งเงียบ แม้ว่าในขณะที่ได้ยินประโยคนั้นหัวใจของผมจะเต้นรัวในจังหวะที่คาดว่าน่าจะเป็นจังหวะเดียวกันก็ตาม
“จันทร์คิดว่ามัน.. ไม่ใช่อาการป่วย” น้องขยายความเพียงสั้นๆ ซ้ำยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในประโยคสุดท้าย แต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงความรู้สึกในรูปแบบไหน
“จันทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนเถอะ ดึกแล้วล่ะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า” เมื่อก้าวเข้ามายังตัวบ้านผมก็ปิดไฟฉายในโทรศัพท์พลางออกปากเฉไฉไปเรื่องอื่นทำเอาอีกฝ่ายหน้าจ๋อยสนิท
“ครับ.. เอ่อ.. จันทร์รองน้ำเอาไว้ให้พี่หมออาบแล้วนะครับ” น้องพูดพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“อื้ม ขอบคุณนะ ฝันดี”
“ครับ.. ฝันดี” จันทร์ยกยิ้มอย่างน่ารัก จากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดเชื่อมห้องใต้หลังคาไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนอมยิ้มให้กับเหตุการณ์เมื่อครู่จนเมื่อยปาก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมควรจะต้องไปเอาเสื้อผ้าที่ท้ายรถ ไม่ใช่มายืนยิ้มแป้นอยู่แบบนี้
ซึ่งมันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะยืนยันได้ว่าในค่ำคืนนี้ ผมได้ล็อกประตูอย่างแน่นหนาเป็นอย่างดีแล้ว..
หลังอาบน้ำจนเย็นสบาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ค่ำคืนนี้ผมจึงเผลอผิวปากออกมาอย่างอารมณ์ดี โดยไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด
ซึ่งผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร..คลิก!
ทันทีที่ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูและตามมาด้วยเสียงประตูกำลังถูกเปิดออกจากด้านใน ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งและตัดสินใจเดินออกจากห้องเมื่อประตูบานดังกล่าวถูกปิดลง และในช่วงที่กำลังจะหันกลับมาปิดประตูบ้านในครั้งนี้ ผมก็ใช้หางตามองไปทางด้านหลังจึงเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงในชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่มุ่งตรงไปยังป่าสน
ก่อนจะหายลับไปในความมืด ปลายเท้าของผมจึงสะกดรอยตามอีกฝ่ายให้เบาเสียงที่สุด ครั้นเมื่อได้ยินเสียงหวานละมุนของสาวเจ้ากำลังฮัมเพลงๆ เดิมที่เคยได้ยิน หัวใจของผมก็เริ่มเต้นรัวด้วยความลิงโลด และท่ามกลางแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านกิ่งก้านของสนป่าก็ทำให้ผมมองเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวสวมชุดเดสสีขาวลายดอกเดซี่ กำลังวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งสโนว์ดรอปส์ที่ผลิบานโอบล้อมป่าสนขนาดใหญ่เอาไว้อย่างสนุกสนานร่าเริง จึงทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ผมคิด ไม่ได้ผิดพลาดไปเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่า..บ้านหลังนี้มีสมาชิกประจำบ้านถึงสามคนด้วยกัน“จะเข้าไปถามโต้งๆ เอาตอนนี้เลยดีไหมวะ” ผมบ่นกับตัวเองเพียงเบาๆ แต่แล้วก็ต้องใจหาย เมื่อเธอคนนั้นหันหน้ามายังทิศทางที่ผมกำลังแอบซ่อนตัวอยู่ ผมจึงรีบหลบวิถีสายตาของเธอด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เพราะยังนึกวิธีเข้าหาอีกฝ่ายไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าหากผมปรากฏตัวออกไปตอนนี้จะทำให้เธอหนีเตลิดเข้าไปในป่าด้วยหรือเปล่า
ผมจึงได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น.. จนกระทั่งถึงเวลาที่เธอกำลังจะเดินกลับเข้าไปยังบ้านสีน้ำตาลอ่อนหลังนั้น ผมจึงรีบโผล่มาจากที่ซ่อนตัวพร้อมทั้งแอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จากนั้นก็เดินมุ่งตรงไปยังบ้านที่อยู่ท่ามกลางป่าสนอีกครั้ง
“นี่กูถูกจับได้แล้วเหรอวะ?” ผมอดจะอุทานออกมาไม่ได้ เมื่อประตูบ้านดันเปิดอ้าซ่าเอาไว้ ราวกับมีใครจงใจที่จะทำแบบนั้น
ซึ่งใครคนนั้นก็คือเด็กผู้หญิงที่ผมนึกสงสัย!คลิก!
“เทียนหอมกลิ่นวานิลลา” หลังจากปิดประตูจนเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมแสนอันคุ้นเคยก็ปรากฏ ผมจึงมองไปยังเทียนแท่งสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวด้วยความสงสัย พร้อมถือโอกาสเดินสำรวจบ้านของคนอื่นอย่างถือวิสาสะ
กระทั่งปลายเท้าสัมผัสกับเศษดินอันเกลื่อนกลาดเหมือนกับวันนั้น แถมยังไร้ร่องรอยของผู้กระทำอีกต่างหาก ทำเอาผมรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน ถ้าหากไม่มีกลิ่นหอมของวานิลลา พร้อมด้วยแสงสว่างจากเปลวเทียนที่กำลังสั่นไหว และเงาร่างของตัวเองที่ส่องสะท้อนอยู่บนกำแพงบ้านอย่างชัดเจน
ซึ่งหลักฐานชั้นดีเหล่านี้ ก็สามารถยืนยันได้ว่า..ผมไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยล้า แล้วดันฝันเฟื่องไปเรื่อยเปื่อย゚゚❀゚゚
[edit 02/03/2018 เรียบเรียงบางประโยคให้อ่านสมูธขึ้น และแก้คำที่เผลอเขียนสลับที่กัน
ปล. ถ้ายังเจอคำไหนที่มันผิดหรือว่าเขียนสลับกัน รบกวนแจ้งด้วยนะคะ บางทีเราอาจจะอ่านเพลินแล้วมองไม่เห็น
edit 19/03/2018 ปรับเปลี่ยนประโยคให้อ่านสมูธขึ้น]
[edit 17/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
เรื่องนี้มาต่อได้ช้ามาก ส่วนหนึ่งคือเขียนยากและติดละคร รวมทั้งยังต้องปั่นฟิคด้วย ฮือ
ต้องขออภัยที่ให้รอนานนะคะ แต่มันต้องใช้ฟีลลึกลับในการเขียนยังไงไม่รู้ เค้นฟีลนี้ยากมาก
ใครที่เคยกลัวว่าจะเป็นนิยายผี ก็สบายใจได้แล้วเนอะ เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นโผล่มาให้เห็นแบบจังๆ แล้ว
และน้องจันทร์ก็หวั่นไหว ส่วนพี่หมอก็หวั่นไหวเหมือนกัน 555
ตอนหน้าคงได้รู้กันว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร >.<