น้ำใสของผม น้ำข้นน่ะของเขา
บทที่ 7
เสียงอึกทึกของวงโยธวาทิตที่กำลังเล่นเพลงในพิธีเปิดงานกีฬาสีของโรงเรียนสาธิตทำ
ให้ผมรู้สึกครึกครื้นไม่น้อย เสียงกลองกระแทกอยู่ในหูจนใจเต้นตามจังหวะกลองในขณะที่มือ
ของผมก็กดชัตเตอร์เจ้าแคนนอนกล้องคู่ใจของผมไปด้วย เด็กนักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนมา
รวมกันอยู่กลางสนามหญ้าหน้าเสาธง เสียงพูดคุยดังจอแจแทรกมากับเสียงดนตรีจนไม่รู้ว่าจะ
เลือกฟังอะไรดี
สมาชิกชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัยที่ผมสังกัดไม่น้อยกว่าสิบคนกระจายกำลัง
กันอยู่ตามมุมต่างๆ เพื่อแบ่งกันถ่ายภาพบรรยากาศของงานในตอนเช้า และเมื่อการแข่งขัน
เริ่มต้นพวกเราก็จะไปถ่ายรูปกันตามสนามแข่งขันต่างๆ ในโรงเรียนตลอดสองวันที่มีการจัด
งานขึ้น และตอนนี้ผมกำลังยืนถ่ายรูปนักกีฬายอดเยี่ยมของโรงเรียนที่กำลังจะเป็นผู้วิ่งเชิญคบ
เพลิงไปจุดที่กระถางอันสวยงามอยู่ใกล้กับเสาธง
ผมยืนอยู่ขอบสนามที่ด้านนอกเป็นลู่วิ่ง กล้องตัวเก่งนิ่งอยู่ในมือที่ยกขึ้นมาระดับ
สายตาเพื่อจับภาพเด็กชายตัวใหญ่หัวเกรียนหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ไกลออกไปตรง
จุดเริ่มต้น เด็กผู้ชายคนนั้นเริ่มออกวิ่งช้าๆ มือที่ถือคบเพลิงในมือตั้งฉากจนดูลงตัวไปหมดเมื่อ
เขาวิ่งและโปรยยิ้มไปรอบๆ เด็กสาวๆ ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดเมื่อเจ้าตัววิ่งผ่าน ผมรัวชัตเตอร์จับ
ภาพเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเด็กชายคนนั้นวิ่งใกล้ผมเข้ามาทุกที
เมื่อใกล้เข้ามา ผมเห็นสายตาคู่นั้นมองผมผ่านกล้อง เด็กชายตัวสูงใหญ่ที่ดูท่าจะสูง
กว่าผมเสียอีกคลี่ยิ้มเมื่อกำลังวิ่งผ่านเลยไป หยดเหงื่อชื้นพราวอยู่ตามเนื้อตัวที่โผล่พ้นเสื้อ
กล้ามของนักกีฬายิ่งทำให้เขาดูดีจนผมนึกทึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะป๊อปปูล่าร์ได้ขนาดนี้
เสร็จจากพิธีเปิด เหล่าบรรดานักเรียนก็กระจายตัวกันจากสนามเพื่อเริ่มการแข่งขัน
เสียงเพลงเชียร์ดังแข่งกันอยู่ตามสนามต่างๆ ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบาสที่ได้รับมอบหมายให้
เป็นคนถ่าย แสงแดดที่เริ่มจัดจ้าทำให้สนามบาสกลางแจ้งของโรงเรียนเริ่มร้อนระอุ ผมต้องใช้
ท่อนแขนปาดเหงื่อที่หน้าผากไปพลางขณะที่เดินถ่ายรูปมุมต่างๆ ในสนาม
คอแห้งผากไปหมดจนเริ่มรู้สึกเหนื่อย กล้องในมือหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องถอน
