มื้อเย็นของพวกเราในวันนั้น เป็นข้าวต้มที่เหลือจากช่วงกลางวัน เอามาทรงเครื่องด้วยฟักที่ผมเก็บมาจากบ้าน ตุ๋นกับไข่ รสชาติก็อร่อยใชได้ อันนี้ผมชมของผมเองนะ เพราะสุภาพงษ์ไม่ได้พูดอะไร เห็นก้มหน้าก้มตาทานจนหมดอย่างเดียว ไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง แต่เพราะทานจนเกลี้ยง ผมเลยพอจะอนุมานได้ว่า มันคงจะอร่อยถูกปากเขาอยู่เหมือนกัน ทานเสร็จแล้วเขาก็อาสาล้างถ้วยชามให้เหมือนช่วงกลางวัน ผมเห็นว่าท่าทางเขาดีขึ้นมากแล้ว เลยไม่ได้ห้ามอะไร ปล่อยเขาล้างไปตามเรื่อง ส่วนตัวผมก็เดินมาเปิดโทรทัศน์ เพื่อดูข่าวภาคค่ำ
สุภาพงษ์เดินมานั่งข้างผมหลังจากนั้นไม่นานนัก พอดีเห็นมีข่าวนักเรียนตีกัน ผมเลยชวนเขาคุยตามประสา “เจ้าเด็กพวกนี้มันตีกันแรงขึ้นทุกทีนะ สมัยก่อนยังไม่มีเอาปงเอาปืนมายิงกันขนาดนี้ นี่ไปโดนเอาคนที่ไม่รู้เรื่องตายด้วย ไม่รู้จักคิดกันหรือไงนะ”
“ครับ” สุภาพงษ์พูดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เงียบไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก เจอแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่ออก ได้แต่หันกลับไปนั่งจ้องโทรทัศน์ สักพักก็มีข่าวแม่ใจยักษ์ทิ้งลูกลงชักโครกอีก ผมอดไม่ได้ต้องบ่นออกมา
“อีกแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้นี่ ทำไมใจหินกันแบบนี้นะ ผู้ชายก็เหมือนกัน ทำอะไรไม่รับผิดชอบเอาซะเลย สงสารเด็กที่เกิดมาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เรียนสูงไปก็ไม่ได้ทำให้จิตสำนึกดีขึ้นมาเลย พวกนี้นี่ รักสนุกกันลูกเดียวจริงๆ”
“..........................”
ผมหันไปมองสุภาพงษ์ ก็เห็นเขามองผมอยู่ พอผมหันไปก็หลบสายตาทันที “อืม.. ครับ.....”
แล้วก็แค่นั้นแหละ เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ.... เอาล่ะ ผมยอมรับ ปกติผมอยู่บ้านคนเดียว ดูข่าวดูอะไรก็ไม่ได้บ่นบ้ากับตัวเองคนเดียวแบบนี้หรอก แต่ถ้าไปดูอะไรกับเพื่อนกับฝูง มันก็ต้องมีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้างใช่ไหมล่ะ? ไม่ใช่ว่านั่งเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้...
หรือว่านี่จะเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยนะ..............?
ผมหันไปมองสุภาพงษ์อีกครั้ง ก็เห็นเขาจ้องโทรทัศน์อย่างจริงๆ จังๆ จะว่าไปแล้ว เขาอายุห่างกับผมสักสิบกว่าปีได้ แต่นับตามวัย เขาก็เข้าวัยผู้ใหญ่แล้วล่ะ ความคิดความอ่านอะไรไม่น่าจะห่างไกลกันมากเท่าไหร่ แต่คงเพราะนิสัยเงียบๆ ของเขาล่ะมั้ง ปกติชวนคุยธรรมดาก็แทบจะไม่พูดอะไรอยู่แล้ว มาเจอผมชวนบ่นแบบนี้ก็คงจะตอบโต้ได้แค่นั้นแหละ แต่ผมสิ... รู้สึกเหมือนพูดกับฝากับโซฟายังไงไม่รู้ แบบนี้ผมกลับไปดูโทรทัศน์ที่บ้านคนเดียวก็ได้ จะมีคนนั่งดูข้างๆ ไปทำไมกัน
แต่เผอิญนี่ไม่ใช่บ้านผม และผมยังไม่คิดจะกลับเพราะเหตุผลแค่นี้ ผมเลยทำเป็นลืมไปว่ามีคนนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเสพข่าวจากโทรทัศน์อย่างจริงๆ จังๆ เอาไว้เป็นข้อมูลไว้คุยกับเพื่อนกับฝูง
นั่งดูเงียบๆ กันได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าสุภาพงษ์ขยับเข้ามาใกล้ ผมเลยขยับหนี พอเขาขยับมือมาจะจับมือผม ผมก็ดึงออก ในเมื่อเขาไม่พูดกับผม ผมก็ไม่คุยภาษากายกับเขาหรอก
หัดจับไม้จับมือกับโซฟาซะบ้าง จะได้รู้ว่าคุยกับฝาเป็นยังไง
พอจับมือผมไม่ได้ นั่งใกล้ผมก็ขยับหนี สุภาพงษ์ถึงรู้ว่าต้องเปิดปากบ้าง “พี่นิต....”