หายใจออกมา ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อขวดน้ำเย็นเฉียบถูกใครบางคนยื่นมันมาแนบกับแก้มของ
ผม ผมหันไปมองอย่างงงๆ ก็เห็นว่าคนที่ยื่นขวดน้ำดื่มมาให้ก็คือเจ้าเด็กนักกีฬาตัวใหญ่ที่เป็น
คนวิ่งถือคบเพลิงนั่นเอง
เมื่อยืนใกล้กันเด็กมัธยมยิ่งตัวสูงใหญ่จนต้องเอียงคอมอง หน้าตาค่อนไปทางคนจีน
ยิ้มแป้นเมื่อสบตากับผม ร่างสูงของมันอยู่ในชุดนักบาสสีเขียวแสบตา
“ผมเห็นพี่ท่าทางจะหมดแรงแล้ว ดื่มน้ำเสียหน่อยสิก่อนที่จะเป็นลม”
หน้าตาเป็นมิตรประกอบกับความกระหายทำให้ผมไม่ปฎิเสธ ผมรับขวดน้ำเย็นมา
เปิดฝาแล้วยกขึ้นดื่มจนแทบหมดขวดแล้วจึงถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ นึกว่าจะแย่แล้ว ขอบใจมากไอ้น้อง”
ผมยิ้มให้เขาเป็นการขอบคุณ และเจ้าเด็กตัวใหญ่ก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรพี่ ผมยืนมองพี่ถ่ายรูปอยู่นานแล้วตั้งแต่ตอนพิธีเปิดแล้วล่ะ ผมชื่อยักษ์”
ชื่อเหมาะกับมันมากครับ แม้มันจะเด็กกว่าแต่ตัวมันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและตัวสูง
อย่างกับยักษ์เหมือนชื่อนั่นแหละ
“อือ ตัวใหญ่เหมือนยักษ์สมชื่อเลยว่ะ”
ผมคุยกับมันฆ่าเวลาเพราะรูปที่ได้ไปก็เยอะแล้ว เจ้ายักษ์ยักไหล่กับคำพูดของผม
“เพื่อนมันเรียกว่ายักษ์เพราะผมตัวสูงนี่แหละ แล้วพี่อ่ะชื่ออะไร”
“พี่ชื่อเท็น”
“เท็นที่แปลว่าสิบเหรอ ชื่อน่ารักดีนะ พี่เรียนคณะไรอ่ะ”
“วิดยา”
ยักษ์ทำตาโตเมื่อรู้ ท่าทางมันจะทึ่งน่าดู
“โห เก่งว่ะพี่ พี่เรียนไงให้ติดคณะนี้อ่ะ ผมนี่แม่งห่วยมาก เกรดศูนย์ไม่ก็หนึ่งตลอด
แล้วพี่เรียนปีอะไรแล้ว”
“พี่เพิ่งเรียนปีหนึ่งเอง”
ตัวสูงที่ก้มหน้ามองอมยิ้ม มันมองผมแปลกๆ จนนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“เรียนปีหนึ่งก็อายุมากกว่าผมแค่สองปีสินะ ผมเรียนมอห้าสายวิทย์แต่เรียนไม่เก่ง
หรอก นี่ถ้าไม่ได้เล่นบาสก็คงไม่รอด”
เด็กมอห้าเองเหรอวะ นี่ยังสูงได้อีกนะ ถ้าเจ้ายักษ์ยังเล่นบาสต่อไปเรื่อยๆ กว่ามันจะ
หยุดสูงไม่ปาเข้าไปสองเมตรเลยเรอะ
“ติวให้มั่งดิ”
มันขอผมง่ายๆซะงั้น
“อย่างน้อยให้ได้เกรดสองก็ยังดี พ่อจะได้ไม่ไล่เตะเพราะขายขี้หน้าว่ามีพ่อเป็นถึง
วิศวะแต่ลูกเรียนตกแล้วตกอีก”
“ตั้งใจจริงหรือเปล่าล่ะ พี่ไม่ชอบคนขี้เกียจนะโว้ย”
ผมเลิกคิ้วถามความสมัครใจ ไอ้เรื่องติวมันเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับผมอยู่แล้ว เจ้ายักษ์รีบ
เปิดปากยิ้มกว้างเมื่อผมตกลงใจจะสอนมัน
“โอ๊ย ถ้าเป็นพี่เท็นติวนะ ผมจะตั้งใจเต็มที่เลย”
เสียงเพื่อนร่วมทีมตะโกนเรียกทำให้ยักษ์หันไปตะโกนตอบกลับก่อนที่จะหันมามอง