“อืม” ผมส่งเสียงในคอ พลางทำท่าสนใจข่าวเศรษฐกิจในจอเสียเต็มประดา แต่หูน่ะ เงี่ยฟังอยู่ว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีก
“ผมขอโทษ...”
แน่ะ... ประโยคนี้อีกแล้ว นี่เขาคิดว่าคำขอโทษเป็นใบเบิกทางหรือไงนะ ผมหันหน้ากลับไปหาเขา “ขอโทษเรื่องอะไรน่ะ?”
สุภาพงษ์ทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ สุดท้ายก็ตอบออกมา “พี่นิตโกรธผมเรื่องอะไรครับ?”
ผมถลึงตาใส่เขา “ไม่ได้โกรธอะไรนี่”
คิ้วของสุภาพงษ์ขมวดเข้าหากันหน่อยๆ “แต่พี่นิตทำท่าทางเหมือนโกรธนี่ครับ”
“อ้อ....” ผมลากเสียง “งั้นเธอก็น่าจะรู้ ว่าพี่โกรธอะไร”
สุภาพงษ์ขบริมฝีปากล่างอีก หลังจากขมวดคิ้วอยู่พัก ก็พูดออกมา “ผมไม่รู้ พี่นิตบอกผมเถอะครับ ผมจะได้แก้ไข”
ผมมองหน้าเขา สูดหายใจลึก แล้วระบายออกมาแรงๆ “ช่างมันเถอะ”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นทั้งอย่างนั้น ไม่รู้สิ ไม่ใช่กงการอะไรที่ผมจะต้องอธิบายให้เขาฟังนี่ สุภาพงษ์ลุกขึ้นตามผมมา
“พี่นิต!”
ไม่พูดเปล่า ยื่นมือมาคว้าแขนผมเอาไว้ด้วย ผมเลยสะบัดแขนออก แต่คราวนี้เขาไม่ยอมปล่อย จับแน่นเลย
“อะไรอีกล่ะ?” ผมหันกลับมาถามเขาในที่สุด เห็นสุภาพงษ์ยืนกัดปาก คิ้วย่นนิดๆ เรายืนกันแบบนั้นอยู่พัก อารมณ์ผมก็พอจะเย็นลงได้ ในเมื่อเขายังไม่ยอมพูดอะไรเหมือนเดิม ผมพูดเองก็แล้วกัน
“ช่างมันเถอะ พี่จะถือว่ามันเป็นนิสัยส่วนตัวของเธอแล้วกัน”
“พี่นิต” สุภาพงษ์เรียกชื่อผมอีก คราวนี้เขามีอย่างอื่นพูดต่อด้วย “พี่บอกผมเถอะ ผมรู้ว่าผมนิสัยไม่ดี พี่บอกผมนะ ผมจะได้แก้ไข”
นี่ถ้าเขาเป็นเด็กอายุสักเจ็ดแปดขวบ หรือสักสิบสี่สิบห้า ผมจะบอกเขาหรอก ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ไม่ดีเลย แต่นี่เขาอายุสามสิบสี่เข้าไปแล้ว ผมพูดไปก็เท่านั้นแหละ สามสิบสี่ปี ใครมันจะไปแก้นิสัยของตัวเองได้ ขนาดผมแก่กว่าเขายังแก้นิสัยเสียตัวเองไม่ได้เลย อีกอย่าง เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องแก้เพื่อผมด้วย
“โจ...” ผมเรียกชื่อเขา สูดหายใจอยู่อีกหลายครั้ง ถึงพอจะพูดตอบเขาได้ “พี่ว่าโจเลิกหวังอะไรจากพี่จะดีกว่า”
ดวงตาของสุภาพงษ์เบิ่งขึ้นหน่อยหนึ่ง “ผมไม่ได้หวังอะไรนะ”
“อืม..” ผมครางในคอ จ้องหน้าเขากลับ “พี่ว่าเราเป็นแค่บรรณาธิการกับนักเขียนแหละดีแล้ว พี่มีหน้าที่เขียนงานให้โจ โจก็เช็กงานพี่ เราไม่ต้องรู้จักอะไรกันมากกว่านี้หรอก”
สุภาพงษ์มองผมตาค้าง ผมเห็นเขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่กลายเป็นว่า น้ำตาหยดหนึ่งร่วงออกมาจากตาเขาแทน
ผมกลืนน้ำลาย บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ สุภาพงษ์ยืนจ้องผมเงียบๆ น้ำตาอีกหลายหยดไหลออกมาหลังจากนั้น
ผมเบือนหน้าหนี แล้วดึงแขนออก สูดหายใจลึกอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมา “พี่กลับนะ”
-------------------------------------
โชคดีที่ช่วงหัวค่ำ รถแถวนั้นไม่ค่อยติดแล้ว ผมเลยนั่งรถเมล์กลับมาถึงบ้านโดยใช้เวลาสักสิบห้านาทีเห็นจะได้ ตลอดทางผมรู้สึกแปลบๆ ในอก คงเพราะน้ำตาของสุภาพงษ์ล่ะมั้ง
เกิดมาผมไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะเป็นสาเหตุให้ผู้ชายคนหนึ่งต้องร้องไห้
ความผิดของผมหรืออย่างไรกันนะ.........?
ผมไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ ว่าสุภาพงษ์จะชอบผม ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เขาจะชอบผมตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เขาคิดแบบนั้น แล้วก็ไม่พร้อมจะรับความรู้สึกแบบนั้นจากเขาด้วย
ผมอาจจะปฏิเสธเขาช้าไปสักหน่อย แต่นี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ถึงผมจะชอบมองหน้าเขา แต่เขาคงไม่ใช่คนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจแน่ๆ
ผมถอนหายใจเฮือก ถอดเสื้อออก เตรียมตัวจะอาบน้ำเข้านอน ถึงเพิ่งรู้ว่าหยิบกุญแจห้องของเขาติดมาด้วย แถมยังลืมถุงใส่เสื้อผ้าไว้ที่ห้องของเขาอีก
เอาน่ะ ไว้หลังจากนี้ พออะไรๆ มันเข้าที่เข้าทางแล้ว ค่อยไปขอคืนก็ได้ กุญแจก็เดี๋ยวค่อยนั่งรถกลับไปฝากไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์คอนโดฯเขาพรุ่งนี้
ผมคงทำได้ดีที่สุดเท่านี้แหละ
อาบน้ำแปรงฟันเสร็จแล้ว ผมก็เดินเข้าห้องนอน นึกดีใจว่ายังไม่ดึกเท่าไหร่ พรุ่งนี้ผมคงตื่นเช้าพอจะรีบเอากุญแจห้องไปคืนตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าก่อนที่สุภาพงษ์จะไปทำงานได้ แต่เขาคงจะมีอีกดอกหนึ่งล่ะมั้ง ก็ดอกนี้คุณากรเป็นคนทิ้งเอาไว้นี่นา
พอนึกถึงคุณากรแล้ว ผมก็ถอนหายใจอีก นี่ถ้าเขากับสุภาพงษ์เคยเป็นแฟนกัน เขาก็ดูน่าสงสารอยู่นะ ที่ต้องมาเลิกกับแฟนเพราะผม จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรก เขาเคยเล่าเรื่องทำนองว่าแฟนเก่าทิ้งไปเพราะไปเจอคนข้างบ้านที่แอบชอบมานาน ไม่รู้สิ ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเลยล่ะ ถ้านั่นเป็นเรื่องราวของเขาจริงๆ
ผมว่าคุณากรคงเข้ากับสุภาพงษ์ได้ดีกว่าผม พวกเขารู้จักกันมานาน อาจจะเคยเป็นแฟนกันมาก่อนด้วยซ้ำ ตอนที่สุภาพงษ์ป่วย ควรจะได้คนอย่างคุณากรมาคอยอยู่เป็นเพื่อน แทนที่จะมาพยายามให้ผมที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเป็นพิเศษช่วยดูแล....
ท่าทางคุณากรคงจะเข้าใจผิดไปล่ะมั้ง ว่าถ้าพาผมไปแล้ว สุภาพงษ์คงจะหายไวขึ้น
ผมนึกถึงภาพน้ำตาของสุภาพงษ์ตอนที่ออกมาแล้ว ก็บอกกับตัวเองว่า เขาคงไม่หายไวแน่ๆ และคงจะหายช้าเพราะผมด้วย
แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ภาวนาในใจ ให้เขาหายในที่สุด
หายได้โดยไม่ต้องมีผม
--------------------------------------------------
*** ฮืออออ
ตอนที่เริ่มเขียนตอนนี้ ยังไม่คิดเลยนะว่าจะจบตอนได้ดราม่าขนาดนี้เนี่ย.... ถึงจะวางแผนไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องมีดราม่าระหว่างนิสัยของสุภาพงษ์และคุณพนิต แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้นะเนี่ย..!! (อ้อ เรอะ!! ได้ยินว่าไม่มีอะไรจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอฟ่ะ นี่มันล่อมาตั้งตอน8แล้วนะ!!!!!)
เขียนไปเขียนมา อยากจะบอกว่า เรื่องนี้ผิดที่สุภาพงษ์คนเดียวเลย นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นนพรัตน์นะ คุณพนิตเสร็จไปแล้ว... แต่... ก็สงสารนายโจแหะ... ไม่รู้จิ๊ 8ตอนนี่ นายโจโดนพี่นิตทำร้ายจิตใจแบบไม่รู้ตัวตลอดเลย
สงสารก็สงสาร หมั่นไส้ก็หมั่นไส้นายโจนะเนี่ย.... แต่คาดว่า จบตอนนี้แล้ว คนอ่านคงหมั่นไส้คุณพนิต แช่งให้กอดคานตายไปทั้งแบบนี้แน่ๆ เลย....
อย่าเกลียดคุณพนิตเลยน๊าาาา
คุณพนิตแกแค่รักโลกส่วนตัวของแก่มากกว่าคุณบ.ก.เท่านั้นเอง (ปกป้องกันสุดๆ)