ผมคล้ายจะเสียดาย นี่ผมตีความสายตามันถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ต้องไปแข่งแล้ว พี่เท็นถ่ายรูปให้ผมเท่ห์ๆนะ รับรองว่าพรุ่งนี้ผมจะคว้าแชมป์ให้ดู พี่
เท็นต้องมาถ่ายรูปตอนผมรับเหรียญด้วย โอเคป่าว”
สายตาเต็มไปด้วยความหวังจนผมเผลอหัวเราะขำแล้วจึงพยักหน้าส่งๆไป แต่ไม่นึก
ว่ายักษ์จะทำท่าดีใจจนออกนอกหน้า มันยกมือมาหยิกแก้มสองข้างของผมก่อนจะวิ่งเข้าไป
ในสนามแถมยังหันกลับมายกมือโบกให้ผมด้วยแน่ะ ไอ้เด็กบ้า
กว่าจะเสร็จจากถ่ายรูปก็บ่ายจัดเมื่อผมไปถึงร้านของพี่ก่อ ร้านปิดแล้วพี่ก่อนั่งอยู่คน
เดียวกำลังกดเครื่องคิดเลขคิดบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้าน ผมเดินเข้าไปทิ้งตัว
บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พี่ก่อเงยหน้าขึ้นมองพลางอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“เหนื่อยมากเลยใช่ไหมครับเท็น นี่คงไปยืนตากแดดทั้งวันเลยสิ”
ผิวของผมค่อนไปทางขาว แม้จะไม่ได้ขาวอย่างคนจีนเพราะผมเป็นไทยแท้ เมื่ออยู่
กลางแดดนานๆ ผิวจึงแดงไปทั้งตัว ยิ่งส่วนแขนที่พ้นแขนเสื้อก็ยิ่งคล้ำไปด้วยไอแดด แถม
ใบหน้ายังมีเหงื่อเกาะจนเปียกไปหมด พี่ก่อลุกจากงานตรงหน้าไปยกน้ำอัดลมและน้ำแข็งใส่
แก้วมาให้ ผมยกดื่มจนเกือบหมดด้วยความกระหาย มือใหญ่ยกมาวางบนหัวแล้วยีเล่นเบาๆ
“หิวหรือเปล่า วันนี้เก็บซี่โครงหมูตุ๋นไว้ให้”
พี่ก่อไม่รอให้ผมตอบ เขาเดินไปที่เตาแก๊สแล้วจัดการก๋วยเตี๋ยวสำหรับลูกค้าวีไอพี
อย่างผม ผมก็ได้แต่ยิ้มแป้นน่ะสิ มีแฟนขายก๋วยเตี๋ยวนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง
รออยู่ไม่นานนักเส้นเล็กซี่โครงหมูตุ๋นกลิ่นหอมก็วางอยู่ตรงหน้า ผมเขมือบมันลงท้อง
ด้วยเวลาอันน้อยนิด จนมันไม่มีอะไรเหลือในชามอีกแล้วผมจึงยกมือลูบท้องและเรอเอิ้ก
พ่อครัวที่นั่งมองผมกินถึงกับส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“นี่ถ้ามีช้างตุ๋นก็คงกินจนหมดนะเรา”
ผมยิ้มกว้าง
“ต้องเป็นช้างตุ๋นฝีมือพี่ก่อนะครับ”
เจ้าของสายตาวิบวับลุกขึ้นมาแล้วเดินมาฝั่งของผม พี่ก่อนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งก่อน
ดึงผมให้ไปนั่งหมิ่นอยู่บนตักของเขา สองแขนโอบล้อมอยู่รอบตัวพลางกดจูบลงมาที่แก้มข้าง
หนึ่ง
“ช่างพูดจริงๆ แฟนใครก็ไม่รู้”
ผมเลิกคิ้วทำแก้มป่อง
“นั่นสิ แฟนใครก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีคนรับเป็นแฟนสงสัยต้องหาแฟนใหม่”
พี่ก่อยิ้มเหี้ยม แขนกระชับวงกอดจนผมหายใจเกือบไม่ออก
“พี่จะจับแฟนใหม่ของเท็นหักคอจิ้มน้ำพริก”
“โอ๊ย กลัวแล้ว”
ผมหลิ่วตาให้เขา
“ไม่ได้กลัวพี่ก่อจับแฟนใหม่หักคอจิ้มน้ำพริกนะ แต่กลัวแฟนของผมจะติดคุกหัวโต
แล้วผมจะไม่มีก๋วยเตี๋ยวกินนะครับ”
“เท็นครับ”
พี่ก่อยิ้มขำ เขามองหน้า มองตา แล้วจึงเลื่อนสายตามาที่ปากของผม ใบหน้าคมก้ม
ลงมาจนปากแนบชิด ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะเผยอปากรับลิ้นอุ่นที่ส่งเข้ามาตวัดคลุกเคล้าและเริ่ม
กล้าพอที่จะตวัดลิ้นตัวเองตอบรับ ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจจนต้องเบียดตัวเองเข้าไปสู่
อ้อมกอดพลางคล้องแขนไว้กับลำคออย่างลืมตัว
นานจนแทบขาดใจกว่าจะเป็นอิสระ ผมต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ กับจูบกระชาก
วิญญาณของพี่ก่อ เจ้าตัวมองผมด้วยนัยน์ตาพราวจนไม่กล้ามองตอบ ได้แต่ใช้ปลายนิ้วเขี่ย
อยู่แถวต้นคอเพื่อระบายความขัดเขินออกไปบ้าง
“เนื้อตัวมีแต่เหงื่อ”
เขากระซิบอยู่ใกล้ๆ จมูกของผม
“ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาบนห้องให้สดชื่นดีไหมครับเท็น”
ปล่อยตัวผมลงจากตักแล้วร่างสูงของพี่ก่อก็ลุกขึ้นยืน เขาจูงมือให้ผมเดินตามขึ้นไป
ยังชั้นสาม ผมเพิ่งเห็นห้องพักที่พี่ก่อบอกว่านานๆจะนอนที่นี่ แต่ห้องดูสะอาดและเป็นระเบียบ
มากกว่าที่คิด ห้องไม่ได้กว้างมากนักมีเตียงเดี่ยวตั้งชิดอยู่ฝั่งหนึ่ง และอีกฝั่งมีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่
โทรทัศน์กับเครื่องเสียงอยู่ตรงข้ามกับเตียง มีประตูเล็กๆ สองบาน บานหนึ่งเป็นประตูห้องน้ำ
ส่วนอีกบานเปิดออกไปที่ระเบียงแคบๆของห้องแถว พี่ก่อเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งส่ง
มาให้พลางไล่ให้ผมเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ
ออกมาอย่างสดชื่นเมื่อได้ล้างคราบเหงื่อไคลออกจากใบหน้า พี่ก่อเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
นั่งอยู่ตรงขอบเตียงและเปิดเพลงร็อคช้าๆ ดังทั่วห้อง คงเป็นเพลงในยุคที่เขายังวัยรุ่นอยู่ล่ะมั้ง
เพราะผมไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ เขาใช้มือตบที่ข้างตัวเบาๆ เพื่อให้ผมไปนั่งข้างๆ
“ล้างยังไงให้เปียกปอนขนาดนี้”
พี่ก่อมองสภาพเสื้อนักศึกษาสีขาวที่มีวงน้ำกระจายจนเปียกชื้น มือใหญ่เอื้อมมาปลด
กระดุมออกทีละเม็ด ผมมองตามมือและสาบเสื้อที่ค่อยๆแยกออกจากกัน หายใจขัดจนต้อง
เอื้อมมือไปวางอยู่บนมือพี่ก่อเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายอยู่ในกำมือของเขา
มีต่ออีกนิด.....